ฉบับที่ 237 กระชับรูขุมขน

        หลายคนพอส่องกระจกแบบชิดใกล้เห็นรูขุมขนบริเวณจมูก โหนกแก้ม หน้าผาก แล้วอาจเกิดความเครียดเอาได้ง่ายๆ เพราะกังวลใจในเรื่องของรูขุมขนที่ขยายกว้างทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน จริงๆ ถ้าไม่ได้มีปัญหาสิว สิวอักเสบ มันก็เป็นเรื่องปกติของผิวบริเวณนั้น เป็นเรื่องธรรมชาติที่เป็นกันทุกคน เห็นชัด ไม่ชัด ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งกรรมพันธุ์ เชื้อชาติ ประเภทของผิว การสัมผัสแดดหรืออายุ 
        แต่เชื่อไหมว่า รูขุมขนกว้างเป็นปัญหาลำดับต้นๆ ที่สาวไทยกังวล ทำให้มีผลิตภัณฑ์และรูปแบบการรักษานำมาเสนอขายกันไม่หวาดไหว ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ต้องรักษาเพราะไม่ได้เป็นภาวะผิดปกติ และรูขุมขนกว้างทำให้หายไปไม่ได้ มีแต่เพียงวิธีที่จะช่วยทำให้มันดูกระชับขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น 
        รูขุมชนที่ดูกว้างจนเห็นชัดเจนนั้นเกิดจากต่อมผลิตไขมันใต้ผิวหนังขยายขนาดใหญ่ขึ้นกว่าปกติ โดยผิวหนังบริเวณรอบๆ จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงหรืออักเสบ กล่าวคือไม่ได้เจ็บปวดอะไร ไม่พยายามไปยุ่งกับมันแค่ทำความสะอาดเพื่อลดปริมาณสิ่งสกปรกก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าอยากจะกระชับรูขุมขนบนผิวหน้าเพื่อให้แลดูเล็กลงสักนิด ต้องเริ่มที่การทำความสะอาดและลดปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง


        
        การทำความสะอาดผิวหน้า
        ล้างหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ไม่ผสมสารที่อาจทำให้เกิดความระคายเคือง หรือมีค่ากรดด่างที่เข้มข้น และไม่ควรล้างหน้าบ่อยเกินไปเพราะผิวจะยิ่งแห้งและเร่งการผลิตไขมัน ยิ่งทำให้รูขุมขนขยายกว้างขึ้น
 
        การบำรุงผิว 
        เลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว เลี่ยงครีมบำรุงที่ผสมน้ำมันหนักๆ เพราะเมื่อน้ำมันรวมกับเซลล์ผิวที่ตายอาจเกิดการอุดตันที่บริเวณรูขุมขน กลายเป็นสิวอักเสบได้ ซึ่งจะยิ่งทำให้รูขุมขนไม่กระชับ
 
        การแต่งหน้า 
        ช่วยปกปิดรูขุมขนกว้างได้แน่ๆ แต่เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวและต้องล้างทำความสะอาดก่อนนอนไม่ปล่อยให้เกิดการตกค้างบนผิว
 
        ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงยูวี 
        รังสียูวีเป็นสาเหตุหนึ่งที่มีส่วนทำให้รูขุมขนขยายกว้าง เพราะทำลายคอลลาเจน อีลาสติน บนผิวทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นไม่กระชับ
 
        ไม่สัมผัสหน้าด้วยมือบ่อยๆ   
        เพราะอาจนำสิ่งสกปรกสู่ผิว ไม่บีบหรือเค้นสิว ควรรักษาให้ถูกวิธี
 
        ทำให้ผิวแห้งและลดความมัน 
        การทำผิวให้แห้งจะทำให้ชั้นเคราตินหดตัวเล็กลง จึงดูเหมือนว่ารูขุมขนมีขนาดเล็กลงด้วย โดยอาจเลือกใช้คลีนเซอร์แบบ oil-control หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของซาลิไซลิค เอสิด ซึ่งจะช่วยป้องกันความมันบนใบหน้าได้
 
        ลดความมันของผิวด้วยการมาสก์หน้าเฉพาะจุด 
        ผิวหน้าในแต่ละจุดอาจมีความมันไม่เท่ากัน ทำให้บางจุดดูรุขุมขนกว้างกว่าบริเวณอื่น ดังนั้นส่วนที่รูขุมขนกว้างผิวมันมาก อาจมาสก์เฉพาะจุดนั้นๆ เช่น จมูก หน้าผาก โดยทำตามวิธีที่ระบุบนฉลากผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและล้างให้สะอาด
 
        ลดความมันบนผิวหน้าระหว่างวัน 
        กลางวันอาจใช้กระดาษซับมันช่วยลดความมันบนใบหน้า และลดสิ่งสกปรกที่ค้างบนผิว
 
        การใช้บริการคลินิกความงาม 
        ควรเลือกใช้วิธีที่ได้มาตรฐานมีการควบคุมด้วยผู้เชี่ยวชาญ ที่สำคัญต้องจำไว้ว่า ยังไม่มีวิธีการทางแพทย์วิธีใดที่จะทำให้รูขุมขนกว้างหายไปได้ และอาจจะยิ่งเสี่ยงก่อให้เกิดปัญหากับผิวมากยิ่งขึ้นหากเลือกวิธีการที่ไม่เหมาะสม จึงควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนเลือกใช้บริการ
 
        แอปพลิเคชั่น 
        วิธีนี้ไม่ทำให้รูขุมชนกว้างหายไปจากใบหน้า แต่ช่วยให้เวลาถ่ายรูปออกมาแล้วสวยเนียนกริบได้แน่นอน

แหล่งข้อมูล: กองบรรณาธิการ

200 point

LINE it!





  เรื่องเกี่ยวข้อง: นิตยสารออนไลน์ ผู้บริโภค ผิวหน้า รูขุมขน

ฉบับที่ 272 รู้ก่อนตัดสินใจ “สักคิ้ว”

        “การสักคิ้ว” เป็นที่นิยมอย่างมากในวงการความสวยความงามของไทย ก็อย่างว่าคิ้วคือมงกุฎของหน้า สาเหตุที่คนนิยมกัน ก็เนื่องจากต้องการแก้ปัญหาบริเวณส่วนคิ้ว เช่น บางคนต้องการสักคิ้วเพื่อแก้ปัญหาคิ้วบางจนเกินไป ไม่มีความมั่นใจหรือบางคนแค่ต้องการเปลี่ยนทรงคิ้วให้ดูสวยขึ้น เป๊ะปังอยู่ตลอดเวลานั้นเอง การสักคิ้วสมัยนี้ก็มีอยู่หลายรูปแบบ ทั้ง 3 มิติ 6 มิติ แบบการฝังสีคิ้วสไตล์เกาหลี เพิ่มโหงวเฮ้งของใบหน้าก็มีหาได้ทั่วไป        อย่างไรก็ตาม หากต้องการสักคิ้วจริงๆ อยากให้ผู้บริโภคศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจสักหน่อย เพราะหากสักพลาดไปแล้วแน่นอนแก้ยากกว่าที่คิด หลายคนคงจะเห็นได้จากข่าวที่มีคนพลาดไปสักคิ้วแล้วได้คิ้วทรงแปลกๆ ให้เห็นกันอยู่บ่อย ฉลาดซื้อ จึงอยากแนะนำ ดังนี้        1. ตรวจสอบร้านสักคิ้วที่เราต้องการใช้บริการ ช่างมีใบรับรองวิชาชีพหรือไม่ ก่อนลงมือสักมีการใส่ถุงมือ หน้ากากอนามัย        2. สถานที่ใช้บริการต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการ (ใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ) ซึ่งใบประกอบดังกล่าวจะมีอายุ 1 ปี นอกจากนี้ ภายในร้านต้องสะอาด ถูกอนามัย อยู่ในพื้นที่เปิดเผยเป็นหลักแหล่ง อุปกรณ์ที่ใช้ไม่ควรใช้ซ้ำ        3. อ่านรีวิวก่อนเข้าใช้บริการทุกครั้ง เพื่อศึกษาความน่าเชื่อถือของร้าน และให้แน่ใจว่าการใช้บริการจะปลอดภัย ตรงนี้แนะนำให้เช็กดีๆ        4. สำหรับคนที่แพ้ยาชาไม่ควรสักคิ้ว เนื่องจากการสักคิ้วก่อนลงเข็มจะต้องมีการลงยาชาเพื่อลดอาการเจ็บก่อน        5. ก่อนลงมือสักคิ้ว ควรแจ้งรายละเอียดทรงคิ้วที่อยากได้ให้ชัดเจน ให้ช่างร่างทรงคิ้วให้ดูก่อนยิ่งดีอย่าตามใจช่างเพราะอาจได้ทรงคิ้วที่ไม่ถูกใจ เมื่อสักไปแล้วการแก้ไขภายหลังก็ยากมากขึ้น         6. สำหรับคนที่ชอบเปลี่ยนทรงคิ้วตามกระแสบ่อยๆ อาจจะไม่ตอบโจทย์ ความเสี่ยงในการสักคิ้ว         -  ไม่ได้ทรงคิ้วตามที่ต้องการอาจจะหนาเกินไป เหมือนที่คนทั่วไปเรียกว่า “คิ้วปลิง” นั้นเอง        -  การแก้ไขในภายหลังกรณีที่ทำการสักคิ้วไปแล้ว เช่น การสักคิ้วแบบถาวร ซึ่งอาจจะต้องแก้ด้วยการเลเซอร์ลบรอยสักเท่านั้น มีค่าใช้จ่ายสูง และต้องทำอีกหลายครั้งจนกว่าสีจะจางเป็นปกติ แถมยังอาจมีแผลเป็นตามมาอีกด้วย        -  การเลือกร้านสักที่ไม่ถูกสุขอนามัย ไม่มีมาตรฐาน ทำให้อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากอุปกรณ์ที่ไม่สะอาด         -  มีอาการแพ้สีที่ใช้สัก หรือยาชาโดยที่เราไม่ทราบมาก่อน ทำให้เกิดการอักเสบ คัน หรืออื่นๆ แนะนำว่าอย่าปล่อยทิ้งไว้ให้รีบไปพบแพทย์ทันที        -  ค่าใช้จ่ายในการสักคิ้ว ราคาสูงไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิดความผิดพลาด         นอกจากนี้  การสักคิ้วไม่ได้มีแต่ข้อเสีย ข้อดีก็มี เช่น ช่วยเสริมโหวงเฮ้ง ลดเวลาการเขียนคิ้วแต่งหน้า แก้ปัญหาสำหรับสาวคิ้วบางได้ตามที่กล่าวไปข้างบน แต่สำหรับใครที่ขี้เบื่อหรือชอบเปลี่ยนทรงคิ้ว แต่ยังอยากสักคิ้วจริงๆ  อาจเลือกการสักคิ้วแบบฝังสีฝุ่น ซึ่งเป็นการฝั่งสีคิ้วไปบริเวณบนหนังกำพร้า อยู่ได้ 3-6 เดือนหรือมากกว่านั้นและจะเริ่มจางหายไปเองตามธรรมชาติ เหมาะกับคนที่ต้องการเปลี่ยนทรงคิ้วอยู่เรื่อย แต่อาจจะเหมาะสำหรับคนที่ชอบคิ้วสไตล์เกาหลีเท่านั้น         ทั้งนี้ “สำหรับคนที่ได้ไปสักคิ้วมาแล้ว ก็อยากให้ดูแลโดยการหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนน้ำ ทำตามคำแนะนำของช่าง เพื่อลดโอกาสเกิดการติดเชื้อและอักเสบด้วยนะคะ”           ข้อมูลจาก : สักคิ้ว ศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ - พบแพทย์ (pobpad.com)สักคิ้ว ข้อควรรู้ ขั้นตอน และแนวทางการดูแลตัวเองหลังสัก - พบแพทย์ (pobpad.com)

อ่านเพิ่มเติม>

ฉบับที่ 271 ไม่อยากเสี่ยงหน้าพัง ต้องเลือกเครื่องสำอางที่ปลอดภัย

        มีหลายคนที่ต้องเผชิญภาวะผิวหน้าเป็นสิวหรือเกิดอาการแพ้ระคายเคืองต่างๆ จากเครื่องสำอางโดยที่ไม่รู้ตัวว่าสาเหตุต้นตอมันมาจากเครื่องสำอางที่เราใช้นี่แหละ ซึ่งสาเหตุก็มาจากที่บางคนซื้อสินค้ามาจากออนไลน์ตามกระแส เพราะดูรีวิวแล้วเชื่อ เห็นเขาว่าดีก็เลยอยากลอง โดยไม่ได้เช็กว่าของแท้หรือของปลอมหรือของไม่มีคุณภาพ เมื่อนำมาใช้ก็เกิดผลเสียต่อผิวหน้า         การเลือกเครื่องสำอางจึงต้องมั่นใจว่า ปลอดภัย เพื่อลดการระคายเคืองและอาการอื่นๆ ที่ไม่พึงประสงค์ ดังนี้             1. เลือกที่มี เลขที่จดแจ้ง ซึ่งหมายถึงเครื่องสำอางนั้นได้ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว  เครื่องสำอางคือ สินค้าควบคุมที่ผู้ประกอบการต้องมาจดแจ้งกับทาง อย. ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย สามารถนำเลขไปเช็กได้ที่หน้าเว็บไซต์ของทาง https://oryor.com/check-product-serial            2. มีฉลากระบุรายละเอียดให้ครบถ้วน ยกตัวอย่าง ชื่อหรือประเภทเครื่องสำอาง ส่วนผสมประกอบด้วยอะไรบ้าง วันเดือนปีที่ผลิต-หมดอายุ วิธีการใช้ ปริมาณสุทธิ ที่ตั้งผู้ผลิต-นำเข้า ครั้งที่ผลิต คำเตือนและฉลากต้องเป็นภาษาไทยชัดเจนตามที่กฎหมายกำหนด             3. หากหาวันหมดอายุไม่เจอให้ดูสัญลักษณ์สากล เช่น สัญลักษณ์รูปกระปุกเปิดฝาที่มีเขียนข้อความตรงกลางว่า 2M 3M 6M โดยมีความหมายตัวอย่าง คือ 2M = สินค้าตัวนี้จะมีอายุหลังเปิดใช้งาน 2 เดือนนั้นเอง (เลือกดูตรงนี้ได้เพื่อการตัดสินใจในการเลือกซื้อได้)             4. สัญลักษณ์เป็นรูปหนังสือ คือ สัญลักษณ์ให้อ่านข้อมูลเพิ่มเติมในแผ่นพับ พวกรายละเอียดวิธีใช้ต่างๆ            5. ไม่ควรใช้สินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์แตกหรือรั่ว ควรเลือกเครื่องสำอางที่แพกเกจอยู่ในสภาพสมบูรณ์             6. ควรทดลองก่อนใช้ทุกครั้ง เช่น นำสินค้ามาเทสที่บริเวณแขนก่อนทุกครั้ง ก่อนใช้เพื่อให้เราแน่ใจว่าไม่แพ้แน่นอน  สิ่งที่ควรระวัง        · ส่วนผสมต่างๆ ของเครื่องสำอางทั้งก่อนซื้อ-ก่อนใช้ ควรอ่านฉลากให้ละเอียดว่าส่วนผสมของสารอะไรบ้าง ซึ่งบางอันอาจมีสารที่เราอาจจะแพ้ระคายเคืองได้ง่าย         · คำเตือน ตรงนี้ควรอ่านให้ชัดเจนและละเอียด ที่สำคัญควรทำตามอย่างเคร่งครัด        · สำหรับนักช้อปทั้งที่ชอบซื้อลิปสติก รองพื้น บลัชออนตามห้าง ก็ควรระวังไม่นำตัวเทสเตอร์ของทางร้านมาสัมผัสผิวโดยตรง เพราะอย่าลืมว่าเทสเตอร์แต่ละอันนั้น มีการเทสไปแล้วหลายคน อาจมีเชื้อโรคที่เรามองไม่เห็นอยู่ได้ หากเรานำมาใช้ต่อก็อาจเกิดสิว หรือติดเชื้อได้        · ไม่ควรซื้อเครื่องสำอางในปริมาณเยอะ เพราะอาจจะเสื่อมสภาพก่อนใช้งานได้        · สุดท้ายไม่ควรใช้เครื่องสำอางร่วมกับคนอื่น ควรใช้เป็นของส่วนตัวโดยเฉพาะ        · ไม่ใช้เครื่องสำอางปนกัน เช่น ใช้ทาที่ผิวก็ควรทาแค่ผิวกาย ไม่เอามาทาบริเวณผิวหน้า เพราะเครื่องสำอางแต่ละแบบก็ถูกออกแบบมาให้ใช้แค่บริเวณนั้นโดยเฉพาะนั่นเอง                    สุดท้ายอยากให้ระมัดระวังการซื้อเครื่องสำอางที่มีราคาถูกกกว่าปกติทั่วไปในโลกออนไลน์ แนะนำให้ซื้อกับร้านค้า Official ของแบรนด์ในแต่ละแพลตฟอร์มเท่านั้น เพื่อมั่นใจได้ว่าจะได้ของแท้แน่นอน รวมทั้งหลีกเลี่ยงการซื้อของปลอมอีกด้วย อีกเรื่องคือการซื้อเครื่องสำอางตามตลาดนัดก็ควรจะระมัดระวังให้ดี แม้ว่าบางครั้งสินค้าจะไม่ใช่ของปลอมทุกอัน แต่ก็มีความเสี่ยงหากราคาตัวสินค้ามีราคาถูกกว่าสินค้าปกติ แถมเครื่องสำอางพวกครีมทาหน้าตามตลาดนี้ต้องระวังให้ดีอีกด้วย มักมีพวกครีมสารอันตรายไม่ได้มาตรฐานอยู่เยอะ หากมีอาการระคายเคืองแพ้เครื่องสำอางก็ควรหยุดใช้ทันที และไปพบแพทย์ไม่ควรรักษาเองนะคะ  อ้างอิงจาก: FDA Thai  https://youtu.be/qC9_ZvbxTX0?si=BYr32FEhzhSPfLRuhttps://youtu.be/SIAaW0-bXaA?si=V2nxCn8-BSmBRteOPobpad: เรื่อง...เคล็ดลับเลือกซื้อเครื่องสำอางอย่างปลอดภัย ไม่อยากหน้าพัง ต้องอ่าน!

อ่านเพิ่มเติม>

ฉบับที่ 270 จัดการหัวเข่า-ข้อศอกดำด้านอย่างไรดี?

        ปัญหาผิวกายที่กวนใจสุดๆ ของหลายคน นอกจากเรื่องผิวแห้งคล้ำเสียหรือริ้วรอยจากแผลต่างๆ  อีกเรื่องก็คงเป็น “ข้อศอกกับหัวเข่า ดำและด้าน” ใช่ไหม ปัญหาสุดคลาสสิกของเหล่าคนที่ชอบผิวสวยสว่าง การมีข้อศอกและหัวเข่าดำด้านคงทำให้หงุดหงิดเป็นแน่         เนื่องจากเป็นจุดของข้อต่อ การมีผิวหนังบริเวณดังกล่าวดำด้านสาเหตุมักจะเกิดจากการเสียดสีบ่อยๆ เช่น การเท้าโต๊ะ วางแขนในการนั่ง นอน หรือนั่งคุกเข่าบ่อยๆ และบางคนก็อาจมีสาเหตุจากพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิดอีกด้วย         ดังนั้นหากเป็นสาเหตุที่พฤติกรรม เช่น การเท้าโต๊ะหรือคุกเข่าบ่อยๆ ก็อาจจะหลีกเลี่ยงการทำสิ่งนั้น เพื่อไม่ให้เกิดการเสียดสีกับบริเวณข้อศอกและเข่าได้  หรือสามารถดูแลได้ตามวิธีดังนี้         ·     ใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มผลัดเซลล์ผิวช่วย เช่น กลุ่ม AHA BHA ได้แต่ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะอาจจะเกิดการระคายเคืองหรือผิวอักเสบ ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีสีที่เข้มกว่าเดิมได้ และอีกตัวเลือก คือ พวกกลุ่ม Whitening ก็ช่วยได้เหมือนกัน        ·     อีกวิธีคือการสครับผิวบริเวณข้อศอกและหัวเข่า เพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป แต่ก็ไม่ควรสครับโดยการขัดและถูแรงๆ จนเกินไป 1 อาทิตย์ใช้แค่ 2-3 ครั้งพอ         ·     ส่วนจะซื้อผลิตภัณฑ์พวกนี้ได้ที่ไหนแล้วไม่เป็นอันตราย สามารถเลือกซื้อได้ตามร้านค้าที่น่าเชื่อถือในห้างสรรพสินค้าทั่วไปได้เลย ใครที่จะใช้พวกครีมผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสม AHA BHA ก็ควรเลือกเน้นสูตรที่อ่อนโยนต่อผิวเป็นหลักได้ยิ่งดี ใครที่ชอบสครับก็เลือกที่เป็นส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติ เช่น มะขาม ขมิ้น เป็นต้น  นอกจากนี้ ไม่ซื้อตามออนไลน์ที่ไม่น่าเชื่อถือ ยกตัวอย่าง เช่น ร้านที่โฆษณาสินค้าเกินจริง เคลมการเห็นผลไว 3 วัน 7 วัน เห็นผล หรือถ้าจะสั่งออนไลน์จริงๆ ก็ควรสั่งกับ Account official ของร้านค้าเท่านั้น         ·     ที่สำคัญอย่าลืมเช็กรายละเอียดก่อนซื้อ คือ เลขจดแจ้งของ อย. และมีการเขียนส่วนผสมในฉลากให้ชัดเจน มีชื่อผู้ผลิต วันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุให้ครบถ้วน         อย่างไรก็ตาม ฉลาดซื้อแนะนำให้ใช้มอยเจอร์ไรส์เซอร์เป็นตัวช่วยร่วมด้วย เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวในส่วนของข้อศอกและหัวเข่า เพราะว่าข้อศอกและหัวเข่าด้านนั้นคงมีอาการแห้งร่วมด้วย การบำรุงผิวด้วยการเติมความชุ่มชื้นประกอบกับผลัดเซลล์ผิวไปด้วยจะช่วยให้ผิวบริเวณนั้นดีขึ้นได้           ทั้งนี้ การเลือกมอยเจอร์ไรส์เซอร์ก็ควรเลือกที่เหมาะกับตัวเอง งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอม พาราเบนหรือแอลกอฮอล์ ถือว่าเป็นการหลีกเลี่ยงการใช้กลุ่มสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองไปด้วย เพราะอย่าลืมว่าบางคนก็มีผิวที่บอบบาง ซึ่งอาจทำให้มีอาการแพ้และผิวบริเวณนั้นมีอาการหนักกว่าเดิมได้ แต่หากใครที่ใช้กลุ่มที่มีน้ำหอมแล้วไม่แพ้ก็สามารถใช้ต่อไปได้ปกติค่ะ         กรณีข้อศอก เข่า ดำด้านในผู้ที่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด ควรปรึกษากับแพทย์ผิวหนังโดยตรง พร้อมทั้งแจ้งข้อมูลให้ละเอียดว่ารักษาหรือใช้ยาอะไรอยู่บ้าง เพื่อให้แพทย์รู้สาเหตุและรักษาได้อย่างตรงจุด         ทิ้งท้ายสิ่งที่ต้องระวังที่สุด คือ การหาข้อมูลการรักษาโรคในออนไลน์แล้วมีการให้ใช้ส่วนผสม ต่างๆ (ซึ่งไม่มีการพิสูจน์อย่างเป็นวิชาการ) มาทาที่ผิว บางอย่างถ้าไม่ศึกษาให้ดีก็อาจเป็นอันตรายได้ และจะยิ่งมีผลร้ายทำให้ต้องเสียทั้งสุขภาพและเงินทองจึงต้องระมัดระวังอ้างอิง :        https://hellokhunmor.com | ข้อศอกด้าน สาเหตุ การดูแลและการป้องกัน        https://th.theasianparent.com | ศอกด้านแค่ไหนก็เอาอยู่! วิธีแก้ข้อศอกด้าน ศอกดำ กู้ศอกคล้ำให้กลับมาขาวเนียน        https://youtu.be/uAGnNtlmkM0?si=l_NZXKbjeXoZIrdJ | "แก้หัวเข่าดำ ทำได้ไม่ยาก" คุยกับหมออัจจิมา

อ่านเพิ่มเติม>

ฉบับที่ 269 สระผมอย่างไร? ให้ไม่เสี่ยงปัญหาหนังศีรษะ

        ฉลาดซื้อ คิดว่ามีหลายคนที่เจอปัญหาเกี่ยวกับหนังศีรษะ ทั้งรังแค เชื้อรา หรือแม้แต่ปัญหาผมร่วง ซึ่งสาเหตุก็คงมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเกิดจากโรคประจำตัว พันธุกรรมหรืออื่นๆ แต่อย่างหนึ่งที่เราน่าจะรู้กันอยู่แล้วหรือบางคนก็อาจลืมไป ก็คือ พฤติกรรม “การสระผม” ของเรานี้ล่ะที่เป็นสาเหตุ ขั้นตอนสระผมให้สะอาด ป้องกันปัญหาบนหนังศีรษะ        ·     หนังศีรษะของเราโดยปกติมักมีเหงื่อ หรือสิ่งสกปรกต่างๆ สะสมอยู่แล้ว  ดังนั้นควรที่จะทำความสะอาดสระผมเป็นประจำ เช่น  2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ไม่แนะนำให้สระบ่อยจนเกินไป ทั้งนี้ บางคนที่มีหนังศีรษะที่มันง่าย อาจจะเปลี่ยนเป็นสระวันเว้นวันได้ ขึ้นอยู่ที่สภาพหนังศรีษะของแต่ละบุคคล        ·     สิ่งที่ควรทำก่อนสระผม คือ การล้างผมด้วยน้ำสะอาดก่อนให้ทั่วหัว ไม่ควรใช้น้ำอุ่น ควรใช้แค่น้ำอุณหภูมิปกติทั่วไป หลังจากนั้นบีบแชมพูลงไป แต่พยายามอย่าบีบยาสระผมให้ลงไปที่หนังศีรษะจนเกินไป  ส่วนใครที่ใช้ครีมนวดผมก็ควรจะใช้บริเวณกลางหัวถึงปลายผมพอ        ·     ไม่เกาหนังศีรษะเวลาสระผมแรงๆ เพราะอาจเกิดแผลและระคายเคือง ใครที่ชอบเกาแรงๆ เพราะชอบหรือผ่อนคลายก็ควรงดเลย        ·     เมื่อสระผมเสร็จแล้วควรจะมีการเป่าให้แห้ง หากสระผมก่อนนอน อย่านอนในขณะที่ผมยังไม่แห้งเด็ดขาด เพื่อป้องกันหนังศีรษะอับชื้น และไม่เป่าผมด้วยอุณหภูมิที่ร้อนจนเกินไป        ·     การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แชมพูสระผมก็เกี่ยวด้วยเช่นกัน เพราะแต่ละยี่ห้อก็มีส่วนผสมที่แตกต่างกันไป ดังนั้นควรเลือกยาสระผมที่อ่อนโยน ไม่ระคายเคือง หลีกเลี่ยงส่วนผสมพวกพาราเบน พทาเลต ซัลเฟต หรือกลุ่มซิลิโคน         สำหรับคนที่มีปัญหาหนังศีรษะ เช่น รังแค ควรเลือกแชมพูสระผมที่เน้นเรื่องการลดปัญหานั้นๆ ที่มีขายอยู่ตามตลาดมากกว่าแชมพูทั่วไป หากไม่หายควรไปพบแพทย์ นอกจากนี้ใครที่มีอาการแพ้ยาสระผมอย่างรุนแรงก็ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษาให้ถูกวิธีเช่นกัน และเชื่อหรือไม่ว่า สิ่งที่หลายๆ คนมองข้ามคือ การใช้ผ้าขนหนูร่วมกับผู้อื่น ทางที่ดีอย่าใช้ร่วมกับคนอื่น และผ้าขนหนูเช็ดตัวกับเช็ดผมก็ควรใช้แยกกันไปไปเลยดีกว่า อุปกรณ์หวีผมก็ดูแลทำความสะอาดให้ดี ไม่ปล่อยให้สิ่งสกปรกหมักหมมไว้นาน         อีกเรื่องช่วงนี้เริ่มเข้าสู่หน้าฝนที่ร้อนชื้น อบอ้าว ดังนั้นหลายคนคงพบปัญหาฝนตกจนเปียกไปทั้งตัวกันอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะบริเวณหนังศีรษะที่เมื่อเปียกและปล่อยทิ้งไว้ก็อาจจะทำให้เป็นหวัดหรือเกิดการอับชื้น จนอาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น เชื้อรา ดังนั้นช่วงหน้าฝนควรดูแลหนังศรีษะเบื้องต้น ซึ่งมาฝากดังนี้         เมื่อหนังศีรษะเปียกฝนควรสระผมทันทีที่ทำได้ เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกที่เรามองไม่เห็นที่มาพร้อมกับฝนออก เช่น พวกกลุ่มเชื้อโรค ไวรัสต่างๆ ที่อาจทำให้ไม่สบายเป็นหวัดได้ และควรเป่าให้แห้งสนิท ห้ามนอนในระหว่างที่ผมยังไม่แห้งดี กรณีที่เราไม่สามารถสระผมได้ทันที ก็อาจจะซับผมและเป่าพัดลมให้แห้งไว้ก่อนได้เพื่อขจัดความอับชื้นออกไป  ข้อมูลจาก :  https://hellokhunmor.com : วิธีสระผมที่ถูกต้อง เพื่อผมแข็งแรงสุขภาพดี ทำอย่างไรhttps://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1130https://www.springnews.co.th/news/583062https://www.vichaiyut.com/th/health/informations/question-healthy-in-the-rain-wash-the-hair/

อ่านเพิ่มเติม>

ความคิดเห็น (0)