ฉบับที่ 161 อยากท้อง อ่านตรงนี้

เมื่อวันที่ 29 เมษายน ปีนี้ www.environmentalhealthnews.org ได้ตีพิมพ์บทความหนึ่งชื่อ “Miscarriage risk rises with BPA exposure, study finds” ซึ่งเราควรสนใจบ้างไม่มากก็น้อย เพราะในตอนสุดท้ายบทความได้สรุปว่า สตรีที่สัมผัสต่อบีพีเอ (bisphenol A หรือ BPA) ระดับสูงในช่วงเริ่มตั้งท้องจะมีความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรสูงขึ้นถึงร้อยละ 83 เมื่อเทียบกับผู้ไม่สัมผัส ข้อสรุปดังกล่าวได้จากการศึกษาที่คลินิกภาวะเจริญพันธุ์ของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้อาสาสมัคร 115 นางซึ่งท้องแล้วไม่เกิน 4 อาทิตย์ พบว่าอาสาสมัครที่ระดับบีพีเอในเลือดยิ่งสูงเท่าไรก็ยิ่งแท้งง่ายเท่านั้น รายงานการศึกษาใหม่นี้ได้เพิ่มหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ความเข้มข้นต่ำของสารเคมีที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในพลาสติกชนิดโพลีคาร์บอเนตและในกระป๋องบรรจุอาหาร ตลอดจนใบเสร็จรับเงินอย่างง่าย (แบบว่ารับได้จากสถานีเติมน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ) นั้นอาจมีผลต่อระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์ อาจารย์ในภาควิชาสูตินารีเวชศาสตร์แห่งมหาวิทยาสแตนฟอร์ดกลุ่มหนึ่ง (ณ เวลาที่ผู้เขียนกำลังเขียนต้นฉบับนี้) กำลังจะตีพิมพ์บทความเรื่อง Conjugated bisphenol A (BPA) in maternal serum in relation to miscarriage risk ในวารสารชื่อ Fertility and Sterility ซึ่งกล่าวประเด็นสำคัญหนึ่งว่า “คู่ผัวตัวเมียที่มีปัญหาในการมีลูกหรือผู้ที่แท้งใหม่ๆ ควรลดความเสี่ยงในการสัมผัสสารบีพีเอเพราะมันน่าจะเป็นสารที่มีผลลบต่อการพัฒนาของตัวอ่อนในท้องแม่”  อย่างไรก็ดี การศึกษาใหม่นี้ยังไม่ได้หมายความว่า บีพีเอก่อให้เกิดการแท้งลูก สิ่งที่ค้นพบนั้นอยู่บนฐานของการตรวจเลือดของหญิงแต่ละนางเพียง 1-2 ครั้งระหว่างท้อง และที่สำคัญคือ ยังต้องการอาสาสมัครอีกจำนวนมาก เมื่อมีการเผยแพร่ผลการศึกษานี้ก่อนการตีพิมพ์ในวารสารอย่างเป็นทางการ ก็มีสูตินารีแพทย์อีกท่านหนึ่งของศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ (University of Rochester’s Medical Center) ซึ่งไม่ได้มีส่วนได้เสียกับโครงการวิจัยดังกล่าวให้ข้อสังเกตต่องานวิจัยนี้ว่า แม้ว่าการแท้งนั้นเกิดในอาสาสมัครถึง 68 คนจาก 115 คน (ซึ่งเป็นอัตราเสี่ยงประมาณ 3 เท่าของสาวอเมริกันทั่วไป) ก็ตาม แต่อาสาสมัครของโครงการนั้นเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการแท้งสูงอยู่แล้ว เพราะมิเช่นนั้นคงไม่มาที่คลินิกภาวะเจริญพันธุ์ให้เสียเวลา ดังนั้นความสัมพันธ์ของสารนี้กับการแท้ง อาจไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ขยายไปถึงสาวๆ ทั่วไป  อย่างไรก็ดีแพทย์ท่านนี้ก็ได้กล่าวว่า งานวิจัยนี้เป็นการแสดงหลักฐานที่ชัดเจนอีกหนึ่งชิ้นที่กล่าวว่า สารเคมีในสิ่งแวดล้อมนั้นอาจเป็นปัญหาต่อการตั้งครรภ์ได้ มีข้อมูลเชิงสมมุติฐานที่ผู้เขียนขอเสนอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาคือ มีสารธรรมชาติชนิดหนึ่งชื่อ เจ็นนิสตีน (genistein) ซึ่งเป็นสารไฟโตเคมิคอลในถั่วเหลือง ที่มีศักยภาพคล้ายสารเอสโตรเจน จึงสามารถจับกับตัวรับเอสโตรเจน (estrogen receptor) ของเซลล์ต่อมน้ำนมและเซลล์มดลูกได้ แต่ออกฤทธิ์น้อยกว่าเอสโตรเจนมาก ซึ่งผลที่ตามมาคือ เอสโตรเจนที่มีมากเกินพอในสาวๆ บางคน ไม่สามารถออกฤทธิ์ก่อให้เกิดอาการคัดหน้าอกและปวดมดลูกตอนมีประจำเดือน ซึ่งเราถือว่าเป็นผลดีของเจ็นนิสตีน ที่น่าสนใจคือ wikipedia ก็ได้ให้ข้อมูลว่า บีพีเอนั้นสังเคราะห์ขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นของทศวรรษ 1930 โดยนักชีวเคมีชาวอังกฤษชื่อ Edward Charles Dodds โดยมุ่งหวังให้เป็นเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง) สังเคราะห์ แต่ปรากฏว่ามันมีฤทธิ์ต่ำกว่าเอสโตรเจนธรรมชาติถึง 37,000 เท่า เขาจึงหันไปสังเคราะห์สารอีกตัวหนึ่งคือ diethylstilbestrol (DES) ซึ่งได้ผลสมใจเพราะมันออกฤทธิ์เหมือนเอสโตรเจน (และมีฤทธิ์แรงกว่า) จึงช่วยแก้แพ้ท้อง แต่มีผลข้างเคียงทำให้ลูกสาวของผู้กินยานี้เป็นมะเร็งที่อวัยวะเพศเมื่อเข้าสูวัยสาว สารนี้จึงถูกยกเลิกการนำมาใช้ ดังนั้นถ้าเราเชื่อในสมมุติฐานที่กล่าวว่า ขณะกำลังท้องระดับเอสโตรเจนของสาวๆ ต้องเพิ่มขึ้นเพื่อไปกระตุ้นให้ตัวอ่อนในมดลูกมีการพัฒนาตามรูปแบบที่ควรเป็น(เอสโตรเจนมีศักยภาพในการกระตุ้นการแบ่งและพัฒนาเซลล์ของตัวอ่อนให้เจริญอย่างรวดเร็ว) แต่บีพีเอ (ซึ่งมีศักยภาพค่อนข้างต่ำมาก ๆ ที่จะออกฤทธิ์เป็นเอสโตรเจน) อาจแย่งที่ในการจับตัวกับตัวรับเอสโตรเจน ส่งผลให้เอสโตรเจนเข้าจับตัวกับเซลล์ตัวอ่อนน้อยลง ทำให้ตัวอ่อนในท้องแม่ไม่พัฒนาเท่าที่ควรจึงแท้ง(ปรกติผู้หญิงที่กำลังเริ่มท้องจะมีอาการแพ้ท้องมากบ้างน้อยบ้าง แต่ถ้าวันไหนเลิกแพ้ท้องให้ระแวงได้เลยว่า น่าจะแท้ง) สมมุติฐานคล้ายกันนี้มีการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการแล้ว แต่เป็นการศึกษาถึงผลการได้รับเจ็นนิสตีนในระดับสูงของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในสัตว์ทดลองว่าทำให้สัตว์ทดลองมีลูกน้อยลง และคล้ายกันกับการศึกษาทางระบาดวิทยาในผู้หญิงที่อยากท้องแต่กินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองเพราะเป็นมังสวิรัติมักมีลูกยาก จึงมีการแนะนำว่า ช่วงเริ่มตั้งครรภ์ควรลดการบริโภคผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองลงบ้าง(กินโปรตีนจากพืชชนิดอื่นได้) จนแน่ใจว่าการตั้งครรภ์ไม่มีปัญหาแล้วจึงกินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองเท่าเดิมหรือรอจนกว่าจะคลอดเรียบร้อยปลอดภัย ที่น่าสนใจคือ ในปี ค.ศ. 2005 ได้มีการศึกษาเล็กๆ ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งพบว่า สตรี 45 นางที่เคยมีวิบากกรรมตั้งท้องไม่ถึง 3 เดือนแล้วแท้งอย่างน้อย 3 ครั้ง มีปริมาณบีพีเอในเลือดสูงเป็นสามเท่าของสตรี 32 คนที่ไม่เคยมีปัญหาระหว่างการตั้งท้อง พอผลการศึกษาออกมาดังนี้ โฆษกของสภานักเคมีอเมริกัน (American Chemistry Council) ก็อดรนทนไม่ได้ต้องออกมาเม้นต์ว่า “การศึกษานี้ยังมีข้อบกพร่องเหมือนกับการศึกษาอื่นๆ ที่พยายามตรวจวัดบีพีเอในเลือด ณ วันใดวันหนึ่งแล้วพยายามมโนว่าตัวเลขนี้มีความสัมพันธ์กับการแท้งลูก” ย้อนกลับไปที่สูตินารีแพทย์ของศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์อีกที เพราะเธอได้กล่าวต่อไปว่า ช่วงเวลาที่ทีมวิจัยที่ฮาร์วาร์ดเลือกตรวจเลือดนั้นอยู่ในช่วง 7 สัปดาห์แรกของการท้องซึ่งเป็นช่วงแห่งความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งต่อการแท้ง และที่สำคัญคือ คนอเมริกันนั้นราวร้อยละ 90 มีบีพีเออยู่ในเลือดเป็นปรกติวิสัยอยู่แล้ว (คงเพราะกินอาหารกระป๋องเป็นหลัก ตั้งแต่คนถึงหมาแมว) เรื่องราวที่ตอบโต้ไปมาเกี่ยวกับว่าบีพีเอปริมาณต่ำ ๆ นั้นทำอันตรายประชาชนหรือไม่นั้น ทาง อย. สหรัฐอเมริกกาก็ยังคงยืนหยัดว่า “บีพีเอที่ความเข้มข้นต่ำแบบที่คนอเมริกันกลืนลงท้องนั้นปลอดภัย” (คือหน่วยงานยังเอาอยู่) โดยอ้างรายงานชื่อ Toxicity evaluation of bisphenol A administered by gavage to Sprague-Dawley rats from gestation day 6 through postnatal day 90 ซึ่งศึกษาโดย ดร. Barry Delclos และคณะนักวิทยาศาสตร์ชาว อย. 12 คน ซึ่งตีพิมพ์ผลงานนี้ใน  Toxicological Sciences (ข่าวโดยละเอียดนั้นอ่านได้จาก www.environmentalhealthnews.org/ehs/news/2014/feb/bpa-low-doses) สำหรับในประเทศไทยนั้น ยังไม่เคยมีงานวิจัยการศึกษาปริมาณบีพีเอในเลือดพวกเราเลย จึงมีประเด็นว่า คนที่อยากท้องให้ตลอดรอดฝั่งนั้นควรทำอย่างไรในการลดความเสี่ยงต่อการสัมผัสบีพีเอ(แม้ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการวิทยาศาสตร์อเมริกันจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีปัญหา ๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง) ดังนั้นคำตอบสำหรับผู้ที่อยากมีลูกสักคนมันก็จะแสนยากนั้น คือ ต้องรู้ว่า บีพีเอนั้นอยู่ที่ไหนบ้าง (แนะนำให้เข้าไปอ่านบทความของผู้เขียนเรื่อง บีพีเอแถมฟรี ในเว็บไซต์โลกสีเขียว www.greenworld.or.th คอลัมน์นักเขียนรับเชิญ) แล้วก็พยายามอย่าเอามันเข้าสู่ร่างกาย เพราะมันไม่ใช่สารจำเป็นต่อร่างกายแม้แต่นิดเดียว   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 131 เมนูกุ้งฝอย : ไข่เจียว กับ กุ้งฝอยคลุกกะปิ

  ตั้งแต่หัวน้ำเริ่มลดลงหลังวันลอยกระทง กุ้งฝอยโผล่โฉมมาให้เห็นแบบยกขบวนมามากหน้าหลายตาอยู่หลายหน ทั้งในตลาดสด ตลาดนัด ทั้งรูปแบบปรุงเป็นอาหารแล้วและแบบสดๆ จะเพราะความคุ้นชินกับฐานทรัพยากรอาหารตัวนี้ที่มีติดตัวมาตั้งแต่จำความได้ ทั้งในแง่เหยื่อของปลาที่วิ่งไปซื้อในตลาดแทนการขุดไส้เดือนดิน – แมงกะชอน   และเหยื่อของคนในรูปตำรับอาหารต่างๆ ก็ไม่รู้ ไม่แน่ใจ ...  แต่จู่ๆ วันหนึ่งพลันนึกถึงว่าตัวเองกำลังกลายเป็นกุ้งซะงั้น  ประเภทกุ้งฝอยน้ำจืดที่คุ้นที่สุดนั่นแหละ อ่านข่าวเร่งพัฒนาแก้มลิงตามโครงการพระราชดำริ กว่า 3,000 แห่ง รับมือภัยน้ำท่วมที่จะมาในอนาคต , อิทธิพลลานิญาปี 55  และ ระบบปลูกข้าวใหม่ 3 รูปแบบ ตามนโยบาย ก.เกษตร ที่ยังดันทุรังผลักดันที่ต่อเนื่องจากปีที่แล้วแม้จะมีชาวนาในจังหวัดอยุธยาเข้าร่วมต่ำกว่าเป้ามโหฬาร และยิ่งมีตัวเลขต่ำลงอีกเมื่อนับพื้นที่นาที่ชาวนาทำจริงตามโครงการ แล้วอดไปได้ที่จะขับรถออกไปดูเวิ้งน้ำที่ยังเนืองนองในทุ่งต่างๆ รอบตัวอำเภอ ทำให้ฉันครุ่นคิดไปเองอีกแล้วว่า มันจะลดลงทันต้นมกราคมปีหน้าแล้วชาวนาเริ่มไถหว่านกันตั้งแต่ต้นปีอย่างที่รายงานข่าวสั้นในวิทยุประกาศนโยบายของกรมชลประทานไหม? ไม่รู้ว่าข้อมูลข่าวที่ไหลอวลอยู่ในหัว หรือยาที่ฉันเพิ่งอัพเข้าไปก่อนขับรถมาถึงทุ่งลาดชะโด ออกฤทธิ์  ฉันจอดรถแล้วลง เดินเซแถดๆ ไปที่ริมถนน 4เลนส์เส้นใหญ่ที่ใครๆ ก็ต้องบอกขอบคุณบรรหารที่สร้างและยกมันขึ้นสูงอีก 1.5 เมตร หลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2549  เพราะมันเป็นเส้นทางเดียวที่คนในตลาดผักไห่ใช้เดินทางไปสุพรรณ และที่ใกล้เคียงที่น้ำยังไม่ท่วมได้  แต่นโยบายกระทรวงเกษตรนี่ทำเอาฉันอยากเปลี่ยนคนบริหารจัง รวงข้าวฟางลอยที่เพิ่งหว่านเมื่อพฤษภาคมเพิ่งอยู่ในช่วงน้ำนม ไม่รู้ว่าปีนี้ผลผลิตจะเป็นอย่างไร จะแย่กว่าปีที่แล้วที่ได้แค่ 2 ขีด/ไร่ ไหม?  และหากน้ำไม่ลดลงจนแห้งกลางเดือนมกราคม ชาวนาที่นี่คงได้เกี่ยวข้าวกลางน้ำกันอีกรอบหรือเปล่า?  ข่าวเรื่องน้ำท่วม โครงการแก้มลิง  ลานิญา ปัญหา กส.ยึดเงินชาวนาลูกหนี้ในโครงการจำนำข้าว และชาวนาสุพรรณกับชาวนาอยุธยาจะปิดถนนประท้วงเรื่องเงินชดเชยน้ำท่วมเมื่อวานนี้ที่ ถนนสาย 340 ช่วง อ.สาลี จะมีอิทธิพลต่อแผนการขยายพื้นที่นาปรังปี 55 อีกกว่า 100 ไร่ ในทุ่งแห่งนี้ที่ฉันรับรู้มาเมื่อช่วงตอนน้ำขึ้นขั้นพีคหรือเปล่าหนอ? ดงดอกผักบุ้งที่อยู่ในช่วงอุ้มลูกอุ้มดอกบานล้อลมแข่งกับดอกพงพลิ้วสวยไม่มีคำตอบให้ แต่แดดแรงๆ และลมเย็นกรรโชกทำให้ฉันเย็นใจ ผักบุ้งรอดมาช่วงฤดูกาลการจ้างฉีดพ่นยาฆ่าหญ้าในเดือนสิงหาคมมาได้ฉันใด ชีวิตคนปลูกข้าวก็คงอยู่ในครรลองเดียวกันกับเหล่าสิ่งชีวิตในทุ่งแห่งนี้ฉันนั้น อา... หรือว่ายาที่อัพมาเมื่อกี้มันหมดฤทธิ์อีกแล้ว ฉันถึงกลับมานึกว่าตัวเองเป็นกุ้งฝอยอีกครั้งเมื่อนึกว่าต้องกลับมาปั่นต้นฉบับ กุ้งฝอยสด 2 ขีด 25 บาท ถูกใส่กระชอนล้างน้ำที่ไหลจากก๊อกอย่างเหม่อๆ  แม้เลยกำหนดส่งต้นฉบับไป 1 วัน ฉันยังเย็นใจได้กับการนั่งตัดกรีกุ้ง และเฉือนเอาส่วนขี้ที่อยู่ในหัวออกไปทีละตัว ทีละตัว จนครบทุกตัวแล้วจับใส่กระชอนล้างน้ำอีกรอบ ตอกไข่ 2 ใบใส่ชาม ฝานมะนาว 1 ซีกลงชามนั้น จนสะดุ้งเฮือก ... มือที่พลาดไปถูกไอกรดกำจัดเชื้อราหลังทำความสะอาดบ้านที่บางบัวทองเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำเอาฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งจากฤทธิ์ยาที่เพิ่งอัพเข้าไปใหม่ ฉันพยายามตื่นฝืนฤทธิ์ยา  ตั้งใจตีไข่ในชาม  แล้ว ใส่หอมแดงซอย กุ้งฝอย 2 – 3 ช้อน และน้ำปลา  แล้วตั้งกระทะใส่น้ำมัน เจียวไข่ กุ้งฝอยหัวขาดที่เหลือ 3 ใน 5 ส่วน จากที่เตรียมไว้ เอามาผัดกับเครื่องปรุง คล้ายๆ กับเมนูที่คนใต้ใช้ผัดสะตอกับน้ำพริกก้นถ้วย แต่หลายวันมานี่ฉันกินแต่น้ำพริกแมงดากับปลาช่อนย่าง เลยต้องเตรียม กระเทียมบุบ-สับ 1 หัว พริกขี้หนูสวนบุบ 4- 5 เม็ด  กะปิดี 1 ช้อนชาละลายน้ำและใส่น้ำตาลทรายสัก 1 ช้อนชา ใบมะกรูด 2 ใบ หั่นเส้น  ถั่วพู 2 ฝัก   และมะนาวอีก 2 ชิ้นที่เหลือจากเจียวไข่ ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันจนน้ำมันร้อน ใส่กระเทียมบุบลงไปผัดจนเหลืองหอม ใส่กุ้งฝอยหัวขาดผัดจนแดงระเรื่อแล้วใส่น้ำละลายกะปิกับน้ำตาลทราย  ผัดต่ออีกนิดจะยกลงใส่ถั่วพูหั่นแฉลบและพริกขี้หนูบุบ  ปิดเตา ตักใส่จาน ... ว้า! น้ำแห้งไปหน่อย มีแต่เนื้อๆ ถ่ายรูปจัดฉาก ชิม และเตรียมส่งงาน  แต่ไม่วายแว้บ... ดู FB อีกที เม้นท์ตอบ พรรคเพื่อนในแคมเปญฝ่ามืออากง...  ฮากับการไล่ไปอยู่ตปท.ของท่านแม่ทัพ  ฯ นาทีนี้ฉันก็นึกว่าตัวเองย้ายไปอยู่ที่เกาหลีเหนือเป็นวูบๆ ตามแรงของยาที่อัพเข้าไป ... มั้ง   ...เพลินกะจะโม้ถึงรสอร่อยที่เพิ่งกินให้เพื่อนฟัง ใบหน้าใจดีของหัวหน้ากองบก.ฉลาดซื้อก็ลอยเข้าไปได้ก็รีบละมาก่อน เฮ่อ!... นี่ฉันจะต้องผวานึกว่าเป็นกุ้งที่กินไปเมื่อกี้อีกกี่ครั้ง กว่าจะหมดฤทธิ์ยา  สวัสดีปี2555

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 127 กินแก้วิกฤติหอย

วิกฤติหอย!สาวปูโพสต์บนกระดาน FB อย่างกลุ้มอกกลุ้มใจ ใครอยู่ใกล้ชายทะเลแถวอ่าวไทย คงจะนึกไปถึงหอยแถวหัวหิน เพชรบุรี ประจวบ แหล่งท่องเที่ยวใกล้กรุงเทพแหล่งสำคัญที่ผู้คนบางกลุ่มเลือกเป็นแหล่งสันทนาการหลากกิจกรรม และมีอะไรให้ทำเยอะแยะมากกว่าการนั่งดูหอย แหล่งท่องเที่ยวสำคัญจนมีใครบางคนเสนอแผนทำถนนลัดอ่าวไทย เพื่อความสะดวก รวดเร็วและหวังผลในการเที่ยวและเศรษฐกิจการค้า จนลืมนึกไปว่าคนที่หากินกับท้องทะเลไทยรอบอ่าวนั้นเขาคิดกันยังไง   ขยายความต่อไปอีกหน่อยว่า  “หอย” ที่สร้างความกังวลใจให้กับ ปู 2 ขา นั้นเป็นหอยต่างถิ่นที่อยู่ในนาอินทรีย์ที่พื้นที่นาทามริมมูล จ.อุบลราชธานี  “มันร้ายมากเลยนะคะ ทำลายและกินทุกอย่าง สามารถมีชีวิตรอดและกินต้นข้าวได้ทั้งหมด ดำไว้ตอนกลางวัน ตื่นเช้ามาอีกวัน ข้าวหายทั้งแปลง มันน่าเจ็บใจนะคะ อีกอย่าง เมื่อมันไปผสมพันธุ์กับหอยบ้านเรา ลูกที่ออกมากลายเป็นหอยเชอรี่หมด”    น้องปูแจ้งเหตุวิกฤติหอยต่างถิ่นที่เข้ามารุกรานในกระดาน FB อย่างตื่นตระหนก   ฉัน – ประสาพี่ ได้แต่ปลอบโยนน้องไปว่า จะเดียดฉันท์หอยนั้นว่าต่างถิ่นไปใย   แม้มันจะอพยพมาจากแดนไกลแต่มันก็หาได้ตั้งใจจะมาตั้งรกรากในแหล่งน้ำห้วยหนองคลองนาไม่ กลับเป็นหอยจำยอมจำทนจากสิ่งที่คนกระทำด้วยความรู้ไม่เท่าทันคนนั้นต่างหาก ที่ปล่อยให้หอยต้องระหกระเหินสะเทินน้ำสะเทินบกไร้คนเลี้ยงดูอย่างแต่ก่อนที่เคยอยู่ในตู้กระจก  ชะรอยที่มันเป็นหอยน้ำอดน้ำทน และกินพืชทุกอย่างที่ขวางหน้าได้นั่นแหละ ถึงได้เพาะพันธุ์แพร่ขยายได้มากมายใหญ่โต  จากแหล่งน้ำธรรมชาติสู่ทุ่งนาภาคกลางเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้ก็ยังแพร่พันธุ์กลายเป็นลูกผสมไปทั่วทั้งทุ่งนาไม่ว่าภาคไหน เราควรทำใจยอมยกสัญชาติไทยเชื้อสายต่างแดนให้มันไปซะเลยจะดีกว่า แล้วค่อยมาหาลู่ทางทำมาหากินจากหอยเชอร์รี่  - - อ๊ะ! ฟังชื่อหอยก็ดูดีน่ากินหยอกใคร พูดจริงๆ นะ… ไม่ได้อำ    ก็ไหนๆ มันแพร่พันธุ์ลูกหลานออกมาเต็มบ้านเต็มเมืองอย่างนี้ ทางที่ดีมาลองมองจ้องหอยมุมใหม่ให้พลิกกลับมารับใช้อุดมคติในการกินแก้วิกฤติกันดีกว่า   อิฉันยังจำคำชี้แนะของ อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้ว่าอยากให้อะไรมันคงอยู่ ก็โยนมันเข้าไปในตลาด  ระบบทุนนิยมจะเป็นแรงส่งให้กับมันเองถ้ามันติดตลาด  ผักพื้นบ้าน อาหารท้องถิ่น  กับอารมณ์หวนถวิลคิดถึงบ้านของคนทำงานไกลถิ่นเกิด  จะแปลงหอยเอเลี่ยน (Alien specie ) ให้มาเป็นอาหารท้องถิ่นแบบไทย อย่างที่ตอนนี้คนไทยแสนจะภูมิใจกับมัสมั่นไทย ที่ดังไปไกลถึงระดับโลกตามที่ สื่อไทย-ไทย กำลังโหมประโคมกันอยู่ตอนนี้ก็ยังได้  (อุ อุ... ใน FB มีเพื่อนที่ฮาวายของอิฉันแอบเม้าท์ว่ามัสมั่นแบบอินเดียที่กำลังเปิดร้านสาขากันอย่างแพร่หลายในอเมริกา  ฝ่ายเพื่อนนักประวัติศาสตร์อีกคนก็ Reply post แบบทันควันว่ามัสมั่นมันเป็นของไทยมาตั้งแต่เมื่อไหร่?) รส และสัมผัสของหอยเชอร์รี่ใช่ว่าจะอร่อยน้อยเป็นรองใคร  เนื้อนุ่มหยุ่น และเต็มปากเต็มคำกว่าหอยจุ๊บเสียอีก  มีกฎข้อเดียวสำหรับการกินหอยน้ำทุกประเภท คือต้องทำให้สุกก่อนกินแค่นั้น  ส่วนเมนูจะปรุงแต่งรส กลิ่น รูปแบบ กันอย่างไหนก็ตามอัธยาศัย  ใครเอาหอยเชอร์รี่ไปแปลงเมนูเด็ดแบบไหน ให้แชร์มาสู่กันบ้างก็น่าสนุกดี  เอาแบบ ไข่มดแดง หนอนรถด่วน และอีกจิปาถะแมลง ก็ได้ ที่ไม่ใช่แค่กินแต่ในเมืองไทย  แต่กลับโด่งดังไกลไปถึงระดับอินเตอร์  ก้อยหอยเชอร์รี่สูตรน้องปู :  หอยเชอร์รี่ลวกสุก หั่นเป็นชิ้นพอคำ  ต้นหอม ผักชีใบยาว ใบสะระแหน่ พริกขี้หนูแห้งคั่วป่น  ข้าวคั่วป่น  น้ำปลา มะนาว  ทุกอย่างใส่คลุกเคล้าเข้ากันแซ่บนัวสไตล์อีสาน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 121 รักนะ(หอย)จุ๊บ จุ๊บ

  วันแรกของเดือนที่สองของปี ที่ตลาดนัดแถวบ้านผู้คนหนาแน่นกว่าปกติ  แผงขายของของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าต่างนำสินค้าที่ใช้ประกอบพิธีกรรมปีใหม่จีนมาจัดวางกันอย่างคึกคักเพื่อให้ลูกค้าเลือกซื้อและจับจ่าย  ทั้งขนมเข่ง ขนมเทียน หมู ไก่ ผลไม้ ซึ่งราคาแพงโด่งไปกว่าปกติยังสังเกตเห็นได้ชัดเจน  หลายๆ คนยังไม่วายบ่นปนกังวลกับราคาเนื้อสัตว์ ผลไม้ และน้ำมันพืช  แม้ว่าผักเศรษฐกิจหัวใหญ่ๆ งามๆ อย่างกะหล่ำดอก กะหล่ำดอก ผักกาดขาว และกวางตุ้งจะลดต่ำลงมาถูกอย่างไม่น่าเชื่อก็ตาม  ฉันค่อยๆ เดินเลาะวนไปตามทางเล็กๆ ที่ผู้คนแออัดนั่น  จากปากทางเข้าตลาดไม่กี่เมตร สายตาก็กวาดไปเห็น “new arrival” สินค้าแปลกใหม่ในรอบสัปดาห์นี้วางอยู่ในกระจาดที่พาดบนกะละมังสังกะสี ตรงหน้าตักแม่ค้าขายปลาที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนทางเดินเท้าแคบๆ  สองขาของฉันพาตัวฉันผ่าน new arrival นั้นมาแล้วอย่างช้าๆ จนเดินไปยังร้านขายสินค้าที่แม่สั่งซื้อไว้  แล้วยังเดินวกอ้อมเส้นทางที่เป็นรูปเกือบม้าไปยังด้านหน้าตลาดอีกฟากด้วย จนสุดท้ายแล้วนั่นแหละ จึงวนกลับทางเก่า   เป็นดั่งที่คาดไว้ เจ้า new arrival แม้จะมีจำนวนถุงที่บรรจุพร่องไปบ้างแล้ว แต่ยังเหลืออยู่อีก 6 – 7 ถุง ให้ฉันได้เลือกซื้อ   ฉันเขย่าถุงแกงป่องๆ ที่ใส่หอยจุ๊บสภาพพร้อมปรุง   กึ่งถามกึ่งขอร้องกับแม่เมื่อมาถึงบ้านทันทีว่าแกงหอยจุ๊บนะ   แม่ทำหน้ากลุ้มใจนิดหนึ่ง แม่ว่าแม่ไม่เคยแกงหอยจุ๊บเลย  แต่เดี๋ยวแม่จะเดินไปถามแม่ค้าในตลาดดูว่าทำไง   พอแม่คล้อยหลัง  ฉันรีบเดินเข้าครัว ตั้งกาน้ำต้มน้ำให้เดือดเพียงชั่วอึดใจ แล้วใช้น้ำร้อนๆ นั่นลวกหอยที่ล้างอีกครั้งตามแม่บอก  แล้ววิ่งออกมาเก็บพริกขี้หนูสวนเอาไปตำกับกระเทียม ใส่น้ำตาลปี๊บนิดหน่อย ปรุงรสด้วยน้ำปลากับมะนาว  นั่งกินอย่างเอร็ดอร่อยไปได้หนึ่งยก  นี่หากฉันเจอหอยจุ๊บในสภาพธรรมชาติ คือยังเป็นๆ สดๆ และไม่ถูกทุบก้นนี่คงต้องใช้เวลาในการตัดสินใจมากกว่านี้อีกหลายเท่าแน่  ไม่ใช่แค่กลัวบาปกรรมเท่านั้นแต่มันหมายถึงต้องเอามาแช่น้ำ ล้าง ซาว และกะเทาะก้น นานและหลายขั้นตอนทีเดียว  ไม่อยากคิดว่าฉันเข้าสู่วัยที่สนใจจะประหยัดเวลากับการกินหอยจุ๊บสุดโปรดแล้วจริงๆ  ย้อนกลับไปสมัยอยู่ชั้นประถม  ช่วงเวลาก่อนหน้านี้สัก 1 - 2 เดือน  ซึ่งเป็นหน้าน้ำ ฉันกับเพื่อนๆ จะลงแรงกวาดตาหาหอยจุ๊บที่มักเกาะตามเสา และต้นไม้ในหนองน้ำเพื่อเอามานึ่งใส่ใบโหระพากับต้นตะไคร้ทุบ โรยเกลือ แล้ว แล้วทำน้ำจิ้มแซ่บๆ ระหว่างรอให้หอยสุก  แม่กลับมาพร้อมมะพร้าวขูด 1 ขีด  พริกแกงเผ็ด 1 ขีด และชะอม 1 กำ  ใครว่าชะอมหน้านี้ไม่ควรกินเพราะแพง แต่ก็เพราะแกงหอยจุ๊บนี่แหละถ้าขาดชะอมไปความอร่อยคงลดลงไปเยอะโขทีเดียว  แม่เดินวนไปหลังครัว เก็บใบมะกรูดและใบชะพลูมาสมทบ   แม่เริ่มล้างและรูดชะอมก่อน  รูดจากส่วนปลายลงข้างล่าง ถึงชะอมมีหนามก็ไม่ตำมือ เสร็จแล้วก็หั่นใบชะพลูและใบมะกรูดให้เป็นฝอย  ไม่น่าเชื่อว่าผัก 3 อย่าง 3 กลิ่น ที่แตกต่างกันพอจับเอาเข้าเครื่องกับพริกแกง กะทิและหอยจุ๊บจะอร่อยได้ขนาดนั้น  เตรียมผักเสร็จแล้วแม่คั้นกะทิ จากนั้นก็เริ่มเอาพริกแกง 1 ช้อนโต๊ะผัดกับน้ำมันในกระทะไฟร้อนปานกลางจนหอม จากนั้นใส่น้ำกะทิลงไปผัด ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลนิดหน่อย พอน้ำแกงเดือดดีก็ใส่หอยจุ๊บลงไป  ปล่อยให้เดือดอีกทีใส่ผัก 3 อย่างที่เตรียมไว้ลงและปิดเตา  แม่ว่า... แกงหอยจุ๊บอร่อยๆ มันง่ายแค่นี้เอง   สงสัยว่าตลาดนัดอาทิตย์หน้า ต้องมองหาและคว้ามาทำกินอีกรอบแหงๆ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 119 เมนูกุ้งฝอย

  ที่ผักไห่ บ้านแม่ ซึ่งอยู่ในเขตลุ่มน้ำท่วมทุกปี ร่วม 4 เดือน นับแต่ราวปลายเดือนกันยายน – มกราคม เป็นช่วงที่คนครัวต่างรอต้อนรับการกลับมาของตลาดปลาตอนเช้าๆ กันอย่างจดจ่อ แต่หลังหน้าแล้งปีนี้(2553) หรือราวเดือนเมษายนจนเข้าช่วงต้นฝนที่มาล่าในเดือนสิงหาคมนั้นปลาในตลาดที่ถูกจับมาวางขายมีน้อยลงมากกว่าทุกปี  จนน้ำท่วมหลากตอนดีเปรสชั่นเข้าราวกลางเดือนกันยายนที่ฝนตกหนักต่อเนื่องกันนานนับสัปดาห์และน้ำเหนือหลากมาแล้วนั่นแหละ ปลาในน้ำ หนอง และนา เริ่มหาได้ง่ายและมากกว่าช่วงแล้งอย่างเห็นได้ชัด ทั้งปลาเค้า ตะเพียน ตะโกก ปลากด ปลาสร้อย ปลาซิว และอีกสารพันปลา สายๆ ของทุกวัน แม่จะหิ้วถุงปลาตะเพียนมั่ง ปลาหมอมั่ง กลับมาจากตลาด กลับถึงบ้านก็ผ่าท้องควักไส้ออกแล้วล้างสะอาด บั้งเป็นตาถี่ๆ ตลอดแนวลำตัวทั้ง 2 ข้าง โดยไม่ขอดเกล็ด แล้วทอดกรอบๆ หรือบางทีก็แค่ผ่าท้องแล้วย่างปลาด้วยเตาไฟฟ้าไฟไม่แรงนัก ปลาสุกหอมๆ มันๆ กินพร้อมสะเดาที่เข้ากันได้ทั้งน้ำปลาหวาน และน้ำพริกเผาสับมะม่วงเปรี้ยวเป็นเส้นใส่ ขยำกินกับข้าว เป็นเมนูหลักวนเวียนไปในช่วงฤดูแห่งปลามัน จนเดือนมกราคมต้นกุมภาพันธ์ปี 54 เลยทีเดียว   ที่ตลาดนี้ยังมีห่อหมกเจ้าประจำที่ทำขาย ซึ่งโดยปกติแม่ค้าจะใช้เนื้อปลาบดที่ซื้อสำเร็จจากตลาดมาทำขาย แต่หากเป็นต้นหนาวหน้าน้ำหลาก น้ำทรง และน้ำลดลงในช่วงปลาหนาว เราแม่ลูกที่ชอบกินห่อหมกจะเลือกกระทงห่อหมกที่มีหัวปลาช่อนแทนเนื้อบด เพราะเป็นหัวปลาสดๆ ที่แม่ค้าห่อหมกหาซื้อมาได้ กินอร่อยถูกใจกว่าเนื้อปลาบดมาก  นอกจากปลา ยังมีกุ้งฝอย สัตว์น้ำจืดอีกอย่าง ที่ฉันกับแม่เฝ้ารอคอย แม้จะปลายพฤศจิกายนเข้าต้นธันวาคมแล้ว กุ้งฝอยที่เคยมีมาขายยังหายหน้า แม่วนไปตลาดเช้ามาหลายวัน จนวันหนึ่งแม่หิ้วถุงใส่กุ้งฝอยมา แม่บอกว่าแพงกว่ากุ้งเลี้ยงตัวใหญ่ขีดละตั้งหนึ่งบาทแหนะ (ฮา) ได้กุ้งฝอยสดๆ มาแม่จับใส่ตะกร้าล้างน้ำหลายเที่ยวจนสะอาด แล้วเอามาตัด กรี – ส่วนที่เป็นหนามแข็งด้านหัวกุ้งออก แล้วตั้งกระทะ ใส่น้ำกะปริมาณให้พอผัดกับกุ้งฝอยแบบขลุกขลิก เมื่อน้ำร้อนจัดใส่กุ้งลงไปลวก ใช้ตะหลิวพลิกกุ้ง 4 – 5 ครั้ง ก็ดับเตาไฟ ตักกุ้งขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ เท่านี้ก็ได้กุ้งฝอยพร้อมปรุงใส่กล่องแช่เย็นไว้ได้อีกหลายเมนูทีเดียว คราวนี้แหละเราแม่ลูกก็มีเมนูกุ้งฝอยมาให้พอประทังความคิดถึงกันได้แบบชั่วคราว... ระยะหนึ่ง   ยำน้ำพริกเผากุ้งฝอย เครื่องปรุง ; กุ้งฝอยลวกสุก ตะไคร้ซอย หอมแดงซอย ผักชีใบยาวซอย ใบสะระแหน่ ปรุงรสด้วย น้ำพริกเผาแบบเผ็ด (พริกบางช้างแห้งเผา กระเทียมเผา หอมเผา กะปิ เกลือ มะขามเปียก น้ำตาลปี๊บนิดเดียว) น้ำปลา และมะนาว  วิธีทำ ; นำน้ำพริกเผาใส่ในชามอ่าง ใส่น้ำปลาและน้ำมะนาว ละลายน้ำพริกเผาให้เข้ากันดี ชิมรสตามชอบให้จัดจ้านนิดหน่อย แล้วใส่กุ้งฝอย กับผักที่เตรียมไว้ยำ คลุกเคล้าให้เข้ากัน   กุ้งฝอยผัดพริกแกงถั่วพูเครื่องปรุง ; ถั่วพูหั่นท่อน กุ้งฝอยลวกสุก หมูหั่นชิ้น น้ำมันพืช พริกแกงเผ็ด (พริกบางช้างแห้ง หอมแดง ผิวมะกรูด พริกไทย เกลือ กะปิ) น้ำปลา น้ำตาล น้ำ ใบมะกรูดฉีก วิธีทำ ; ตั้งกระทะบนเตาไฟกลางๆ ใส่น้ำมันจนร้อนแล้วนำพริกแกงลงไปผัดให้หอม ใส่เนื้อหมู และกุ้งฝอยลงไปผัดให้สุก เติมน้ำปลา น้ำตาล และน้ำ ชิมรสให้ถูกใจ แล้วใส่ถั่วพู และใบมะกรูด ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากันดีแล้วตักเสิร์ฟ  เคล็ดไม่ลับ ; ถั่วพู แม่ใช้วิธีลวกทั้งฝักในน้ำเดือดจัดแล้วตักขึ้นมาใส่ในชามน้ำเย็นทันที แล้วจึงหั่นเป็นท่อนๆ วิธีนี้ทำให้ได้ถั่วพูสีสวยไม่คล้ำเข้มเหมือนการนำถั่วพูสดลงไปผัด           สายบัวผัดกุ้งฝอย เมนูสุดท้ายเป็นสายบัวผัดกุ้งฝอย แม่ว่าเคล็ดผัดสายบัวให้สีสวยใสต้องลวกสายบัวก่อน   ส่วนวิธีผัดเหมือนผัดผักไฟแดงทั่วไป ตั้งกระทะบนเตาไฟแรง ใส่น้ำมันร้อนตีกระเทียมใส่ ตามด้วยหมูและกุ้งฝอยลวก และสายบัว ปรุงรสด้วยน้ำปลาและตัดเค็มด้วยน้ำตาลนิดหน่อย อร่อยแบบไม่ต้องพึ่งซอสปรุงรสและผงชูรสค่ะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 166 ลบรอยสัก

เขียนเรื่องสักคิ้วไป ก็พบข้อมูลเรื่องการลบรอยสัก ซึ่งน่าสนใจ จึงขอหยิบมานำเสนอเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับคนที่ประสงค์จะลบรอยสักออก หรือสำหรับคนที่ยังไม่มีรอยสัก แต่ถ้าคิดจะสักจะได้พึงคิดให้ดีก่อนว่าจะไปสักดีไหม เพราะถ้าสักไปแล้วไม่พอใจอยากเอาลวดลายออกจะได้รู้ว่า ต้องเจอกับอะไร วิธีลบรอยสัก วิธีลบนั้นมีหลากหลาย แบบโหดๆ บ้านๆ คือเปิดผิวหนังบริเวณรอยสัก เพื่อให้เอาสีที่ฝังในชั้นผิวออก เช่น การลบรอยสักด้วยยางพืช ลบด้วยปูนแดง การลบด้วยกรดหรือด่างหรือด้วยสารเคมีแรงๆ หรือแม้แต่ การสักสีที่ใกล้เคียงกับผิวทับลงไป หรือแบบมืออาชีพคือ การผ่าตัดเอาบริเวณที่สักออกแล้วเอาผิวหนังบริเวณอื่นมาปลูกถ่ายแทน ซึ่งรอยสักอาจหายไปได้  แต่ก็แทนที่มาด้วย รอยแผลเป็นแทน(การจางหายหรือภาวะแทรกซ้อนแต่ละวิธีก็มากน้อยต่างกัน) แต่ที่นิยมมากที่สุดเห็นผลดีสุด ณ ปัจจุบัน(เกิดแผลน้อยสุด)  คือ ลบรอยสักด้วยเลเซอร์ ซึ่งถึงจะพูดแบบนี้แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การลบรอยสักด้วยเลเซอร์ อาศัยหลักการปล่อยพลังงานเลเซอร์ผ่านผิวหนัง(ที่มีรอยสัก) ด้านบนลงไปสู่เม็ดสีที่อยู่ใต้ผิวหนังด้านล่าง แล้วเลเซอร์จะทำให้เม็ดสีของรอยสักนั้นแตกออก จากนั้นเม็ดเลือดขาวของร่างกายก็จะมาเก็บเม็ดสีที่แตกนั้นไป โดยที่ผิวหนังด้านบนนั้นยังปกติและปลอดภัย เครื่องเลเซอร์ที่มีใช้ในเมืองไทย ส่วนใหญ่ที่จะนำมาเพื่อการกำจัดเม็ดสีที่เกิดการการสักนั้นอยู่ในกลุ่มของ Q-Switch หรือการยิงพลังงานในช่วงระยะเวลา 1 ใน 1 พันล้านวินาที (nanosecond) ซึ่งแตกต่างกันไปในส่วนของแหล่งการให้ความยาวคลื่นแสงจำเพาะที่เป็นตัวกำหนด เม็ดสีเป้าหมาย ดังนั้นเครื่องเลเซอร์เครื่องเดียวอาจจะกำจัดเม็ดสีได้ไม่ครบทุกสี เมื่อยิงเลเซอร์ไปยังเม็ดสีเป้าหมายแล้ว เม็ดสีจะเกิดการแตกตัว มีขนาดเล็กลง ทำให้เม็ดเลือดขาวสามารถเก็บกินได้ง่ายขึ้น “โดยทั่วไปการลบรอยสักนั้น แพทย์จะคุยกับคนไข้ก่อนว่า ลบครั้งเดียวไม่หายหมด เนื่องจากรอยสัก แต่ละสีต้องใช้เลเซอร์ต่างเครื่องในการลบ ไม่สามารถลบรอยสัก ได้ทุกสีในเครื่องเดียวกัน ดังนั้นคนไข้ที่สักหลายสี จำเป็นต้องใช้หลายเครื่องมาลบ สีที่ลบง่ายจะเป็นสีดำ สีเขียว แต่ที่ลบยากคือ สีแดง สีเหลือง และสีส้ม ยิ่งในระยะหลังเริ่มหันมานิยมการสักสีเนื้อ หรือสีออกขาวกัน ซึ่งจะลบยากขึ้น โดยเฉลี่ยหากลบเพียงสีเดียวจะอยู่ที่ 5-8 ครั้ง และจะทำทุกๆ 1-2 เดือน เนื่องจากการยิงเลเซอร์แต่ละครั้ง จะเกิดแผลเป็นรอยดำที่ผิวหนัง ซึ่งการหายนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะและตำแหน่งของแผล อาจจะมีความไม่สม่ำเสมอของสีผิวที่ลบได้ เพราะเลเซอร์จะไปโดนสีผิวจริงๆ ทำให้โอกาสที่ผิวจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก่อนการสักนั้น ทำได้ค่อนข้างยาก” (ผศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา)* ถ้าคุณมีรอยสักแล้วต้องการลบออก ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่ชํานาญ อย่าได้ไปรักษาเอง หรือรักษากับผู้ที่ไม่ใช่แพทย์เป็นอันขาด รอยสักนั้นก็เหมือนประสบการณ์ที่ยากจะทำลาย ดังนั้นคิดให้ดีก่อนทำ เรื่องต้องรู้เมื่อไปลบรอยสัก 1.ขนาดของรอยสักไม่ได้มีผลเท่ากับสีที่ใช้ 2.รอยสักที่นิ้วและข้อเท้า จะแก้ไขได้ยากกว่าก้น ขา หรือหน้าอก 3.บริเวณหลัง หน้าอก หลังลบมักเกิดแผลเป็นง่ายกว่าส่วนอื่น 4.ตำแหน่งใกล้ตา การใช้เลเซอร์ลบอาจเป็นอันตรายต่อจอประสาทตาจนสูญเสียการมองเห็นได้ 5.สักโดยมืออาชีพหรือใช้เครื่องจะลบไม่ยากเท่าการสักของพวกมือสมัครเล่น *ข้อมูล ไม่ง่าย! ลบรอยสักด้วยเลเซอร์ โดย ผศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา  วันที่ 17 กรกฎาคม 2556 http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9560000087195

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 147 การลอกผิวหน้าด้วยสารเคมี ให้กระจ่างใส เนียน ไร้ริ้วรอย และ จุดด่างดำ

โดยทั่วไป เซลล์ผิวหนังจะมีการผลัดเซลล์ผิวเป็นวงจรทุก 28 วันโดยธรรมชาติ เห็นได้จากขี้ไคลที่เราขัดออกเวลาอาบน้ำ แต่เมื่อคนเราอายุมากขึ้น วงจรการผลัดเซลล์ผิวจะใช้เวลานานขึ้นเนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตลดลงในทุกระบบของร่างกาย ทำให้เซลล์เก่าบนผิวหนังสะสม ไม่หลุดลอกออกตามที่ควรเป็น ผิวหน้าหรือผิวกายจึงไม่สดใส เกิดริ้วรอย แลดูหยาบกร้าน และหมองคล้ำได้เนื่องจากการอุดตันตามรูขุมขน เกิดเป็นสิวเสี้ยน และรอยด่างดำ นอกจากนี้ ฝ้า หรือ กระ บนผิวหนัง รวมทั้งรอยแผลจากสิว ทำให้ผิวหน้าไม่กระจ่างใส อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และวงการแพทย์อันเกี่ยวเนื่องกับความสวยความงาม จึงมีการคิดค้นสินค้าและบริการทางการแพทย์เพื่อทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส โดยการลอกเซลล์ผิวหน้าที่มีปัญหาออก วิธีการลอกเซลล์ผิวหน้าในปัจจุบัน มี 2 วิธี คือ วิธีการทางกายภาพ (Physical Peel) โดยใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น การกรอผิวหน้าด้วยแสงเลเซอร์ ฯลฯ วิธีนี้จะสามารถเจาะลึกลงสู่ผิวหนังชั้นล่างหรือชั้นหนังแท้ ซึ่งต้องทำหัตถการโดยแพทย์ผู้ชำนาญในคลินิกเท่านั้น วิธีการทางเคมี (Chemical Peel) โดยใช้สารเคมีเป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์ผิวเกิดร้อน อักเสบ พอง และหลุดลอกออก วิธีนี้ ประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับชนิดของสารเคมี ความแรงและความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้ เทคนิคการใช้สารเคมี (Chemical peel) ในการลอกเซลล์ผิวหน้า เพื่อทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย และจุดด่างดำนั้น มีมาช้านานนับแต่ยุคอียิปต์โบราณ คนในยุคนั้นใช้น้ำนมในการอาบน้ำขัดผิวกาย โดยหารู้ไม่ว่าเซลล์ผิวจะถูกขัดลอกออกให้เนียนนุ่ม โดยมีกรดแลคติคในน้ำนม ซึ่งเป็นกรดอ่อนในการช่วยขจัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวที่อาบน้ำนมเนียนนุ่ม และการใช้ผลองุ่นขัดและทาถูที่ผิวหนังก็เช่นกัน ผลองุ่นมีกรดผลไม้คือ กรดทาร์ทาริค เช่นเดียวกับกรดอ่อนที่พบในมะขาม ด้วยกลไกที่มีฤทธิ์กรดอ่อน กรดจะระคายเคืองผิวหนัง ทำให้ผิวหนังร้อน พุพองเล็กน้อย และทำให้เซลล์ผิวชั้นบนๆหลุดลอกออก เผยให้เห็นผิวใหม่ที่สดใสและเนียนนุ่ม ริ้วรอยเล็กๆ น้อยๆ รวมทั้งจุดด่างดำ และสิวเสี้ยนที่ตำแหน่งผิวหนังตื้นๆจะหลุดลอกออกไปด้วย   สารเคมีที่ใช้ลอกเซลล์ผิวหน้า -  จากธรรมชาติ ได้แก่ กรดผลไม้ชนิดต่างๆ (AHA, alpha-hydroxy acid) เช่น กรดไกลโคลิค จากน้ำอ้อย กรดแลคติคจากนมเปรี้ยว กรดซิทริคจากส้มและมะนาว กรดผลไม้เหล่านี้มีพบเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางทั่วไป ไม่ได้เป็นสารห้ามใช้ตามประกาศ พรบ.เครื่องสำอาง - จากการสังเคราะห์ สารเคมีสังเคราะห์ที่นิยมใช้มากในคลินิกปัจจุบัน ได้แก่ ทีซีเอ (TCA, trichloroacetic acid) กลไกการทำงาน กรดอ่อนเหล่านี้ จะมีผลทำให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างเซลล์ผิวลดลง ทำให้หลุดลอกออกง่าย นอกจากนี้การที่เซลล์ผิวหลุดลอกออกเร็วก่อนเวลา จะเป็นการกระตุ้นการเร่งสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นแทนที่เซลล์เก่าที่หลุดลอกออก พร้อมทั้งกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าเนียน เรียบ กระจ่างใส ผิวหน้าที่มีสิว หัวสิวจะนุ่มลง และหลุดออกง่าย ฝ้า และกระที่อยู่ตื้นๆ หรือไม่ลึกเกินไปจะสามารถหลุดลอกออกได้ ทั้งนี้ประสิทธิผลการรักษา จะขึ้นอยู่กับความแรงและความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้ ข้อควรระวังและอาการข้างเคียง 1. วิธีการใช้สารเคมีเพื่อลอกผิวหน้าให้ขาวใส จะให้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะเป็นการลอกเซลล์ผิวดำคล้ำ ออกชั่วคราวเท่านั้น สีผิวที่ดำสามารถกลับมาใหม่ได้อีกเมื่อผิวหน้าถูกกระตุ้นด้วยรังสีดวงอาทิตย์ นอกจากนี้ผิวหน้าที่บางลงเนื่องจากเซลล์ผิวชั้นบนถูกลอกออกไป จะทำให้ผิวหน้าอ่อนไหวง่ายเมื่อสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่มีมลภาวะ อาจติดเชื้อแทรกซ้อนหลังการทำหัตถการ 2. ไม่ควรซื้อมาทำเองที่บ้าน ควรอยู่ภายใต้การดูแลรักษาโดยแพทย์ผิวหนังผู้ชำนาญการเท่านั้น เพราะอาจทำให้ผิวหน้าไหม้ พุพอง และเป็นอันตรายได้ 3. ไม่ควรทำซ้ำบ่อยๆ เพราะจะทำให้ผิวหน้าบางลง     เอกสารอ้างอิง http://www.medicinenet.com/chemical_peel/article.htm

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 142 รอยแผลเป็น

เมื่อมีบาดแผลหรือการฉีกขาดของเนื้อเยื่อของผิวหนัง ร่างกายจะเริ่มกระบวนการสมานแผลหรือซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเนื้อเยื่อที่ฉีกขาด ซึ่งผลที่ออกมาจะไม่เรียบเนียนเหมือนเก่า แต่อาจทิ้งรอยนูนหรือหลุมไว้เป็นหลักฐานที่ผิว ที่เรียกว่า แผลเป็น แผลเป็นจะหนักเบาขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือ ความรุนแรงของบาดแผล ถ้าเป็นแผลเล็กๆ น้อยๆ แค่ระดับผิวชั้นหนังกำพร้าเมื่อแผลหาย อาจไม่เหลือรอยแผลเลย แต่ถ้าแผลลงลึกไปถึงชั้นหนังแท้หรือกล้ามเนื้อ กระดูก ร่องรอยของแผลเป็นก็จะยิ่งชัดเจน ซึ่งถ้าเกิดในบริเวณนอกร่มผ้าจะสร้างความกังวลให้กับคนที่รักสวยรักงามเป็นพิเศษ ชนิดของแผลเป็นรอยแผลเป็นมีมากมายหลายชนิด แต่ที่เป็นปัญหาหลักๆ จะมี 2 ชนิดใหญ่ ดังนี้1.รอยแผลเป็นนูนหนา (Hypertrophic scar) คือ แผลเป็นที่มีสีแดงและนูนขึ้นมาจากผิวหนังปกติ แต่ ไม่กินวงกว้างไปจากรอยแผลเดิม ส่วนที่นูนขึ้นมาเกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินไปของร่างกาย   2.คีลอยด์ (Keloid) คือ แผลเป็นที่มีอาการนูนและแดงคล้ายกับรอยแผลเป็นนูนหนา แต่มีความ ผิดปกติทำให้เกิดการขยายตัวกว้างขึ้นเข้าสู่เนื้อเยื่อรอบๆ รอยโรคของแผลตอนแรกเริ่ม การรักษารอยแผลเป็นในท้องตลาดมีสารพัดครีม สารพัดยา ออกมาวางขายกันมากมาย ก็มีทั้งที่ได้ผลและไม่ได้ผล แต่ในระดับที่เป็นที่ยอมรับมีดังต่อไปนี้ 1.แผ่นเจลซิลิโคน (silicone gel sheet) เป็นแผ่นซิลิโคนใสที่เหมาะสำหรับแผลเป็นที่มีสีแดงหรือสีคล้ำหรือนูน เคยมีรายงานการใช้แผ่นเจลซิลิโคนรักษาแผลแล้วพบว่า จะช่วยให้สีของแผลจางลงและแผลแบนราบลงได้ 2. การฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Intra lesional corticosteroid) การฉีดยาสเตียรอยด์ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะศัลยแพทย์ตกแต่ง ซึ่งจะฉีดยาสเตียรอยด์นี้เข้าใต้ตำแหน่งของแผลเป็น จะช่วยให้แผลเป็นนั้นนุ่มลงและแบนราบลงได้ หรืออาจเป็นการใช้ยาทาสเตียรอยด์ทาบริเวณแผลเป็น จะช่วยบรรเทาอาการคัน ตึง ปวด เพื่อไม่ให้ลุกลามขึ้น แต่ไม่ช่วยให้แผลเป็นหรือคีลอยด์ยุบลงได้ 3. การผ่าตัด การผ่าตัดจะช่วยจัดตำแหน่งร่องรอยแผลเป็นให้ดูดีขึ้นได้ แต่ทุกครั้งที่มีการผ่าตัดก็จะเกิดแผลเป็นใหม่แทนที่แผลเป็นเก่าเสมอ การผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์ได้ผลดีพอสมควร แต่ยังขึ้นอยู่กับขนาดของแผลเป็นด้วย 4.การใช้สารเคมีในการรักษา ตัวอย่างสารที่นำมาใช้ในการรักษาแผลเป็น มีดังนี้ : วิตามิน ได้แก่ วิตามินเอ หรือ retinoic acid นิยมใช้สำหรับแผลเป็นชนิดที่เป็นหลุม โดยไปกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ และทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นหนังกำพร้าหนาตัวขึ้น จะให้ผลดีกับแผลเป็นชนิดตื้นๆ และค่อนข้างใหม่ วิตามินอี มีรายงานกล่าวอ้างว่า วิตามินอี ช่วยเร่งให้แผลหายเร็วขึ้น ซึ่งแพทย์บางคนแนะนำให้ใช้ แต่ก็มีรายงานการศึกษาเปรียบเทียบขี้ผึ้งวิตามินอีกับยาหลอกแล้วพบว่า ขี้ผึ้งวิตามินอีไม่ช่วยให้แผลเป็นดีขึ้นแตกต่างจากยาหลอก อีกทั้งมีรายงานการเกิดผื่นแพ้สัมผัสจากขี้ผึ้งวิตามินอีด้วย สารที่มีฤทธิ์ลอกผิว (chemical peeling) สารที่ใช้ในการลอกผิวมีหลายชนิดและมีการพัฒนาตามลำดับ เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดและเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด ตัวอย่างของสารเคมีที่นิยมใช้ ได้แก่ sulfur, resorcinol, alpha hydroxy acid 30-70%, betahydroxy acid 10-30%, trichloracetic acid 20-90% และ phenol peel เป็นต้น สารแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยแตกต่างกัน สารที่มีความเข้มข้นต่ำทำให้มีการลอกผิวในชั้นตื้นๆ ส่วนสารที่มีความเข้มข้นสูงหรือ phenol ทำให้มีการลอกผิวในชั้นลึก ซึ่งให้ผลการรักษาที่ดีกว่า แต่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงมากขึ้น จึงควรใช้โดยผู้มีประสบการณ์เท่านั้น   สารสกัดจากสมุนไพร มีการค้นหาสมุนไพรสำหรับรักษาแผลเป็น ซึ่งที่กำลังแรงในปัจจุบันคือ บัวบก (Centella asiatica (Linn.) Urban) และ หอมหัวใหญ่ (Allium ascalonicum Linn.) โดยสารสำคัญที่ออกฤทธิ์รักษาแผลเป็นในบัวบก คือ asiaticoside, asiatic aicd และ madecassic acids  สารสำคัญเหล่านี้จะช่วยกันออกฤทธิ์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและ glycoaminoglycan ซึ่งมีผลต่อการสร้างเนื้อเยื่อ  นอกจากนี้ยังสามารถยับยั้งกระบวนการการเกิดแผลเป็นชนิดนูนด้วย ส่วนสารสำคัญที่ออกฤทธิ์รักษาแผลเป็นในหอมหัวใหญ่คือ quercetin ซึ่งเป็นสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ยับยั้ง proliferation ของไฟโบรบลาสและยับยั้งการสร้างคอลลาเจนด้วย สามารถยับยั้งกระบวนการการเกิดแผลเป็นชนิดนูนด้วยเช่นกัน ------------------------------------------------------------------------------------------------- ปล่อยให้แผลเป็นจางลงเองตามธรรมชาติ ร่างกายคนเราเยี่ยมที่สุดแล้ว แผลเป็นเล็กๆ น้อยๆ ใช้เวลาไม่นานลืมๆ ไปบ้าง แผลก็จะดูจางลงไปเอง ดังนั้นเวลาคุณไปขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้ชำนาญการหรือศัลยแพทย์ตกแต่ง หลายท่านจะแนะนำให้ทิ้งรอยแผลนั้นไว้เฉยๆ เสียก่อนเป็นเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี จนแผลเป็นเดิมๆ ที่มีอยู่ ค่อยๆ จางลงไปเรื่อยๆ จนเต็มที่ ถ้าร่องรอยยังบาดใจ ก็ค่อยมาให้การรักษา

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 141 รู้เท่าทัน การร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวหน้า

คนเราทุกคนอยากให้ตัวเองดูดีและอ่อนเยาว์อยู่เสมอ จึงทำให้เทคโนโลยีด้านเสริมความงามพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง หนึ่งในเทคนิคเหล่านั้นที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ก็คือ เทคนิคการร้อยไหมด้วยไหมละลาย ดังนั้นเราจึงควรรู้ถึงข้อเท็จจริง ข้อดีและข้อเสียของเทคนิคดังกล่าวก่อนที่จะตัดสินใจเลือกรับบริการ การร้อยไหม คือ เทคนิคที่นำมาใช้ช่วยยกกระชับ ฟื้นฟูสภาพผิว ลดเลือนริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้ดูเรียว  ด้วยไหมละลายโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศเกาหลี หลักการของเทคนิคนี้ คือ การใช้ไหมเส้นเล็กจำนวนมากมาร้อยเป็นเครือข่าย บริเวณใต้ผิวหนังที่ร้อยไหมเข้าไปจะถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ มีผลทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน ให้สร้างคอลลาเจนใหม่มาพันรอบแนวเส้นไหม มีผลให้เกิดการดึงรั้งผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าเต่งตึงและกระชับ พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงชั้นผิวหนังเพิ่มขึ้นด้วย   ชนิดของเส้นไหมและอายุของผู้ที่จะเข้ารับบริการ ไหมชนิดที่นิยมใช้กันมากทำมาจากโพลีไดอ๊อกซาโนน (polydioxanone หรือ PDO) ซึ่งเป็นไหมที่นำมาใช้ในการทำศัลยกรรมเย็บเส้นเลือดหัวใจ ซึ่งมีโอกาสแพ้น้อยมาก ไม่มีปฏิกิริยาต่อผิวหนัง ผ่านการรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งในและต่างประเทศ และสามารถสลายตัวได้เองภายใน 6-7 เดือน การร้อยไหมแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 39-50 ปี และผู้ที่มีปัญหาการบกพร่องของผิวโดยที่ไม่มีเนื้อเยื่อยุบตัวมากเกินไป ถ้าอายุมากและมีผิวหย่อนคล้อยประกอบกับมีการยุบตัวของผิว การร้อยไหมอย่างเดียวอาจช่วยไม่ได้ต้องใช้วิธีอย่างอื่นร่วมด้วย สำหรับผู้ที่มีอายุน้อยยังไม่พบการหย่อนคล้อยจะได้ผลในแง่ของการปรับรูปหน้ามากกว่า โดยเฉพาะคนที่อายุต่ำกว่า 25 ปีลงไปไม่ควรทำเพราะไม่คุ้มค่าเงินที่เสียไป หลักการร้อยไหม ผลข้างเคียง และข้อควรระวังหลังเข้ารับบริการ ก่อนทำแพทย์จะทายาชาร่วมกับฉีดยาชาในบางตำแหน่งก่อนร้อยไหม หลังจากนั้น แพทย์จะนำเส้นไหมที่อยู่ตรงปลายเข็มเข้าไปยึดตามเนื้อเยื่อผิว โดยจะใช้วิธีการร้อยเรียงเส้นไหมและแพทย์จะพิจารณาตามโครงหน้าของคนไข้เป็นหลักในเวลาเพียง 20-40 นาที ขณะทำจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย อาจพบรอยช้ำตามแนวรอยไหมได้บ้าง ร่วมกับอาการบวม แต่จะหายไปเองโดยไม่ต้องพักฟื้นภายใน 1-2 สัปดาห์ และจะเห็นผลชัดเจนในช่วงประมาณ 2 เดือนหลังร้อยไหม และอาจจะเห็นผลต่อเนื่องนานประมาณ 1-2 ปี หลังจากนี้ก็ต้องมาทำการร้อยไหมใหม่อีกครั้ง เนื่องจากการร้อยไหมละลายไม่ได้เย็บไหมไว้ด้านในชั้นผิวหนัง SMAS (Superficial Musculo Aponeurotic System) ซึ่งยู่ลึกกว่าผิวชั้นหนังแท้ จึงไม่อาจทำให้เกิดความแข็งแรงเทียบเท่าการผ่าตัดดึงหน้า   ข้อควรระวังหลังจากทำร้อยไหม คือ ไม่ควรทำเลเซอร์หรือหัตถการใดๆ กับใบหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ และไม่ควรนวดหน้าแรงๆ ในตำแหน่งที่ร้อยไหมประมาณ 2 เดือน นอกจากนี้ อาจจะมีการเกิดผิวหนังบวมแดง หรือ ตุ่มแดงตามแนวที่ร้อยไหมได้เนื่องจากเกิดการแพ้ไหมละลาย มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออันมาจากการใช้เข็มสอดเส้นไหมจำนวนมากเข้าไปที่ผิวหนัง เช่นเดียวกับการฉีดโบท๊อกซ์และฟิลเลอร์ และอาจทำให้เกิดรอยบุ๋มของผิวหนัง หรือ ผิวหนังทั้งสองข้างยกกระชับไม่เท่ากัน อีกทั้งคอลลาเจนที่ถูกกระตุ้นโดยไหมละลาย อาจเป็นคอลลาเจนชนิดเดียวกับที่พบในแผลเป็นลักษณะคล้ายพังผืด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไหมละลายชนิด PDO จะได้การรับรองความปลอดภัยจาก อย. แต่นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยได้เปิดเผยว่า อย. ไม่อนุญาตหรือไม่รับรองวิธีการร้อยไหมเพื่อวัตถุประสงค์ของการกระชับผิว แต่อนุญาตให้ใช้ในการเย็บแผลเท่านั้น นอกจากนี้ การร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวยังไม่ได้รับการรับรองให้ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศในทวีปยุโรป เพราะยังไม่มีผลการศึกษาทางการแพทย์ที่แน่ชัดถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาว ดังนั้น ผู้ที่กำลังสนใจที่จะทำการร้อยไหมละลายเพื่อกระชับผิวหน้าควรพิจารณาไตร่ตรองให้ดีอีกครั้งถึงสิ่งที่จะได้มาว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่ และไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีเสริมความงามวิธีใดก็ตาม แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือ การดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง จิตใจแจ่มใส ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เป็นต้น ก็ช่วยให้คุณสวย สดใส ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย โดยไม่ต้องเสียเงินมาก ไม่ต้องเจ็บตัว ถึงจะเรียกได้ว่าสวยอย่างฉลาดตัวจริง เอกสารอ้างอิง Cosmetic Surgery Today, Threadlift, 2012. (Access October 30, 2012, at http://www.cosmeticsurgerytoday.com/threadlift/) Dolphin Sutures, Information on Monofilament Polydioxanone Suture, 2012. (Access October 30, 2012, at http://www.dolphinsutures.com/information-on-polydioxanone.html) ไทยรัฐออนไลน์. แพทย์เผย อย. ไม่อนุญาตการร้อยไหมกระชับผิว. 30 ตุลาคม 2555. (Access October 30, 2012, at http://www.thairathco.th/content/edu/263402)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 125 เติมความรู้เรื่อง สารลบริ้วรอย

  กลายเป็นเรื่องค่อนข้างปกติแล้วสำหรับการเห็นดารานักร้องและบุคคลสำคัญที่ปรากฏในจอทีวีล้วนแต่มีใบหน้าเต่งตึง ไม่พบริ้วรอยแม้เพียงน้อยนิด คนอายุร่วม 60 กลับดูเหมือนเพียง 30 ปลาย ดารา นักร้องวัยรุ่นที่ไม่มีดั้ง คางสั้น กลับกลายเป็นมีดั้ง จมูกโด่ง คางแหลม คิ้วโก่ง ส่วนดาราสูงวัยกลับดูเด็กลงอย่างมากมาย ด้วยใบหน้าเรียบตึงปราศจากริ้วรอยตีนกาหรือร่องแก้มลึก  ภาพความสวยความสาวราวปั้นแต่งนี้ ย่อมยั่วยวนให้ผู้หญิงทั้งหลาย อยากเข้ารับบริการจากคลินิกเสริมความงามทั้งหลายเพื่อเสริมแต่งใบหน้าให้ได้รูปตามที่ปรารถนา บทความนี้จึงอยากแนะนำข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ก่อนเข้ารับบริการเสริมความงามจากแพทย์  สารเติมเต็มคืออะไรสารเติมเต็ม ถูกจัดหมวดหมู่ให้เป็น ‘อุปกรณ์การแพทย์’ ชนิดหนึ่ง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รับรองและอนุญาตให้ใช้เพื่อฉีดเข้าใต้ผิวหน้า ช่วยลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เพื่อเติมเต็มร่องลึกข้างจมูกและรอบริมฝีปาก เติมเต็มวงลึกใต้ตา ใช้ฉีดเข้าหางตาเพื่อยกหางตาและหางคิ้วไม่ให้ตก นอกจากนี้ยังนิยมใช้ฉีดเข้าปลายจมูกให้มีติ่งเป็นหยดน้ำ หรือฉีดเข้าปลายคางให้แหลม หรือฉีดเพื่อเสริมดั้งจมูกให้โด่งขึ้น บางคนฉีดเพื่อให้ริมฝีปากนูน เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เหล่านี้ ช่วยทำให้หญิงชายในยุคปัจจุบันสวยได้ทันใจ โดยไม่ต้องทำศัลยกรรมผ่าตัดเพื่อดึงหน้าหรือยกกระชับเหมือนสมัยก่อน   วัสดุวิทยาศาสตร์ที่ใช้เป็นสารเติมเต็มมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ ชนิดให้ผลถาวร และชนิดให้ผลชั่วคราว   ชนิดถาวร ได้แก่  โพลีเมทธิลเมทาไคลเลต (Polymethylmethacrylate, PMMA) มีลักษณะเป็นเม็ดบีดส์หรือลูกบอลขนาดละเอียดและเรียบ สามารถเข้ากับเนื้อเยื่อของคนเราได้ดีและไม่ถูกดูดซับหรือดูดซึมโดยร่างกาย นิยมใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มร่องแก้มรอบปากและข้างจมูก ข้อเสียคือเมื่อฉีดแล้ว หากไม่พอใจต้องให้แพทย์ผ่าเอาออก ชนิดชั่วคราว จะให้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับวัสดุธรรมชาติที่ร่างกายคนเรามีอยู่ เมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก็จะสลายไป ตัวอย่างของสารเติมเต็มที่ใช้ทั่วไป มี 4 ชนิดที่นิยม คือ 1. คอลลาเจน (Collagen) โปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของผิวหนังและเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ส่วนใหญ่มักจะสกัดจากวัวหรือเซลล์ของคน ให้ผลระยะสั้นเพียง 3-4 เดือน 2. ไฮยารูโลนิค แอซิด (Hyaluronic acid) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘เรสไตเลน’ (Restylane) จัดเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติที่ร่างกายคนเรามีอยู่ในเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ เช่น กระดูกอ่อน และผิวหนัง วัสดุชนิดนี้สามารถรวมกับน้ำหรือความชื้นได้ดีและบวมน้ำกลายเป็นเจลนุ่มๆ เมื่อนำมาฉีดเข้าใต้ผิวหนังที่มีริ้วรอยหรือร่องลึกข้างจมูก ทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นเลือนหายไปทันตา ผิวหนังบริเวณนั้นจะเรียบขึ้น ร่องลึกจะถูกลบเลือนจนหมดหรือเกือบหมดทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณของสารเติมเต็มที่ถูกฉีดเข้าใต้ผิวหนัง วัสดุชนิดนี้มักจะถูกสกัดและเตรียมขึ้นจากไบโอเทคโนโลยีหรือใช้เชื้อแบคทีเรียเป็นสารตั้งต้นในการเตรียม ในปัจจุบันมีการดัดแปลงโครงสร้างโมเลกุลของสารกลุ่มนี้ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้สามารถมีอายุได้นานขึ้นใต้ผิวหนังประมาณ 6-12 เดือน 3. แคลเซียม ไฮดรอกซี่อปาไทด์ (Calcium hydroxylapatite) จัดเป็นวัสดุแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่พบทั่วไปในฟันและกระดูก การใช้เป็นสารเติมเต็ม สารชนิดนี้จะถูกเตรียมโดยแขวนกระจายในน้ำยาคล้ายเจล และนำมาฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการ ระยะเวลาที่ให้ผลประมาณ 1 ปีหรือ 1 ปีครึ่ง  4. โพลี แอล แลคติด แอซิด (Poly-L-lactic acid, PLLA) จัดเป็นวัสดุโพลีเมอร์ที่ย่อยสลายเองได้ในร่างกาย นับเป็นวัสดุวิทยาศาสตร์ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นเพื่อให้เข้ากับร่างกายคนเราได้ดี ใช้มากในการช่วยละลายไหมเย็บแผลและสกรูกระดูกในศัลยกรรมกระดูก สารเติมเต็มชนิดนี้นิยมใช้กันมากในยุโรปและอเมริกา กลไกการทำงานของวัสดุชนิดนี้คือช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังขึ้นใหม่ เพื่อเติมเต็มล่องลึกและริ้วรอยเหี่ยวย่น มีอายุประมาณ 2 ปี  ความเสี่ยงของการฉีดสารเติมเต็มอาการข้างเคียงส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นทันทีภายหลังจากการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และมักจะเลือนหายไปเองภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ในบางกรณีอาจมีอาการข้างเคียงประมาณ 1-2 สัปดาห์ หรือเป็นปีได้ สารเติมเต็มทุกชนิดสามารถทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ในระยะยาว หรืออาการข้างเคียงถาวร หรือทั้งสองชนิดได้ อาการข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป เช่น บวม แดง เป็นผื่น คัน เจ็บ ฟกช้ำ ส่วนอาการข้างเคียงที่พบได้ไม่บ่อยนัก เช่น ผิวหนังมีลักษณะเป็นเนื้อนูน ซึ่งต้องให้แพทย์ผ่าตัดออก ความเสี่ยงในการติดเชื้อ มีแผลเปิด มีอาการแพ้ หรือเกิดเนื้อตายบริเวณที่ฉีดสารเติมเต็ม เป็นต้น นอกจากนี้ยังปรากฏพบอาการข้างเคียงที่มีรายงาน เช่น การเคลื่อนที่ของสารเติมเต็มจากตำแหน่งเดิม การรั่วไหลของสารเติมเต็มออกสู่ผิวหนังชั้นบน ซึ่งกรณีนี้มักจะเกิดจากการอักเสบจากการติดเชื้อหรือเกิดจากปฏิกิริยาของสารเติมเต็มต่อผิวหนังบริเวณที่ฉีด หรือบางคนอาจมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่หรือมีสายตาพร่าฟาง ก่อนเข้ารับบริการควรตัดสินใจให้รอบคอบ เพราะข้อจำกัดและร่างกายแต่ละคนมีความอ่อนไหวและละเอียดอ่อนต่อสารเคมีหรือวัสดุวิทยาศาสตร์ไม่เท่ากัน คนส่วนใหญ่อาจจะไม่แพ้ ฉีดหลายๆ ครั้งก็ไม่เป็นไร แต่บางคนฉีดเพียงเล็กน้อยก็อาจสร้างปัญหาใหญ่หลวงได้   สวยอย่างฉลาด - รับบริการจากแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังโดยตรง- ควรจะรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่แพทย์เลือกฉีดให้คืออะไร ชื่ออะไร และมีอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับเราเป็นอย่างไร- ควรจะข้อดูฉลากที่ขวดยาว่า เป็นชนิดที่ผ่านการรับรองจากอย.หรือไม่- ควรจะปรึกษาแพทย์ที่ให้บริการถึงผลคาดหวังที่จะได้รับ ว่าเราคาดหวังอย่างไร และแพทย์ผู้ให้บริการคาดหวังอย่างไร ตรงกันหรือไม่ เช่น ร่องแก้มที่ลึกมาก ควรฉีดสารมากน้อยเท่าไหร่ หรือให้ผลนานกี่เดือน รวมถึงราคาที่ตกลงกันในปริมาณของสารเติมเต็มที่ฉีด- ควรรู้ว่า สารเติมเต็มที่อย.รับรองให้ใช้นี้ เป็นผลที่ได้จากการศึกษาทดลองจากการศึกษาทางคลินิกบนผิวหน้า ส่วนการฉีดซ้ำหลายๆ ครั้งหรือบ่อยๆ ทุกๆ ระยะเวลาเมื่อสารเสื่อมสภาพนั้น ยังไม่ได้ผ่านการประเมินความปลอดภัย- ปัญหาที่เกิดขึ้นจากขั้นตอนการใช้สารเติมเต็มจะไม่ได้อยู่ครอบคลุมอยู่ในเงื่อนไขของการประกันสุขภาพ- ความปลอดภัยที่จะใช้ในคนท้องหรือหญิงที่อยู่ระหว่างให้นมบุตร และผู้รับบริการที่มีอายุต่ำกว่า 18 ยังไม่มีข้อมูล   เอกสารอ้างอิง1. http://www.fda.gov/MedicalDevices/ProductsandMedicalProcedures/CosmeticDevices/WrinkleFillers/default.htm2. http://www.wisegeek.com/what-is-a-wrinkle-filller.htm

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 118 เลเซอร์กับรอยเหี่ยวย่น

เลเซอร์กับรอยเหี่ยวย่น การลดริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วยแสงเลเซอร์ เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์โดยใช้พลังแสงเลเซอร์ในการลอกเซลล์ผิวหนังชั้นบนสุดที่มีปัญหาออกไป เพื่อต้องการเผยให้เห็นชั้นผิวใหม่ที่ขาวและสดใส ในขณะเดียวกันพลังแสงเลเซอร์สามารถให้ความร้อนแทรกลึกลงไปในผิวหนังชั้นล่างเพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้มากขึ้นทำให้ผิวหนังเต่งตึงภายหลังจากการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ช่วงคลื่นที่แตกต่างกันของแสงเลเซอร์จะถูกดูดซับโดยเซลล์เป้าหมายต่างชนิดกันของผิวหนังช่วงคลื่นที่จำเพาะต่อเซลล์เป้าหมาย จึงไม่มีผลต่อเซลล์ข้างเคียงหรือมีน้อยมาก แสงเลเซอร์สามารถเผาให้น้ำร้อน เผาเม็ดสีของผิวหนังให้ไหม้และหลุดลอกออกไป ศัลยกรรมที่ใช้เลเซอร์ก็เช่นกัน สามารถใช้ลำแสงผ่าตัดเนื้อเยื่อได้ ดังนั้นแสงเลเซอร์จึงใช้ในการรักษาปัญหาผิวหนังมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับเป็นการทำเบบี้เฟซ ที่นิยมกันมากในปัจจุบันเลเซอร์ ที่นำมาใช้ในการรักษาโรคทางผิวหนังมีหลายชนิด   ชนิดที่นำมาใช้ในการลอกผิวหน้าลดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ไม่ลึกมากนัก เช่น คาร์บอนด์ไดออกไซด์เลเซอร์ (carbondioxide laser) เมื่อ แสงเลเซอร์กระทบเซลล์ผิวหนัง น้ำซึ่งอยู่ภายในเซลล์จะเป็นเป้าหมายที่รับพลังงานแสงไว้ และจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานที่ได้รับเป็นความร้อน พลังงานที่เหมาะสมจะทำให้น้ำในเซลล์ระเหย และทำให้มีการหลุดลอกของเซลล์ออกไป โดยไม่มีผลต่อเซลล์ข้างเคียง หรือมีน้อยมาก     การใช้ เลเซอร์ ในการลอกผิวหน้า มีข้อดี "กว่า" การลอกหน้าโดยใช้วิธีอื่น คือ สามารถควบคุมความลึกของ การลอกผิว ได้ดี เนื่องจากมีการพัฒนาเครื่องเลเซอร์ ให้สามารถปล่อย พลังงานสูงๆ ในระยะเวลาสั้นๆ (Ultrapulse) และยังมีการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสแกนเนอร์ในการควบคุมการปล่อยลำแสงเลเซอร์ทำให้เซลล์ผิวหนังหลุดลอกเพียงชั้นตื้นๆ   นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในชั้นหนังแท้ คือเนื้อเยื่อคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพิ่มปริมาณขึ้น และมีการเรียงตัวที่เป็นระเบียบมากขึ้น มีผลทำให้ผิวหนังเต่งตึงและกระชับการลอกผิวหน้าโดยใช้ แสงเลเซอร์ ใช้รักษาอะไรได้บ้าง   - รักษา ริ้วรอยย่น บนใบหน้า (wrinkle) -รักษาผิวหนังย่นบริเวณใต้ตา ช่วยให้กระชับขึ้น - ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง ผิวใหม่ที่สร้างขึ้นมาทดแทน จะแน่นกระชับขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ - ตบแต่ง แผลเป็น จากสิว  และ จากสาเหตุอื่น อาการข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้   1. อาการร่วมทั่วไประยะแรกเริ่ม : ทันทีภายหลังจากการทำเลเซอร์ จะรู้สึกคล้ายแดดเผาอ่อนๆ ที่ผิวหนัง อาจมีอาการคัน แสบร้อนในระยะ 72 ชั่วโมงแรก แพทย์ผู้ทำการรักษามักจะแนะนำให้ปกป้องผิวหนังให้ชุ่มชื้นด้วยครีมบำรุงผิวหรือขี้ผึ้ง อย่างน้อย 10 วัน  2. อาการบวมบริเวณผิวหนังที่ทำการรักษา พบได้เป็นภาวะปกติประมาณ 2-3 เดือน   3. ผิวแดงบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งมักจะค่อยๆ จางหายไปในระยะเวลา 2-3 เดือน สามารถปกปิดได้ด้วยการทาครีมรองพื้นแต่งหน้าได้ 4. สีผิวคล้ำขึ้น (hyperpigmentation) พบได้บ่อยมากในคนที่มีสีผิวคล้ำอยู่แล้ว แต่ในคนที่สีผิวขาวบางรายก็พบว่ามีสีผิวคล้ำได้เช่นกัน โดยทั่วไปสีที่คล้ำขึ้นจะจางลงได้ อาจใช้เวลาหลายเดือน แต่แพทย์สามารถให้ยาทาบางชนิดเพื่อช่วยลดการทำงานของเม็ดสี การเลี่ยงแสงแดด และใช้ ครีมกันแดดในวันที่ต้องออกไปกลางแดด จะช่วยให้ปัญหาของสีผิวคล้ำลดลง  5. การกำเริบของเชื้อเริม บริเวณแผล พบได้ในรายที่มีประวัติเคยมีการติดเชื้อเริมมาก่อน ถ้าบริเวณแผลมีอาการแดง หรือเป็นแผลถลอก ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อเริมได้  6. การอักเสบของแผลจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา ถ้าดูแลแผลถูกต้องจะพบปัญหานี้น้อยมาก แต่ถ้าเกิดขึ้น อาจทำให้มีแผลเป็นตามมาในภายหลัง  ถ้าพบว่าบริเวณแผลมีอาการแดง หรือคันผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์  7. การเกิดแผลเป็น มักพบในรายที่มีการอักเสบติดเชื้อของแผล จากการดูแลแผลไม่ถูกต้อง หรือในรายที่ได้ยารับประทานในกลุ่มกรดวิตามินเอมาก่อน ภายในเวลา 1 ปีก่อนการรักษา หรือในผู้รับการรักษาบางรายที่เกิดแผลเป็น หรือคีลอยด์ได้ง่าย   เอกสารอ้างอิงwww.livestrong.com

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 117 โบทอกซ์กับการลบเลือนริ้วรอย

  ศาสตร์และศิลป์ถูกนำมาใช้เพื่อชะลอความเหี่ยวย่นของผิวหนังบนใบหน้ามานานนับพันปี ใน 10 ปีที่ผ่านไป โบทอกซ์และสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ทั้งหลายได้รับความนิยมในธุรกิจความงามอย่างชนิดก้าวกระโดดเพื่อให้ผิวหน้าแลดูอ่อนวัย ลบเลือนริ้วรอยบนใบหน้าออกไปได้ทันใจเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง   รู้จักกับโบทอกซ์โบทอกซ์ (Botox) เป็นยาที่ผลิตจากโปรตีนที่สกัดจากแบคทีเรียมาทำให้บริสุทธิ์  มีฤทธิ์ยับยั้งการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ริ้วรอยย่นของผิวหนังจึงลดลง ทางการแพทย์มีการนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1970 เพื่อรักษาโรคกล้ามเนื้อหดเกร็ง ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ใช้เป็นยารักษาโรคในปี 1989 และใช้สำหรับลบริ้วรอยบนใบหน้าตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 โดยบริษัท Allergan Inc สหรัฐอเมริกา ในปัจจุบันมีหลายยี่ห้อผลิตออกมาจากประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศจีนซึ่งมีราคาถูก   ตัวยาจะอยู่ในรูปผงแห้ง บรรจุอยู่ในขวดสุญญากาศปราศจากเชื้อ เวลาใช้ แพทย์จะต้องละลายด้วยน้ำเกลือ 0.9%ก่อนฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการ ขนาดของยาจะถูกกำหนดตามความเหมาะสมของจำนวนริ้วรอยโดยแพทย์ที่ทำการรักษา แน่นอนจะต้องเจ็บเมื่อโดนเข็มฉีดยา โดยทั่วไปแพทย์จะทำการทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีก่อนฉีด สามารถกลับบ้านได้ทันทีภายหลังจากพักเพียง 30 ถึง 60 นาที ผู้ที่ผิวบอบบาง อาจเห็นจ้ำเขียวของเข็มฉีดยาได้บ้างแต่มักหายไปในไม่ช้า ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับฝีมือแพทย์   ระยะเวลาที่เริ่มเห็นผลของการลดเลือนริ้วรอย ประมาณ 2-7 วัน และฤทธิ์ยามักจะอยู่ได้ประมาณ 3-8 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละบุคคลที่ชอบแสดงออกทางสีหน้า ริ้วรอยบนหน้าผาก รอยตีนการอบดวงตาและหัวคิ้ว มักจะเป็นผิวหนังบริเวณที่แพทย์มักจะฉีดให้มากที่สุด ฤทธิ์ยาจะค่อยๆ หมดไปเอง และเมื่อต้องการก็ไปให้แพทย์ฉีดซ้ำ ซึ่งพบว่าผู้บริโภคที่เคยฉีดโบทอกซ์มักจะนิยมฉีดซ้ำ เพราะกลัวริ้วรอยแห่งวัย กลายเป็นเสพติดอย่างหนึ่งของสังคมไฮโซของทั้งหญิงและชาย   ราคาประมาณ 5000 ถึง 10000 บาทต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของยาที่ต้องใช้ฉีด  อาการข้างเคียงและอันตราย ไม่มีอันตรายถึงชีวิต  เมื่อใช้โดยผู้เชี่ยวชาญ ผลข้างเคียงส่วนมากที่เกิดขึ้นมักเป็นแบบเฉพาะที่ เช่น หนังตาตก  กลืนอาหารลำบาก  หน้าไม่สมมาตร  หรือจุดเลือดออกในบริเวณที่ฉีด  ซึ่งเกิดได้แม้ในมือผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นแพทย์ และผู้ทำการรักษาจึงควรคุยกันโดยละเอียดก่อนการฉีดทุกครั้ง   สารเติมเต็ม หรือ “ฟิลเลอร์  คืออะไร อายุที่มากขึ้นทุกปี ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นลดลง กล้ามเนื้อขาดความหนาแน่นรวมถึงสภาพชั้นไขมันใต้ผิวหนังเปลี่ยนไป ริ้วรอยจากรอยตื้นๆ กลายเป็นร่องหรือถุง เช่น แก้มหย่อนคล้อยหรือแก้มตก ร่องลึกใต้ขอบตาล่าง รอยบริเวณเหนือริมฝีปากและช่วงล่าง จมูกไม่ได้สัดส่วนตามที่เจ้าของต้องการ ร่องรอยที่กล่าวไปนั้นแพทย์สามารถช่วยโดยการฉีดสารที่เรียกกันทั่วไปว่า สารเติมเต็ม หรือ ฟิลเลอร์ (Filler) เข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังเพื่อลดเลือนร่องรอยแห่งวัยให้เบาบางลง สารเติมเต็มได้เริ่มต้นพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 โดยใช้คอลลาเจนสกัดจากวัว ต่อมามีการพัฒนาโดยใช้คอลลาเจนสกัดจากคนและจากหมูเพื่อลดปัญหาภูมิแพ้จากวัว ปัจจุบัน 85% ของสารเติมเต็มในท้องตลาดจะพัฒนาโดยใช้สาร ไฮยาลูโรนิคแอซิด หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ไฮยาลูโรแนน มีทั้งพัฒนาจากเนื้อเยื่อของสัตว์และจากสารสังเคราะห์ มีคุณสมบัติที่คงตัว ไม่ทำปฏิกิริยาต่อเซลล์ผิวหนัง มีอายุยาว และมีประสิทธิภาพเต็มเติมได้ดี ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดที่ใช้ฉีดมีมากมาย แตกต่างกันที่เปอร์เซ็นต์ความเข้มข้น ขนาดอนุภาคและน้ำหนักโมเลกุลของสาร หากฉีดที่ความเข้มข้นสูง อนุภาคใหญ่ จะเติมเต็มร่องลึกได้ดี สามารถต้านการย่อยสลายได้ดี ทำให้อยู่ทนนานขึ้น อย่างไรก็ตามพบว่า สารเติมเต็มที่มีประสิทธิภาพอยู่ได้นานหรือชนิดถาวร  มักจะก่อให้เกิดปัญหาไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อย สารเติมเต็มใต้ผิวหนังชนิดถาวรมักจะปรากฏเป็นก้อนนูนให้เห็นชัดคล้ายเนื้อนูนแข็งๆ ไม่น่าดูยิ่งนัก หลายคนอาจต้องไปพบแพทย์เพื่อผ่าออก   ระยะเวลาการออกฤทธิ์  คอลลาเจนจากวัว หมู หรือจากคน จะมีฤทธิ์ 2-6 เดือน ไฮยาลูโรแนน ที่มีอนุภาคเล็ก มักจะมีประสิทธิภาพอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ส่วนอนุภาคใหญ่จะอยู่ได้นานขึ้นเป็น 18-24 เดือน ราคาประมาณ 10000 ถึง 30000 บาทขึ้นอยู่กับชนิดของสารเติมเต็มที่เลือกใช้   ข้อควรรู้เพื่อใช้ในการตัดสินใจ ในการเข้ารับบริการ1. ผู้ให้บริการ ขั้นต่ำต้องเป็นแพทย์ (Medical Doctor) และควรเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง หรือ อาจเรียกสั้นๆ ว่าแพทย์ผิวหนัง 2. เครื่องมือ วิธีการ หรือสารที่ใช้ร่วมกับหัตถการ ผ่านมาตรฐานทางวิชาการและความปลอดภัยของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จากกระทรวงสาธารณสุข3. ผู้รับบริการ ควรศึกษาหาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวแพทย์ผู้ทำหัตถการและเครื่องมือหรือสารที่จะฉีดดังกล่าวว่ามีผลข้างเคียงมากน้อยเพียงไร รับคำปรึกษาและแนะนำก่อนเข้ารับการรักษาจากแพทย์ เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นขณะรักษาและหลังรักษาได้4. ควรทำการถ่ายรูปใบหน้าก่อนทำการรักษาและภายหลังจากที่ได้ให้แพทย์ฉีดสารแล้ว เพื่อเป็นหลักฐานในการรักษา เอกสารอ้างอิง Zachary J. Berbos and William J. Lipham. Update on botulinum toxin and dermal fillers. Current Opinion in Opgthalmology 2010, 21: 387-395.  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 112-113 ลดริ้วรอยอย่างทันใจด้วยสาร ‘ไฮยาลูโรนิคแอซิด’ ?

ลดริ้วรอยอย่างทันใจด้วยสาร ‘ไฮยาลูโรนิคแอซิด’ ?รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล ริ้วรอยแห่งวัยบนหน้าผาก ตีนการอบดวงตา ร่องลึกข้างแก้ม เหล่านี้บ่งบอกถึงวัยที่ล่วงเลย แม้จะเป็นข้อเท็จจริงแต่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่อยากให้เกิดขึ้น หรือพยายามหาหนทางแก้ไขเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ปัจจุบันวิทยาการทางแพทย์ผิวหนังมีบริการมากมาย ส่วนใหญ่เอาใจคนใจร้อนต้องการสวยทันทีทันใจ ที่นิยมกันมากคือ การฉีดโบทอกส์เข้าไปตามผิวหนังที่มีริ้วรอยเพื่อเติมเต็มร่องลึกบนใบหน้า สารชนิดนี้ทำหน้าที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน ทำให้ร่องลึกหรือริ้วรอยลึกๆ จางลงชั่วคราว แต่ต้องฉีดหลายเข็มเข้าบริเวณที่ต้องการและจะมีผลเพียง 4-6 เดือน ก็ต้องกลับไปให้แพทย์ฉีดใหม่   โอกาสแพ้และเกิดอาการข้างเคียงก็มีอยู่ ค่าใช้จ่ายแต่ละครั้งก็สูงมาก สารอื่น เช่น คอลลาเจนหรือซิลิโคน ก็มีการนำมาเป็นสารเติมเต็มผิวหนังเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอย แต่มักจะให้ผลเสียในระยะยาว ทำให้เกิดเป็นไตแข็ง หรือเนื้อนูนบริเวณที่ฉีด เนื่องจากการสะสมของสารเหล่านี้ที่ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนัง ปัจจุบันจึงไม่นิยมฉีดสารดังกล่าวเข้าใต้ผิวหนัง ไฮยาลูโรแนน หรือ ไฮยาลูโรนิคแอซิดสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเจ็บตัว กลัวเข็มฉีดยาและมีเงินน้อย ก็สามารถสวยรวดเร็วทันใจได้อย่างปลอดภัยด้วยเครื่องสำอางที่มีองค์ประกอบของ ‘ไฮยารูโรนิคแอซิด’ สารชนิดนี้มีอยู่ในร่างกายของเราโดยธรรมชาติ กระจายอยู่ทั่วไปในทุกเนื้อเยื่อ เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระดูกอ่อนตามข้อต่อทั่วร่างกาย ทำหน้าที่เป็นสารหล่อลื่นไม่ให้กระดูกเสียดสีกัน นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์พบว่าสารชนิดนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับพัฒนาการของสมอง เป็นองค์ประกอบสำคัญของผิวหนัง มีปริมาณมากในเนื้อเยื่อภายนอกเซลล์ใต้ผิวหนัง มีหน้าที่สำคัญมากมายต่อผิวหนัง ทำหน้าที่โอบอุ้มเซลล์ผิวหนังให้ชุ่มชื้น สนับสนุนการแบ่งเซลล์และการกระจายของเซลล์ผิวหนังเพื่อแทนที่เซลล์ผิวที่ถูกขจัดทิ้งโดยการหลุดลอกออกทุกวัน ทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระในชั้นผิวหนัง ไฮยาลูโรนิคแอซิดยังเกี่ยวข้องกับขบวนการซ่อมแซมผิวหนังและการสมานแผลอีกด้วย โดยพบว่าเมื่อผิวหนังคนเราได้รับบาดเจ็บหรืออักเสบ เนื้อเยื่อบริเวณที่บาดเจ็บจะมีการสะสมของสารชนิดนี้สูงเพื่อเร่งอัตราการขจัดเซลล์ผิวที่มีปัญหาออกและเร่งการสร้างเซลล์ใหม่เข้าแทนที่ เนื่องจากสารไฮยาลูโรนิคแอซิด มีน้ำหนักโมเลกุลสูงมากเป็นล้าน ทำให้มีประสิทธิภาพในการอุ้มน้ำได้มากและรวดเร็ว ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นและเต่งตึง เมื่อคนเราอายุมากขึ้น ปริมาณไฮยาลูโรนิคแอซิดลดน้อยลงทำให้ผิวหนังเริ่มแห้งเหี่ยว เนื่องจากคุณสมบัติมากมายตามที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ได้คิดค้นการเติมเต็มชั้นใต้ผิวหนังด้วยสารไฮยาลูโรนิคแอซิด เพื่อทดแทนปริมาณที่ลดน้อยลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น สารที่นำมาใช้ในวงการเครื่องสำอาง สังเคราะห์มาจากขบวนการไบโอเทคโนโลยีจากแบคทีเรีย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ยอมรับให้มีการใช้สารชนิดนี้เป็นสารเติมเต็มใต้ผิวหนังเพื่อลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเสียเงินมากและไม่ต้องการเจ็บตัวด้วยเข็มฉีดยา สารชนิดนี้ได้ถูกนำมาเป็นองค์ประกอบสำคัญในเครื่องสำอางทาผิวหนังทั่วไป จะพบว่าเพียงทาผิวหนังด้วยครีมที่มีสารไฮยาลูโรแนน ผิวหนังจะชุ่มชื้นและเต่งตึงขึ้นอย่างรวดเร็วทันใจเพียงไม่กี่นาที กลไกสำคัญอยู่ที่สารดังกล่าวจะทำหน้าที่แทรกเข้าสู่ช่องว่างของผิวหนัง ทำหน้าที่อุ้มน้ำได้มากมายกลายเป็นไฮโดรเจลในชั้นผิวหนัง ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนังชุ่มชื้นมีความยืดหยุ่นกลับคืนมา จึงทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นสารเติมเต็มช่องว่างใต้ผิวหนัง เป็นผลทำให้ร่องลึกและริ้วรอยบนใบหน้าลดเลือนลง ปัจจุบันมีการสังเคราะห์สารไฮยาลูโรนิคแอซิดออกมาให้มีขนาดของโมเลกุลที่เล็กลง คือ โซเดียมไฮยาลูโรเนท (Sodium Hyaluronate) เพื่อให้แทรกซึมเข้าชั้นใต้ผิวหนังได้มากขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องสำอางเห็นผลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ประโยชน์ในทางเครื่องสำอางแม้ว่าจะเป็นการทำให้ผิวหนังชุ่มชื้นอย่างรวดเร็วและลดเลือนริ้วรอยร่องลึกเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ก็ทาได้บ่อยเท่าที่ต้องการ ที่สำคัญการที่ผิวหนังมีความชุ่มชื้นเต่งตึง จะช่วยป้องกันผิวหนังจากสิ่งแวดล้อมที่เสียหายได้อีกด้วย และไม่ต้องอาศัยมือแพทย์ในการฉีดด้วยเข็มฉีดยา ไม่เจ็บตัวและไม่ต้องเสียเงินมากแม้ว่าเครื่องสำอางประเภทนี้จะมีราคาสูงกว่าครีมบำรุงผิวทั่วไปก็ตาม อาการข้างเคียงเนื่องจากเป็นสารที่มีอยู่ทั่วร่างกาย จึงมีโอกาสพบอาการข้างเคียงน้อยมากยกเว้นในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย แนะนำให้ผู้บริโภคทดลองทาผิวหนังบริเวณคอเพียงเล็กน้อย ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีเพื่อดูว่าเกิดอาการแพ้หรือไม่ ถ้าไม่มีอาการผื่นแดงหรือคัน แสดงว่าไม่แพ้ แต่ถ้ามีอาการแพ้ ควรหยุดใช้เพราะอาจแพ้สารเคมีชนิดใดชนิดหนึ่งในเครื่องสำอางได้ เช่น สารกันเสีย และน้ำหอม

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 96 อมิโน เปปไทด์ คืออะไร ลดริ้วรอยได้จริงหรือ?

สวยอย่างฉลาดรศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล : คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดลpypph@hotmail.com เครื่องสำอางหรือเวชสำอาง ถูกออกแบบมาเพื่อบำรุงและปกปิดข้อบกพร่องของผิวหนังโดยกลไกต่างๆ สินค้าเครื่องสำอางไม่ได้ถูกทดสอบและรับรองโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สินค้าส่วนใหญ่ได้รับการวิจัยและพัฒนาขึ้นจากหลักการทางทฤษฏีของสารสำคัญที่มีคุณประโยชน์ต่อผิวหนัง การศึกษาวิจัยมักจะทำในหลอดทดลอง อะมิโน แอซิด เปปไทด์ ที่กำลังฮือฮากันก็เช่นเดียวกัน นับเป็นสารใหม่ล่าสุดในวงการเครื่องสำอาง ที่เป็นความหวังใหม่ในการช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าโดยไม่ต้องอาศัยการฉีดยาหรือการทำศัลยกรรม อมิโน เปปไทด์ คืออะไรเปปไทด์ คือโมเลกุลของโปรตีนอะมิโน แอซิด หลายๆ โมเลกุลมาเกาะกันเป็นสายโซ่สั้นๆ มีการนำมาผสมผสานลงในสูตรตำรับของเครื่องสำอาง เช่น ครีมรอบดวงตา ครีมบำรุงผิวหน้าและลำคอ เป็นต้น เนื่องจากมีข้อมูลจากการศึกษาวิจัยว่า เปปไทด์เหล่านี้สามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังชั้นที่ลึกลงไปได้ ช่วยกระตุ้นการสมานแผล ยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า เช่น หน้าผาก รอบดวงตา และร่องแก้ม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรายงานผลของเปปไทด์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนพร้อมๆ กับการยับยั้งการทำลายคอลลาเจนอีกด้วย ผลการศึกษาเหล่านี้ทำให้เชื่อได้ว่า อะมิโน เปปไทด์ จะให้ประโยชน์ในการลดเลือนริ้วรอย ทำให้ร่องลึกของริ้วรอยรอบใบหน้าน้อยลงหรือจางลงพร้อมๆ กับการป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ ผิวหนังเต่งตึงขึ้นจากการสร้างคอลลาเจนใหม่อีกด้วย ผลการลดริ้วรอยได้ผลประมาณ 16-27% หากใช้อย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมเครื่องสำอางมีความหวังว่า อะมิโน เปปไทด์ น่าจะนำมาใช้ทดแทนการทำศัลยกรรม เลเซอร์ หรือการฉีดสารโบทอกส์หรือสารคอลลาเจนเข้าใต้ผิวหนังโดยแพทย์ผิวหนัง เพื่อวัตถุประสงค์ของการลดริ้วรอย สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการหรือกลัวเข็มฉีดยา ลดริ้วรอยได้จริงหรือ?เปปไทด์ ในเครื่องสำอางนับเป็นของใหม่ล่าสุดในวงการเครื่องสำอางสำหรับชะลอริ้วรอยแห่งวัย การศึกษาวิจัยส่วนใหญ่เป็นการวิจัยในหลอดทดลอง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่าผลการศึกษาที่ได้จากหลอดทดลอง อาจจะไม่ได้ผลในการวิจัยในสัตว์ทดลอง และอาจใช้ไม่ได้ผลในคน เนื่องจากสารสำคัญที่ออกฤทธิ์จำเป็นต้องถูกนำส่งไปยังเป้าหมายคือผิวหนังชั้นล่าง อะมิโน เปปไทด์ ก็เช่นกัน การจะให้ประสิทธิผลเนื้อครีมที่ผสมสารอะมิโน เปปไทด์ ต้องมีประสิทธิภาพในการปลดปล่อยสารอะมิโน เปปไทด์ ออกจากเนื้อครีม และนำส่งไปยังเป้าหมายที่ออกฤทธิ์คือ ผิวหนังชั้นล่างหรือชั้นหนังแท้ ดังนั้นประโยชน์ของ อะมิโน เปปไทด์ จึงยังเป็นที่สงสัย เพราะสารที่จะเดินทางลึกลงไปยังผิวหนังชั้นล่างได้จะต้องอยู่ในสภาพที่มีความคงตัว จะต้องไม่ถูกย่อยสลายระหว่างการเดินทาง ความปลอดภัยผลการศึกษาในระยะสั้นยังไม่พบอาการข้างเคียงแต่อย่างไร แต่การใช้สะสมในระยะยาว มีผลข้างเคียงอย่างไรยังไม่มีรายงาน มีเพียงข้อบ่งชี้ว่าไม่ควรใช้ในความเข้มข้นสูงเกิน 10 % เพราะอาจจะทำให้กล้ามเนื้อและผิวหนังย่นเป็นถุงได้ ข้อแนะนำการใช้เครื่องสำอางให้ได้ผลผู้บริโภคยังไม่ควรตื่นเต้นกับสินค้าใหม่เหล่านี้ เพราะที่ผ่านมาสินค้าเครื่องสำอางเปรียบเสมือนแฟชั่น ที่ผู้ผลิตพยายามค้นหาสิ่งใหม่ๆ มาดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคเท่านั้น 1.ควรทำความสะอาดผิวหน้า และบำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุงผิวทุกครั้งเพื่อปกป้องผิวหน้าไม่ให้ผิวแห้ง นี่คือเคล็ดลับสำคัญของการป้องกันการเกิดริ้วรอย (ควรป้องกันง่ายกว่าเป็นแล้วมาแก้ไข)2.ในเวลากลางวันอาจจำเป็นต้องทาครีมกันแสงแดดทับ เพื่อไม่ให้รังสียูวีทำลายเซลล์ผิว3.ในเวลากลางคืน ไม่ว่าจะนอนในห้องปรับอากาศหรือโชยพัดลม ก็ควรทาครีมบำรุงผิวหน้าก่อนนอนเช่นกัน โดยวัตถุประสงค์คือป้องกันไม่ให้ผิวหน้าแห้ง เพราะถ้าผิวหนังแห้ง จะตามมาด้วยความเหี่ยวย่น เฉกเช่นใบไม้ต้นไม้ที่ขาดน้ำขาดปุ๋ยนั่นเอง4.ครีมบำรุงผิว อาจจะผสมสารอาหารต่างๆ เช่น วิตามินอี วิตามินซี อะโรเวร่า กรดผลไม้ หรือ อะมิโน เปปไทด์ ก็สามารถทดลองดูได้ด้วยตนเอง แต่ที่สำคัญการบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอจะเห็นผลดีแม้ว่าจะเป็นเพียงครีมบำรุงผิวผสมวิตามินธรรมดาที่คุ้นเคยตั้งแต่อดีตก็ตาม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 146 ส้มป่อย ของดีปีใหม่ไทย

  พูดกันจริงๆ ประเพณีสงกรานต์ไม่ได้มีแค่เมืองไทย พี่น้องร่วมอนุภูมิภาคทั้งเขมร ลาว ไปจนถึงจีนตอนใต้ในสิบสองปันนา ต่างร่วมสาดน้ำดับร้อนเพื่อรับขวัญปีใหม่ด้วยกันทั้งสิ้น  และไม่น่าเชื่อว่าสมุนไพรชื่อ ส้มป่อย น่าจะได้เรียกชื่อสมุนไพรทางวัฒนธรรม ที่ให้คุณค่าทางจิตใจและสรรพคุณทางยา ที่นำมาใช้ในเทศกาลสำคัญเช่นนี้ด้วย จากโบราณจนยุค 3G ส้มป่อยกับสงกรานต์ยังคงคู่กัน และเหมือนภูมิปัญญาดั้งเดิมช่างชาญฉลาด ท่านแนะนำให้เก็บฝักส้มป่อยในเดือนห้า โบราณอาจโยงถึงความขลังและศักดิ์สิทธิ์ แต่ในมุมเภสัชของยาไทย เดือนแล้งแบบนี้ฝักส้มป่อยกำลังแก่จัด สรรพคุณทางยาเจ๋ง ! ดังนั้น วิธีที่สืบทอดมาให้นำฝักแก่ปิ้งไฟอ่อนๆ พอสุก มีกลิ่นหอมกอมเปรี้ยวๆ  แล้วนำมาหักเป็นชิ้นเล็กๆ สามารถนำมาต้มเป็นยาหรือมาแช่น้ำ จะได้น้ำส้มป่อยสีเหลืองอ่อน เพื่อประกอบพิธีกรรม โดยเฉพาะที่รดน้ำดำหัวในประเพณีมหาสงกรานต์นั่นเอง   หลายคนนึกไม่ออกมาส้มป่อยหน้าตาเป็นอย่างไร นึกว่าคือ “ส้ม” พันธุ์ใหม่มาจากจีนหรือ? ไม่ใช่แน่นอน ส้มป่อยมีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Acacia concinna (Willd.) D.C. เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย  มีหนามตามลำต้น กิ่ง ก้านและใบ  ลักษณะใบมองแล้วคล้ายขนนกสองชั้น เรียงสลับ ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ เป็นช่อกลม กลีบดอกเป็นหลอด สีนวล ผลเป็นฝัก สีน้ำตาลดำ ผิวย่นขรุขระ ส้มป่อยเป็นพืชที่นำมาใช้ได้ทุกส่วน ตั้งแต่ต้น ใบ ดอก ผล ราก ฝัก เมล็ด และเหมือนธรรมชาติจัดสรร เมื่อฝักส้มป่อยแก่จัดในฤดูร้อน จึงเหมาะมากที่นำมาใช้ประโยชน์ในหน้าร้อนๆ แบบนี้ คือ นำมาใช้อาบน้ำได้ดียิ่งกว่าเข้าร้านสปาห้าดาว เพราะกลิ่นหอมเจือเปรี้ยวของส้มป่อยนั้น นอกจากเป็นอะโรม่าให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกคลายเครียดแล้ว ส้มป่อยยังมีสรรพคุณชะล้างผิวพรรณให้สะอาด และช่วยแก้โรคผิวหนัง ผดผื่นคัน ที่ชอบเป็นกันในหน้าร้อน เพราะเหงื่อไหลไคลย้อยได้ง่ายจึงเป็นที่หมักหมมของแบคทีเรียได้ง่าย   ยิ่งกว่านั้นในวัฒนธรรมพื้นบ้านมีการนำเอาฝักส้มป่อยมาต้มบ้าง มาแช่น้ำบ้าง แล้วตีๆกับน้ำจะเกิดฟองแบบธรรมชาติ และน้ำส้มป่อยนี้เอง สาวๆ หนุ่มๆ ที่รักสวยรักงามนำมาใช้เป็นน้ำยาสระผมแก้อาการคันศีรษะ และแก้รังแกได้ดี ที่เป็นแบบนี้นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่อธิบายได้ว่า ฝักส้มป่อยยังมีสารพวกซาโปนิน (saponins) สารซาโปนินในฝักส้มป่อย เขาศึกษาพบว่าช่วยกระตุ้นให้ทีเซลล์ (T cells) ทำงานได้ดี ทีเซลล์มีส่วนช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันดีขึ้น   แต่ถ้าพี่น้องไทยเจอแดดจัด ทำให้มีอาการหวัดแดด มีเสมหะไอ ก็ขอแนะนำฝักส้มป่อยแก่จัดสัก 2 ฝัก มาปิ้งไฟพอหอม แล้วหักหรือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ  รินน้ำเดือดลงไป 1 แก้ว ทิ้งไว้สักครู่จนน้ำชาส้มป่อยออกเป็นสีเหลืองมีกลิ่นหอมอมเปรี้ยว นำมาจิบบ่อยๆ แก้ไอ ขับเสมหะ และแก้น้ำลายเหนียวคอได้เลย   จบท้ายแบบความภูมิปัญญาท้องถิ่น เชื่อว่าวันมหาสงกรานต์จะต้องมีพิธีกรรมที่สำคัญเพราะเชื่อว่าวันนั้นเป็นวันที่เศียรของท้าวกบิลพรหมจะขาดตกลงมาสู่พื้นพิภพ จึงต้องป้องกันเหตุร้ายและอัปมงคล โดยมีพิธีรดน้ำดำหัว เพื่อปัดเป่าสิ่งร้ายให้กลายเป็นดี ซึ่งสมุนไพรที่ขาดไม่ได้ คือ “ฝักส้มป่อย” นั้นเอง.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 126 สเตียรอยด์ในยาสมุนไพร “เยอะ”

  ในระหว่างปี 2548 – 2552 ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม ได้ตรวจวิเคราะห์ยาแผนโบราณ เพื่อเฝ้าระวังการปลอมปนสารสเตียรอยด์ พบว่ายาแผนโบราณจำนวน 626 ตัวอย่าง มีสเตียรอยด์ปลอมปนอยู่ถึง 136 ตัวอย่าง และเมื่อได้นำยาที่เหลือมากพอมาทดสอบหา “ปริมาณ” สารสเตียรอยด์ที่ปลอมปน ปรากฏว่าพบข้อมูลที่น่าตกใจ เพราะสารสเตียรอยด์ที่ปลอมปนอยู่นั้น มีปริมาณที่ค่อนข้างสูงมาก จนอาจเสี่ยงทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ และที่น่าทึ่งคือ บางชนิดแม้เป็นยี่ห้อเดียวกัน แต่กลับพบปริมาณสารสเตียรอยด์ปนอยู่ในปริมาณที่ไม่เท่ากันหรือพบการผสมสเตียรอยด์ต่างชนิดกัน  ดังข้อมูลในตัวอย่างต่อไปนี้   ยาผงสีน้ำตาลเหลือง ไม่ระบุชื่อ  จำนวน 3 ตัวอย่าง ตรวจพบว่ายานี้ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มี Dexamethasone (สารสเตียรอยด์) ผสมอยู่ในปริมาณตั้งแต่ 1 เม็ดครึ่ง ถึง 5 เม็ด และบางตัวอย่างยังพบ สเตียรอยด์ผสมถึง 2 ชนิด  คือผสมทั้ง Dexamethasone และ Prednisolone  ดังนั้นหากคิดง่ายๆ ว่า รับประทานยานี้วันละ 1 ช้อนโต๊ะ หลังอาหาร 3 มื้อ เราจะมีโอกาสได้รับ Dexamethasone  ถึง 15 เม็ดต่อวัน   ยาผงสีน้ำตาล ฉลากระบุชื่อ “ยาสมุนไพรไทย” จำนวน 8 ตัวอย่าง ตรวจพบว่ายานี้ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มี Dexamethasone  ผสมอยู่ในปริมาณตั้งแต่ ครึ่งเม็ด ถึง  3 เม็ด บางตัวอย่างยังพบว่ามี Prednisolone ผสมอยู่ด้วย โดยพบในปริมาณเทียบเท่ากับยาเม็ด  Prednisolone จำนวนครึ่งเม็ด  และบางตัวอย่างพบการผสมสเตียรอยด์ร่วมกันทั้ง  2 ชนิด   ยาเม็ดสีน้ำตาลแดง ฉลากระบุชื่อ “ยาสมุนไพรตามแนวทางโครงการพระราชดำริ” ซึ่งฉลากระบุ ให้รับประทาน 1 เม็ด หลังอาหาร ตรวจพบว่ายาชนิดนี้ 1 เม็ด มีปริมาณ Prednisolone ผสมอยู่ เทียบเท่ากับยาเม็ด Prednisolone 4 เม็ด   ดังนั้นหากเรารับประทานยานี้หลังอาหาร 3 มื้อ จะมีโอกาสได้รับ Prednisolone ถึง 12 เม็ดต่อวัน ยาจากสมุนไพร ฉลากระบุชื่อ “ยากษัยเส้นตราเทียนทองคู่” ระบุ รับประทานวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ ตรวจพบว่า ในยา 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณ Dexamethasone  ผสมอยู่ เทียบเท่ายาเม็ด จำนวนครึ่งเม็ด ถึง 1 เม็ด และหากรับประทานวันละ 3 ครั้งตามที่ระบุบนฉลาก  เราจะได้รับ Dexamethasone ถึง 6 เม็ดต่อวัน (ยา Dexamethasone ชนิดเม็ดเท่ากับ 0.5 mg , ยา Prednisoloneชนิดเม็ดเท่ากับ 5 mg) จากการสอบถามผู้บริโภค ส่วนใหญ่ผู้ที่บริโภคยาเหล่านี้ มักจะรับประทานยาดังกล่าวเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน หมายความว่า ร่างกายจะได้รับสารสเตียรอยด์ติดต่อกันในปริมาณสูงจนอาจเป็นอันตรายได้  ขอแนะนำว่าหากเราเจอยาแผนโบราณ ที่ไม่มีทะเบียนยา ไม่มีรายละเอียดบนฉลาก หรือเป็นยาที่รับประทานแล้วอาการป่วยหายอย่างรวดเร็วจนผิดสังเกต ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขตรวจสอบโดยด่วน เพื่อป้องกันอันตรายนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 102 จะผอมสวย ก็ต้องพร้อมเสี่ยงกันเลยหรือ

เรื่องเล่าเฝ้าระวังภก.ภาณุโชติ ทองยัง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม ความสวยความงามเป็นสุดยอดปรารถนาของผู้หญิงส่วนใหญ่ และก็ไม่รู้ใครไปดลใจ เป่าหูคุณผู้หญิงมาตลอดว่า ถ้าจะสวยแล้ว ผู้หญิงจะต้องผอม ทำให้กระแสสวยต้องผอมจึงอยู่ยั้งยืนยาวมาตลอด แต่ใดๆ ล้วนอนิจจัง เพราะขณะที่ “ใจอยากผอมแต่ปากอยากผาย” หันไปทางไหนก็ล้วนมีสิ่งล่อตาล่อใจให้อ้าปากเขมือบอยู่เรื่อยๆ จนแล้วจนรอดมันก็เลยไม่ผอมสักที ด้วยเหตุนี้ ผลิตภัณฑ์ประเภท “สนองปากอย่าง ใจอย่าง” จึงบังเกิดขึ้นและขายได้ดีมาโดยตลอด ล่าสุดนี้มีผลิตภัณฑ์ที่กำลังเป็นที่นิยมของชาวบ้าน มีวางขายตามที่ต่างๆ ผมได้ตัวอย่างมาจากน้องคนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่าได้ผลิตภัณฑ์นี้จากร้านที่ขายยาประเภทขายส่ง แถวๆ บางประกอก ราคากระปุกละ 180 บาทมี60 เม็ด (ตกเม็ดละ 3 บาท) ตอนซื้อมา เธอเห็นฉลากมันโชว์รูปเอวคอดกิ่ว เย้ายวนว่าน่าจะผอม เธอเพ่งดูส่วนประกอบที่แม้ไม่รู้ว่ามันคืออะไร (เช่น L-Carnitine , โครเมียม, ถั่วขาว , แคปซิคั่ม ,สัมแขก , CLA , มะข้ามป้อม , ตะบองเพชร) เธอก็คิด (เอาเองว่า) ไม่น่าจะเป็นอันตราย ฉลากเขาบอกว่าให้รับประทาน ครั้งละ 1-2 เม็ด ก่อนอาหารมื้อหนักประมาณ 10-20 นาที แถมมีคำเตือนด้วยว่า เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน ควรเก็บในที่ร่ม และให้พ้นแสงแดด แต่สังเกตดูแล้วฉลากไม่มีชื่อที่อยู่ผู้ผลิต ไม่มีเลข อย.   สรุปว่าเธอก็ไม่รู้ว่ามันคือผลิตภัณฑ์ที่ผ่านอย.หรือไม่ ผลิตที่ไหนก็ไม่รู้ รู้ว่าแต่เป็นแคปซูลและกินไปแล้วเธอน่าจะผอมสวย เธอจึงตัดสินใจพร้อมเสี่ยง หวังว่าในไม่ช้าความผอมจะมาเยือน แต่....ชีวิตหาได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่อย่างใดไม่ พอเธอกินเข้าไปสักระยะหนึ่ง แม้น้ำหนักเธอจะลดลงบ้าง แต่เธอกลับมีอาการใจสั่นหวิว คอแห้ง ปากแห้ง(แม้ไม่อดอยาก) ท้องผูก ในที่สุดเธอกลัวว่างานนี้หากขืนดันทุรังพร้อมเสี่ยงกินต่อไปนอกจากน้ำหนักจะลดแล้ว บางที “อายุเธออาจจะลดสั้นลงไปด้วย” เธอจึงหยุดกินผลิตภัณฑ์ชนิดนี้แล้วนำมามอบให้ผมดู ผมดูลองเข้าไปค้นหาข้อมูลในเน็ต พบว่ามีประเด็นอีกว่า มีการปลอมผลิตภัณฑ์นี้ระบาดกันอีก (แสดงว่ามันฮิตจริงๆ) ในเว็ปที่เจอ เขาบอกว่า แอลคาร์นิทีน(L-Carnitine) เป็นชื่อกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ผลิตได้ที่ตับ ทำหน้าที่ช่วยทำให้เกิดการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นพลังงาน แถมยังโฆษณาประโยชน์ที่ได้รับจากสาร L-carnitine มากมาย เช่น เร่งการเผาผลาญไขมัน ลดความอ้วน ลดไขมันส่วนเกิน ดักจับไขมันสัตว์ คาร์โบไฮเดรต และแป้ง ฯลฯ สรุปง่ายๆ ว่ามีประโยชน์มากมาย แต่ไหงประโยชน์ที่ผู้ผลิตกลับไม่ยอมทำให้ถูกต้องตามกฎหมายคือ มายื่นขออนุญาตให้ถูกต้องล่ะครับ หรือมายื่นแล้วเขาไม่อนุญาตก็ไม่รู้ ยังไงใครเจอวางขายที่ไหน แจ้ง อย. หรือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ให้ไปตรวจเช็ค จัดระเบียบให้ถูกต้องตามกฎหมายเลยนะครับ สาวๆ ที่น่าทะนุถนอมจะได้ไม่ต้อง “ผอมสวยแบบพร้อมเสี่ยง” กันอีกต่อไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 129 ร่วมฝ่าวิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้ไปด้วยกัน

  “ผมว่าน้ำท่วมครั้งนี้ พวกเราใช้โอกาสเปลืองนะ เราพยายามกันน้ำทุกอย่าง กัน กัน และกันหมด กันจนน้ำไม่มีที่ไป แล้วน้ำในปริมาณเยอะก็เหมือนกับคอขวด ที่พยายามบีบให้ไปตามทางที่จำกัดไว้ แต่น้ำที่เห็นไม่ใช่น้ำในขวด น้ำก็จะหาทางลงสู่ที่ต่ำโดยการไปตามคลอง ไปตามท่อน้ำ ผุดขึ้นมาตามท่อบ้าง...” ฉลาดซื้อคราวนี้เราจะมาคุยกับ คุณกำชัย น้อยบรรจง  ชายหนุ่มจากเครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดสระบุรี ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคกลาง และอีกฐานะหนึ่งคือ อาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ซึ่งจะได้สะท้อนถึงการแก้ไขปัญหาโดยกำลังของอาสาสมัครคนหนึ่งที่เปี่ยมด้วยจิตอาสา ผู้ประสบภัยกลายเป็นผู้ให้“ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ประสบภัย ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้นะ ทั้งที่มันไม่น่าท่วม อย่างปีก่อนไปช่วยที่นครราชสีมาซึ่งสูงกว่าสระบุรี  ช่วยเหลือเครือข่ายผู้บริโภคลพบุรี  น้ำท่วมที่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเหมือนโบราณ ไม่ใช่น้ำหลาก ที่คนโบราณมีภูมิปัญญาโบราณในการตั้งรับทั้งการดำเนินชีวิต การกิน การอยู่ แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่  ส่วนหนึ่งที่เราต้องยอมรับก็คือการก่อสร้างบ้านเรือนขวางทางน้ำ และการจัดการน้ำไม่เป็นระบบ” กำชัยให้ความเห็นในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่งของประเทศ  และจากบทเรียนการให้ความช่วยเหลือพี่น้องในปีที่ผ่านมา ทำให้เขามองเห็นแนวทางการแก้ปัญหาที่ควรจะทำเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้เร็วที่สุดก็คือ “ระบบเครือข่าย” และ “อาสาสมัคร” “ระบบการลำเลียงของช่วยเหลือผู้ประสบภัยเราใช้ระบบเครือข่าย และอาสาสมัครในพื้นที่ อาสาสมัครส่วนหนึ่งก็เป็นอาสาสมัครที่เราทำงานในแต่ประเด็น เช่นในจังหวัดสิงห์บุรี เราก็ได้อาสาสมัครที่ทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคมาเป็นอาสาสมัคร ช่วยประสานงานในพื้นที่ และส่งข้อมูลเข้ามาให้เราว่าในพื้นที่เป็นอย่างไร  ทีมงานของเราและอาสาสมัครก็จะประเมินสถานการณ์การให้ความช่วยเหลือว่าในส่วนของภาครัฐ ให้การช่วยเหลือถึงไหม หรือความช่วยเหลือเข้าไปเฉพาะบางจุด การให้ความช่วยเหลือเราก็ค่อยๆ เรียนรู้เหมือนกันนะ ช่วงแรกเราจะช่วยเหลือผู้อพยพตามศูนย์ผู้ประสบภัย เพราะเราเชื่อมั่นว่าหน่วยงานราชการไม่น่าจะตกสำรวจ แต่พอเราเข้าไปดูเราก็เห็นข้อจำกัด อย่างบางศูนย์ฯ รับคนได้ 500 คน พอคนเกินก็เกิดความแออัด  ผู้เดือดร้อนบางคนไม่ยอมออกมาเพราะความเป็นห่วงของในบ้าน หรือคนแก่ไม่ยอมออกจากบ้าน”   อาสาสมัครมีใจอย่างเดียวไม่พอเมื่อเริ่มเรียนรู้ ทีมงานของกำชัยก็กลับมาพูดคุย แลกเปลี่ยนถึงแนวทางและบทบาทการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยเพื่ออุดช่องโหว่ของรัฐในการให้ความช่วยเหลือ “พอเราเห็นช่องโหว่ก็กลับมาคุยกันในทีมทำงานในจังหวัดว่า ‘บทบาทของเราในการให้ความช่วยเหลือจะเป็นอย่างไร’ ต้องบอกว่านะว่าอาสาสมัครแค่มีใจอย่างเดียวไม่พอนะ หนึ่งต้องมีเพื่อน สองต้องหาของไปช่วย สามต้องรู้ความต้องการของผู้ประสบภัย จริงไหม น้ำ ข้าวสาร อาหารแห้งไว้ให้พวกเขาได้ใช้หุงหาเองได้ เพราะแต่ละพื้นที่แตกต่าง เราเริ่มที่จังหวัดสระบุรีก่อน ที่ดอนพุดซึ่งหนักมากนะ หลังจากนั้นเราก็เริ่มประสานงานกับเครือข่ายผู้บริโภคในแต่ละจังหวัดและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ในส่วนที่ความช่วยเหลือเข้าไปไม่ถึงได้จริง  ส่วนตัวผมนะ ผมมองว่าถึงกลุ่มเป้าหมายนะ เพราะพื้นที่ที่เราจะเข้าไปต้องขนของใส่รถทหาร ไปถ่ายใส่รถอีแต๋น ไปถ่ายของลงเรือและนั่งเรืออีก 2 – 3 ชั่วโมง เข้าไป 20 กิโลเมตร ทำให้เราเห็นว่าคนที่ตกสำรวจจริงๆมันมีเยอะ และเข้าไม่ถึงทรัพยากร เข้าไม่ถึงน้ำใจคนที่ร่วมบริจาคมาให้มีอีกเยอะ ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่าการบริหารจัดการคน การบริหารจัดการของบริจาค ของหน่วยงานรัฐเข้าถึงผู้ประสบภัยแค่ไหน” กำชัยและทีมงานเป็นตัวประสานงานในการจัดหาของบริจาค ทั้งน้ำ ถุงยังชีพจากมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ข้าวสารจากชาวบ้าน ร่วมกับทีมทำงานช่วยกันแพ็กถุงยังชีพ บ้างก็ทำอาหารกล่องไปให้กับพี่น้องเครือข่ายผู้บริโภคที่จังหวัดสิงห์บุรี ลพบุรี ชัยนาท ปทุมธานี นอกจากนี้แล้วยังช่วยส่งน้ำ ให้กับเครือข่ายผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครอีกด้วย “ถ้าเทียบการจัดการถึงพื้นที่ต้องบอกว่าภาคประชาชนทำงานได้คล่องตัวกว่ารัฐบาล แต่ถ้าจะต้องช่วยอีกให้ปีต่อๆไป ต้องมาวางแผนให้ชัด วางจังหวะ และจัดการความรู้ในการแก้ปัญหา อย่างในเครือข่ายผู้บริโภคที่เกิดปัญหาจะต้องรับมืออย่างไร  ที่ตามมาก็คือเครือข่ายฯจะช่วยเพื่อน ช่วยชาวบ้านได้อย่างไร เหมือนกับการขยายเครือข่ายความร่วมมือในหลายๆเครือข่ายก้าวไปพร้อมๆกัน ไม่ต้องรอคอยหน่วยงานรัฐว่าจะมาแจกของเมื่อไร ต้องเตรียมครับ ฟันธงว่า ‘มีแน่นอน’”   แก้ปัญหาน้ำต้องให้คนรู้มาทำกรมชลประทานต้องบริหารงานน้ำให้เป็น ถ้าสอบผมว่าก็ตก การให้ข้อมูลกับประชาชนโดยหลักที่นานาประเทศใช้ก็คือสันนิษฐาน ถึงความเร็วร้ายที่สุดที่มันจะเกิด  และวางแผนรับว่าถ้ามันเกิดเหตุการณ์แบบนี้จะมีแผงการตั้งรับแบบไหน ควรที่จะบอกประชาชนอย่างไร เขื่อนกำลังจะแตก น้ำจะไหลไปทางไหน ประชาชนจะต้องอพยพไปตรงไหน น้ำท่วมขนาดนี้คุณจะอยู่ได้กี่วัน จะต้องเตรียมตัวอย่างไร คือมันต้องชัดเจนในการให้คำตอบกับประชาชน ผมว่าน้ำท่วมครั้งนี้ พวกเราใช้โอกาสเปลืองนะ เราพยายามกันน้ำทุกอย่าง กัน กัน และกันหมด กันจนน้ำไม่มีที่ไป แล้วน้ำในปริมาณเยอะก็เหมือนกับคอขวด ที่พยายามบีบให้ไปตามทางที่จำกัดไว้ แต่น้ำที่เห็นไม่ใช่น้ำในขวด น้ำก็จะหาทางลงสู่ที่ต่ำโดยการไปตามคลอง ไปตามท่อน้ำ ผุดขึ้นมาตามท่อบ้าง น้ำท่วมครั้งนี้ผมไม่ถือว่าเป็นอุทกภัยนะผมมองว่าเป็นการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด จากคะแนนเต็ม 10 ในการแก้ปัญหาน้ำท่วมครั้งนี้ผมให้ 4 นะ มีอย่างที่ไหนเป็นศูนย์ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแต่กลับต้องมาย้ายหนีน้ำ แบบนี้มีที่ไหน ชาวบ้านหรือโดยเฉพาะชาวกรุงเทพต้องการความเชื่อมั่นนะ เปรียบเทียบง่ายๆ ประเทศญี่ปุ่น ถูกสึนามิ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่ว  เขาก็ให้ความเชื่อมั่นรัฐบาลว่าจะต้องแก้ไขได้ เขาก็ยอมอพยพ ถ้าเทียบความเชื่อมั่นในบ้านเราก็อาจจะเทียบกันไม่ได้เลย ผมว่าการบริหารจัดการน้ำต้องเป็นคนที่รู้และเข้าใจในการบริหารจัดการน้ำเข้ามาจัดการและควรทำให้รวดเร็ว   อยู่ย้อนยุคกำชัยสะท้อนถึงการใช้ชีวิตหลังน้ำท่วมว่าควรที่จะกลับมาใช้ชีวิตแบบไม่ทำร้ายธรรมชาติ กลับมาใช้วิถีการบริโภคอย่างยั่งยืน “ส่วนตัวผมนะผมว่าพวกเราต้องให้ความสำคัญกับการหันกลับมาใส่ใจวิถีการบริโภคที่ยั่งยืน การบริโภคที่ไม่ทำร้ายธรรมชาติ ไม่ทำประเทศ บริโภคอย่างรู้จักความว่าพอ ไม่ใช่เป็นอย่างทุกวันนี้ ซึ่งก็จะนำไปสู่แผนพัฒนาประเทศต่อไปว่าควรจะเป็นไปในทิศทางไหน ถ้าสมมุติว่ารัฐบาลจะมีแผนพัฒนาประเทศต่อไปในระบบแบบอุตสาหกรรม ก็ต้องมีการวางแผนที่จัดการกับสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติและทางน้ำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 106 พลังงานสะอาดที่ครัวชมวาฬ

ครัวชมวาฬ วันนี้มีผู้คนแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย ยิ่งเป็นช่วงเสาร์ – อาทิตย์ คนจะเยอะยิ่งกว่าวันอื่นๆ กลิ่นไอการต่อสู้เพื่อบ้านเกิดของคนบ่อนอกก็ไม่จางหายไป กรณ์อุมา พงษ์น้อย ประธานกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก ภรรยาของเจริญ วัดอักษร นักต่อสู้ผู้ล่วงลับ นับเป็นนักเคลื่อนไหวภาคประชาชน ที่มีวิธีคิดโดดเด่นอย่างยิ่ง จากหญิงสาวที่เรียนหลักสูตรการโรงแรมและท่องเที่ยวนานาชาติ ที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพ แต่ชีวิตเธอต้องพลิกผันกลายไปเป็นนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนได้อย่างไร ฉลาดซื้อขอพาคุณไปรู้จักกับเธอ เรื่องเล่าวันวาน โรงไฟฟ้าที่ชาวบ้านไม่ต้องการจากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการจะให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เพื่อลดภาระในการลงทุนและการกู้ยืมเงินของรัฐบาล เมื่อปี 2537 โดยโครงการที่ได้รับการอนุมัติคือ โครงการโรงไฟฟ้าที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ของบริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์เจเนอเรชั่น ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้สร้างที่ ต.บ่อนอก และบริษัทยูเนี่ยน เพาเวอร์ ดิเวลลอปเมนท์ ซึ่งจะสร้างที่หินกรูด แต่ประชาชนบางส่วนในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไม่เห็นด้วยกับโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ทั้ง 2 แห่งที่จะเกิดขึ้นในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จึงได้รวมตัวกันคัดค้านและนำไปสู่การชุมนุมประท้วงและปิดกั้นการจราจรบนถนนเพชรเกษมในระหว่างวันที่ 8-10 ธันวาคม 2541 จนคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2541 ให้จัดทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการดำเนินโครงการก่อสร้างที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ทั้ง 2 แห่ง ซึ่งท้ายสุดจะต้องลงเอยด้วยการอนุมัติโครงการอยู่นั่นเอง สุดท้ายชาวบ้านก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ทั้งเดินเท้าเข้ากรุงเทพฯ เพื่อยื่นหนังสือต่อนายกรัฐมนตรี และต้องหาข้อมูลทางวิชาการที่โรงไฟฟ้าจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีกลุ่มศึกษาพลังงานทางเลือกเพื่ออนาคตเป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการให้กับชาวบ้านในเรื่อง “รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม” หรือ อีไอเอ แกนนำในขณะนั้นคือ เจริญ วัดอักษร ซึ่งก็คือสามีของ กรณ์อุมา พงษ์น้อย เป็นประธานกลุ่มและเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเป็นแกนนำจนกระทั่งได้ถูกลอบยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2547 หลังการต่อสู้ที่ยาวนาน ในปี 2546 ได้มีการแถลงข่าวว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะมีการย้ายโรงไฟฟ้าบ่อนอกไปสร้างที่จังหวัดสระบุรี และเปลี่ยนเชื้อเพลิงจากถ่านหินเป็นก๊าซธรรมชาติ และปี 2547 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ย้ายโรงไฟฟ้าที่บ่อนอกไปสร้างที่แก่งคอย จังหวัดสระบุรี แต่กลิ่นไอของการต่อสู้ที่แลกด้วยชีวิตยังเคยไม่จางหาย พลังงานทางเลือก ที่ไม่ถูกเลือกจากการต่อสู้เพื่อท้องถิ่นของกรณ์อุมา บอกว่าจากจุดนี้เองที่เธอก็งงว่ารัฐพยายามบอกว่า จะใช้พลังงานที่ยั่งยืนในการผลิตไฟฟ้า แล้วทำไมไม่ส่งเสริมให้มาใช้พลังงานแสงแดด พลังงานลม“ความคิดเรื่องการใช้พลังงานสะอาด เกิดขึ้นตอนที่พวกเราคัดค้านการสร้างโรงไฟฟ้า แล้วเราก็ชูประเด็นในระดับนโยบายกับรัฐว่าการใช้เชื้อเพลิงที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมน่าจะปรับเปลี่ยนได้แล้ว และควรจะเป็นพลังงานสะอาดหรือพลังงานทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น ลม แสงแดด เรานำมาใช้ประโยชน์ได้ โดยใช้แผงโซ่ล่าเซลล์หรือกังหันลม ซึ่งรัฐเองก็บอกแต่ว่าต้นทุนสูง ซึ่งเราก็งงว่าจะต้องใช้ต้นทุนอะไร ในเมื่อสายลมแสงแดดเราไม่ต้องซื้อ ในขณะที่ถ่านหินต้องซื้ออีกอย่างตอนที่เจริญเขายังมีชีวิตอยู่ ก็เคยคุยๆ กันอยู่ ตอนที่ต่อสู้กันอย่างเข้มข้นว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะทำกังหันลม ซึ่งมองที่ดินสาธารณะที่ติดชายทะเลไว้ และเป็นที่ดินที่อยู่หน้าโรงไฟฟ้า ซึ่งถ้าหากพวกเราทำได้ก็น่าจะดี เรามองประเด็นเรื่องการท่องเที่ยวด้วย แต่ตอนนั้นมองภาพเป็นกังหันขนาดใหญ่ ก็พยายามมองหาเทคโนโลยีต่างๆ แต่เจริญก็เสียชีวิตไปก่อนครั้นเรามาสานต่อเรียนรู้ร่วมกับชุมชนถึงการทำกังหันโดยใช้วัสดุง่ายๆ ที่หาได้ที่บ้านเรา นั่นคือตัวกังหันต้องมีดุมล้อ ใบพัดกังหันก็ทำจากไม้ ก็สามารถผลิตไฟฟ้าได้ ถึงมันจะไม่ได้มากนักแต่ก็เป็นพลังงานทางเลือกที่ทดแทนกันได้ในระดับหนึ่ง เราได้เขียนโครงการของบประมาณ สนับสนุนจาก สสส.ได้เงินให้ชุมชนทำพลังงานสะอาด เราขอทำกังหันไป 3 ตัว ตัวแรกก็คือตัวที่ตั้งที่ร้าน ซึ่งเราทดสอบกับลมทะเล อีกตัวก็ไปตั้งไว้ที่วัดซึ่งเรานำไปทดลองใช้กับวิทยุชุมชน ซึ่งเท่าที่ทดลองมาก็นำไฟฟ้ามาใช้งานได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่นับรวมว่าจะนำไปใช้กับแอร์ได้นะ ก็เสียบคอมพิวเตอร์ วิทยุได้แต่กระบวนการที่ผ่านมาก็ทำให้เราได้รู้ว่ากังหันลมที่เราทำขึ้นมา ก่อให้เกิดพลังงานได้จริง แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้ก็คือกระบวนการลองผิดลองถูก” ลองผิดลองถูกทำให้เรา รู้จริงกระบวนการที่กรณ์อุมาว่าก็คือตั้งแต่เริ่มซื้อแบตเตอรี่เพื่อเก็บไฟฟ้า กว่าจะรู้ว่าแบตเตอรี่มีความต่าง“ช่วงแรกๆ ก็ถือว่าเราหมดไปเยอะ อย่างซื้อแบตฯ เราก็คิดถึงการใช้งานระยะยาว ก็ไปซื้อแบตเตอรี่แห้ง เจ้าของร้านก็แนะนำเราอย่างดี พอซื้อมาใช้จริงๆ ถึงรู้ว่าเราเสียรู้ เอ่อ..อันนี้ไม่ฉลาดซื้อนะ” เธอพูดพลางหัวเราะก่อนจะอธิบายเพิ่มเติม“เสียรู้ก็คือเรามารู้ภายหลังว่าไฟฟ้าที่มาจากกังหันนั้น กระแสไฟฟ้าไม่สม่ำเสมอทำให้เราเก็บไฟไม่ได้เลย และที่เหมาะสมที่สุดคือแบตเตอรี่น้ำ เราก็เลยเสียแบตเตอรี่ไป 4 ลูก ตอนนั้นซื้อมาลูกละ 7,000 บาทได้นะ เลยทำให้เราเรียนรู้ว่า เราต้องมองหาแหล่งซื้อของให้มากขึ้น อย่างแม่เหล็กที่แผงวงจรไฟ เราก็ไปหาซื้อที่คลองถมจะซื้อได้ถูกกว่าแค่ 180 บาทจาก 250 บาท” นั่นคือบทเรียนที่เธอและชุมชนได้เรียนรู้ นอกจากจะศึกษาเองแล้ว เธอยังไปศึกษาเรียนรู้ดูงานกับเครือข่าย ที่ทำงานด้านพลังงานทางเลือก เพื่อพัฒนาร่วมกัน “ตอนนี้ก็เริ่มมีแนวคิดว่า จะพัฒนากังหันลมที่ทำอยู่ให้ได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใบพัดที่คงทน ระบบการผลิตและจัดเก็บไฟฟ้า แล้วถ้ามันสมบูรณ์แบบเมื่อไร ก็คิดว่าจะทำให้กังหันมีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมทั้งขยายแนวคิดออกสู่ชุมชน ปัจจุบันคิดค่าต้นทุนทั้งกังหันลม แบ็ตเตอรี่เก็บไฟ ตัวเร็กกูเลเตอร์ เบ็ดเสร็จก็น่าจะ 50,000 บาท ต่อ 1 ชุด” เธอแจกแจงแนวคิดที่จะขยายโครงการ หากเธอนับหนึ่ง นับสอง ได้สำเร็จ ครั้นฉลาดซื้อถามถึงผลตอบรับจากบ้านว่าเป็นอย่างไร เธอตอบอย่างหน้าชื่นว่าคนผ่านไปมาก็ถาม ลูกค้ามาถาม บางคนก็เข้ามายินดีกับเธอที่เธอสามารถนับหนึ่งการใช้พลังงานสะอาดได้แล้ว “ความตั้งใจจริงๆ ที่ทางกลุ่มลงมือกันทำก็คือ อยากจะขยายไปสู่วัด โรงเรียน ก่อนที่เป็นรายบ้าน เพราะเมื่อทำงานกับโรงเรียนก็จะได้ทำงานกับเยาวชนด้วย ได้เพิ่มการเรียนรู้ให้กับเด็กๆ ด้วย” นั่นคือเป้าหมายที่เธอและทางกลุ่มคาดหวังไว้โรงไฟฟ้าแค่จิ๊กซอตัวเล็กๆ ในแผนพัฒนาอุตสาหกรรมภาคใต้“ตั้งแต่โรงไฟฟ้าไปชาวบ้านก็ทำงานของเขาตามปกติ คือปกติเขาก็ทำงานของเขาอยู่นะ แต่พอมีปัญหาการรวมตัวของชาวบ้านก็จะมาทันที ถ้าถามว่าโรงไฟฟ้ามันจบไหม คือ…เอาเข้าจริงๆ ประจวบฯไม่ได้เจอแค่โรงไฟฟ้านะ โรงไฟฟ้าเป็นเพียงจิ๊กซอตัวเล็กๆ ในแผนพัฒนาอุตสาหกรรมชายฝั่งทะเลภาคใต้ หรือเซาเทิร์นซีบอร์ด ที่ตอนนี้เริ่มขยับตัวแล้วโรงไฟฟ้าก็มีบ่อนอก หินกรูด แล้วก็ทับสะแก ตอนนั้นเราสู้ร่วมกัน ซึ่ง 3 โรงไฟฟ้านั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะรองรับอุตสาหกรรมที่จะตามมา ซึ่งนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าทางสภาพัฒฯ และเอดีบี ได้สำรวจและมีงานวิจัยออกมาแล้วว่าที่ อ.กุยบุรี เหมาะกับการสร้างเหล็กต้นน้ำ พูดง่ายๆก็คือโรงผลิตเหล็ก ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมของบ้านเรา แต่มันเก่ามาจากต่างประเทศ อย่างสหรัฐ ฯ อังกฤษ ญี่ปุ่น แล้วตอนนี้เขาก็ย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศอย่างเราๆ เหมือนเป็นการล่าอาณานิคมสมัยใหม่ที่ใช้ระบบเศรษฐกิจในการล่า บ้านเราก็มีบทเรียนมาแล้วจากระยอง นั่นก็คือมาบตาพุด ไม่ว่าจะเป็นชื่อร้าน ชื่อโรงงานมีแต่ของต่างประเทศทั้งนั้น ที่มายึดไทยเป็นฐานการผลิตแล้วเอากำไรกลับประเทศเขาไปในประจวบฯ เองก็ไม่ใช่มีแค่เหล็กต้นน้ำ มันก็จะมีอุตสาหกรรมอื่นๆ ตามมา คือมันก็จะเป็นแบบเดียวกับที่ระยอง ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ต้องใช้คำว่าภาคใต้ถึงจะถูก ประจวบฯ เป็นแค่จังหวัดแรกของภาคใต้เท่านั้น โรงไฟฟ้าบ่อนอก ที่บอกว่าเหมือนจะจบแล้ว แต่มันยังไม่จบ เพราะรัฐได้ทำสัญญาไปแล้วก็ต้องย้ายไปสร้างที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี จากกำลังการผลิต 700 เมกะวัตต์เป็น 1,400 เมกะวัตต์ คือแต่ละที่ก็ต้องสู้ต่อ ถ้าถามว่าในทางนโยบายการผลิตไฟฟ้าที่ประจวบฯ ยังมีอยู่หรือเปล่า ที่ 4,000 เมกะวัตต์ ยังมีนะก็คือ บ่อนอก 700 เมกะวัตต์ บ้านกรูด 1,400 เมกะวัตต์ และที่ทับสะแกอีก 2,100 เมกะวัตต์ แต่ตอนนี้กำลังการผลิตที่ทับสะแกเปลี่ยนไปแล้วนะถ้าเขาสร้างได้เต็มที่จะอยู่ที่ 14,000 เมกะวัตต์ คือจะใหญ่กว่าแม่เมาะเลยทีเดียว และนั่นคือโรงไฟฟ้าถ่านหิน คิดดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่นี่ ไม่อยากจะให้รัฐมาขับไล่พวกเราอีก คือไม่ใช่ว่าเราต้านไปหมดทุกอย่างนะ เพียงแต่อยากให้รัฐทำให้ถูกที่ ทำไมจะต้องมาสร้างในชุมชน” กรณ์อุมา แสดงทัศนะและย้อนไปถึงโรงไฟฟ้าที่เป็นด่านแรกของแผนพัฒนาฯ เท่านั้น ยังมีอีกหลายโครงการที่กำลังจะตามมา“ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2551-2564(PDP 2007) เขาจะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ด้วย ทั้งที่ปัจจุบันโรงไฟฟ้าเท่าที่มีอยู่สามารถผลิตไฟฟ้าได้มากถึง 29,891 เมกะวัตต์ ในขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดเมื่อปี 2551 อยู่ที่ 22,568 เมกะวัตต์ ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่เกินความต้องการถึง 7,323 เมกะวัตต์ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นที่บอกว่าถ้าไม่สร้างโรงไฟฟ้าที่ประจวบฯ จะทำให้ไฟฟ้าไม่เพียงพอต่อการใช้ในประเทศ ก็ไม่เข้าใจรัฐนะ แล้วการที่จะสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็บอกว่าเป็นพลังงานทางเลือกอีกตัวหนึ่ง เราก็งงมากในสมัยที่เราสู้เราก็บอกว่าพลังงานทางเลือกก็คือ สายลม แสงแดด พลังงานชีวมวล แต่ว่าพลังงานทางเลือกของรัฐตอนนี้คือก๊าซ ถ่านหิน นิวเคลียร์ แถมยังบอกเราว่าลดความเสี่ยง ทั้งที่สิ่งเหล่านี้มันเสี่ยงมากกับชีวิต กับสุขภาพ กับวิถีชีวิตของคน แต่รัฐอ้างเพียงว่าเชื้อเพลิงจะหมดไป แต่เรากลับมองต่างว่าสายลม กับแสงแดด มันไม่มีวันหมดอยู่แล้ว” รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาดหลังเหตุการณ์ ต่อสู้เรื่องโรงไฟฟ้า ซึ่งนั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตกรณ์อุมา จากคนที่รักสงบ แต่ปัจจุบันเธอต้องรับหน้าที่เป็นประธานกลุ่มรักท้องถิ่นบ่อนอก แล้วยังเป็นแกนนำคนสำคัญในการเคลื่อนไหวเพื่อให้ชาวบ้านในจังหวัดประจวบฯ ได้เข้าใจถึงผลกระทบที่จะตามมาของโครงการพัฒนาฯ จนเกิดเป็นกลุ่ม “เครือข่ายพันธมิตร สิ่งแวดล้อมประจวบฯ” รวมถึงมีส่วนในการก่อตั้ง “เครือข่ายประชาชนภาคใต้” เพื่อต่อสู้กับแผนพัฒนา ที่กำหนดให้ภาคใต้เป็นเมืองอุตสาหกรรม ต้องเดินทางเกือบจะตลอดเวลา ชีวิตรักสงบของเธอจึงเปลี่ยนไป “โอ้โห มันเปลี่ยนไปแบบไม่เหลือเลย จากคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย วันๆ ก็อยู่กับการทำมาหากิน มีเวลาก็จะอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน ไม่ชอบไปไหน พอถึงวันนี้การต่อสู้ที่ผ่านมาโดยเริ่มจากปัญหาของตัวเอง พอเรามาจับปัญหาแล้วมันทำให้เรารู้ว่าบ้านเมืองเรายังมีปัญหาอีกเยอะมาก โดยเฉพาะแผนพัฒนาฯ ถ้าเราไม่ช่วยกันก็จะเป็นปัญหาในระยะยาว ก็คิดนะว่าถ้าเราทำอะไรเพื่อใครได้ก็อยากจะไปเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับส่วนอื่นๆ มันก็เหนื่อยนะ แต่พอพักมันก็หาย” ครัวชมวาฬ ครัวเพื่อการเรียนรู้ของชุมชน“พอเราต้องออกเดินทางบ่อยๆ เราก็ยกร้านอาหารให้พี่สาวมาช่วยดูแล เพราะมันต้องมีคนมาดูแลทั้งร้าน ทั้งที่พัก มีคนยุให้เปิดที่พักอีก แต่แค่นี้ก็พอแล้ว เราทำไม่ได้กะจะหวังร่ำรวยอะไร แค่พอมีเงินมาจุนเจือครอบครัว ให้คนในชุมชนได้มีงานทำ แล้วก็เปิดให้คนข้างนอกเข้ามาพัก เข้ามาดูว่าบ่อนอกเป็นอย่างไรแค่นี้ก็พอแล้ว คนที่มาพักก็มีสงสัยนะว่าทำไมไม่เห็นปลาวาฬบรูด้าเลย คือเราก็ไปบังคับให้มันมาว่ายไม่ได้ คือบ้านเราเห็นมันมาจนเป็นปกติ บ้านเราเรียกว่าปลาเจ้า ช่วงที่ต่อสู้เรื่องโรงไฟฟ้า ซึ่งเขาบอกว่าอีกไม่นานหรอกที่นี่อาชีพประมงจะล่มสลายเพราะทะเลไม่อุดมสมบูรณ์ เรื่องปลาวาฬ จึงถูกหยิบยกเพื่อมาสู้กันในเรื่อง อีไอเอ ความอุดมสมบูรณ์ของทะเล ปลาวาฬกินอาหารทีเป็นตันๆ แบบนี้คุณจะมาบอกว่าบ้านเราไม่สมบูรณ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นคนที่จะมาที่นี่เขาก็จะมาศึกษาธรรมชาติ มาพัก เราก็จะสกรีนลูกค้าเราได้ส่วนหนึ่งแล้ว บางวันมีม็อบเราก็จะบอกว่าไม่ขายนะคะ ไปม็อบ เพราะคนที่ทำงานที่นี่ก็เป็นคนในชุมชน เวลาที่จะออกไปต่อสู้หรือเรียกร้องอะไร ก็จะพากันไปหมด เพราะทุกคนอยากสู้เพื่อชุมชน สู้เพื่อบ้านเกิดของตัวเอง” ใครที่อยากชิมอาหารครัวชมวาฬ แวะกันไปด้วยทุกวันค่ะ (ยกเว้นไว้ไปม็อบ) เข้าไปดูรายละเอียด ได้ที่ www.kruachomwhale.com

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 98 กิน เปลี่ยนโลก ได้อย่างไร

ทุกคนมีสิทธิ์ สุมาลี พะสิม สัมภาษณ์ / ถ่ายภาพ มูลนิธิชีววิถี หรือหลายๆ คนรู้จักในนาม Biothai เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ชุมชนคนรักป่า และสถาบันต้นกล้า เปิดตัวโครงการรณรงค์กินเปลี่ยนโลก ไปเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งฉลาดซื้อเห็นว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี และเป็นประโยชน์กับสมาชิกและท่านผู้อ่านค่ะ จึงไปจับเขาคุยกับ กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา รองผู้อำนวยการ มูลนิธิชีววิถี ถึงที่ไปที่มา และการเข้าร่วมโครงการ ว่าจะต้องทำอย่างไรมาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันค่ะ จุดเริ่มของโครงการกินเปลี่ยนโลกกินเปลี่ยนโลกเป็นการรณรงค์เพื่อที่จะให้ผู้บริโภคเข้าใจเรื่องวิกฤตของอาหาร แต่โครงการกินเปลี่ยนโลกไม่ใช่โครงการแรก หากแต่มีหลายองค์กรที่พยายามทำกันมานานไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์ตลาดสีเขียว ของเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก หรือมหกรรมสมุนไพรต่างๆ แต่ว่ายังไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสาธารณะ โครงการกินเปลี่ยนโลกจึงปรับเปลี่ยนกระบวนการรณรงค์ในเชิงรุกเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจ และเข้ามามีส่วนร่วม“ดูเหมือนการสื่อสารผ่านงานมหกรรมหรือจัดเวทีสาธารณะก็ดูจะเป็นเรื่องเครียดๆ ที่ถูกนำเสนอออกมาซะมากกว่า ก็อยากจะปรับให้เครียดน้อยลงเพื่อที่จะให้คนได้เข้าใจมากขึ้น ก็เลยเลือกที่จะสื่อผ่านอาหาร และใช้อาหารนี่ล่ะเป็นสื่อในการรณรงค์เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวและอยู่ในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญก็คืออาหารเป็นเรื่องใหญ่ของคนไทย ดูง่ายๆ อย่างเราไปเที่ยวก็จะเตรียมอาหารตุนไปกินระหว่างทาง หรือไม่ก็แวะกินตามร้านรวงที่เปิดขายกันรายทาง ทั้งซื้อฝากและซื้อกันกิน จนกลายเป็น วัฒนธรรมกินตลอดทาง   ด้วยความที่เมืองไทยเราค่อนข้างจะอุดมสมบูรณ์และเป็นประเทศที่ส่งออกธัญญาหารเป็นอันดับต้นๆ ของโลกมีทั้ง ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา เนื้อสัตว์ก็จะเป็นกุ้ง ไก่ คนจึงมองไม่ออกว่าเมืองจะเกิดวิกฤตหรือเกิดปัญหา จนเมื่อราคาข้าวสูงขึ้นเพราะข้าวขาดแคลนในตลาดโลก ก็ดึงราคาข้าวของไทยให้สูงขึ้นตามลำดับ คนจึงเริ่มแตกตื่นว่าวิกฤตมาแล้ว ที่ผ่านมาเวลาเราจะสื่อสารกับสาธารณะก็มักจะหยิบยก ปัญหาขึ้นมาก่อนว่า ปัญหามันคืออะไร แต่กินเปลี่ยนโลกเราจะเปลี่ยน คือแทนที่จะหยิบยกว่าปัญหาทางด้านอาหารคืออะไร มีสารเคมี มีจีเอ็มโอ เราก็จะเปลี่ยนเป็น ‘เราจะกินอย่างไรให้มีคุณภาพ แล้วการกินอย่างมีคุณภาพของคนเราช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง’ ประเด็นเหล่านี้ก็น่าจะนำไปสู่ประเด็นวิกฤตของอาหารได้ โดยให้คนตั้งคำถามกับตัวเองว่าอาหารมาจากไหน อาหารที่เรากินเป็นอย่างไรโดยให้ศึกษาด้วยตัวเอง” เมืองไทยกับวิกฤตด้านอาหารกิ่งกรบอกกับฉลาดซื้อว่า เราอยู่กับวิกฤตอาหารกันมานานแล้ว แต่ไม่ค่อยรู้สึกกัน สิ่งที่แสดงให้เห็นชัดว่าเราก็มีวิกฤตด้านอาหาร คือเรื่องข้าว ด้วยความที่เมืองไทยเราค่อนข้างจะอุดมสมบูรณ์และเป็นประเทศที่ส่งออกธัญญาหารเป็นอันดับต้นๆ ของโลกมีทั้ง ข้าว มันสำปะหลัง อ้อย ยางพารา เนื้อสัตว์ก็จะเป็นกุ้ง ไก่ คนจึงมองไม่ออกว่าเมืองจะเกิดวิกฤตหรือเกิดปัญหา จนเมื่อราคาข้าวสูงขึ้นเพราะข้าวขาดแคลนในตลาดโลก ก็ดึงราคาข้าวของไทยให้สูงขึ้นตามลำดับ คนจึงเริ่มแตกตื่นว่าวิกฤตมาแล้ว “เวลาเราพูดถึงวิกฤตอาหาร กินเปลี่ยนโลกของเราจะมองเรื่องความหลากหลายของอาหารว่าความหลากหลายมันน้อยลง อาหารอย่างพวกเนื้อสัตว์อาจจะมีราคาถูกขึ้นแต่คุณภาพของอาหารแย่ลง พอมีการผลิตมากขึ้นก็เลี้ยงกันเป็น ‘ฟาร์มปิด’ เลี้ยงกันเป็นอุตสาหกรรม มีการฉีดฮอร์โมน เร่งโต กินอาหารเม็ด วันๆ สัตว์ถูกขังอยู่แต่ในโรงเลี้ยง พอถึงระยะเวลาก็นำมาให้พวกเรากิน ยกตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือ ‘ไก่’ ปัจจุบันเรากินไก่รสชาติเหมือนทิชชู่ แต่เราก็ยังกินกันเพราะมันถูก แต่คุณภาพมันน้อยลง มองให้ง่ายขึ้นมาอีกว่าเราอยู่ในวิกฤตอาหารที่ความหลากหลายมันน้อยลง ก็ให้มองไปที่ตลาดสดที่มีผักแค่แตงกวา กะหล่ำปลี ผักกาดขาว คะน้า แครอท ผักชี ต้นหอม ผักพวกนี้ไปทีไรก็มีตลอดปี และเมื่อปลูกทั้งปีก็ต้องใส่สารเคมี เคยลงไปเยี่ยมชาวบ้านที่ปลูก เขาบอกเลยว่าแปลงนี้อย่ากินนะ แปลงนี้กินได้ แล้วคิดดูสิแล้วผักเหล่านั้นก็มาสู่ตลาดในที่สุด แล้วใครกิน ก็พวกเราๆ นี่หละกินเข้าไป แบบนี้ก็วิกฤตอีกเช่นกัน จะไปโทษใครได้ เพราะมันเป็นระบบกลไกการค้า ระบบกลไกการกระจายอาหารที่พาให้เกิดขึ้นเพราะทุกคนกินกันแบบไม่ดูฤดูกาล อยากกินอะไรก็จะได้กิน มีตอบสนองทุกอย่าง มะม่วง ทุเรียน ส้ม มีทั้งปี ผัก ผลไม้พื้นบ้านที่ออกตามฤดูกาลหายไปจากตลาดหมด เด็กๆ รุ่นใหม่ก็ไม่รู้จัก ซึ่งมันก็จะมีความหลากหลายของมันเองตามฤดูกาล แต่ว่ามันถูกเปลี่ยนแปลงการผลิตให้เป็นระบบอุตสาหกรรม มีให้กินกันได้ทั้งปี” และนั่นเป็นวิกฤตด้านอาหารในมุมมองของกินเปลี่ยนโลก เหตุแห่งปัญหาใครบ้างที่มีส่วนทำให้เกิดวิกฤตอาหาร กิ่งกรบอกว่าทั้งระบบตลาดและรัฐเองก็มีส่วนเพราะรัฐส่งเสริมให้มีการผลิตอาหารแบบอุตสาหกรรมมานานกว่า 20 ปี จนทำให้ผู้ผลิตรายย่อยอยู่ลำบาก “ที่บอกว่าลำบากก็คือ ต้องเปลี่ยนไปผลิตแบบอุตสาหกรรมในที่สุด ทั้งใส่ปุ๋ย ใส่ยาฆ่าแมลง ยาเร่งให้มันหัวใหญ่ ให้ฝักใหญ่ บางรายอยู่ไม่ได้ก็ล้มไป ตกไปอยู่ในวงจรของ ‘เกษตรพันธสัญญา’ เป็นหนี้พอมีลูกก็ไม่อยากให้ลูกต้องเป็นเกษตรกร จนเกิดปัญหา ‘วิกฤตเกษตรกรรายย่อย’ ไม่มีใครยอมทำเกษตร ไปเป็นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมแทน แล้วใครจะลงมาทำเกษตร ในเมื่อทำแล้วยิ่งมีหนี้ท่วมหัว นายทุนที่มีเงินก็จะใช้เกษตรพันธสัญญานี่ละ มาบังคับให้ชาวบ้านทำ” “เกษตรพันธสัญญา ก็คือ บริษัทจะนำปัจจัยการผลิตไปให้ชาวบ้าน ซึ่งจะมีทั้งพืชผัก และเนื้อสัตว์ แล้วก็มีสัญญาว่าจะรับซื้อในราคาเท่านั้น เท่านี้ และจะต้องขายให้บริษัทนั้นเพียงบริษัทเดียวเท่านั้น ซึ่งระบบพันธสัญญาที่เก่าแก่ที่สุดก็คืออ้อย ตามมาด้วยไก่ซีพี ไก่สหฟาร์ม ไก่ก้าวหน้า ส่วนหนึ่งทางบริษัทก็จะเลี้ยงเอง แต่อีกส่วนก็จะนำลูกไก่ อาหาร ฮอร์โมน ไปให้ชาวบ้านเลี้ยง โดยให้ชาวบ้านทำโรงเรือนเลี้ยงไว้รอ ถึงเวลาก็มาชั่งน้ำหนักขาย หักลบกลบหนี้กันไป ชาวบ้านก็เป็นเพียงคนรับจ้างเลี้ยง ซึ่งค่าจ้างก็คิดตามอัตราแลกเนื้อ ซึ่งจะเป็นสูตรคิดคำนวณออกมา ได้เท่าไรก็ให้ชาวบ้านไป ซึ่งไม่มีสิทธิต่อรอง แล้วก็จบกันไป เรียกได้ว่าเป็นแรงงานรับจ้างก็ได้ ที่สำคัญคือบริษัทไม่ต้องจ่ายค่าเช่าที่ดินด้วยนะ แล้วความเสี่ยงก็อยู่กับชาวบ้าน ไก่ตายกี่ตัวก็จะถูกคิดคำนวณเป็นราคาไก่หมด การเป็นแรงงานแบบนี้ชาวบ้านจะมีความสุขหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่ที่แน่ๆ ก็คือมันมีตลาดรองรับก็ยังดีกว่าทำมาแล้วไม่มีที่ขาย เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เป็นหนี้ที่กู้มาทำโรงเรือนนั่นล่ะ ก็ต้องทำต่อไป เพราะเขาไม่มีทางเลือก ภาคเหนือก็จะเป็นพวกพืชผลการเกษตรเช่น ฝักข้าวโพดอ่อน ข้าวโพดหวาน ถั่วลันเตา พอได้มาก็จะนำไปอัดกระป๋อง ส่งออกนอก จ่ายค่าจ้างให้เกษตรกรแล้วก็จบ มันเป็นมาแบบนี้จนมาถึงจุดนี้ แต่คนส่วนใหญ่อาจจะยังไม่รู้สึกว่าตกอยู่ในวิกฤต เพราะยังมีอาหารให้กินอยู่ แต่โครงการกินเปลี่ยนโลกมองว่าปัจจุบันนี้ พวกเราตกอยู่ในวิกฤตแล้ว วิกฤตด้านเลือก วิกฤตด้านคุณภาพของอาหาร วิกฤตด้านความปลอดภัย วิกฤตของผู้ผลิต และวิกฤตของผู้บริโภค ความวิกฤตของผู้บริโภคก็คือคนเรามีกำลังซื้อที่ต่างกันทำให้การเข้าถึงการเลือกซื้ออาหารที่มีคุณภาพหรือปริมาณที่ต่างกัน ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น เรื่องเหล่านี้ก็พยายามจะหาวิธีบอกกับทุกคนอยู่ จะเดินเข้าไปบอกว่า ‘เฮ้ย…นี่คุณกำลังกินขยะอยู่นะ’ นั่นก็ใช่ที่ จริงไหม” เธอกลั้วหัวเราะขณะหาวิธีบอกกับผู้คน “อาหารที่คุณกินมันสามารถเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ได้ และก็เชื่อมโยงกับผู้ผลิตรายย่อยด้วย เมื่อผู้ผลิตรายย่อยฟื้น การฟื้นฟูด้านระบบนิเวศน์ก็จะตามมา ไม่ต้องไปใช้ปุ๋ยเคมี หันมาใช้และผลิตด้วยวิธีตามธรรมชาติ คืนความหลากหลาย คืนระบบการผลิต คืนระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมให้กับผู้บริโภค คืนสุขภาพสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยเพราะมันเชื่อมโยงกันไปหมดนั่นเอง” กิน เปลี่ยนโลก ได้อย่างไรสารพัดวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่นี้ กิ่งกรกำหนดตัวแปรสำคัญที่จะช่วยกู้วิกฤตก็คือ ผู้บริโภค เพราะไม่ว่าจะอยากกินอะไร คนผลิตก็ทำออกมารองรับได้หมด และนอกจากผู้บริโภค ตัวแปรอีกตัวก็คือผู้ผลิตรายย่อย อย่างเกษตรกรต่างๆ เพราะเมื่อได้รับการส่งเสริมแล้วก็จะสามารถผลิตอาหารที่มีความหลากหลายตามมา ไม่ต้องพึ่งต้นทุนจากผู้ผลิตรายใหญ่ “อาหารที่คุณกินมันสามารถเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ได้ และก็เชื่อมโยงกับผู้ผลิตรายย่อยด้วย เมื่อผู้ผลิตรายย่อยฟื้น การฟื้นฟูด้านระบบนิเวศน์ก็จะตามมา ไม่ต้องไปใช้ปุ๋ยเคมี หันมาใช้และผลิตด้วยวิธีตามธรรมชาติ คืนความหลากหลาย คืนระบบการผลิต คืนระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมให้กับผู้บริโภค คืนสุขภาพสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยเพราะมันเชื่อมโยงกันไปหมดนั่นเอง” กิ่งกรอธิบายถึงความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกออกได้ การทำงานของกินเปลี่ยนโลกนั้นมุ่งรณรงค์ไปที่ 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มผู้บริโภคและสื่อมวลชน ซึ่งขณะนี้พยายามติดต่อประสานงานกับสื่อโดยการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้สื่อช่วยขยายต่อ และเปิดรับอาสาสมัคร กินเปลี่ยนโลกผ่านเว็บไซต์ www.food4change.in.th ขึ้นมา “อาสาสมัครของเราจะได้ร่วมกันคิดและวางแผนในการรณรงค์และเผยแพร่แนวคิดให้เป็นที่รับรู้กับสังคมภายนอก โดยอาสาสมัครของเราก็จะเปิดรับคนทั่วไปที่สนใจกิจกรรมและแนวคิดแบบนี้ ซึ่งอาสาสมัครสามารถเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง เริ่มต้นจากการตั้งคำถาม สร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยพฤติกรรมส่วนบุคคล แล้วก็ให้ไปคุยกับคุยกับคนรอบข้าง ทั้งที่บ้าน และที่ทำงาน เพื่อที่จะกระจายความคิดนี้ออกไป เป็นแรงกระเพื่อมเล็กๆ ที่ค่อยๆ รณรงค์และน่าจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ ส่วนกิจกรรมที่ทางกินเปลี่ยนโลกจัดก็คือการจัดสาธิตการทำหลายๆ อย่างด้วยตัวคุณเอง เช่นทำสบู่ ปลูกผักกินเอง กระแสก็น่าจะไปได้ เพราะคนเราเมื่อพูดถึงการกินก็จะนึกถึงสุขภาพของตัวเองเป็นหลัก แต่เราก็อยากให้คิดไปให้ไกลอีกนิดนึง อยากให้คิดถึงสิ่งแวดล้อมแล้วก็คิดถึงคนปลูกด้วย” เป้าหมายสูงสุดของโครงการกินเปลี่ยนโลก คือเพื่อรักษาฐานทรัพยากรอาหารไว้ให้ได้ นั่นก็คือที่ดินต้องอยู่ในมือของเกษตรกร ไม่เป็นที่ดินให้เช่าหรือของบริษัทใหญ่ มีน้ำ มีป่าไม้ สามารถรักษาฐานทรัพยากรชายฝั่งอย่างป่าชายเลนไว้ได้ และเธอเชื่อว่าผู้ที่จะรักษาทรัพยากรเหล่านี้ได้ก็คือผู้ผลิตรายย่อย ถ้าหากปล่อยให้ตกอยู่ในบรรษัทใหญ่ทุกอย่างก็จะไม่เหลือ เพราะฉะนั้นทั้งเกษตรกรรายย่อยและฐานทรัพยากรต้องอยู่คู่กัน “เราอยากเห็นว่าการเดินเข้าซูเปอร์มาเก็ตต่างประเทศ เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง อยากเห็นคนหันไปจ่ายตลาดสด ไปสนับสนุนแผงผักเล็กๆ แต่ถ้าไม่มั่นใจว่าแผงผักจะปลอดภัยคุณก็ต้องบอกเขาให้หาของดีๆ มาให้คุณกิน ซึ่งแม่ค้าก็ไปหามาได้ ชาวบ้านทำได้ เราเชื่อว่าการตลาดจะส่งผลกระตุ้นระบบการผลิตให้กว้างขวางขึ้น แล้วฐานการผลิตเกษตรกรรมยั่งยืนก็จะขยายตัวไม่ใช่ไปทำมุมเล็กๆ ในห้างสรรพสินค้า ที่มีเพียงกลุ่มคนเล็กๆ เท่านั้นที่เข้าถึง ก็น่าจะเริ่มต้นที่อาสาสมัคร เริ่มที่ตัวเรา จะเริ่มได้ยังไง ง่ายนิดเดียวที่ตลาดสดใกล้บ้านคุณไงก็ไปดูว่ามีวันไหน มีผักอะไรขายบ้าง แม่ค้าเอาผักมาจากไหน แล้วก็ต้องเลือกกินให้เป็นต้องดูว่าผักไหนผักพื้นบ้าน ก็น่าจะเชื่อได้ว่าถูกดูแลมาแบบธรรมชาติมากหน่อย แล้วก็มาทำกับข้าวกินเองไม่ต้องบ่อยก็ได้อาทิตย์ละวัน ปรับชีวิตให้ช้าลงบ้างก็ได้ไม่ต้องให้มันรวดเร็วตลอดเวลาให้เวลากับการกินหน่อย ทำไมจะทำไม่ได้ เวลาคุณซื้อของอย่างซื้อกล้อง หาข้อมูลเช็คสเป็กอยู่นั่นล่ะแต่ว่าเวลาคุณหยิบอะไรเข้าปากเนี่ยคุณไม่เคยเช็คสเป็กของกินของคุณเลย ว่าสเป็กที่คุณอยากได้มันเป็นยังไง เวลาคุณซื้อของคุณเลือกได้แต่ว่าทุกวันนี้คุณซื้อของกิน คุณกลับเลือกไม่ได้ คุณกำหนดสเป็กการกินของคุณไม่ได้ นั่นล่ะเราจึงต้องเปลี่ยนพอเราเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราก็จะค่อยๆ เปลี่ยน แล้วก็จะเปลี่ยนสู่สังคมกว้างในที่สุด แต่อาจใช้เวลาสักหน่อย” ทำไมจะทำไม่ได้ เวลาคุณซื้อของอย่างซื้อกล้อง หาข้อมูลเช็คสเป็กอยู่นั่นล่ะแต่ว่าเวลาคุณหยิบอะไรเข้าปากเนี่ยคุณไม่เคยเช็คสเป็กของกินของคุณเลย ว่าสเป็กที่คุณอยากได้มันเป็นยังไง เวลาคุณซื้อของคุณเลือกได้แต่ว่าทุกวันนี้คุณซื้อของกิน คุณกลับเลือกไม่ได้ คุณกำหนดสเป็กการกินของคุณไม่ได้ นั่นล่ะเราจึงต้องเปลี่ยนพอเราเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราก็จะค่อยๆ เปลี่ยน แล้วก็จะเปลี่ยนสู่สังคมกว้างในที่สุด แต่อาจใช้เวลาสักหน่อย” กิ่งกรเชื่ออย่างนั้น

อ่านเพิ่มเติม >