เมื่อมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคต้องประสบวิบากกรรมเพลิงไหม้สำนักงาน ทำให้พวกเราเจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ ต้องกลายเป็นชนเผ่าเร่ร่อนชั่วคราว
สถานที่ทำงานต้องถูกย้ายไปย้ายมา สัมภาระข้าวของที่ต้องแบกขนกันอีรุงตุงนัง ที่สำคัญสายโทรศัพท์พื้นฐานซึ่งเป็นช่องทางรับเรื่องร้องเรียนหลัก เหลือใช้งานเพียงเบอร์เดียวจากที่เคยมีอยู่ 3 เบอร์
ด้วยสภาพที่ทุลักทุเลของศูนย์พิทักษ์สิทธิฯที่ไม่ต่างจากชาวบ้านที่โดนน้ำท่วม ทำให้การทำงานรับเรื่องร้องเรียนของศูนย์พิทักษ์สิทธิฯในปี 2553 มียอดรับเรื่องร้องเรียนที่ไม่ค่อยน่าภูมิใจเท่าไรนักคือนับได้ 796 กรณี(นับแต่เดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน) ซึ่งลดลงไปกว่าครึ่งเมื่อเทียบยอดรับเรื่องร้องเรียนในปี 2552 ที่มีถึง 1,587 ราย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เรื่องร้องเรียนจะผ่านเข้ามาน้อย แต่กระบวนการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยังคงคุณภาพเข้มข้นให้มากที่สุดเท่าที่พวกเราจะมีแรงทำได้ และส่งผลต่อการปกป้องสิทธิของผู้บริโคภที่สำคัญหลายประการ
ภาพรวมเรื่องร้องเรียนปี 2553
ในปี 2553 ปัญหาหนี้สิน การเงิน การธนาคาร ยังคงสร้างความทุกข์ให้กับผู้บริโภคนำมาเป็นอันดับ 1 คิดเป็นร้อยละ 45 ของกลุ่มเรื่องร้องเรียนทั้งหมด ตามมาห่างๆ ด้วยปัญหาบริการสาธารณะ คิดเป็นร้อยละ 14 ปัญหาด้านสื่อและโทรคมนาคม ร้อยละ 11 และที่เกาะกลุ่มตามมาติดๆ คือปัญหาจากการซื้อหรือใช้สินค้าและบริการทั่วไป ปัญหาอสังหาริมทรัพย์
ปัญหาจากการใช้บริการสุขภาพและสาธารณสุข ปัญหาอาหาร ยา เครื่องสำอาง คิดเป็นร้อยละ 8,8,7 และ 3 เรียงตามลำดับ นอกนั้นเป็นเรื่องร้องเรียนอื่นๆที่ไม่ใช่ปัญหาด้านผู้บริโภคอีกร้อยละ 4 แน่นอนว่าปัญหาเรื่องร้องเรียนอันดับต้นๆ ของทุกกลุ่มปัญหาจะเป็นปัญหาผู้บริโภคที่ต้องจับตากันอย่างใกล้ชิดในปี 2554 ปัญหาเหล่านั้นมีเรื่องใดบ้าง เชิญติดตามได้
1. ปัญหาด้านการเงินการธนาคาร
• หนี้บัตรเครดิต ปัญหาอมตะที่ต้องเร่งแก้ไข
ปัญหาหนี้บัตรเครดิต ครองแชมป์เรื่องร้องเรียนอันดับหนึ่งของมูลนิธิฯมาตั้งแต่ปี 2550 สำหรับในปี 2553 เรื่องร้องเรียนหนี้บัตรเครดิตมีทั้งสิ้น 268 กรณี(เฉพาะที่มีการบันทึก) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 74 ของเรื่องร้องเรียนในกลุ่มการเงินการธนาคารที่มีเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 360 กรณี
ลักษณะปัญหาที่มีการร้องเรียนหรือขอคำปรึกษา คือ ใช้บัตรเครดิตในทางไม่เหมาะสม เช่น เบิกถอนเป็นเงินสดเพื่อมาลงทุนประกอบธุรกิจแต่ไม่สามารถสู้กับดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่สูงของบัตรเครดิตได้พยายามช่วยเหลือตนเองจนเกิดหนี้หลายบัตร เพิ่มเป็นหนี้หลายทางทั้งในและนอกระบบ ขาดความรู้ในการจัดการบริหารหนี้สิน และเลือกใช้วิธีหมุนเงินในอนาคตจนสุดสายป่าน ท้ายสุดต้องผิดนัดชำระหนี้ยกแผง เกิดทุกข์ติดตามเป็นกระบวน คือ ถูกติดตามทวงถามหนี้ไม่เป็นธรรม บางรายถูกหักเงินในบัญชีเงินเดือน ถูกฟ้องศาล และถูกบังคับคดี บางครอบครัวถึงกับอยู่ในสภาพล่มสลายโดยมิได้เป็นบุคคลล้มละลาย
แนวทางแก้ไข
• ความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างวินัยการใช้จ่ายและการจัดการบริหารหนี้ ดังนั้น จึงควรมีการส่งเสริมให้ความรู้กับประชาชนในการใช้บริการด้านการเงินการธนาคารอย่างเต็มที่ เช่น การทำบัญชีครัวเรือน เพื่อการบริหารจัดการรายได้ การออม การใช้จ่าย การให้ความรู้ในการขอสินเชื่อตรวจสอบค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ย รวมทั้งการทำธุรกรรมด้านการเงินต่างๆ เป็นต้น
• ให้เร่งออกกฎหมายคุ้มครองประชาชนอย่างเหมาะสม เช่น กฎหมายติดตามทวงถามหนี้ที่เป็นธรรม , กฎหมายบัตรเครดิตที่มีการกำกับดูแลค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ,กฎหมายการแข่งขันด้านการเงิน เป็นต้น
• รัฐควรจัดให้มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็ก
• ควรกำกับผู้ประกอบธุรกิจให้มีวินัยในการปล่อยสินเชื่อ เช่น การให้วงเงินและเพิ่มวงเงินของบัตรเครดิต ควรใช้ข้อมูลเครดิตบูโรมาประกอบการพิจารณา ไม่ใช่ใช้ฐานจากยอดใช้จ่าย ซึ่งอาจเกิดความเสี่ยงทั้งต่อลูกหนี้และผู้ประกอบธุรกิจได้ง่าย เป็นต้น
• การเช่าซื้อรถยนต์และการจองรถ
สองเรื่องนี้เปรียบเหมือนปัญหาคู่แฝดสำหรับคนอยากมีรถแต่ไม่มีเงินสด และเป็นปัญหาลูกพี่ลูกน้องของคนที่มีปัญหาหนี้บัตรเครดิต หรือผิดนัดชำระหนี้กับสถาบันการเงินต่างๆ
การขอสินเชื่อผ่อนรถจากไฟแนนซ์เป็นวิธีการที่ทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสเป็นเจ้าของรถใหม่ป้ายแดงได้สะดวกรวดเร็วมากที่สุดวิธีการหนึ่ง แต่การที่ผู้บริโภคบางรายมีปัญหาทางด้านการเงิน ประวัติเครดิตมีตำหนิ แต่ไม่สามารถสลัดความอยากออกจากจิตใจได้เพราะถูกโฆษณาเล้าโลมจนอ่อนระรวย คนกลุ่มนี้มักตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพที่ใช้ธุรกิจซื้อขายรถยนต์บังหน้าได้ง่ายๆ โดยจะถูกหลอกให้วางเงินจองรถอย่างน้อย 5,000 บาท เพื่อแลกกับการซื้อรถใหม่ราคาถูกกว่าปกติ แถมออฟชั่นเพียบ แต่สุดท้ายมักถูกริบเงินจองในท้ายที่สุด เพราะถูกอ้างว่าขอสินเชื่อจากไฟแนนซ์ไม่ผ่าน
แนวทางแก้ไข
o ให้ผู้บริโภครู้ว่า กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคมีการควบคุมสัญญาการซื้อขายรถที่มีการจองแล้ว
o สัญญาจะซื้อจะขายรถต้องมีรายละเอียดของรถที่ชัดเจน พร้อมกำหนดวันที่คาดว่าจะส่งมอบรถ
o เมื่อรู้ว่าขอสินเชื่อไฟแนนซ์ไม่ผ่าน ให้แจ้งแก่ผู้ขายโดยทันที ให้เป็นลายลักษณ์อักษรดีที่สุด เพราะสัญญาควบคุมกำหนดไว้ว่า เมื่อผู้ขายทราบเรื่องนี้จะต้องคืนเงินจองให้โดยเร็ว ไม่ถือว่าผู้บริโภคเป็นฝ่ายผิดสัญญา
o อย่าซื้อรถกับเต้นท์ขายรถเลื่อนลอย ควรซื้อรถกับผู้ขายที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล
o ถ้าจะซื้อรถกับบุคคลธรรมดา ต้องไม่ซื้อรถกับคนที่ไม่ให้สำเนาบัตรประชาชน
2. ปัญหาด้านบริการสาธารณะ
• รถโดยสารสาธารณะ ยมทูตติดล้อ
ในกลุ่มปัญหาด้านบริการสาธารณะ เกือบครึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ โดยเฉพาะการเกิดอุบัติเหตุจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ในช่วงปี 2553 มียอดผู้ประสบภัยจากรถโดยสารที่ปรากฏเป็นข่าวมากกว่า 2,000 ราย
ในจำนวนนี้ผู้ประสบภัยกว่าครึ่งได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากบริการรถโดยสารปรับอากาศประจำทาง สาเหตุสำคัญมาจากระบบการบริการที่ขาดคุณภาพมาตรฐาน ทั้งคุณภาพของรถและคุณภาพของคนขับ
ที่มาของปัญหา : รถโดยสารสาธารณะกลุ่มใหญ่เป็นรถร่วมบริการของภาคเอกชน ขาดการอุดหนุน ส่งเสริมด้านความรู้และเงินทุนจากรัฐ ทำให้ไม่สามารถยกระดับคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัยได้อย่างเป็นระบบ การบังคับใช้กฎหมายไม่เข้มแข็งและขาดความชัดเจน การประกันภัยภาคบังคับเน้นการเยียวยาด้านชีวิตและร่างกาย ส่วนประกันภัยภาคสมัครใจเน้นใช้หลักฐานานุรูป หรือความยากดีมีจนเป็นเกณฑ์การพิจารณาเยียวยาความเสียหาย ระบบประกันภัยทั้งสองแบบยังให้ความสำคัญในสิทธิของผู้ใช้บริการรถโดยสารด้านอื่นๆในระดับที่น้อยมาก
แนวทางแก้ไข
• ให้รัฐประกาศรับรองสิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ และมีเกณฑ์ในการเยียวยาความเสียหายเบื้องต้นที่ชัดเจน และไม่ตัดสิทธิในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติม รวมทั้งให้มีบทกำหนดโทษหากมีการละเมิดสิทธิผู้โดยสาร
• ให้จัดตั้งกองทุนคุ้มครองสิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะขึ้น ภายใต้ พ.ร.บ.การขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ทำหน้าที่คุ้มครองสิทธิของผู้โดยสาร ส่งเสริมอุดหนุนแก่ผู้ประกอบการที่มีประวัติการให้บริการที่ดีโดยอาจเป็นแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และเป็นทุนในการพัฒนาองค์ความรู้สู่บริการรถโดยสารที่มีคุณภาพและปลอดภัยอย่างต่อเนื่องทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาการผลักภาระของผู้ประกอบการมาสู่ผู้บริโภค และไม่ให้เป็นภาระกับรัฐบาลมากจนเกินไป
• แหล่งที่มากองทุน ให้พิจารณาจากเงินรายได้ที่ได้รับจากภาษีรถยนต์ส่วนบุคคล ค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล เงินค่าปรับ เงินสนับสนุนจากรัฐบาลโดยตรง เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นต้น
3. ปัญหาด้านสินค้าและบริการทั่วไป
• รถยนต์ไม่ได้คุณภาพ และรถยนต์ซื้อใหม่ ใช้ไปซ่อมไป
ปัญหาในกลุ่มรถยนต์ เป็นเรื่องร้องเรียนหลักในด้านสินค้าและบริการทั่วไปที่เข้ามาที่มูลนิธิฯเกือบจะทุกยี่ห้อดัง
ปัญหามีหลายลักษณะ ตัวอย่างปัญหาในกลุ่มรถใหม่ เช่น รถติดก๊าซเอ็นจีวีจากโรงงานระบบทำงานไม่สมบูรณ์ ซื้อรถใหม่ป้ายแดงแต่มีปัญหาจุกจิกเกิดขึ้นตลอด ทำให้เกิดข้อเรียกร้องขอเปลี่ยนรถใหม่แต่ถูกผู้ประกอบธุรกิจปฏิเสธ
แนวทางแก้ไข
• ในกรณีที่พบว่ารถเกิดปัญหาชำรุดบกพร่อง ผู้บริโภคควรให้ผู้ประกอบธุรกิจทำการซ่อมแก้ไขก่อน และให้เก็บหลักฐานการซ่อมนั้นไว้ทุกครั้ง โดยผู้บริโภคมีสิทธิที่จะเรียกค่าเสียหายในค่าขาดโอกาสในการใช้รถยนต์ หรือขอให้มีรถใช้ระหว่างซ่อมได้
• เมื่อให้โอกาสผู้ประกอบธุรกิจทำการซ่อมแก้ไขแล้วหลายครั้ง แต่ยังเกิดปัญหาเดิมขึ้นมาอีก หรือเกิดปัญหาใหม่ต่อเนื่อง ผู้บริโภคควรใช้สิทธิฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคเรียกค่าเสียหายหรือขอเปลี่ยนรถได้
• แนวทางนี้ใช้สำหรับกรณีรถยนต์ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานเช่นกัน
ฉบับนี้คงรายงานได้เพียงแค่นี้ ติดตามเรื่อง สื่อและโทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์ ปัญหาบริการด้านสุขภาพ อาหารและยา ได้ในฉบับหน้า ครับ
แหล่งข้อมูล: กองบรรณาธิการ
เรื่องเกี่ยวข้อง: นิตยสารออนไลน์ รายงาน ปัญหา ผู้บริโภค
ปัจจุบันในโลกออนไลน์มีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์อาหารเสริมขายอย่างมากมาย พร้อมทั้งมีคำโฆษณาแบบเกินจริงของสรรพคุณที่นำมาหลอกล่อและกระตุ้นให้ผู้บริโภคอย่างเราซื้อสินค้า โดยที่ผู้ซื้อหลายคนก็คงไม่ทราบเลยว่า “ผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาสรรพคุณเกินจริงเหล่านั้น จะสามารถช่วยได้จริงอย่างที่โฆษณาไหม และมีผลอันตรายอะไรไหมหากเรากินเข้าไป” และยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริโภคหลายคนมักเลือกที่จะกินอาหารเสริมมากกว่าที่จะไปพบแพทย์เพื่อหาวิธีรักษาที่ถูกต้อง เหมือนเรื่องราวของคุณเอก ที่มาร้องเรียนกับทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โดยเรื่องราวมีอยู่ว่าคุณเอกซึ่งมีอายุมากแล้ว มีอาการปวดข้อเข่ามาก วันหนึ่งเผอิญไปเห็นโฆษณาในเฟซบุ๊ก เป็นอาหารเสริม “เม็ดฟู่” มีชื่อขึ้นต้นด้วยตัว “B” มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดข้อเข่า พร้อมทั้งในเฟซบุ๊กที่ขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมตัวนี้นั้น มีรูปนายแพทย์ท่านหนึ่งโปรโมทอยู่เลยทำให้คุณเอกนั้น รู้สึกมั่นใจและเชื่อที่จะซื้ออาหารเสริมตัวนั้นเป็นจำนวน 3 หลอด แถมอีก 1 หลอด เป็นเงิน 3,490 บาท เมื่อเขาได้อาหารเสริมมารับประทานได้ 2 วัน ก็มีคุณพลอยซึ่งอ้างว่าเป็นพยาบาลโทรมาสอบถามถึงผลลัพธ์ของยา ต่อมาอีก 3-4 วัน ปรากฏว่าอาการของคุณเอกนั้นไม่ดีขึ้นเลยกลับมีผลข้างเคียง คือ ปัสสาวะบ่อยขึ้น 5-6 ครั้ง/คืน ซึ่งทางคุณเอกก็ได้บอกว่าเขารู้สึกว่ามันรบกวนเวลานอนพักผ่อนของเขาเป็นอย่างมาก เขาจึงพยายามที่จะติดต่อนายแพทย์ท่านนั้น ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ซึ่งเมื่อเขาติดต่อนายแพทย์ท่านนั้นไม่ได้ก็เลยติดต่อคุณพลอยที่อ้างว่าเป็นพยาบาลและได้บอกกล่าวถึงอาการปัสสาวะบ่อยของเขา ทางพยาบาลคุณพลอยก็บอกว่ายอมรับว่าผลข้างเคียงคืออาการปัสสาวะบ่อย...อ้าวตอนขายไม่เห็นบอก และเธอบอกว่าจะแจ้งให้นายแพทย์ท่านนั้นทราบอีกครั้ง คุณเอกนึกสงสัยเลยถามถึงที่อยู่ของนายแพทย์ท่านนั้นและนำไปเช็กกับทางนิติบุคคลสถานที่ที่ได้ข้อมูลจากคุณพลอย แต่พบว่าไม่มีชื่อดังกล่าวอยู่ที่ตึกแห่งนั้นประกอบกับข้อมูลเดิมที่ทางคุณเอกไปเช็กว่าไม่ได้มีบุคคลดังกล่าวอยู่ในทำเนียบแพทย์สภาอีกด้วย ทำให้คุณเอกคิดได้ว่าเขาคงถูกหลอกลวงแน่ๆ พร้อมทั้งเมื่อลองดูทั้งผลิตภัณฑ์ก็พบว่าไม่มีเครื่องหมาย อย. และไม่มีเอกสารกำกับอะไรเลย ทางคุณเอกแน่ใจล่ะว่าโดนหลอกแน่นอน จึงได้ร้องเรียนมาทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคควรจะทำอะไรอย่างไรดี แนวทางการแก้ไขปัญหา เบื้องต้นทางคุณเอกได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจแล้ว พร้อมทั้งทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคยังออกหนังสือไปถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) และกองบังคับการปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ให้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคอยากให้ผู้บริโภคหลายๆ คน ลองศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆ ทางออนไลน์ สังเกตว่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่กำลังจะซื้อ หรือมาแล้วนั้นมีเครื่องหมาย อย. หรือไม่ หากไม่มีก็ควรหลีกเลี่ยงที่จะรับประทาน นอกจากนี้ ถ้ามีการอ้างถึงบุคลากรทางการแพทย์ก็ควรตรวจสอบก่อนที่จะซื้อว่าในแพทย์สภา มีบุคคลดังกล่าวจริงหรือไม่ โดยส่วนมากอาหารเสริมหลอกลวงต่างๆ มักจะมีโฆษณาที่เกินจริงหายได้ภายในไม่กี่วันหรือในระยะเวลาสั้นๆ หากใครที่เห็นแบบนี้ก็ควรจะระมัดระวังและไม่หลงเชื่อโดยง่ายเพื่อความปลอดภัย
ภัยออนไลน์เดี๋ยวนี้มีมาสารพัดรูปแบบ หากไม่ระมัดระวัง อาจตกเป็นเหยื่อของพวกมิจฉาชีพได้ โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ให้ลูกเล็กใช้มือถือดูการ์ตูนหรือเล่นเกมต่างๆ เด็กๆ อาจเผลอกดลิงก์อันตรายที่เด้งขึ้นมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เหมือนอย่างลูกชายของคุณขวัญใจก็ได้ คุณขวัญใจเล่าว่า วันหนึ่งลูกชายวัย 2 ขวบ หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอไปเล่น แล้วบังเอิญไปจิ้มกดโหลดแอปฯ เงินกู้เงินด่วนฟ้าผ่า ผ่านลิงก์จากโฆษณาในยูทูป หลังจากนั้นเธอก็โดนแอปฯ นี้ ดูดเอาข้อมูลส่วนตัวทุกอย่างในมือถือไปใช้ โดยพวกมิจฉาชีพได้โทรไปหลอกทุกคนที่มีรายชื่อในคลังเบอร์โทรศัพท์ของเธอว่า เธอได้กู้เงินจากแอปฯไปแล้วไม่ชำระคืน และยังพูดข่มขู่ให้พวกเขาจ่ายเงินคืนแทนเธอด้วย อีกทั้งยังนำรูปของเธอที่อยู่ในโทรศัพท์ไปโพสต์ประจานตามสื่อต่างๆ ทำให้เกิดความเสียหายมาก จนเธอต้องถูกไล่ออกจากงาน คุณขวัญใจจึงได้นำเรื่องนี้มาร้องเรียนกับทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนวทางแก้ไขปัญหา ในกรณีนี้คุณขวัญใจยังไม่สูญเสียเงินให้แก่มิจฉาชีพแต่อย่างใด ทางมูลนิธิฯ จึงแนะนำดังนี้ 1. รีบดำเนินการแจ้งความเพื่อดำเนินคดี ให้พนักงานสอบสวน ตำรวจ สืบหาผู้กระทำความผิด หรือมิจฉาชีพ หรือคนร้ายดังกล่าว ในการหลอกดูดข้อมูลคลังเบอร์โทรศัพท์ที่มีอยู่ในมือถือไปใช้ 2. รีบติดต่อทางไลน์ หรือทางเฟซบุ๊ก หรือโทรติดต่อกับทุกรายชื่อที่มีเบอร์บันทึกไว้ในมือถือ เพื่อแจ้งให้พวกเขารู้ว่า ตอนนี้มือถือของตัวเองถูกดูดข้อมูลไป ถ้ามีคนร้ายหรือมิจฉาชีพโทรไปขอให้โอนเงินมาใช้หนี้แทนตน อย่าหลงเชื่อเด็ดขาด
การเจอสิ่งแปลกปลอมในอาหารเป็นเรื่องที่เจอกันบ่อยครั้ง เมื่อพบเจอจึงยิ่งต้องช่วยกันบอกเล่า เพื่อทำให้สังคมเราดีขึ้น เช่นเรื่องราวของคุณคิม เรื่องราวเริ่มเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคม ทุกวันศุกร์ คุณคิมจะไปซื้อของกินของใช้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านแห่งหนึ่งเสมอ และอาหารที่ซื้อเป็นประจำคือซีเรียล เพื่อรับประทานเป็นอาหารเช้ากับกาแฟ เช้าวันต่อมา คุณคิมแกะซีเรียลยี่ห้อ ‘ซ’ กินเพียงคำแรกก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติที่ซีเรียลไม่กรอบเหมือนเช่นเคย คุณคิมจึงกินอีกคำต่อมา ช้าๆ แล้วยิ่งแน่ใจว่าซีเรียลไม่กรอบจริงๆ คุณคิมจึงหยุดกินและเทซีเรียลจากห่อลงในชามทั้งหมด เขี่ยๆ ดูพบก้อนดำๆ ขนาดใหญ่บนซีเรียลชิ้นหนึ่ง และจุดดำๆ กระจายคล้ายเชื้อราในอีกชิ้น คุณคิมเป็นคนรักสุขภาพมาก มักจะอาหารเป็นพิษเสมอๆ จึงระมัดระวังเรื่องอาหารเป็นพิเศษอยู่แล้ว เมื่อมาเจออาหารเป็นแบบนี้ คุณคิมจึงตกใจมาก คุณคิมดูวัน เดือน ปี ที่ผลิต พบว่ายังไม่หมดอายุคุณคิมก็เบาใจ แต่ยังเธอยังคงติดใจ กังวล เพราะซีเรียลยี่ห้อดังกล่าว เป็นยี่ห้อที่เธอรับประทานเป็นประจำทุกเช้า หากยังติดใจ คลายสงสัยไม่ได้ ทุกครั้งที่เธอรับประทานซีเรียลยี่ห้อนี้ในวันต่อไป เธอก็จะกังวลกลับมาคิดถึงก้อนดำๆ นี้ทุกครั้ง คุณคิมจึงไม่ปล่อยผ่านเข้ามาร้องเรียนที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนวทางการแก้ไขปัญหา มูลนิธิฯ รับเรื่องร้องเรียนไว้และให้คุณคิม ทำบันทึกรายละเอียดการซื้อผลิตภัณฑ์ ปัญหาที่พบและแนะนำให้แจ้งความไว้เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันความเสียหาย นอกจากนี้ คุณคิมคิดว่าซูเปอร์มาร์เก็ตที่จำหน่ายสินค้านี้ก็ควรจะได้รับรู้ปัญหาด้วยเช่นกัน เย็นวันเดียวกันหลังจากร้องเรียนที่มูลนิธิฯ แล้ว เธอจึงกลับไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตแจ้งปัญหาที่พบทันที ซูเปอร์มาร์เก็ตดังกล่าว ตื่นตัวมากหลังจากคุณคิมแจ้งเรื่องแล้ว ก็ติดต่อไปยังบริษัทที่เป็นตัวแทนจำหน่ายซีเรียลโดยตรง และคุณคิมได้พูดคุยกับฝ่ายรับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคของบริษัทซึ่งได้แจ้งให้คุณคิมนำสินค้ามาเปลี่ยน หรือขอรับเงินคืน ซึ่งคุณคิมไม่พอใจ เพราะสำหรับเธอแล้ว เธอไม่ได้อยากได้เงิน 40 กว่าบาทคืน แต่ในฐานะผู้บริโภค เธอเป็นห่วงสุขภาพตัวเอง เธออยากได้ความสบายใจ วางใจในความปลอดภัยทุกครั้งที่รับประทานอาหาร เธอจึงไม่รับข้อเสนอของเจ้าหน้าที่และแจ้งข้อเสนอของเธอ 2 ข้อคือ 1. ให้บริษัทพาเธอไปตรวจร่างกาย เพราะวันที่รับประทานซีเรียลที่มีปัญหา วันนั้นร่างกายของเธอแปรปรวนอย่างมาก ท้องเสียถึง 2 ครั้ง 2. ให้นำซีเรียลชิ้นที่พบก้อนดำ และจุดดำๆ คล้ายเชื้อรา ไปตรวจในห้องแล็บที่เชื่อถือได้ และแจ้งผลว่าคืออะไร วันต่อมาผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ก็โทรมาหาคุณคิมและขอโทษด้วยดีและให้คุณคิมเลือกโรงพยาบาลที่สบายใจที่สุดเพื่อไปตรวจสุขภาพ และบริษัทจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการตรวจทั้งหมด เย็นวันนั้นเองคุณคิมจึงเลือกโรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านและไปตรวจสุขภาพกับตัวแทนของบริษัท ซึ่งคุณหมอได้แจ้งคุณคิมว่าร่างกายของเธอปกติดี และคุณคิมรับประทานซีเรียลที่มีปัญหาในปริมาณไม่มาก จึงไม่มีผลเป็นอันตรายต่อสุขภาพ คุณคิมให้คุณหมอยืนยันความเห็นเป็นหนังสือ รับรองไว้เพื่อเป็นหลักฐานทางการแพทย์ บริษัทจ่ายค่าตรวจสุขภาพให้คุณคิมราว 1,200 บาท ส่วนตัวอย่างซีเรียลชิ้นที่มีปัญหา บริษัทได้ส่งตรวจแล็บที่เชื่อถือได้ตามข้อเสนอของคุณคิมทุกประการ วันที่ตรวจสุขภาพ ตัวแทนของบริษัทแจ้งว่า วันรุ่งขึ้นจะส่งกระเช้าของขวัญไปขอโทษคุณคิมอีกครั้ง คุณคิมจึงนัดหมายบริษัทมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ชี้แจงกับตัวแทนของบริษัทว่า กรณีผู้บริโภคได้รับความเสียหาย ไม่ปลอดภัยจากอาหาร มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชย เยียวยาจากบริษัทได้ คุณคิมจึงตกลงกับศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เรียกร้องค่าเสียหาย 5,000 บาท ตัวแทนของบริษัทนำเรื่องกลับไปหารือกับฝ่ายกฎหมายของบริษัทระหว่างนี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ติอต่อประสานกับบริษัทยืนยันถึงสิทธิของผู้บริโภคที่สามารถได้รับการเยียวยา และภายใน 1 สัปดาห์ คุณคิมก็ได้รับเงินดังกล่าวเต็มจำนวนที่เรียกไป ใน 1 เดือนต่อมา บริษัทได้แจ้งผลการตรวจสอบจากในห้องแล็บมายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและคุณคิมผลการตรวจพบว่า ก้อนดำที่พบเป็นชิ้นส่วนที่เกิดจากการไหม้จากการอบซีเรียล ไม่ใช่เชื้อราแต่อย่างใด คุณคิมได้คำตอบที่คลายความกังวลใจ และภูมิใจที่การใช้สิทธิผู้บริโภคของเธอได้รับการตอบสนองด้วยดี
ข้อมูลจาก "กรมการขนส่งทางบก" ระบุว่า ป้ายแดงที่ถูกกฎหมายนั้นไม่มีขาย แต่มีอยู่ในความครอบครองของบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถที่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งมีไว้ใช้ติดรถเพื่อนำรถไปส่งให้ลูกค้า หรือนำรถไปซ่อมแซมเท่านั้น โดยต้องใช้ควบคู่กับสมุดคู่มือประจำรถด้วย ดังนั้น ถ้าใครซื้อรถใหม่ติดป้ายแดงมาแล้วไม่มีสมุดคู่มือประจำรถมาด้วย ไม่ว่าเซลล์จะอ้างอย่างไร ก็อย่าเพิ่งรับรถ ไม่อย่างนั้นอาจเสี่ยงเกิดความเสียหายอย่างคุณนพได้ ย้อนไปเมื่อกรกฎาคม 2565 คุณนพตั้งใจจะซื้อรถกระบะแบบมีคอกเอาไปใช้ขนส่งมะพร้าวแห้ง ได้เช็กโปรโมชั่นของหลายๆ ยี่ห้อ จนไปสะดุดตาโฆษณาบนเฟซบุ๊กที่เขียนว่า รีโวกระบะแต่งคอก รับรถเพียง 9,000 จึงโทร.ติดต่อไปคุยกับผู้จัดการศูนย์รถยนต์แห่งหนึ่งย่านตลิ่งชัน ทางผู้จัดการก็ได้ส่งให้คุยกับทางเซลล์ต่อ โดยเซลล์ขอให้แอดไลน์ส่วนตัวเพื่อส่งรูปภาพรถตัวอย่างมาให้ดู เมื่อได้คุยไลน์กับเซลล์เกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ เขาก็ประทับใจที่เซลล์คนนี้ดูมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจความต้องการของลูกค้าดี และสรุปราคาทุกข้อตกลงกันเป็นที่น่าพอใจ เขาจึงเข้าไปที่โชว์รูม พอได้ทดลองขับรถจริงแล้วก็ยิ่งถูกใจ จึงตัดสินใจซื้อและได้นัดทำสัญญากับไฟแนนซ์เลย ต่อมาในวันที่ 21 สิงหาคม คุณนพไปรับรถที่ศูนย์ เซลล์ถามว่าจะให้ติดป้ายแดงเลยไหม เขาบอกให้ติดได้เลยและขอสมุดเล่มป้ายแดงด้วย แต่ทางเซลล์แจ้งว่ายังไม่มี เนื่องจากทางขนส่งทำไม่ทันเพราะติดโควิด และรับปากว่าถ้าเสร็จแล้วจะรีบส่งให้ โดยเซลล์ได้ให้ความมั่นใจว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นให้โทร.หาได้ตลอด ในวันนั้นคุณนพจึงขับรถกระบะป้ายแดงกลับบ้านโดยไม่ได้เอะใจอะไร แต่ขับรถป้ายแดงคันนี้ได้ไม่ถึงเดือน เขาก็โดนตำรวจจับข้อหาใช้ป้ายทะเบียนปลอม วันนั้นระหว่างที่เขาขับรถกลับจากต่างจังหวัดเพื่อมายังที่พัก โดยใช้เส้นทางบูรพาวิถี กม.6 ต. บางแก้ว อ. บางพลี จ. สมุทรปราการ ขณะที่กำลังเข้าช่องผ่านเงินเก็บค่าผ่านทาง ตำรวจโบกเรียกระหว่างออกจากช่องจ่ายเงิน และขอดูใบขับขี่ เขาจึงหยิบให้ดู แต่พอตำรวจขอดูสมุดคู่กับป้ายแดง เขาบอกไปว่าไม่มีเพราะเซลล์ไม่ได้ให้มา ตำรวจจึงให้ชิดช่องทางและเดินดูรถโดยรอบก่อนจะแจ้งว่าเขาใช้ป้ายทะเบียนปลอม พร้อมแจ้งข้อหาจับกุมในฐานปลอมแปลงเอกสารทางราชการ จากนั้นตำรวจก็ขับรถพาเขาไปที่จุดพักรถบนทางด่วน ถอดป้ายทะเบียนออกมาเป็นของกลาง เขียนบันทึกการจับกุมและอ่านให้เขาฟัง แล้วพาไปสอบสวนต่อที่พอสถานีตำรวจภูธรบางแก้ว เขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาของตำรวจและได้โทร.หาเซลล์ให้รีบมาประกันตัวเขา ระหว่างนั้นเขาต้องเข้าไปนั่งในห้องขังประมาณ 3-4 ชั่วโมง กว่าเซลล์จะมาถึงและทำเรื่องประกันตัวจำนวน 50,000 บาท แล้วตำรวจยังบอกให้รอเรื่องที่กำลังส่งป้ายทะเบียนไปที่กรมการขนส่งทางบกเพื่อให้ตรวจสอบว่าจริงหรือปลอมด้วย ถ้าปลอมก็จะได้ทำสำนวนฟ้องศาลต่อไป คุณนพคิดว่าเขาไม่ได้เป็นคนผิด แต่ทางเซลล์ของโชว์รูมรถยนต์ต่างหากที่เป็นคนเอาทะเบียนปลอมมาติดให้ ทำให้เขาได้รับความเสียหาย จึงได้นำเรื่องมาร้องเรียนที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคแนวทางแก้ไขปัญหา ในกรณีนี้เกี่ยวข้องทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา ทางมูลนิธิฯ แนะนำให้คุณนพไปแจ้งความที่สถานีตำรวจตลิ่งชัน เกี่ยวกับป้ายทะเบียน ซึ่งทางศูนย์รถยนต์เป็นผู้ที่ให้มาไม่ใช่เป็นของคุณนพ ซึ่งการแจ้งความถือเป็นการหาพยาน ก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เป็นการกล่าวหา เพราะถ้าโกหกก็ถือว่าแจ้งความเท็จ คดีแพ่ง –คุณนพเรียกค่าเสียหายจากบริษัทรถยนต์ โดยการนัดเจรจาไกล่เกลี่ยกัน แต่หากตกลงกันไม่ได้ ผู้ร้องก็ยังสามารถฟ้องศาลเป็นคดีผู้บริโภคได้ ซึ่งในเคสนี้ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ทำหนังสือไปถึงกรรมการผู้จัดการของบริษัทรถยนต์ เพื่อให้เร่งเยียวยาค่าเสียหายให้กับทางผู้ร้องเรียบร้อยแล้ว (จากนั้นมีการนัดเจรจาไกล่เกลี่ยกันหลายครั้ง และคุณนพได้เล่าเรื่องนี้ออกสื่อต่างๆ จนได้รับความสนใจ ในที่สุดคู่กรณีก็ตกลงกันได้แล้วเมื่อธันวาคม 2565) คดีอาญา – คุณนพถูกตำรวจตั้งข้อหาใช้ทะเบียนรถปลอม เข้าข่ายกรณีใช้เอกสารทางราชการปลอม เมื่อถึงศาลผู้ร้องจะต้องมีเงินวางประกัน เป็นจำนวนประมาณ 60,000 บาท แต่ถ้าไม่มีเงินประกันผู้ร้องจะต้องไปที่ศาลตรงชั้น 1 จะมีการซื้อประกันอิสรภาพ ซึ่งจะมีตัวแทนของประกันเช่น วิริยะประกันภัย ทิพยประกันภัย ช่วยในส่วนนี้ ซึ่งจะต้องเสียเงินประมาณไม่เกิน 20,000 บาท แต่ต้องมีบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ญาติมาเป็นคนค้ำประกันด้วย ซึ่งในส่วนของผู้ค้ำประกันนั้นบุคคลธรรมดาจะต้องมีตำแหน่งซี 3 ขึ้นไป และถ้าเป็นตำรวจจะต้องเป็นชั้นสัญญาบัตร และผู้ร้องต้องนำเอกสารต่าง ๆ เช่น สลิปเงินเดือนไปแสดงด้วย (ในคดีนี้ ทางอัยการจังหวัดสมุทรปราการได้เข้ามาช่วยเหลือเพื่อไม่ให้มีการสั่งฟ้อง)
ความคิดเห็น (0)