แหล่งข้อมูล: กองบรรณาธิการ
เรื่องเกี่ยวข้อง: นิตยสารออนไลน์ ผู้บริโภค ล้างหน้า ผิวหน้า หน้า
ปัญหาผิวกายที่กวนใจสุดๆ ของหลายคน นอกจากเรื่องผิวแห้งคล้ำเสียหรือริ้วรอยจากแผลต่างๆ อีกเรื่องก็คงเป็น “ข้อศอกกับหัวเข่า ดำและด้าน” ใช่ไหม ปัญหาสุดคลาสสิกของเหล่าคนที่ชอบผิวสวยสว่าง การมีข้อศอกและหัวเข่าดำด้านคงทำให้หงุดหงิดเป็นแน่ เนื่องจากเป็นจุดของข้อต่อ การมีผิวหนังบริเวณดังกล่าวดำด้านสาเหตุมักจะเกิดจากการเสียดสีบ่อยๆ เช่น การเท้าโต๊ะ วางแขนในการนั่ง นอน หรือนั่งคุกเข่าบ่อยๆ และบางคนก็อาจมีสาเหตุจากพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิดอีกด้วย ดังนั้นหากเป็นสาเหตุที่พฤติกรรม เช่น การเท้าโต๊ะหรือคุกเข่าบ่อยๆ ก็อาจจะหลีกเลี่ยงการทำสิ่งนั้น เพื่อไม่ให้เกิดการเสียดสีกับบริเวณข้อศอกและเข่าได้ หรือสามารถดูแลได้ตามวิธีดังนี้ · ใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มผลัดเซลล์ผิวช่วย เช่น กลุ่ม AHA BHA ได้แต่ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป เพราะอาจจะเกิดการระคายเคืองหรือผิวอักเสบ ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีสีที่เข้มกว่าเดิมได้ และอีกตัวเลือก คือ พวกกลุ่ม Whitening ก็ช่วยได้เหมือนกัน · อีกวิธีคือการสครับผิวบริเวณข้อศอกและหัวเข่า เพื่อผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป แต่ก็ไม่ควรสครับโดยการขัดและถูแรงๆ จนเกินไป 1 อาทิตย์ใช้แค่ 2-3 ครั้งพอ · ส่วนจะซื้อผลิตภัณฑ์พวกนี้ได้ที่ไหนแล้วไม่เป็นอันตราย สามารถเลือกซื้อได้ตามร้านค้าที่น่าเชื่อถือในห้างสรรพสินค้าทั่วไปได้เลย ใครที่จะใช้พวกครีมผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสม AHA BHA ก็ควรเลือกเน้นสูตรที่อ่อนโยนต่อผิวเป็นหลักได้ยิ่งดี ใครที่ชอบสครับก็เลือกที่เป็นส่วนผสมที่เป็นธรรมชาติ เช่น มะขาม ขมิ้น เป็นต้น นอกจากนี้ ไม่ซื้อตามออนไลน์ที่ไม่น่าเชื่อถือ ยกตัวอย่าง เช่น ร้านที่โฆษณาสินค้าเกินจริง เคลมการเห็นผลไว 3 วัน 7 วัน เห็นผล หรือถ้าจะสั่งออนไลน์จริงๆ ก็ควรสั่งกับ Account official ของร้านค้าเท่านั้น · ที่สำคัญอย่าลืมเช็กรายละเอียดก่อนซื้อ คือ เลขจดแจ้งของ อย. และมีการเขียนส่วนผสมในฉลากให้ชัดเจน มีชื่อผู้ผลิต วันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุให้ครบถ้วน อย่างไรก็ตาม ฉลาดซื้อแนะนำให้ใช้มอยเจอร์ไรส์เซอร์เป็นตัวช่วยร่วมด้วย เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับผิวในส่วนของข้อศอกและหัวเข่า เพราะว่าข้อศอกและหัวเข่าด้านนั้นคงมีอาการแห้งร่วมด้วย การบำรุงผิวด้วยการเติมความชุ่มชื้นประกอบกับผลัดเซลล์ผิวไปด้วยจะช่วยให้ผิวบริเวณนั้นดีขึ้นได้ ทั้งนี้ การเลือกมอยเจอร์ไรส์เซอร์ก็ควรเลือกที่เหมาะกับตัวเอง งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอม พาราเบนหรือแอลกอฮอล์ ถือว่าเป็นการหลีกเลี่ยงการใช้กลุ่มสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองไปด้วย เพราะอย่าลืมว่าบางคนก็มีผิวที่บอบบาง ซึ่งอาจทำให้มีอาการแพ้และผิวบริเวณนั้นมีอาการหนักกว่าเดิมได้ แต่หากใครที่ใช้กลุ่มที่มีน้ำหอมแล้วไม่แพ้ก็สามารถใช้ต่อไปได้ปกติค่ะ กรณีข้อศอก เข่า ดำด้านในผู้ที่มีสาเหตุมาจากฮอร์โมนหรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด ควรปรึกษากับแพทย์ผิวหนังโดยตรง พร้อมทั้งแจ้งข้อมูลให้ละเอียดว่ารักษาหรือใช้ยาอะไรอยู่บ้าง เพื่อให้แพทย์รู้สาเหตุและรักษาได้อย่างตรงจุด ทิ้งท้ายสิ่งที่ต้องระวังที่สุด คือ การหาข้อมูลการรักษาโรคในออนไลน์แล้วมีการให้ใช้ส่วนผสม ต่างๆ (ซึ่งไม่มีการพิสูจน์อย่างเป็นวิชาการ) มาทาที่ผิว บางอย่างถ้าไม่ศึกษาให้ดีก็อาจเป็นอันตรายได้ และจะยิ่งมีผลร้ายทำให้ต้องเสียทั้งสุขภาพและเงินทองจึงต้องระมัดระวังอ้างอิง : https://hellokhunmor.com | ข้อศอกด้าน สาเหตุ การดูแลและการป้องกัน https://th.theasianparent.com | ศอกด้านแค่ไหนก็เอาอยู่! วิธีแก้ข้อศอกด้าน ศอกดำ กู้ศอกคล้ำให้กลับมาขาวเนียน https://youtu.be/uAGnNtlmkM0?si=l_NZXKbjeXoZIrdJ | "แก้หัวเข่าดำ ทำได้ไม่ยาก" คุยกับหมออัจจิมา
ฉลาดซื้อ คิดว่ามีหลายคนที่เจอปัญหาเกี่ยวกับหนังศีรษะ ทั้งรังแค เชื้อรา หรือแม้แต่ปัญหาผมร่วง ซึ่งสาเหตุก็คงมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเกิดจากโรคประจำตัว พันธุกรรมหรืออื่นๆ แต่อย่างหนึ่งที่เราน่าจะรู้กันอยู่แล้วหรือบางคนก็อาจลืมไป ก็คือ พฤติกรรม “การสระผม” ของเรานี้ล่ะที่เป็นสาเหตุ ขั้นตอนสระผมให้สะอาด ป้องกันปัญหาบนหนังศีรษะ · หนังศีรษะของเราโดยปกติมักมีเหงื่อ หรือสิ่งสกปรกต่างๆ สะสมอยู่แล้ว ดังนั้นควรที่จะทำความสะอาดสระผมเป็นประจำ เช่น 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ไม่แนะนำให้สระบ่อยจนเกินไป ทั้งนี้ บางคนที่มีหนังศีรษะที่มันง่าย อาจจะเปลี่ยนเป็นสระวันเว้นวันได้ ขึ้นอยู่ที่สภาพหนังศรีษะของแต่ละบุคคล · สิ่งที่ควรทำก่อนสระผม คือ การล้างผมด้วยน้ำสะอาดก่อนให้ทั่วหัว ไม่ควรใช้น้ำอุ่น ควรใช้แค่น้ำอุณหภูมิปกติทั่วไป หลังจากนั้นบีบแชมพูลงไป แต่พยายามอย่าบีบยาสระผมให้ลงไปที่หนังศีรษะจนเกินไป ส่วนใครที่ใช้ครีมนวดผมก็ควรจะใช้บริเวณกลางหัวถึงปลายผมพอ · ไม่เกาหนังศีรษะเวลาสระผมแรงๆ เพราะอาจเกิดแผลและระคายเคือง ใครที่ชอบเกาแรงๆ เพราะชอบหรือผ่อนคลายก็ควรงดเลย · เมื่อสระผมเสร็จแล้วควรจะมีการเป่าให้แห้ง หากสระผมก่อนนอน อย่านอนในขณะที่ผมยังไม่แห้งเด็ดขาด เพื่อป้องกันหนังศีรษะอับชื้น และไม่เป่าผมด้วยอุณหภูมิที่ร้อนจนเกินไป · การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แชมพูสระผมก็เกี่ยวด้วยเช่นกัน เพราะแต่ละยี่ห้อก็มีส่วนผสมที่แตกต่างกันไป ดังนั้นควรเลือกยาสระผมที่อ่อนโยน ไม่ระคายเคือง หลีกเลี่ยงส่วนผสมพวกพาราเบน พทาเลต ซัลเฟต หรือกลุ่มซิลิโคน สำหรับคนที่มีปัญหาหนังศีรษะ เช่น รังแค ควรเลือกแชมพูสระผมที่เน้นเรื่องการลดปัญหานั้นๆ ที่มีขายอยู่ตามตลาดมากกว่าแชมพูทั่วไป หากไม่หายควรไปพบแพทย์ นอกจากนี้ใครที่มีอาการแพ้ยาสระผมอย่างรุนแรงก็ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษาให้ถูกวิธีเช่นกัน และเชื่อหรือไม่ว่า สิ่งที่หลายๆ คนมองข้ามคือ การใช้ผ้าขนหนูร่วมกับผู้อื่น ทางที่ดีอย่าใช้ร่วมกับคนอื่น และผ้าขนหนูเช็ดตัวกับเช็ดผมก็ควรใช้แยกกันไปไปเลยดีกว่า อุปกรณ์หวีผมก็ดูแลทำความสะอาดให้ดี ไม่ปล่อยให้สิ่งสกปรกหมักหมมไว้นาน อีกเรื่องช่วงนี้เริ่มเข้าสู่หน้าฝนที่ร้อนชื้น อบอ้าว ดังนั้นหลายคนคงพบปัญหาฝนตกจนเปียกไปทั้งตัวกันอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะบริเวณหนังศีรษะที่เมื่อเปียกและปล่อยทิ้งไว้ก็อาจจะทำให้เป็นหวัดหรือเกิดการอับชื้น จนอาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่น เชื้อรา ดังนั้นช่วงหน้าฝนควรดูแลหนังศรีษะเบื้องต้น ซึ่งมาฝากดังนี้ เมื่อหนังศีรษะเปียกฝนควรสระผมทันทีที่ทำได้ เพื่อชะล้างสิ่งสกปรกที่เรามองไม่เห็นที่มาพร้อมกับฝนออก เช่น พวกกลุ่มเชื้อโรค ไวรัสต่างๆ ที่อาจทำให้ไม่สบายเป็นหวัดได้ และควรเป่าให้แห้งสนิท ห้ามนอนในระหว่างที่ผมยังไม่แห้งดี กรณีที่เราไม่สามารถสระผมได้ทันที ก็อาจจะซับผมและเป่าพัดลมให้แห้งไว้ก่อนได้เพื่อขจัดความอับชื้นออกไป ข้อมูลจาก : https://hellokhunmor.com : วิธีสระผมที่ถูกต้อง เพื่อผมแข็งแรงสุขภาพดี ทำอย่างไรhttps://www.si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=1130https://www.springnews.co.th/news/583062https://www.vichaiyut.com/th/health/informations/question-healthy-in-the-rain-wash-the-hair/
ปัจจุบันมีคลินิกเสริมความงามเปิดใหม่มากมาย แถมราคาในการผ่าตัดบางคลินิกก็ถูกแสนถูก ล่อตาล่อใจผู้บริโภคกันสุดๆ แต่ว่าราคาถูกที่ว่านั้น..ถ้าเจอที่ดีก็ถือว่าโชคดีไป เจอไม่ดีก็อาจจะได้หมอเถื่อนมาทำหน้าเราแทน จากหน้าสวยก็จะกลายเป็นหน้าพัง อย่างกระแสข่าวเรื่องจับหมอปลอมตามคลินิกเสริมความงามก็มีมาให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ เต็มโลกออนไลน์ แม้ว่า ฉลาดซื้อ จะรู้อยู่ว่าหลายคนที่ต้องการศัลยกรรมใบหน้าคงรู้กันอยู่แล้วว่าการทำหัตถการประเภทนี้ค่อนข้างเสี่ยง แต่ถ้าความเสี่ยงที่เราเอาไปแลก มันคือความผิดพลาดจากทางคลินิกที่มักง่าย ไม่ได้มาตรฐานมันก็คงไม่คุ้มเสี่ยงใช่ไหม ดังนั้น ฉลาดซื้อ ก็อยากให้ทุกคนที่กำลังตัดสินใจจะไปทำศัลยกรรม ลองมาพิจารณาข้อมูลที่ควรเช็กกันก่อนเข้าใช้บริการคลินิกเสริมความงาม เช็กก่อนศัลยกรรมเพื่อความปลอดภัย · อย่างแรกที่ต้องเช็คเลย คือ การตรวจเช็กใบอนุญาตสถานพยาบาล 11 หลัก อันนี้สำหรับตรวจสอบว่าคลินิกที่ให้บริการเป็นคลินิกเถื่อนหรือไม่ ซึ่งก่อนเข้ารับบริการควรสังเกตว่ามีติดไว้หน้าคลินิกเพื่อให้ผู้ที่เข้ารับบริการนั้น สามารถตรวจเช็กได้อย่างสะดวก เช็กได้ที่ https://hosp.hss.moph.go.th/ หรือ http://privatehospital.hss.moph.go.th · ตรวจสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ โดยต้องมีติดอยู่หน้าที่เข้าบริการอย่างชัดเจน ต้องมีภาพถ่ายของแพทย์ ชื่อ-นามสกุล สาขาและเลขที่ใบอนุญาตของผู้ให้บริการ และสามารถ นำไปเช็กได้ที่ https://checkmd.tmc.or.th/ หรือโทรสอบถามแพทย์สภาโดยตรง · ทำการเช็กภาพถ่ายที่ติดอยู่หน้าห้องกับผู้ที่ทำหัตถการให้ว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่ หากไม่ใช่ ให้หลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำหัตถการด้วย ไม่ต้องเกรงใจคลินิกเพราะเราต้องปลอดภัยไว้ก่อน · เวลาเข้าคลินิกเพื่อทำศัลยกรรมต่างๆ อีกเรื่องที่ต้องระวัง คือ อุปกรณ์ ยา ซิลิโคน ฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ ซึ่งต้องมี อย. รับรอง ยกตัวอย่าง คลินิกถูกกฎหมายส่วนมาก เมื่อทำหัตถการจะเปิดตัวยาให้เราดูอย่างชัดเจนก่อนเริ่มฉีด เมื่อเสร็จก็จะให้กล่องตัวยากลับบ้าน ซึ่งเราควรจะเลือกคลินิกที่เมื่อเราเข้ารับบริการนั้น ทางคลินิกสามารถเปิดข้อมูลตัวยาที่จะฉีดให้เราดูได้อย่างชัดเจน ไม่ปกปิดข้อมูล · หากทำหัตถการที่จะต้องวางยาสลบ คลินิกควรต้องมีวิสัญญีแพทย์อันนี้สำคัญ เผื่อกรณีคนไข้มีอาการแพ้ยาสลบ หรือเหตุฉุกเฉินอื่นๆ ทั้งนี้ ควรมีเครื่องมือและอุปกรณ์รองรับในกรณีฉุกเฉินเพื่อความปลอดภัย · การรับผิดชอบของคลินิกกรณีหากเราเกิดความเสียหายต่อการรักษาของแพทย์ในคลินิก จะมีแนวทางในการชดเชยเยียวยาอย่างไร · คลินิกสะอาดมีสุขอนามัยอนามัยหรือไม่ และก่อนเข้าบริการควรไปสำรวจที่ตั้งของคลินิกที่ต้องการเข้ารับบริการก่อนว่ามีอยู่จริง ทั้งนี้ เราควรที่จะต้องสอบถามแพทย์เพื่อให้ตรวจเช็กความพร้อมของร่างกายเราด้วย และตัวเราเองควรบอกข้อมูลกับแพทย์ให้ครบถ้วน เช่น แพ้ยาอะไร มีโรคประจำตัวอะไร พร้อมกับสอบถามรายละเอียดให้ชัดเจน พยายามอย่าเชื่อรีวิวโฆษณาในโลกออนไลน์หรือโปรโมชันราคาถูกจนเกินไป อีกเรื่องที่ต้องเตือนคือ หมอกระเป๋า แน่นอนว่าไม่มีความปลอดภัย ผู้บริโภคบางคนอาจจะคิดว่าฟิลเลอร์แท้ โบท๊อกซ์แท้ฉีดยังไงก็คงไม่เป็นไร แต่จริงๆ มีความเสี่ยงมาก เพราะใบหน้าของเรามีทั้งเส้นเลือด เส้นประสาทมากมาย ดังนั้นการทำหัตถการควรต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น นอกจากนี้ หากผู้บริโภคพบเจอสถานประกอบพยาบาลเถื่อนเบื้องต้นสามารถร้องเรียนได้ที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) สายด่วน 1426 หรือ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียน สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ โทรศัพท์ 02 5918844 ข้อมูลจาก https://www.hfocus.org/content/2021/10/23328https://ffcthailand.org/case/65https://www.springnews.co.th/blogs/spring-life/819276
มีใครชอบใส่ต่างหูบ้าง ยังปกติดีใช่ไหม ถ้าเกิดผิดปกติหรือมีอาการแพ้ เราจะทำอย่างไรดีนะ เครื่องประดับที่นิยมกันมากๆ ต่างหูติดอันดับแน่นอน แล้วก็ใส่กันหลายแบบหลายวัสดุ อาการแพ้ (ใครไม่เคยแพ้ขอปรบมือให้) สาเหตุหลักก็เกิดจากวัสดุที่นำมาผลิตต่างหู โดยเฉพาะต่างหูราคาไม่แพง ต่างหูแฟชั่นที่ใช้วัสดุพวกโลหะนิกเกิล ซึ่งระคายเคืองผิวหนังได้มากที่สุด หรืออีกสาเหตุก็อาจจะเกิดจากการที่เราไปเจาะต่างหูแล้วทางร้านทำได้ไม่สะอาด ก็ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ ฉลาดซื้อมีวิธีแนะนำสำหรับคนที่อยากเจาะต่างหูครั้งแรก ดังนี้ · หากเราเจาะหูครั้งแรกควรที่จะเลือกร้านที่สะอาด ไว้ใจได้ อาจจะศึกษาหาร้านได้จากการรีวิว อีกอย่างควรจะเลือกร้านที่มีขั้นตอนทำความสะอาดอุปกรณ์ในการเจาะหูฆ่าเชื้อได้เป็นอย่างดี · ทางเลือกหนึ่งที่ปลอดภัยแน่นอน คือ เจาะหูที่โรงพยาบาลกับแพทย์ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่า ร้านธรรมดาตามห้างเคาน์เตอร์ แต่คุณภาพการดูแลและขั้นตอนการเจาะนั้น ปลอดภัยแน่นอน · อาจจะเน้นไปที่ร้านที่ใช้อุปกรณ์ในการทำ 1 ครั้ง/คน และทำการเปลี่ยนใหม่ให้คนต่อไป หากจะใช้ร้านที่ใช้ปืนเจาะหู ก็ควรดูให้ดี เพราะปืนเจาะหูที่ใช้ต้องได้รับการฆ่าเชื้อ เนื่องจากเป็นปืนเจาะอาจไม่ได้ทำการเปลี่ยน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายเช่นติดเชื้อได้ อาการอย่างไรเรียกว่าแพ้ต่างหู หลังจากที่เราเจาะหูเรียบร้อยแล้ว หากเรามีอาการบวมแดงเล็กๆ น้อยๆ ในระยะเวลา 3-6 วัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติ อันนี้ไม่ต้องกังวลใจไป แต่หากว่าถ้าเริ่มผ่านมาหลายวันเกินไป แต่แผลยังไม่แห้งยังมีอาการบวมแดงมากกว่าเดิม พร้อมทั้ง มีอาการ เช่น เลือดออก หนองหรือสะเด็ดแผล ต่างหูติดไปกับแผลที่เจาะ รวมทั้งมีอาการไข้ขึ้นเพิ่มเติมมากกว่า 37 องศาเซลเซียลนั้น ควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินว่าเกิดจากการติดเชื้อหรือไม่ ทำอย่างไร ไม่ให้เสี่ยงติดเชื้อได้ 1. ล้างมือทุกครั้งก่อนเอามือไปสัมผัสบริเวณที่เจาะหู และควรล้างด้วยสบู่ให้สะอาด 2. ไม่นำมือไปจับที่หู หรือหมุนที่ต่างหูบ่อยๆ เพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบได้ 3. ทำความสะอาดรอบที่เจาะหูด้วยการใช้น้ำเกลือ และใช้อุปกรณ์ในการล้างคือสำลี เพื่อเลี่ยงการสัมผัสโดยตรง สุดท้ายนี้ ถ้าเจาะหูมาแล้ว ไม่ควรถอดต่างหูก่อน 6-8 สัปดาห์แรก ควรรอให้แผลแห้งก่อน แต่ในระหว่างนี้ควรทำตามคำแนะนำข้างต้น ข้อ 1-3 ด้วยเพื่อป้องกัน เนื่องจากการถอดต่างหู เข้าๆ ออกๆ ก็เป็นต้นเหตุอีกอย่างหนึ่งให้หูหรือแผลอักเสบได้เช่นกัน ทั้งนี้ คนที่แพ้ต่างหู เช่น พวกโลหะนิกเกิลก่อนเลือกต่างหูตามร้านควรสอบถามร้านค้าเพื่อความแน่ใจ จะได้หลีกเลี่ยงลดความเสี่ยง อีกทางเลือก คือ สวมใส่เฉพาะต่างหูที่เป็นโลหะที่ทำจาก “เครื่องมือทางการแพทย์” แทน ซึ่งต่างหูรูปแบบนี้บางอันอาจจะมีนิกเกิล เจือปนอยู่บ้างเล็กน้อยแต่ยังคงปลอดภัยอยู่ ถ้ายังแพ้อยู่อีกแนะนำให้ใส่ต่างหูไทเทเนียมแทน ที่สำคัญงดการสวมใส่ต่างหูแฟชั่น เนื่องจากต่างหูแฟชั่นนั้นเราจะไม่สามารถรู้ได้ว่ามีสารนิกเกิลมากน้อยแค่ไหนเป็นส่วนประกอบ ดั้งนั้นการหลีกเลี่ยงหรืองดไปเลยดีที่สุด นอกจากแพ้ต่างหูจนติดเชื้อ สิ่งที่ต้องระวังอีกอย่างคือ แผลเป็นคีลอยด์ เพราะอาจจะไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายรุนแรงมากนัก แต่ส่งผลเสียต่อบุคลิกภายนอกและความมั่นใจได้ อีกอย่างแผลเป็นคีลอยด์สามารถขยายให้ใหญ่ขึ้นได้ จนอาจทำให้รูปร่างใบหูของเราผิดแปลกไปจากเดิมได้ อ้างอิง แพ้ต่างหู..น่ากลัว รายการ สามัญประจำบ้าน ep.88 https://youtu.be/9iAWeRKvZ3E เรื่อง เจาะหู เรื่องต้องรู้ก่อนตัดสินใจ https://www.pobpad.com/ เรื่อง เจาะหูเพื่อความปัง ระวังพังเพราะคีลอยด์ https://www.phyathai.com/
ความคิดเห็น (0)