ฉบับที่ 110 เกือบตายเพราะถุงลมนิรภัยไม่ทำงาน

จะเป็นอย่างไรหากคุณตัดสินใจซื้อรถยนต์คันหนึ่งด้วยเล็งเห็นถึงความปลอดภัย แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นถึงได้รู้ว่ารถยนต์ที่คิดว่าปลอดภัย มีถุงลมนิรภัย จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ก็หาเป็นดังที่หวัง อย่างกรณีของ จิรพงษ์ ชูชาติวงศ์ และพรศรี ชูชาติวงศ์ 2 สามีภรรยา ที่เกิดอุบัติเหตุรถที่ขับมาพุ่งชนเข้ากับรถยนต์คันที่สวนมาระหว่างทาง แต่ปรากฏว่าถุงลมนิรภัยไม่ทำงาน ทางบริษัทให้เหตุผลว่า ชนไม่ถูกจุด ถุงลมจึงไม่ทำงาน เรื่องนี้จะเป็นอย่างไร ฉลาดซื้อจะพาคุณผู้อ่านไปคุยกับคู่ชีวิตที่รอดจากมัจจุราชได้อย่างหวุดหวิด ชนไม่ถูกจุด ถุงลมไม่ทำงาน“ช่างเทคนิค เขาบอกเจ๊ว่าชนครั้งแรกเข็มขัดมันรัดไว้แล้ว ชนซ้ำอีกถุงลมนิรภัยจะออก เจ๊ก็บอกว่าน้องอย่าพูดอย่างนี้ ถ้าชนซ้ำเจ๊ไม่ตายซะก่อนเหรอ” พรศรี บอกเล่าถึงคำพูดของช่างเทคนิคของบริษัทที่อธิบายกับเธอและสามีถึงเหตุที่ถุงลมนิรภัยไม่ทำงาน เมื่อเธอมาทวงถามว่าเหตุใดหนอถุงลมนิรภัยในรถคันที่เธอซื้อมาไม่โผล่ออกมาช่วยลดแรงปะทะไม่ให้ได้รับบาดเจ็บมากกว่าที่เป็นอยู่นี้เมื่อครั้งเธอและสามีเกิดอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2552 เช้าตรู่ของวันนั้นเธอและสามีเดินทางไปทำธุระต่างจังหวัด โดยใช้เส้นทางถนนดอยสะเก็ด-เชียงราย ผ่านทางโค้งหลายโค้ง แล้วรถยนต์ของเธอและสามี(คนขับ) ขณะกำลังวิ่งขึ้นเขาด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็พุ่งชนกับรถยนต์อีกคันที่วิ่งสวนลงมาเข้าอย่างจัง ส่งผลให้รถยนต์โตโยต้า คัมรี่ สีขาวไข่มุก ที่ซื้อมาราคา 1,528,000 บาท เมื่อปี 2545 ของเธอและสามีถึงกับกันชนส่วนหน้า คานหน้า หน้ากระจัง หม้อน้ำ บังโคลนซ้าย-ขวา และฝากระโปรงรถยนต์ เสียหายอย่างหนัก เธอและสามีเป็นอย่างไรบ้างนะหรือ เดชะบุญที่เธอและสามีคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งที่นั่งรถ แต่แรงปะทะก็ทำให้เธอบาดเจ็บสาหัสบริเวณหน้าอก กลางหลังและต้นคอ กระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่ 11 หักและแตกละเอียด สามีเธอก็บาดเจ็บไม่แพ้กันเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณหน้าอกและกลางหลัง กระดูกสันหลังยุบ 1 ข้อ อีกทั้งซี่โครงร้าว ทั้งสองต้องรักษาตัวอยู่นานถึง 6 เดือน จนปัจจุบันถึงแม้จะผ่านไปปีกว่าแล้วแต่อาการเสียวๆ ที่กระดูกของเธอ และความหวาดระแวงที่ขึ้นรถก็ยังมีอยู่ การงานที่เคยทำได้ก็แทบไม่ได้ทำทั้งสวนลำไย งานรับจ้างทำรองเท้าผ้าฝ้ายส่งประเทศญี่ปุ่น ขายผ้าฝ้ายและผ้าชาวเขาที่ทำให้เธอมีรายได้เดือนละ 150,000 บาท ก็มีอันต้องเลิกรา “น้องคนนั้นก็บอกว่าจะให้ความช่วยเหลืออะไรบ้าง เจ๊ก็บอกว่าเสนอให้ซ่อมรถให้เจ๊ถูกหน่อยหรือซ่อมรถให้เจ๊ฟรีก็ได้ เจ๊จะไม่เอาเรื่องที่ถุงลมไม่ทำงาน แค่นี้ก็พอใจแล้ว เขาก็ไม่ยอม เขาให้รอไปก่อน แล้วเขาจะติดต่อที่กรุงเทพฯให้ทางบริษัทติดต่อเราโดยตรงเลย จากนั้นประมาณ 1 เดือนเจ๊ก็โทรไปตามตลอด เกือบ 2 เดือน ช่างเทคนิคที่ กทม.ก็มาบอกให้เจ๊ไปฟัง” ก่อนจะได้พูดคุยกับตัวแทนจากบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด “เจ๊ได้ยินช่างเทคนิคเขาบอกกับพนักงานข้างๆ ว่าถุงลมนิรภัยไม่ออกดีแล้ว ถ้าออกค่าซ่อมเป็นแสนนะ คล้ายๆ ให้เจ๊ดีใจว่าถุงลมนิรภัยเจ๊ไม่ออกนี่ประหยัดค่าซ่อม เจ๊ก็เลยเอ๊ะขนาดค่าซ่อมยังเป็นแสน แล้วซื้อใหม่นี่บวกเข้าไปกี่แสนก็ไม่รู้ แต่ถึงเวลาฉุกเฉิน เกือบจะเอาชีวิตแลก ถุงลมนิรภัยมันไม่ออกมาป้องกันเราแล้วเอามาทำไม มันไม่เป็นไปตามที่โฆษณาเลย เจ๊ก็เลยยิ่งรู้สึกว่าช้ำใจ แล้วยิ่งได้คำตอบว่ารถไม่บกพร่องสักอย่าง เพราะมันชนแรงไม่พอ และชนไม่ถูกที่ เจ๊ก็เลยว่าอย่างนี้ไม่ได้ ขนาดแรงสั่นสะเทือน กระดูกข้อที่สิบเอ็ดที่เจ๊เอกซเรย์ออกมานี่มันจะแตกสลาย หมอบอกว่าเจ๊กล้ามเนื้อแข็งแรง กระดูกเลยไม่ยุบลงไป ถ้ายุบลงไป ต้องมาผ่าตัด มาจัดกระดูกใหม่ ถ้าโดนเส้นเอ็นต้องนั่งรถเข็นตลอดชีวิต ถ้าผ่าตัดสำเร็จก็โชคดีไป แต่ยังดีกล้ามเนื้อเจ๊แข็งแรงมันก็เลยประคองไว้ไม่ยุบลงไป เจ๊ก็เลยไม่ยอมที่ช่างเทคนิคพูดอย่างนี้ เขาก็เลยมีเอกสารมาจากกรุงเทพฯ ฝ่ายเทคนิคบอกว่าถ้าไม่พอใจให้โทร.ไปทางโน้น เขาว่าชนแรงไม่พอ ชนไม่ตรงจุด ก็เหมือนเดิมนั่นล่ะ เจ๊ก็เลยโทร.ไปคุยกับกับบริษัทฯ ที่กรุงเทพ ทางบริษัทบอกว่าไม่สามารถช่วยเหลือตรงนี้ได้ ไม่เกี่ยวกับบริษัท เจ๊บอกว่าทำไมไม่เกี่ยว เจ๊ก็ว่าถ้าเธอไม่รับผิดชอบนะเจ๊จะฟ้อง เขาก็บอกว่าเชิญตามสบาย” นั่นคือคำตอบที่เธอและสามีได้จากบริษัท ซื้อรถใหม่ เพราะอยากได้ถุงลมนิรภัย“ตอนเจ๊ตัดสินใจซื้อรถคันนี้ เพราะรถคันเก่าเจ๊มันไม่มีถุงลมนิรภัยไง เขาก็แนะนำว่ารถนี้รุ่นพิเศษมีถุงลมนิรภัย 4 ใบ ปกป้องชีวิตได้ แต่ถ้าซื้อแล้วนะ ข้างในห้ามไปติดสติกเกอร์ ห้ามไปตกแต่ง ถ้าตกแต่งแล้วมันไม่ออกจะเข้าบริษัทไม่ได้ ถ้าเราไม่ทำอะไร เวลาเกิดเรื่องแล้วมันจะออกมาอัตโนมัติ ป้องกันชีวิตเราเนอะ ถ่ายรูปไว้ด้วยนะวันที่เราไปรับรถคันนี้มา ไม่ใช่ว่าร่ำรวยอะไรมากมายและซื้อรถใหม่ๆ มาโชว์ แต่ว่าเพื่อปกป้องชีวิต เพราะเราเดินทางบ่อย ซื้อด้วยเงินสดเลยนะ แล้วเวลาเกิดเรื่องขึ้นมา ชนปุ๊บมันไม่ออกเลย ชนแรงจนหัวยุบไปหมดเลยที่เห็น ค่าซ่อมที่เขาประเมินตั้งเจ็ดแสนกว่าบาท” เธอว่าพลางนำภาพเมื่อครั้งได้รถมาใหม่ๆ ให้ทีมงานฉลาดซื้อดู ไล่เรียงมาตั้งแต่ใหม่เอี่ยม จนถึงสภาพรถบุบบู้บี้ไม่เหลือสภาพรถรุ่นพิเศษให้เห็นแม้แต่น้อย “หลังจากเรายื่นคำขาดกับบริษัทไปว่าเราจะฟ้องเขาก็ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับนะ ไปหาทนาย ไปหาทุกที่เลย ทนายเชียงใหม่ก็ไม่มีใครกล้าต่อสู้กับบริษัทเลย แต่เขาก็แนะนำให้ไปขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิฯ ที่กรุงเทพ เจ๊ก็เลยให้ลูกชายช่วยติดต่อให้ ระหว่างนั้นก็มีคนบอกว่าอย่าไปสู้เลย ดีไม่ดีถูกฟ้องกลับเพราะทำชื่อเสียงบริษัทเขาเสียหาย ตอนแรกเจ๊ก็รู้สึกกังวลอยู่ครึ่งนึง แต่พอเจ๊ติดต่อกับคุณอิฐบูรณ์ว่าช่วยดูรูปถ่ายและเอกสารต่างๆ ว่าพอจะฟ้องเขาได้ไหม ถ้ามั่นใจก็ฟ้อง แต่ถ้าไม่มั่นใจเจ๊ก็ยอมทิ้งแล้ว เพราะส่วนตัวเจ๊ก็ล้าแล้วเหมือนกัน เพราะสู้กับเขามาเกือบครึ่งปีกว่าแล้ว” มูลนิธิที่พรศรี พูดถึงคือศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค หลังจากอิฐบูรณ์ อ้นวงศา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ผู้บริโภค ดูเอกสารต่างๆ แล้ว จึงส่งเรื่องต่อให้ ศูนย์ทนายความอาสาเพื่อผู้บริโภค ยื่นฟ้องแพ่งบริษัทโตโยต้าเชียงใหม่ จำกัด ในข้อหา ละเมิด เรียกค่าเสียหาย เป็นเงิน 5,620,208 บาท ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล แต่บริษัทบ้านเรานี่ไม่ต้องบอกเรื่องเปลี่ยนรถคันใหม่อะไรหรอก แค่ยกกระเช้ามาเยี่ยม มาถามทุกข์สุขว่าเจ็บยังไงบ้าง ยังไม่มีเลย เจ๊ดูข่าวมากก็เลยรู้สึกว่า ที่อื่นเขาได้ดูแล ทำไมเราเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ยอม ยิ่งมีรู้ว่ามีการคุ้มครองผู้บริโภค เราต้องใช้สิทธิ ถ้าไม่ฟ้อง จะให้ทำอย่างไร“ทุกวันนี้รู้สึกว่าถ้าทางบริษัทถ้าเขาเห็นใจเราสักนิด ทางเราก็ไม่ฟ้อง ขอแค่เขามาถามทุกข์สุขนิดนึง ก็พอใจ เจ๊ไม่ใช่งกเงินตรงนี้ ถ้าเขามีน้ำใจนิดนึง ให้ผู้มีอำนาจมาเยี่ยมหน่อย มาพูดดีๆหน่อย อย่าใจดำเกินไป รถคันนี้ราคาประเมินค่าซ่อมเจ็ดแสนกว่าบาท แล้วยังจะขอค่าจอดรถเจ๊ด้วย ตอนเอารถไปจอด พอเจ๊ไม่ซ่อมรถกับเขา เจ๊จะเอาออกรถไปขายไงเพราะซ่อมไปก็ไม่คุ้ม เจ๊เลยไม่จ่ายค่าจอดเขาก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายเขาเรียกเก็บค่าประเมินรถเจ็ดพันบาท เฮีย(สามี) ก็เลยจ่ายไปหกพันกว่า คือของเราเสีย ไม่ช่วยเหลือเราไม่ว่า เราไม่ซ่อมยังขอค่าจอดอีก ใบเสร็จตรงนี้ก็ยังเก็บไว้ เจ๊รู้สึกว่ามันไม่เป็นธรรม มันเยอะเกินไป แล้วเจ๊ก็ขายรถคันนี้เป็นเศษเหล็กไปแล้ว คิดแล้วเจ็บใจตอนที่เจ๊ไปซื้อนะขับรถมาเสนอขายถึงที่บ้านเลย เอาใจสารพัดเลย พอซื้อมาบริการก็เปลี่ยนแปลงแล้ว” คนทั้งประเทศไม่มีใครรู้ อยากให้คนอื่นรู้ “มีคนบอกว่าเจ๊มีทางก็ต่อสู้ ก็สู้เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้คนทั้งประเทศ ไม่มีใครรู้เลยว่าถุงลมนิรภัยต้องออกตามโฆษณา ในความหมายของเขามันแค่ไหน ชนแบบนี้ออก แต่หากชนตรงนี้ไม่ออก ในคู่มือบอกว่าวิ่ง 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไปชนอย่างไรถุงลมนิรภัยก็จะออกมา อะไรมันก็จะมีลูกศรชี้ไว้ว่า หน้าไฟสองอัน กลางๆ ชนตรงไหนก็ออก แต่พอเกิดเรื่องขึ้นมา ชนจนหัวยุบหมดแล้วมาบอกอย่างนี้อย่างโน้นแล้ว ใครไม่เจอกับตัวจะไม่รู้เลยว่า ความยุติธรรมมันเป็นยังไง แถวภาคเหนือเราอาจจะคิดว่าใครใหญ่ใครอยู่ บริษัทมันใหญ่ เราเป็นคนตัวเล็กๆ ต่อสู้เขาไม่ได้หรอก ก็เลยไม่กล้าไปต่อสู้กัน ช่างรถยนต์ก็พูดว่าอย่าไปสู้เลย สู้กับเขาไม่ไหวหรอก แต่เจ๊ก็จะสู้แรกๆ ก็กลัวเขาฟ้องกลับติดคุกนะ แต่พอเรารู้ว่าฟ้องแพ่งไม่ติดคุกเราก็ไม่กลัวละ เราต้องลุกขึ้นมาสู้ เจ๊ดูรายการทีวีต่างประเทศชอบดูเรื่องกฎหมายของเมืองนอก อย่างไต้หวัน พอดีเจ๊เห็นของเมืองนอก มีถุงลมนิรภัยไม่ออกแหละ ฝรั่งเขาเรียกสิบล้านเลย สุดท้ายบริษัทเขาชดใช้ไปเจ็ดหรือแปดล้าน แล้วก็ยังมีเพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า BMW คันหนึ่ง เมียเขาขับไปแล้วถุงลมนิรภัยไม่ออกแล้วคอหักเลย พอไปบอกบริษัทแต่ยังไม่ได้ฟ้องนะ แค่ไปบอก บริษัทก็เสียค่ารักษาพยาบาลให้แล้วก็เปลี่ยนรถคันใหม่ให้ทันทีเลย แต่บริษัทบ้านเรานี่ไม่ต้องบอกเรื่องเปลี่ยนรถคันใหม่อะไรหรอก แค่ยกกระเช้ามาเยี่ยม มาถามทุกข์สุขว่าเจ็บยังไงบ้าง ยังไม่มีเลย เจ๊ดูข่าวมากก็เลยรู้สึกว่า ที่อื่นเขาได้ดูแล ทำไมเราเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ยอม ยิ่งมีรู้ว่ามีการคุ้มครองผู้บริโภค เราต้องใช้สิทธิ จริงๆ แล้วคนไทยเราเป็นคนที่ใจอ่อน นิสัยดีกว่าต่างประเทศมากเลย ขอให้เขายอมมีน้ำใจ การชดใช้ตรงนี้มันไม่ใช่ปัญหา เราคุยกันได้ ถ้าจะให้เหมือนบริษัทเมืองนอกนี่ กฎหมายเมืองไทยก็ยังไปไม่ถึงขนาดนั้น เมืองนอกเขาจะเอาเท่าไหร่เขาจะเรียกเยอะๆ เลย รถคันนี้ราคาเท่าไหร่ ไม่เกี่ยวเขาจะดูว่าชีวิตเขามีค่าแค่ไหนมาเปรียบเทียบเอา แต่เมืองไทยเราจะดูว่ารถคันนี้ราคาแค่นี้เอง แล้วจะเรียกร้องได้แค่นั้น เขาจะคิดอย่างนั้น ถ้าต่างประเทศเขาจะไม่คิดแบบนี้ เขาจะคิดว่าชีวิตคนมีค่ามหาศาลเท่าไหร่ก็ประเมินค่าไม่ได้ เรื่องกฎหมายบ้านเรากับต่างประเทศอาจจะเทียบกันไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆ ในบ้านเรา เราก็ยังมีสิทธิในการเรียกร้อง เราต้องใช้สิทธิเมื่อเกิดความเสียหาย ให้บริษัทยอมรับผิดชอบบ้าง ปกติเขาจะไม่รับผิดชอบทิ้งไปอย่างนี้ตลอด ที่เจ๊ต่อสู้มาทุกวันนี้นะ ไปศาล ทำอะไรทุกครั้ง เจ๊รู้สึกว่าเจ๊ก็เสียรายได้เยอะเหมือนกันจะไปไหนก็ไปไม่ได้ ต้องรอขึ้นศาล เสียเวลา เจ๊ไม่ได้ว่าไม่มีทางหากินแล้วจะมาตื้อเอาเงินกับบริษัทนะ เจ๊ก็ทำมาหากิน แต่ที่เจ๊ทำเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมเท่านั้นเอง” ทุกวันนี้ พรศรี ชูชาติวงศ์ และสามี เหลือเพียงกิจการเล็กๆ ขายเสื้อผ้าและกระเป๋าอยู่ที่ ตลาดสันป่าข่อย จังหวัดเชียงใหม่ กิจการอื่นๆ ที่เคยทำต้องงดไปโดยปริยายด้วยข้อจำกัดทางร่างกายที่ไม่แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 109 หมอนิล หมอติดดินของชาวเกาะยาว

“ป่ะ เดี๋ยวไปกินข้าวกลางวันด้วยกัน” หมอนิลเอ่ยชวนทีมฉลาดซื้อ หมอนิลว่าพลางสตาร์ทรถมอร์เตอร์ไซค์ ขับพาทีมฉลาดซื้อเข้าหมู่บ้าน ไปหยุดที่บ้านหลังหนึ่งในสวนยาง  ซึ่งเป็นบ้านที่เชิญหมอให้มากินข้าวกลางวันที่บ้าน ครั้นพอมาถึงหมอก็เข้าครัว  ยกสำรับอาหาร พลางเรียกม๊ะกับป๊ะให้มาทานข้าวด้วยกัน รวมกับเป็นลูกหลานของคนบ้านนี้ “หมอนิลเหรอ โอ้ยเหมือนลูกเหมือนหลานของคนที่นี่ละ” บังโกบบอกกับทีมฉลาดซื้อ ฉลาดซื้อจะพาคุณมารู้จัก นพ.มารุต เหล็กเพชร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเกาะยาวชัยพัฒน์ สาขาสถานีอนามัยพรุใน อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา หมอติดดินของชาวบ้านเกาะยาวกันค่ะ เป็นหมออย่างหมอนิล“อยากทำงานที่นี่ตั้งแต่ได้เดินทางมาเที่ยวในช่วงเป็นนักศึกษาแพทย์ ได้สัมผัสชีวิตชาวบ้านที่ไม่มีหมอดูแล เมื่อเรียนจบก็เลยอยากจะมาดูแลชาวบ้านที่เกาะนี้” นั่นเป็นความตั้งใจของหมอนิล เมื่อตอนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนเรศวร หมอนิลเป็นคนปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ด้วยความที่เป็นคนใต้ ภาษาจึงไม่เป็นอุปสรรคในการสื่อสาร แต่จะมีบ้างเพราะชาวบ้านที่นี่เกือบทั้งหมดเป็นมุสลิม ก็จะมีบ้างบางคราวที่ไม่เข้าใจกันในช่วงแรกๆ  แต่ถึงที่สุดชาวบ้านก็เห็นความจริงใจของหมอนิล จนเอ็นดูเหมือนลูกหลานในที่สุด ก่อนที่จะมาเรียนหมอนั้นหมอนิลอ่านหนังสือของหมอ ประเวศ วะสี ซึ่งพูดถึงปัญหาในระบบสาธารณสุขว่าเป็นสาธารณสุขหรือสาธารณทุกข์ และนั่นเองเป็นตัวจุดประกายให้หมอนิลเห็นว่าในวงการแพทย์มีเรื่องต้องแก้อีกเยอะและท้าทายทำให้เขาตัดสินใจเรียนหมอในที่สุด หมอนิลบอกว่าทำงานอยู่ที่นี่ไม่กลัวถูกฟ้อง เมื่อเราลองถามว่า เป็นหมอกลัวถูกฟ้องไหมหมอบอกว่า เขามีความสัมพันธ์กับคนไข้ดี แล้วคนไข้ก็ไม่มากราวๆ 60-70 คน ต่อวัน มีเวลาจะคุยหรืออธิบายเรื่องต่างๆ ได้พอสมควร หมอมองว่า ปัญหาการฟ้องร้องมันเกิดจากที่ว่าไม่ใช่เพราะหมอรักษาพลาดอย่างเดียว แต่มันเกิดจากการสื่อสารที่ไม่ดี ไม่อธิบาย “บางโรงพยาบาลที่ใหญ่ๆ คนเยอะๆ ก็เจอหมอแค่แป๊บเดียว มีข้อสงสัยอะไรก็ไม่ได้ถามให้หายสงสัย พอผิดพลาดขึ้นมามันก็มีเรื่องแบบนี้ แต่ถ้าเรามีการคุยกันบ่อยๆ หรือแม้กระทั่งมันผิดพลาดไปแล้ว ถ้ามีการคุยกัน อธิบายว่าเป็นยังไง บางทีเขาก็ไม่เอาเรื่อง ถ้าเขาเข้าใจในระบบ แต่มันเกิดจากการที่ไม่คุยกัน ไม่สื่อสารกัน หรือว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกันมาก่อน ซึ่งผมว่ามันน้อยมากที่ปัญหาการฟ้องร้องจะเกิดจากข้อผิดพลาดทางการแพทย์จริงๆ  ไม่มีหมอคนไหนอยากให้เกิดความผิดพลาด คือถ้าเขารู้ว่ามันจะเกิดเขาก็ไม่ทำแน่นอน คือมันมีโรคบางโรค บางอย่างที่เปอร์เซ็นต์ความผิดพลาดมันมี”  หมอนิลกล่าว หมอนิลมองกลุ่มคนที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ ว่ามันเป็นสิทธิของมนุษย์ขั้นพื้นฐาน แล้วการเรียกร้องค่าเสียหายก็เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่เขาจะได้รับ “มันก็ทำให้เกิด มาตรา 41 ใน พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ให้มีการจ่ายค่าชดเชย ซึ่งมาตรานี้ก็โอเค มันก็เป็นสิทธิที่เขาควรทำได้ มันก็เป็นพื้นฐานของสิทธิทั่วไปเลย เช่นถ้าหากราชการทำอะไรไม่ถูกต้อง ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน เราก็มีสิทธิที่จะถามได้ว่ามันคืออะไร ยังไง แล้วถ้าเราไม่ได้รับความชอบธรรมเราก็ควรจะได้รับความชอบธรรมนั้นกลับคืนมา ซึ่งมันเป็นพื้นฐานทั่วไปที่ทำกับหน่วยงานราชการ ไม่ใช่เฉพาะหมอ อาจจะเป็นตำรวจ ทหาร หรือทางฝ่ายปกครองก็ได้” โรงพยาบาลต้องเป็นของชุมชน “ผมอยากให้เขารู้สึกว่าโรงพยาบาลเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ไม่อยากให้คิดว่าโรงพยาบาลเป็นที่ของคนเจ็บป่วย แต่โรงพยาบาลเป็นของชุมชนที่เขาจะมาใช้ประโยชน์ได้ตามที่เขาต้องการ และอยากให้โรงพยาบาลเป็นที่ส่งเสริมสุขภาพ อย่างเขาอยากจะจัดตลาดนัดสุขภาพ เขาก็มาใช้โรงพยาบาลได้ หรือว่าอยากจะมาออกกำลังกาย มาอบสมุนไพร อบซาวน่า มานวด มาปลูกผักปลอดสารพิษ มาทำกับข้าวให้คนไข้กิน ให้หมอพยาบาลกิน คือถ้ามันเป็นของชุมชนจริงๆ ชุมชนก็ต้องมีบทบาทในการคิดว่าใครอยากทำอะไร มาทำที่โรงพยาบาลทำได้ไหม แล้วมาช่วยกันทำ อยากเห็นการพัฒนาโรงพยาบาลอื่นๆ ไปแบบนั้น ไม่ใช่เป็นที่สำหรับหมอพยาบาล คนไข้ คนเยี่ยมไข้ เท่านั้น อยากให้มันขยายความออกไป คือเราต้องเปิดพื้นที่ให้คนอื่นมาร่วมกันคิดว่าเราจะใช้โรงพยาบาลในฐานะที่เป็นโรงพยาบาลของชาวบ้านเอง เขาจะทำอะไร เพราะฉะนั้นมันก็จะเกิดกิจกรรมอีกมากมายที่จะเกิดขึ้นได้ในโรงพยาบาล อย่างที่ผมยกตัวอย่าง แล้วพอโรงพยาบาลมันเป็นของชุมชน มีอะไรชาวบ้านก็จะช่วยเรา ช่วยเฝ้าระวังโรคต่างๆ ช่วยเป็นอาสาสมัคร  พวกนี้ก็จะมาช่วย คือเราไม่สามารถจะทำได้อยู่แล้ว อย่างไข้เลือดออก มาลาเรีย ก็ต้องใช้ชาวบ้านช่วยกัน คือถ้าเขารู้สึกว่าโรงพยาบาลเป็นของเขา แล้วก็มีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพตัวเอง คือแทนที่เราจะมีพยาบาล 5-6 คนอยู่ที่โรงพยาบาล แต่กลายเป็นว่าเหมือน เรามีพยาบาล 5,000-6,000 คน ที่เป็นคนอยู่ที่นี่ ดูแลเพื่อนบ้าน ดูแลตัวเอง ดูแลญาติเขาอยู่ในชุมชน ที่สำคัญต้องไม่เอาตัวหมอเป็นศูนย์รวม เราต้องคุยกับคนไข้ และญาติคนไข้ให้เยอะๆ การรักษานอกจากรักษาอาการทางกายแล้ว การดูแลเยียวยาเรื่องจิตใจก็เป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้เช่นเดียวกัน” พูดถึงอาสาสมัครหมู่บ้านหมอนิลบอกว่าจะแบ่งเป็นหมู่บ้าน อาสาสมัคร 1 คนจะช่วยดูแลประมาณ 10 ครัวเรือน มีอะไรเขาจะรู้หมดว่าใครเกิด ใครตาย ใครป่วยอะไร ใครจะต้องมาตรวจบ้าง ใครมารับยาหรือไม่มารับ เขาจะรู้ แล้วอาสาสมัครก็จะช่วยมาบอกโรงพยาบาล ครั้นเมื่อเกิดระบาดอาสาสมัครก็จะช่วยติดตามข่าวบอกทั้งชาวบ้านและหมอ การสร้างเครือข่ายสุขภาพจึงทำให้ชุมชนช่วยตัวเอง พึ่งตัวเองได้ทางด้านสุขภาพ ถือเป็นแนวคิดการส่งเสริมสุขภาพที่ดีเลยทีเดียว ที่นี่มี แพทย์ประจำ 1 คนนั่นคือก็คือหมอนิล พยาบาล 6 คน และเจ้าหน้าที่ทางสาธารณสุขอีก 2 คน รวม 9 คน มีขนาด 5 เตียง มีการทำงานเป็นทีมสหวิชาชีพโดยให้การดูแลทั้งผู้ป่วยทั่วไปและฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งการออกไปเยี่ยมคนไข้ตามบ้าน สัปดาห์ละ 3 วัน คือวันพุธ วันพฤหัสบดี และวันศุกร์ จากแนวคิดโรงพยาบาลต้องเป็นของชุมชนนี้เอง หมอนิลกับชาวบ้านจึงคิดที่จะสร้างโรงพยาบาลขึ้นมาโดยจะขยายเรือนพักผู้ป่วย ชื่อว่า “โครงการสร้างเรือนพักผู้ป่วยหลังใหม่ โดยมีชุมชนเป็นเจ้าของและมีส่วนร่วมทุกประการ”  ขณะนี้เขียนแผนและแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว  อยู่ระหว่างการระดมทุนสร้าง หมอนนิลบอกว่าค่อยๆ สร้าง มีเท่าไรก็ค่อยๆ ทำไป “ตอนนี้ออกแบบเสร็จแล้ว แต่ว่าต้องหาเงินมาทำ รมต.เขาก็บอกว่าน่าจะได้ แต่ก็ดูความแน่นอนอีกที เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมืองต้องขึ้นอยู่กับการเมืองหรือเปล่าไม่รู้ ไม่แน่นอน อย่างผมก็ไม่กล้าบอกชาวบ้านหรอก ว่าได้หรือไม่ได้ แต่มีแนวโน้มว่าเขาอนุมัติในหลักการแล้วว่าให้เราทำแบบนี้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ถ้าเปลี่ยนรัฐบาลหรือเปลี่ยน รมต.มันก็ยกเลิกไปได้” คลินิคหนัง(สือ) สำหรับวิชาชีพแพทย์ หลายคนมองว่าการอุทิศตนทำงานในชนบทเป็นการเสียโอกาส แต่สำหรับหมอนิลแล้วเขากลับคิดว่านี่เป็นความสุข และยังถือโอกาสใช้บรรยากาศบนเกาะบ่มเพาะความฝันของตนเองด้วย "ข้อด้อยของการมาทำงานในที่แบบนี้คือเราอาจจะไม่ได้เรียนรู้โลกภายนอก หากออกไปพบกับคนในวงการเขาก็อาจจะคิดว่าเราเป็นหมอบ้านนอก ซึ่งตอนแรกก็มีความรู้สึกแบบนั้นบ้าง แต่พอตอนหลังรู้ว่าความสุขที่แท้จริงในชีวิตของเราคืออะไร ก็เลยไม่รู้สึกแบบนั้นอีก ส่วนข้อดีของการทำงานในที่แบบนี้ก็คือการทำงานไม่ได้เป็นแค่เพื่องาน แต่เป็นส่วนหนึ่งของการได้เรียนรู้ชีวิต เหมือนเราได้มารู้อะไรใหม่ๆ ได้มีเวลาคิดว่าความสุข ความทุกข์ของคนคืออะไร และต่อไปเราอยากจะทำอะไร ซึ่งเป็นเหมือนบันไดในการเรียนรู้ถึงสิ่งที่เราจะต้องทำต่อไปในอนาคต ไม่เคยคิดว่าการมาทำงานที่นี่เป็นการเสียโอกาส เพราะมีเวลามากขึ้น มีความสุขมากขึ้น และได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่อยากจะทำ ทั้งการเขียนหนังสือ การทำหนังสั้นและการเปิดร้านหนังสือ" ในวงการวรรณกรรมหลายคนรู้จักเขาในนาม “นฆ ปักษนาวิน” ที่มีผลงานทั้งงานเขียนเรื่องสั้นตีพิมพ์ ร่วมกับเพื่อนๆ ในหนังสือชื่อ 'ธรรมชาติของการตาย' จากประสบการณ์และมุมมองในเหตุการณ์สึนามิ  นอกจากนั้นยังเปิดร้านหนังสือชื่อ 'ร้านหนัง(สือ)๒๕๒๑' ซึ่งอยู่ถนนถลาง ในย่านเมืองเก่าของจังหวัดภูเก็ต โดยจัดพื้นที่ส่วนหนึ่งของร้านเอาไว้ให้นักเขียนมานั่งเสวนาแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นกัน รวมถึงมีห้องฉายหนังเล็กๆ ด้วย ส่วนผลงานหนังสั้นขณะนี้ได้ทำออกมาแล้ว 5 เรื่อง เรื่องแรกคือ Burmese Man Dancing ซึ่งเป็นสารคดีสั้น 6 นาที เกี่ยวกับแรงงานพม่า ซึ่งผลงานชิ้นนี้ได้โอกาสไปฉายในเทศกาลหนังสั้นที่ประเทศเยอรมนีในปี ค.ศ. 2008 ด้วย ส่วนหนังสั้นเรื่องล่าสุดคือ แมวสามสี เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคน โดยได้มีโอกาสนำไปฉายที่เมืองรอสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ด้วยเช่นกัน “คลินิก(แพทย์) ก็อยากเปิดนะครับ แต่ผมไม่มีเวลา วันเสาร์-อาทิตย์ก็อยากพักผ่อน อยากทำอย่างอื่น  อย่างผมเปิดร้านหนังสือก็จะจัดกิจกรรมมีวงคุย เสวนา จัดอีเว้นต์ แล้วก็ต้องคุยกับคนเยอะแยะ สนุกกันคนละแบบกับที่โรงพยาบาล” หมอนิลอธิบายง่ายๆ ว่าทำไมหมอไม่เปิดคลินิกเหมือนกับหมอทั่วๆ ไป เปิดกัน ไม่ว่าบทบาทไหน ล้วนเป็นอย่างเดียวกันเมื่อฉลาดซื้อถามถึงบทบาทระหว่างเป็นหมอกับเป็นคนในวงการวรรณกรรม ว่าชอบอย่างไหนมากกว่ากัน หมอนิลให้คำตอบที่น่าทึ่งมากๆ ว่า “ผมว่าผมทำคละๆ กันนะ อยู่ที่โรงพยาบาลผมก็เหมือนนักกิจกรรมนะ อยู่ที่ร้านผมก็เหมือนเป็นนักกิจกรรมเหมือนเดิม แต่ว่าทำอีกด้านหนึ่ง ที่โรงพยาบาลอาจจะเป็นนักกิจกรรมด้านสุขภาพ แต่ที่ร้านหนังสืออาจจะเป็นเรื่องวรรณกรรม ศิลปะ ทำชุมชนอีกแบบหนึ่ง แต่ผมว่ามันคืออันเดียวกัน คือเราไม่สามารถแบ่งแยกได้ว่าอันนี้คือการส่งเสริมสุขภาพ อันนี้คือหนังสือ มันไม่ได้แล้ว เพราะว่าคนเราไม่ควรโดนแบ่งแยกแบบนั้น เพราะเราสร้างสุขภาวะได้หลายแบบ ไม่ใช่แค่ทางกายเท่านั้น โดยการทำกิจกรรมอย่างนี้มันก็เป็นการสร้างสุขภาวะอีกแบบหนึ่ง การทำให้คนรู้จักศิลปะ วรรณกรรม มันก็เป็นการสร้างสุขภาวะอีกแบบหนึ่งครับ” หมอนิลยกตัวอย่างหนังสือ “ปฏิวัติยุคสมัยด้วยฟางเส้นเดียว” ที่ไม่มองอะไรแบบแยกส่วน หมอบอกว่า อ่านแล้วเปลี่ยนโลกทัศน์ในมุมมองต่อวิทยาศาสตร์ ที่เคยชินกับการมองแบบแยกส่วน เป็นมามองแบบองค์รวม มองความสัมพันธ์ มองทุกอย่างเป็นองค์รวม “สมมติคนนี้มีปัญหาเรื่องการแยกส่วน เพราะว่าสังคมมันเปลี่ยนไป การปฏิวัติอุตสาหกรรมมันเกิดจากกระบวนทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ยุคหนึ่ง มันมาประสบความสำเร็จในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม คนต้องแบ่งงานกันทำ ว่าคนนี้มีบทบาทหน้าที่นี้ แต่ว่าในชีวิตจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น อย่างคนสมัยก่อนก็มีความรู้หลากหลายด้าน เช่น ลีโอนาโด ดาวินชี่ เป็นหมอ วิศวะ จิตรกร เขาไม่มีการมาแยกว่าคนนี้เป็นอะไร คนที่รักในความรู้ แล้วแสวงหาความรู้ทั้งทางโลกทางธรรม เป็นแบบใช้ด้วยกันหมด แต่พอมายุคโลกสมัยใหม่ตอนนี้มันก็ใช้ความรู้อย่างเดียวไปแก้ปัญหาไม่ได้แล้ว เหมือนกันอย่างผมเคยเขียนว่าผมจะรักษาคนไม่ได้ ถ้าคนไม่หายจน เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่าทำยังไงให้คนไม่จน มันไม่ใช่ความรู้ด้านการแพทย์ ผมยังรักษาให้คนมีสุขภาพดีไม่ได้ ถ้าเขายังจนอยู่ ถ้าเราไปถามวิธีแก้ปัญหาความจนกับนักเศรษฐศาสตร์ เขาก็อาจจะบอกว่าเขาทำให้คนหายจนไม่ได้หรอกถ้าไม่มีรัฐศาสตร์ที่ดี ไม่มีการเมืองที่เหมาะสม  ครั้นไปถามนักรัฐศาสตร์ก็จะบอกว่าเขาทำให้คนหายจนไม่ได้หรอกถ้านั่นนี่อีกจิปาถะ คือทุกอย่างมันแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ถ้าหากไม่มีการร่วมมือกันระหว่างสาขา คือความรู้มันต้องประสานกัน แล้วมาถกเถียงพูดคุยกัน มาต่อรองกัน ถ้าเรามองแต่แบ่งแยกว่าคุณเป็นผู้เชี่ยวชาญสาขานี้คุณก็คิดไป มันแก้อะไรไม่ได้ ในสังคมที่มันซับซ้อน เพราะโลกทัศน์แบบแบ่งแยกมันทำให้โลกเรายิ่งมีปัญหามากกว่าช่วยแก้ปัญหา” หมอนิลกล่าวทิ้งท้ายกับฉลาดซื้ออย่างหนักแน่น ทำให้ฉลาดซื้อคิดต่อไปว่า ถ้าระบบสาธารณะสุขของไทย ไม่แยกการรักษาตามบัตรนั่น บัตรนี่ ระบบสาธารณะสุขคงพัฒนาไปอีกเยอะเพราะไม่ต้องมองอะไรแบบแยกส่วนนั้นแล… สำหรับใครที่อยากร่วมสร้างเรือนพักผู้ป่วย โรงพยาบาลเกาะยาวชัยพัฒน์ สาขาสถานีอนามัยพรุใน ต.พรุใน อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ติดต่อกับ นพ.มารุต เหล็กเพชร หมายเลขโทรศัพท์ 089-6524223 ค่ะ หรือติดตามกระบวนการออกแบบของโครงการได้ที่ kohyaoproject.com และ ร่วมบริจาคสร้างเรือนพักผู้ป่วยฯดังกล่าว ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาเกาะยาว บัญชีเลขที่ 060-2-37342-3 ชื่อบัญชี กองทุนก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใน รพ.เกาะยาว สาขา สอต.พรุใน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 108 เมื่อพนักงานต้อนรับด้วยน้ำร้อน

“เราแค่เพียงต้องการให้เกิดบรรทัดฐานในการดูแลผู้โดยสารเท่านั้นค่ะ หลายคนอาจจะมองเราว่าเราเรียกร้องเพื่อจะเรียกเงิน เพราะเราไปร้องเรียนทั้งที่ สคบ. แล้วเขาก็ให้เราประเมินว่าเรามีอะไรเสียหายบ้าง คิดเป็นเงินเท่าไร ซึ่งความจริงเราไม่ได้ต้องการเรียกร้องเงิน เราเพียงแค่ต้องการความรับผิดชอบ ให้มาดูแลเราหน่อยเท่านั้น” ปาริจฉัตต์ เกิดผลเสริฐ ผู้เดือดร้อนจากกรณีพนักงานบนเครื่องบินของสายการบิน “แอร์เอเชีย” ทำน้ำร้อนหกใส่จนบาดเจ็บ คือแขกรับเชิญของฉลาดซื้อในครั้งนี้ เมื่อใครๆ ก็บินได้ (อุบัติเหตุ)อะไรๆ ก็เกิดได้ แต่เกิดแล้วจะจัดการอย่างไร นั่นล่ะคือสิ่งที่คุณปาริจฉัตต์จะเล่าให้เราฟัง เหตุอุบัติ : อุบัติเหตุที่แก้ไขได้…ถ้าไม่ประมาทเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2552 เธอและเพื่อนอีก 5 คนซึ่งทั้งหมดเป็นพนักงานฝ่ายขายของบริษัทขายยาและเวชภัณฑ์แห่งหนึ่ง ได้เดินทางไปฮ่องกงโดยได้ใช้บริการไป-กลับ กับสายการบินแอร์เอเซีย ขาไปเหตุการณ์ปกติ แต่ว่าในขากลับ วันที่ 6 พ.ย. 2552 ออกจากฮ่องกงเวลา 20.50 น. และมีกำหนดถึงกรุงเทพฯ เวลา 22.50 น. นั้น กลับเกิดเหตุไม่คาดฝัน ปาริจฉัตต์ เล่าถึงเหตุการณ์ในขณะที่มีการเสิร์ฟอาหาร เมื่อถึงที่นั่งแถวเธอ พนักงานต้อนรับบนเครื่องแจ้งว่า อาหารไม่มีให้เลือกแล้ว เหลือแต่สปาเก็ตตี้กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เธอจึงขอบะหมี่ถ้วยปกติและพี่ที่นั่งติดกันสั่งเป็นบะหมี่เกาหลีถ้วยใหญ่ “หลังจากได้รับอาหารแล้วเราก็รับประทานตามปกติ โดยวางกระเป๋าบนขาแล้วเอาถาดที่ใช้วางอาหารลงมา แต่ว่าถ้วยบะหมี่ของเพื่อนรุ่นพี่ที่นั่งข้างๆ น้ำที่ใส่ให้ในถ้วยเป็นแค่อุ่นน้อยๆ เอามือสัมผัสที่ถ้วยแล้วแทบจะไม่มีความร้อนเลยทำให้บะหมี่ไม่สุก เส้นแข็ง ไม่สามารถรับประทานได้ ก็เลยเรียกพนักงานให้นำอาหารไปอุ่นให้” ไม่นานพนักงานก็เดินถือบะหมี่ถ้วยใหญ่ควันฉุยมาเสิร์ฟ เมื่อเดินมาถึงทางด้านข้างเยื้องไปทางด้านหลัง พนักงานแจ้งว่า “ได้แล้วค่ะ” แต่ทันใดนั้นบะหมี่ที่มีน้ำร้อนอยู่เต็มถ้วยได้หกรดใส่ตัวเธอตั้งแต่ไหล่ขวาไล่ลงมาถึงต้นขาขวา “ตอนนั้นตกใจมากทั้งแสบทั้งร้อนค่ะ สะดุ้งสุดตัวจนลุกขึ้นยืนแต่ยืนไม่ได้เพราะติดเบลท์(belt) ที่คาดไว้ พอปลดเบลล์ได้ ก็ปัดทุกอย่างวิ่งเข้าห้องน้ำด้านหลังเครื่อง พนักงานคนก่อเหตุก็วิ่งตามมาด้วย เราก็เลยขอน้ำเย็น น้ำแข็ง มาปฐมพยาบาลเบื้องต้นในห้องน้ำ แล้วก็ต้องอยู่ในนั้นจนเครื่องบินลง เพราะว่าต้องถอดเสื้อผ้าออกเกือบทั้งหมดเพื่อทำการปฐมพยาบาล ก็กังวลนะคะกลัวจะติดเชื้อเพราะแดงไปหมด ทั้งแสบทั้งร้อน ขออย่าให้ได้เกิดกับใครอีกเลยค่ะ แล้วการใช้น้ำแข็งมาประคบโดยตรงมันไม่ใช่ เพราะน้ำแข็งมันก็สกปรกอยู่แล้ว แต่ก็ต้องยอมละค่ะในนาทีนั้น” เธอเล่าต่อไปว่าพนักงานคนก่อเหตุก็พูดขอโทษอยู่ตลอดเวลา “คิดว่าเขาน่าจะมีอุปกรณ์ที่ให้ความช่วยเหลือได้มากกว่าที่เป็น แล้วพนักงานก็ควรจะมีความรู้ในเรื่องการปฐมพยาบาลด้วย รู้ไหมค่ะว่าข้างๆ ที่นั่งมีเด็กเล็กนั่งอยู่ด้วย ดีนะคะที่ไม่ไปโดนน้องเขา ตอนที่เราลงจากเครื่องมาแล้วก็ไม่ได้รับการดูแลอะไรเลย คนที่ก่อเหตุ พอมาเจอเราที่สนามบินก็รีบก้มหน้าเดินหนี แทนที่จะนำเรื่องที่เกิดขึ้นรายงานกับส่วนงานถึงข้อผิดพลาดที่เกิดกับผู้โดยสาร แต่เหมือนเขาจะปกปิดเรื่องไว้ เราอยากให้เขาพาเราส่งโรงพยาบาล แต่ก็เปล่าเราต้องเป็นฝ่ายไปโรงพยาบาลเอง เราไม่ได้ต้องการอะไรมากเลย แค่อยากให้เขารับผิดชอบแค่ตรงนี้เอง” ต้องสู้…ถ้าอยากให้แก้ไขจากที่ไม่ได้รับการเหลียวแลในเหตุที่เกิดขึ้น ทำให้เธอต้องลุกขึ้นมาเพื่อพิทักษ์สิทธิ เพราะอย่างน้อยก็เพื่อจะเป็นหลักปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุกับคนอื่น อยากให้สายการบินแห่งนี้มีความรับผิดชอบกับผู้โดยสารมากกว่านี้ ”เราถึงโรงพยาบาลประมาณเที่ยงคืน หมอบอกว่าเป็นอาการ Burn ระดับ 1 มีอาการบวมแดง จึงให้พยาบาลทำความสะอาดและพันแผลไว้ ห้ามอาบน้ำ และให้มาหาหมอใหม่ในวันรุ่งขึ้น ตอนนั้นเราอยากอาบน้ำมาก เพราะทั้งตัวเรามีแต่น้ำต้มบะหมี่แต่ก็ต้องทน เช้าวันรุ่งขึ้นเราก็ไปหาตามหมอนัด ยังแสบแผลอยู่ แต่หมอบอกว่าแผลดีขึ้นไม่พองมีแต่รอยแดงๆ หมอจึงขอดูแผลพรุ่งนี้อีกที เราก็ใจชื้นขึ้นเพราะแผลไม่พอง วันถัดมาซึ่งเป็นวันที่ 8 เราก็ไปให้หมอดูอีก ซึ่งแผลเราไม่เป็นอะไร แต่ยังมีอาการแสบแผลอยู่ หมอจะพันแผลให้อีกวันแต่เราขอไม่พันค่ะ เพราะอยากอาบน้ำมาก ก็เลยกลับมาพักที่บ้าน” เธอเล่าต่อว่าในวันเดียวกันนั้นเองจึงโทรไปที่สายการบินแอร์เอเชีย เพื่อร้องเรียน ซึ่งได้รับการปฏิเสธเพราะเป็นวันเสาร์ – อาทิตย์ พนักงานไม่รับเรื่อง ถ้าจะร้องเรียนให้มาร้องเรียนในวันธรรมดาและอยู่ในเวลาทำการ ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ ทั้งที่เธอเป็นฝ่ายเสียหาย แต่กลับไม่มีมาตรการอะไรจากทางสายการบินเลย “พอได้ฟังเราก็โห…คือเราก็อยากรู้ไงว่าทำไมถึงทำกับเราอย่างนี้ พนักงานคนที่รับโทรศัพท์เลยให้ส่งเป็นอีเมล์เข้าไป ลองคิดดูนะคะว่าถ้าเป็นคุณป้าที่ไม่รู้จักอีเมล์จะทำอย่างไร จะทำอะไรได้... ก็อ่ะไม่เป็นไร เราก็ส่งเป็นอีเมล์รายละเอียดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าไปและให้เขาติดต่อกลับมาหาเรา ซึ่งเขาไม่ตอบกลับมา เราเลยส่งอีเมล์ฉบับที่สองเข้าไปว่าเราจะฟ้องร้องนะถ้าไม่ติดต่อกลับมา สายการบินจึงติดต่อกลับมา แต่กว่าจะติดต่อกลับมาก็กินเวลาไปประมาณ 2 อาทิตย์แล้ว ซึ่งตอนนี้เราได้มาร้องทุกข์ที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคแล้ว” วันจันทร์ที่ 9 พ.ย. ก็ไปร้องที่ สคบ. ด้วย พอไปถึงเขา(สคบ.) ก็ถามถึงความเสียหายว่าเรามีอะไรเสียหายไป เป็นเงินเท่าไร เราฟังเราก็อ่ะ คือเราไม่ได้จะมาร้องเพื่อให้ได้เงิน เราเพียงแค่อยากให้สายการบินมีมาตรฐานขึ้น มีความรับผิดชอบ แต่เขาบอกว่าเขาทำตรงนั้นให้ไม่ได้ เราก็เลยเก็บคำร้องเรียนไว้ แล้วก็เปลี่ยนที่ เพราะเราไม่ได้ต้องการเรียกเป็นตัวเงินเข้าใจไหมคะ” แล้วปาริจฉัตต์ก็เดินทางเข้าสู่เส้นทางการใช้สิทธิโดยโทรไปที่รายการทนายคลายทุกข์ ทางรายการให้ไปร้องที่ศาลแขวงในพื้นที่เกิดเหตุ เธอจึงไปร้องที่ศาลแขวงสมุทรปราการ “วันนั้นเราก็เดินทางกันทั้งวัน บ้านอยู่เกษตรนวมินทร์ ก็ไปร้อง สคบ.ที่ถนนแจ้งวัฒนะ แล้วก็วิ่งยาวไปสมุทรปราการ พอไปถึงเขาก็ถามคล้ายๆ สคบ.มาดูแผลเราแล้วก็บอกว่าไม่เป็นอะไรมาก ก็ยังเดินได้ไม่ได้เป็นแผล แล้วก็ถามถึงกระบวนการชดเชยค่าเสียหาย เราก็เอ…เราไม่ได้ต้องการเป็นตัวเงิน เราเพียงแค่ต้องการให้ทางสายการบินออกมารับผิดชอบอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่เป็นเงิน เราก็เลยกลับ” กว่าจะได้รับการเยียวยา...แสนลำบาก หลังจากนั้นเธอก็มาร้องเรียนกับศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงได้รับคำแนะนำให้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานเมื่อวันที่ 22 พ.ย. และในวันที่ 27 พ.ย.2552 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงได้นัดเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างผู้เสียหายคือคุณปาริจฉัตต์และตัวแทนของบริษัทไทยแอร์เอเซียคือคุณระวีวรรณ สุทธิลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ขึ้น โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่าตัวเธอจะไม่ติดใจเอาความทั้งทางแพ่งและทางอาญากับทางสายการบิน โดยไทยแอร์เอเซียได้เสนอเยียวยาความเสียหายค่ะ 1) ชดเชยค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง จำนวน 2,160.80 บาท 2) ชดเชยความเสียหายของทรัพย์สินคือ กระเป๋าและเสื้อผ้าที่ถูกบะหมี่หกราด จำนวน 5,000 บาท 3)ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ฮ่องกง ของสายการบินแอร์เอเซีย จำนวน 6 ที่นั่ง (ไม่ระบุวันเดินทางไป-กลับ) 4) ให้บริษัทไทยแอร์เอเซียฯ ออกจดหมายขอโทษผู้บริโภคอย่างเป็นทางการ จดหมายขอโทษอย่างเป็นทางการถึงคุณปาริจฉัตร์ มีสาระที่น่าสนใจดังนี้ ทางสายการบินฯ และพนักงานทุกคนขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุดที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกับท่าน และขอเรียนให้ทราบว่าหลังจากได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้เข้าร่วมประชุมและหารือถึงสาเหตุและมาตรการต่างๆ ซึ่งทางหลักปฏิบัติโดยทั่วไปนั้น หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น พนักงานต้อนรับจะต้องรีบทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยใช้ชุดอุปกรณ์ตามมาตรฐานความปลอดภัยในอากาศยาน และจะต้องทำการแจ้งกับผู้ควบคุมการบินประจำเที่ยวบินนั้นโดยทันที ผู้ควบคุมการบินจะทำการติดต่อหอบังคับการ และเจ้าหน้าที่ภาคพื้นเพื่อดำเนินการเตรียมอุปกรณ์เพื่อพร้อมรับผู้โดยสารไปยังโรงพยาบาลทันที ณ เครื่องบินลงจอด ซึ่งสายการบินฯ ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นอันดับหนึ่ง พนักงานทุกภาคส่วนได้รับการฝึกอบรมตามมาตรฐานความปลอดภัยในอากาศยานมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวมิได้มีการแจ้งไปยังหน่วยงาน ผู้เกี่ยวข้องตามระเบียบปฏิบัติแต่อย่างใด ยังผลให้ท่านผู้โดยสารไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง อันเป็นเหตุมาจากการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด และการไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่กำหนดของพนักงานต้อนรับท่านดังกล่าว ทั้งนี้สายการบินฯ ได้มีการเรียกประชุมแผนกพนักงานต้อนรับเพื่อให้มีการรับทราบ และเพื่อให้พนักงานทุกคนได้ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับอย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอีกต่อไป.... เรื่องที่ยังคาใจ“ในจดหมายเราก็ยังคาใจอยู่นะคะว่าเขาได้มีการฝึกอบรมกันจริงหรือเปล่า แต่ก็อยากจะฝากให้ทางสายการบินเพิ่มความระมัดระวังมากกว่านี้ อบรมพนักงานมากกว่านี้ อย่างการส่งของให้ลูกค้าอย่างของร้อนๆ ก็ควรจะใช้ถาดในการส่งให้ ไม่ใช่ถือมาจนเกิดเรื่องขึ้นกับเราอย่างนี้ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเด็กๆ หรือเกิดเรื่องที่ร้ายแรงกว่านี้กับชีวิตก็จะไม่คุ้มกัน แล้วก็อยากจะให้สายการบินมีการอบรมพนักงานให้มากกว่าการปฐมพยาบาลเบื้องต้น อยากให้มีขั้นตอนในการเยียวยากรณีเกิดเหตุ และน่าจะมีอุปกรณ์อื่นๆ ไว้รองรับผู้โดยสารด้วยกรณีที่บาดเจ็บ เราก็ไม่ได้ขออะไรมากมายเลย เพียงแค่เราต้องการความรับผิดชอบและอยากจะให้มีการยกระดับมาตรฐานการบริการ เพราะเราคิดว่าถูกก็ดีได้ ไม่ใช่ปล่อยการบริการให้เป็นไปตามราคาตั๋ว การที่เราขอตั๋วเครื่องบินไปกลับอีกครั้ง เราก็อยากจะสร้างความรู้สึกดี – ดีให้กับเพื่อนที่ไปด้วยกันค่ะ เพราะว่าพอเกิดเรื่องขึ้นกับเราเพื่อนๆ ก็จดจำเราเรื่องของเราเกี่ยวกับการไปฮ่องกง เราเลยอยากชดเชยเพื่อนๆ ตรงนี้มากกว่า เราก็อยากจะให้สายการบินเยียวยาให้เร็วกว่านี้ เรื่องของเราก็มีในอินเตอร์เน็ตนะคะ ก็มีคนมาบอกว่าเราทำเพื่อเงินหรือเปล่า แต่เรารู้ว่าเราทำเพื่ออะไร อย่างน้อยๆ เรื่องของเราก็จะเป็นตัวอย่างให้มีความระวังมากขึ้น” แม้เรื่องของเธอเมื่อเทียบกับใครอื่นๆ แล้วอาจจะไม่ยิ่งใหญ่ แต่เรื่องราวของเธอน่าจะเป็นตัวอย่างที่ทำให้สายการบินต่างๆ เพิ่มมาตรการในการดูแลผู้โดยสารให้มากขึ้น อุบัติเหตุเกิดได้ แต่ทำอย่างไรจะดูแลผู้โดยสารได้ดีที่สุด

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 107 "บิ๊กซี" จ่ายแล้ว5.7แสนชดเชยเหยื่อหญิงเดินตกท่อห้าง ศาลชั้นต้นชี้ประมาทเลินเล่อ

"บิ๊กซี" จ่ายแล้ว5.7แสนชดเชยเหยื่อหญิงเดินตกท่อห้าง ศาลชั้นต้นชี้ประมาทเลินเล่อ นั่นเป็นพาดหัวข่าว วันที่ 16 ธันวาคม 2552 บนหน้าหนังสือพิมพ์มติชน ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จในการใช้สิทธิของผู้บริโภคอีกหนึ่งรายที่ตัดสินใจ เรียกร้องสิทธิจากห้างดังอย่างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ คุณจุฬา สุดบรรทัด คนธรรมดาที่กล้าต่อกรกับยักษ์ใหญ่บริษัทค้าปลีกข้ามชาติ ซึ่งมีสาขามากกว่า 60 สาขาทั่วประเทศ เรามาทบทวนเหตุการณ์วันกระตุกหนวดเสือกันสักนิด… เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 เจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และคุณจุฬา สุดบรรทัด เดินทางไปยัง ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์สำนักงานใหญ่ ซึ่งบริหารงานโดยบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เลขที่ 97/11 ชั้น 6 ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการยึดทรัพย์บังคับคดีลูกหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง เป็นจำนวนเงิน 405,808.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี …ในที่สุดบิ๊กซีก็ยอมจ่ายเงินค่าชดเชยให้เหยื่อหญิงเดินตกท่อลานจอดรถสาขาลำปาง 5.7 แสนบาท จากระยะเวลาการต่อสู้กว่า 2 ปี หลังกรมบังคับคดีบุกยึดทรัพย์ถึงสำนักงานใหญ่ “ความจริงเราก็ไม่อยากให้เรื่องถึงศาลหรอกนะ แต่เราขอเจรจากับทางบิ๊กซีแล้วว่าจะแก้ไขกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร บิ๊กซีจะร่วมรับผิดชอบอย่างไรกับค่ารักษาพยาบาลที่เราต้องผ่าตัดขาทั้ง 2 ข้างของเรา อีกทั้งจะรับผิดชอบวิถีชีวิตที่เปลี่ยนของเราชั่วระยะเวลาหนึ่งอย่างไร เราต้องนั่งรถเข็น ดูแลตัวเองก็ไม่ได้ แต่ทางบิ๊กซีก็ไม่ขอเจรจา เรื่องจะฟ้องนี่ทางครอบครัวก็คัดค้านไม่เห็นด้วย เพราะก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามันกินเวลานาน” มันไม่ใช่แค่อุบัติเหตุย้อนเหตุการณ์ไปในเวลาเย็นย่ำของวันที่ 12 มกราคม 2550 ระหว่างที่คุณจุฬา กำลังเดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อไปยังจังหวัดลำปาง เธอได้ขับรถยนต์แวะเข้าไปใช้บริการที่ห้างบิ๊กซีฯ สาขาลำปาง เพื่อซื้อเครื่องใช้ส่วนตัว ครั้นซื้อสินค้าเสร็จสิ้นและกำลังเดินทางกลับมาขึ้นรถที่บริเวณลานจอดรถ ตรงทางสามแยกปรากฏว่ามีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งตรงมาตามทางเดินรถที่ไม่มีลูกระนาดด้วยความเร็วในระยะประชิด คุณจุฬาตกใจเกรงว่าตนจะถูกรถชน จึงก้าวขึ้นไปบนเกาะกลางถนนที่ไม่มีไฟฟ้าส่องสว่างเพื่อหลบรถยนต์ที่วิ่งเข้าใส่ หลังจากที่หลบรถยนต์ได้แล้ว คุณจุฬาจึงตัดสินใจหลบไปอีกด้านหนึ่งของเกาะกลางถนนและก้าวลงจากเกาะกลางถนนด้านที่มืดสลัว โดยไม่ทันได้สังเกตว่าจุดที่ก้าวเท้าเหยียบลงไปนั้นเป็นร่องรางน้ำรูปตัววีที่ไม่มีฝาปิด ทำให้เท้าทั้งสองข้างลื่นไถลตกลงร่องรางน้ำรูปตัววีต่างระดับนั้นและเสียหลักลื่นล้มลงอย่างแรง กระดูกข้อเท้าขวาหลุดและแตกหัก อาการหนักพอดู.... หลังเกิดเหตุคุณจุฬาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเขลางค์นคร – ราม ลำปาง โดยเท้าซ้ายกระดูกนิ้วก้อยร้าว และเท้าขวากระดูกเท้าหักจนผิดรูป แพทย์ลงความเห็นต้องผ่าตัดทันที จึงอยู่รักษาตัวระหว่างวันที่ 12-15 ธันวาคม 2550 “ตัวแทนห้างฯ เขาก็นำกระเช้ามาเยี่ยมแล้วก็ยอมรับถึงสภาพที่เกิดเหตุ แล้วก็บอกว่าจะเร่งแก้ไขนะ พร้อมทั้งบอกกับเราว่าจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของเราทั้งหมด แต่ว่าขอให้เราพักรักษาตัวที่ลำปาง เราก็ฟังเขานะ” ในวันนั้นทางห้างฯ เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะรับผิดชอบ แต่หลังจากปรึกษากับญาติและทีมแพทย์ของโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ที่กรุงเทพ ซึ่งแนะนำให้มาฟื้นฟูร่างกายที่กรุงเทพฯ จะดีกว่า เนื่องจากเธอเป็นคนสูงอายุและไม่ใช่คนในพื้นที่ การที่ญาติจะมาดูแลย่อมเป็นเรื่องที่ลำบาก เธอจึงตัดสินใจแจ้งกับตัวแทนของห้างฯ เพื่อขอย้ายตัวมารักษาฟื้นฟูร่างกายที่กรุงเทพฯ แทน “ทางห้างฯ เขาอยากให้เรารักษาตัวที่ลำปาง เพราะทางห้างฯ สาขาลำปางไม่สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายนอกพื้นที่จังหวัดลำปางได้ แต่เขาก็จะเอาข้อเสนอของเราไปแจ้งผู้บริหารแล้วจะกลับมาบอกเรา เราก็รออยู่ 2 วัน แต่ก็ไม่มีคำตอบอะไรก็เลยย้ายมารักษาตัวที่โรงพยาบาลพระมงกุฎในวันที่ 15 ธันวาคม” คุณจุฬาย้อนเล่าเหตุการณ์ จากการพักรักษาตัวที่ลำปางมีค่าใช้จ่ายเบื้องต้นประมาณ 83,497บาท รวมค่าเดินทางและที่พัก โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทางห้างดังกล่าวเลย วันที่ 13 มกราคม 2550 คุณจุฬาได้ให้เพื่อนที่ไปด้วยกันไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง (สภ.อ.) จังหวัดลำปาง ไว้เป็นหลักฐาน ก่อนจะพร้อมย้ายการรักษามายังโรงพยาบาลพระมงกุฏ กรุงเทพฯ ซึ่งต้องอยู่รักษาที่โรงพยาบาลเบื้องต้นตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม – 24 กุมภาพันธ์ 2550 มีค่าใช้จ่าย 149,311.50บาท รวมถึงมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการผ่าตัดครั้งที่ 2 เป็นจำนวน 100,000 บาท “หลังจากย้ายโรงพยาบาล และเข้ารับการรักษาไดัระยะเวลาหนึ่งก็ทำหนังสือเพื่อร้องเรียนไปยังบิ๊กซีฯ สำนักงานใหญ่ ในวันที่11 กุมภาพันธ์ 2550 พร้อมทั้งทำสำเนาส่งถึงนายกเทศมนตรีลำปางเกี่ยวกับกรณีความไม่ปลอดภัยของพื้นที่ห้าง หลังจากนั้นวันที่ 8 มีนาคม 2550 ก็ได้รับหนังสือชี้แจงตอบกลับจากบิ๊กซีว่าไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย โดยเขาชี้แจงว่าได้มีการดูแลไปตามสมควรแล้ว” หลังจากนั้นนายกเทศมนตรีลำปางส่งจดหมายถึงคุณจุฬาในวันที่ 4 เมษายน 2550 ว่าได้เข้าไปตรวจสอบบริเวณเกิดเหตุแล้ว พบว่าไม่ปลอดภัยจริง จึงทำหนังสือถึงห้างให้แก้ไข “เราก็ไม่รู้นะว่าทางวิศวกรเขาออกแบบมาได้อย่างไร เพราะโดยทั่วไปท่อหรือรางระบายน้ำ ก็จะต้องมีฝาครอบมาปิด ไม่ควรที่จะเปิดทิ้งไว้อย่างนี้” คุณจุฬาเสริม คุยไม่เวิร์ก ก็ต้องฟ้องเมื่อได้รับจดหมายตอบกลับมาเช่นนั้นเธอก็ได้ขอนัดเพื่อเจรจากับทางบิ๊กซี แต่ไม่มีผู้ใดเข้าเจรจาด้วย เธอจึงตัดสินใจดำเนินเรื่องยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ในวันที่ 9 มกราคม 2551 โดยได้รับความช่วยเหลือจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เรียกร้องค่าเสียหายพร้อมค่าชดเชยรวม 1,149,000 บาท ซึ่งในขณะนั้น พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ยังไม่มีผลบังคับใช้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้ชนะคดีในวันที่ 11 กรกฎาคม 2551 ทางบิ๊กซีฯ ต้องชดใช้เป็นจำนวนทั้งสิ้น 405,808.50บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ตั้งแต่วันเกิดเหตุ เนื่องจากพิจารณาจากที่เกิดเหตุแล้วเห็นว่า จำเลยซึ่งประกอบธุรกิจห้างสรรพสินค้า ประมาทเลินเล่อ ไม่คำนึงถึงประชาชนที่เข้ามาใช้บริการ “โดยส่วนตัวแล้วก็เป็นคนที่ไม่ชอบปล่อยอะไรที่ไม่ถูกต้องให้ผ่านเลยไป ถ้าหากเราปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ผ่านไปอีกมันก็จะเกิดวัฒนธรรมของการละเมิดสืบต่อกันไปเรื่อยๆ แล้วเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้อีก ก็ทำให้เราคิดที่จะลุกขึ้นมาสู้ แต่ก็คิดอยู่นานนะทั้งหาข้อมูลแล้วก็ปรึกษากับคุณรสนา และคุณสารี ทางครอบครัวก็คัดค้านไม่ให้ฟ้อง เพราะเรื่องศาลเป็นเรื่องที่ยืดเยื้อ แต่สุดท้ายเราก็คิดว่าถ้าเราฟ้อง เราก็จะสร้างบรรทัดฐานว่าผู้ประกอบการจะต้องรับผิดชอบผู้บริโภค เราก็เลยตัดสินใจฟ้อง” ถึงแม้ศาลชั้นตนจะมีคำตัดสินออกมาแล้วทั้ง 2 ฝ่ายต่างใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาล โดยคุณจุฬาใช้สิทธิเพื่อแสดงสิทธิเรื่องความเท่าเทียมกันและเพื่อสร้างบรรทัดฐานในสังคม ขณะที่ทางด้านบิ๊กซีเห็นว่าเป็นจำนวนเงินที่มากเกินไปจึงยื่นขอสิทธิทุเลาบังคับคดี และศาลมีคำสั่งให้บิ๊กซีนำหลักทรัพย์มาวางประกัน ในวันที่ 24 เมษายน 2552 ทางบิ๊กซีได้นำพันธบัตรของบริษัท แอ็กซ่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทที่รับผิดชอบตรงบริเวณเกิดเหตุ มาวางเป็นหลักประกัน แต่ทางศาลเห็นว่าหลักทรัพย์ดังกล่าวไม่สามารถรับประกันได้ว่า ทางบิ๊กซีจะต้องเข้ามารับผิดชอบในเรื่องนี้ ศาลจึงคัดค้านหลักประกันดังกล่าว เพราะถือว่าไม่ปฏิบัติตามที่กำหนดที่ให้เอาเช็คเงินสดมาวางเป็นหลักทรัพย์ จึงมีผลให้คำร้องขอทุเลาบังคับคดียกเลิกไป แต่วันที่ 30เมษายน 2552 ทางบิ๊กซียื่นขอทุเลาการบังคับคดีอีกครั้ง และคำร้องยกเลิกไป เพราะยังเอาหลักทรัพย์ค้ำประกันเดิมมาวาง พร้อมกับที่ศาลสั่งให้นำหลักทรัพย์ใหม่มาวางประกันภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2552 ทั้งในวันที่ 29 พฤษภาคม 2552 และ 17 มิถุนายน 2552 และ 1 กรกฎาคม2552 และ 16กรกฎาคม2552 ทางบิ๊กซีได้ยื่นขอทุเลาบังคับคดีและศาลยกคำร้อง จนกระทั่งวันที่ 7 กันยายน 2552 ทางบิ๊กซีชี้แจงว่า ยังไม่สามารถดำเนินการตามคำสั่งศาลได้เนื่องจากยังไม่มีเงินสดตามจำนวน พร้อมยืนยันหลักทรัพย์เดิมของทางบริษัทแอ็กซ่า ประกันภัย ศาลจึงเลื่อนมาพิจารณาเมื่อวันที่ 14 กันยายน2552 โดยพิจารณาแล้วจึงมีคำสั่งยกคำร้องขอทุเลาบังคับคดี ส่งผลให้วันที่ 15 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา คุณจุฬา พร้อมเจ้าหน้าที่จากกรมบังคับคดี เดินทางไปยังห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์สำนักงานใหญ่เพื่อยึดทรัพย์ที่เป็นของบริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ตามมูลค่า 405,808.50 พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับตั้งแต่วันเกิดเหตุ รวมทั้งสิ้นเป็นมูลค่า 576,660.33บาท ซึ่งท้ายที่สุดทางบิ๊กซียินยอมจ่ายเป็นเช็คเงินสดเต็มจำนวน อะไรคือสำนึกดีสังคมดีการลุกขึ้นมาสู้เพื่อสิทธิของคุณจุฬาครั้งนี้กินว่าเวลาการต่อสู้กว่า 2 ปี สิ่งที่เธอหวังว่าอยากจะเห็นก็คือ Corporate Social Responsibility (CSR) หรือ ความรับผิดชอบทางสังคมของธุรกิจ จะเกิดขึ้นจริง “อยากให้ผู้ประกอบการตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่อยากให้เอาเปรียบสังคมจนเกินไป ไม่อยากเห็น CSR ให้เป็นเพียงเครื่องมือทำบุญล้างบาปเท่านั้น ควรจะตระหนักให้มากทั้งความรับผิดชอบต่อสังคม ต่อสิ่งแวดล้อม เพราะทุกอย่างเกี่ยวข้องกันไปหมด ผู้บริโภคอย่างเราๆ เองก็เช่นกันนอกจากจะใช้แล้วก็ต้องคอยติดตามเรื่องราวที่ตัวเราใช้สิทธิไปเช่นกัน แล้วเมื่อพบอะไรที่เอาเปรียบกับสังคมก็ต้องช่วยกันแก้ไข ไม่ควรเพิกเฉยหรือปล่อยให้สิ่งไม่ถูกต้องผ่านพ้นไป” และนั่นคืออีกบุคคลที่ฉลาดซื้อขอยกย่องค่ะ สวัสดีปีใหม่ทุกคนนะคะ คงเพราะคำว่าตามสมควร มีคำนิยามที่แตกต่างกัน การนำกระเช้าของขวัญมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล การเสนอรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลโดยยื่นข้อแม้ว่าต้องรักษาที่ลำปางเท่านั้นจึงจะสามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายได้ นั่นคืออีกนิยามของคำว่าตามสมควรแล้วของห้างบิ๊กซีฯ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 106 พลังงานสะอาดที่ครัวชมวาฬ

ครัวชมวาฬ วันนี้มีผู้คนแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ยิ่งเป็นช่วงเสาร์ – อาทิตย์ คนจะเยอะยิ่งกว่าวันอื่นๆ กลิ่นไอการต่อสู้เพื่อบ้านเกิดของคนบ่อนอกก็ไม่จางหายไป กรณ์อุมา พงษ์น้อย ประธานกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก ภรรยาของเจริญ วัดอักษร นักต่อสู้ผู้ล่วงลับ นับเป็นนักเคลื่อนไหวภาคประชาชน ที่มีวิธีคิดโดดเด่นอย่างยิ่ง จากหญิงสาวที่เรียนหลักสูตรการโรงแรมและท่องเที่ยวนานาชาติ ที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพ แต่ชีวิตเธอต้องพลิกผันกลายไปเป็นนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนได้อย่างไร ฉลาดซื้อขอพาคุณไปรู้จักกับเธอ เรื่องเล่าวันวาน โรงไฟฟ้าที่ชาวบ้านไม่ต้องการจากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการจะให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เพื่อลดภาระในการลงทุนและการกู้ยืมเงินของรัฐบาล เมื่อปี 2537 โดยโครงการที่ได้รับการอนุมัติคือ โครงการโรงไฟฟ้าที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ของบริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์เจเนอเรชั่น ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้สร้างที่ ต.บ่อนอก และบริษัทยูเนี่ยน เพาเวอร์ ดิเวลลอปเมนท์ ซึ่งจะสร้างที่หินกรูด แต่ประชาชนบางส่วนในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไม่เห็นด้วยกับโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ทั้ง 2 แห่งที่จะเกิดขึ้นในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงได้รวมตัวกันคัดค้านและนำไปสู่การชุมนุมประท้วงและปิดกั้นการจราจรบนถนนเพชรเกษมในระหว่างวันที่ 8-10 ธันวาคม 2541 จนคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2541 ให้จัดทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการดำเนินโครงการก่อสร้างที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ทั้ง 2 แห่ง ซึ่งท้ายสุดจะต้องลงเอยด้วยการอนุมัติโครงการอยู่นั่นเอง สุดท้ายชาวบ้านก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ทั้งเดินเท้าเข้ากรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี และต้องหาข้อมูลทางวิชาการที่โรงไฟฟ้าจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีกลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกเพื่ออนาคตเป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการให้กับชาวบ้านในเรื่อง “รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม” หรือ อีไอเอ แกนนำในขณะนั้นคือ เจริญ วัดอักษร ซึ่งก็คือสามีของ กรณ์อุมา พงษ์น้อย เป็นประธานกลุ่มและเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเป็นแกนนำจนกระทั่งได้ถูกลอบยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 หลังการต่อสู้ที่ยาวนาน ในปี 2546 ได้มีการแถลงข่าวว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะมีการย้ายโรงไฟฟ้าบ่อนอกไปสร้างที่จังหวัดสระบุรี และเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากถ่านหินเป็นก๊าซธรรมชาติ และปี 2547 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ย้ายโรงไฟฟ้าที่บ่อนอกไปสร้างที่แก่งคอย จังหวัดสระบุรี แต่กลิ่นไอของการต่อสู้ที่แลกด้วยชีวิตยังเคยไม่จางหาย พลังงานทางเลือก ที่ไม่ถูกเลือกจากการต่อสู้เพื่อท้องถิ่นของกรณ์อุมา บอกว่าจากจุดนี้เองที่เธอก็งงว่ารัฐพยายามบอกว่า จะใช้พลังงานที่ยั่งยืนในการผลิตไฟฟ้า แล้วทำไมไม่ส่งเสริมให้มาใช้พลังงานแสงแดด พลังงานลม“ความคิดเรื่องการใช้พลังงานสะอาด เกิดขึ้นตอนที่พวกเราคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้า แล้วเราก็ชูประเด็นในระดับนโยบายกับรัฐว่าการใช้เชื้อเพลิงที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมน่าจะปรับเปลี่ยนได้แล้ว และควรจะเป็นพลังงานสะอาดหรือพลังงานทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น ลม แสงแดด เรานำมาใช้ประโยชน์ได้ โดยใช้แผงโซ่ล่าเซลล์หรือกังหันลม ซึ่งรัฐเองก็บอกแต่ว่าต้นทุนสูง ซึ่งเราก็งงว่าจะต้องใช้ต้นทุนอะไร ในเมื่อสายลมแสงแดดเราไม่ต้องซื้อ ในขณะที่ถ่านหินต้องซื้ออีกอย่างตอนที่เจริญเขายังมีชีวิตอยู่ ก็เคยคุยๆ กันอยู่ ตอนที่ต่อสู้กันอย่างเข้มข้นว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะทำกังหันลม ซึ่งมองที่ดินสาธารณะที่ติดชายทะเลไว้ และเป็นที่ดินที่อยู่หน้าโรงไฟฟ้า ซึ่งถ้าหากพวกเราทำได้ก็น่าจะดี เรามองประเด็นเรื่องการท่องเที่ยวด้วย แต่ตอนนั้นมองภาพเป็นกังหันขนาดใหญ่ ก็พยายามมองหาเทคโนโลยีต่างๆ แต่เจริญก็เสียชีวิตไปก่อนครั้นเรามาสานต่อเรียนรู้ร่วมกับชุมชนถึงการทำกังหันโดยใช้วัสดุง่ายๆ ที่หาได้ที่บ้านเรา นั่นคือตัวกังหันต้องมีดุมล้อ ใบพัดกังหันก็ทำจากไม้ ก็สามารถผลิตไฟฟ้าได้ ถึงมันจะไม่ได้มากนักแต่ก็เป็นพลังงานทางเลือกที่ทดแทนกันได้ในระดับหนึ่ง เราได้เขียนโครงการของบประมาณ สนับสนุนจาก สสส.ได้เงินให้ชุมชนทำพลังงานสะอาด เราขอทำกังหันไป 3 ตัว ตัวแรกก็คือตัวที่ตั้งที่ร้าน ซึ่งเราทดสอบกับลมทะเล อีกตัวก็ไปตั้งไว้ที่วัดซึ่งเรานำไปทดลองใช้กับวิทยุชุมชน ซึ่งเท่าที่ทดลองมาก็นำไฟฟ้ามาใช้งานได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่นับรวมว่าจะนำไปใช้กับแอร์ได้นะ ก็เสียบคอมพิวเตอร์ วิทยุได้แต่กระบวนการที่ผ่านมาก็ทำให้เราได้รู้ว่ากังหันลมที่เราทำขึ้นมา ก่อให้เกิดพลังงานได้จริง แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้ก็คือกระบวนการลองผิดลองถูก” ลองผิดลองถูกทำให้เรา รู้จริงกระบวนการที่กรณ์อุมาว่าก็คือตั้งแต่เริ่มซื้อแบตเตอรี่เพื่อเก็บไฟฟ้า กว่าจะรู้ว่าแบตเตอรี่มีความต่าง“ช่วงแรกๆ ก็ถือว่าเราหมดไปเยอะ อย่างซื้อแบตฯ เราก็คิดถึงการใช้งานระยะยาว ก็ไปซื้อแบตเตอรี่แห้ง เจ้าของร้านก็แนะนำเราอย่างดี พอซื้อมาใช้จริงๆ ถึงรู้ว่าเราเสียรู้ เอ่อ..อันนี้ไม่ฉลาดซื้อนะ” เธอพูดพลางหัวเราะก่อนจะอธิบายเพิ่มเติม“เสียรู้ก็คือเรามารู้ภายหลังว่าไฟฟ้าที่มาจากกังหันนั้น กระแสไฟฟ้าไม่สม่ำเสมอทำให้เราเก็บไฟไม่ได้เลย และที่เหมาะสมที่สุดคือแบตเตอรี่น้ำ เราก็เลยเสียแบตเตอรี่ไป 4 ลูก ตอนนั้นซื้อมาลูกละ 7,000 บาทได้นะ เลยทำให้เราเรียนรู้ว่า เราต้องมองหาแหล่งซื้อของให้มากขึ้น อย่างแม่เหล็กที่แผงวงจรไฟ เราก็ไปหาซื้อที่คลองถมจะซื้อได้ถูกกว่าแค่ 180 บาทจาก 250 บาท” นั่นคือบทเรียนที่เธอและชุมชนได้เรียนรู้ นอกจากจะศึกษาเองแล้ว เธอยังไปศึกษาเรียนรู้ดูงานกับเครือข่าย ที่ทำงานด้านพลังงานทางเลือก เพื่อพัฒนาร่วมกัน “ตอนนี้ก็เริ่มมีแนวคิดว่า จะพัฒนากังหันลมที่ทำอยู่ให้ได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใบพัดที่คงทน ระบบการผลิตและจัดเก็บไฟฟ้า แล้วถ้ามันสมบูรณ์แบบเมื่อไร ก็คิดว่าจะทำให้กังหันมีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมทั้งขยายแนวคิดออกสู่ชุมชน ปัจจุบันคิดค่าต้นทุนทั้งกังหันลม แบ็ตเตอรี่เก็บไฟ ตัวเร็กกูเลเตอร์ เบ็ดเสร็จก็น่าจะ 50,000 บาท ต่อ 1 ชุด” เธอแจกแจงแนวคิดที่จะขยายโครงการ หากเธอนับหนึ่ง นับสอง ได้สำเร็จ ครั้นฉลาดซื้อถามถึงผลตอบรับจากบ้านว่าเป็นอย่างไร เธอตอบอย่างหน้าชื่นว่าคนผ่านไปมาก็ถาม ลูกค้ามาถาม บางคนก็เข้ามายินดีกับเธอที่เธอสามารถนับหนึ่งการใช้พลังงานสะอาดได้แล้ว “ความตั้งใจจริงๆ ที่ทางกลุ่มลงมือกันทำก็คือ อยากจะขยายไปสู่วัด โรงเรียน ก่อนที่เป็นรายบ้าน เพราะเมื่อทำงานกับโรงเรียนก็จะได้ทำงานกับเยาวชนด้วย ได้เพิ่มการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ ด้วย” นั่นคือเป้าหมายที่เธอและทางกลุ่มคาดหวังไว้โรงไฟฟ้าแค่จิ๊กซอตัวเล็กๆ ในแผนพัฒนาอุตสาหกรรมภาคใต้“ตั้งแต่โรงไฟฟ้าไปชาวบ้านก็ทำงานของเขาตามปกติ คือปกติเขาก็ทำงานของเขาอยู่นะ แต่พอมีปัญหาการรวมตัวของชาวบ้านก็จะมาทันที ถ้าถามว่าโรงไฟฟ้ามันจบไหม คือ…เอาเข้าจริงๆ ประจวบฯไม่ได้เจอแค่โรงไฟฟ้านะ โรงไฟฟ้าเป็นเพียงจิ๊กซอตัวเล็กๆ ในแผนพัฒนาอุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือเซาเทิร์นซีบอร์ด ที่ตอนนี้เริ่มขยับตัวแล้วโรงไฟฟ้าก็มีบ่อนอก หินกรูด แล้วก็ทับสะแก ตอนนั้นเราสู้ร่วมกัน ซึ่ง 3 โรงไฟฟ้านั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะรองรับอุตสาหกรรมที่จะตามมา ซึ่งนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าทางสภาพัฒฯ และเอดีบี ได้สำรวจและมีงานวิจัยออกมาแล้วว่าที่ อ.กุยบุรี เหมาะกับการสร้างเหล็กต้นน้ำ พูดง่ายๆก็คือโรงผลิตเหล็ก ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมของบ้านเรา แต่มันเก่ามาจากต่างประเทศ อย่างสหรัฐ ฯ อังกฤษ ญี่ปุ่น แล้วตอนนี้เขาก็ย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศอย่างเราๆ เหมือนเป็นการล่าอาณานิคมสมัยใหม่ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจในการล่า บ้านเราก็มีบทเรียนมาแล้วจากระยอง นั่นก็คือมาบตาพุด ไม่ว่าจะเป็นชื่อร้าน ชื่อโรงงานมีแต่ของต่างประเทศทั้งนั้น ที่มายึดไทยเป็นฐานการผลิตแล้วเอากำไรกลับประเทศเขาไปในประจวบฯ เองก็ไม่ใช่มีแค่เหล็กต้นน้ำ มันก็จะมีอุตสาหกรรมอื่นๆ ตามมา คือมันก็จะเป็นแบบเดียวกับที่ระยอง ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ต้องใช้คำว่าภาคใต้ถึงจะถูก ประจวบฯ เป็นแค่จังหวัดแรกของภาคใต้เท่านั้น โรงไฟฟ้าบ่อนอก ที่บอกว่าเหมือนจะจบแล้ว แต่มันยังไม่จบ เพราะรัฐได้ทำสัญญาไปแล้วก็ต้องย้ายไปสร้างที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี จากกำลังการผลิต 700 เมกะวัตต์เป็น 1,400 เมกะวัตต์ คือแต่ละที่ก็ต้องสู้ต่อ ถ้าถามว่าในทางนโยบายการผลิตไฟฟ้าที่ประจวบฯ ยังมีอยู่หรือเปล่า ที่ 4,000 เมกะวัตต์ ยังมีนะก็คือ บ่อนอก 700 เมกะวัตต์ บ้านกรูด 1,400 เมกะวัตต์ และที่ทับสะแกอีก 2,100 เมกะวัตต์ แต่ตอนนี้กำลังการผลิตที่ทับสะแกเปลี่ยนไปแล้วนะถ้าเขาสร้างได้เต็มที่จะอยู่ที่ 14,000 เมกะวัตต์ คือจะใหญ่กว่าแม่เมาะเลยทีเดียว และนั่นคือโรงไฟฟ้าถ่านหิน คิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่นี่ ไม่อยากจะให้รัฐมาขับไล่พวกเราอีก คือไม่ใช่ว่าเราต้านไปหมดทุกอย่างนะ เพียงแต่อยากให้รัฐทำให้ถูกที่ ทำไมจะต้องมาสร้างในชุมชน” กรณ์อุมา แสดงทัศนะและย้อนไปถึงโรงไฟฟ้าที่เป็นด่านแรกของแผนพัฒนาฯ เท่านั้น ยังมีอีกหลายโครงการที่กำลังจะตามมา“ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2551-2564(PDP 2007) เขาจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ด้วย ทั้งที่ปัจจุบันโรงไฟฟ้าเท่าที่มีอยู่สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากถึง 29,891 เมกะวัตต์ ในขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเมื่อปี 2551 อยู่ที่ 22,568 เมกะวัตต์ ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่เกินความต้องการถึง 7,323 เมกะวัตต์ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นที่บอกว่าถ้าไม่สร้างโรงไฟฟ้าที่ประจวบฯ จะทำให้ไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการใช้ในประเทศ ก็ไม่เข้าใจรัฐนะ แล้วการที่จะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็บอกว่าเป็นพลังงานทางเลือกอีกตัวหนึ่ง เราก็งงมากในสมัยที่เราสู้เราก็บอกว่าพลังงานทางเลือกก็คือ สายลม แสงแดด พลังงานชีวมวล แต่ว่าพลังงานทางเลือกของรัฐตอนนี้คือก๊าซ ถ่านหิน นิวเคลียร์ แถมยังบอกเราว่าลดความเสี่ยง ทั้งที่สิ่งเหล่านี้มันเสี่ยงมากกับชีวิต กับสุขภาพ กับวิถีชีวิตของคน แต่รัฐอ้างเพียงว่าเชื้อเพลิงจะหมดไป แต่เรากลับมองต่างว่าสายลม กับแสงแดด มันไม่มีวันหมดอยู่แล้ว” รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาดหลังเหตุการณ์ ต่อสู้เรื่องโรงไฟฟ้า ซึ่งนั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตกรณ์อุมา จากคนที่รักสงบ แต่ปัจจุบันเธอต้องรับหน้าที่เป็นประธานกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก แล้วยังเป็นแกนนำคนสำคัญในการเคลื่อนไหวเพื่อให้ชาวบ้านในจังหวัดประจวบฯ ได้เข้าใจถึงผลกระทบที่จะตามมาของโครงการพัฒนาฯ จนเกิดเป็นกลุ่ม “เครือข่ายพันธมิตร สิ่งแวดล้อมประจวบฯ” รวมถึงมีส่วนในการก่อตั้ง “เครือข่ายประชาชนภาคใต้” เพื่อต่อสู้กับแผนพัฒนา ที่กำหนดให้ภาคใต้เป็นเมืองอุตสาหกรรม ต้องเดินทางเกือบจะตลอดเวลา ชีวิตรักสงบของเธอจึงเปลี่ยนไป “โอ้โห มันเปลี่ยนไปแบบไม่เหลือเลย จากคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย วันๆ ก็อยู่กับการทำมาหากิน มีเวลาก็จะอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน ไม่ชอบไปไหน พอถึงวันนี้การต่อสู้ที่ผ่านมาโดยเริ่มจากปัญหาของตัวเอง พอเรามาจับปัญหาแล้วมันทำให้เรารู้ว่าบ้านเมืองเรายังมีปัญหาอีกเยอะมาก โดยเฉพาะแผนพัฒนาฯ ถ้าเราไม่ช่วยกันก็จะเป็นปัญหาในระยะยาว ก็คิดนะว่าถ้าเราทำอะไรเพื่อใครได้ก็อยากจะไปเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับส่วนอื่นๆ มันก็เหนื่อยนะ แต่พอพักมันก็หาย” ครัวชมวาฬ ครัวเพื่อการเรียนรู้ของชุมชน“พอเราต้องออกเดินทางบ่อยๆ เราก็ยกร้านอาหารให้พี่สาวมาช่วยดูแล เพราะมันต้องมีคนมาดูแลทั้งร้าน ทั้งที่พัก มีคนยุให้เปิดที่พักอีก แต่แค่นี้ก็พอแล้ว เราทำไม่ได้กะจะหวังร่ำรวยอะไร แค่พอมีเงินมาจุนเจือครอบครัว ให้คนในชุมชนได้มีงานทำ แล้วก็เปิดให้คนข้างนอกเข้ามาพัก เข้ามาดูว่าบ่อนอกเป็นอย่างไรแค่นี้ก็พอแล้ว คนที่มาพักก็มีสงสัยนะว่าทำไมไม่เห็นปลาวาฬบรูด้าเลย คือเราก็ไปบังคับให้มันมาว่ายไม่ได้ คือบ้านเราเห็นมันมาจนเป็นปกติ บ้านเราเรียกว่าปลาเจ้า ช่วงที่ต่อสู้เรื่องโรงไฟฟ้า ซึ่งเขาบอกว่าอีกไม่นานหรอกที่นี่อาชีพประมงจะล่มสลายเพราะทะเลไม่อุดมสมบูรณ์ เรื่องปลาวาฬ จึงถูกหยิบยกเพื่อมาสู้กันในเรื่อง อีไอเอ ความอุดมสมบูรณ์ของทะเล ปลาวาฬกินอาหารทีเป็นตันๆ แบบนี้คุณจะมาบอกว่าบ้านเราไม่สมบูรณ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนที่จะมาที่นี่เขาก็จะมาศึกษาธรรมชาติ มาพัก เราก็จะสกรีนลูกค้าเราได้ส่วนหนึ่งแล้ว บางวันมีม็อบเราก็จะบอกว่าไม่ขายนะคะ ไปม็อบ เพราะคนที่ทำงานที่นี่ก็เป็นคนในชุมชน เวลาที่จะออกไปต่อสู้หรือเรียกร้องอะไร ก็จะพากันไปหมด เพราะทุกคนอยากสู้เพื่อชุมชน สู้เพื่อบ้านเกิดของตัวเอง” ใครที่อยากชิมอาหารครัวชมวาฬ แวะกันไปด้วยทุกวันค่ะ (ยกเว้นไว้ไปม็อบ) เข้าไปดูรายละเอียด ได้ที่ www.kruachomwhale.com

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 เขาหาว่าผมเป็นเจ้าบ่าวพิการ

“ดูสิเจ้าบ่าวพิการด้วย” “ไม่มีปัญญาหาละมั้งเลยไปคว้าคนพิการมาแต่งงานด้วย” แขกที่มางานแต่งงานหลายคนแอบวิจารณ์ คู่บ่าว – สาว เพราะแทนที่คู่บ่าว – สาวจะทำอะไรพร้อมๆ กัน และนั่งอยู่เคียงกันระหว่างงานพิธี แต่ที่เห็นกลับเป็นภาพของเจ้าบ่าวต้องนั่งไหว้พระอยู่ในรถเข็นพิษณุ สันป่าแก้ว ชายหนุ่มจากจังหวัดแพร่ อาชีพวิศวกรไฟฟ้า คือเจ้าบ่าวของงานมงคลสมรสในวันนั้น ส่วนเจ้าสาวคือพันตำรวจตรีหญิงอุไรวรรณ แห้วนคร พยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ หลังดูใจกันมากว่า 6 ปีทั้งคู่จึงตกลงใจว่าจะแต่งงานกัน งานวิวาห์ที่ทั้งสองเฝ้าเพียรเตรียมงานมาตั้งแต่ต้นปีดูจะไม่ค่อยสมบูรณ์สักเท่าไร เมื่อเจ้าบ่าวต้องมานั่งอยู่ในรถเข็นและในงานเลี้ยงก็มีเจ้าสาวเพียงคนเดียวที่เดินรับแขกตามโต๊ะ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ่าว และเกี่ยวข้องกับสิทธิผู้บริโภคอย่างไร เชิญติดตาม ความปกติที่ไม่ปกติ“ปกติผมจะกลับบ้านในช่วงสงกรานต์ทุกปี แต่ครั้งนี้พิเศษหน่อยคือผมไปแจกการ์ดแต่งงานด้วย (งานแต่งกำหนดไว้วันที่ 3 พ.ค.2552) ขณะผมเดินทางจากบ้านที่จังหวัดแพร่ เพื่อที่จะกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ บริษัทรถโดยสารที่ผมใช้บริการประจำเต็มก็เลยต้องไปใช้ของอีกบริษัทหนึ่งคือวิริยะแพร่ทัวร์” พิษณุได้ตั๋วกลับกรุงเทพในวันที่ 17 เมษายน กับบริษัทวิระยะแพร่ทัวร์ จำกัด เป็นรถปรับอากาศ ม.1(ข) 34 ที่นั่ง หมายทะเบียน 13-9029 กรุงเทพ นั่งติดหน้าต่างแถวที่ 2 ฝั่งคนขับ พิษณุมารอขึ้นรถที่สถานีขนส่งจังหวัดแพร่ ตั้งแต่สองทุ่มครึ่งตามกำหนดเวลาออก แต่กว่ารถจะออกจากสถานีได้ก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม พิษณุนั่งดูคนขับ ขับรถมาเรื่อยๆ สังเกตได้ว่าขับเร็วมากและแซงตลอด แม้ในช่วงขึ้นเขาก็ยังแซง หลังจากดูให้แน่ใจแล้วว่ามาถึงเส้นทางช่วงระหว่างพิจิตรมาพิษณุโลก ก็นอนใจว่าคงไม่มีอะไรแล้วจึงงีบหลับไป ดูเหมือนทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีแต่เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เสียงร้องเอะอะเกิดขึ้น รถทั้งคันมืดสนิทราวทุกอย่างหยุดนิ่ง มีแต่เสียงโวยวายของผู้คนเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่า “รถชนเข้าแล้ว” รถโดยสารที่เขานั่งไปชนท้ายรถบรรทุก 18 ล้อ บรรทุกปูนซีเมนต์ ผู้โดยสารเต็มคันรถอลม่านกันอยู่ในความมืด และหนึ่งในห้าของผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสคือพิษณุ นั่นเอง “มันมืดแล้วก็ร้อนมาก เครื่องรถดับ ผมรู้แล้วว่ารถต้องชนแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าชนอะไรผมพยายามขยับตัว แต่ก็ลำบากเพราะว่าเก้าอี้มาทับผม ขยับขาไม่ได้ จนคนในรถเขาออกกันไปหมดเหลือผมอยู่คนเดียว…ผมต้องตะโกนและเคาะกระจกให้รู้ว่ายังมีผมติดอยู่ข้างในอีกคน” ระหว่างรอให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยออกมาจากรถ พิษณุยอมรับว่า ‘กลัวมาก’ เพราะระหว่างนั้นได้กลิ่นน้ำมันคลุ้งไปทั่ว “กลัวไฟจะไหม้รถ มืดก็มืดแล้วก็ร้อน ผมใช้น้ำที่เขาให้ตอนขึ้นรถ ทั้งกินและทั้งรดตัวเอง ตอนนั้นผมเริ่มเจ็บขามากขึ้นๆ และพอจะรู้ว่าขาหักเพราะลองขยับแล้วมันไม่มีแรง กลัวรถระเบิดก็กลัว ถ้ามันระเบิดผมจะเป็นอย่างไร” พิษณุพาตัวเองกลับไปอยู่ในรถคันนั้นอีกครั้ง เพื่อที่จะถ่ายทอดบรรยากาศ ณ เวลานั้นออกมาให้ได้ใกล้เคียงที่สุด รอยยิ้มที่ผุดพรายระหว่างย้อนเล่าเรื่อง ราวกับจะบ่งบอกว่า“ผมดีขึ้นจากวันนั้น” เพราะในวันที่เกิดเหตุเขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะยิ้มให้ตัวเองเลยสักนิดในคืนนั้น พิษณุถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ได้รับการล้างแผล ฉีดยาป้องกันบาดทะยัก ก่อนพยาบาลจะช่วยเก็บข้าวของที่ติดตัวมาส่งให้พิษณุที่ยังมีสติอยู่พร้อมย้ำว่า “ให้เก็บตั๋วรถไว้ให้ดี” และส่งตัวต่อมายังโรงพยาบาลพุทธชินราช โรงพยาบาลประจำจังหวัดพิษณุโลกเพื่อที่จะทำการผ่าตัดขาซ้ายท่อนบนช่วงสะโพกที่หัก อีกทั้งเสียเลือดมากจากบาดแผลลึกที่หน้าแข้งซ้าย หลังจากย้ายมาที่โรงพยาบาลพุทธชินราชเขาก็ยังไม่ได้รับการผ่าตัด แต่โรงพยาบาลได้ทำการเอกซเรย์และดามขาเขาไว้ ก่อนจะให้พักที่โรงพยาบาลนี้หนึ่งคืน โดยที่ยังไม่ได้เย็บแผลให้ จนเช้าวันใหม่มาถึง “ผมนอนที่นั่นหนึ่งคืน จนเช้าทางโรงพยาบาลก็ฉีดยาแก้ปวดให้ผม ผมถามว่าเมื่อไรจะผ่าตัดให้ผมเขาบอกแต่ว่าให้รอก่อนเพราะมีเคสที่หนักกว่าผมอีกสองคน ผมเลยโทรหาแฟนบอกว่าไปรักษากรุงเทพฯ ดีกว่า เพราะผมปวดจะให้รอถึงเมื่อไรอีกคือมันรอไม่ได้แล้ว เลยให้แฟนติดต่อหารถพร้อมพยาบาล เพื่อจะมารับไปที่โรงพยาบาลตำรวจ” ในบ่ายวันที่ 18 เมษายน 2552 พิษณุจึงได้ย้ายมาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่คนรักเป็นพยาบาลอยู่ โดยเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่ารถพยาบาลและค่าพยาบาลสองคนที่มากับรถเป็นเงิน 6,000 บาท “ถึงโรงยาบาลตำรวจประมาณทุ่มกว่าๆ แล้วทางพยาบาลก็เปิดแผลออก พบว่าแผลที่หน้าแข้งยังไม่ได้เย็บ จึงล้างแผลใหม่และขูดแผลเพื่อให้เป็นแผลสด แล้วถึงจะเย็บแผลเพราะเขากลัวว่าเนื้อมันจะไม่ติด คือ...ตอนนั้นยังไงก็ได้ ก็ต้องทนล่ะ” พิษณุยังจำความเจ็บปวดคราวนั้นได้ดี จากสีหน้าเหยเก และยิ้มแห้งๆ ของเขา เจ้าบ่าวอย่างผมพิษณุพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2552 ก่อนจะออกมาเข้าพิธีแต่งงานในวันที่ 3 พฤษภาคม 2552 ช่วงที่ต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล พิษณุรู้สึกแย่กับตัวเองมาก ที่ต้องให้แม่มาดูแลกลายเป็นภาระของแม่และคนรักไป ราวกับว่าเขากลายเป็นคนพิการไปแล้ว พิษณุเดินทางมาเข้าพิธีแต่งงานที่บ้านเจ้าสาวที่จังหวัดบุรีรัมย์ทั้งๆ ที่ เขายังต้องนั่งรถเข็น และต้องใช้ไม้ค้ำยันในบางขณะที่ต้องเดินไปรับแขก วูบแรกที่เกิดอุบัติเหตุเขาคิดว่าอย่างไรเสียงานแต่งที่เตรียมงานมากว่าห้าเดือนต้องเลื่อนออกไปแน่ๆ แต่หญิงสาวคนรักก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่า อย่างไรก็จะไม่เลื่อนงานแต่ง ถึงแม้จะไม่ได้ยืนเคียงกันก็ขอให้ได้นั่งรถเข็นแต่งงานก็ได้ “มันก็ต้องแต่ง แต่งทั้งๆ ที่ยังต้องใช้ไม้ค้ำยันอยู่นี่ล่ะ ดีกว่าจะเลื่อนงานออกไปเพราะเราเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ยกเว้นผมคนเดียวที่ยังต้องนั่งรถเข็น ปวดแผลก็ปวดแต่ก็กินยาแก้ปวดไว้ ภาพถ่ายที่ออกมาจึงไม่เหมือนกับงานคู่อื่นๆ เขา อย่างตามโต๊ะรับแขกก็จะมีเพียงเจ้าสาวของผมเท่านั้น ผมได้แต่มอง มันรู้สึกไม่ดีมากๆ งานแต่งของผมทั้งที กลับต้องมีคนมาคอยดูแล แต่งตัวเองก็ไม่ได้ต้องรอให้เขามาช่วย...มันรู้สึกแย่ ต้องนั่งรถเข็น แล้วเวลาจะถ่ายรูปกับแขกแฟนผมก็เดินไปคนเดียวผมไปด้วยไม่ได้” ยิ่งกว่านั้นมีชาวบ้าน ที่ไม่รู้ว่าพิษณุประสบอุบัติต่างพูดคุยนินทากันทั่วงาน “เขาว่าผมเป็นคนพิการทั้งที่เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับผม เขาไม่น่าจะพูดอย่างนั้น” พิษณุแค่นหัวเราะให้กับโชคชะตาที่เล่นตลกร้ายกับเขา งานแต่งผ่านพ้นไปแล้ว แต่ละครชีวิตของพิษณุไม่ได้จบบริบูรณ์เหมือนละครทีวี ทั่วไปที่เรื่องมักจบลงอย่างมีความสุขหลังการแต่งงาน หลังงานแต่ง พิษณุกลับมาพักรักษาตัวต่อที่คอนโดย่านรามคำแหง โดยบริษัทที่เขาทำงานเป็นวิศวกรไฟฟ้าอยู่ให้หยุดพักรักษาตัวเป็นเวลา 3 เดือน ชีวิตประจำวันของพิษณุต้องเปลี่ยนไปเขาต้องพักฟื้นอยู่ในห้องพักชั้นเจ็ดที่ไม่ใช่สวรรค์ชั้นเจ็ด เพราะเขาต้องจำใจ ขังเดี่ยวตัวเองอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีครีม ที่ด้านข้างมีหน้าต่างเล็กๆ พอให้สูดอากาศภายนอกได้เท่านั้น ส่วนอาหารที่ตอนร่างกายปกตินึกอยากจะกินอะไรก็ได้ ก็ต้องกลายมาเป็นข้าวกล่อง ที่คนรักซื้อเตรียมไว้ให้ก่อนจะไปเข้าเวรที่โรงพยาบาลตำรวจ ถึงเวลาอาหารพิษณุจะนำข้าวกล่องเข้าเตาไมโครเวฟ นั่งกินข้าวในห้องพักโดยลำพัง ไม่มีโอกาสได้ไปกินข้าวกับเพื่อนฝูง หรือวันหยุดแทนที่จะได้ออกไปเดินเล่น ไปเรียนภาษา ก็ต้องใช้ทีวีเป็นช่องทางในการออกสู่โลกภายนอกแทนขาทั้งสองข้าง ซ้ำในเวลาเดินก็ต้องมีขาที่สามและสี่งอกออกมาจากรักแร้ทั้งสองข้าง นอกจากที่จะต้องพักฟื้นรักษาอาการบาดเจ็บหลังการผ่าตัดขาซ้ายแล้ว พิษณุยังต้องไปหาแพทย์เพื่อตรวจสภาพเข่าทั้งสองข้าง ซึ่งหลังการสแกนพบว่าเอ็นและข้อเข่ามีปัญหาแต่ไม่ถึงกับต้องผ่าตัด แพทย์สั่งให้กินยารักษาข้อเสื่อมอีกสามเดือน สิทธิต่างๆ ตอนเป็นผู้โดยสารผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าบริษัทต้องจ่ายเท่าไรจนบริษัทประกันมาบอกผมนี่ละ ว่าอ้อมีสิทธิรักษาเท่านี้นะ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุก็คงไม่รู้ว่ารถโดยสารมีประกันอะไร เพราะในตั๋วก็ไม่ได้เขียนไว้ว่ามีประกันอะไรบ้าง เรามีสิทธิเรียกร้องอย่างไรเรารู้แค่ว่าเราซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นรถได้ ผมว่าไม่มีใครจะไปคิดหรอกนะว่าจะเกิดอุบัติเหตุ แต่พอมันเกิดแล้วนี่สิ เราถึงจะมาอ่าน มาหาความรู้ว่าสิทธิเราคืออะไร มีอะไรบ้าง ก็ไม่มีใครบอก  ถามหาผู้รับผิดชอบ สำหรับค่ารักษาพยาบาลถ้าหากนับตั้งแต่โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ที่ต้องจ้างรถพยาบาลให้มาส่งที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นเงิน 6,000 บาท ซึ่งเขาต้องจ่ายไปก่อนแล้วมาเบิกกับบริษัทประกันภายหลัง ค่ารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจก็เป็นหน้าที่ของบริษัทประกันที่บริษัทวิริยะแพร่ทัวร์ทำไว้ที่จะต้องมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ขณะที่เขาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจเช่นกัน “ทางบริษัทประกัน จ่ายค่ารักษาให้ทั้งหมดตอนที่อยู่โรงพยาบาลตำรวจ 48,025 บาท แต่มันก็มีส่วนเกินที่ผมต้องออกไปก่อนประมาณสองหมื่น ตอนนี้ยังไม่ได้คืนจากบริษัทประกัน แล้วล่าสุดที่ผมเพิ่งไปสแกนเข่ามานี่ก็ 16,000 บาท ซึ่งทางบริษัทประกันได้เข้าแจ้งกับผมตอนที่อยู่โรงพยาบาลที่พิษณุโลกว่า ไปรักษาที่โรงพยาบาลไหนก็ได้ในงบค่ารักษาไม่เกิน 5 แสนบาท เพราะบริษัทรถได้ทำประกันชั้น 1 ไว้กับ บริษัทสินมั่นคงประกันภัยจำกัด (มหาชน) ตอนนี้ก็รอให้ทางบริษัทจ่ายส่วนที่ผมจ่ายไปคืนมา” ตั้งแต่เกิดเหตุมาบริษัทรถและบริษัทประกันได้ไปเยี่ยมพิษณุที่โรงพยาบาลที่พิษณุโลก แล้วก็ไม่ได้ติดต่อมาหาพิษณุอีกเลย กลับเป็นว่าเขาต้องเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาไปตามเรื่องเอง ตอนแรกโทรไปตามเรื่องที่บริษัทรถก็ทำอะไรไม่ได้ ถูกโยนให้ติดต่อไปที่บริษัทประกันแทน “คือก็เกินไปนะตั้งแต่ผมขาหักมาเนี่ยไม่เคยติดต่อมาหาผมเลย ทำเหมือนผมไปขอเขาขึ้นรถงั้นแหละทั้งๆ ที่ผมก็จ่ายเงินให้เขา ไม่อยากขึ้นรถบริษัทนี้อีกแล้วอยากเห็นหน้าเจ้าของบริษัทจริงๆ ” พิษณุเน้นย้ำว่าต้องการเห็นหน้าเจ้าของรถ แบบที่พูดจริงๆ นอกจากนั้นพิษณุยังต้องโทรศัพท์ไปติดต่อสอบถามความคืบหน้าทางคดี ที่สถานีตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุด้วยเช่นกัน เพราะไม่ได้รับการติดต่ออะไรจากตำรวจเลย “มีอยู่ครั้งหนึ่งตำรวจมาสอบปากคำ ผมก็ให้การไปตอนแรกนึกว่าเขาจะยื่นฟ้องอาญากับคนขับ แต่กลายเป็นว่าจะเป็นการยื่นฟ้องแพ่งกับบริษัทรถ มีทนายให้แต่จะต้องให้ 30 เปอร์เซ็นต์กับทนาย ผมก็อ้าว..เลยยังไม่ฟ้อง ผมฟ้องเองดีกว่า เพราะผมกะว่าจะฟ้องบริษัทอยู่แล้ว เพราะไม่เคยมาติดต่อเลย กระเช้าสักกระเช้ายังไม่มี ตอนนี้จะยื่นฟ้องเองในคดีศาลผู้บริโภค” พิษณุได้ให้ทนายความอาสา ศูนย์ทนายความอาสาเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภครับมอบอำนาจยื่นฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคต่อศาลแพ่ง (รัชดาภิเษก) โดยมี นายเจริญ ชาวส้าน พนักงานขับรถทัวร์ เป็นจำเลยที่ 1 บริษัทวิริยะแพร่ทัวร์ จำกัด เป็นจำเลยที่ 2 บริษัทขนส่ง จำกัดเป็นจำเลยที่ 3 และบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด เป็นจำเลยที่ 4 เรียกค่าเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น 5,664,046.50 บาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการไกล่เกลี่ยกับบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด ค่าชดเชยสินไหมสุดขอบฟ้าเมื่อถามถึงกระบวนการชดเชยค่าเสียหายต่างๆ ว่าเป็นอย่างไรพิษณุ ตอบทันควันว่า “มันช้า” พร้อมเสนอทางออกว่าน่าจะมีเกณฑ์ออกมาให้มีการจ่ายค่าชดเชยทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ เคสนี้ เคสนั้นไม่ต้องรอให้เป็นคำสั่งศาลแล้วถึงจะจ่าย และน่าจะจ่ายที่เพดานสูงสุดไม่ต้องรอให้เคสสำรองเงินไปก่อนแล้วค่อยมาเบิกจ่ายกันทีหลังอีก “นอกจากจะมีมาตรการชดเชยแล้วผมว่า บริษัทรถหรือคนขับก็ต้องประเมิน ต้องมีการควบคุมคนขับรถด้วยว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมไหม ไม่ขับรถเร็วเกินไป อย่างคันที่ผมนั่งมารู้จากตำรวจว่าขับมาสี่รอบแล้ว รัฐเองน่าจะเข้ามาดูตรงนี้ด้วย คืออุบัติเหตุมันไม่ได้มาจากเราน่ะ มันอยู่ตรงที่คนที่จะมาขับรถให้เราเขาอยู่ในสภาพพร้อมหรือเปล่า ต้องมีมาตรการตรวจสภาพคนขับด้วย อาจจะมีหมอมาตรวจสภาพหน่อยว่าพร้อมที่จะขับไหมเพราะมันเป็นช่วงเทศกาล ไม่ใช่กะทำรอบอย่างเดียว แล้วอีกอย่างไปดักจับคนเมาซะมากกว่า รถคันที่ผมนั่งมาคนขับน่ะไม่เมาหรอกแต่มันเหนื่อยเป่ายังไงก็ไม่เจอหรอก” พูดจบพิษณุหัวเราะพร้อมกับส่ายหัวอย่างเอือมระอา “สิทธิต่างๆ ตอนเป็นผู้โดยสารผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าบริษัทต้องจ่ายเท่าไรจนบริษัทประกันมาบอกผมนี่ละ ว่าอ้อมีสิทธิรักษาเท่านี้นะ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุก็คงไม่รู้ว่ารถโดยสารมีประกันอะไร เพราะในตั๋วก็ไม่ได้เขียนไว้ว่ามีประกันอะไรบ้าง เรามีสิทธิเรียกร้องอย่างไรเรารู้แค่ว่าเราซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นรถได้ ผมว่าไม่มีใครจะไปคิดหรอกนะว่าจะเกิดอุบัติเหตุ แต่พอมันเกิดแล้วนี่สิ เราถึงจะมาอ่าน มาหาความรู้ว่าสิทธิเราคืออะไร มีอะไรบ้าง ก็ไม่มีใครบอก” ปัจจุบันอาการบาดเจ็บต่างๆ ได้หายไปแล้ว และพิษณุได้ไปทำงานตามปกติแล้ว แต่ในอีกสองปีข้างหน้า เขายังต้องไปผ่าตัดเอาเหล็กที่ยึดกระดูกที่หักออก จนถึงตอนนี้ พิษณุมีคำถามที่อยากจะได้คำตอบจากใครสักคนว่า ทำไมต้องเป็นเขาด้วย ทำไมเขาต้องการเป็นเจ้าบ่าวพิการ ในเมื่อเขาเองไม่ใช่คนผิด และกระบวนการชดเชยทำไมถึงได้ช้าหนักหนา ไม่มีกระบวนการเยียวยาอะไรผู้บริโภคเลยหรือไร

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 104 จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ...คนข่าวหลังอาน

จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ นักข่าวและพิธีกรรายการข่าว บอกถึงความรู้สึกที่เธอมีต่องานประจำของเธอที่ทุกเช้าของทุกวันชีวิตเธอจะเริ่มต้นขึ้นในเวลาตี 4 แต่กว่างานของวันจะเสร็จสิ้นลงก็หลัง 4 ทุ่ม ซึ่งเธอยอมรับว่าเธอเหนื่อย แต่งานข่าวคืองานที่เธอรักและเธอสนุกในงานข่าวที่เธอทำ ความเหนื่อยจึงทำอะไรหัวใจเธอไม่ได้ ฉลาดซื้อฉบับนี้จะพาคุณไปรู้จักกับจอมขวัญ หลังจอสี่เหลี่ยมกันค่ะ จากนักข่าวสู่คนข่าวหน้าทีวีก่อนที่จอมขวัญจะก้าวมาอยู่หน้าจอทีวี เธอทำงานสื่อสิ่งพิมพ์มาก่อนหลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ในคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ ตอนนั้นเธอไม่ได้ให้ความสนใจรายการข่าวเลย หรือแม้กระทั่งรายการโทรทัศน์ก็จะดูไม่มาก แต่ก่อนที่เธอจะจบมีโอกาสได้เรียนวิชาเลือกซึ่งเป็นการวิเคราะห์สื่อที่เป็นหนังสือพิมพ์ และนั่นเองเป็นตัวจุดประกายให้เธอในการทำงานด้านสื่อ หลังเรียนจบเธอจึงสมัครเข้ามาทำงานกับหนังสือพิมพ์เนชั่นที่ เนชั่นกรุ๊ปในที่สุด ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับทีวีและการทำข่าวทีวีไม่ได้อยู่ในความคิดเลย แต่เมื่อเธอได้ก้าวเข้ามาทำ เธอก็พิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับในที่สุดด้วยมาดของคนข่าวที่มีข้อมูลแน่น ทุกวันนี้เธอบอกว่าเธอยังไม่ดังอะไร เพียงแค่มีคนรู้จักมากขึ้นเท่านั้นเอง คนข่าวกับข้อมูลแรกๆ ที่เธอเป็นนักข่าวการลงพื้นที่หาข่าว ดูจะไม่เป็นปัญหาสำหรับเธอเพราะยังไม่มีคนรู้จัก แต่พอเริ่มมาอยู่หน้าจอทีวีคนเริ่มรู้จักมากขึ้น การที่จะลงพื้นที่หาข่าวเองก็ค่อนข้างเสี่ยงมากขึ้นแต่ถึงแม้จะมีคนทำข้อมูลให้เธอในการทำรายการ แต่เธอเองก็ยังคงหาข้อมูลต่างๆ อยู่เช่นเดิม “ถึงแม้จะมีคนหาข้อมูลมาให้ขวัญแล้ว แต่ขวัญเองก็ต้องหาข้อมูลเองในส่วนหนึ่ง เพราะเราจะรู้ว่าเราต้องการข้อมูลแค่ไหน คือขวัญต้องหาข้อมูลอยู่ตลอดยิ่งเป็นข้อมูลในเชิงโครงสร้างนะขวัญจะชอบมาก อย่างคุยกับพี่สารีเรื่องสิทธิผู้บริโภค นอกจากจะอิงเรื่องสิทธิต่างๆ แล้วก็จะอิงเรื่องกฎหมายเข้าไปด้วย แล้วต้องทำให้คนที่ดูรายการเราเข้าใจได้ง่ายๆ ด้วย เพราะถ้าเรามีข้อมูลที่เยอะและรอบด้าน ภาพต่างๆ ที่เรานำเสนอออกไปมันก็จะชัดมากขึ้น ขวัญจะบ้าข้อมูลมาก โดยพื้นฐานแล้วจะรู้สึกตัวอยู่เสมอว่าเราไม่ใช่คนเก่ง ก็จะไม่ค่อยประมาท บางวันจะรู้สึกว่าบางครั้งเราพูดไม่ครบ ไม่น่าเลย อะไรแบบนี้ ก็จะให้ความสำคัญด้านข้อมูล การหาข้อมูลของขวัญก็จะมีทั้งหนังสือที่วางอยู่รอบโต๊ะทำงานขวัญ หรือไม่ก็อินเตอร์เน็ตแต่ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตขวัญก็จะโทรเช็คข้อมูลกับศูนย์เขาด้วยนะ หรือไม่ก็ขวัญก็จะหาข้อมูลจากพี่ๆ ที่เนชั่นกรุ๊ปนี่ล่ะ เพราะเราก็อยู่กับแหล่งข้อมูลทั้งคมชัดลึก เนชั่นสุดสัปดาห์ คือใช้ประโยชน์จากองค์กรให้ได้มากที่สุด ซึ่งมันควรจะเป็นสิ่งที่คนทำงานสื่อต้องทำ ก่อนที่จะนำเสนอออกไป ซึ่งขวัญถูกสอนมาว่าการหาข้อมูลต้องเป็นวัฒนธรรมของคนทำสื่อ” การหาข้อมูลก่อนนำเสนอออกไปนั้น จอมขวัญ เน้นย้ำเพิ่มเติมว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก และเป็นพื้นฐานสำคัญเพราะสื่อเป็นองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสาร ถ้าไม่รู้ข้อมูลถึงเรื่องที่ตัวเองจะนำเสนอทุกอย่างก็จบ เพราะผู้ดำเนินรายการข่าวอย่างเธอไม่ใช่แค่เพียงมีข้อมูลแค่ตรงหน้าเท่านั้น หากแต่ต้องมีข้อมูลเบื้องหลังต่างๆ ด้วย ทั้งสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตและข้อมูลเทียบเคียงกับเรื่องอื่นๆ หรือตัวอย่างของเรื่องที่เคยเกิดขึ้น ต้องมองให้รอบด้าน “เรื่องจำเป็นมากที่สุดก็คือเรื่องของเนื้อหาและข้อมูลความรู้ ซึ่งขวัญก็พยายามที่จะเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าต้องขยัน หลายคนถามว่าขวัญท่องสคริปต์อย่างไรเหรอ ดูเป็นธรรมชาติมากๆ แต่สำหรับขวัญแล้วมันไม่ใช่การท่องสคริปต์ ขวัญเรียกว่าขวัญมีข้อมูลดิบมากกว่า สคริปต์ก็เป็นเพียงแนวทางในการดำเนินรายการ ไม่ใช่ให้คนดำเนินรายการพูดเอง ซึ่งขวัญเชื่อว่าคนดูก็จะมองออกนะว่าจะเป็นอย่างไร” สื่อมวลชนกับผู้บริโภคในฐานะคนทำสื่อจอมขวัญเธอยอมรับว่าสื่อปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งโทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต มีผลอย่างมากต่อสังคม “สื่อโทรทัศน์วงรอบมันเร็วมากๆ ในช่อง 3 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นรายการเล่าข่าวตีคู่มากับละครทีเดียว แต่อย่าไปดูที่เรตติ้งนะคะ พอแต่ละช่องมีการแข่งขันกันสูง ทุกคนก็อยากทำให้มันดีแต่พอมาหลังๆ ขวัญว่ามันเกิดความบิดเบี้ยวหลายๆ อย่างนะ การทำรายการเล่าข่าวคุณจะอยู่อย่างนั้นจนตายไม่ได้ ต้องพัฒนาตนเองเพื่อหาสินค้าใหม่ๆ มาให้สังคมด้วย หรืออาจจะคิดว่าตัวเองควรจะทำอะไรเพื่อกำหนดสังคมหรือเปล่า แต่นั่นมันไม่ใช่ ที่ต้องทำก็คือ ‘รับใช้สังคม’ ไม่ใช่มีหน้าที่ไป ‘ชี้นิ้ว’ แต่ขวัญก็เชื่อว่าสังคมเองก็น่าจะรู้ว่า ‘แบบไหนสื่อโดนใช้และแบบไหนใช้สื่อ’ ขวัญเชื่อว่า ธุรกิจสื่อก็เหมือนประชาธิปไตยที่ต้องมีการเรียนรู้ แต่ปัจจุบันอีกสื่อที่เข้ามาและควบคุมไม่ค่อยได้ก็คือสื่อทางอินเตอร์เน็ต เพียงแค่คุณมีกล้อง 1 ตัวคุณก็เป็นคนทำสื่อได้แล้ว นำเสนอสื่อได้เลย แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย อย่างที่เราเห็นว่ามีการบล็อกเว็บบางเว็บ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งใหม่ที่เราต้องเรียนรู้ คำว่า”ข่าว” บางครั้งมันเป็นนิยามจริงๆ ของบางคนและบางที่ หรือบางทีคำว่าข่าวก็อาจจะเป็นแค่คำทางการตลาดของบางคนและบางที่เช่นกัน ซึ่งขวัญเชื่อว่าต้องพิสูจน์กันในระยะยาว เพราะจะมีทั้งข่าวพันธุ์แท้กับข่าวพันธุ์ทาง เพราะเวลาธุรกิจเข้ามาเรื่อยๆ ความเป็นข่าวก็จะเปลี่ยนไปอาจจะเป็นการขาย ขายโปรดักส์ ขายตัวบุคคลไป ข่าวบางข่าวไม่น่าจะเป็นข่าวก็นำมาเป็นข่าว” ปัจจุบันเราจะเห็นว่า หลายรายการนำเสนอข่าวแบบเล่าข่าวจากหนังสือพิมพ์เป็นหลัก ซึ่งจอมขวัญมองประเด็นนี้ว่าข่าวบางข่าวก็ไม่น่าจะนำมาเล่า และการนำหนังสือพิมพ์มาอ่านในทีวีมันควรจะลดลง และหันมาทำรายการรูปแบบใหม่มากขึ้น ไม่ใช่นำคนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วมาทำรายการอย่างเดียว ต้องกล้าลงทุนเปิดโอกาสผู้ชมไดัรับในสิ่งอื่นๆ บ้าง และให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาและต้องพัฒนามากขึ้น น่าจะมีการพัฒนาแบบธุรกิจอื่นๆ เช่นกันไม่ใช่ทำรายการเล่าข่าวเพียงอย่างเดียว สื่อกับการตลาดนอกจากโฆษณาคั่นรายการแล้ว ฉลาดซื้อเชื่อว่าหลายคนสงสัยว่า ทำไมต้องมีโฆษณาป้ายสินค้าต่างๆ ในรายการข่าวด้วย ทั้งที่เพิ่งโฆษณาไปเมื่อครู่นี่เอง ซึ่งจอมขวัญมองว่า “การ ทำธุรกิจสื่อก็ต้องใช้เงินทุน ต้องเป็นธุรกิจสื่อไม่ใช่เอ็นจีโอสื่อ เพราะอยู่ในโลกทุนนิยมก็ต้องมีเงินทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สื่อเองก็ต้องมีจรรยาบรรณของสื่อเช่นกันว่าแค่ไหนพอ แค่ไหนถึงจะได้ขวัญคิดว่าสปอนเซอร์ที่ซื้อสื่อก็น่าจะเข้าใจ คือมันจะกระแทกหน้าคุณกลับไปแรงๆ เช่นกัน เหมือนคุณน็อคบอร์ดเทนนิสแรงๆ มันกระแทกหน้าคุณกลับแน่นอน ถ้าคุณล้ำเส้น กอง บก.ถูกป่ะ เนชั่นเองก็เคยผ่านภาวะแบบนี้มาพอควรทั้งเรื่องการเมืองที่อาจจะเข้ามาใน เรื่องการถือหุ้น การโฆษณา แต่ถึงจุดหนึ่งมันก็ต้องผ่านตรงนี้ให้ได้เพราะมันแย่มากเราต้องแบ่งงานกันออกมาให้ได้ว่าเป็นการตลาดเป็นกองบก. ในการทำงานการตลาดอย่าล้ำเส้นมาในส่วนกอง บก.เด็ดขาด อย่างขวัญเองก็เคยเจอนะ เซลล์มาบอกขวัญเลยว่า ‘เอ พูดแบบนี้ ทางสปอนเซอร์เขาดูอยู่นะ’ ขวัญก็บอกเลยว่าให้เขาโทรมาคุยกับขวัญ แต่ที่ขวัญจะให้เขาได้ก็คือความเป็นธรรม เรื่องอะไรจะไปบอกว่าเขาดี แค่เขาซื้อเราเท่านั้นเหรอ ใช่ไหมคะ.. การที่คนข้างนอกบีบเราก็แย่พออยู่แล้ว คนข้างในของเราอย่ามาบีบกันเองเลย การตลาดทำได้ แต่ขอ ‘อย่ามาล้ำเส้นกอง บก. เพราะเราไม่เคยล้ำเส้นคุณ’ ซึ่งก็จะไม่ค่อยมีเซลล์คนไหนชอบขวัญ เรามีจรรยาบรรณของเราอยู่ เราก็ไม่ใช่เพิ่งจบมาแค่วันหรือสองวัน ถ้าหากคุณไม่เข้าใจก็คิดว่าคุณก็คงไม่เหมาะที่จะทำงานสื่อล่ะ ถ้าคุณไม่ปรับตัวก็น่าจะออกไปดีกว่า“ จอมขวัญยืนยันอย่างหนักแน่นถึงตัวตนคนข่าวของเธอ ทำให้ฉลาดซื้อสงสัยว่าด้วยเหตุนี้หรือเปล่าเธอจึงเลือกรับงานซึ่งเธอก็กล้าเปิดอกว่า เธอยึดมั่นในจรรยาบรรณส่วนตัว ถ้าเป็นงานอีเวนท์เธอก็จะรับ แต่ถ้าหากเป็นสินค้าและบริการเธอจะไม่รับเด็ดขาด แต่ก็มีบางงานที่ถูกหลอกไป “ขวัญถือว่าขวัญลงทุนในการทำหน้าที่ตรงนี้ ในการสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างความมั่นใจมันเกิดขึ้นได้ยากกว่า จริงๆ ขวัญก็อยากจะรวยนะแค่รับโฆษณา 2 – 3 ชิ้นก็ได้แล้ว 7 – 8 หลัก แต่ขวัญเลือกเส้นทางข่าวแล้ว ขวัญจะไม่เลือกเอาคำว่า ‘ข่าว’ เป็นตัวขาย เพื่อที่จะไปหากิน มันไม่ใช่ สิ่งที่เราได้กับสิ่งที่เราเสียไปมันก็ต้องสร้างความสมดุลกัน ก็เคยมีสถานีทุกช่องแล้วนะคะมาชวนไปทำข่าวด้วย แต่ขวัญเลือกแล้วว่าจะอยู่ที่นี่เพราะขวัญก็เติบโตมาจากที่นี่ แล้วที่นี่ก็สอนขวัญหลายๆ อย่าง มันก็เสียโอกาสนะถ้าคิดเป็นตัวเอง แต่ถ้าคิดเป็นความน่าเชื่อถือ ขวัญก็คิดว่าขวัญไม่ได้ขาดอะไร มีความสุขค่ะที่ทำงานอยู่ที่นี่ ขวัญไม่ใช่แค่รักงานข่าวนะ แต่ขวัญรักเนชั่นกรุ๊ปด้วย” 1 วันของจอมขวัญ ใน 1 วันของเธอ จอมขวัญจะเริ่มต้นชีวิตของทุกวันในเวลาตี 4 เพื่อเตรียมข้อมูลในการคุยข่าวเช้าในเวลา 6 โมงเช้าถึง 8 โมงเช้า หลังจากนั้นเธอจะพักด้วยการนอน แล้วก็จะเริ่มงานประมาณบ่าย 2 อีกครั้ง เสร็จงานก็ราวๆ 4 ทุ่มครึ่ง หรือไม่บางวันก็จะเสร็จงานในราวๆ หกโมงเย็น แต่ก็จะยังไม่ได้กลับบ้านเพราะมีงานเบื้องหลังหรือไม่เธอก็จะหาข้อมูลที่โต๊ะซึ่งจะมีหนังสืออยู่รอบๆ ตัวเธอเยอะมาก “งานของขวัญ วันจันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็จะเสร็จราวๆ สี่ทุ่มครึ่ง แต่ก็จะกลับบ้านราวๆ ห้าทุ่ม ส่วนวันอังคาร พฤหัสฯ ก็จะเสร็จสักหกโมงเย็น แต่ก็จะกลับราวๆ สองทุ่ม เหนื่อยนะคะ แต่หัวใจมันยังไหว ยิ่งทำงานข่าวนานผลึกของหัวใจจะยิ่งแข็ง เพราะเรารู้ว่าตัวเองทำอะไร และเพื่ออะไรและที่รู้อีกอย่างก็คือขวัญอยู่ข้างประชาชน แต่ก็ต้องว่ากันตามถูกผิดนะคะ ไม่ได้หมายความว่าประชาชนจะถูกตลอดนะ พอวิถีชีวิตเราเป็นแบบนี้ ซึ่งไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา ทางบ้านก็เข้าใจถึงแม้แรกๆ จะไม่เข้าใจ แต่พอเขาเห็นชีวิตประจำวันที่ขวัญทำข่าวเช้ามา 3 ปี ไม่รวมที่อยู่กับเนชั่นมา 7 ปีนะคะ ก็มีวิถีชีวิตแบบนี้ เช้ามาก็มี ไก่ พระ จอมขวัญ อ้อแล้วก็ กนกด้วย….” พูดไม่ทันจบประโยคเธอก็หัวเราะในแบบจอมขวัญของเธอ นั่นคือเวลาเช้าของจอมขวัญ คนข่าวที่ฉลาดซื้ออยากบอกว่าทำข่าวข้นจริงๆ ฉลาดซื้อกับจอมขวัญตอนเห็นฉลาดซื้อจอมขวัญบอกว่า เธอก็มองเพียงเผินๆ ว่าก็คงเป็นเหมือนหนังสือแนะนำสินค้าทั่วๆ ไป แต่พอเธอเปิดดูข้างในแล้ว “โอ้ มันเด็ดมาก แต่ก็เปิดไปดูนะว่าเอ ได้รับการสนับสนุนจากไหนหรือเปล่านะ แต่ว่าไม่มีก็อ่า…แนวเดียวกัน ขวัญก็ใช้ข้อมูลจากฉลาดซื้อได้เยอะนะอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด อย่างใช้ตารางเปรียบเทียบข้อมูล แล้วคอลัมน์ก็จะทำให้เราได้รับรู้ถึงปัญหาต่างๆ ที่ผู้บริโภคควรจะรู้ รวมถึงส่งผ่านถึงวิธีคิด ตอนนี้ขวัญเริ่มอ่านคอลัมน์โทรคมนาคมมากขึ้นเพราะมีปัญหากับบริษัทของโทรศัพท์แห่งหนึ่ง อ่านข้อมูลในฉลาดซื้อแล้วนำไปใช้ได้ทุกเรื่องค่ะ ก็ขอให้ฉลาดซื้ออยู่ไปนานๆ นะคะ”   “รักงานข่าวค่ะ ชอบธรรมชาติของงานและเป้าหมายของงาน ธรรมชาติของงานสำหรับขวัญก็คือเป็นเรื่องที่ใหม่ทุกวัน ทำให้เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ต้องใช้ทั้งความรู้เดิมและต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมๆ กัน ทำให้ขวัญไม่เบื่อ อีกอย่างก็คือชอบเป้าหมายของงาน นั่นก็คือตรงที่เราได้รับใช้สังคม”

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 103 อุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ “เรา” ป้องกันได้

เรื่องสถานีขนส่งผู้โดยสารก็เป็นอีกเรื่อง ไม่รู้คิดหรือเปล่าก่อนสร้างน่ะ พอคนลงรถ ขสมก.แล้วเนี่ยจะเดินอีกไกลไหมกว่าจะไปถึงที่ขายตั๋ว ที่ขายตั๋วไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องให้คนภาคอีสานขึ้นไปซื้อตั๋วที่ชั้น 3 ดูข้าวของเขาสิ กลับบ้านทีข้าวของเต็มไปหมด ก็แบกกระเป๋าขึ้นไปซื้อตั๋วแล้วก็แบกกระเป๋าลงมาหรือไม่ก็ต้องจ้างรถเข็น การจะสร้างเราก็ต้องดูพฤติกรรมคนด้วยไม่ใช่สักแต่ว่าสร้าง พอขึ้นรถได้ก็มาเจอรถที่เอาเปรียบอีก  ทราบหรือไม่ว่า แต่ละปีประชากรโลกสังเวยชีวิตด้วยอุบัติเหตุบนท้องถนนกว่า 1.2 ล้านคน รวมทั้งบาดเจ็บสาหัสและทุพพลภาพอีกหลายสิบล้าน เฉพาะในประเทศไทยมีสถิติผู้เสียชีวิตในปี 2550 กว่า 1.3 หมื่นคน การสูญเสียเช่นนี้สามารถลดลงได้ ด้วยมาตรการที่เราคุ้นชิน ได้แก่ การสวมหมวกกันน็อค การคาดเข็มขัดนิรภัย การจำกัดความเร็ว การรณรงค์เมาไม่ขับ เป็นต้น ซึ่ง ผศ.ดร. สมประสงค์ สัตยมัลลี สาขาวิชาวิศวกรรมขนส่ง สำนักวิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ก็เป็นอีกหนึ่งเสียงที่เชื่อว่าอุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ป้องกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุจากรถโดยสารสาธารณะ ผศ.ดร. สมประสงค์ สัตยมัลลี จบปริญาเอกด้านวิศวกรรมจราจรและการขนส่ง และทำงานด้านการวางแผนจราจรการขนส่งเป็นหลัก โดยทำงานร่วมกับกรมทางหลวง งานจราจร กรมขนส่ง หลังจากทำไปสักพักก็เริ่มมองเห็นปัญหาการเพิกเฉยต่อความปลอดภัย ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายเป็นจำนวนมาก จึงตั้งหน่วยหน่วยสืบสวนอุบัติเหตุทางถนนขึ้น ซึ่งจะทำหน้าที่เก็บข้อมูลและวิเคราะห์ การเกิดอุบัติเหตุว่าเกิดขึ้นได้อย่างไรเพื่อหาแนวทางในการป้องกัน ซึ่งใครหลายๆ คนอาจมองว่าไม่สำคัญเพราะมักคิดว่าอุบัติเหตุพอเกิดขึ้นแล้ว เกิดการเสียชีวิตแล้วเรื่องก็จบ ความจริงมันไม่ใช่ อุบัติเหตุเราวางแผนล่วงหน้าได้ ป้องกันได้ ทำไมอาจารย์ถึงสนใจเรื่องรถโดยสารสาธารณะเพราะผมใช้รถโดยสารสาธารณะมาตั้งแต่เล็กจนโต จนปัจจุบันก็ยังใช้อยู่เพราะเดินทางจากบ้านที่กรุงเทพฯ ไปสอนที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ซึ่งอยู่โคราช ที่ใช้รถโดยสารสาธารณะก็เพราะคิดว่านั่นคืออาชีพของเขา น่าจะขับได้ดีกว่าที่ผมขับเอง ถ้าเทียบสถิติการขับในระยะทางเท่าๆกัน ระหว่างผมกับคนขับรถโดยสาร อัตราการเกิดอุบัติเหตุของเขาน่าจะน้อยกว่า เพราะเขาขับเส้นทางนี้ประจำ ระบบรถโดยสารสาธารณะของไทยในปัจจุบันเป็นอย่างไรผมคิดว่าคนให้บริการเองก็ยังไม่เข้าใจการให้บริการ เคยกระโดดขึ้นรถเมล์ไหม ขสมก.ไหม ไม่ใช่ว่าเราอยากกระโดดนะ แต่รถเขาไม่ยอมจอด เขาเพียงชะลอ เพื่อที่จะไปต่อเท่านั้นเอง เขาไม่รู้หรอกว่า การจอดรถอยู่กับที่ให้คนขึ้นลงโดยสะดวกนั้น ใช้เวลาไม่มากหรอก แต่ความปลอดภัยที่ได้จะสูงขึ้น เห็นไหมว่าคนที่ตกรถเมล์ ถูกรถทับ ส่วนหนึ่งก็เพราะคนขับขาดความเข้าใจว่าหน้าที่ หรืออาชีพของเขาคืออะไร นอกจากแค่วันหนึ่งๆ ได้เงินเยอะ ระบบให้ผลตอบแทนกับพนักงานอย่างคนขับรถ บ้านเราไม่เอื้อด้านการบริการ แต่กลับไปเอื้อที่ระบบการแข่งขันมากกว่า ใครทำเงินได้มาก รับผู้โดยสารได้มากถึงได้มาก มันก็ทำให้คนขับแข่งขันกันเอง แข่งกันทำรอบ กลายเป็นว่าไปเน้นที่ความเร็วไปการให้รางวัลหรือค่าแรงจึงไม่สมดุลกัน รถโดยสารบ้านเรายังไม่มีการพัฒนาด้านการผลิตเพื่อยกระดับมาตรฐาน ถ้าไปดูในต่างประเทศผู้ประกอบการจะมีการแข่งขันกันด้านเทคนิค มีระเบียบ มีมาตรการขึ้นมารองรับอย่างชัดเจนในการผลิตรถขึ้นมา การพัฒนาก็จะมีคุณภาพขึ้นเรื่อยๆ เจ้าของรถก็เลือกรถที่มีคุณภาพดี แต่บ้านเรากลับไปแข่งขันกันที่ราคา ยิ่งถูกเท่าไรยิ่งดี ผู้ประกอบการเองก็พยายามที่จะลดค่าใช้จ่ายตัวเองลงให้เหลือน้อยลงเช่นกัน คือใช้วัสดุอะไรก็ได้ในการทำรถเพื่อให้ต้นทุนต่ำ รถบ้านเราจึงไม่ค่อยสมบูรณ์แบบ ความปลอดภัยก็น้อยลง เรื่องสถานีขนส่งผู้โดยสารก็เป็นอีกเรื่อง ไม่รู้คิดหรือเปล่าก่อนสร้างน่ะ พอคนลงรถ ขสมก.แล้วเนี่ยจะเดินอีกไกลไหมกว่าจะไปถึงที่ขายตั๋ว ที่ขายตั๋วไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องให้คนภาคอีสานขึ้นไปซื้อตั๋วที่ชั้น 3 ดูข้าวของเขาสิ กลับบ้านทีข้าวของเต็มไปหมด ก็แบกกระเป๋าขึ้นไปซื้อตั๋วแล้วก็แบกกระเป๋าลงมาหรือไม่ก็ต้องจ้างรถเข็น การจะสร้างเราก็ต้องดูพฤติกรรมคนด้วยไม่ใช่สักแต่ว่าสร้าง พอขึ้นรถได้ก็มาเจอรถที่เอาเปรียบอีก อย่างเอาเก้าอี้หัวกลมมาวางตรงกลางซึ่งมันไม่มีความปลอดภัยอะไรเลย เข็มขัดนิรภัยซึ่งในกฎกระทรวงกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องมี แต่จะมีเพียงบางคันเท่านั้นที่ผู้ประกอบการมีจิตสำนึกต่อสังคม รู้ไหมว่าการติดเข็มขัดนิรภัยช่วยลดค่าใช้จ่ายเงินค่าชดเชยการบาดเจ็บของคนต่างๆ ได้เยอะ ต้นทุนลดลงได้มากกว่าถ้าเขาลงทุนติดเข็มขัดนิรภัย อีกอย่างที่เป็นปัญหาของระบบขนส่งก็คือการจัดสัมปทานรถ บางรายมีแค่รถไม่กี่คันก็เอารถมาวิ่ง จริงๆ แล้วผู้ถือสัมปทานน่าจะเป็นรายใหญ่เพราะเขามีรถเยอะ แล้วมีงบประมาณที่จะพัฒนาคุณภาพรถให้ดีขึ้น ในต่างประเทศผู้ถือสัมปทานกับบริษัทรถจะเป็นเจ้าเดียวกัน แต่บ้านเราไม่ ผู้ถือสัมปทานเป็นอีกเจ้า แต่รถที่มาวิ่งกลายเป็นอีกผู้ประกอบการไป ก็เก็บกินค่าหัวคิวกันไป ระบบขนส่งบ้านเราจึงยังไม่พัฒนา ยังไม่มีหัวใจของการให้บริการ นอกจากบริการผู้โดยสารแล้วก็ต้องบริการคนของตัวเองด้วย อย่างคนขับรถเวลาถึงที่หมายแล้วก็ต้องมีห้องให้เขาพัก แต่ของไทยนี่นอนอยู่บนรถ อะไรแบบนี้ บริการต่างๆ ของสถานีขนส่ง เช่น ห้องน้ำ ก็เก็บค่าบริการเอากับผู้โดยสาร ทั้งที่ควรไปเก็บกับผู้ประกอบการรถโดยสารโน้นคิดเป็นรายเดือนกันไป หรือแม้แต่ห้องน้ำบนรถก็เถอะ ต้องปรับปรุงเพราะมันเหม็นมาก ต้องให้ผู้บริหารงานหรือผู้คิดแผนงานมานั่งมาใช้บริการแล้วเขาจะรู้ทันทีว่าจะต้องแก้ปัญหาอะไรบ้าง การควบคุมของรัฐเองก็เป็นปัญหา บ้านเราก็กรมการขนส่ง เพราะเมื่อไรที่รัฐยังดูแลค่าโดยสารโดยที่ไม่มองต้นทุนที่แท้จริงก็ลำบากเช่นกัน ผู้ประกอบการเองก็พัฒนาต่อไปได้ยาก แต่ผมเชื่อว่าผู้ประกอบการปัจจุบันก็มีกำไร เพราะไม่งั้นคงเลิกกันไปหมดแล้วล่ะ รถโดยสารที่ดีควรมีลักษณะอย่างไรตามกฎกระทรวงฉบับที่ 9 (พ.ศ.2524) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 หมวดที่ 1 ส่วนที่ 1 เครื่องอุปกรณ์ และส่วนควบของรถที่ใช้ในการขนส่งผู้โดยสารมาตรฐาน 1 มาตรฐาน 2 มาตรฐาน 3 มาตรฐาน 4 มาตรฐาน 6 มาตรฐาน 7 และรถขนาดเล็ก ข้อแรกก็คือ ต้องเป็นคัสซี (chassis) ตามแบบที่กรมการขนส่งทางบกเห็นชอบให้ใช้เป็นคัสซีรถโดยสาร ซึ่งประกอบด้วยโครงคัสซีต้องทำด้วยโลหะแข็งแรงตลอดความยาวของตัวรถ เมื่อต่อตัวถังรถ ต้องมีกันชนทั้งกันชนหน้าและกันชนท้ายที่ติดตั้งเสมอกับหน้ารถและท้ายรถ หรือยื่นจากหน้ารถ และท้ายรถระยะห่างพอสมควร และต้องผ่านขั้นตอนในการทดสอบ 7 ขั้นตอนนั่นคือการบิดตัวของโครงสร้าง การดึงขณะอยู่นิ่ง และเคลื่อนที่ การยก การแขวน และความทนทานของโครงสร้าง ข้อสองจะเป็นการกำหนดเรื่องตัวถังรถ ต้องยึดติดกับโครงคัสซี (Chassis) อย่างมั่นคงแข็งแรงสามารถรับน้ำหนักเต็มอัตราบรรทุกได้ทุกสภาพการใช้งานของรถ รูปร่างภายนอกต้องไม่มีส่วนยื่นที่แหลมหรือคมจนอาจก่อให้เกิดอันตราย ซึ่งแบบตัวถังของรถก็ต้องเป็นไปตามแบบที่กรมการขนส่งประกาศกำหนด เช่นเรื่อง หลังคาทำด้วยวัสดุที่มั่นคงแข็งแรง สามารถกันแดดกันฝนได้ พื้นรถต้องมั่นคงแข็งแรง หน้าต่างด้านข้างรถ มีขนาด และจำนวนตามสมควร ทำด้วยวัสดุที่ แข็งแรง ที่นั่งผู้โดยสารตรึงแน่นกับพื้นรถซึ่งในบ้านเราพบกว่าหลังเกิดอุบัติเหตุเบาะรถหลุดและมาทับผู้โดยสารเป็นส่วนใหญ่นะ กลายเป็นว่าเป็นส่วนที่ทำให้ผู้โดยสารบาดเจ็บหนักขึ้น อีกส่วนที่ขาดไม่ได้ก็คือเข็มขัดนิรภัย ตามประเภทของรถ และแบบที่กรมการขนส่งทางบกประกาศกำหนดไว้ ซึ่งเข็ดขัดนิรภัยจะช่วยให้ตัวผู้โดยสารยึดติดกับเก้าอี้ ไม่กระเด็นออกนอกตัวรถ และช่วยลดการสูญเสียได้มาก มีแนวทางไหนที่จะพัฒนารถโดยสารสาธารณะให้ดีขึ้นอีกบ้างในความคิดของผมนะ ตราบใดที่คนที่ทำเรื่องระบบรถโดยสารสาธารณะ ไม่ได้เป็นผู้ใช้บริการเอง เขาไม่มีทางรู้หรอกว่าคนที่ใช้รถน่ะเขาลำบากขนาดไหน รถโดยสารสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถวิ่งประจำทาง รถวิ่งไม่ประจำทาง รถรับพนักงาน ถือว่าเป็นรถโดยสารสาธารณะหมดรัฐเองก็ต้องเข้ามาดูแล ทั้งทางด้านอุปกรณ์นิรภัยต่างๆ ร่างแบบรถโดยสารสาธารณะให้ได้มาตรฐาน พร้อมบังคับให้รถทุกคันต้องติดเข็มขัดนิรภัยเพราะจะช่วยลดการบาดเจ็บได้มาก ระยะห่างของเบาะรถก็ต้องได้มาตรฐานเพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดการกระแทกกันของผู้โดยสารได้ ซึ่งแค่กระแทกกันก็อาจตายได้ อู่หรือตัวแทนการตรวจสอบของรัฐมีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสภาพของอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยภายในรถโดยสารเป็นประจำอย่างน้อย 6 เดือน/ครั้ง เช่น ตรวจพบน็อตเบาะไม่แน่น 3 ใน 24 เบาะของผู้ประกอบการรายนั้น จะต้องถูกพักใบอนุญาตวิ่งรถกี่วัน จนกว่าจะแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อให้รถตัวเองพร้อมก่อนจะให้บริการ แค่ดูเบาะกับเข็มขัดนิรภัย ผมว่าให้ดูแลเข้ม 2 เรื่องนี้การสูญเสียก็จะน้อยลง รวมถึงหาทางให้คนพิการเข้าถึงบริการสำคัญกว่า ทำไมบันไดรถเมล์บ้านเราต้องปีนบันไดขึ้นสูงขนาดนั้น อย่าไปคิดว่าคนพิการมีจำนวนน้อย ถึงแม้จะมีมาตรการหรือมีจัดวางแผนการช่วยชีวิตให้เป็นระบบหลังเกิดอุบัติเหตุออกมา แต่ก็ออกมาตรการมาค่อนข้างช้า อย่างเรื่องเข็มขัดนิรภัยประกาศออกไปเลยว่า รถทุกคันต้องมีเข็มขัดนิรภัย เบาะต้องยึดโยงอย่างแน่นหนา และต้องควบคุมดูแลอย่างจริงจัง แม้จะมีการป้องกันต่างๆ แล้วก็ตาม แต่หากเกิดอุบัติเหตุก็ต้องมีการจัดการวางแผนการช่วยชีวิตที่รวดเร็ว รวมถึงจัดให้ผู้ที่รับผิดชอบสั่งการในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหมู่ เช่น หัวหน้าหน่วยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย (ปภ.) ในพื้นที่หรือตำรวจร้อยเวร และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมอุปกรณ์หรือจัดหน่วยงานที่สามารถประสานงานขออุปกรณ์มาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว เราจะเลือกนั่งรถโดยสารอย่างไรให้ปลอดภัยเรื่องแบบนี้เราต้องติดตามข่าวด้วยว่ารถบริษัทไหนเกิดอุบัติเหตุบ่อยเราก็ไม่นั่ง ก่อนซื้อตั๋วก็คิดก่อน แล้วเวลาจะขึ้นรถก็ต้องสังเกตดูยางรถยนต์หน่อยว่ามีดอกยางไหม ถ้าไม่มีก็อย่าขึ้นจะดีกว่า ให้ดูหน้าคนขับหน่อยว่าหน้าตาเขาสดชื่นดีหรือเปล่า เพราะเขาคือคนที่จะขับรถ พอไปถึงเบาะก็ให้ดูเข็มขัดนิรภัย แล้วก็ต้องคาดด้วยนะเพราะจะช่วยลดอุบัติเหตุได้มาก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 102 หญิงแกร่งแห่งวงการยา “ผศ.ภญ.สำลี ใจดี”

ทุกคนมีสิทธิสัมภาษณ์โดย อวยพร แต้ชูตระกูล และ กรรณิการ์ กิจติเวชกุลถ่ายภาพโดย อนุชิต นิ่มตลุงตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ 'หลังประติมาสาธารณสุข' 2552ในแวดวงเรื่องยา น้อยคนที่จะไม่รู้จัก อ.สำลี ใจดี ผู้หญิงแกร่งที่สร้างคุณูปการมากมายให้ประเทศนี้ ทั้งในทางแจ้งและทางลับ ธรรมดา อ.สำลี ไม่ชอบการให้สัมภาษณ์ จึงไม่ค่อยมีใครได้เคยอ่านบทสัมภาษณ์แบบเต็มรูปแบบเกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิตของท่านมาก่อน แต่…กรรณิการ์ กิจติเวชกุล สามารถ และนำเรื่องราวของท่านมาเป็นบรรณาการแก่ผู้อ่านฉลาดซื้อ   การส่งเสริมสวัสดิภาพการใช้ยาของประชาชน ศึกษาวิจัยการใช้ยาของชุมชน การใช้ยาซองยาชุด รณรงค์ต่อต้านการใช้ยาชุด-ยาซองแก้ปวดควบคู่กับการยกเลิกสูตรตำรับยาที่ไม่เหมาะสม...ส่งเสริมการใช้ยาที่เหมาะสม ...รณรงค์การใช้ยาสมุนไพร (ตั้งแต่สมัยที่ไม่มีใครเหลียวแล)... คัดค้านการแก้ไข พรบ.สิทธิบัตร เปิดโปงทุจริตยา 1,400 ล้านบาท ผลักดันระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หนุนหลังให้กระทรวงสาธารณสุขประกาศซีแอล (การประกาศใช้สิทธิตามสิทธิบัตร) นำเข้าในยาต้านไวรัสเอดส์, ยาโรคหัวใจ และยามะเร็ง ในชื่อสามัญให้คนไทยเข้าถึงยาจริงๆ นี่เป็นเพียงผลงานบางส่วนของ “ผศ.ภญ.สำลี ใจดี” หญิงแกร่งที่เป็นทั้งนักวิชาการผู้มั่นคง และเอ็นจีโอผู้มุ่งมั่นที่อยู่เบื้องหลังของเกือบทุกเรื่องที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในวงการสาธารณสุขร่วมสมัย  อยากทราบว่าทำไมอาจารย์ถึงเลือกเรียนเภสัช จริงๆ แล้ว ทีแรกไม่ได้อยากเลือกเภสัชนะ อยากเรียนวารสารศาสตร์มากกว่า แต่พ่อบอกว่าควรจะสืบทอดมรดก คือที่บ้านปู่ทวดเป็นหมอพื้นบ้าน เวลาเข้าบ้านที จะหอมฟุ้งทั้งบ้านเลย เราก็เลยมีหน้าที่สืบทอดการช่วยชีวิตคนต่อไป ตอนนั้นคิดว่าเป็นหมอช่วยชีวิตคนได้เยอะที่สุดแล้ว สมัยก่อนใช้วิธีสอบตรง ก็สอบได้หลายที่ แต่ปีก่อนหน้านั้น สอบได้บัญชี ธรรมศาสตร์ เรียนอยู่ครึ่งเทอม ก็ทนเรียนไม่ได้ สอบวิชาบัญชี เราได้ B+ เกือบ A หมด อยู่ในเกณฑ์ท็อป 20 % แรกของชั้นปี แต่สอบตกอยู่ 1 วิชา คือวิชาเลขานุการ วิชานี้คนที่สอบตกมีแต่พวกไม่เรียน (คือมันง่ายมาก) แต่เราตก เพราะข้อสอบเขาสั่งให้แสดงความเห็นว่า เป็นเลขานุการคุณควรจะประพฤติตัวอย่างไร ต้องเก็บความลับ รวมทั้งมุสาด้วย ต้องออเซาะเจ้านาย เรารับไม่ได้มันผิดศีลธรรม ก็เลยเขียนด่าลงไปในข้อสอบ แล้วก็เลยเลิกเรียนตั้งแต่ตอนนั้น พักเรียนไปครึ่งปีเพื่อติวตัวเอง สอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ คราวนี้เลือกหมอ และเภสัชเป็นอันดับ 2 ก็ได้เภสัช สอบได้เภสัช ตรงกับที่อยากเรียนไหม เฉยๆ เพราะมันไม่ใช่ที่ชอบที่สุด เป็นคนชอบอ่านหนังสือ เราก็ไปเสพสุขด้านนั้นมากกว่า การเรียนไม่มีปัญหา แต่ก็มีเรื่องขำขัน ตอนนั้นมาเรียนที่เภสัช จุฬาฯ เขามีบันไดขึ้น 2 ทาง เขาจะขึ้นทางลงทางหรือสวน พอไปถึงวันแรก รุ่นพี่ก็บอกว่ารุ่นน้องต้องให้พี่ขึ้นก่อน เราก็หันขวับ สวนไปเลย “พ่อแม่ไม่เคยสอน” รับมันไม่ได้เลย เพราะที่บ้านมีแต่สอนให้พี่ยอมให้น้อง เหมือนอยู่คนละโลก พอรับน้องก็ถูกยิงหัวเลย เขาว่า เราปากจัดมาก คือสมัยรับน้องจะมีการทาแป้งแกล้งรุ่นน้อง เราก็เลยหัวขาวมากที่สุด ปกติ เรายอมให้เฉพาะครูเท่านั้น สมัยนั้น ระเบียบจัดมาก ผู้ชายต้องผูกเนคไท ผู้หญิงต้องผูกโบว์ เราก็บ่นมากตอนผูกโบว์ว่าไม่เห็นจะทำให้ฉลาดขึ้นตรงไหนเลย สมัยที่อาจารย์เรียน มันมีอะไรที่ทำให้เกิดความคิดเชิงสังคมบ้างไหม เราเป็นพวกสัตว์ประหลาด ที่เรามีความคิดแต่หาอะไรไม่ค่อยได้ แต่เนื่องจากเป็นคนที่อ่านเยอะ อ่านหนังสือพิมพ์ตอนนั้นก็มีอยู่ 2-3 ฉบับ เช่น สยามรัฐทั้งรายวัน รายสัปดาห์ สมัยนั้นคึกฤทธิ์ยังแม่นประเด็น ปี 05-06 หนังสือในห้องสมุดเราอ่านหมดแล้วไม่มีอะไรเหลือ เรื่องอ่านหนังสือเป็นเรื่องที่บ้านอาจารย์เน้นมาก บ้านที่บ้านนอก สมัยก่อน พอพ่อมากรุงเทพฯ หนังสือพิมพ์ห่อของ 1 แผ่น เราก็อ่าน เพราะหนังสือมันหายยากมาก มีแค่ไม่กี่เล่ม คุณต้องอ่านรามเกียรติ์ คุณต้องอ่านสามก๊ก คุณต้องอ่านพระอภัยมณี อันนี้เป็นที่พ่ออ่าน ย่าอ่าน เราก็ต้องอ่าน เรียนรู้มาแบบนี้ แล้วเราก็จะเข้าใจตัวระบบผู้ชายเป็นใหญ่เป็นยังไง แต่ที่บ้านอาจารย์เขาสอนแบบ ไม่มีอะไรที่ผู้หญิงทำไม่ได้ เนื่องจากพ่ออาจารย์มีลูกสาว 4 คน ส่วนลูกชายเป็นคนเล็กตามมาทีหลัง ซึ่งที่พ่อสอนก็คือไม่มีอะไรที่ผู้หญิงทำไม่ได้ เพราะผู้หญิงมีความอดทนมากกว่า อย่างพี่สาวอาจารย์ก็เป็นช่างไม้ เพราะฉะนั้นเมื่ออาจารย์อ่านหนังสือหมด ก็เลยทำให้คุยกับใครไม่รู้เรื่อง ต้องคุยกับครู แต่บางคนนะที่รู้เรื่อง อย่าง อ.พัทศรี อนุมานราชธน สอนที่โรงเรียนศึกษานารี แล้วก็ อ.ประดิษฐ์ หุตะกูล ก็คุยการเมือง ตอนนั้นก็คุยได้อยู่ไม่กี่คน ตอนที่ไปสอบทุนปริญญาโท อาจารย์จาก Rockefeller มาเพื่อสัมภาษณ์เด็กชิงทุน พอดีเพื่อนร่วมชั้นของอาจารย์ เขาเป็นนักเรียนเหรียญทอง เข้าสัมภาษณ์ อาจารย์เขาบ่นว่า ทำไมนักเรียนเหรียญทองตอบไม่ได้ พออาจารย์เข้าไป คะแนนเราก็ค่อนข้างแย่นะ เมื่อเทียบกับนักเรียนเหรียญทอง สิ่งที่เขาถาม เป็นเรื่องสถานการณ์บ้านเมือง คุยการเมือง คุยเรื่องงบประมาณ คุยเรื่องแนวโน้มของสังคม อาจารย์คุยได้หมดทุกประเด็น เขาชอบมาก ถามว่า Why do you know everything? Why do you have a dozen Ds? เกรด D เต็มไปหมด (หัวเราะ) ก็เลยได้ทุน ที่ คณะเภสัชฯ จุฬาฯ อาจารย์สอนอะไร เริ่มแรกสอน สรีรวิทยา (Physiology) เพราะน่ารัก (หัวเราะ) เป็นเรื่องกลไกการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิต... ร่างกายเราประกอบด้วยเซลล์เยอะแยะ เป็นสังคมใหญ่ อาจารย์สนใจว่าเซลล์เยอะแยะมากมายอยู่กันอย่างสันติสุขได้อย่างไร ธรรมชาติมีการแบ่งระบบอย่างดี มีกลไกควบคุมตัวเอง (Negative Feedback Mechanism)ให้อยู่ในภาวะสมดุลบนฐานของการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะเห็นความสมดุล (Balance) ของเซลทั้งหลายที่ธรรมชาติไม่เห็นแก่ตัว กินใช้เฉพาะส่วนที่จำเป็น ที่เหลือให้ส่วนรวม (เลือกปิด-เลือกเปิด เลือกรับ-ปรับใช้) เป็นความน่ารักที่ชอบมาก... สังคมเล็กๆ ของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่เซลล์เดียว หลายเซลล์รวมกันจนในที่สุดเป็นร่างกายเป็นสังคมมนุษย์ ...คล้ายๆ สังคมในอุดมคติ มีวิธีการทำงานที่เหมือนทำสมาธิแล้ว Control ตัวเองได้ รู้อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรไม่ควร และที่พอเหมาะอยู่ตรงไหน ถ้ามากเกินไปก็เป็นมะเร็ง ถ้าน้อยเกินไปก็ตีบตัน อันนี้ชัดเจนมากในเชิงระบบ ถ้าเปรียบก็เหมือนหลักทางสายกลางของพระพุทธเจ้า เรียนแบบนี้ก็เข้าใจไม่ต้องท่องจำมากนัก เพราะ “ตัวเองต้องควบคุมตัวเอง ให้คนอื่นคุมไม่ได้”… ต่อมาก็สอนสุขภาพอนามัย สาธารณสุข เภสัชสาธารณสุข ระบบยา นโยบายยา จริยธรรมเภสัชกร ฯลฯ กลุ่มศึกษาปัญหายา (กศย.) มาจากไหน ตั้งกลุ่มก่อน หรือเห็นปัญหาก่อน เห็นปัญหาก่อน ต่อมามีเพื่อนครูกะลูกศิษย์มาร่วมก่อตั้ง กลุ่มศึกษาปัญหายา (กศย.) เมื่อเสาร์ 10 มีนาคม 2518 คือเห็นปัญหามานานแล้ว แต่ไม่ได้ จังหวะ... ต้องรู้ปัญหา-ต้องแก้ที่ต้นเหตุ เพราะชาวบ้านเจ็บไข้ต้องพึ่งตัวเองไปซื้อยามากิน...กินแล้วเป็นโรคกระเพาะ คนไข้ไปโรงพยาบาลเกิดอาการกระเพาะทะลุเยอะมาก เลือดจาง เพราะยาที่ชาวบ้านซื้อมาเป็นยาไม่เหมาะสมทั้งสูตรตำรับ รูปแบบ คุณภาพมาตรฐาน รวมทั้งวิธีใช้ไม่ถูกต้อง ฯลฯ อาจารย์ก็ชักชวนลูกศิษย์มาตั้งกลุ่ม ที่จริงมีทั้งเพื่อนครูและลูกศิษย์ ที่เห็นปัญหาเองในช่วงไปออกค่ายตั้งแต่ปี 2513 ต่อมา ปี 2516-2517 มีกลุ่มที่รู้สึกเบื่อมากๆ ว่า หลักสูตรเภสัชที่เรียนมาตั้ง 5 ปี นั้นไม่สอดคล้องกับปัญหาสุขภาพของคนไทย... พวกนิสิตเภสัชก็ก่อการดีขอให้มีการพัฒนาหลักสูตร แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ คือผู้บริหารไม่เข้าใจ ...นิสิตทำการประท้วง หยุดเรียน หยุดสอบ ไล่คณบดี.... กลุ่มอาจารย์ที่สนใจพัฒนาชนบท ก็เดินสายพูดคุยกับนิสิตนักศึกษา ชี้ให้เห็นปัญหา ช่วยกันสร้างกลไกให้ไปทำงานในชนบทได้มากขึ้น สำหรับอาจารย์ คิดว่าอะไรเป็นตัวแทนที่จะบอกได้ว่านิสิตประสบความสำเร็จ หนึ่ง ต้องไม่ถือเตารีดและคันไถไปรีดไถประชาชน อันนี้เป็นคาถาที่พูดเลยนะ เอาเปรียบ หลอก โกหกหรือทำอะไรที่ไม่ดี ถือว่าใช้ไม่ได้หมด สอง ต้องทำหน้าที่บัณทิตเต็มมาตรฐาน ตอนนั้น กฎหมายยา 2510 กำหนดให้เภสัชต้องทำงานอยู่ประจำทั้งในโรงานผลิตยาและร้านยา แต่เภสัชบางคนไม่รับผิดชอบ ขี้เกียจ... ตอนนั้นนิสิตนักศึกษาเริ่มมีกิจกรรมศึกษาอะไรบ้าง ช่วงปี 2513-2515 ทำค่ายในแนวบำเพ็ญประโยชน์กันเยอะมาก แรกๆ ก็ช่วยสร้างที่อ่านหนังสือ ต่อเติมโรงเรียน ซ่อมศาลาวัด สร้างสะพาน ช่วยสอนหนังสือนักเรียนในชนบท ฯลฯ ต่อมาหลัง 14 ตุลา 2516 ก็เริ่มปฏิวัติความคิด เช่น สายสาธารณสุขไปทำค่ายสาธารณสุข (โดยรวมกันทุกคณะในจุฬาฯ ก็มีแพทย์ เภสัช ทันตะ ทำเป็น “ค่ายสาธารณสุขร่วมสมัย” ) เป็นค่ายที่เข้าไปศึกษาสภาพปัญหา (ไม่ก่อสร้างถาวรวัตถุ) ไปสำรวจว่าชาวบ้านเจ็บไข้อะไร รักษาตัวอย่างไร ถ้าเป็นเรื่องยาต้องไปสำรวจว่าชาวบ้านเคยกินยาใช้ยาอะไรบ้าง พบชาวบ้านกิน ยาชุด ยาซอง แก้ปวดเมื่อยกันมาก เช่น ทัมใจ บวดหาย (เป็นยาซองแก้ปวดสูตรผสม ประกอบด้วย แอสไพริน+ฟีนาซีติน+คาฟีอีน: Aspirin + Phenacetin + Cafeine /APC) แล้วทิ้งซองไว้เกลื่อนคันนา โดย “กินดิบ” คือ กินทัมใจแบบฉีกซองแล้วกรอกผงใส่ปากกลืนเลยโดยไม่กินน้ำ” ทั้งๆ ที่จริงยาพวกนี้ต้องกินน้ำเยอะ ไม่เช่นนั้นจะกัดกระเพาะ เป็นโรคกระเพาะ กระเพาะทะลุ เลือดจาง ยังพบคนไม่มีตังค์ซื้อก็เก็บเอาซองมาเลีย อยากยาติดยา (เหมือนคนเก็บก้นบุหรี่ที่ทิ้งตามถนนมาสูบ) ก็ต้องมาวิเคราะห์ว่าทำไมถึงติดยานี้กันมากนัก จากปัญหาที่เห็นแล้ว ตอนนั้นเริ่มทำอย่างไร จับปัญหาเป็นตัวตั้ง ตอนแรกก็ส่งลูกศิษย์ที่สนใจชนบทไปขอเรียนรู้และฝึกงานที่โรงพยาบาลอำเภอ พอลงชุมชนก็จะเห็นสภาพอย่างนี้ ดูปัญหา ดูทีละขั้นทีละตอน ก็รู้ว่าต้องจัดระบบทำความเข้าใจในการค้นหาต้นเหตุแห่งปัญหา พบว่าชาวบ้านใช้ยาไม่ถูกต้อง ก็ไปช่วยแนะนำชาวบ้านถึงวิธีใช้ยา-กินยาที่ถูกต้อง กินก่อนอาหาร หลังอาหารทำอย่างไร นิสิตช่วยกันทำนิทรรศยาการเผยแพร่ความรู้ ร่วมกันทำโครงการ “ตู้ยาสู่ชนบท” ยาอะไรผลิตเองได้ ก็ช่วยกันผลิตยาหม่อง ยาธาตุ แล้วส่งต่อไปให้ชาวบ้าน ตู้ยาก็ไปขอลังไม้มาจากกรมศุลกากร ไปจ้างผู้ต้องขังในเรือนจำทำ แล้วก็แบกตู้ยาไปหมู่บ้านชนบท กลับมาอีก 2 เดือนไม่แบกแล้ว เพราะชาวบ้านเขาทำตู้ยาเข้าท่ากว่า สวยกว่า (หัวเราะ) ต่อมาก็ประสานงานขอยาที่จำเป็นจากรุ่นพี่ในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ กศย. ช่วยทำสื่อเผยแพร่ความรู้ เช่น ปฏิทินส่งเสริมสวัสดิภาพการใช้ยาของประชาชน โปสเตอร์ สไลด์ประกอบเสียง ทำหนังสือเรื่องยาเป็นพิษ พิษของยา ไข้เด็ก การใช้ยาสมุนไพร ฯลฯ อบรมถ่ายทอดความรู้ให้ชาวบ้านดูแลรักษาตนเอง ให้ใช้สมุนไพร เลิกใช้ยาชุดยาซอง ต่อมา ชาวบ้านก็ย้อนกลับมาว่า ซองยาเป็นของหลวง คือ ซองยาทัมใจมีตราครุฑ...ขลังมาก เขานึกว่าของในหลวง หลวงอนุญาตให้ทำ ถ้าไม่ดี ทำไมหลวงไม่บอก การสอนเพียงกินยาใช้ยาให้ถูกต้องนั้นไม่ทันกับการโฆษณาของบริษัทขายยา เราก็มาตรวจสอบทั้งระบบวิเคราะห์ว่า ทำไมถึงติดยากันงอมแงม ทำไม อย.ให้ขึ้นทะเบียนตำรับยาแปลกๆ ยาสูตรผสม ยาที่ถูกเพิกถอนในต่างประเทศแล้ว เช่น ฟินาซีติน เพราะทำลายไตแต่ส่งออกมาขายเมืองไทย พบว่า ยาซองแก้ปวดทั้งหลาย เป็นยาสูตรผสม มี แอสไพริน + ฟินาซีติน + คาเฟอีน ทำให้ติด แม้ไม่ปวดเมื่อยก็อยากกิน ทางออกต้องเสนอให้ ยกเลิกเพิกถอนยาสูตรผสมที่ไม่เหมาะสมทั้งหมด โดยให้ผลิตเป็นยาเดี่ยวเฉพาะยาที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้น เราก็เริ่มอย่างสุภาพ โดยส่งจดหมายเปิดผนึกไปบอก อย. เขาตอบกลับมาว่าไง รู้ไหม บอกว่า อาจารย์ก็สอนลูกศิษย์ไป ...เรื่องในสังคมอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องของ อย. ไม่ใช่เรื่องของอาจารย์ ... แล้วอาจารย์ทำอย่างไรต่อไป ก็รู้ชัดว่า ต้องแก้ไขเชิงระบบทุกระดับด้วย เริ่มต้นเน้นให้ความรู้ แค่นี้ไม่พอ ต้องมีทางเลือกด้วย เรื่องยาสมุนไพรก็เข้ามา เรื่องใช้นวดไทยแก้ปวดแทนยาก็เข้ามา ฉะนั้นงาน 10 ปีแรกของกลุ่มศึกษาปัญหายา เน้นในเรื่องใช้ยาให้ถูกต้อง มีอะไรที่ทำกินเอง-ใช้ได้เอง -ไม่ต้องซื้อ เน้นพึ่งตัวเอง สู้ในเชิงจากปัจเจกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องสู้ในเชิงระบบและหาเพื่อนให้มากขึ้น … การทำวิจัยทำให้คนที่เข้ามาช่วยทำงานมีประสบการณ์ โดยเฉพาะพวกนิสิตเภสัชจุฬาๆ จะกระตือรือล้นมาก ช่วยกันทำให้เป็น Student Center ถือเป็นขบวนการเรียนรู้ภาคสังคม วิชาชีพต้องทำอะไรเพื่อช่วยกันพัฒนาคนและช่วยกันแก้ไขปัญหาสาธารณสุข และเมื่อทำแล้วก็จะเจอปัญหาต่อเนื่องอีก คนบางส่วนจะรู้สึกว่า พวก กศย.ช่างอารมณ์อ่อนไหวเสียจริง โน่นก็เป็นปัญหา นี่ก็เป็นปัญหา เห็นอะไรก็เป็นปัญหาไปหมด แต่ทั้งหมดมาจากการทำวิจัย ทำให้เรามีความรู้จริงมิใช่ความรู้สึก เราเห็นปัญหา ทุกอย่างเป็นระบบมีหลักฐานอ้างอิง ต่อมาจึงก่อตั้ง มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา(มสพ.) ปี 2526 มูลนิธิพัฒนาการแพทย์แผนไทย(มพท.) ปี 2534 เพื่อรองรับการทำงานที่ขยายเพิ่มขึ้น งานวิจัยชิ้นแรกๆ ที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงต่อนโยบาย คืองานวิจัยเรื่องอะไร เรื่อง การใช้ยาซอง APC การใช้ยาของชุมชน การใช้ยาชุด กรณียาชุดให้นิสิตสวมบทบาท (ปลอมตัว) เป็นผู้ป่วยหรือญาติ ไปซื้อยาตามอาการป่วยที่กำหนด ในพื้นที่ที่กำหนด ... ซักถามคนขาย ขอคำแนะนำ แล้วก็นำมาวิเคราะห์ว่าเป็นยาอะไร ส่วนการใช้ยาของชุมชน ทั้งครูและศิษย์เข้าหมู่บ้านในชนบทสัมภาษณ์ชาวบ้าน ในที่สุดก็ได้งานวิจัยที่เขาบอกว่าสั่นสะเทือนมาก ประเด็น ยาซอง เรื่อง APC แก้สูตรตำรับจากยาสูตรผสมเป็นยาเดี่ยว ส่วนยาชุดต้องแก้ พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 แต่กว่าจะนำไปสู่การแก้ไขกฎหมาย ก็ใช้เวลาเกือบ 10 ปี ซึ่งถือว่าเร็ว เพราะในสังคมไทยความเปลี่ยนแปลงใช้เวลาประมาณ 20 ปี ทำไมอาจารย์คิดว่า เวลา 10 ปีไม่นานเกินไปที่จะรอให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ปัญหาซับซ้อนหมักหมมมานาน ต้องตรวจสอบและเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสม ธรรมะก็สอนอยู่แล้ว ไม่ใช่กดปุ๊บติดปั๊บ ผลย่อมเกิดจากเหตุ พระพุทธเจ้าก็สอนอย่างนี้แหละ ถ้าหวังผลตรงนี้ ก็ต้องทำอะไรอื่นๆอีกกว่า 4-5 เรื่อง จึงบรรลุ ... ก็แค่นี้ งานในช่วงทศวรรษที่ 2 ของกลุ่มศึกษาปัญหายา เริ่มตั้งแต่ปี 2528 เน้นทำงานเชิงระบบมากขึ้น ลงพื้นที่ไปเจาะปัญหา พร้อมๆ กับที่รัฐบาลสหรัฐฯ มากดดันเรื่องแก้ พรบ.สิทธิบัตร เพราะฉะนั้นจึงร่วมกันลุยงานทุกระดับ อ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ และ อ.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์ ศึกษาวิจัย เรื่องนโยบายและกลยุทธ์ในการควบคุมราคายา และ การใช้ยาในโรงพยาบาล ส่วน อ.สุนทรี วิทยานารถไพศาล ทำงานพัฒนาและวิจัยในชุมชน โดยลงพื้นที่ อ.ด่านขุนทดเข้าหมู่บ้าน มี ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี, เพียงพร พนัสอำพล ฯลฯ เป็นกระบี่มือหนึ่ง ลุยปัญหาในพื้นที่ แล้วนำเสนอการแก้ปัญหาเชิงระบบ ทำกันแบบองค์รวม เพราะทำเรื่องสุขภาพอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ ระบบและขบวนการเคลื่อนไหวเรื่องยาเหล่านี้ถือเป็นต้นแบบของขบวนการคุ้มครองผู้บริโภคในสังคมไทย ทำไมอาจารย์จึงให้ความสำคัญกับงานคุ้มครองผู้บริโภค งานคุ้มครองผู้บริโภค คือ การถ่วงดุลเพื่อให้เท่าทันลัทธิบริโภคนิยม อันที่จริงเรื่องค่านิยมบริโภคนี้ ไม่ใช่มิติของวัฒนธรรมไทย เป็นเรื่องการนำเข้า ที่เกิดจากกระแสไหลบ่าจากทางตะวันตก โดยเฉพาะกระแสทุนนิยม ลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งมีกลยุทธ มีเครื่องมือต่างๆ เย้ายวนให้ผู้คนหลงใหลการบริโภค จนลืมสำนึกและกำพืดของตนเอง ที่ว่ามนุษย์ควรคิดผลิตได้เอง แล้วค่อยบริโภค แต่ตอนนี้ถูกกระตุ้นให้ซื้อเพื่อความโก้เก๋ พ่อค้าทำทุกอย่าง เพื่อให้สินค้าขายหมดและทุกอย่างเป็นสินค้า ลัทธิบริโภคนิยมเสนอการเสพสุขจากภายนอก เช่นโฆษณาความสุขที่คุณดื่มได้ ทำให้คนซื้อภูมิใจว่าได้ซื้อสินค้านั้นๆ แล้วหน้าจะใหญ่ แทนที่จะภูมิใจว่าการผลิตได้เองเป็นเรื่องดี เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่เชื่อโฆษณา เชื่อความรู้สึกมากกว่าเชื่อความรู้จริง... ฉะนั้น จึงต้องร่วมกันสร้าง ขบวนการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อคุ้มครองตัวเอง และคนไทยทั้งหลาย ให้ได้รับความเป็นธรรมจากระบบโฆษณา การส่งเสริการขายที่ทำให้ทุกคนบริโภคเหมือนกันหมด วิ่งตามกันเป็นแฟชั่น ฉะนั้นต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้เกิดขึ้น เมื่อเข้าใจแล้ว จะได้มีสติ ยั้งคิด รู้ว่าควรจะจัดการกับตัวเองอย่างไร ดังนั้นต้องวิจัยเพื่อสร้างความรู้ให้เท่าทัน ให้รู้จริง จึงต้องมาก่อน ซึ่งปัญหามีทุกระดับ ทั้งปัญหาในเรื่อง ระบบสังคม เรื่องการค้า เรื่องนโยบายภาครัฐ เรื่องกฎหมาย เหล่านี้ต้องรู้ให้จริงก่อนขับเคลื่อน ทำงานกันอย่างไร กศย.เข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคในแนวหน้า ปรับเปลี่ยนวิธีการขับเคลื่อน เพื่อทำให้รู้ทั่วกัน ใช้วิธีเชิญนักข่าวมาคุยเรื่องเหล่านี้ ทำงานกับนักข่าวหนังสือพิมพ์ค่อนข้างมาก นักข่าวต้องการข้อมูลอะไร ก็เอาข้อมูลที่รู้มาดูกันก่อน มาดูของจริง จะได้เข้าใจปัญหาด้วยกัน ทุกคนก็จิตใจดีมาก ที่อยากทำความจริงให้ประจักษ์ต่อสาธารณชน อะไรก็ตามถ้าเป็นประเด็นสาธารณะ ถ้าทำให้คนรู้ทั่ว ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ชาว กศย.ก็เลย เป็นนักวิชาการแนวใหม่ที่ทำวิจัยและรณรงค์ควบคู่กันว่า มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ต้องแก้ไข โดยประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชนพร้อมกับทำจดหมายเปิดผนึกถึงคนที่เกี่ยวข้อง เริ่มตั้งแต่ ระดับอธิบดี ระดับปลัด สำเนาส่งสื่อมวลชน พอหลังๆ ทำถึงนายกฯเลย (หัวเราะ) แล้วสำเนาถึงรัฐมนตรี จดหมายถึงนายกฯเนี่ย นายกฯ ตอบนะ ส่วน อย.ไม่ค่อยตอบ เราก็พยายามมากในการช่วยชี้ให้เห็นปัญหา ซึ่งมีเต็มไปหมด ทุกฝ่ายต้องทำหน้าที่ของตนให้ครบถ้วนถูกต้อง ซึ่งการทำอย่างนี้ ได้การตอบรับเพิ่มขึ้น ขับเคลื่อนได้มากขึ้น แล้วทำงานรณรงค์กับประชาชน คือ ชาวบ้านต้องรู้ รู้แล้วช่วยกันแก้ไขต่อในระดับนโยบาย ฐานคิดนี้ก็ยังอยู่เป็นหลัก แต่ไม่ได้เป็นตัวชี้ขาด ทั้ง 2 ด้านนี้ต้องทำไปด้วยกัน คราวสู้เรื่องสิทธิบัตรเป็นการรณรงค์ที่ใหญ่มากทำอย่างไร อันนี้นักวิชาการเข้าช่วยกันเยอะมากนะ มีฝ่ายก้าวหน้าที่คุยกันรู้เรื่อง เห็นปัญหา เชื่อมถึงกัน เน้นช่วยกันศึกษาวิจัยเพื่อหาคำตอบและช่วยกันขับเคลื่อน มีกัลยาณมิตรมากมายหลายฝ่ายมาช่วยกัน มีนิสิตนักศึกษาหลายสถาบัน ช่วยกันคิดออกแบบ คิดว่าจะทำยังไงถึงจะรู้ทั่วกัน ช่วยกันรณรงค์ทุกรูปแบบ มีเพื่อนเยอะจริงๆ บทเรียนก็เยอะ ตั้งแต่ช่วง 14 ตุลา 2516 ตอนนั้น มีกลุ่มศึกษาหลายกลุ่มต้องคุยทุกเย็น หรือทุกศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เขาว่า อาจารย์ค้านระบบสิทธิบัตร แน่นอนต้องค้าน เพราะเอาเปรียบกันมากเกินไป แต่เดิมยังยอมรับในแง่คุ้มครองเฉพาะกรรมวิธีผลิต ควบคู่กับถ่ายทอดเทคโนโลยี และคุ้มครองผู้บริโภค เช่น กำหนดควบคุมราคาและคุณภาพ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของระบบสิทธิบัตร ที่ต้องการคุ้มครองคนที่ประดิษฐ์คิดค้นจริง (Invention) ซึ่งเป็นพวกที่น่าคุ้มครอง จึงต้องมีระบบคุ้มครองสติปัญญา เพราะพวกนี้เป็นคนไม่แสวงกำไร สนใจแต่จะคิดค้น แต่พอกลุ่มที่เป็นพวกแสวงหากำไรเข้ามา คนคิดค้นกลายเป็นลูกจ้าง ไม่ได้เป็นแบบอิสระแบบดั้งเดิม การถ่ายทอดเทคโนโลยีก็ไม่ถ่ายทอด คุ้มครองผู้บริโภคเรื่องควบคุมราคาก็ไม่ทำ กลายเป็นสนองผลประโยชน์นายทุน อันนี้ยอมรับไม่ได้ ซึ่งตรงนี้เราเห็นความเลวร้าย ความใจร้ายของระบบทรัพย์สินทางปัญญาที่นายทุนนำมาใช้กับทาสทางการค้า เพราะฉะนั้นจุดยืนของเราก็ต้องรู้เท่าทัน เรายอมรับให้สิทธิบัตรกับเทคโนโลยีที่ใหม่จริง ในช่วงเวลาและราคาที่เหมาะสม ช่วงปี 2532-2542 เรามีเพื่อนทั่วโลกมากขึ้นจึงร่วมกันสู้เป็นทีมเอเชีย สร้างพลังต่อรอง ตอนนั้นเรียกร้องให้ยกเลิกสิทธิบัตรอยู่ตลอดเวลานะ ต่อสายกับ Health Action International ไปขับเคลื่อนในการเจรจาขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่โดฮา ตอนนั้นเป็นครั้งแรกๆ ที่ประเทศกำลังพัฒนารวมตัวกันสร้างอำนาจต่อรองเรื่องสุขภาพ จากนั้นเราก็ตรวจสอบสิทธิบัตรยา ddI ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เราคิดถึงการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรโดยรัฐ (CL) ขบวนการสู้ก็สู้กันตลอด มีการปรึกษากันตลอดว่า ทำได้ไหม ทั้งประเด็นข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง ประเด็นทางสังคม ทางวิชาการ การเมือง ดูทั้งหมดทั้งขบวน ฉะนั้นต้องเลือกใช้เครื่องมือ กลวิธี ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่ชัดเจน คือ ชาวไทยทุกคนไม่ว่ายากดีมีจนต้องมียาที่จำเป็นใช้ ต้องเข้าถึงยา ถ้าใหม่จริงจ่ายแพงเราก็จะจ่าย ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่จ่าย ถ้าแพงเกินก็ต้องควบคุมราคาหรือใช้ CL ต้องเตรียมทำการเฝ้าระวังข้อมูลสำคัญมาก สู้เรื่องการแก้ไข พรบ.สิทธิบัตร ยันมาได้ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.เปรม จนถึงรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย แต่มาแพ้ตอนช่วงรัฐบาล รสช. ในปี 2535 อาจารย์รู้สึกอย่างไร ก็ไม่เชิงแพ้นี่ อาจารย์ไม่เคยพูดว่า แพ้เลย ทำไมอาจารย์ถึงคิดว่าไม่แพ้ ก็ไม่แพ้ เพราะตัวเราไม่แพ้ มันเป็นปัจจัยภายในกับปัจจัยภายนอก ถ้าเราแพ้ก็คือเลิกทำงาน ซึ่งเราไม่แพ้ เราต้องมีจังหวะก้าว เราก็เข้าใจว่าไม่ได้แพ้ เราก็ต้องสู้ต่อไง ไม่มีเวลาหยุด เพราะบริษัทยาคิดล้ำหน้าตลอด ต้องคิดดักทาง ปัญหาที่เกิดเป็นแรงผลักดัน (drive) ของเรา ชัยชนะมีขั้นตอน ก็รู้อยู่ว่าบริษัทได้มากกว่าที่ประชาชนได้ อันนี้เข้าใจ แต่เราไม่แพ้ เราไม่ถอดใจ แล้วหลังจากที่ พรบ.สิทธิบัตร ออกมาเป็นแบบที่เราคัดค้าน ตอนนั้นอาจารย์คิดถึงอะไร ตอนนั้นปี 2535 เราคิดกันว่า เสียนิ้วรักษามือ เสียแขนรักษาหัว ก็โอเค เมื่อยอมรับกัน เราก็มีกำลังในการคิด เรื่องสิทธิบัตรต่อ เห็นว่า ยังมี คณะกรรมการสิทธิบัตรยา อยู่ในกฏหมายสิทธิบัตร ฉบับแก้ไข พ.ศ.2535 เพราะฉะนั้นเรายังติดตามตรวจสอบเรื่อง การจดทะเบียนสิทธิบัตร เรื่องควบคุมราคายาได้ เราทำใจได้ว่า ถ้ายาใหม่จริงๆ ก็ให้การคุ้มครองในราคาและช่วงเวลาที่เหมาะสมควบคู่กับการถ่ายทอดเภสัชกรรมเทคโนโลยี โดยไม่ให้บรรษัทยาข้ามชาติเอาไปหมดทุกอย่าง แต่ปรากฏว่า คนไทยถูกหลอกหรือรัฐบาลไทยสมยอมให้บรรษัทยาข้ามชาติต้ม เพราะต่อมาพบว่ามี side letter สมัยรัฐบาล ปี 2535 บอกว่าอีก 5 ปีจะแก้ไขให้อีก โดยตัดคณะกรรมการสิทธิบัตรยาออกไป พอปี 2542 กระทรวงพาณิชย์ก็แก้ไขกฎหมาย โดยตัดคณะกรรมการสิทธิบัตรยาออกไป ตอนนั้นอาจารย์คิดจะทำยังไงต่อไปคิดอยู่ตลอด เคลื่อนไหวตลอด กลับมาดูปัจจัยภายในว่าจะทำอะไรได้บ้าง จากผลการวิจัยเรื่องการใช้ยาในโรงพยาบาล เห็นพฤติกรรมของแพทย์ที่ “ถูกติดสินปนน้ำใจ” หันไปใช้ยาชื่อทางการค้า (trade name / brand name) ยาราคาแพง มากกว่าการใช้ยาชื่อสามัญ (generic)... ทางออกต้องจัดระบบส่งเสริมแพทย์ เภสัชกร และประชาชนให้ใช้ยาชื่อสามัญ ปฏิเสธการใช้ยาชื่อทางการค้า ควบคู่กับการส่งเสริมการใช้ยาที่เหมาะสม และจัดระบบควบคุมราคายา จึงช่วยกันทำโครงการ โรงพยาบาลปลอด Trade name คือรณรงค์ให้แพทย์-เภสัชกรสั่งใช้-สั่งจ่ายยาด้วยชื่อสามัญ สนับสนุนการพัฒนานโยบายแห่งชาติด้านยา บัญชียาหลักแห่งชาติ เน้นการร่วมกันสร้างปัจจัยภายในให้เข้มแข็ง ให้เป็นภูมิคุ้มการรุกรานจากปัจจัยภายนอก อาจารย์มีคนที่เป็น Insider ตามจุดต่างๆ คอยให้ความช่วยเหลือเยอะมาก ต้องให้เครดิตเพื่อนๆ หลายคนมาก โดยเฉพาะ Insider ทั้งหลาย และที่สำคัญยิ่งคือ ชาวไทยที่รักและหวังดีต่อแผ่นดินไทย บางทีก็เป็นผู้อาวุโส เป็นสายวิชาการคนละรุ่น ที่ทำเอกสารสำคัญตกหล่นมาให้ประชาชน เพราะฉะนั้นขบวนการต่อสู้ ถ้าไม่ออกข่าวในสื่อมวลชนว่า สิ่งนี้เป็นหายนะของชาติ ก็ไม่มีวันชนะ เพราะนักการเมืองนั้นต้องสร้างกระแสสังคมกดดัน อาจารย์ทำอย่างไร Insider เหล่านั้นจึงช่วยงานอาจารย์ตลอด อันนี้ตอบไม่ได้ ต้องถามพวกเขานะ (หัวเราะ) เราเคารพแหล่งข่าวมาก เขาจะต้องปลอดภัยไม่ถูกเปิดเผย เราเองก็ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน จึงมีคนมาทำ “ของตก” ไว้ให้ รู้สึกได้ว่ามีคนดีๆ ที่น่ารัก ไว้วางใจเราให้ข้อมูลจริงแก่กลุ่มของเรา หากย้อนเวลากลับไปได้ อาจารย์อยากจะเปลี่ยนหรือแก้เรื่องอะไรมากที่สุด ที่ทำมาถูกต้อง ไม่มีอะไรผิด แล้วต้องการทำอะไรอีก ยังมีอีกหลายอย่างที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องคุณภาพคน คือ เรายังไม่อยู่ในสังคมที่เป็นสันติ หรือไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ยังมีปัญหาโกงกันให้เห็นทุกวัน ปัญหามีเสมอ ความทุกข์ยากยังปรากฏ การเอารัดเอาเปรียบยังปรากฏ ก็ชัดเจนว่ายังต้องช่วยกันแก้ปัญหาต่อไป ...ฉะนั้นต้องเตรียมประเด็นให้พร้อม... เมื่อมีจังหวะก้าวที่ถูกต้อง ก็จะบรรลุเป้าหมาย แล้ว 42 ปีของความเป็นครู อาจารย์อยากบอกอะไร ในแง่เป็นครู เราตั้งใจสร้างลูกศิษย์ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นอกจากถ่ายทอดศิลปวิทยาการความรู้ ให้ไปทำมาหากิน จนเป็นบัณฑิตแล้ว ก็อยากสร้างให้เขาเป็น บัณฑิตที่แท้ ที่ออกไปดำเนินชีวิตอย่างดีงามด้วย นี่ถือเป็นหน้าที่ปกติ ที่ทำอยู่ตลอดชีวิต ตั้งแต่สมัยที่มหาวิทยาลัยไม่ค่อยให้ความใส่ใจ เรื่องจริยธรรม ก็คุยเรื่องนี้กันมาก มีข้อเสนอตอนปรับปรุงหลักสูตรเภสัช ปี 26-27 ให้เพิ่มเรื่องจริยธรรมในหลักสูตร ตอนนั้น ถกเถียงกันว่า เรื่องจริยธรรม สอนกันได้หร

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 101 เจ้าพ่อศัลยกรรม

ทุกคนมีสิทธิ ชนิษฎา วิริยะประสาท - สัมภาษณ์สุมาลี พะสิม- เรียบเรียง / ถ่ายภาพ   เกิดปัญหาลุกขึ้นมาครับ อย่าเงียบการลุกขึ้นมาใช้สิทธิในฐานะที่เขาเป็นผู้บริโภคคนหนึ่งนั้น เขาให้ความเห็นว่าถ้าหากเกิดเรื่องแล้วเขาเงียบ ทุกอย่างคงจะจบแบบเจ็บปวด แต่การลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของเขาก็ใช่ว่าเขาเป็นคนก้าวร้าว เพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนผิด เพียงแต่ว่าถ้าหากมีการพูดคุย ตกลงกันทั้ง 2 ฝ่ายได้ เรื่องก็สามารถจะจบลงด้วยดีได้ เรื่องนี้หากเกิดกับคนทั่วไปที่ไปทำศัลยกรรมแล้วโชคร้ายเกิดมีความผิดพลาดขึ้นมา อย่านิ่งเงียบควรออกมาใช้สิทธิเรียกร้องแบบเดียวกับที่วรวิทย์ทำ “คือเราก็สงสารหมอนะ ผมพูดเป็นกลางๆ ทั่วๆ ไปนะ เพราะหมอเองก็คงไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้น คงไม่มีหมอคนไหนที่อยากให้เกิดขึ้น เพราะหมอก็คงทำตามระบบที่เขาวางไว้ พอเกิดเรื่องขึ้นหมอกับคนไข้ก็ต้องคุยกัน ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร” สวย – หล่อ แบบเสี่ยงๆด้วยความที่วรวิทย์คลุกคลีในวงการ ”ศัลยกรรม” มานาน ทั้งประสบการณ์ตรง ทั้งจากการรับรู้จากเพื่อนๆ และด้วยความที่เขามีเพื่อนที่ประกอบธุรกิจเหล่านี้ด้วย เขาจึงสามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่า การที่จะสวย หล่อ ด้วยมีดด้วยเข็มนั้น นอกจากจะแพงแล้วยังต้องยอมรับเรื่องความเสี่ยงด้วยเช่นกัน “เดี๋ยวนี้มีพวกหลอกนะ คือบอกว่าฉีดสารนี้ แต่กลับไปฉีดสารอีกอย่างหนึ่งให้คนไข้แทน แบบนี้ผมไม่ชอบมากๆ เพราะเพื่อนรุ่นน้องเคยพบมา อย่างบอกว่าจะฉีดคลอลาเจน แต่กลับไปฉีดซิลิโคนเหลวให้แทน อ้าว…คือพวกเราน่ะ คนทั่วไปน่ะ ไม่รู้หรอกว่าไอ้สารที่อยู่ในหลอดตอนฉีดคืออะไร เขาเข้าไปเตรียมเครื่องมือด้านหลังแล้วค่อยออกมาหาเรา เพราะฉะนั้นก็ต้องระวังพวกหลอกให้มากๆ ” นอกจากเรื่องหลอกแล้ว เรื่อง “ยาปลอม” ก็มีเยอะโดยเขายกตัวอย่างโบท็อกซ์ขึ้นมาเป็นตัวอย่างว่ามีการนำเข้ามาจากหลายประเทศทั้งจากเวียดนาม จากจีน ซึ่งวรวิทย์บอกว่า “ปลอมทั้งนั้น แล้วยังแพงอีก” “การฉีดโบท็อกซ์ต่ำสุดก็หลักหมื่นขึ้น ซึ่งราคาก็แตกต่างกันไปตามเกรดของผลิตภัณฑ์ คือก็ต้องเสี่ยงเอาอีกนั่นแหละ ที่ถามว่าควรจะมีหน่วยงานหรือมาตรการอะไรที่จะออกมาควบคุมให้ผู้บริโภคปลอดภัย ตามความเห็นผมนะ ผมว่ายาก อย่างกระทรวงสาธารณสุขที่ดูแลอยู่ ผมว่ามันหละหลวม คลินิกเถื่อนเพียบ บางแห่งเปิดในคอนโดก็มี แล้วคนฉีดก็ไม่ได้เป็นหมอ แค่เป็นพยาบาลก็ฉีดได้แล้วเพียงแค่รู้ตัวยาแค่นั้นก็ฉีดได้แล้ว ผมว่าทางที่ดีที่สุดก็อยู่ที่ตัวของคนทำเองหรือผู้บริโภคนั่นแหละ ที่จะต้องหาความรู้ก่อนที่จะทำศัลยกรรมเพราะว่าถึงแม้จะเจอหมอดีก็ตามนะครับ แต่ว่าการทำศัลยกรรมมีความเสี่ยง 50 : 50 ครับ ต้องคิดให้ดีก่อนจะตัดสินใจทำ เพราะบางทีเราก็ไปโทษหมอไม่ได้ เพราะสภาพร่างกายของคนเรามันก็ต่างกัน อย่างรุ่นน้อง 2 คนไปทำจมูก อีกคนออกสวย อีกคนออกมาดูไม่ดี ผมเลยอยากบอกไว้เลยนะว่า ถ้าใครที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วกำลังคิดที่จะทำศัลยกรรมอยู่ ให้ทำใจไว้ได้เลยว่าคุณต้องเสี่ยง 50 : 50 ต้องเตรียมใจพร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าดีก็ดีใจ ถ้ามันออกมาไม่ดีก็ต้องทำใจ” ควรทำบุญก่อนทำศัลยกรรมวรวิทย์จะพูดติดตลกเสมอ เวลามีคนโทรมาหาเขาว่าควรจะทำอย่างไรบ้างก่อนจะทำศัลยกรรมอะไรสักอย่าง ซึ่งคนทั่วไปก็จะแนะนำว่าให้เลือกคลินิกที่ไว้ใจได้ หมอที่มีชื่อเสียง แต่สำหรับเขาแล้ว เขาไม่ได้แนะนำอะไรมากนักก็แค่ “ทำบุญไว้เยอะๆ” “อาจจะไปนั่งวิปัสสนาสัก 10 วันแล้วค่อยกลับมาทำก็ได้ คือมันขึ้นอยู่กับดวงจริงๆ คือมีดอยู่ในมือหมอ ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะวาดหน้าคุณเป็นรูปอะไร การทำศัลยกรรมในความหมายของผมก็คือการที่หมอใช้มีดในมือวาดหน้าเราขึ้นมาใหม่น่ะ ไม่ต้องไปทำหรอกศัลยกรรมเกาหลีอะไรนั่นน่ะ จริงๆ คนไทยหน้าตาธรรมชาติสวยมากกว่าไม่สวย ส่วนคนเกาหลี 10 คน ทำศัลยกรรมกันหมดเพราะมันสวยไม่พอในความคิดของพวกเขา แต่ช่วงเด็กวัยรุ่นพ่อแม่เขายังไม่ให้ทำนะ ส่วนเรียนจบแล้วเป็นอีกเรื่องว่าจะทำหรือเปล่า ให้คิดเองแล้วกัน ซึ่งถ้าวัยรุ่นบ้านเราอยากจะทำก็อาจจะใช้แนวคิดข้อนี้ก็ได้ แต่ก็อย่างที่บอกต้องทำใจยอมรับสิ่งที่ตามมาให้ได้และฝากถึงคนที่ทำตา ทำมาแล้วห้ามแก้เลยนะ ถ้าไปแก้แล้วจะพัง และบางคนธรรมชาติก็ดูดีอยู่แล้วอย่าไปหาเรื่องเลย” ประสบการณ์ขาวสั่งได้นอกจากเรื่องศัลยกรรม เรื่องผิวขาวสั่งได้ก็เป็นอีกประสบการณ์ของ วรวิทย์ เพราะเขาเองก็เคยฉีดสารกลูตาไธโอนเช่นกัน “คือต้องทำความเข้าใจก่อนนะ ที่ผมรู้มาก็คือว่า กลูตาไธโอน เขาจะฉีดให้คนที่เป็นมะเร็งตับ คือสารตัวนี้มันจะไปดีท็อกซ์ตับ ขับสารพิษออกมาแล้วทำให้ตับเราทำงานได้ดีขึ้นแล้วพอตับทำงานดีขึ้น ร่างกายของเราก็ดีขึ้นแล้วผลที่ส่งออกมาก็คือทำให้ผิวดูผ่องขึ้นเพราะสุขภาพดีขึ้น แต่อย่าไปฉีดเยอะมันจะให้เป็นมะเร็งผิวหนัง แล้วถ้าฉีดมากเกินไปอีกก็จะส่งผลต่อตาทำให้ตาเราสู้แสงไม่ได้ และมันก็ขาวไม่นานครับ ต้องฉีดซ้ำ ผมว่าอย่าไปทำเลยครับ “อันตราย” ฝากถึงคนที่ต้องการทำศัลยกรรมในฐานะ เจ้าพ่อศัลยกรรม วรวิทย์ฝากถึงคนที่ต้องการทำศัลยกรรมว่า “ความคิดของผมนะ คนที่อยากทำศัลยกรรม ควรไตร่ตรองให้รอบคอบ คิดให้ดี ให้ตกว่า เป็นสิ่งที่เราต้องการทำจริงๆ จำเป็นจริงๆ ไม่ใช่ตามกระแส และต้องทำใจล่วงหน้าด้วยนะ ว่ามันมีความเสี่ยงอย่างที่บอกไปคือ ห้าสิบ ห้าสิบ อีกอย่างมันก็เป็นบริการที่แพง ถ้าคิดรอบคอบแล้วว่าอยากทำ ยอมรับผลที่เกิดขึ้นได้ ก็อย่าไปเห็นกับของถูก ของถูกส่วนมากจะเถื่อน บริการแบบที่ดีๆ มีราคาค่าใช้จ่ายสูงครับ หากไม่มีเงินก็ค่อยๆ เก็บเงิน และถ้าจะทำจริงๆ ล่ะก็ทำที่โรงพยาบาลจะดีกว่ามันแพงก็จริง แต่ถ้าเสียหายขึ้นมาทีมหมอพยาบาลอะไรก็พร้อมกว่า แล้วในการเจรจาเราก็น่าจะได้รับการชดเชยเยียวยามากกว่าคลินิก”   ฉลาดซื้อฉบับนี้มีโอกาสไปจับเข่าคุยกับ คุณวรวิทย์ แก้วเพ็ชร์ หรือใครหลายๆ คนรู้จักเขาในนาม “นายลอย” จากละครดัง “แรมพิศวาส” ซึ่งปรากฏเป็นข่าวดังขึ้นมา เมื่อเขาประสบปัญหาจากการเข้ารับบริการทางการแพทย์ในคลินิกที่เกี่ยวกับความงามแห่งหนึ่ง วันนี้คดีจบลงแล้ว แต่ที่เราอยากนำเสนอคือ มุมมองของการทำศัลยกรรมจากคนในวงการบันเทิงว่า สำหรับพวกเขาแล้วมันมีจำเป็นแค่ไหน และอะไรคือ ความเสี่ยง ที่เขาได้เผชิญมา ลองสัมผัสมุมมองของเขาในฐานะคนในวงการบันเทิงด้วยกันนะคะ เจ้าพ่อศัลยกรรม“ตั้งแต่เกิดเรื่องมา เวลาใครจะไปทำอะไรก็มักจะโทรมาปรึกษาผมก่อน เลยกลายเป็น ‘เจ้าพ่อศัลยกรรม’ ไปเลย ความจริงผมเคยฉีด (โบท็อกซ์) มาก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เพิ่งมาฉีด แต่พอย้ายสถานที่ปุ๊บก็….นะ” วรวิทย์กลายเป็นเจ้าพ่อศัลยกรรมโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเขาเองก็ได้ให้คำปรึกษาเพื่อนๆ อย่างดีนั่นเพราะเขาเองก็สนใจในเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว ว่างก็หาหนังสือมาอ่าน ที่สำคัญเขาเองก็เป็นคนรักสุขภาพและผ่านการทำศัลยกรรมมาหลายครั้งแล้วเช่นกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 100 อานันท์ ปันยารชุน อยู่ให้ได้ในโลกที่มีแต่คนเอาเปรียบ

ถอดความจากปาฐกถา ในงานเปิดบ้านใหม่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2552สวัสดีทุกท่านเพื่อนสนิทมิตรสหายในกระบวนการให้ความคุ้มครองดูแลสิทธิของผู้บริโภคนะครับ ผมเองไม่ใช่เป็นนักเคลื่อนไหวหรือเป็นคนที่มีความรู้อะไรพิเศษเกี่ยวกับเรื่องของสิทธิผู้บริโภค แต่มันมาจากจุดหนึ่งในใจซึ่งมีมาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็คือว่าในโลกที่เราอยู่นั้นก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนเอาเปรียบ การเอาเปรียบผู้อื่นมีเหตุผล เจตนาหรือเปล่า แต่คนที่ถูกเอาเปรียบคือคนที่ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพื่อให้มีความแข็งแกร่งในวิชาชีพ แข็งแกร่งในทางรายได้ แข็งแกร่งในทางมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับคนภายนอก ผู้ถูกเอาเปรียบในตอนนี้นั้นก็สามารถจะต่อสู้ด้วยตัวเองได้ ในสังคมไทยยังมีผู้ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่มากและยังอยู่ในสภาพที่ ถ้าไม่มีคนอื่นเข้ามาช่วยคงจะไม่สามารถรักษาสิทธินั้นได้จากความรู้สึกอันนี้มันก็เลยทำให้เกิดความรู้สึกลึกลงไปว่ากระบวนการของการมีองค์กรที่ไม่หาผลกำไร เป็นองค์กรที่ไม่ได้อยู่ในเครือข่ายของรัฐนั้นมีความจำเป็นสำหรับคนไทยมากกว่าประเทศอื่นๆ แล้วเครือข่ายเหล่านี้ก็จะเรียกว่าอยู่ในวงการของประชาสังคม ผมก็ดีใจที่มีความตื่นตัวในเรื่องของการรักษาสิทธิของผู้บริโภค แต่ผมว่าอนาคตยังไปอีกไกลเพราะว่าเราต้องเริ่มต้นจากจุดแรกซึ่งลำบาก เราต้องเริ่มต้นจากจุดที่เรียกว่าต้องให้ประชาชนส่วนใหญ่หรือให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต่างรู้และสำนึกในสิทธิของตน เรายังไปไม่ถึงก้าวที่สอง เราเป็นเพียงแต่การพยายามให้คนเข้าใจ ให้คนรู้ว่าสิทธิของผู้บริโภคนั้นคืออะไรและก็เราจะดูแลรักษามันยังไง เพราะฉะนั้นในขั้นต้นนี้การทำงานก็ค่อนข้างจะไปในหลายกระแสหลายทิศทาง แต่อย่างหนึ่งที่ผมอยากให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคทำหน้าที่ก็คือว่า ไปในเรื่องใหญ่ๆ ในเรื่องของทิศทางที่ไม่ใช่เป็นเพียงแต่คุ้มครองผู้ถูกรังแกอยู่ในคอนโดก็ดี หรือผู้ถูกรังแกทางด้านอาหารก็ดี ทางด้านเกษตรก็ดี แต่อยากจะให้เห็นว่ามันจะเป็นกระบวนการสุดท้ายที่ไม่ต้องอาศัยองค์กรนี้เป็นผู้ปกป้องให้ แต่เราปกป้องกันเองโดยที่องค์กรนี้จะทำหน้าที่ข้างเคียงไปกับสภาโดยตรงเลย เพราะว่าทั้งหมดนี้ขั้นสุดท้ายก็อยู่ที่ว่าปัญหาของการเอารัดเอาเปรียบนั้นมันเกิดจากช่องโหว่ของกฎหมายด้วย แล้วถ้าเผื่อนักการเมืองเขาไม่ดูแลเรื่องนี้ให้เรา มันก็มีความจำเป็นที่เราจะต้องเข้าไปใกล้ชิดกับสาขาในหน่วยงานคุ้มครองของนิติบัญญัติที่จะให้มีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติต่างๆ ที่ไม่ให้ความเป็นธรรม ที่สร้างความอยุติธรรมกับสังคมไทยในเรื่องของผู้บริโภค หรืออาจจะมีการแนะนำเสนอให้มีการออกกฎหมายออกพระราชบัญญัติใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อเสริมสร้างให้กระบวนการของการดูแลสิทธิของผู้บริโภคนั้นมีความมั่นคงและมีความยั่งยืนมากขึ้น …อันนี้ผมว่ายังไปอีกไกล แต่เราทำเป็นจุดๆ ไป ที่ทำมาผมก็ว่าเป็นประโยชน์มาก แต่ในใจผมยังว่ามันยังคงสะเปะสะปะไป ถ้าเกิดเราคิดทำทุกอย่างมันคงจะลำบาก แต่ถ้าเผื่อเราไม่ปลุกจิตสำนึกไม่ปลุกให้คนไทยด้วยกันตื่นขึ้นมาว่า เรื่องการดูแลสิทธิของผู้ที่ซื้อบ้านจัดสรร ถ้าให้มูลนิธิฯ ท่านดูแล ท่านก็เหนื่อย เพราะบ้านจัดสรรไม่รู้มีกี่พันแห่งในเมืองไทย เราคงจะไปดูทุกอันไม่ได้ แต่เราควรไปดูที่ต้นตอว่ากฎหมายปัจจุบันมันให้ความคุ้มครองและดูแลสิทธิของผู้เช่าผู้ซื้อบ้านจัดสรรหรือเปล่า แล้วแต่ละบ้านจัดสรรผู้บริโภคก็ดูแลกันเอง ตามข้อความของกฎหมายที่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจ ฝันอยู่ในใจแล้วก็เริ่มคุยบ้าง แต่ก็คงอยู่ไม่ทันที่จะเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตผม ก็ต้องขอฝากไว้กับท่านทั้งหลาย ผู้ที่อยู่ในมูลนิธิฯ ก็คงเป็นผู้จุดประกาย ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายท่านก็มีความเป็นธรรมอยู่ในใจแล้วท่านก็พยายามที่จะผลักดันในสิ่งที่ถูกต้อง แต่สุดท้ายเราหวังพึ่งใครไม่ได้หรอกครับ ต้องพึ่งตัวเอง ในการพึ่งตัวเองนั้นก็ต้องพูดมากขึ้น เขียนมากขึ้น อ่านมากขึ้นและก็ต้องให้ประเด็นเรื่องของการสร้างวัฒนธรรมใหม่ ผมไม่อยากจะใช้คำว่าการเมืองใหม่เพราะว่าปัจจุบันใช้คำว่าการเมืองใหม่ค่อนข้างจะบ่อยครั้ง ซึ่งบางครั้งก็มีการถามว่าอะไรคือการเมืองใหม่ แต่ผมว่าวัฒนธรรมใหม่ของเมืองไทยที่เราอยากจะสร้างก็คือวัฒนธรรมของการเรียนรู้ของการแสวงหาความถูกต้องของการดูแลสิทธิ ไม่ใช่ดูแลผลประโยชน์นะ ผมขอให้เข้าใจคำนี้ด้วย ที่ทำมาทั้งหมดนี่มันไม่ใช่ผลประโยชน์นะ แต่ถ้าคุณจะดูแลสิทธิให้ถูกต้อง แล้วสิทธินั้นก่อประโยชน์ให้กับเรา อันนั้นผมเรียกว่าเป็นผลพลอยได้ แต่จุดเริ่มต้นไม่ใช่หาผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เพื่อสิทธิ ผมมาวันนี้ผมก็ดีใจได้เห็นบ้านใหม่ ผมไม่รู้ว่าเคยมีบ้านเก่าหรือเปล่า ได้เห็นบ้านใหม่ถึงแม้ไม่ได้อยู่ติดถนนก็มาตรงนี้ก็โชคดีนะ กันฝุ่น กันแดด กันเสียงด้วย ก็ตกแต่งซะดีเชียว ก็ยินดีนะ ขอให้เป็นบ้านใหม่ที่มีความสุขกายสบายใจ เป็นบ้านใหม่ที่สามารถทำประโยชน์ให้กับหลักการที่พวกเรายึดถือไว้ ขอให้ช่วยส่งเสริมให้สิทธิของคนไทยในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการบริโภค มันเป็นสิทธิที่มันฝังอยู่ในจิตใจไม่ใช่แต่ในพวกเราเท่านั้น แต่ในระบบการเมือง ในระบบยุติธรรม ในระบบบริหารต่างๆ ทั้งหมด ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยทำให้กระบวนการนี้สำเร็จด้วยดี …ระหว่างที่นั่งฟังวิดีโอเทป (นานาทัศนะของบุคคลต่างๆ ต่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่ได้ถ่ายทอดไปเมื่อฉบับที่แล้ว) ผมนึกอะไรบางอย่างซึ่งเป็นสิ่งที่ผมคิดมานานและเป็นหลักการที่ผมใช้ในการทำงานส่งเสริมกระบวนการ องค์กร ภายใต้ของภาคประชาสังคมนะครับคือในสังคมทุกสังคมมีความขัดแย้งหรือความเห็นที่ไม่ตรงกันเป็นของธรรมดา แต่สิ่งที่สำคัญคือว่าถ้าเกิดสังคมไหนที่มีสติพอ แล้วก็มีทางออกเพียงพอ ทางออกนี้สำคัญมาก ความขัดแย้งก็ดี ความเห็นที่แตกต่างกันก็ดี มันจะไม่เกิดไปจนถึงขั้นที่ต้องแตกหัก ทุกๆ ประเทศในประวัติศาสตร์มันต้องผ่านมาทั้งนั้น มันพูดง่ายแต่บางทีทำลำบาก เพราะฉะนั้นทุกๆ ชาติถ้าไปดูประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ของการพัฒนาสังคมมานั้น มันมีการถึงขั้นแตกหักมาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันในสังคมไหนที่มีสติมากขึ้น มีความรู้และมีการเข้าถึงข้อมูลก็ดี มีการเข้าถึงความยุติธรรมก็ดี โอกาสที่จะถึงขั้นแตกหักก็จะน้อยลงไปขอบคุณครับ...  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 99 เปิดบ้านใหม่เพื่อผู้บริโภค

Who 99สุมาลี พะสิม /เรียบเรียง   งานคุ้มครองผู้บริโภคที่ใครๆ อยากเห็นวันที่ 26 เมษายน 2552 ที่ผ่านมามูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ทุกคนมีสิทธิเล่มนี้จึงขอเก็บบรรยากาศมาฝากสมาชิกค่ะ พร้อมนำเสนอทรรศนะต่างๆ ของกัลยาณมิตรทั้งหลายมาฝากค่ะ       รสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร“สิ่งที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคทำนั้นก็คือว่าทำเรื่องคุณประโยชน์มาพอสมควร สิ่งที่จะต้องทำต่อไปก็คือต้องพยายามสร้างเครือข่ายคนที่จะมาคุ้มครองผู้บริโภคด้วยตัวเขาเองให้มากขึ้น กระจายตัวมากขึ้น แล้วก็จะมีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งอาศัยมูลนิธิฯ อย่างเดียวก็ค่อนข้างลำบากที่ต้องทำทุกเรื่องสำหรับการเปิดบ้านใหม่หลังนี้ก็ขอแสดงความยินดีด้วย อย่างน้อยก็คือว่าเราก็มีส่วนร่วมเล็กน้อยที่ร่วมระดมทุน “เดี่ยวไมโครโฟน” หาทุนให้มูลนิธิฯ ซึ่งจะทำให้เป็นที่ทำงานที่กว้างขวางต่อไป”   บุญยืน ศิริธรรม เครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดสมุทรสงคราม“เราอยากให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคขับเคลื่อนเรื่องการสนับสนุนเครือข่ายผู้บริโภคให้เข้มแข็งมากขึ้น สนับสนุนด้านข้อมูลและด้านอื่นๆ เพื่อที่จะทำให้ผู้บริโภคลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิของตัวเองได้ และผู้บริโภคจะเป็นอิสระมากขึ้น พ้นจากอุ้งมือของทุนนิยม ซึ่งเราเชื่อว่าการคุ้มครองผู้บริโภคนั้นไม่มีใครคุ้มครองผู้บริโภคได้ดีเท่ากับตัวของผู้บริโภค ต้องทำให้ตัวผู้บริโภคลุกขึ้นมาสู้ให้ได้มูลนิธิฯ ควรจะเป็นพี่เลี้ยงและเป็นสื่อกลางไม่ว่าเครือข่ายต้องการอะไรก็น่าจะให้ได้ และอยากให้ทำงานเชิงรุกไม่ใช่แค่ตั้งรับอยู่ในกรุงเทพฯ แต่อยากให้ลงไปที่พื้นที่และเชื่อมร้อยในพื้นที่ต่างๆ ด้วย โดยเฉพาะศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคส่วนหนึ่งรับเรื่องร้องเรียนก็จริง แต่ก็อีกด้านหนึ่งก็คือจะทำอย่างไรให้เกิดศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในทุกภูมิภาค เมื่อผู้บริโภคเดือดร้อนก็ประสานงานกับจังหวัดนั้นได้เลยโดยมีมูลนิธิเป็นผู้สนับสนุนข้อมูล”   นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผอ.สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม“สิ่งที่อยากให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคทำต่อไปก็คือการประสานเครือข่าย นอกจากประสานงานเครือข่ายผู้บิรโภคแล้วก็อยากให้ประสานงานเครือข่ายข้อมูลที่ติดตามเรื่องเหล่านั้น ดังนั้นไม่ว่าเรื่องยากแค่ไหนเมื่อมีผู้เชี่ยวชาญแล้วก็จะสามารถแก้ไขได้ เพราะถ้ามีผู้เชี่ยวชาญ 1 คนเข้าใจ ประชาชนที่เหลือก็จะเข้าใจได้ และก็จะรวมเป็นพลังเพื่อการขับเคลื่อนต่อไปได้การเปิดบ้านใหม่ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ จะทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้นเพราะเป็นจุดศูนย์กลางของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมูลนิธิฯ จะต้องทำหน้าที่ในการประสานงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคที่มากขึ้นทั้งให้ภาคประชาชน ภาครัฐ นักวิชาการ ให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แล้วก็มีส่วนร่วมเป็นแกนกลางในการขับเคลื่อน”   ณาตยา แวววีรคุปต์ สื่อมวลชน“มองในฐานะของความเป็นสื่อมวลชน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคถือว่าเป็นศูนย์กลางของข้อมูลในเรื่องสิทธิผู้บริโภคและการใช้สิทธิของผู้บริโภค ซึ่งเป็นประโยชน์มากในการนำมาย่อยและเผยแพร่ต่อ ในการนำเสนอสิ่งต่างๆ ที่ถูกมองว่าเป็นปัญหาให้เห็นออกมาเป็นรูปธรรม และง่ายที่สื่อจะนำมาเผยแพร่ต่อ แต่ก็ไม่ใช่แค่ว่าจะนำเอาแค่เรื่องร้องเรียนมาเท่านั้น ยังมีความรู้ด้วย ยังมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความคิดในการคุ้มครองสิทธิต่อผู้บริโภคได้ด้วยตัววารสารฉลาดซื้อก็มีประโยชน์ค่ะ อ่านทุกเล่ม ต้องบอกว่าอ่านเกือบทุกหน้า ซึ่งหนังสือพยายามสะท้อนให้เราเห็นว่าการใช้สิทธิของผู้บริโภคไม่ใช่เรื่องไกลตัว จริงๆ แล้วมันเกี่ยวกับทุกคน แต่จะมีสักกี่คนที่ใช้สิทธิ พอเราได้เห็นเรื่องราวๆ ต่างๆ ที่ฉลาดซื้อนำมาเผยแพร่ ทำให้เราได้เห็นว่ายังมีคนลุกขึ้นมาทำเรื่องพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคไม่ใช่แค่กับตัวเองเท่านั้น แต่สิ่งที่เขาทำแล้วถูกนำมาเผยแพร่ต่อมันส่งผลต่อผู้บริโภคคนอื่นๆ ให้เกิดความเชื่อมั่นด้วยว่ามาใช้สิทธิเถอะนะถ้าหากว่าถูกละเมิด ไม่ต้องไปบ่นอย่างเดียวซึ่งฉลาดซื้อก็สื่อออกมาได้และง่ายในการทำความเข้าใจ แล้วก็เป็นฐานในการที่จะหยิบมาทำงานด้านสื่อต่อไปได้”   ดำรง พุฒตาล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร“ขอแสดงความยินดีกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคด้วยที่เปิดบ้านใหม่ใจกลางเมือง ผู้บริโภคจะได้มาร้องเรียนได้ง่ายขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายก็คงเพิ่มขึ้นแน่นอน สำหรับใครที่จะร่วมบริจาคให้กับมูลนิธินี้ก็เชิญได้ครับ แนวทางในการทำงานที่ทำอยู่ถือว่าถูกทางแล้วที่เปิดรับเรื่องร้องทุกข์ ทำหนังสือฉลาดซื้อซึ่งก็เป็นสื่อตัวหนึ่งที่มีประโยชน์ ผมเองก็เป็นแฟนคลับคนหนึ่งที่อ่าน แล้วก็ดึงบางส่วนไปเป็นข้อมูลให้กับหนังสือคู่สร้างคู่สมของผมด้วย ก็ฝากไว้ว่าให้ตามเรื่อง พ.ร.บ.องค์การอิสระผู้บริโภคต่อไป พอมี พ.ร.บ.ตัวนี้แล้วก็คิดว่าคงจะทำงานสะดวกขึ้น ช่วยเหลือคนได้เยอะขึ้น ขอให้กำลังใจทุกคนครับ” จอน อึ๊งภากรณ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร“มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเดินมาไกลแล้วนะ แต่ก็ต้องเดินต่อไปในการสร้างสังคมที่เป็นธรรมสำหรับประชาชนทุกส่วน และขอให้มูลนิธิฯ ทำงานต่อไปในการสร้างและเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ในการปฏิรูปสังคม ในการสร้างระบบความเป็นธรรมให้กับผู้บริโภคไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิทธิบัตรยาที่ทำไปแล้ว ก็ขอให้ทำเพื่อความเป็นธรรมของผู้บริโภคต่อไม่ว่าจะเป็นเรื่องบัตรเครดิต เรื่องสิทธิต่างๆ ให้กับประเทศของเราต่อไป”   ปรีดา เตียสุวรรณ์ นักธุรกิจ“ทุกวันนี้เราอยู่ภายใต้ระบบทุนนิยมก็จำเป็นต้องมีองค์กรที่จะต้องคอยดูแล แต่ก็ไม่แปลกที่เราจะใช้กลไกของทุนนิยมเพื่อกำหนดผลงาน แต่ผลสุดท้ายของงานเราต้องหักตัวเองออกจากทุนนิยมเข้าสู่สังคมนิยมได้ก็โดยการนำเงินที่ได้มาบางส่วนให้องค์กรสาธารณะกุศลแบบผมทำ ที่เราจำเป็นต้องทำแบบนี้ก็เพราะเราอยู่ในระบบทุนนิยม อยากให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคลองพิจารณาสร้างผลกำไรขึ้นจากการปฏิบัติงานเพราะดูแล้วกำไรไม่ใช่สิ่งที่น่าเกลียดเพราะว่าถ้ามูลนิธิฯ สามารถลงไว้เป็นความเห็นขององค์กรว่า กำไรที่ได้มาจะมอบให้กับกิจการสาธารณะกุศล ไม่ได้แจกจ่ายให้พนักงาน เพราะว่าอะไรรู้ไหม เพราะว่าพอมีกำไรขึ้นก็จะมีการสร้างการวัดผลของการทำงานของแต่ละฝ่ายขึ้นมา ทำให้เกิดมีเป้าหมายขึ้นมา แต่ต้องกำหนดระยะกำไรที่เหมาะสมขึ้นมา แล้วกำไรที่ได้ก็ไม่ได้ไปไหนจะคืนกลับให้กับสังคมต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 98 กิน เปลี่ยนโลก ได้อย่างไร

ทุกคนมีสิทธิ์ สุมาลี พะสิม สัมภาษณ์ / ถ่ายภาพ มูลนิธิชีววิถี หรือหลายๆ คนรู้จักในนาม Biothai เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ชุมชนคนรักป่า และสถาบันต้นกล้า เปิดตัวโครงการรณรงค์กินเปลี่ยนโลก ไปเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งฉลาดซื้อเห็นว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี และเป็นประโยชน์กับสมาชิกและท่านผู้อ่านค่ะ จึงไปจับเขาคุยกับ กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา รองผู้อำนวยการ มูลนิธิชีววิถี ถึงที่ไปที่มา และการเข้าร่วมโครงการ ว่าจะต้องทำอย่างไรมาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันค่ะ จุดเริ่มของโครงการกินเปลี่ยนโลกกินเปลี่ยนโลกเป็นการรณรงค์เพื่อที่จะให้ผู้บริโภคเข้าใจเรื่องวิกฤตของอาหาร แต่โครงการกินเปลี่ยนโลกไม่ใช่โครงการแรก หากแต่มีหลายองค์กรที่พยายามทำกันมานานไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ตลาดสีเขียว ของเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก หรือมหกรรมสมุนไพรต่างๆ แต่ว่ายังไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสาธารณะ โครงการกินเปลี่ยนโลกจึงปรับเปลี่ยนกระบวนการรณรงค์ในเชิงรุกเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจ และเข้ามามีส่วนร่วม“ดูเหมือนการสื่อสารผ่านงานมหกรรมหรือจัดเวทีสาธารณะก็ดูจะเป็นเรื่องเครียดๆ ที่ถูกนำเสนอออกมาซะมากกว่า ก็อยากจะปรับให้เครียดน้อยลงเพื่อที่จะให้คนได้เข้าใจมากขึ้น ก็เลยเลือกที่จะสื่อผ่านอาหาร และใช้อาหารนี่ล่ะเป็นสื่อในการรณรงค์เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวและอยู่ในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญก็คืออาหารเป็นเรื่องใหญ่ของคนไทย ดูง่ายๆ อย่างเราไปเที่ยวก็จะเตรียมอาหารตุนไปกินระหว่างทาง หรือไม่ก็แวะกินตามร้านรวงที่เปิดขายกันรายทาง ทั้งซื้อฝากและซื้อกันกิน จนกลายเป็น วัฒนธรรมกินตลอดทาง   ด้วยความที่เมืองไทยเราค่อนข้างจะอุดมสมบูรณ์และเป็นประเทศที่ส่งออกธัญญาหารเป็นอันดับต้นๆ ของโลกมีทั้ง ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา เนื้อสัตว์ก็จะเป็นกุ้ง ไก่ คนจึงมองไม่ออกว่าเมืองจะเกิดวิกฤตหรือเกิดปัญหา จนเมื่อราคาข้าวสูงขึ้นเพราะข้าวขาดแคลนในตลาดโลก ก็ดึงราคาข้าวของไทยให้สูงขึ้นตามลำดับ คนจึงเริ่มแตกตื่นว่าวิกฤตมาแล้ว ที่ผ่านมาเวลาเราจะสื่อสารกับสาธารณะก็มักจะหยิบยก ปัญหาขึ้นมาก่อนว่า ปัญหามันคืออะไร แต่กินเปลี่ยนโลกเราจะเปลี่ยน คือแทนที่จะหยิบยกว่าปัญหาทางด้านอาหารคืออะไร มีสารเคมี มีจีเอ็มโอ เราก็จะเปลี่ยนเป็น ‘เราจะกินอย่างไรให้มีคุณภาพ แล้วการกินอย่างมีคุณภาพของคนเราช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง’ ประเด็นเหล่านี้ก็น่าจะนำไปสู่ประเด็นวิกฤตของอาหารได้ โดยให้คนตั้งคำถามกับตัวเองว่าอาหารมาจากไหน อาหารที่เรากินเป็นอย่างไรโดยให้ศึกษาด้วยตัวเอง” เมืองไทยกับวิกฤตด้านอาหารกิ่งกรบอกกับฉลาดซื้อว่า เราอยู่กับวิกฤตอาหารกันมานานแล้ว แต่ไม่ค่อยรู้สึกกัน สิ่งที่แสดงให้เห็นชัดว่าเราก็มีวิกฤตด้านอาหาร คือเรื่องข้าว ด้วยความที่เมืองไทยเราค่อนข้างจะอุดมสมบูรณ์และเป็นประเทศที่ส่งออกธัญญาหารเป็นอันดับต้นๆ ของโลกมีทั้ง ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา เนื้อสัตว์ก็จะเป็นกุ้ง ไก่ คนจึงมองไม่ออกว่าเมืองจะเกิดวิกฤตหรือเกิดปัญหา จนเมื่อราคาข้าวสูงขึ้นเพราะข้าวขาดแคลนในตลาดโลก ก็ดึงราคาข้าวของไทยให้สูงขึ้นตามลำดับ คนจึงเริ่มแตกตื่นว่าวิกฤตมาแล้ว “เวลาเราพูดถึงวิกฤตอาหาร กินเปลี่ยนโลกของเราจะมองเรื่องความหลากหลายของอาหารว่าความหลากหลายมันน้อยลง อาหารอย่างพวกเนื้อสัตว์อาจจะมีราคาถูกขึ้นแต่คุณภาพของอาหารแย่ลง พอมีการผลิตมากขึ้นก็เลี้ยงกันเป็น ‘ฟาร์มปิด’ เลี้ยงกันเป็นอุตสาหกรรม มีการฉีดฮอร์โมน เร่งโต กินอาหารเม็ด วันๆ สัตว์ถูกขังอยู่แต่ในโรงเลี้ยง พอถึงระยะเวลาก็นำมาให้พวกเรากิน ยกตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือ ‘ไก่’ ปัจจุบันเรากินไก่รสชาติเหมือนทิชชู่ แต่เราก็ยังกินกันเพราะมันถูก แต่คุณภาพมันน้อยลง มองให้ง่ายขึ้นมาอีกว่าเราอยู่ในวิกฤตอาหารที่ความหลากหลายมันน้อยลง ก็ให้มองไปที่ตลาดสดที่มีผักแค่แตงกวา กะหล่ำปลี ผักกาดขาว คะน้า แครอท ผักชี ต้นหอม ผักพวกนี้ไปทีไรก็มีตลอดปี และเมื่อปลูกทั้งปีก็ต้องใส่สารเคมี เคยลงไปเยี่ยมชาวบ้านที่ปลูก เขาบอกเลยว่าแปลงนี้อย่ากินนะ แปลงนี้กินได้ แล้วคิดดูสิแล้วผักเหล่านั้นก็มาสู่ตลาดในที่สุด แล้วใครกิน ก็พวกเราๆ นี่หละกินเข้าไป แบบนี้ก็วิกฤตอีกเช่นกัน จะไปโทษใครได้ เพราะมันเป็นระบบกลไกการค้า ระบบกลไกการกระจายอาหารที่พาให้เกิดขึ้นเพราะทุกคนกินกันแบบไม่ดูฤดูกาล อยากกินอะไรก็จะได้กิน มีตอบสนองทุกอย่าง มะม่วง ทุเรียน ส้ม มีทั้งปี ผัก ผลไม้พื้นบ้านที่ออกตามฤดูกาลหายไปจากตลาดหมด เด็กๆ รุ่นใหม่ก็ไม่รู้จัก ซึ่งมันก็จะมีความหลากหลายของมันเองตามฤดูกาล แต่ว่ามันถูกเปลี่ยนแปลงการผลิตให้เป็นระบบอุตสาหกรรม มีให้กินกันได้ทั้งปี” และนั่นเป็นวิกฤตด้านอาหารในมุมมองของกินเปลี่ยนโลก เหตุแห่งปัญหาใครบ้างที่มีส่วนทำให้เกิดวิกฤตอาหาร กิ่งกรบอกว่าทั้งระบบตลาดและรัฐเองก็มีส่วนเพราะรัฐส่งเสริมให้มีการผลิตอาหารแบบอุตสาหกรรมมานานกว่า 20 ปี จนทำให้ผู้ผลิตรายย่อยอยู่ลำบาก “ที่บอกว่าลำบากก็คือ ต้องเปลี่ยนไปผลิตแบบอุตสาหกรรมในที่สุด ทั้งใส่ปุ๋ย ใส่ยาฆ่าแมลง ยาเร่งให้มันหัวใหญ่ ให้ฝักใหญ่ บางรายอยู่ไม่ได้ก็ล้มไป ตกไปอยู่ในวงจรของ ‘เกษตรพันธสัญญา’ เป็นหนี้พอมีลูกก็ไม่อยากให้ลูกต้องเป็นเกษตรกร จนเกิดปัญหา ‘วิกฤตเกษตรกรรายย่อย’ ไม่มีใครยอมทำเกษตร ไปเป็นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมแทน แล้วใครจะลงมาทำเกษตร ในเมื่อทำแล้วยิ่งมีหนี้ท่วมหัว นายทุนที่มีเงินก็จะใช้เกษตรพันธสัญญานี่ละ มาบังคับให้ชาวบ้านทำ” “เกษตรพันธสัญญา ก็คือ บริษัทจะนำปัจจัยการผลิตไปให้ชาวบ้าน ซึ่งจะมีทั้งพืชผัก และเนื้อสัตว์ แล้วก็มีสัญญาว่าจะรับซื้อในราคาเท่านั้น เท่านี้ และจะต้องขายให้บริษัทนั้นเพียงบริษัทเดียวเท่านั้น ซึ่งระบบพันธสัญญาที่เก่าแก่ที่สุดก็คืออ้อย ตามมาด้วยไก่ซีพี ไก่สหฟาร์ม ไก่ก้าวหน้า ส่วนหนึ่งทางบริษัทก็จะเลี้ยงเอง แต่อีกส่วนก็จะนำลูกไก่ อาหาร ฮอร์โมน ไปให้ชาวบ้านเลี้ยง โดยให้ชาวบ้านทำโรงเรือนเลี้ยงไว้รอ ถึงเวลาก็มาชั่งน้ำหนักขาย หักลบกลบหนี้กันไป ชาวบ้านก็เป็นเพียงคนรับจ้างเลี้ยง ซึ่งค่าจ้างก็คิดตามอัตราแลกเนื้อ ซึ่งจะเป็นสูตรคิดคำนวณออกมา ได้เท่าไรก็ให้ชาวบ้านไป ซึ่งไม่มีสิทธิต่อรอง แล้วก็จบกันไป เรียกได้ว่าเป็นแรงงานรับจ้างก็ได้ ที่สำคัญคือบริษัทไม่ต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินด้วยนะ แล้วความเสี่ยงก็อยู่กับชาวบ้าน ไก่ตายกี่ตัวก็จะถูกคิดคำนวณเป็นราคาไก่หมด การเป็นแรงงานแบบนี้ชาวบ้านจะมีความสุขหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่ที่แน่ๆ ก็คือมันมีตลาดรองรับก็ยังดีกว่าทำมาแล้วไม่มีที่ขาย เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เป็นหนี้ที่กู้มาทำโรงเรือนนั่นล่ะ ก็ต้องทำต่อไป เพราะเขาไม่มีทางเลือก ภาคเหนือก็จะเป็นพวกพืชผลการเกษตรเช่น ฝักข้าวโพดอ่อน ข้าวโพดหวาน ถั่วลันเตา พอได้มาก็จะนำไปอัดกระป๋อง ส่งออกนอก จ่ายค่าจ้างให้เกษตรกรแล้วก็จบ มันเป็นมาแบบนี้จนมาถึงจุดนี้ แต่คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้สึกว่าตกอยู่ในวิกฤต เพราะยังมีอาหารให้กินอยู่ แต่โครงการกินเปลี่ยนโลกมองว่าปัจจุบันนี้ พวกเราตกอยู่ในวิกฤตแล้ว วิกฤตด้านเลือก วิกฤตด้านคุณภาพของอาหาร วิกฤตด้านความปลอดภัย วิกฤตของผู้ผลิต และวิกฤตของผู้บริโภค ความวิกฤตของผู้บริโภคก็คือคนเรามีกำลังซื้อที่ต่างกันทำให้การเข้าถึงการเลือกซื้ออาหารที่มีคุณภาพหรือปริมาณที่ต่างกัน ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น เรื่องเหล่านี้ก็พยายามจะหาวิธีบอกกับทุกคนอยู่ จะเดินเข้าไปบอกว่า ‘เฮ้ย…นี่คุณกำลังกินขยะอยู่นะ’ นั่นก็ใช่ที่ จริงไหม” เธอกลั้วหัวเราะขณะหาวิธีบอกกับผู้คน “อาหารที่คุณกินมันสามารถเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ได้ และก็เชื่อมโยงกับผู้ผลิตรายย่อยด้วย เมื่อผู้ผลิตรายย่อยฟื้น การฟื้นฟูด้านระบบนิเวศน์ก็จะตามมา ไม่ต้องไปใช้ปุ๋ยเคมี หันมาใช้และผลิตด้วยวิธีตามธรรมชาติ คืนความหลากหลาย คืนระบบการผลิต คืนระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมให้กับผู้บริโภค คืนสุขภาพสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยเพราะมันเชื่อมโยงกันไปหมดนั่นเอง” กิน เปลี่ยนโลก ได้อย่างไรสารพัดวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่นี้ กิ่งกรกำหนดตัวแปรสำคัญที่จะช่วยกู้วิกฤตก็คือ ผู้บริโภค เพราะไม่ว่าจะอยากกินอะไร คนผลิตก็ทำออกมารองรับได้หมด และนอกจากผู้บริโภค ตัวแปรอีกตัวก็คือผู้ผลิตรายย่อย อย่างเกษตรกรต่างๆ เพราะเมื่อได้รับการส่งเสริมแล้วก็จะสามารถผลิตอาหารที่มีความหลากหลายตามมา ไม่ต้องพึ่งต้นทุนจากผู้ผลิตรายใหญ่ “อาหารที่คุณกินมันสามารถเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ได้ และก็เชื่อมโยงกับผู้ผลิตรายย่อยด้วย เมื่อผู้ผลิตรายย่อยฟื้น การฟื้นฟูด้านระบบนิเวศน์ก็จะตามมา ไม่ต้องไปใช้ปุ๋ยเคมี หันมาใช้และผลิตด้วยวิธีตามธรรมชาติ คืนความหลากหลาย คืนระบบการผลิต คืนระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมให้กับผู้บริโภค คืนสุขภาพสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยเพราะมันเชื่อมโยงกันไปหมดนั่นเอง” กิ่งกรอธิบายถึงความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกออกได้ การทำงานของกินเปลี่ยนโลกนั้นมุ่งรณรงค์ไปที่ 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มผู้บริโภคและสื่อมวลชน ซึ่งขณะนี้พยายามติดต่อประสานงานกับสื่อโดยการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้สื่อช่วยขยายต่อ และเปิดรับอาสาสมัคร กินเปลี่ยนโลกผ่านเว็บไซต์ www.food4change.in.th ขึ้นมา “อาสาสมัครของเราจะได้ร่วมกันคิดและวางแผนในการรณรงค์และเผยแพร่แนวคิดให้เป็นที่รับรู้กับสังคมภายนอก โดยอาสาสมัครของเราก็จะเปิดรับคนทั่วไปที่สนใจกิจกรรมและแนวคิดแบบนี้ ซึ่งอาสาสมัครสามารถเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง เริ่มต้นจากการตั้งคำถาม สร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยพฤติกรรมส่วนบุคคล แล้วก็ให้ไปคุยกับคุยกับคนรอบข้าง ทั้งที่บ้าน และที่ทำงาน เพื่อที่จะกระจายความคิดนี้ออกไป เป็นแรงกระเพื่อมเล็กๆ ที่ค่อยๆ รณรงค์และน่าจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ ส่วนกิจกรรมที่ทางกินเปลี่ยนโลกจัดก็คือการจัดสาธิตการทำหลายๆ อย่างด้วยตัวคุณเอง เช่นทำสบู่ ปลูกผักกินเอง กระแสก็น่าจะไปได้ เพราะคนเราเมื่อพูดถึงการกินก็จะนึกถึงสุขภาพของตัวเองเป็นหลัก แต่เราก็อยากให้คิดไปให้ไกลอีกนิดนึง อยากให้คิดถึงสิ่งแวดล้อมแล้วก็คิดถึงคนปลูกด้วย” เป้าหมายสูงสุดของโครงการกินเปลี่ยนโลก คือเพื่อรักษาฐานทรัพยากรอาหารไว้ให้ได้ นั่นก็คือที่ดินต้องอยู่ในมือของเกษตรกร ไม่เป็นที่ดินให้เช่าหรือของบริษัทใหญ่ มีน้ำ มีป่าไม้ สามารถรักษาฐานทรัพยากรชายฝั่งอย่างป่าชายเลนไว้ได้ และเธอเชื่อว่าผู้ที่จะรักษาทรัพยากรเหล่านี้ได้ก็คือผู้ผลิตรายย่อย ถ้าหากปล่อยให้ตกอยู่ในบรรษัทใหญ่ทุกอย่างก็จะไม่เหลือ เพราะฉะนั้นทั้งเกษตรกรรายย่อยและฐานทรัพยากรต้องอยู่คู่กัน “เราอยากเห็นว่าการเดินเข้าซูเปอร์มาเก็ตต่างประเทศ เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง อยากเห็นคนหันไปจ่ายตลาดสด ไปสนับสนุนแผงผักเล็กๆ แต่ถ้าไม่มั่นใจว่าแผงผักจะปลอดภัยคุณก็ต้องบอกเขาให้หาของดีๆ มาให้คุณกิน ซึ่งแม่ค้าก็ไปหามาได้ ชาวบ้านทำได้ เราเชื่อว่าการตลาดจะส่งผลกระตุ้นระบบการผลิตให้กว้างขวางขึ้น แล้วฐานการผลิตเกษตรกรรมยั่งยืนก็จะขยายตัวไม่ใช่ไปทำมุมเล็กๆ ในห้างสรรพสินค้า ที่มีเพียงกลุ่มคนเล็กๆ เท่านั้นที่เข้าถึง ก็น่าจะเริ่มต้นที่อาสาสมัคร เริ่มที่ตัวเรา จะเริ่มได้ยังไง ง่ายนิดเดียวที่ตลาดสดใกล้บ้านคุณไงก็ไปดูว่ามีวันไหน มีผักอะไรขายบ้าง แม่ค้าเอาผักมาจากไหน แล้วก็ต้องเลือกกินให้เป็นต้องดูว่าผักไหนผักพื้นบ้าน ก็น่าจะเชื่อได้ว่าถูกดูแลมาแบบธรรมชาติมากหน่อย แล้วก็มาทำกับข้าวกินเองไม่ต้องบ่อยก็ได้อาทิตย์ละวัน ปรับชีวิตให้ช้าลงบ้างก็ได้ไม่ต้องให้มันรวดเร็วตลอดเวลาให้เวลากับการกินหน่อย ทำไมจะทำไม่ได้ เวลาคุณซื้อของอย่างซื้อกล้อง หาข้อมูลเช็คสเป็กอยู่นั่นล่ะแต่ว่าเวลาคุณหยิบอะไรเข้าปากเนี่ยคุณไม่เคยเช็คสเป็กของกินของคุณเลย ว่าสเป็กที่คุณอยากได้มันเป็นยังไง เวลาคุณซื้อของคุณเลือกได้แต่ว่าทุกวันนี้คุณซื้อของกิน คุณกลับเลือกไม่ได้ คุณกำหนดสเป็กการกินของคุณไม่ได้ นั่นล่ะเราจึงต้องเปลี่ยนพอเราเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราก็จะค่อยๆ เปลี่ยน แล้วก็จะเปลี่ยนสู่สังคมกว้างในที่สุด แต่อาจใช้เวลาสักหน่อย” ทำไมจะทำไม่ได้ เวลาคุณซื้อของอย่างซื้อกล้อง หาข้อมูลเช็คสเป็กอยู่นั่นล่ะแต่ว่าเวลาคุณหยิบอะไรเข้าปากเนี่ยคุณไม่เคยเช็คสเป็กของกินของคุณเลย ว่าสเป็กที่คุณอยากได้มันเป็นยังไง เวลาคุณซื้อของคุณเลือกได้แต่ว่าทุกวันนี้คุณซื้อของกิน คุณกลับเลือกไม่ได้ คุณกำหนดสเป็กการกินของคุณไม่ได้ นั่นล่ะเราจึงต้องเปลี่ยนพอเราเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราก็จะค่อยๆ เปลี่ยน แล้วก็จะเปลี่ยนสู่สังคมกว้างในที่สุด แต่อาจใช้เวลาสักหน่อย” กิ่งกรเชื่ออย่างนั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 97 ขบวนการผู้บริโภคปี 2551 และการจัดตั้งวิทยาลัยผู้บริโภค

ทุกคนมีสิทธิชนิษฎา วิริยะประสาท สัมภาษณ์ / สุมาลี พะสิม ถ่ายภาพ – เรียบเรียง ทุกวันที่ 15 มีนาคมของทุกปี จะเป็นวันคุ้มครองผู้บริโภคสากล (World Consumer Rights Day) และวันที่ 30 เมษายน ก็จะเป็นวันคุ้มครองผู้บริโภคไทย เพื่อต้อนรับวันสำคัญทั้งสองนี้ ฉลาดซื้อจึงไป “จับเข่าคุย” เรื่องขบวนการคุ้มครองผู้บริโภคของไทย กับ ดร.วิทยา กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ(คคส.) ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการคุ้มครองผู้บริโภคของไทยมานาน เพื่อทบทวนขบวนการผู้บริโภคในปี 2551 และการจัดตั้งวิทยาลัยผู้บริโภค โดยผู้บริโภค สถานการณ์ผู้บริโภคในช่วงปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไรผมย้อนไปดูสถานการณ์เมื่อต้นปี 2551 รู้ไหมเรื่องอะไร เรื่องสวนสยาม ผมนั่งคิดดูแล้วมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกนะ แต่มันก็ยังเกิดขึ้นอีก มีข่าวออกมาว่าจะปิดแต่สุดท้ายก็ยังเปิดอยู่ พอมากลางปีประเด็นก็จะอยู่ที่การต่อสู้เพื่อให้เกิดการเข้าถึงยาในประเทศไทย ปลายปีก็จะเป็นเรื่องของนมเมลามีนซึ่งเกิดขึ้นในประเทศจีน พอเราดูสถานการณ์ตรงนี้แล้วก็ต้องมาดูว่าผู้บริโภคเรามีทางเลือกไหม แต่พอให้นึกดูก็นึกไม่ออกว่าคืออะไร ผมก็มานึกว่าวันนี้ผมกินข้าวอยู่ ผมก็มีทางเลือก ดูหนังก็มีทางเลือก คือมันมีทางเลือกเยอะ และสิทธิที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดก็คือสิทธิที่จะเข้าถึงยา ซึ่งมันเป็นสิทธิที่พวกเราต่อสู้ในเรื่องนี้กันอย่างมาก (การบังคับใช้สิทธิตามสิทธิบัตร Compulsory Lisensing หรือ CL) และเห็นเป็นรูปธรรม กรณีสวนสยามและเมลามีน ผมคิดว่าเป็นเรื่องสิทธิที่การปกป้องความปลอดภัยยังมีปัญหาอยู่ ส่วนเรื่องผลผลิตที่ดีอย่างมีการผลิตถังน้ำเย็นที่ปลอดสารตะกั่ว การผลิตหม้อก๋วยเตี๋ยว หรือชุดทดสอบน้ำมันทอดซ้ำ ก็ถือว่าเป็นผลที่ดี ตัวที่มีปัญหาเมื่อเกิดปัญหาแล้วกลไกที่จะปกป้องความปลอดภัยยังไม่ดีพอ ซึ่งระบบการปกป้องความปลอดภัย ข้อมูลข่าวสาร การชดเชยความเสียหาย ก็ถือว่ามีกฎหมายที่ออกมาช่วยจัดการ ในความเห็นของผมคือมันจะวิ่งไปด้วยกัน ยกตัวอย่างก็คือ กฎหมายที่บ้านเราออกมาเพื่อผู้บริโภคที่ผ่านมาทั้ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคกับพ.ร.บ.ความรับต่อความเสียหายฯ ซึ่งทั้ง 2 ตัว จะช่วยชดเชยความเสียหายให้ผู้บริโภค ลดภาระการพิสูจน์ที่เดิมผู้บริโภคต้องไปพิสูจน์เองให้ศาลเห็นเมื่อจะฟ้องใคร กฎหมายสองตัวนี้ช่วยให้ผู้บริโภคไม่ต้องมีภาระเรื่องการพิสูจน์อีก ภาระจะกลับไปที่ผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ผลิต คราวนี้ถ้าเกิดปัญหาผู้บริโภคก็ไปฟ้องศาล ไม่ต้องเสียค่าทนาย คือการชดเชยความเสียหายทำได้ง่ายขึ้น ส่วน พ.ร.บ.ความรับต่อความเสียหายฯ ซึ่งโดยเบื้องหลังแล้วกฎหมาย มุ่งที่จะป้องกันความปลอดภัยเป็นหลัก นั่นก็คือผู้ประกอบการก็มุ่งที่จะป้องกันตัวเองเช่นกัน มีการพัฒนาสินค้าตัวเองให้ดีขึ้น มีการทำประกัน จัดการระบบผลิตให้ดีขึ้น จะทำอะไรก็คิดถึงผู้บริโภค บางรายก็บอกว่าต้นทุนเขาต้องสูงขึ้น เมื่อกฎหมายตัวนี้ออกมา แต่มันก็เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตัวผู้บริโภคและตัวของบริษัทเอง ที่บอกว่าจะมีการปฏิรูประบบการคุ้มครองผู้บริโภค อยากมีองค์การอิสระผู้บริโภค ก็ผลักดันกันเรื่อยมา จนปีนี้ 2552 ก็ได้เสนอกฎหมายตัวนี้เข้าไปอีกจะได้หรือเปล่าก็ค่อยว่ากันอีกที แต่ที่มีเกิดขึ้นก็คือขบวนการผู้บริโภค ที่เคยว่าอยากได้ศาลผู้บริโภค ตอนนี้ก็มีศาลผู้บริโภคจริงๆ แล้ว ส่วนจะมีการใช้กันจริงๆ หรือเปล่าก็มาว่ากันอีกที ทิศทางการพัฒนาระบบกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคไทยจะเป็นอย่างไรปี 2551 เราได้กฎหมายมา 2 ตัวคือ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ซึ่งมีผลบังคับใช้วันที่ 23 สิงหาคม 2551 และ พ.ร.บ.ความรับต่อความเสียหายที่เกิดจากสินค้าไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551 หรือ Product Liability (PL Law) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 พอกฎหมาย 2 ตัวนี้ออกมา ก็มีการออกมาคัดค้านกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่ากลุ่มที่ออกมาคัดค้านก็คือหมอ พวกหมอก็ตื่นตัวกันให้วุ่น เพราะเกรงว่าจะกระทบตัวเอง ถ้าหากจะมองคดีทางการแพทย์ ผมก็มองไม่เห็นเท่าไรนะ ปีหนึ่งมีแค่ 3 – 4 ราย แต่ก็ถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นกลายเป็นว่าผู้บริโภคฟ้องร้องหมอมากขึ้น ภาพเลยออกมาแบบนั้น อย่างกฎหมาย วิฯ ผู้บริโภค นอกจากผู้บริโภคจะฟ้องผู้ประกอบการแล้ว ผู้บริโภคเองก็ถูกฟ้องด้วยเช่นกัน ตามหลักคิดนั้นผมว่ากฎหมายนั้นดีนะ แต่หลักปฏิบัติยังไม่ค่อยดี ตั้งแต่ผู้บริโภคถูกฟ้อง อีกอย่างก็คือเพิ่งเป็นการเริ่มต้นยังไม่ตื่นตัวและยังไม่เข้าใจเรื่องกฎหมายมากนัก ยังกล้าๆ กลัวๆ กันอยู่ ก็ต้องรอการปรับตัวกันสักพัก ผมคิดว่ากฎหมายทั้ง 2 ตัวที่ออกมาถือว่าดีแล้วเพราะมันทำให้เกิดระบบ และถ้าหากมี องค์การอิสระผู้บริโภคเกิดขึ้นจริงอีกก็จะเป็นตัวเสริมให้ดียิ่งขึ้น เมื่อมองในเรื่องของพัฒนาการว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็ให้ดูหลักของอาจารย์ประเวศ วะสีในเรื่อง สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา ภาควิชาการ เรายังไม่มีระบบที่เชื่อมร้อยกันไปได้ ยังกระจายกันอยู่ อย่างเช่น การดึงหน่วยงานต่างๆ เช่น สถาบันวิจัยโภชนาการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เข้ามาเพื่อดึงข้อมูลความรู้ออกมาใช้ มันก็ยังไม่ถึงที่สุด กลุ่มนักวิชาการก็ยังไม่เกิดกลุ่มและยังไม่มีการจัดระบบกันเอง ภาครัฐ ก็เริ่มที่จะเห็นถึงพลังผู้บริโภคบ้างแล้ว ก็เริ่มที่จะมีการพัฒนากลไกเกิดขึ้น แต่ภาครัฐก็ยังเป็นภาครัฐอยู่นั่นเอง ภาคผู้บริโภค ผมมองว่าขณะนี้กลุ่มผู้บริโภคเกิดความเคลื่อนไหวและเติบโตอย่างมาก เพราะมีการเติบโตจากประสบการณ์และการเรียนรู้จริงทั้งจากเวทีต่างๆ และจากเครือข่ายด้วยกันเอง เครือข่ายต่างๆ ของผู้บริโภคก็เติบโตอย่างมาก อย่างเครือข่ายผู้เสียหายทางการแพทย์ถือว่ามีการเติบโตอย่างมาก คือเราทำงานกันแบบมีขบวนการการเคลื่อนไหว เรียนรู้จริงไม่ใช่จับคนมานั่งในห้องแล้วก็อัดข้อมูลเข้าไป ไม่ใช่…เราเรียนรู้จักประสบการณ์และการทำงาน ผมขอชมเลยนะว่า ขบวนการผู้บริโภคของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ถือว่าค่อนข้างสำเร็จกลุ่มอื่นๆ ก็จับตามองว่ามีการเคลื่อนไหวเรื่องนี้ทำไมไม่จับเรื่องอาหารหรือเรื่องสุขภาพอื่นๆ แต่ก็สามารถพัฒนาจนมีเครือข่ายผู้บริโภคได้ในที่สุด ถ้ามองถึงพัฒนาการที่ผ่านมา ขณะนี้ก็ถือว่าดีขึ้นเยอะมีกลไกต่างๆ เกิดขึ้นเยอะมองย้อนไปตั้งแต่ปี 2547 ที่มีการจัดเวทีสภาผู้บริโภคขึ้นที่ ม.ธรรมศาสตร์ ที่บอกว่าจะมีการปฏิรูประบบการคุ้มครองผู้บริโภค อยากมีองค์การอิสระผู้บริโภค ก็ผลักดันกันเรื่อยมา จนปีนี้ 2552 ก็ได้เสนอกฎหมายตัวนี้เข้าไปอีก จะได้หรือเปล่าก็ค่อยว่ากันอีกที แต่ที่มีเกิดขึ้นก็คือขบวนการผู้บริโภค ที่เคยว่าอยากได้ศาลผู้บริโภค ตอนนี้ก็มีศาลผู้บริโภคจริงๆ แล้ว ส่วนจะมีการใช้กันจริงๆ หรือเปล่าก็มาว่ากันอีกทีอยู่ที่การทำความเข้าใจและการนำไปใช้ เราจะเอาไปขยายอย่างไรนั่นก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ว่าเราจะใช้วิธีการอย่างไร จะใช้วิธีการเดิมก็ได้ เราใช้ฉลาดซื้อ ใช้รายการโทรทัศน์ที่มูลนิธิทำอยู่ก็ได้นะ แล้วเรื่องที่จะมีวิทยาลัยผู้บริโภค การเคลื่อนเรื่องผู้บริโภคในสภาวิชาชีพเองก็มีการพูดคุยกันอยู่เหมือนกัน และขณะนี้สถาบันผู้เชี่ยวชาญอย่าง ด้านเด็ก ด้านรังสี ก็จะมีเยอะมาก แล้วก็มีวิทยาลัยเภสัชกรรมบำบัด ก็เป็นส่วนที่จะบำบัดดูแลเด็ก เราก็ไปสร้างวิทยาลัยคุ้มครองผู้บริโภคขึ้นมาบ้าง ระเบียบข้อบังคับทำเสร็จหมดแล้วนะ ก็รออยู่ ก็มีการยอมรับจากหลายเครือข่ายแต่มีปัญหากับแพทยสภาอย่างเดียว เราก็พยายามเลี่ยงๆ ถ้าหากว่ามีตรงนี้ออกมาจริงๆ ก็จะดีมาก ตอนนี้ที่มองอยู่ทั้งฝั่งสภาวิชาชีพและฝั่งผู้บริโภคก็คือ “ขาดคน” แต่เราก็มีกำลังคนที่มีคุณภาพอยู่ ทำอย่างไรเราถึงจะได้คนที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น จะต้องทำอย่างไร จะมีวิธีการทำวิทยาลัยผู้บริโภคอย่างไร จะใช้เวทีจัดประชุมวิชาการ มีเวทีพูดคุยกันอย่างไร อย่างตอนนี้เขาก็มีเยอะไปอย่างด้านการเมืองก็จะมีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน สถาบันขวัญเมือง วิทยาลัยผู้บริโภคของเราก็น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่รูปแบบเป็นอย่างไร ต้องมาคุยกันอีกที จะตั้งอยู่ที่ไหน หรือควรจะเป็นอย่างไร มันก็ยังเป็นฝันอยู่นะ ที่ต้องการทำแบบนี้ก็เพราะต้องการทรัพยากรบุคคลอย่างวันนี้มีเรื่องซานติก้า เรื่องสิทธิบัตรยา เรื่อง FTA นั่นก็เป็นบทเรียนได้เลยนะ แต่ละบทก็ว่ากันไป คือในช่วงชีวิต มันก็จะมีเหตุการณ์การเข้ามาให้เราเรียนรู้แต่ละบทไปเรื่อยๆ ทีนี้ละเราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะหยิบเหตุการณ์เหล่านี้มาใช้อย่างไร ซึ่งในภาควิชาชีพทำง่ายเพราะมีสถาบันมีบุคคลอยู่แล้ว แต่ว่าภาคประชาชนจะเป็นอย่างไร ก็ต้องมาช่วยกันคิดว่าจะเป็นอย่างไร ส่วนเรื่ององค์การอิสระผู้บริโภคหากมีการเกิดขึ้นมาจริงๆ ก็สามารถนำมาไว้ในวิทยาลัยผู้บริโภคได้ ก่อนจะปิดการสัมภาษณ์ อ.วิทยา ตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าหากองค์การอิสระผู้บริโภคขึ้นมาจริงๆ ก็คงต้องมาดูกันว่าจะเป็นอย่างไร ใครจะเข้าไปในส่วนบริหาร บุคลากรของเรามีพอไหม นั่นเป็นโจทย์ที่ คนทำงานผู้บริโภคอย่างฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เครือข่ายผู้บริโภค และส่วนที่ทำงานด้านผู้บริโภคต้องขบให้แตกกันต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 96 ผมฟ้อง เพื่อสร้างบรรทัดฐาน

ทุกคนมีสิทธิ สุมาลี พะสิม สัมภาษณ์ / ถ่ายภาพประกอบ ผมว่า...คนที่คิดที่จะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนสังคม หรือเพื่อสร้างบรรทัดฐานให้กับคนด้อยโอกาสยังมีน้อย อีกอย่างก็คือมันไม่ใช่ค่านิยมของคนในสังคมเราด้วย ถ้าคิดจะทำบุญทีก็เลือกไปทำบุญโดยการสงเคราะห์มากกว่า ไม่ค่อยมีใครคิดว่า การทำแบบผมนี่ก็เป็นการทำบุญอีกแบบหนึ่ง เมื่อคุณซื้อรถกับบริษัทไฟแนนซ์ พอผ่อนจนครบติดต่อขอโอนรถแต่กลับถูกปฏิเสธการโอน พร้อมทั้งบอกว่าคุณยังจ่ายไม่หมด ต้องจ่ายให้ครบก่อนทั้งที่คุณจ่ายครบไปแล้ว คุณจะทำอย่างไร… ทินกร ดาราสูรย์ เขาเลือกที่จะใช้กระบวนการทางกฎหมาย ตามสิทธิที่เขามี โดยการใช้ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2551 เป็นตัวสร้างให้เกิดบรรทัดฐานขึ้นในสังคมฟ้องเพื่อสร้างสิ่งดี ดี“ใครๆ ก็ไม่เห็นด้วยกับผมที่ฟ้องบริษัทไฟแนนซ์ เพราะเขามองว่าจะเป็นการเสียเวลาเปล่าๆ ไหนเรื่องจะกินเวลานานอีก กับเงินแค่หมื่นกว่าบาท แค่ผมยอมจ่าย ทางบริษัทก็จะทำเรื่องโอนรถให้ผมแล้ว แต่ผมทนไม่ได้เลยอยากจะสร้างบรรทัดฐานทางสังคมขึ้นมา” คุณทินกร เล่าถึงเหตุผลที่เขาตัดสินใจฟ้อง บริษัทไฟแนนซ์คู่กรณี คุณทินกรตกลงทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับบริษัทไฟแนนซ์คู่กรณี ไปเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2548 โดยตกลงจ่ายเงินเป็นงวด งวดละ4,823.36 บาท โดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น จำนวนทั้งหมด 36 งวด และจะชำระเงินทุกวันที่ 1 ของทุกเดือน “หลังจากผมชำระเงินครบ 36 งวดแล้ว ก็ติดต่อขอโอนรถ แต่ทางบริษัทไม่ยอมโอนให้ เขาบอกว่าผมยังค้างเขาอยู่อีก 3 งวด เพราะทางบริษัทนำเงินค่างวดของผมที่ชำระล่าช้า ไปหักเป็นค่าปรับ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทวงถามโดยไม่ได้คิดว่า เป็นค่างวดที่ชำระไป พอผมไปดูในสัญญาก็ไม่มีข้อความใดระบุว่าทำแบบนี้ได้ ซึ่งการจะหักค่างวดไปชำระเป็นค่าปรับนั้น ทางบริษัทก็ต้องมีหนังสือแจ้งไปถึงผมภายใน 7 วัน ซึ่งก็ไม่เห็นจะมีจดหมายทวงถามมา พอผมทวงถามไปทางบริษัทก็ตอบผมไม่ได้ ผมจึงให้เขาทำเรื่องโอนรถให้ผม แต่ทางบริษัทก็ยืนยันว่าต้องให้ผมจ่ายเงินจำนวน 14,511.79 ที่ระบุว่าผมค้างค่างวด 3 งวดก่อน จึงจะทำเรื่องโอนรถให้ ผมก็อ้าว แบบนี้ก็มีด้วย ผมก็หาข้อมูลว่าจะร้องเรียนกับหน่วยงานไหนได้บ้าง ตอนแรกโทรศัพท์ไปปรึกษาที่ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค แต่ก็ไม่ได้ร้องเรียนที่นั่น หลังจากนั้นก็โทรศัพท์มาปรึกษาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จนได้ยื่นฟ้องบริษัท ให้โอนรถให้ตามสัญญา” คุณทินกร เข้ายื่นเรื่องฟ้องศาลโดยฟ้องด้วยวาจาต่อศาลแพ่ง รัชดา ขอให้บริษัทโอนรถให้ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2551 หลังการยื่นฟ้องของคุณทินกร วันที่ 27 ตุลาคม 2551 ทางบริษัทดังกล่าวได้ยื่นฟ้องแย้งคุณทินกรกลับมา ซึ่งภายหลังคุณทินกรก็ได้ให้คำให้การแก้ฟ้องแย้งไปในวันที่ 31 ตุลาคม 2551 และขณะนี้คดีของคุณทินกร อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลแพ่ง และศาลได้นัดสืบอีกครั้งในวันที่ 5 มิถุนายน 2552 นี้ ความคืบหน้าเป็นอย่างไร ฉลาดซื้อ จะนำเสนอให้ท่านผู้อ่านทราบในภายหลัง ศาลไคฟง : ศาลผู้บริโภคการตัดสินใจใช้สิทธิของคุณทินกรครั้งนี้ มีกฎหมาย “วิผู้บริโภค” (พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค) เป็นตัวแปรหลักในการตัดสินใจ เพราะคุณทินกรมองว่ากฎหมายนี้มีประโยชน์ต่อผู้บริโภค มาก ช่วยเพิ่มช่องทางการใช้สิทธิให้กับผู้บริโภค นั่นคือทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก ไม่ต้องเสียค่าทนาย ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการยื่นฟ้อง “ช่วงแรกๆ ดูศาลยังไม่ค่อยพร้อมนะครับ แต่ผมก็คิดว่าเป็นการดีที่มีกฎหมายแบบนี้ ตอนเข้าไปผมไปแบบตาสีตาสา เข้าไปก็ไปเขียนแบบฟอร์ม แล้วก็เล่าเรื่องต่างๆให้กับเจ้าหน้าที่ศาลฟัง เขาก็พิมพ์คำฟ้องให้เรา โดยเราไม่ต้องไปจ้างทนายให้มาเขียนคำฟ้องให้เรา การตัดสินใจฟ้องบริษัท ผมคิดไม่นาน พอเห็นช่องทางการใช้สิทธิ ก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าจะฟ้อง แต่เมื่อเทียบผลทางด้านเศรษฐศาสตร์แล้ว ผลมันไม่คุ้มกันเลยนะ กับการที่เรายอมจ่ายเงินอีก 10,000 กว่าบาท และการที่เราต้องใช้เวลามาทำเรื่องฟ้อง เสียค่ารถมาศาล ยิ่งคนที่เขาทำงานเป็นเวลา อย่างคนที่ทำงานโรงงานแบบนี้หมดสิทธิเลยนะที่จะเสียเวลามาทำเรื่องแบบนี้ เพราะต้องทำเรื่องลางานมาดำเนินการเรื่อง ซึ่งก็อาจส่งผลกับงานที่ทำอยู่ได้ ถ้าถามว่าทำไมผมทำแบบนี้ ผมอยากสร้างบรรทัดฐาน คือผมมองว่าในสังคมนี้มีการเอาเปรียบทุกอย่าง ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้ประกอบการตั้งใจเอาเปรียบผู้บริโภคอยู่แล้ว อย่างโทรศัทพ์มือถือ เรื่อง 107 บาท ที่ผู้บริโภคถูกเรียกเก็บ ซึ่งตามกฎหมาย กทช.ระบุแล้วว่าจะเก็บกับผู้บริโภคไม่ได้ แต่เขาก็ยังเรียกเก็บ พอเราไม่ยอมจ่ายก็ตัดสัญญาณเรา คนทั่วไปก็เลือกที่จะตัดปัญหาด้วยการยอมจ่ายไป ระยะเว้นวรรคระหว่างรอศาลพิจารณาคดี“ช่วงที่รอศาลอยู่ รถก็ใช้อยู่นะครับ จะเก็บเอกสารที่เราฟ้องศาล ใบแจ้งความไว้ในรถ เผื่อทางบริษัทจะมายึดรถ แต่ผมก็มั่นใจนะว่าศาลจะให้ความยุติธรรมกับเรา เพราะถ้ามองในแง่ของสัญญาแล้ว ทางทนายอาสามูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ก็ให้ความเห็นว่าเข้าข่ายสัญญาไม่เป็นธรรม ซึ่งผมก็มั่นใจว่าศาลจะให้ความเป็นธรรมอยากบอกต่อการลุกขึ้นมาใช้สิทธิของคุณทินกร ถูกมองว่าเป็นเรื่องแปลกในสายตาของคนแวดล้อมของคุณทินกร “ผมมองว่าทุกวันนี้ คนที่คิดและทำแบบผมนี้มีน้อย บางคนคิดว่าผมบ้าไปแล้ว มีคนรอบตัวไม่เห็นด้วยเยอะ มองว่าเสียเวลา แค่เราจ่ายไปก็จบแล้ว แต่เราต้องมาวิ่งให้เสียเวลางาน เสียเงิน ไหนจะค่ารถ ค่าเสียเวลา ซึ่งมันไม่คุ้มกันแล้ว ผมว่าคนคิดแบบนี้เยอะ แต่คนที่คิดที่จะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนสังคม หรือเพื่อสร้างบรรทัดฐานให้กับคนด้อยโอกาสยังมีน้อย อีกอย่างก็คือมันไม่ใช่ค่านิยมของคนในสังคมเราด้วย ถ้าคิดจะทำบุญทีก็เลือกไปทำบุญโดยการสงเคราะห์มากกว่า ไม่ค่อยมีใครคิดว่า การทำแบบผมนี่ก็เป็นการทำบุญอีกแบบหนึ่ง อย่างกรณีของผม ถ้าหากคดีเกิดชนะขึ้นมาคนที่ผ่อนรถยนต์ ผ่อนมอเตอร์ไซค์แล้วถูกปรับโน้นนี่ แล้วไม่รู้เรื่องอะไร ไม่กล้าท้วงติง ผมว่าก็มีเป็นแสนคนนะ ก็จะใช้คดีของผมเป็นบรรทัดฐานในการเรียกร้องสิทธิ จะช่วยเรื่องเงินได้เยอะทีเดียว พอผมมองตรงนี้ผมก็มีกำลังสู้ เพราะว่าผลไม่ใช่ได้แค่ผมคนเดียว”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 186 บุญยืน ทำชีวิตให้เหมือนเดิม

เข้าพรรษาที่ผ่านมามีโอกาสไปไหว้พระทำบุญ ทั้งวัดไทย ศาลเจ้าจีนในหลายจังหวัดภาคเหนือ แต่ก็หมดสนุกเพราะเป็นห่วงเพื่อนร่วมขบวนมีอาการปากเบี้ยว จนต้องนำส่งโรงพยาบาลอำเภอ ตอนไปส่งยังอยู่ในช่วงโอกาสทองที่จะสามารถฉีดยาสลายลิ่มเลือดได้ เพราะไปโรงพยาบาลหลังจากมีอาการก่อนสองชั่วโมง ซึ่งสามารถฉีดได้ภายในสี่ชั่วโมงครึ่งเนื่องจากเมื่อไปถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่และแพทย์ไม่สามารถเห็นอาการปากเบี้ยวได้ชัดเจน มีเพียงความดันสูง 160/90 มิลลิเมตรปรอท ซึ่งไม่นับว่าสูงมาก ทำให้คิดว่า หากมีเส้นเลือดตีบน่าจะหลุดออกไปแล้ว หรือเป็นกลุ่ม TIA (transient Ischemic Attack) เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ทำให้ไม่โต้แย้ง และตั้งคำถามกับโรงพยาบาล เมื่อผู้ป่วยถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลขนาดใหญ่กว่าเพื่อเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์และให้นำคนไข้กลับมารอที่โรงพยาบาลเดิม เพราะคิดว่าไม่เป็นอะไร และยืนยันมากขึ้นเมื่อแพทย์ดูฟิล์มเอกเรย์แล้วบอกว่า ไม่มีเส้นเลือดตีบให้นอนรอสังเกตอาการ โล่งใจ จนนั่งรถไปสั่งอาหารเย็นให้ทั้งคนป่วยและคนดูแลสั่งข้าวผัดยังไม่ทันได้ข้าวผัดก็ได้รับโทรศัพท์ว่า มีเส้นเลือดในสมองตีบจากการอ่านของแพทย์ที่เชี่ยวชาญ ต้องไปฉีดยาที่โรงพยาบาลที่ไปเอกซ์เรย์ แต่เมื่อไปถึงแพทย์ก็บอกว่าฉีดไม่ได้เพราะเลยสี่ชั่วโมงครึ่ง ถึงแม้อาการที่เป็นจะไม่รุนแรงไม่มีแขนขาอ่อนแรง มีเพียงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่แตกต่างกันในช่วงแรก แต่ก็ทำให้ชีวิตเพื่อนรู้สึกไม่กระตือรือร้น ความสุขความสนุกหายไป เฉื่อยชา ขี้เกียจ ซึ่งตรงกันข้ามกับชีวิตของเพื่อนคนนี้ ทำให้คิดว่า ระบบการรักษาผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบต้องให้ความสำคัญกับระยะเวลามาก โรงพยาบาลไม่ควรนำคนไข้กลับมารอในโรงพยาบาลที่ไม่มีศักยภาพในการฉีดยา ควรให้คนไข้นอนรอผลที่โรงพยาบาลที่สามารถให้การช่วยเหลือได้ทันที ส่วนโรงพยาบาลหรือแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ควรจัดการส่งต่อและจัดทำขั้นตอนให้รวดเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เลยเวลาโอกาสทองในการได้รับยาเป็นการพัฒนาคุณภาพบริการที่โรงพยาบาลของรัฐสามารถทำได้เลย โดยไม่ต้องลงทุนอะไร ไม่ต้องเสียอะไรเพิ่ม ส่วนเราผู้บริโภค หากปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรงอย่าคิดว่าไม่เป็นอะไร ต้องจัดการให้ไปถึงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด และหวังว่าโรงพยาบาลจะไม่มีเงื่อนไขอื่นๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อคนไข้ที่สามารถจัดการได้ไม่ยาก เช่น การถูกเรียกเก็บเงินค่าเอกซ์เรย์ แต่อาจจะเป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้ป่วยคนอื่นๆ ที่ไม่ทราบสิทธิฉุกเฉินเรื่องนี้ บทเรียนเหล่านี้ราคาแพงไม่สมควรเกิดขึ้นกับใคร

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 185 ชีวิตหลังรัฐธรรมนูญ

แน่นอนว่าจะรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญเป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละบุคคล และยังไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังวันลงประชามติ รัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่าน ไม่ผ่านจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับไหน จะมีส่วนร่วมกันอย่างไรกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่เกือบ 19 ปี ที่รัฐธรรมนูญอย่างน้อยสองฉบับติดต่อกัน ทั้ง พ.ศ. 2540 และ พ.ศ. 2550 กำหนดให้มีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ทำหน้าที่ให้ความเห็นในการตรากฎหมาย กฎ ข้อบังคับ และให้ความเห็นในการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค และได้เพิ่มบทบาทในการตรวจสอบการคุ้มครองผู้บริโภคในรัฐธรรมนูญปี 2550  ร่างที่กำลังรอลงประชามติกลับไม่เขียนให้มีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่ชัดเจน เขียนไว้เพียงให้องค์กรของผู้บริโภค มีสิทธิรวมกันจัดตั้งเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระเพื่อให้เกิดพลังในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค หลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้ง อำนาจในการเป็นตัวแทนของผู้บริโภค ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ กลับเขียนเพิ่มให้เป็นหน้าที่ของรัฐต้องจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครอง และพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการรู้ข้อมูลที่เป็นจริง ด้านความปลอดภัย ด้านความเป็นธรรมในการทำสัญญา หรือด้านอื่นใดอันเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ซึ่งมีกลไกและมาตรการอยู่แล้ว นับตั้งแต่ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค ปี 2522 หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องอื่นๆ แน่นอนปัญหาการตีความ ความไม่ชัดเจนที่เขียนไว้ย่อมทำให้คนที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญในอนาคต จะต้องถกเถียงและบิดพลิ้วในการทำให้เกิดองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคการคุ้มครองผู้บริโภคให้ประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพ กระทำเพียงหน่วยงานรัฐอย่างเดียวคงไม่พอ เพราะปัญหาปัจจุบันสะท้อนความอ่อนแอของระบบการคุ้มครองผู้บริโภคภาครัฐได้เป็นอย่างดีการมีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค จะเป็นตัวช่วยผู้บริโภค เพราะซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อข้าวของต่างๆ เวลามีปัญหา เหนื่อยสายใจแทบขาดใจเพราะต้องต่อสู้ตัวคนเดียว ถ้ามีองค์การอิสระที่สามารถเป็นเพื่อน ช่วยสนับสนุนในการใช้สิทธิ คงจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะประเทศไทยต้องการตัวแทนผู้บริโภคในการคุ้มครองสิทธิประชาชน เกิดอะไรขึ้นกับประเทศ เราไม่ค่อยรู้ ไม่ค่อยเข้าใจและหลายเรื่องยากเกินไป แต่ถ้าเรามีตัวแทนของผู้บริโภคที่ชัดเจน ช่วยให้ความเห็นแทนประชาชน  ก็จะพอสบายใจได้ว่าการเอาเปรียบน่าจะลดลง สุดท้ายแน่นอนต้องเป็นหูเป็นตาให้ภาครัฐ เป็นตาสับปะรด ให้กับหน่วยงานรัฐ ในการปกป้องสิทธิ และคุ้มครองผู้บริโภค รวมทั้ง ธุรกิจที่ดี ได้รับการสนับสนุนมากขึ้นจากผู้บริโภค เกิดสมดุลมากขึ้นในการพัฒนาประเทศ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 184 กล่องโฟม

ผู้บริโภคอย่างเราควรยึดหลักป้องกันไว้ก่อน (Precautionary Principle)  หลีกเลี่ยงการใช้กล่องโฟมบรรจุอาหาร ถึงแม้จะมีความสับสนวุ่นวาย ความไม่กล้าหาญของหน่วยงาน นักวิทยาศาสตร์ที่รู้ทุกเรื่อง ออกมาให้ข้อมูลว่า ไม่ได้มีอันตราย ทำให้ปัญหาเรื่องโฟมน่าจะบานปลาย ไม่ถูกตัดสินใจ กลับไปอยู่สภาพเดิมงานวิจัยเรื่องอันตรายของโฟม โดยรศ.ดร.กรรนิการ์ ฉัตรสันติประภา อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้มีการศึกษาวิจัยเรื่องความเสี่ยงจากการบริโภคอาหารจากกล่องโฟมเอาไว้ และได้ให้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เดลินิวส์อีกครั้งในเดือนนี้ ว่า กล่องโฟมบรรจุอาหารมีผลต่อการก่อโรคมะเร็งจริง“กล่องโฟม เป็นสไตรีนโมโนเมอร์ ซึ่งตัวสไตรีนโมโนเมอร์ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาทางเคมีโดยเปลี่ยนจากสไตรีนโมโนเมอร์ เป็นสไตรีนออกไซด์ ซึ่งสไตรีนออกไซด์ตรงนี้สามารถ ก่อมะเร็งได้”รศ.ดร.กรรนิการ์ บอกว่า การประเมินความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งจะไม่ระบุว่าความเข้มข้นเท่าไหร่ หรือปริมาณเท่าไหร่ถึงจะเป็นมะเร็ง แต่อยู่ในรูปของโอกาสในการเป็นมะเร็ง หากต่ำกว่า 1 ในล้าน จะถือว่าน้อยมากจนไม่มีนัยสำคัญ ก็จะยอมรับได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่เกินกว่า 1 ในล้าน จะถือเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถยอมรับได้“สำหรับกล่องโฟม เท่าที่ได้มีการวิจัยมีการคำนวณโดยอิงค่าหน่วยบริโภคอาหารของคนไทย พบว่า แม้บริโภค 1 กล่องต่อวันก็มีโอกาสเป็นมะเร็งเกินกว่า 1 ในล้าน เป็นค่าที่ยอมรับไม่ได้” และอาหารที่มีความเป็นกรด เค็ม หวาน เผ็ด มัน จะทำให้ปริมาณการเคลื่อนย้ายของสารโพลิสไตรีนจากกล่องโฟมเข้าสู่อาหาร มากกว่าอาหารที่ไม่มีความเป็นกรด เค็ม หวาน เผ็ด มัน และอาหารที่มีอุณหภูมิร้อนมีแนวโน้มที่จะทำให้โพลิสไตรีนเคลื่อนย้ายจากกล่องโฟมเข้าสู่อาหารมากกว่าที่อุณหภูมิห้องผู้บริโภคที่เป็นสมาชิกนิตยสารฉลาดซื้อ นอกจากต้องยึดหลักป้องกันไว้ก่อนแล้ว คงต้องออกมาช่วยกันทำให้กระทรวงสาธารณสุข รณรงค์ให้ประชาชนได้รับรู้ ว่า กล่องโฟมบรรจุอาหาร เป็นปัญหาสำคัญต่อสุขภาพ ไม่ใช่มีปัญหาเฉพาะสิ่งแวดล้อมเท่านั้น  ต้องประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านรู้ทั่วกันว่า กินอาหารจากกล่องโฟมแค่วันละกล่อง คุณมีสิทธิ์รับความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 6.4 เท่า ซึ่งจากงานวิจัยกรณีที่รุนแรงสุดมีโอกาสการเป็นมะเร็งเมื่อกินอาหารจากกล่องโฟมคือ 6.4 ในล้าน ขณะที่ค่ามาตรฐานคือต้องไม่เกิน 1 ในล้าน การพิจารณาโอกาสเกิดมะเร็งของโฟม เพียงแค่ดูจากสไตรีนโมโนเมอร์ เป็นสไตรีนออกไซด์ ยังไม่ได้รวมถึงสไตรีนโมโนเมอร์ ซึ่งปัจจุบันยอมรับกันแล้วว่าเป็นสารก่อมะเร็งเช่นเดียวกันเรื่องโฟม ไม่ต่างจากเรื่องจีเอ็มโอและอีกหลายๆเรื่อง ที่นักวิชาการต่างถกเถียงกัน ข้อมูลทุกวันนี้มีมากมาย จนสร้างความสับสน ข้อมูลใหม่ ข้อมูลเก่า ข้อมูลเท็จ ข้อมูลบริษัท  นักวิทยาศาสตร์อิสระ รับจ้าง ข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ แต่ถ้าเรายึดหลักป้องกันไว้ก่อน สร้างทางเลือกให้กับตัวเองน่าจะปลอดภัยในสังคมบริโภคปัจจุบัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 183 เช็คแอนด์แชร์

โซเชียลมีเดียมีพลังในการเปลี่ยนแปลงก็จริง อิทธิพลที่อยู่กับปลายนิ้ว เป็นทั้งคุณและปัญหากับผู้บริโภคไม่น้อยในปัจจุบัน ข่าวลือ ข่าวกุ ข่าวมั่ว ข่าวเก่า ข่าวจริง ทัศนะ เสียดสี เลือกข้าง มีมากมายมาถึงตัวผู้บริโภคตลอดยี่สิบสี่ชัวโมง นอกจากจะก่อให้เกิดความวิตกกังวล แต่หากบางครั้งช่วยให้หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคตื่นตัว กรณีล่าสุดของผลการทดสอบไส้กรอก ของนิตยสารฉลาดซื้อหลังแถลงข่าว มีคนไปอ่านมากกว่า 2 ล้าน 3 แสนคน และหากนับรวมของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ก็เกือบ 3 ล้านคน หากสนับสนุนยี่ห้อที่ตรวจไม่พบไนเตรดไนไตรท์ ก็เห็นพลังของผู้บริโภคที่ชัดเจนในเรื่องนี้ กรณีบัตรเอทีเอ็มจากการเริ่มสื่อสารว่าตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นไป ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้บัตรเอทีเอ็มทุกธนาคารต้องมีชิปการ์ด ให้รีบไปเปลี่ยนภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2559 ไม่เช่นนั้นต้องเสียเงิน 100 บาท ตอนนี้ทุกธนาคาร ไม่ต้องบอกเพราะต้องการค่าธรรมเนียม แชร์กันว่อนจนธนาคารแห่งประเทศไทยต้องออกแถลงการณ์ ว่า ตั้งแต่ 16 พ.ค. 59 เป็นต้นไป บัตรที่ออกใหม่จะเป็น Chip Card ซึ่งปลอดภัยกว่าเดิม ส่วนบัตรแถบแม่เหล็กเดิม ยังใช้ได้ตามปกติถึง 31 ธ.ค. 62 ซึ่ง ธนาคารพาณิชย์จะทยอยเปลี่ยนเป็น Chip Card ให้เมื่อบัตรเดิมหมดอายุ หากต้องการเปลี่ยนบัตรเดิมเป็น Chip Card ให้ติดต่อได้ที่ ธพ. ผู้ออกบัตร แต่อาจมีค่าใช้จ่ายตามที่ ธพ. กำหนด ซึ่งบางแห่งอาจยกเว้นค่าใช้จ่ายเปลี่ยนบัตรให้เป็นการชั่วคราว ซึ่งพบว่า ธนาคารกรุงเทพ ทำบัตรระบบนี้มาตั้งแต่ปี 2552 และราคาบัตรส่วนใหญ่ของธนาคารเกือบทั้งหมดบัตรใหม่ราคา 100 บาทเหมือน เอทีเอ็มทั่วไป และรายปีอีก 200 บาท มีเพียงธนาคารกรุงไทยที่รายปี 180 บาทและธนาคารไทยพาณิชย์รายปี 300 บาท ข่าวสารที่ถูกนำจากโซเชียลมีเดีย ไปออกอากาศต่อในสื่อเดิมที่เคยเป็นสื่อกระแสหลัก กำลังกลับหัวกลับหาง หากมีข่าวข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภคก็คงไม่มีปัญหา แต่ปัจจุบัน ผู้บริโภคจำนวนมากยังไม่รู้วิธีจัดการกับข่าวลือ ยิ่งข่าวลือที่เราเห็นด้วย ยิ่งเชื่อสุดใจ และช่วยเพิ่มการไลค์การแชร์ การถกเถียงกันในข่าวที่เราไม่เห็นด้วยทำกันน้อยลง เราเลือกสื่อสารกับคนที่เห็นด้วย หากเถียงมากเราไม่ชอบก็บล็อคความเป็นเพื่อนไปเลย สิ่งที่ทำได้และอยู่ในมือเราจริงต้องเช็คให้ชัวร์ก่อนแชร์ หรือตรวจสอบก่อนเผยแพร่น่าจะเป็นทางออกที่สำคัญ ก่อนเป็นเครื่องมือเกมทางการเมือง และตลาดในยุคสังคมออนไลน์ปัจจุบัน  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 182 คอลเซ็นเตอร์

ผู้บริโภคในปัจจุบัน นอกจากจะมีความทุกข์จากการไม่ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้า และใช้บริการแล้ว ก็พบว่า ทุกข์ที่สำคัญอีกเรื่องเป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการใช้สิทธิร้องเรียน หรือการเข้าถึงการร้องเรียนของบริษัทผ่านคอลเซ็นเตอร์ การร้องเรียนของผู้บริโภค ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 30 นาที ทำให้ผู้ร้องเรียนต้องเสียค่าบริการมากกว่า 30 บาทต่อครั้ง เนื่องจากบริษัทฯ คิดค่าบริการนาทีละ 1 บาท ในการติดต่อกับคอลเซนเตอร์ กิจการโทรคมนาคม เป็นกิจการเดียวในปัจจุบันที่มีการกำหนดมาตรฐานในการรับเรื่องร้องเรียนตามประกาศ กทช. เรื่อง มาตรฐานคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคมประเภทเสียง ได้กำหนดว่าระยะเวลาที่ต้องรอในการขอใช้บริการดูแลลูกค้าจากศูนย์ตอบรับโทรศัพท์ต้องไม่นานเกินกว่า 60 วินาที และกำหนดให้มีเบอร์โทรศัพท์ฟรีในการรับเรื่องร้องเรียน แต่ก็พบว่า ผู้ให้บริการโทรคมนาคมทั้งหมด ทั้งเอไอเอส ทรู ดีแทค และกสท. รอสายนานเกิน 60 วินาที ยกเว้นทีโอทีที่รอสายไม่เกิน 60 วินาที แต่กสทช. ยังไม่ได้ทำอะไรมากนัก ทั้งที่มีเรื่องร้องเรียนใช้บริการทั่วไปรอสายนานมากกว่า 30 นาทีด้วยซ้ำ แถมเจอเล่ห์เหลี่ยมของบริษัทที่มีเบอร์โทรศัพท์ฟรีคนละเบอร์กับเบอร์ที่ให้บริการลูกค้า หมายเลขร้องเรียนที่จำยากเป็นเลข 7 ตัวแทนที่จะเป็น 4 ตัวเดิมของบริษัท กิจการอื่นๆ ไม่ว่าจะ เป็นธนาคารพานิชย์ สถาบันการเงิน บริษัทประกันภัยทุกประเภท หรือแม้แต่ล่าสุดการขายกิจการของแกรมมี่ให้ CTH และปัญหา PSI กับ CTH ทุกบริษัท ต่างมีบริการหมายเลขพิเศษในการร้องเรียน แต่แทบทุกบริษัทก็เข้าถึงยาก รอสายนาน ทำให้เป็นปัญหาและต้นทุนของผู้บริโภคในการร้องเรียนทั้งสิ้น ทุกครั้งที่โทรศัพท์ร้องเรียน ต้องภาวนาให้มีคนรับสาย บางบริษัทมีระบบนับจำนวนคนรอสายให้ด้วยซึ่งจากการทดลองพบว่า มีมากกว่า 19 คน ที่รอสาย ผู้บริโภคต้องใช้ความพยายามมาก ถึงจะมีคนรับสาย สามถึงสี่ครั้งถึงจัดการได้สำเร็จ ได้ยินแต่เพลงรอสายที่โฆษณาบริษัท “ที่นี่... เราพร้อมให้บริการคุณ.. ที่นี่เราเป็นเพื่อนคุณ” การเข้าถึงที่ยากในการร้องเรียนทำให้คนจำนวนมากที่ต้องการร้องเรียนเลิกพยายามโทรศัพท์ และเลิกร้องเรียน แน่นอนว่า หากผู้บริโภคเลิกร้องเรียนก็ย่อมเป็นประโยชน์กับบริษัท บริษัทที่ไม่มองเรื่องนี้ระยะยาว ย่อมไม่ต้องการปรับปรุงระบบรับเรื่องร้องเรียนให้มีประสิทธิภาพมากนัก แต่บริษัทที่ต้องการฟังเสียงจากผู้บริโภคย่อมพยายามที่จะทำให้มีระบบเพื่อรับฟังความพึงพอใจของผู้บริโภค บางบริษัทก็แอพลิเคชั่น หรือวิธีการใหม่ๆ ในการดูแลเรื่องร้องเรียน เมื่อเป็นเช่นนี้ กติกาในการใช้บริการรับเรื่องร้องเรียนหรือหน่วยรับเรื่องร้องเรียนของบริษัท ควรเป็นหนึ่งในมาตรฐานและคุณภาพของบริษัทในการแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค ควบคู่ไปกับการกำหนดมาตรฐานการให้บริการร้องเรียนของบริษัทที่ต้องเป็นหนึ่งในเงื่อนไขการอนุญาตให้บริการ ทางออกสำหรับผู้บริโภค ก็อาจจะต้องไปร้องเรียนกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือใช้วิธีป่าวประกาศให้โลกรู้ ผ่านออนไลน์ ถือเป็นไม้เด็ดของผู้บริโภคที่ยังใช้งานได้ดีในปัจจุบัน

อ่านเพิ่มเติม >