สมาชิกอ่านต่อ...
แหล่งข้อมูล: นพ.ประพจน์ เภตรากาศ
เรื่องเกี่ยวข้อง: นิตยสารออนไลน์ สเต็มเซลล์บำบัด
เรื่องน้ำมันมะพร้าวดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมากในปัจจุบัน โดยที่การส่งเสริมประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์หรือบีบเย็น (virgin coconut oil) เริ่มต้นมาจากต่างประเทศ จากกลุ่มที่นิยมการแพทย์ทางเลือกและธรรมชาติบำบัด และเกิดกระแสความนิยมอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งกระแสนี้ได้ขยายตัวเข้ามาเมืองไทย ทำให้ผู้รักสุขภาพเกิดความตื่นตัวตามไปด้วย ในเมืองไทยนั้นสนใจทั้งในเรื่องความงามและสุขภาพ และขยายตัวเข้าสู่การรักษาโรคต่างๆ ตั้งแต่โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตามก็มีแพทย์แผนปัจจุบันบางคนออกมาคัดค้านและต่อต้านว่า น้ำมันมะพร้าวเป็นไขมันอิ่มตัว เมื่อบริโภคต่อเนื่องจะทำให้ไขมันในเลือดสูงและเป็นอันตราย เราจะรู้เท่าทันเรื่องนี้ได้อย่างไร ลองมาศึกษากันเถอะ1. ถ้าค้นคำว่า “น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์” จะพบว่าในเว็บไซต์ภาษาไทยและต่างประเทศ จะเต็มไปด้วยประโยชน์และข้อดีของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เต็มไปหมด มีการกล่าวถึงข้อเสียหรือโทษเพียงเล็กน้อยถ้าผลิตไม่สะอาดหรือถูกวิธี และกรณีที่เก็บรักษาไม่ดีจนมีกลิ่นหืน2. ในประเทศไทยมีเว็บไซต์ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงข้อเท็จจริงของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์กับการลดน้ำหนักว่า น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ หมายถึงน้ำมันมะพร้าวที่ใช้วิธีการสกัดแยกจากเนื้อมะพร้าวโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ใช้ความร้อนสูงและไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปทางเคมี เช่น วิธีบีบเย็น เป็นต้น องค์ประกอบหลัก VCO เป็นกรดไขมันอิ่มตัว (มากกว่า 90% จากปริมาณกรดไขมันทั้งหมด) แต่เป็นกรดไขมันขนาดโมเลกุลปานกลาง (medium chain fatty acid) เช่น กรดลอริก (lauric acid) ซึ่งเมื่อรับประทานและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกเผาผลาญได้ดี จึงถูกสะสมในเนื้อเยื่อไขมันได้น้อยกว่ากรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลยาว (long chain fatty acid) เช่น กรดไลโนเลอิก (linoleic acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่พบมากในน้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น จากคุณสมบัติดังกล่าวส่งผลให้น้ำมันมะพร้าวได้รับความสนใจจากผู้บริโภคในการรับประทานเพื่อช่วยลดความอ้วน จากรายงานการศึกษาทางคลินิกในประเทศบราซิล ทำการทดสอบเปรียบเทียบผลระหว่างกลุ่มที่รับประทานน้ำมันมะพร้าวและกลุ่มที่รับประทานน้ำมันถั่วเหลืองในผู้หญิงที่มีภาวะอ้วนลงพุง (abdominal obesity) พบว่า กลุ่มที่ได้รับน้ำมันมะพร้าวไม่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับโคเลสเตอรอลรวมและไขมันตัวร้าย (LDL) แต่มีระดับไขมันตัวดี (HDL) เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.03 ในขณะที่กลุ่มที่ได้รับน้ำมันถั่วเหลือง มีระดับโคเลสเตอรอลรวมและไขมันตัวร้าย (LDL) เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.45 และ 23.48 ตามลำดับ และมีระดับไขมันตัวดี (HDL) ลดลงร้อยละ 12.62 เมื่อเทียบกับก่อนเริ่มการทดลอง อย่างไรก็ตามระดับไตรกลีเซอไรด์ของทั้งสองกลุ่มไม่เปลี่ยนแปลง 3. ค้นในเว็บไซต์ทางการแพทย์ ในห้องสมุดคอเครน (Cochrane library) ไม่พบการทบทวนอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์กับสุขภาพ ส่วนใน PubMed มีการรายงานงานวิจัยเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์อยู่มากพอควรกว่า 58 บทความ จึงขอสรุปผลการวิจัยของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ดังนี้1) มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระสูง สามารถป้องกันโรคหัวใจได้โดยป้องกันไม่ให้ความดันเลือดสูงในหนูทดลอง2) สามารถลดโคเลสเตอรอล, LDL ไตรกลีเซอไรด์ ได้ดีกว่า น้ำมันมะพร้าวแบบเดิม น้ำมันมะกอก และน้ำมันเมล็ดทานตะวัน3) มีผลในการต้านความเครียดและการต้านอนุมูลอิสระในหนูทดลอง4) การใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น ลดผลข้างเคียงของการใช้เคมีบำบัด5) พอลิฟีนอลในน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์สามารถลดการอักเสบของข้อในหนูทดลองได้6) ป้องกันโรคกระดูกผุ (osteoporosis) ในหนูทดลอง ดังนั้น ความเชื่อเรื่องน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์จึงมีหลักฐานการวิจัยรองรับมากพอควร สมควรที่ประเทศไทยต้องทำการศึกษาในคนอย่างเป็นระบบ เพราะจะมีประโยชน์ทั้งสุขภาพและทั้งเศรษฐกิจของชุมชน
ปัจจุบัน เวลาที่เด็กๆ เป็นหวัด หรือคัดจมูกจากโรคภูมิแพ้ เมื่อไปหาแพทย์แผนปัจจุบัน มีแพทย์แผนปัจจุบันหลายท่านแนะนำให้ทำการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเพื่อที่จะชะล้างฝุ่นละอองที่ติดค้างในช่องจมูกออกไป จะลดการแพ้อากาศได้ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือนั้นมีที่มาจากการแพทย์อายุรเวทของอินเดีย การล้างจมูกด้วยการฉีดพ่นละอองน้ำเกลือหรือล้างด้วยน้ำเกลือนั้นช่วยลดความรุนแรงของอาการหวัด คัดจมูก หรือช่วยให้ผู้ป่วยทั้งเด็กและผู้ใหญ่หายเร็วขึ้นจากไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่จริงหรือไม่ เรามารู้เท่าทันกันเถอะความเป็นมา โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเฉียบพลัน ได้แก่ ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ และการติดเชื้อของคอหอย จมูก หรือไซนัส ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการติดเชื้อไวรัสและหายได้เอง แม่ว่าอาการอาจยังคงมีอยู่เป็นเวลาหลายสัปดาห์หลังจากการติดเชื้อหายแล้วก็ตาม การรักษาอาการไข้หวัดจึงเน้นการบรรเทาอาการ ลดอาการไอ การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือหรือฉีดพ่นละอองน้ำเกลือได้เป็นวิธีการรักษาที่นิยมมากขึ้นในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเฉียบพลัน และมีการพบว่ามีประสิทธิผลสำหรับไซนัสโพรงจมูกอักเสบเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม ประสิทธิผลในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเฉียบพลันหรืออาการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การศึกษาวิจัย ทางห้องสมุดโคเครนได้ค้นหาการศึกษางานวิจัยใน CENTRAL (2014, Issue 7), MEDLINE (1966 to กรกฎาคม สัปดาห์ที่ 5, 2014), EMBASE (1974 - สิงหาคม 2014), CINAHL (1982 -สิงหาคม 2014), AMED (1985 – สิงหาคม 2014) and LILACS (1982 – สิงหาคม 2014) พบว่า มี 5 รายงาน ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด 749 รายและมีผู้เข้าร่วมการศึกษาที่ให้ข้อมูลที่ตอบคำถามงานวิจัยและเข้าเกณฑ์คัดกรองเป็นเด็ก 544 ราย (การศึกษา 3 รายงาน) ผู้ใหญ่ 205 ราย (การศึกษา 2 รายงาน) ทั้งหมดเปรียบเทียบการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือกับการรักษาทั่วไปหรือการพ่นจมูกอื่นๆ การศึกษาเหล่านี้ได้ครอบคลุมขอบเขตที่กว้างขวางของอายุ ขนาดตัวอย่าง วิธีการที่กำหนดขนาดของสิ่งที่ใช้และความถี่ และระยะเวลาตั้งแต่เกิดอาการโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเฉียบพลัน มีความแตกต่างในการออกแบบและอาการที่ใช้ในการวัดหรือประเมิน ทั้งนี้เนื่องจากการขาดการตรวจวัดอาการและสิ่งตรวจพบที่เชื่อถือได้หรือคงที่ ทำให้ผลลัพธ์ที่ใช้ร่วมกันได้มีน้อยเมื่อนำผลศึกษามาวิเคราะห์ร่วมกัน หลักฐานจากการศึกษาสำเร็จในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014ผลการศึกษา มีการนำรายงานการศึกษาเพิ่มเติมอีก 2 รายงานเนื่องจากการทบทวนอย่างเป็นระบบแรกเริ่มไม่มีข้อมูลเพียงพอทั้งขนาดหรือคุณภาพ เฉพาะการศึกษาที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งศึกษาเด็ก 401 ราย อายุระหว่าง 6-10 ปี พบว่ามีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในด้านอาการ ได้แก่ น้ำมูกไหล เจ็บคอ คะแนนการหายใจและการอุดตันของรูจมูก รวมทั้งการลดการใช้ยาลดน้ำมูกหรืออาการคัดจมูก นอกจากนี้ยังมีการดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของคะแนนสถานะสุขภาพ มีการลดลงของเวลาในการฟื้นหรือหายจากอาการไข้หวัด ซึ่งมีรายงานในการศึกษาที่เป็นผู้ใหญ่ 2 รายงาน แต่ไม่มีความแตกต่างที่สำคัญในทางคลินิก การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือมีความปลอดภัย แต่อาจมีการระคายเคืองหรือแสบๆ เล็กน้อย โดยเฉพาะถ้าใช้อุปกรณ์ที่มีแรงฉีดสูงหรือน้ำเกลือเข้มข้นสรุป ผู้ทบทวนได้สรุปว่า การล้างจมูกด้วยน้ำเกลืออาจมีประโยชน์ในการบรรเทาอาการของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเฉียบพลัน อย่างไรก็ตาม การศึกษามีขนาดเล็กเกินไปและมีความเสี่ยงสูงในการมีอคติ ทำให้ลดความน่าเชื่อถือของหลักฐานที่สนับสนุน การศึกษาในอนาคตควรมีจำนวนผู้เข้าร่วมมากกว่านี้และรายงานตัวชี้วัดที่ได้มาตรฐานและมีความหมายทางคลินิกหมายเหตุ ศึกษาเพิ่มเติมใน Cochrane Database Syst Rev. 2015 Apr 20;4:CD006821. doi: 10.1002/14651858.CD006821.pub3.
ทางการแพทย์แผนปัจจุบันยอมรับการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดหรือเซลล์บำบัดที่เป็นการรักษามาตรฐานทางการแพทย์ในปัจจุบันคือ การปลูกถ่ายไขกระดูก หรือการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ส่วนใหญ่ใช้ในการรักษาโรคไขกระดูกฝ่อ มะเร็งเม็ดเลือดขาวทั้งชนิดเฉียบพลันและและเรื้อรัง โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ตลอดจนโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น การใช้เซลล์บำบัดในโรคเลือดนั้นต้องหาไขกระดูกที่เข้ากันได้ เช่น การปลูกถ่ายเซลล์บำบัดรักษาธาลัสซีเมียในเด็กจะได้ผลดีกว่าผู้สูงอายุ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเนื่องจากการรักษาไขกระดูกจะต้องมีการให้ยากดภูมิคุ้มกัน ซึ่งธาลัสซีเมียในปัจจุบันนี้รักษาด้วยยาจะได้ผลดีกว่าการใช้เซลล์บำบัด สำหรับมะเร็งในเลือด การรักษาด้วยเซลล์บำบัดไม่ใช่ว่าใช้เซลล์ต้นกำเนิดไปฆ่ามะเร็ง แต่ต้องใช้ยาไปทำลายเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดในร่างกายก่อน แล้วจึงปลูกระบบเลือดขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ทางการแพทย์จะใช้เซลล์ผู้อื่นมากกว่าเซลล์ของผู้ป่วยเพราะอาจมีเซลล์มะเร็งแพร่กระจายอยู่ทำให้หวนกลับมาเป็นมะเร็งใหม่ได้อีก อย่างไรก็ตามต้องเป็นเซลล์ของผู้อื่นที่เข้ากันกับผู้ป่วยได้ ความเชื่อที่ผิดๆ ประชาชนมักจะมีความเข้าใจที่ผิดว่า เมื่อเซลล์ต้นกำเนิดสามารถไปรักษาหรือแบ่งตัวแทนที่เซลล์ที่ชำรุดเสียหายได้ ก็เพียงแค่ฉีดเซลล์ต้นกำเนิดไปตามเส้นเลือด เซลล์ต้นกำเนิดนั้นๆ ก็จะไปสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนที่เซลล์หรืออวัยวะที่เสียหายไป ประชาชนมักจะถูกการโฆษณาชวนเชื่อจากธุรกิจสุขภาพให้หลงเข้าใจผิดว่า การฉีดเซลล์ต้นกำเนิดเข้าไปในเส้นเลือด เซลล์จะวิ่งไปหาอวัยวะที่บาดเจ็บเอง เซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกบางชนิดมีการวิ่งไปอวัยวะที่บาดเจ็บจริง แต่เมื่อไปถึงแล้วเซลล์ต้นกำเนิดจะทำการซ่อมแซมหรือแบ่งตัวแทนที่นั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่ที่แน่ๆ เซลล์จากเลือดและไขกระดูกหรือไขมันไม่กลายไปเป็นเซลล์สมอง เซลล์หัวใจ หรือเซลล์อื่นๆ แน่นอน จากข้อมูลในโดยทั่วไปในสัตว์ทดลอง เซลล์ต้นกำเนิดที่ฉีดเข้าไปมักหายจากร่างกายภายใน 24-48 ชั่วโมง ปัจจุบันเริ่มพบเซลล์ต้นกำเนิดในหลายอวัยวะ เซลล์ต้นกำเนิดของอวัยวะนั้นสามารถนำมาสร้างเซลล์ของอวัยวะนั้นได้ในหลอดทดลอง แต่การนำไปใช้รักษาอวัยวะนั้นๆ ยังต้องทำการศึกษาวิจัยต่อไปจนกว่าจะเห็นผลที่ชัดเจน เช่น เซลล์ต้นกำเนิดของสมอง แม้ฉีดเข้าไปในสมองก็ยากที่จะกลายเป็นเซลล์ประสาทชนิดที่ต้องการ ในบริเวณที่เหมาะสม และสามารถส่งรากประสาทไปเชื่อมกับเซลล์ประสาทที่อยู่ในสมองและไขสันหลังอย่างถูกต้อง การทำธุรกิจเก็บรักษาเซลล์เลือดจากรกหรือสายสะดือทารก ทั่วโลกมีธุรกิจเอกชนที่เสนอบริการการเก็บรักษาเลือดจากรกและสายสะดือทารกไว้ตลอดชีวิตเพื่อใช้เป็นเซลล์ต้นกำเนิดในการรักษาโรคทางเลือดและโรคอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในประเทศไทยก็มีการขายบริการเช่นนี้ตามโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง คำถามก็คือ เลือดเหล่านี้ใช้ในการรักษาโรคของเด็กหรือคนในครอบครัวในอนาคตได้จริงหรือไม่? ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 สมาคมผู้บริจาคไขกระดูกโลก (The World Marrow Donor Association) ได้ประกาศนโยบายการใช้เลือดจากรกและสายสะดือว่า “ห้ามใช้เลือดจากรกและสายสะดือตนเองในการรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก ทั้งนี้เพราะภาวะก่อนเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเกิดขึ้นก่อนการคลอด เลือดดังกล่าวจึงมีความบกพร่องทางพันธุกรรมเหมือนผู้บริจาคเลือดและไม่ควรใช้รักษาโรคทางพันธุกรรม” คงต้องติดตามต่อในฉบับหน้าครับ
ความเชื่อเรื่องสเต็มเซลล์นั้นมีมาเกือบร้อยปี แต่ยังไม่มีรูปธรรมจริงรองรับ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1968 เกิดความสำเร็จในการรักษาผู้ป่วยรายแรกของโลกโดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูก จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นักวิจัยและแพทย์จำนวนมากศึกษาวิจัยเรื่องสเต็มเซลล์ โดยหวังว่า จะนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้ประโยชน์ในการรักษาและซ่อมแซมอวัยวะต่างๆ ของร่างกายที่เกิดความเสื่อม โรค และสาเหตุอื่นๆ ปัจจุบัน มีการโฆษณาทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย ทั้งจากแพทย์และผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ เกี่ยวกับการใช้สเต็มเซลล์หรือเซลล์บำบัดในการรักษาโรคเรื้อรังและไม่มีทางรักษา เช่น มะเร็ง อัมพาตอัมพฤกษ์ สมองเสื่อม ไตวาย จนกระทั่งการต้านความแก่ เสริมความงาม จนแทบจะกล่าวได้ว่า เซลล์บำบัดนั้นรักษาได้ทุกโรค และสามารถทำให้กลับมาเป็นหนุ่มสาวได้อีกครั้ง บางคนเมื่อไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลเอกชน ทางโรงพยาบาลก็จะชักชวนให้เก็บรกหรือเลือดในรกไว้ โดยจะมีบริษัทเอกชนที่จะเก็บและแช่แข็งสเต็มเซลล์ไว้เป็นเวลานานตลอดอายุขัยของลูกเลย เรามารู้เท่าทันสเต็มเซลล์หรือเซลล์บำบัดกัน แต่เนื่องจากมีรายละเอียดและความซับซ้อน จึงขอทำความเข้าใจเป็นตอนๆ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ง่าย ที่มาของการใช้สเต็มเซลล์ในการบำบัดโรค ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่พบว่า ไข่ของผู้หญิงที่ได้รับการผสมกับอสุจิของผู้ชาย เรียกว่า ตัวอ่อน หรือ embryo จะทำการแบ่งตัวเป็น 16 เซลล์ เรียกว่า morula เซลล์เหล่านี้มีคุณสมบัติเหมือนกันทุกเซลล์ สามารถเจริญเติบโตไปเป็นเซลล์ได้ทุกชนิดในร่างกาย และสามารถแบ่งเซลล์ได้ไม่จำกัด หลังจากนั้นประมาณวันที่ห้าถึงเจ็ด ตัวอ่อนจะเจริญเติบโตและกลายเป็นเซลล์ที่เรียกว่า blastoma ซึ่งจะแบ่งเป็นชั้นต่างๆ 3 ชั้น คือชั้นนอก ชั้นกลาง และชั้นใน ซึ่งจะเติบโตเป็นส่วนต่างๆ หรืออวัยวะต่างๆ ของร่างกาย การที่เซลล์ตัวอ่อนในระยะแรกที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน แต่สามารถเติบโตไปเป็นเซลล์ต่างๆ หรืออวัยวะต่างๆ ของร่างกาย จึงเป็นที่มาความเชื่อในการนำเอาเซลล์ต้นกำเนิด (สเต็มเซลล์) ในระยะที่เป็นตัวอ่อน หรือ เซลล์ต้นกำเนิดของผู้ใหญ่มาสร้างทดแทนเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่เสื่อมหรือเป็นโรคต่างๆ ความเชื่อเรื่องสเต็มเซลล์นั้นมีมาเกือบร้อยปี แต่ยังไม่มีรูปธรรมจริงรองรับ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1968 เกิดความสำเร็จในการรักษาผู้ป่วยรายแรกของโลกโดยใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูก จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นักวิจัยและแพทย์จำนวนมากศึกษาวิจัยเรื่องสเต็มเซลล์ โดยหวังว่า จะนำเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้ประโยชน์ในการรักษาและซ่อมแซมอวัยวะต่างๆ ของร่างกายที่เกิดความเสื่อม โรค และสาเหตุอื่นๆ ประเภทของสเต็มเซลล์ สเต็มเซลล์แบ่งได้หลายประเภทตามระยะเวลาของพัฒนาการ เราอาจแบ่งหลักๆ ได้ 4 ประเภท ได้แก่ มาจากตัวอ่อน มาจากทารกในครรภ์มารดา มาจากทารกแรกคลอด และมาจากผู้ใหญ่ สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมีศักยภาพที่สูงกว่าสเต็มเซลล์จากผู้ใหญ่ แต่มีข้อจำกัดเรื่องความปลอดภัยของตัวอ่อนและปัญหาด้านจริยธรรมในกรณีที่ต้องมีการทำลายตัวอ่อน ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง การเกิดภูมิต้านทานเนื้อเยื่อ เนื่องจากกระบวนการเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิด อาจต้องใช้เซลล์ของสัตว์เป็นเซลล์พี่เลี้ยง ซึ่งนอกจากมีผลต่อปฏิกิริยาของภูมิต้านทานแล้ว ยังอาจมีการติดเชื้อโรคจากสัตว์ได้อีกด้วย ส่วนสเต็มเซลล์ที่ได้จากผู้ใหญ่นั้นเป็นเซลล์ที่ได้จากระบบเลือด ผิวหนัง ไขมัน ไขกระดูก และเนื้อเยื่ออื่นๆ ที่เจริญเติบโตเต็มที่ของสัตว์หรือมนุษย์ เซลล์เหล่านี้สามารถแบ่งตัวทดแทนเซลล์ที่ตายหรือถูกทำลาย สามารถพัฒนาไปเป็นเซลล์ตั้งต้นที่จะพัฒนาไปเป็นเซลล์จำเพาะต่างๆ ได้ อย่างไรก็ตาม สเต็มเซลล์ประเภทนี้ยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง ได้แก่ ปริมาณของเซลล์ต้นกำเนิดอาจไม่มากพอ อาจเกิดอันตราย เกิดปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันต่อเซลล์แปลกปลอมเมื่อปลูกถ่ายให้ผู้อื่น ดังนั้นสเต็มเซลล์ชนิดนี้ที่มีการใช้กันแพร่หลาย จะเป็นการใช้การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากไขกระดูกเพื่อรักษาโรคทางระบบเลือดเป็นหลัก ฉบับหน้า ติดตามการใช้สเต็มเซลล์ทางการแพทย์ว่าใช้รักษาโรคอะไรได้บ้าง
ความคิดเห็น (0)