ฉบับที่ 111 ถูกโครงการบ้านจัดสรรไม่ยอมขายบ้านให้ อ้างเหตุ “กลัวลูกค้าป่วน”

คุณนิวัติ เดินทางมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แจ้งความประสงค์อยากขอความช่วยเหลือจากทนายความอาสาของมูลนิธิฯ เพื่อช่วยสู้คดีกับโครงการ “บ้านนนทกร”คุณนิวัติแจ้งว่า ตนถูกบริษัทท็อป บลิช จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรบ้านนนทกร บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดินโดยไม่ชอบ ทั้งที่ได้จ่ายเงินค่าจอง ค่าทำสัญญา และค่างวดแล้วจนครบถ้วนจำนวน 360,000 บาทเศษ เหลือแต่เงินค่าโอนบ้านอีกประมาณ 2.6 ล้านบาทที่ธนาคารอนุมัติสินเชื่อและได้มีการนัดวันโอนกันเรียบร้อยแล้ว แต่อยู่ดีๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย โครงการกลับโทรศัพท์แจ้งขอเลื่อนวันโอนไปอย่างไม่มีกำหนด และพอทำหนังสือสอบถามถึงกำหนดวันนัดโอนใหม่ โครงการกลับมีหนังสือบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดินและแนบเช็คคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยกลับมาให้คุณนิวัติโดยทันทีก่อนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว คุณนิวัติและภรรยาได้เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดินเนื้อที่ 42.5 ตารางวากับโครงการดังกล่าวในราคารวมทั้งสิ้น 2,990,000 บาท ซึ่งได้ทยอยจ่ายค่าจอง ค่าทำสัญญา ค่างวดตามสัญญา แต่ในระหว่างก่อสร้างบ้าน คุณนิวัติได้ขอให้ทางโครงการแก้ไขแบบรั้วกำแพงข้างบ้านจากรั้วทึบเป็นรั้วด้านบนโปร่งซึ่งทางโครงการได้ยอมแก้ไขให้ ต่อมาคุณนิวัติได้ทำหนังสือขอให้ทางโครงการพิจารณาแก้ไขแบบรั้วกำแพงด้านหลังบ้านให้เหมือนกับด้านข้างอีกครั้ง แต่คราวนี้โครงการมีหนังสือตอบปฏิเสธว่าไม่สามารถทำให้ได้พร้อมกับแจ้งว่ายินดีรับคืนบ้านและจะคืนเงินให้แก่คุณนิวัติคุณนิวัติรู้สึกฉุนเล็กๆ จึงทำหนังสือสอบถามถึงความชัดเจนในสัญญาว่าแค่ลูกค้าไม่ชอบแบบรั้วและขอเปลี่ยนแบบจะเป็นเหตุให้มีการคืนบ้านกันง่าย ๆ เลยหรือ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ไปยุ่งกับเรื่องขอเปลี่ยนแบบรั้วอีก และรอให้ถึงวันนัดโอนเพื่อที่จะได้เข้าไปอยู่อาศัยในบ้านที่ซื้อเสียที แต่สุดท้ายได้ถูกโครงการปฏิเสธที่จะขายบ้านให้โดยให้เหตุผลว่าคุณนิวัติมีพฤติการณ์ส่อไปในทางที่จะทำให้ทัศนียภาพที่สวยงามของหมู่บ้านต้องเสียไปและจะมีผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัยรายอื่นและต่อโครงการโดยรวม“บริษัทจึงมีความจำเป็นที่จะต้องยับยั้งเหตุอันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อโครงการทั้งในปัจจุบันและในอนาคต บริษัทจึงมีความจำเป็นสุดวิสัยที่จะต้องบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวกับท่าน โดยให้มีผลโดยทันทีในวันนี้...” คุณนิวัติอ่านเนื้อจดหมายบอกเลิกสัญญาจากบริษัทถึงกับอึ้ง คิดไม่ออกว่าตัวเองทำผิดอะไร แค่ขอแก้ไขแบบรั้วบ้านถึงกับต้องถูกบอกเลิกสัญญาไม่ขายไม่โอนบ้านให้ หลังจากนั้นคุณนิวัติจึงได้ยื่นเรื่องฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งบังคับให้บริษัทโอนบ้านให้ ปรากฏว่าบริษัทได้แจ้งต่อศาลว่าได้ขายบ้านในฝันของคุณนิวัติให้ลูกค้าคนอื่นไปเรียบร้อยแล้ว คุณนิวัติจึงต้องติดต่อขอสินเชื่อทำเรื่องซื้อบ้านใหม่จากอีกโครงการหนึ่งซึ่งมีราคาแพงกว่าและตั้งเรื่องฟ้องร้องใหม่เพื่อเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการถูกบอกเลิกสัญญาไม่เป็นธรรมและมาขอให้มูลนิธิฯ ช่วยจัดทนายความอาสาช่วยเหลือต่อสู้คดีแนวทางแก้ไขปัญหามูลนิธิฯ ได้จัดทนายความอาสาเข้าสู้คดีให้กับคุณนิวัติ โดยที่คุณนิวัติเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง หลังการต่อสู้คดีในที่สุดศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาออกมาว่า บริษัทโครงการบ้านจัดสรรเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องคืนเงินที่รับไว้แล้วจากลูกค้าพร้อมดอกเบี้ยและต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นคือค่าส่วนต่างของราคาบ้านที่คุณนิวัติต้องหาซื้อใหม่ โดยศาลชั้นต้นพิจารณาว่าบ้านที่คุณนิวัติซื้อจากโครงการบ้านนนทกรมีเนื้อที่ 42.5 ตารางวา ราคา 2,990,000 บาท คิดเป็นเงินตารางวาละ 70,352.94 บาท ส่วนบ้านที่คุณนิวัติไปซื้อใหม่มีเนื้อที่ 54 ตารางวา ราคา 4,690,000 บาท คิดเป็นตารางวาละ 86,851.85 บาท สูงกว่าราคาบ้านเดิมตารางวาละ 16,489.91 บาท แต่อย่างไรก็ดีหากโครงการบ้านจัดสรรไม่ผิดสัญญาคุณนิวัติก็จะได้บ้านในเนื้อที่เพียง 42.5 ตารางวา ดังนั้นเนื้อที่ส่วนที่เกินขึ้นจากการซื้อบ้านหลังใหม่จึงไม่ถือว่าเป็นความเสียหายที่คุณนิวัติได้รับ ศาลจึงพิจารณาเห็นว่าคุณนิวัติคงได้รับความเสียหายเฉพาะส่วนต่างของราคาที่ดิน 42.5 เป็นเงิน 701,203.67 บาท จึงพิพากษาให้โครงการบ้านจัดสรรชำระเงิน 701,203.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี หลังจากที่ใช้เวลาในการต่อสู้คดีประมาณ 5 เดือนเศษ ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ในชั้นอุทธรณ์คาดว่าจะทราบผลตัดสินในเวลาไม่นานและถือเป็นข้อยุติตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 111 สงสัยครีมหมอจุฬา ใช้แล้วเสี่ยง

เรียน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคใน net ลงข้อความครีมหมอจุฬาในกระปุกใสของจริงจะไม่มีสติ๊กเกอร์ติดด้านบน จะมีเพียงด้านข้างซึ่งรูปดอกไม้จะมีสีอ่อนกว่า และตัวหนังสือความเข้มก็จะอ่อนกว่าค่ะ ช่วยตรวจสอบให้ด้วยค่ะว่าแบบไหนจริงแบบไหนปลอม หรือว่าปลอมทั้งคู่ และช่วยตรวจสอบเกี่ยวกับครีมหมอจุฬาว่าของแท้เป็นยังไง สรรพคุณดีจริงอย่างที่โฆษณาไหม ใช้แล้วมีผลข้างเคียงยังไง มีแหล่งผลิตที่แน่ชัดไหม ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับ อย.หรือเปล่าคะ แล้วถ้ามีครีมของหมอจุฬาที่เป็นของจริง สามารถติดต่อหรือสั่งซื้อได้ยังไงถึงจะไม่โดนหลอกและได้ของจริงผู้บริโภคจากชลบุรีท่านหนึ่ง ได้เขียนจดหมายฉบับนี้มาถึงมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค หลังจากที่เคยซื้อผลิตภัณฑ์หน้าขาว ครีมสมุนไพรตราหมอจุฬา จากร้านขายเครื่องสำอางแถวบ้าน ซึ่งเป็นครีมข้นสีครีม ไม่มีกลิ่น มีฉลากแสดงประเภทสินค้า วิธีใช้ และสรรพคุณสินค้า แต่ไม่ได้ระบุเลขทะเบียนอาหารและยา จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) เลยมีความสงสัยว่า ครีมที่ซื้อมาจากร้านขายเครื่องสำอางกับครีมที่โฆษณาทางอินเตอร์เน็ตนั้น ตัวไหนคือของจริง ตัวไหนคือของปลอม หรือว่าปลอมกันทั้งคู่ แนวทางแก้ไขปัญหาเราได้ส่งหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือ อย. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง ได้รับคำตอบกลับมาในเวลาอันรวดเร็ว จึงขอกระจายข่าวให้กับผู้ที่จะซื้อหรือกำลังใช้ครีมเครื่องสำอางยี่ห้อหมอจุฬาได้รับทราบโดยทั่วกันอย. ชี้แจงถึงเครื่องสำอางที่เราได้รับจากผู้ร้องเรียนและส่งไปให้ อย. ตรวจสอบนี้ พบว่าการแสดงฉลากภาษาไทยไม่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด คือ ไม่มีชื่อเครื่องสำอาง ส่วนประกอบ วันเดือนปีที่ผลิต ครั้งที่ผลิต ที่ตั้งของผู้ผลิต และเนื้อครีม(ที่ผู้ร้องส่งมาให้ตรวจสอบนั้น)ที่อยู่ในตลับมีปริมาณน้อยมาก จึงไม่สามารถส่งตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หรือทดสอบโดยชุดทดสอบเบื้องต้นได้อย่างไรก็ดี อย. ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เครื่องสำอางดังกล่าวมีลักษณะใกล้เคียงกับเครื่องสำอางที่ อย. เคยประกาศผลการตรวจวิเคราะห์ให้ประชาชนทราบแล้ว คือ ครีมรักษาสิว-ฝ้าหน้าขาวสมุนไพรเกรด A 100% ระบุผลิตโดย ศูนย์วิจัยหมอจุฬา ไม่ระบุที่ตั้งผู้ผลิต วันที่ผลิต เลขที่ผลิต ตรวจพบสารห้ามใช้ปรอทแอมโมเนีย และครีมหน้าขาว(สูตรเข้มข้น) ระบุผลิตโดยศูนย์วิจัยหมอจุฬา ไม่ระบุที่ตั้งผู้ผลิต วันที่ผลิต เลขที่ผลิต ตรวจพบสารห้ามใช้ ปรอทแอมโมเนีย ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ได้ คือ อาจทำให้เกิดการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ ผิวบางลง เกิดพิษสะสมของสารปรอท ทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ และไตอักเสบ“ผลิตภัณฑ์นี้จึงจัดเป็นเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ ซึ่งกฎหมายกำหนดโทษสำหรับผู้ผลิตเพื่อขาย ผู้นำเข้าเพื่อขาย และผู้ขาย ให้จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”ท้ายสุด อย. ให้ข้อแนะนำว่า ผู้บริโภคควรเลือกซื้อเครื่องสำอางด้วยความระมัดระวัง จากร้านค้าที่มีหลักแหล่งแน่นอน ฉลากภาษาไทยมีข้อความบังคับครบถ้วน คือ ชื่อและประเภทผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบสำคัญ วิธีใช้ ชื่อและที่ตั้งแหล่งผลิต วันเดือนปีที่ผลิต ปริมาณสุทธิ ส่วนร้านค้าที่ซื้อเครื่องสำอางเพื่อมาจำหน่าย จะต้องซื้อจากผู้มีหลักแหล่งน่าเชื่อถือ และมีหลักฐานการซื้อขายที่ระบุชื่อและที่ตั้งของผู้ขายอย่างชัดเจนดังนั้น เครื่องสำอางไหนๆ หากขาดรายละเอียดที่ อย.ว่ามา ก็ไม่ต้องถามหรอกครับว่า ของไหนปลอม ของไหนจริง เพราะทั้งหมดล้วนเป็นเครื่องสำอางเสี่ยงภัยทั้งนั้น “หยุดซื้อ หยุดใช้” เป็นดีที่สุดครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 111 ภัยไม่คาดฝัน จากห้างค้าปลีกยักษ์

ในยามที่บ้านเมืองที่แสน...จะปั่นป่วนวุ่นวาย วังเวง ไร้ซึ่งจุดจบอย่างนี้ ก็ขอให้แฟนๆ ฉลาดซื้อ มีความสุขกับการอ่านหนังสือดีๆ เล่มนี้กันนะจ๊ะ วันนี้มีเรื่องเล่าแปลกๆ ที่เกี่ยวกับ การใช้สิทธิในห้างสรรพสินค้ากันหน่อย เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ห้างเทสโก้โลตัส คือศูนย์พิทักษ์ผู้บริโภคจังหวัดสมุทรสงคราม ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภครายหนึ่ง กรณีซื้อสินค้าเครื่องเล่น ซีดี แล้วสินค้าชำรุดเสียหาย(ภายในระยะเวลาประกัน) จึงได้นำสินค้าไปที่ห้าง ห้างก็ๆ รับไว้และบอกว่าจะส่งซ่อมกับบริษัทผู้ผลิต ผู้บริโภคก็รอเกือบ 3 เดือนก็ยังไม่ได้รับการติดต่อจากห้างฯ จึงไปสอบถามพนักงานห้างฯ ท่านก็ตอบว่าอยู่ระหว่างส่งซ่อมเช่นเดิม ไปอีกหลายครั้งก็ได้คำตอบเหมือนเดิม จึงมาร้องเรียนให้ศูนย์ช่วยตรวจสอบ ศูนย์จึงได้ดำเนินการตรวจสอบไปทีห้าง และบริษัทผู้ผลิต เลยพบความจริงว่าบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ บอกไม่มีสินค้าชิ้นนี้ส่งซ่อม แต่ห้างยืนยันว่าส่งแล้วศูนย์ฯ จึงเดินหน้าพาผู้เสียหายไปเจรจากับผู้จัดการห้าง จนสุดท้ายผู้เสียหายได้เงินคืน(เรื่องก็จบไปไม่มีอะไรในกอไผ่) ถัดมาอีกไม่กี่วัน มีผู้บริโภคมาปรึกษาอีกว่าได้ไปซื้อโทรศัพท์ในห้างโลตัส(ที่เดิมอีก) มา ยังไม่ได้แกะใช้แต่รู้สึกอยากเปลี่ยนเป็นรุ่นอื่น จะขอเปลี่ยนได้ไหม เจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ ก็บอกว่า ลองไปคุยดูซิ แต่คิดว่าน่าจะเปลี่ยนได้เพราะยังไม่ได้ใช้สินค้า ผู้มาร้องเรียนจึงขอให้น้องในศูนย์ฯ ไปเป็นเพื่อน(ศูนย์ฯ กับห้างฯ อยู่ใกล้กัน) น้องที่เคยไปเจรจาครั้งที่แล้วเลยอาสาไปเป็นเพื่อน เพราะรู้ช่องทางและรู้จักผู้จัดการอยู่แล้ว เช่นเดิมคือไปเจรจากับร้านที่ซื้อโทรศัพท์ แล้วตกลงกันไม่ได้ น้องเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ จึงพาไปเจรจากับผู้จัดการจนสามารถเปลี่ยนเป็นโทรศัพท์รุ่นที่ต้องการได้สำเร็จขณะกำลังเตรียมตัวจะกลับ ก็มีพนักงานห้างฯ เข้ามาคุยและแนะนำตนเองว่าเป็นผู้จัดการด้านรักษาผลประโยชน์ของห้างฯ เมื่อเห็นน้องเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ จึงไม่ยอมให้น้องและผู้ซื้อสินค้าที่ไปด้วยกันออกจากห้างฯ และขอให้น้องแสดงบัตรเจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ ให้ดู น้องบอกว่าศูนย์ฯ เป็นศูนย์ภาคประชาชนไม่มีบัตร และวันนี้ไม่ได้มาในนามเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ แต่มาเป็นเพื่อนของลูกค้าห้าง และจะเดินออกจากห้างฯ เจ้าหน้าที่ห้างฯ มาขวางไม่ให้ออกจากห้างฯ และขอยึดบัตรประชาชนไว้ น้องเจ้าหน้าที่ศูนย์ไม่ยอม เกือบจะวางมวยกัน (ดีนะที่น้องยังยั้งใจไว้ได้) เจ้าหน้าที่ห้างฯ ขอเบอร์ศูนย์และโทรไปให้ผู้ประสานงานศูนย์มายืนยันความเป็นเจ้าหน้าที่ของน้องที่อยู่ที่ห้าง คุณเรณู ภู่อาวรณ์ ผู้ประสานงานศูนย์ฯ ตอบกลับไปว่า “ทำไมต้องไปยืนยัน ทุกคนมีสิทธิเข้าห้างฯ เพราะห้างฯ เปิดให้คนเข้าไปไม่ใช่หรือ และห้างฯ ก็ไม่มีสิทธิกักตัวประชาชนที่เข้าไปในห้างฯ ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น ให้ปล่อยตัวทั้งเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯ และผู้ซื้อสินค้าออกมา ไม่อย่างนั้นจะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว” พนักงานห้างฯ จึงยอมปล่อยตัวทั้ง 2 คนออกมา ซึ่งทั้งหมดของการเจรจากินเวลาเกือบชั่วโมง ตกลงว่า..นี่ห้างสรรพสินค้าหรือสถานีตำรวจ กันแน่เนี่ย...ห้างสรรพสินค้าเปิดไว้เพื่อให้ลูกค้าเข้าไปซื้อสินค้า เราเข้าไปแล้ว จะซื้อหรือไม่ซื้อสินค้าก็ได้ขึ้นอยู่กับความพอใจของเรา พอใจก็ซื้อไม่พอใจก็ไม่ซื้อไม่มีใครมาบังคับเราได้ และหากเราไม่ได้ขโมยสินค้าหรือทำข้าวของๆ แตกหักเสียหาย ห้างสรรพสินค้าจะมาใช้สิทธิกักขังหน่วงเหนี่ยวเราไม่ได้ และการซื้อสินค้าเราซื้อมาโดยมีใบเสร็จยืนยันการซื้อสินค้า ในเวลาไม่เกิน 3-7 วัน เรามีสิทธิเปลี่ยนสินค้าได้ ห้างสรรพสินค้าจะมาแสดงความยิ่งใหญ่ข่มขู่กักขังเราไม่ได้ ฝากผู้บริโภคแล้วกันว่าหากเจอเรื่องอย่างนี้ขอให้แจ้งตำรวจทันทีโดยไม่ต้องเจรจาให้เสียเวลานะจ๊ะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 110 สื่อวันนี้อิสระจริงหรือ?

วันนี้เราคงต้องยอมรับกันว่า สื่อมีอิทธิพลสูงสุดในภาวะสงครามสีของประเทศไทย ทั้งสื่อทีวี สื่อสิ่งพิมพ์และสื่อไอที ซึ่งการส่งข่าวสารในปัจจุบันว่องไวปานสายฟ้าแลบก็ไม่ปาน ดังนั้นข่าวสารจึงหลั่งไหลไปทุกทิศทุกทางอย่างยากจะหยุดยั้ง คนไทยส่วนใหญ่หันมาสนใจข่าวสารบ้านเมืองมากขึ้น และที่สนใจมากขึ้นเพราะอยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นไปอย่างไร จะรุนแรงมั้ยและจะจบอย่างไร นี่เป็นคำถามที่คนไทยทุกคนอยากรู้แต่ไม่มีใครตอบได้(แฮะๆ ผู้เขียนก็ตอบไม่ได้จ้ะ) และที่สำคัญคือสื่อยังสามารถโน้มน้าวให้เกิดความเชื่อไปทางใดทางหนึ่งได้โดยง่าย ยิ่งเป็นรายงงานข่าวที่มีการวิเคราะห์แง่มุมของเนื้อข่าวอย่างละเอียดด้วยแล้วจะได้รับความสนใจจากคอข่าวชาวไทยอย่างมาก ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าสื่อมีอิทธิพลมหาศาลในสังคมไทยจริงๆวันนี้คนไทยทุกคนรับรู้ว่าสื่อมีความเป็นอิสระเป็นอย่างมาก ขนาดบัญญัติความอิสระของสื่ออยู่ในรัฐธรรมนูญปี 50 เลยทีเดียวเชียว โดยคนไทยก็ชูจั๊กกะแร้เชียร์ ขอให้สื่อมีความอิสระจริงๆ เพราะคนไทยอยากเห็นข่าวสารที่ตรงไปตรงมาบนข้อเท็จจริง โดยไม่ต้องผ่านการปรุงแต่ง แต่เอาเข้าจริงก็อยากตั้งคำถามเหมือนกันว่าวันนี้สื่อเป็นอิสระจริงหรือ? อาจจะมีคำตอบว่าขนาดบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแล้วจะมาถามทำไม? ที่ต้องถามเพราะผู้เขียนมีข้อสงสัยในความอิสระของสื่อจริง ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อทีวี ที่สงสัยเพราะสื่อทั้งสองชนิดนี้ก็ยังผูกติดอยู่กับโฆษณา เพราะการมีโฆษณาคือการอยู่รอดของสื่อ หรือที่เรียกกันว่าผู้มีอุปการะคุณนั่นเอง และเมื่อสื่อยังต้องพึ่งโฆษณา โดยเฉพาะสื่อทีวีอาจจะมีบางรายการที่ได้รับความนิยมมากๆ บริษัทที่ซื้อโฆษณาก็มีบทบาทน้อยหน่อย แต่รายการกลางๆ ที่ต้องพึ่งโฆษณาเพื่อความอยู่รอดของรายการบริษัทที่ซื้อโฆษณา สามารถสั่งได้ว่าต้องการให้รายการนั้นๆ ออกมาในรูปแบบใด และที่สำคัญคือสื่อสิ่งพิมพ์(หนังสือพิมพ์)ที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการปิโตรเลียมทุ่มซื้อโฆษณาในหลายฉบับ เรียกว่าคุมได้หมดก็ว่าได้ที่พูดได้อย่างนี้เพราะเคยมีประสบการณ์มาหลายครั้ง เพราะบางครั้งเราแถลงข่าวเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลในวงการปิโตรเลียมของไทยเพื่อให้คนไทยได้ร่วมรับรู้ ข่าวเหล่านั้นไม่เคยได้ปรากฎในสื่อทีวีและสื่อสิ่งพิมพ์เลย ถามนักข่าวไปก็ได้คำตอบมาว่าลงให้ไม่ได้เพราะจะกระทบบริษัทที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ของสื่อแต่ละสำนัก (ไหนว่าสื่ออิสระไงทำไมไม่กล้าลงข่าวที่เป็นข้อเท็จจริงล่ะ ?) ยกตัวอย่างกรณีศาลตัดสินให้ปตท.คืนส่วนต่าง(ค่าวางท่อก๊าซ)คืนคลัง โดยให้สตง.ร่วมประเมินราคาท่อที่ปตท.ต้องคืน แต่ปตท.รีบร้อนคืนมาประมาณหมื่นหกพันล้านบาท ทั้งที่จริงสตง.ตรวจสอบแล้วพบว่าปตท.ต้องคืนส่วนต่างให้คลังเกือบแสนล้านบาท แต่ปตท.คืนหมื่นกว่าล้านแล้วบอกจบ เราในฐานะคนไทยก็ควรได้รับรู้เรื่องนี้บ้าง แต่สื่อไม่กล้าลงเพราะกลัวกระทบกับโฆษณา สิ่งที่เราทำได้คือเรารวมตัวกันไปยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้เร่งตรวจสอบและเรียกร้องให้ปตท.คืนเงินให้ครบตามจำนวนที่สตง.ตรวจพบไม่อย่างนั้นพวกจะฟ้องว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แต่เหมือนเดิมคือมีข่าวลงน้อยมาก ทีวีที่เราได้ออกมีช่องเดียวคือ ทีวีไทย ส่วนสื่อสิ่งพิมพ์แทบหาไม่เจอเลย ที่เขียนมานี้ไม่ได้มีอคติกับสื่อ เพียงอยากจะแค่ถามว่า วันนี้สื่อมีอิสระแล้วจริงๆ หรือ?  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 110 แพ้ผลิตภัณฑ์ของยูนิซิตี้

“ที่ยูนิซิตี้ ไทยแลนด์ เราทำให้ ชีวิตดีขึ้น ด้วยการช่วยเหลือคนให้ ดูดีขึ้น รู้สึกดีขึ้น และมี ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น"เป็นคำโฆษณาสวยหรู ที่ธุรกิจขายตรงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่าง บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง(ไทยแลนด์) ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกสมาคมขายตรงไทย นำมาใช้รับประกันสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกขายตรงและลูกค้าของตนแต่สำหรับนันทาลูกค้าที่หลงซื้อผลิตภัณฑ์ “เอนจูวิเนทพลัส” ของยูนิซิตี้ในราคากระปุกละ 4,950 บาทจากสมาชิกขายตรงมารับประทานกลับไม่รู้สึกดีขึ้นเหมือนคำโฆษณานั้นแต่อย่างไร“ดิฉันมีปัญหาเรื่องริ้วรอยตีนกา ตัวแทนจำหน่ายยูนิซิตี้บอกกับดิฉันว่าทานเอนจูวิเนทพลัส ริ้วรอยตีนกาที่ดิฉันมีอยู่จะหายภายในหนึ่งเดือน คือทานหนึ่งกระปุกค่ะ เขาบอกว่าถ้าไม่ได้ผลยูนิซิตี้รับประกันยินดีคืนเงินเต็มจำนวน 4,950 บาท”นันทาตกลงซื้อเอนจูวิเนทพลัสมาทาน แต่ทานไปได้แค่หนึ่งอาทิตย์ก็ต้องรีบกดโทรศัพท์ไปสอบถามกับตัวแทนเพราะเกิดอาการข้างเคียง คือเวลาทานผลิตภัณฑ์ตัวนี้แล้วจะมีอาการคอแห้ง หูอื้อ แสบร้อนที่ตาและยุบยิบตามข้างกระพุ้งแก้ม“อุ๊ยตาคุณพี่ขา นั่นแหละค่ะมันเริ่มได้ผลแล้วนะคะ ทานต่อไปเลยค่ะ ทานให้หมดกระปุก” สมาชิกขายตรงฉอเลาะ “คุณน้องคะ แต่พี่ไม่ไหวแล้วค่ะ มันยุบยิบ ๆ ไปหมดทั้งหน้าทั้งตา พี่ไม่ทานต่อแล้วนะคะขอคืนสินค้าแล้วก็เงินคืนด้วยค่ะ”“ไม่ได้นะคะคุณพี่ อย่างนี้มันผิดเงื่อนไข คุณพี่ต้องทานให้หมดก่อนนะคะ บริษัทถึงจะคืนเงินให้คุณพี่ได้”เพราะความอยากได้เงินเกือบห้าพันบาทคืน นันทาจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนทานผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะหมดกระปุก แต่เมื่อทานทุกครั้งอาการข้างเคียง คอแห้ง แสบร้อนที่ตา หูอื้อ และยุบยิบที่ข้างกระพุ้งแก้มก็ไม่ได้ลดหย่อนผ่อนหายลงไปอดทนทานจดหมดกระปุกครบเวลาหนึ่งเดือนตามสัญญา นันทาส่องกระจกตรวจดูริ้วรอยตีนกาบนใบหน้า“มันยังอยู่กันครบเลยค่ะ เคยมีกี่ริ้วกี่รอยก็ยังอยู่เหมือนเดิม”“คุณน้องขา เห็นหน้าพี่อย่างนี้แล้วคุณน้องจะคืนเงินให้พี่ได้หรือยังคะ”“ใจเย็น ๆ ค่ะคุณพี่มันต้องรอดูผลสักพัก ลูกค้าคนอื่นเขาทานแล้วหน้าใสปิ๊งหลายรายค่ะ แต่ให้มั่นใจหนูแนะนำให้พี่ซื้อให้ครบ 3 กระปุกเลยค่ะ”นันทาโกรธสุดๆ ไม่คุณพี่ไม่คุณน้องกันแล้ว แหม...ใช้ไม่ได้ผลแล้วยังจะด้านขายของกันอีก จึงยื่นคำขาดไปที่ตัวแทนและบริษัทให้คืนเงินค่าสินค้าและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในท้ายที่สุดแนวทางแก้ไขปัญหาสิ่งที่ผู้บริโภคควรรู้คือ การขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีการโฆษณาสรรพคุณว่าสามารถรักษา หรือบำบัดอาการต่างๆ ได้เหมือนยานั้นเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่มีความน่าเชื่อถือและไม่ควรซื้อมาใช้หรือมารับประทานเป็นอย่างยิ่งปัญหาหน้าเหี่ยวหน้าย่นมีปัจจัยหลายอย่างเกี่ยวข้อง อาทิ เรื่องของวัย สภาพอารมณ์ สภาพการทำงานหรือการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ซึ่งผลิตภัณฑ์หรือยาวิเศษที่ดีที่สุดทีได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการทางการแพทย์ปัจจุบันคือ การทานอาหารให้ครบห้าหมู่ การออกกำลังกายที่เหมาะสม การทำจิตใจให้เบิกบานและการพักผ่อนที่เพียงพอ นั่นเองสำหรับความเสียหายที่คุณนันทาได้รับนั้น สามารถเรียกร้องให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายได้ ทั้งราคาค่าสินค้า เงินค่ารักษาพยาบาล รวมไปถึงความเสียหายทางด้านจิตใจ ดังนั้นธุกริจขายตรงถ้าไม่อยากโดนข้อหาหลอกขายสินค้าแก่ผู้บริโภค จึงควรแสดงความรับผิดชอบโดยการจ่ายชดเชยความเสียหายแก่ผู้บริโภคโดยเร็วที่สุด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 110 กลวิธีตุ๋นเงินทางโทรศัพท์

ถ้าคุณเห็นเบอร์ประหลาดแบบที่ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ใช้กันขึ้นโชว์บนโทรศัพท์ ขอเตือนอย่ายุ่งกับมันเด็ดขาด มิเช่นนั้นคุณอาจจะสูญเสียทรัพย์ได้เหมือนเช่นชายคนนี้เช้าวันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553 เวลาประมาณ 10.00 น.ขณะที่สมชายกำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้าน พลันเสียงสัญญาณโทรศัพท์เข้าได้ดังขึ้น สมชายหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมองดูเลขหมายที่โทรเข้ามา เป็นเบอร์ลักษณะประหลาดมีเครื่องหมายบวกตามด้วยหมายเลขยาวเหยียดมากกว่า 10 หลัก แต่เขากดรับด้วยความเคยชิน….“สวัสดีค่ะ คุณสมชาย ใช่ไหมคะ”“ครับ...ใช่ครับ”“ดิฉันโทรมาจากธนาคารกรุงเทพ ขอแจ้งว่าคุณมีรายการยอดเงินค้างชำระจากการซื้อสินค้าผ่านทางบัตรเครดิตเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 95,000 บาทค่ะ ขอให้คุณสมชายรีบไปชำระด้วยนะคะ”สมชายตกใจ ย้อนถามกลับไปว่า เขาไปซื้อของที่ไหน เมื่อไหร่ ทำไมถึงมีราคามากกว่าวงเงินที่ธนาคารให้กับบัตรเครดิตของเขา คุณเธอที่อ้างว่าเป็นพนักงานของธนาคารกรุงเทพ ให้ข้อมูลว่ามีการไปซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งเมื่อวันที่นั้น เวลานี้ พร้อมยืนยันว่าธนาคารมีรายละเอียดยืนยันอย่างชัดเจน“เป็นไปไม่ได้ครับ ผมไม่ได้ใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้าแน่ อีกอย่างบัตรเครดิตที่ผมถืออยู่วงเงินมันไม่ถึงที่จะซื้อสินค้าได้ถึงเก้าหมื่นบาทหรอกครับ” สมชายบอกปฏิเสธ“ถ้าอย่างนั้นคุณสมชายเคยทำเอกสารพวกบัตรประชาชนสูญหายไหมคะ” คุณเธอขยับหลุมพรางเข้ามาสู่ขั้นที่สอง “ก็เคยครับ แต่นั่นมันนานมาแล้ว แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยครับ”“คุณสมชายอาจโดนมิจฉาชีพนำบัตรประชาชนไปทำบัตรเครดิต ด้วยการปลอมแปลงลายเซ็นต์ค่ะ และเขาอาจจะนำไปใช้รูดซื้อสินค้าเพิ่มเติมอีกก็ได้”“โอยตายล่ะ แล้วอย่างนี้ผมจะทำยังไงดีครับ ไม่งั้นผมมีหนี้ที่ไม่ได้ก่อบานตะไทแน่”“ใจเย็น ๆ ค่ะ คุณสมชาย ธนาคารมีวิธีแก้ไข” คุณเธอกล่าวปลอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนพร้อมกล่าวต่อไปว่า“เนื่องจากขณะนี้มีการปลอมแปลงบัตรเครดิตของพวกมิจฉาชีพไปใช้อย่างที่คุณสมชายเจอ ธนาคารกรุงเทพจึงได้มีระบบประสานงานพิเศษกับตำรวจดีเอสไอเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ประสบปัญหาแบบนี้ค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะโอนสายของคุณเข้าสู่ระบบรับเรื่องของตำรวจดีเอสไอให้ โปรดรอสักครู่นะคะ”เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ หลุมพรางหลุมที่สามก็หลุดเข้ามาในสาย“สวัสดีค่ะ ดิฉันร้อยตำรวจตรีหญิงปานเดือน เจ้าหน้าที่รับแจ้งเหตุตำรวจดีเอสไอ มีอะไรให้รับใช้คะ”สมชายคลายใจที่ได้ยินเสียงหวาน ๆ ของตำรวจหญิงปานเดือน จึงเล่าถึงปัญหาว่ามีคนใช้บัตรประชาชนของเขาไปออกบัตรเครดิตโดยปลอมลายเซ็นต์แล้วนำไปรูดซื้อสินค้า ซึ่งเป็นข้อมูลที่เพิ่งได้รับแจ้งจากหญิงที่อ้างตัวว่าเป็นพนักงานธนาคารกรุงเทพเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ร้อยตำรวตรีหญิงปานวาดได้ซักถามข้อมูลเพิ่มเติมอย่างละเอียด ไล่ตั้งแต่ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หมายเลขบัตรประชาชน บัตรเครดิตอื่นๆ ที่มีพร้อมวงเงินของแต่ละบัตรเครดิต รวมถึงบัญชีธนาคารที่มีบัตรเอทีเอ็ม“ผมบอกเขาไปหมดเลยครับ บอกว่ามีบัญชีธนาคารกสิกรไทยอยู่และมีบัตรเอทีเอ็มด้วย เพราะหลงเชื่อว่าเขาเป็นตำรวจดีเอสไอจริงๆ” สมชายให้เหตุผลหลังจากได้ข้อมูลจากเหยื่อจนครบถ้วน ร้อยตำรวจตรีหญิงปานวาดจึงเริ่มดำเนินการเปิดหลุมพรางหลุมที่สี่ให้เหยื่อหล่นลึกไปยิ่งขึ้น“จากข้อมูลที่คุณสมชายให้มา ดีเอสไอจะดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาผู้ร้ายให้อย่างเร่งด่วนค่ะ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพไปสวมรอยใช้บัตรเครดิตใบอื่นๆ ของคุณได้ ขอแนะนำให้คุณสมชายไปรูดเงินออกจากบัตรเครดิตทุกใบที่มีอยู่ให้หมด แล้วนำเงินทั้งหมดไปฝากเก็บไว้ในบัญชีของธนาคารกสิกรไทยที่คุณเปิดบัญชีอยู่เพราะถือเป็นบัญชีที่ปลอดภัยที่สุด เนื่องจากขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยเพื่อป้องอาชญากรรมในลักษณะนี้อยู่ค่ะ ให้ไปดำเนินการทันทีเดี๋ยวนี้เลยนะคะก่อนที่มิจฉาชีพจะสามารถใช้บัตรเครดิตของคุณจนเกิดความเสียหายเพิ่มเติมได้”วางหูเสร็จสมชายคว้ากุญแจรถเผ่นผลึงบึ่งไปหาตู้เอทีเอ็มใกล้บ้านทีละตู้ๆ ไล่รูดเงินสดออกมาจากบัตรเครดิตทั้งหมดที่มีอยู่ 3 ใบจนหมดวงเงินรวมเป็นเงิน 90,000 บาท ในระหว่างนั้นได้มีเสียงผู้ชายอ้างตัวว่ามียศเป็นพันตำรวจตรีจากดีเอสไอโทรศัพท์เข้ามาสอบถามอยู่ตลอดเวลาว่าได้กดเงินออกมาหมดหรือยัง เอาเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทยหรือยัง เพราะได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ของธนาคารกสิกรไทยให้เตรียมรับเงินอยู่คุณสมชายเห็นว่าเป็นคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ตำรวจดีเอสไอจึงรีบปฏิบัติตามทุกขั้นตอน ท้ายสุดขับรถมาที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารกสิกรไทยเพื่อทำการฝากเงินสดเข้าตู้เอทีเอ็ม ฝากเงินสดเข้าธนาคารเรียบร้อยคุณสมชายถอนหายใจคิดว่าเรื่องจบแล้ว เดินกลับจะไปขึ้นรถ พลันเสียงโทรศัพท์ไม่แสดงเลขหมายก็ดังเข้ามาที่มือถือ หลุมพรางหลุมสุดท้ายเริ่มเปิดฉาก“สวัสดีค่ะ คุณสมชายนะคะ ดิฉันร้อยตำรวจตรีหญิงปานเดือนค่ะ คุณสมชายนำเงินเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทยแล้วหรือยังคะ”“ฝากเข้าแล้วครับ มีอะไรอีกหรือครับ”“คุณสมชายต้องรีบกลับไปที่ตู้เอทีเอ็มธนาคารกสิกรก่อนนะคะ คุณจะต้องดำเนินการเปลี่ยนข้อมูลในแถบแม่เหล็กบัตรเอทีเอ็มของคุณก่อนไม่งั้นอาจเกิดปัญหาได้หากมีการปลอมบัตรเอทีเอ็มของคุณได้อีก เดี๋ยวดิฉันจะบอกขั้นตอนการเปลี่ยนข้อมูลให้ค่ะ ให้ไปที่ตู้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”คุณสมชายกลับไปที่ตู้เอทีเอ็มพร้อมแนบโทรศัพท์ไว้ที่หูฟังขั้นตอนที่ตำรวจหญิงปานวาดแนะนำ ขั้นแรกถูกแนะนำให้กดถอนเงินสดออกมา 100 บาท และถูกสอบถามว่ามีเงินเข้ามีเงินเหลือยู่ในบัญชีอยู่เท่าไหร่ หมายเลขตู้เอทีเอ็มคือหมายเลขอะไร เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าเหยื่อนำเงินเข้าบัญชีแล้วจริง และมีเงินอยู่ในบัญชีเป็นจำนวนเท่าไหร่ ตำรวจหญิงปานวาดจึงทำทีบอกรหัสการเปลี่ยนข้อมูลในแถบแม่เหล็กของบัตรเอทีเอ็ม ซึ่งความจริงแล้วคือขั้นตอนการโอนเงินเข้าไปอีกบัญชีหนึ่งที่มิจฉาชีพกลุ่มนี้เปิดรอไว้ และเตรียมที่จะกดเอทีเอ็มถอนออกมาเป็นเงินสดทันทีเมื่อเงินเข้าบัญชีเรียบร้อยคุณสมชายนั้นให้ข้อมูลไปทั้งหมด พร้อมทำตามทุกขั้นตอน เพราะคิดว่าคุยกับตำรวจอยู่จริง รับใบสลิปจากตู้เอทีเอ็มเสร็จจึงขับรถกลับบ้าน กว่าจะเอะใจหยิบสลิปมาดูแล้วพบว่าถูกหลอกให้โอนเงินเข้าบัญชีของมิจฉาชีพก็ช้าไปเสียแล้ว แนวทางการแก้ไขปัญหาถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วต้องบอกว่าเรียบร้อยโรงเรียนโจรล่ะครับ เพราะบัญชีที่มิจฉาชีพเปิดทิ้งไว้นั้น ได้มาจากการไปหลอกเหยื่อให้มาเปิดบัญชีพร้อมทำบัตรเอทีเอ็มทิ้งไว้ เงินเข้าไปเมื่อไหร่ก็กดออกมาทันที เป็นเรื่องที่ตำรวจจะต้องตามล่าหาตัวกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้มาลงโทษให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะสร้างความเสียหายให้กับสุจริตชนมากขึ้นเรื่องนี้ถือว่าเป็นช่องโหว่ของกฎหมายด้านโทรคมนาคมที่ยังไม่มีมาตรการป้องกันการก่ออาชญากรรมทางโทรศัพท์และทางโทรคมนาคมอื่นๆ ดังนั้น ประชาชนจะต้องรู้จักป้องกันตนเองเป็นเบื้องต้น คือขั้นที่หนึ่ง หากมีใครโทรมาบอกว่าเราเป็นหนี้ธนาคารหรือสถาบันการเงินใดก็แล้วแต่ ก่อนที่จะคุยอะไรกันต่อไปต้องขอให้เขาส่งเอกสารหลักฐานรายการแจ้งหนี้มาแสดงต่อเราโดยไม่ต้องแจ้งที่อยู่ของเราให้เขาทราบ เพราะหากเป็นเจ้าหนี้ตัวจริงก็จะส่งข้อมูลตามที่อยู่ที่ได้รับแจ้งไว้ได้ หากเป็นตัวปลอมก็จะบ่ายเบี่ยงโยกโย้ หรือเร่งเร้าให้เรานำเงินไปชำระหนี้ตามตู้เอทีเอ็ม เจออย่างนี้ให้ยุติการพูดคุยโดยทันทีขั้นที่สอง หากมีการส่งเอกสารแจ้งหนี้มา ให้ตรวจสอบรายการใช้จ่าย หากพบว่ามีรายการใดหรือทั้งหมดเราไม่ได้เป็นผู้ใช้จ่ายจริง ให้ทำหนังสือทักท้วงปฏิเสธโดยทันที ไม่ควรใช้วิธีโทรศัพท์เพียงอย่างเดียวกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคถือเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการบัตรเครดิตที่จะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นการกระทำของผู้ใช้บัตรเครดิตจริง หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ก็ไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ หรือเรียกเก็บเงินไปแล้วก็ต้องคืนให้ผู้บริโภคครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 110 ชอบทีวีซัมซุง ถึงเสียก็ไม่อยากเปลี่ยนใจ

เรียน ผู้จัดการ บริษัท ซัมซุงประเทศไทย จำกัดดิฉันนางสาวดวงพร ได้ซื้อทีวี LCD 32 นิ้ว Model code LA32 ………Serial No…….Version…….(อยู่ในช่วงประกัน) เมื่อต้นปี (มกราคม 2552) และจอภาพได้เสียเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2552 ดิฉันจึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทซัมซุงทราบ และจากนั้น 3 วัน เจ้าหน้าที่ได้ให้ช่างมาตรวจที่บ้าน และได้บอกว่าจอภาพเสียต้องเปลี่ยนและต้องรออะไหล่ ดิฉันถามว่านานเท่าไร ช่างตอบว่านานเพราะต้องรอบริษัทแม่ส่งมาดิฉันรอจนสิ้นเดือนมกราคม 2553 และได้ติดต่อกลับไปสอบถามได้ความว่าอะไหล่ไม่มี ได้ส่งเรื่องให้สำนักงานใหญ่ (เจ้าหน้าที่เรียกว่า VOC) และรออีก 1 อาทิตย์ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ติดต่อกลับมา ดิฉันจึงติดต่อกลับไป แต่ทุกครั้งที่ติดต่อเจ้าหน้าที่จะบอกแบบถ่วงเวลาว่าจะติดต่อกลับไปแต่ไม่เคยเห็นจะติดต่อกลับมาสักครั้งเลย และครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้พูดจาไม่สุภาพเลย ใช้คำพูดว่า “อ๋อเรื่องของคุณ....... คุณพัช(นามสมมติ)รับเรื่องไว้เดี๋ยวจะติดต่อกลับมาดิฉันก็กลัวว่าจะไม่มีการติดต่อกลับเหมือนทุกครั้ง ดิฉันจึงขอทราบนามสกุลของคุณพัช แต่เจ้าหน้าที่ไม่บอกได้แต่รับปากว่าจะโทรติดต่อกลับแน่นอน และตอนบ่ายของวันนั้นคุณพัชก็โทรกลับมา (ดิฉันดีใจมาก) และคุณพัชได้บอกว่า ทางบริษัทจะรับซื้อคืน เพราะทางบริษัทไม่มีอะไหล่แต่ดิฉันคิดว่าถึงเงินมาก็ต้องไปซื้อทีวีอยู่ดี และชอบทีวีของซัมซุง จึงขอให้เขาเปลี่ยนเครื่องแทนไม่รับเงินแต่คุณพัชได้บอกว่าเปลี่ยนให้ไม่ได้ เพราะเครื่องไม่เสถียรจะขอเป็นซื้อคืนและขอใบเสร็จรับเงิน และถ่ายสำเนาบัตรประชาชนเขียนชื่อภาษาอังกฤษ เดี๋ยวจะส่งเงินมาโดยจะติดต่อกลับมาอีกครั้งว่าจะโอนเงินทางใด ดิฉันไม่ได้เก็บใบเสร็จไว้ คุณพัชก็ไม่ได้ว่าอะไรก็ใช้วิธีเขียนจำนวนเงินแทนว่าซื้อมาเท่าใด ดิฉันเขียนราคา 19,000 บาท และส่งแฟกซ์ไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2553 และขอเบอร์ติดต่อกับคุณพัชโดยตรง และรอตามที่คุณพัชบอกจะติดต่อกลับจนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 ดิฉันโทรกลับไปที่เบอร์ที่ได้รับไว้ แต่ไม่มีใครรับสายทั้งวันพออีกวันดิฉันจึงโทรเข้าศูนย์ซัมซุงและเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าหน้าที่ฟังและขอสายคุณพัช จากนั้นคุณพัชโทรกลับมาและบอกว่าเรื่องต้องรอผู้ใหญ่อนุมัติต้องรออีกประมาณต้นเดือนมีนาคม 2553 จึงจะได้คำตอบ ดิฉันจึงอยากทราบว่าทางบริษัทจะดำเนินการอย่างไร เพราะดิฉันรอมาหลายเดือนแล้ว โปรดติดต่อกลับทางดิฉันด้วยแนวทางการแก้ไขปัญหาเอาจดหมายฉบับนี้มาให้อ่าน เป็นแนวทางกัน สำหรับคนที่มีปัญหาซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้ามาแล้วเสียใช้ไม่ได้ในระยะเวลารับประกัน เรียกช่างมาซ่อมแล้วโยกโย้ ติ๊ดชึ่งดึงเวลา ให้ขาดระยะประกันหรือขาดอายุความในการฟ้องร้อง(อายุความ 1 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย)คุณดวงพรได้ร้องเรียนเข้ามาที่มูลนิธิฯ ว่า หลังจากที่โทรทัศน์ซัมซุง จอแอลซีดี 32 นิ้ว มูลค่า 19,000 บาทเสียดูไม่ได้มาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2552 ติดตามเรื่องผ่านทางโทรศัพท์ให้บริษัทแก้ไขปัญหาจนถึงเดือนมีนาคม 2553 รวมเวลากว่า 3 เดือนแล้วก็ยังไม่มีทีวีให้ดูรายการโปรดซักที โทรตามเรื่องจนขี้เกียจโทรแล้ว อยากให้มูลนิธิฯช่วยเหลือหน่อยมูลนิธิฯ จึงได้แนะนำว่าเรื่องนี้ไม่ยาก ให้ผู้บริโภคใช้คาถา “จดหมายดีกว่าโทรศัพท์” จดหมายร้องเรียนที่เราได้อ่านข้างบนจึงเป็นฝีมือของคุณดวงพรล้วนๆ ซึ่งผู้บริโภคท่านอื่นที่ประสบปัญหาในทำนองเดียวกันเอาไปปรับใช้ได้ครับผลที่ได้รับ เพียง 5 วันหลังจากที่ออกจดหมายไปถึงผู้บริหารของบริษัทซัมซุง คุณดวงพรก็ได้รับเช็คจำนวน 19,000 บาท และส่งคืนทีวีจอดับไปให้บริษัทซัมซุงทำลายเป็นที่เรียบร้อย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 109 อุบัติเหตุรัก

อนันยา นักศึกษาสาวใสวัยยี่สิบ ขับรถเก๋งมาจากแยกแจ้งวัฒนะตัดกับถนนวิภาวดี กำลังมุ่งหน้าไปทางวงเวียนบางเขนในช่องทางด้านซ้าย โดยไม่รู้ตัวว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเธอกำลังเจอเนื้อคู่ (คดี)อนันยา ขับรถไปฟังเพลงไปรู้สึกหิวขึ้นมาตะหงิดๆ เหลือบตาไปเห็นป้ายร้านแมคโดนัลด์ตั้งอยู่ริมทางซ้ายมือเกิดอาการน้ำลายสอ จึงหักพวงมาลัยเลี้ยวรถเพื่อเข้าร้านฯ ทันที โดยไม่ได้มองไปที่กระจกส่องหลังว่ามีรถใครตามมาหรือไม่ห่างกันไม่ถึง 10 เมตร บนถนนเส้นเดียวกัน อนันต์ หนุ่มใสวัยยี่สิบสอง บิดมอเตอร์ไซค์ตามหลังรถสาวอนันยามาในช่องทางด้านซ้ายสุดชิดขอบทางซึ่งถือว่าเป็นช่องทางของรถจักรยานยนต์ อนันต์ไม่คาดคิดว่ารถเก๋งคันข้างหน้าจะเลี้ยวซ้ายปาดหน้ารถของตัวเองอย่างกะทันหัน ดวงชะตาของหนุ่มสาวทั้งสองจึงปะทะกันอย่างรุนแรง ราวแรงถาโถมของคลื่นสึนามิที่กระแทกชายฝั่งจังหวัดภูเก็ต“โครม”“ว้าย…” สาวอนันยาใช้น้ำเสียงแอ๊บแบ๊วเจือสำเนียงเกาหลีร้องด้วยความตกใจ พร้อมเหยียบเบรคหยุดรถทันที“โอยยยยย....” หนุ่มอนันต์กระเด็นตกจากรถมอเตอร์ไซค์ ลงไปกองกับพื้นถนนนั่งกุมข้อมือขวาที่แตกหักด้วยความปวดร้าวเมื่อตาต่อตาประสานสบ บทพ่อแง่แม่งอนตามสูตรละครประเภทน้ำที่มีปริมาณก๊าซออกซิเจนน้อยกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จึงเกิดขึ้น“ขับรถมอเตอร์ไซค์ประสาอะไร ถึงขี่มาชนชั้นได้เนี่ยคุณ” สาวเจ้ายืนเท้าสะเอวใส่ฉอดๆ “อูยยย นี่คุณ...ที่คุณว่าน่ะมันต้องผมเป็นคนพูด นึกจะเลี้ยวก็เลี้ยว ไม่ดูหน้า ดูหลังบ้างเลย”“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่ต้องทะเลาะกัน รถติดเป็นแถวแล้ว น้องผู้ชายไปโรงพยาบาล น้องผู้หญิงไปสถานีตำรวจ ฟันธง!”ตำรวจจราจรผู้เข้ามาระงับเหตุประกาศด้วยเสียงเด็ดขาด เป็นเหตุให้โลกแห่งละครของคู่หนุ่มสาวทั้งสองต้องยุติลงแนวทางแก้ไขปัญหาบทสรุปรักครั้งนี้ ตำรวจระบุเป็น “คดีจราจร” โดยมีน้องนางเอกอนันยาตกเป็นผู้ต้องหา ข้อหาขับรถประมาทเฉี่ยวชนทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากตำรวจพิจารณารูปการณ์อุบัติเหตุแล้วชี้ชัดได้ว่า เกิดจากความประมาทของอนันยาที่ขับรถโดยใช้ความระมัดระวังไม่เพียงพอ ทำให้มองไม่เห็นรถจักรยานยนต์ที่วิ่งตามหลังมาในช่องทางที่วิญญูชนทั่วไปรับทราบกันดีว่าเป็นช่องทางของรถจักรยานยนต์ ทำให้อนันยาต้องยอมรับผิดและถูกเปรียบเทียบปรับในข้อหา “ขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย” ส่วนค่าเสียหายทั้งตัวรถและค่ารักษาพยาบาลนั้นตำรวจเห็นว่ารถเก๋งของอนันยามีประกันอุบัติเหตุชั้น 1 จึงให้คู่กรณีตกลงค่าเสียหายกันเองทางแม่ของหนุ่มอนันต์ได้ออกมาปกป้องลูกชายสุดที่รักที่ถูกนางเอกของเรื่องขับรถชนจนชอกช้ำเรียกค่าเสียหายทั้งสิ้น 50,000 บาท ซึ่งบริษัทประกันรับปากที่จะจ่ายชดใช้ให้ แต่ต่อมาก็เงียบหายแม่ของหนุ่มอนันต์ไม่รู้จะทำยังไง เพราะตำรวจบอกไม่ยุ่งเป็นเรื่องทางแพ่งให้เรียกเสียหายกันเอง ดังนั้นข้อแนะนำสำหรับคนที่ประสบเหตุแบบนี้คือ1. ถ้าบาดเจ็บ มีค่ารักษาพยาบาลเกิดขึ้นให้สำรองจ่ายไปก่อน แล้วนำใบเสร็จค่ารักษาไปเบิกกับประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ คันที่ตนขับขี่มาไม่ใช่คันของคู่กรณี แต่หากมีค่ารักษาพยาบาลเกิน 15,000 บาท ส่วนที่เกินให้เบิกกับประกันภัยของรถคันที่เป็นฝ่ายผิด2. ส่วนค่าเสียหายอื่นๆ เช่น ค่าซ่อมรถที่เสียหาย ค่าขาดโอกาสในการทำงาน ค่าทนทุกข์ทรมานจากการบาดเจ็บ ค่าขาดการอุปการะเลี้ยงดูนั้น สามารถเรียกร้องได้กับผู้ขับขี่คู่กรณี หากคู่กรณีได้ทำประกันภัยเพิ่มเติมไว้ ประกันภัยจะมีหน้าที่รับผิดชอบค่าสินไหมตามสัญญาของกรมธรรม์ที่ทำ3. แต่หากประกันภัยไม่จ่ายหรือจ่ายค่าสินไหมทดแทนน้อยกว่าความเสียหายที่ได้รับ ผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นคดีทางแพ่งได้กับผู้ขับขี่รถคู่กรณีในเวลา 1 ปีนับแต่วันที่เกิดเหตุ และให้เรียกประกันภัยเข้ามาเป็นจำเลยร่วมรับผิดชอบค่าเสียหายด้วยโชคดีที่การเยียวยารักครั้งนี้ไม่ถึงขั้นต้องไปพบกันที่ศาล เพราะมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ติดต่อเจรจาจนบริษัทประกันยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ในท้ายที่สุด ความรักของหนุ่มอนันต์กับสาวอนันยาจึงถึงบทอวสานด้วยเหตุฉะนี้  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 109 ผู้โดยสาร “นครชัยขนส่ง” ร้องกระเป๋าตังค์หาย

“ถ้าเป็นเงินของหนูเอง คงไม่ร้องหรอกค่ะ แต่เงินที่หายน่ะเป็นเงินของแม่ที่ขายมันสำปะหลังได้ 15,000 บาท แม่ฝากให้หนูเอาไปเข้าธนาคาร หนูสงสารแม่มาก หนูอยากได้เงินคืนค่ะ” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 13 ตุลาคม 2552 วาสนาได้บอกลาผู้เป็นแม่เพื่อเดินทางกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ โดยแม่ได้ฝากเงินจำนวน 15,000 บาท ให้วาสนานำไปเข้าธนาคารในตัวเมืองจังหวัดนครราชสีมา วาสนาเก็บเงินจำนวนนั้นไว้ในกระเป๋าสตางค์และเก็บไว้ในกระเป๋าเป้สะพายอีกทีเวลาประมาณเที่ยงครึ่งของวันที่เกิดเหตุ วาสนาขึ้นรถโดยสารปรับอากาศ ป.2 ที่อำเภอพระทองคำบ้านเกิดซึ่งแล่นมาจากอำเภอเชียงคานมุ่งหน้าเข้าตัวจังหวัดนครราชสีมา เป็นรถของบริษัท นครชัยขนส่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเดียวที่วิ่งบริการในเส้นทางดังกล่าว“ตอนที่จะขึ้นรถ วาดจะสะพายเป้ขึ้นไปบนรถด้วย แต่พนักงานก็มาหยิบกระเป๋าที่วางอยู่ตรงเก้าอี้ตรงที่รอรถไป แล้วบอกว่าเอาไว้ข้างล่างนี่แหละ ข้างบนคนเยอะ”พูดจบพนักงานของรถก็นำกระเป๋าของวาสนาไปวางแหมะตรงที่เก็บกระเป๋าใต้ท้องรถ วาสนาจึงเอ่ยขอใบรับฝากกระเป๋า แต่พนักงานไม่ให้โดยให้เหตุผลว่าเป็นป้ายรายทางไม่ต้องมี แต่วาสนาจำได้ว่าทุกครั้งที่ขึ้นรถและมีการรับฝากกระเป๋าที่ผ่านมาก็จะได้รับใบรับฝากมาโดยตลอด แต่ต้องขึ้นรถไปเพราะโดนเร่ง และนั่งอยู่ในรถด้วยใจตุ้มต่อมพลางปลอบใจว่าคงไม่มีอะไรเพราะนั่งรถเข้าโคราชใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง พอรถแล่นมาถึง บขส.นครราชสีมา วาสนารีบลงไปรับกระเป๋า ปรากฏว่า “กระเป๋าเป้หายไปแล้ว”“เดินหาจนทั่วก็ไม่มี เลยไปขอให้บริษัทช่วยประชาสัมพันธ์ เขาก็ไม่ประชาสัมพันธ์ให้ จะไปขอดูกล้องวงจรปิดก็มีคนมาบอกว่าเขาคงไม่ให้ดู”วาสนา เดินตามหากระเป๋าของตัวเองจนค่ำมืด ไม่พบกระเป๋า และไม่ได้รับการช่วยเหลือจากบริษัทรถและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใด ๆ ท้ายสุดจึงต้องไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจแนวทางแก้ไขปัญหาถึงแม้ว่าจะมีข้อสันนิษฐานว่า วิญญูชนโดยทั่วไปมักจะเก็บสิ่งของมีค่าหรือกระเป๋าเงินไว้กับตัวไม่ยอมฝากไว้กับใครที่ไม่รู้จัก อย่างไรก็ดีเมื่อสืบค้นข้อมูลไปที่เว็บไซต์ของบริษัทขนส่งจำกัด(บขส.) พบว่ามีผู้โดยสารที่เก็บกระเป๋าสตางค์ไว้ในกระเป๋าเดินทางและฝากไว้ในที่เก็บของใต้ท้องรถอยูหลายรายเช่นกัน และพนักงานประจำรถของ บขส. ได้ให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารติดตามคืนมาได้หลายรายจนมีการประกาศชื่อชมเชยพนักงานท่านเหล่านั้นก็เยอะแต่น่าเสียดายที่พฤติกรรมดี ๆ ของพนักงานเช่นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับพนักงานประจำรถในเที่ยวรถคันดังกล่าวของบริษัท นครชัยขนส่ง จำกัด ซึ่งกระทำผิดระเบียบของพนักงานหลายข้อด้วยกัน เช่น ผิดที่หนึ่ง คือ ไปหยิบดึงกระเป๋าของผู้โดยสารโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากผู้โดยสาร ผิดที่สอง คือ รับฝากกระเป๋าผู้โดยสารแล้วไม่ออกใบรับฝากให้ผู้โดยสารเก็บไว้เป็นหลักฐาน ผิดที่สาม คือ ไม่ให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารเมื่อได้รับการร้องขอ ผิดที่สี่ เมื่อผู้โดยสารร้องเรียนแล้วกลับเพิกเฉยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่บริษัทแห่งนี้ต้องรีบปรับปรุงการบริการของตนเองโดยด่วน ส่วนการเรียกร้องความเสียหายนั้นหากบริษัทยังเพิกเฉยต่อไป ผู้โดยสารมีสิทธิฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคได้เช่นกันล่าสุดได้ข่าวแว่วว่า บริษัท นครชัยขนส่ง มีการปรับปรุงบริการในการรับฝากกระเป๋าด้วยการให้ใบรับฝากแก่ผู้โดยสารทุกราย และเวลารับกระเป๋าได้ให้ผู้โดยสารเข้ารับกระเป๋าอย่างมีระเบียบแล้ว เหลืออีกอย่างเดียวคือลองพิจารณาเยียวยาความเสียหายให้น้องวาสนาคนต้นเรื่องตามสมควรด้วยจักเป็นพระคุณยิ่ง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 109 ไทยแอร์เอเซีย ชดใช้ผู้บริโภคเหตุเครื่องบินดีเลย์

เรื่องนี้...เป็นเรื่องยาวข้ามประเทศครับคุณรุจน์ และภรรยา มีกิจธุระที่ต้องเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย และเลยไปท่องเที่ยวยังเมืองที่ชื่อว่า ย๊อกยาการ์ตา ซึ่งอยู่ในประเทศอินโดนีเซียเช่นกันทั้งสองสามีภรรยาเลือกใช้บริการสายการบินราคาประหยัดไทยแอร์เอเซีย โดยซื้อตั๋วจากเว็บไซต์ของสายการบินแห่งนี้ ได้ตั๋วขาไปออกเดินทางในวันที่ 21 มีนาคม 2552 ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 20.15 น. และถึงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียเวลา 23.45 น. และตั๋วขากลับเครื่องบินจะออกจากจาการ์ตาในวันที่ 29 มีนาคม 2552 เวลา 16.20 น. และถึงกรุงเทพฯ เวลา 19.45 น. ทั้งนี้เพื่อจะกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ ให้ทันในเช้าวันรุ่งขึ้นอย่างไรก็ดี ในวันที่ 29 มีนาคมซึ่งเป็นวันที่ต้องเดินทางกลับนั้น สองสามีภรรยายังอยู่ที่เมืองย๊อกยาการ์ตา เพื่อไม่ให้พลาดเที่ยวบินขากลับจากจาการ์ตาไปกรุงเทพฯ ทั้งสองจึงได้ซื้อตั๋วจากไทยแอร์เอเซียเที่ยวบินจากย๊อกยาการ์ตามาถึงจาการ์ตาในเวลา 12.45 – 13.45 น. อีกด้วยคุณรุจน์และภรรยาทราบจากโฆษณาว่า สายการบินแอร์เอเซีย เป็นสายการบินที่ให้บริการแบบ “จุดต่อจุด” ไม่ได้ให้บริการเที่ยวบินต่อเนื่อง ผู้โดยสารต้องรับผิดชอบตัวเองในการไปเช็คอินให้ทันเที่ยวบินถัดไป คุณรุจน์จึงไม่ประมาทเพราะกลัวตกเครื่องบิน ก่อนออกเดินทางคุณรุจน์และภรรยาจึงช่วยกันเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อรวบรวมข้อมูลเที่ยวบินของสายการบินอื่นๆ ที่ให้บริการในเส้นทางย๊อกยาการ์ตา – จาการ์ตา ในเวลาใกล้เคียงกันกับเที่ยวบินของไทยแอร์เอเซียไว้เผื่อเหนียว ขาไปไม่มีปัญหาอะไร ทำธุระและท่องเที่ยวอยู่ในอินโดนีเซียจนถึงวันที่ 26 มีนาคม 2552 จึงได้เดินทางมาถึงเมืองย๊อกยาการ์ตา ก่อนออกจากสนามบินย๊อกยาการ์ตาจึงได้นำตั๋วเครื่องบินเส้นทางย๊อกยาการ์ตา – จาการ์ตา และ จาการ์ตา – กรุงเทพฯ ที่ซื้อไว้แล้วไปยืนยันการเดินทางกับพนักงานไทยแอร์เอซีย พนักงานก็จิ้ม ๆ ดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์แล้วบอกว่าเที่ยวบินที่สำรองที่นั่งไว้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณรุจน์และภรรยาจึงออกจากสนามบินไปท่องเที่ยวและทำธุระในเมืองย๊อกยาการ์ตาอย่างสบายใจพอถึงวันเดินทางกลับในวันที่ 29 มีนาคม 2552 ซึ่งจะต้องบินออกจากย๊อกยาการ์ตาไปจาการ์ตาในเวลา 12.45 น. คุณรุจน์และภรรยา จึงรีบเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เดินทางมาถึงสนามบินย๊อกยาการ์ตา และเช็คอินในเวลา 10.30 น. ได้ถามพนักงานไทยแอร์เอเซียว่าเที่ยวบิน “ตรงเวลา” หรือเปล่า ได้รับคำตอบจากพนักงานยืนยันว่าเที่ยวบินนี้ตรงเวลาจนถึงเวลา 12.15 น. พนักงานของท่าอากาศยานได้ประกาศเรียกให้ผู้โดยสารของสายการบินไทยแอร์เอเซียเที่ยวบินที่จะไปจาการ์ตาเข้าไปรอที่หน้าประตูทางออก คุณรุจน์และภรรยาก็เบาใจว่าได้ขึ้นเครื่องบินตรงเวลาแน่ จึงได้ผ่านกระบวนการซื้อสิทธิการใช้ท่าอากาศยานและผ่านการตรวจค้นอาวุธเพื่อไปรอที่ประตูทางออกรอกันอยู่ที่ประตูทางออกจนถึงเวลาที่เครื่องบินจะต้องออกคือเวลา 12.45 น. ไม่เห็นวี่แววจะมีเครื่องบินของไทยแอร์เอเซียมารับไปจาการ์ตาเสียที มองไปที่ลานบิน เห็นเครื่องบินของสายการบินอื่นที่ได้เล็งไว้เผื่อเป็นเที่ยวบินสำรองเวลามีเหตุฉุกเฉิน ก็ทยอยโผผินบินไปทีละลำๆโอย...นี่มันเหตุฉุกเฉินแล้วนี่ คุณรุจน์และภรรยามองหน้ากันเลิ่กลั่ก และทำสิ่งที่อาจหาญที่สุดเท่าที่เคยทำในชีวิตที่ผ่านมาด้วยการ ขออนุญาตพนักงานรักษาความปลอดภัยของสนามบินวิ่งย้อนออกไปถามข้อมูลเรื่องความล่าช้าของเที่ยวบินกับพนักงานไทยแอร์เอเซียกระทั่งเวลาบ่ายโมงเศษถึงได้รับข้อมูลว่า เครื่องบินที่จะใช้เดินทางนั้นเกิดความล่าช้าในการบินจากสนามบินสิงคโปร์มาสนามบินย๊อกยาการ์ตา ทำให้ต้องเลื่อนการเดินทางออกจากย๊อกยาการ์ตาเป็นเวลา 15.00 น. และถึงจาการ์ตา เวลา 16.00 น.การที่พนักงานไทยแอร์เอเซียเพิ่งมาบอกข้อมูลการดีเลย์ของเที่ยวบิน ทำให้คุณรุจน์และภรรยาหมดสิทธิที่จะไปเช็คอินเที่ยวบินจาการ์ตา – กรุงเทพฯ ได้ทัน เพราะเครื่องบินจะออกเวลา 16.20 น. แต่ต้องเช็คอินก่อนเครื่องบินออกอย่างน้อย 45 นาที สองสามีภรรยาจึงได้แต่นั่งทำใจหลังจากนั่งทำใจอยู่ในสนามบินย๊อกยาการ์ตาจนเบื่อแล้วเบื่ออีก ท้ายที่สุด คุณรุจน์และภรรยาได้ขึ้นเครื่องจากย๊อกยาการ์ตาในเวลา 15.30 น. ล่าช้าไปกว่ากำหนดการเดิม 2 ชั่วโมงครึ่ง และถึงจาการ์ตาเวลา 16.30 น. ซึ่งเที่ยวบินที่ซื้อจองไว้โบยบินไปกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้วทำให้คุณรุจน์และภรรยาต้องควักเงินซื้อตั๋วเครื่องบินหาทางกลับกรุงเทพฯ ใหม่ทั้งหมด และกลับมาถึงกรุงเทพฯ เกือบเที่ยงคืน นับเป็นการเดินทางที่ต้องใช้ความพยายามอย่างแสนสาหัสและต้องจดจำไปอีกนานแนวทางการแก้ไขปัญหาหลังเกิดปัญหา คุณรุจน์และภรรยา ได้พยายามติดต่อไปที่ไทยแอร์เอเซียเพื่อให้แสดงความรับผิดชอบใช้เวลาไปอีก 26 วัน ถึงจะได้คำตอบว่า ไทยแอร์เอเซีย ไม่จ่ายค่าชดเชยให้ โดยอ้างว่าความล่าช้าของเที่ยวบินที่เกิดขึ้น เป็นความล่าช้าจากระบบของสนามบินสิงคโปร์ที่ขัดข้องอย่างกะทันหัน ทำให้เครื่องบินของไทยแอร์เอเซียจากสิงคโปร์ไม่สามารถบินมารับผู้โดยสารที่ย๊อกยาการ์ตาได้ตรงตามเวลาเมื่อเห็นการปัดความรับผิดชอบเช่นนั้น คุณรุจน์และภรรยาจึงอีเมลล์ไปสอบถามข้อเท็จจริงกับทางท่าอากาศยานสิงคโปร์ ไม่นานได้รับคำตอบกลับมาว่า เหตุล่าช้าของเที่ยวบินเจ้าปัญหานั้น เกิดความบกพร่องของสายการบินไทยแอร์เอเซียเอง ไม่ใช่ความผิดพลาดของสนามบินสิงคโปร์ คำตอบดังกล่าวทำให้ลิมิตความอดทนของคุณรุจน์และภรรยาขาดสะบั้น แบกความชอกช้ำระกำใจจูงมือกันมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อให้ช่วยทำเรื่องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับไทยแอร์เอเซียให้หลาบจำเสียทีศูนย์ทนายความอาสาเพื่อผู้บริโภค ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับมอบอำนาจจากผู้ร้องทั้งสอง ยื่นฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคเรียกค่าเสียหายกับไทยแอร์เอเซีย โทษฐานผิดสัญญาการให้บริการ รวมเป็นเงิน 65,000 บาทเศษศาลได้นัดเจรจาไกล่เกลี่ย ท้ายที่สุดไทยแอร์เอเซีย ยอมชดใช้ค่าเสียหายในส่วนที่เป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ค่ารถแท๊กซี่ ในการที่ต้องวิ่งวุ่นไปมา ตามจำนวนที่ถูกเรียกร้องมาทั้งหมดคือ 15,844 บาท และยังยอมชดใช้ค่าเสียความรู้สึกอีกเป็นเงิน 30,000 บาท จากที่เรียกร้องไปในส่วนนี้ 50,000 บาท ทำให้คุณรุจน์ได้รับการเยียวยาความเสียหายจากการเดินทางด้วยความทรมานของสายการบินไทยแอร์เอเซียเป็นเงินทั้งสิ้น 45,844 บาทถือเป็นบรรทัดฐานสำหรับผู้โดยสารอื่นๆ ว่า ปัญหาเที่ยวบินดีเลย์แล้วไม่รับผิดชอบนั้น อย่าปล่อยให้สายการบินลอยนวลโดยเด็ดขาด  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 109 ท่าน ส.ส. เมื่อไหร่จะทำงานคะ?

เราท่านทั้งหลายคงต้องยอมรับว่าวันนี้ “สื่อ” เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสื่อสารให้เราท่านได้ทราบความเคลื่อนไหวของสังคมรอบข้างเราได้ดีมากๆ อย่างเรื่องลูกชิ้นเรืองแสงไง (เท่ชะมัดของกินเรืองแสงได้ด้วย) ซึ่งเป็นเรื่องคุ้นชินของสังคมไทยคือ เรื่องอะไรที่สื่อเล่นด้วยเรื่องนั้นก็จะดังเป็นที่สนใจของสังคม ทีนี้พอเรื่องลูกชิ้นมามันก็เลยช่วยกระตุ้น ให้คนไทยเริ่มรู้สึกว่า จริงๆ แล้วทุกวันนี้สิ่งที่เราบริโภคเข้าไปมีอะไรบ้างที่ปลอดภัยและอะไรบ้างที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งสถานการณ์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน มันก็ไม่ต่างอะไรกับการทดลองใช้เครื่องมือ จีที 200 ที่ผลมันออกมาว่าการใช้งานเท่ากับการเดาสุ่มเอา เพราะวันนี้ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้า ก็ประสบชะตากรรมว่าตาดีได้ตาร้ายเสียเช่นกันว่าไปแล้วไม่อยากจะพูดว่าเราเหมือนไม่มีหน่วยงานดูแล แต่สถานการณ์มันบ่งชี้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะวันนี้เราไม่รู้ว่าจะพึ่งใคร มีหน่วยงานไหนบ้างที่จะทำให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ อุ่นใจได้ว่าสินค้าที่เราซื้อมันปลอดภัยจริง เช่นผู้เขียนซึ่งมีชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนรถ(ส่วนตัว)เพราะมีภารกิจที่ต้องทำให้เดินทางอย่างต่อเนื่อง และเพื่อนของคนเดินทางคือวิทยุ ส่วนใหญ่ในต่างจังหวัดก็จะเป็นวิทยุชุมชน(สื่อชาวบ้าน) ซึ่งผู้เขียนก็สนับสนุนเพราะเชื่อว่าการสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ และประชาชนควรมีสื่อเป็นของเขาเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและประชาสัมพันธ์เรื่องดีๆ ของชุมชนแต่ที่น่าเศร้าใจคือวิทยุชุมชนของเรามากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นฐานโฆษณาสินค้าไปเสียหมด ไม่มีใครกำกับดูแลว่า คุณสมบัติของคนที่จะมาเป็นผู้ให้ข้อมูลกับชาวบ้านต้องเป็นอย่างไร ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ก็คือ ให้ใครก็ได้ที่พูดได้มาเป็นดีเจ เนื้อหาของวิทยุชุมชนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยมีสาระมีแต่โฆษณาเต็มไปหมด อย่างการโฆษณาน้ำผลไม้แสนวิเศษ ราคาแพงลิบ โรคอะไรกินแล้วหายหมด ทั้งโฆษณาเป็นชิ้นเป็นอันและที่ท่านดีเจพร่ำพรรณนาสรรพคุณของสินค้านั้น จนคนฟังเคลิ้มว่ามันน่าจะรักษาโรคได้จริง แหม…ท่ารักษาโรคได้จริงเขาคงขึ้นทะเบียนยาไม่ดีกว่าหรือ(รับรองได้ว่ารวยไม่รู้เรื่อง) ชาวบ้านเราส่วนใหญ่ก็มีความเชื่อ(ผิดๆ) ว่าอะไรที่โฆษณาทางวิทยุเขาคงไม่หลอก(แต่จริงๆ เขาหลอกเราก็ไม่รู้หรอก) ชาวบ้านจึงตกเป็นหยื่อได้โดยง่าย โดยไม่มีหน่วยงานไหนแอ่นอกเข้ามาตรวจสอบ ผู้บริโภคอย่างเราท่านเหมือนขาดที่พึ่งจริงๆ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราควรจะมีหน่วยงานที่มีภารกิจเฉพาะ อย่างเช่น องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค มาช่วยดูแลผู้บริโภคอย่างจริงจัง เรื่องนี้เครือข่ายผู้บริโภคทั่วประเทศพยายามผลักดันอย่างเต็มกำลัง และปัจจุบันร่างกฎหมายที่ได้เข้าวาระเร่งด่วนวาระที่ 2 ของสภาผู้แทนราษฏรแล้ว แต่เร่งด่วนยังไง ก็ยังไม่ได้รับการพิจารณาเพราะท่าน ส.ส. มัวทะเลาะกันไม่เลิก จึงอยากขอท่าน ส.ส.ทั้งหลายว่าช่วยทำหน้าที่เพื่อพี่น้องเสียที ไม่ใช่ทะเลาะกันแค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง อายคนที่เลือกคุณเข้าไปบ้าง สนใจบ้างว่าพี่น้องที่เลือกคุณมา เขาต้องเผชิญปัญหาอะไรอยู่ย้ำอีกครั้งว่าเรารอผลงานของท่าน ส.ส. ผู้ทรงเกียรติอยู่นะคะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 108 หัวล้านได้หวี

เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดเพชรบูรณ์  เพื่อให้กำลังใจคนทำงาน และดูความก้าวหน้างานด้านการคุ้มครองผู้บริโภค    รวมถึงได้มีโอกาสตั้งวงคุยกับคณะทำงานของเพชรบูรณ์  เรื่องหนึ่งที่คุยแล้วรู้สึกตกใจ เฮ้ย..มีเรื่องยังงี้ด้วยหรือ   แถมเป็นเรื่องที่ใครได้ฟังก็ขำไม่ออกก็เรื่องมันมีอยู่ว่า ศูนย์ฯ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มผู้พิการในจังหวัดเพชรบูรณ์   กรณีเขาได้รับแจกบัตรโทรศัพท์  ที่มีมูลค่าในบัตร 100  บาท  โดยสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นผู้แจกให้ เราก็ว่าก็ดีแล้วเขาแจกให้ทำไมเขายังมาร้องเรียนอีก ศูนย์บอกว่า บัตรที่แจกไม่ใช่บัตรเติมเงินโทรศัพท์มือถืออย่างที่เราๆ คุ้นเคย  แต่มันเป็นบัตรที่ต้องใช้กับตู้โทรศัพท์สาธารณะของTOT  เท่านั้น   และที่ขำไม่ออกสุดๆ คือ  มันมีแต่บัตร แต่ตู้โทรศัพท์ของ TOT ยังไม่มีในพื้นที่เลยสักตู้เดียว (ขำไหมล่ะทีนี้)ผู้พิการเขามาบอกว่าแจกมาทำไมบัตรเนี่ย…ยังไงเขาก็ไม่ได้ใช้ ถึงแม้จะมีตู้ก็ตามเพราะถึงมีตู้มันก็เป็นตู้ที่คนพิการใช้ไม่ได้อยู่ดี  เขามีเหตุผลฟังแล้วน่าสนใจคือ ถ้าเป็นผู้พิการที่ต้องนั่งรถเข็น ตู้มันชอบอยู่บนฟุตบาท ทั้งแคบและสูงกว่ารถเข็นคนพิการจะเข้าถึง  เขาก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี   ส่วนผู้พิการทางสายตาตู้โทรศัพท์ก็เป็นตู้แบบไม่มีเสียงนำคนตาบอดก็ใช้ไม่ได้    สำหรับผู้พิการทางหู เขาพูดไม่ได้ต้องสื่อสารเป็นข้อความหรือภาพ  แต่ตู้สาธารณะมันก็ไม่มีภาพก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี  สรุปบัตรที่แจกผู้พิการใช้ไม่ได้เลยซักกลุ่ม    เขาทำนองหัวล้านได้หวี เออ....นั่นสิ  แล้วเขาแจกมาทำไมมันไม่มีประโยชน์เลย ผู้เขียนก็เลยสอบถามข้อมูลกับผู้ที่เกี่ยวข้องก็ได้รู้ว่า  ไอ้ที่เราๆ เสียค่าโทรศัพท์ทั้งพื้นฐานและเคลื่อนที่นั้น มีอยู่ส่วนหนึ่งที่บริษัทต้องส่งเงินเข้ากองทุน UFO (กองทุนพัฒนากิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ)ให้กับสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.)  ซึ่งมีวงเงินนับหมื่นล้านบาทกันเลยทีเดียวเชียว โดยมีสำนักงานการบริการอย่างทั่วถึง ซึ่งเป็นสำนักงานหนึ่งในกทช.เป็นผู้รับผิดชอบ สำนักนี้ก็มอบให้ TOT เป็นเจ้าภาพในการจัดการบริการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ  แทนที่ TOT จะคิดวิธีจัดให้มีบริการอย่างทั่วถึงแต่กลับแปลงกายเป็นช่างตัดรองเท้า และก็ตัดเบอร์เดียวทั้งประเทศ แล้วมาบังคับให้ทุกตีนใส่รองเท้าที่เขาตัดให้   โดยใช้วิธีสะดวกคือแจกบัตรโทรศัพท์ให้ผู้พิการทั่วประเทศผ่าน พมจ.จังหวัด  เรื่องมันก็กลายเป็นว่า TOT ให้บัตรแล้วจบ พมจ.มีหน้าที่แจกแล้วจบ   คนที่เจ็บแล้วเจ็บอีกก็เลยกลายเป็นผู้พิการ   เฮ้อ....ประเทศไทยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเขาคิดกันได้แค่นี้  แต่ใช้เงินเป็นหมื่นล้าน เราเจ้าของเงินจะนั่งกันตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้อย่างนี้ แล้วปล่อยให้พวกเขาผลาญเงินให้หมดไปวันๆ โดยใช้กลุ่มผู้พิการเป็นเหยื่อกระนั้นหรือ  กทช.ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องนี้แบบเต็มๆ ทราบบ้างไหม ว่ามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นถ้ายังไม่ทราบก็ควรทราบเสียที  ผู้บริโภคอย่างเราๆ ก็ไม่ควรอยู่เฉย ต้องลุกขึ้นมาร่วมกันตรวจสอบและกระตุ้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง(ที่บ้า บอด ใบ้ ทางปัญญา)  เพื่อช่วยทำให้เงินของเราเกิดประโยชน์กับผู้ด้อยโอกาสจริงๆ  ไม่ใช่ปล่อยไว้อย่างนี้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 108 รำคาญเชฟโรเลตป้ายแดงกินน้ำมันเครื่อง

คุณไพฑูรย์ได้เดินทางเข้ามาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อขอคำปรึกษาปัญหารถยนต์กินน้ำมันเครื่องแต่ศูนย์บริการไม่เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ให้ จะใช้วิธีซ่อมอย่างเดียวคุณไพฑูรย์เล่าว่า ได้ซื้อรถยนต์เชฟโรเลต โคโลราโด รุ่น 2,500 ซีซี  เพื่อใช้รับจ้างบรรทุกของทั่วไป ตั้งแต่ปี 2548 มีระยะประกันเครื่องยนต์ 100,000 กิโลเมตรหรือ 3 ปี  วิ่งวันละไม่ต่ำกว่า 400 กิโลเมตร ปัญหาที่ทำให้คุณไพฑูรย์หัวเสียกับรถคันนี้มากคือ น้ำมันเครื่องจะหาย ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 5,000 กิโลเมตรแทนที่จะเป็น 10,000 กิโลเมตรเหมือนรถป้ายแดงคันอื่นคุณไพฑูรย์ได้นำรถเข้าศูนย์บริการแจ้งถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ฝ่ายช่างของศูนย์บริการแจ้งว่าเป็นอาการปกติของรถรุ่นนี้ โดยไม่ได้มีการตรวจสอบแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องบ่อยมากทุกๆ 5,000 กิโลเมตร สุดท้ายทนต่อค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่ไหวจึงเปลี่ยนมาใช้ศูนย์บริการอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งช่างเครื่องของศูนย์บริการแห่งนี้ได้ให้ข้อมูลว่ารถยนต์รุ่นนี้มีอายุการถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 10,000 กิโลเมตรช่างเครื่องจึงได้แนะนำให้เข้าไปตรวจสอบกับศูนย์บริการใหญ่ คุณไพฑูรย์จึงได้ทำตามคำแนะนำโดยได้มีการทดสอบตามขั้นตอน เช่น ติดตั้งอุปกรณ์ดักไอน้ำมันเครื่อง แล้วให้ขับไปใช้งานเพื่อดูผลทีละหมื่นกิโลเมตรแต่อาการน้ำมันเครื่องหายก็ไม่หายเสียที ทดสอบตามขั้นตอนจนถึงเลขไมล์วิ่งมาที่ 95,947 กิโลเมตร จึงได้มีการนัดให้มาแก้ไขปรับปรุงเครื่องยนต์ ก็พอดีกับที่คุณไพฑูรย์ต้องใช้รถกว่าจะเข้าศูนย์บริการได้ เลขไมล์ก็เกิน 100,000 กิโลเมตรแล้ว คุณไพฑูรย์เห็นว่า ทางศูนย์บริการนั้นทราบดีว่าเครื่องยนต์มีปัญหาก่อน 100,000 กิโลเมตร แทนที่จะนัดเพื่อให้มาเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่แทนเครื่องยนต์เดิมกลับใช้วิธีแก้ไขเครื่องยนต์แทน จึงมาขอคำปรึกษากับมูลนิธิฯว่า จะเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือไม่เพราะเป็นรถซื้อมาป้ายแดงแล้วเกิดปัญหาเช่นนี้แนวทางแก้ไขปัญหากรณีของความชำรุดบกพร่องของสินค้านั้น สามารถฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคได้ แต่อย่างไรก็ดีการที่ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนสินค้าใหม่ให้แก่ผู้บริโภคแทนการแก้ไขซ่อมแซมสินค้าที่ชำรุดบกพร่องนั้น ก็ต่อเมื่อศาลเชื่อว่าความชำรุดบกพร่องนั้นมีอยู่ในขณะส่งมอบสินค้าและไม่อาจแก้ไขให้กลับคืนสภาพที่ใช้งานได้ตามปกติ หรือถึงแม้จะแก้ไขแล้วแต่หากนำไปใช้บริโภคแล้วอาจเกิดอันตรายแก่ชีวิตร่างกายของผู้บริโภคได้  หรือพูดง่าย ๆ ก็คือแม้จะนำเรื่องขึ้นสู่ศาล หากศาลเห็นว่าความชำรุดบกพร่องนั้นไม่เกิดผลอันตรายต่อชีวิตหรือร่างกายของผู้บริโภค ศาลก็จะสั่งให้มีการซ่อมสินค้าก่อน คงจะไม่สั่งให้เปลี่ยนสินค้าโดยทันที ซึ่งในกรณีรถของคุณไพฑูรย์นั้นทราบว่าศูนย์บริการได้ดำเนินการซ่อมแก้ไขเครื่องยนต์ให้จนสามารถใช้งานได้ตามปกติ และปัญหาน้ำมันเครื่องหายได้รับการแก้ไขเรียบร้อยแล้วโดยที่ผู้บริโภคไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพราะทางศูนย์บริการถือว่ายังอยู่ในระยะรับประกันอยู่  การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็น แต่ที่เสียความรู้สึกคือปัญหาถูกปล่อยให้เยิ่นเย้อยาวนานตรงนี้ต้องถือเป็นบทเรียนของผู้บริโภคด้วยเช่นกัน ที่ศูนย์บริการมักใช้วิธีประวิงเวลาจนอายุประกันใกล้หมดหรือหมดไปและหาเหตุที่จะไม่รับผิดชอบต่อลูกค้า ทางแก้ไขคือ การทักท้วงไม่ควรทักท้วงด้วยวาจาอย่างเดียว ควรทำเป็นลายลักษณ์อักษรตั้งแต่แรกเมื่อทราบถึงปัญหา และหากทักท้วงล่าช้าก็จะลำบาก อย่างไรก็ดี หากคุณไพฑูรย์มีหลักฐานพบว่าปัญหาน้ำมันเครื่องหายยังปรากฏขึ้นอยู่หลังการซ่อมแซมแล้วก็ยังสามารถนำเรื่องฟ้องต่อศาลเป็นคดีผู้บริโภคเพื่อขอให้เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ได้เช่นกัน  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 108 รถหาย แต่ถูกขู่ว่ายักยอกทรัพย์

ในปัจจุบันต้องถือว่ารถจักรยานยนต์เป็นพาหนะที่ซื้อง่ายและหายก็คล่อง อย่างที่มีข่าวว่า มีการค้นพบสุสานโครงรถจักรยานยนต์ในคลองแห่งหนึ่งที่แก๊งค์ลักรถนำมาทิ้งไว้ ทำให้มีคำถามเข้ามามากว่า เมื่อรถหายแล้วผู้บริโภคที่เช่าซื้อรถคันนั้นมาจะต้องผ่อนกุญแจรถต่อไปหรือไม่ คำถามนี้มีคำตอบครับคุณนฤมลได้ร้องเรียนมาว่า ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ 1 คัน ในราคา 41,000 บาท กับบริษัท อิออน ธนสินทรัพย์(ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) โดยตกลงชำระเป็นงวด 36 งวด ๆ ละ 1,750 บาท คุณนฤมลได้ชำระมาถึงงวดที่ 19 ปรากฏว่ารถจักรยานยนต์สุดที่รักถูกขโมยหายไป ได้แจ้งความกับตำรวจไว้เป็นหลักฐานแล้ว แต่ปรากฏว่าบริษัทอิออนได้มีเอกสารมาแจ้งให้คุณนฤมลชำระเงินต่อให้หมดอีก 17 งวดที่เหลือ คุณนฤมลพยายามต่อรองขอส่วนลดกับอิออนโดยขอชำระส่วนที่เป็นเงินต้นที่ค้างอยู่ แต่ทางอิออนบอกว่า ไม่ได้ ต้องจ่ายให้หมด ไม่เช่นนั้นจะฟ้องร้องข้อหายักยอกทรัพย์อ้าว...! ไหงเป็นอย่างนี้ล่ะ คุณนฤมลร้อง อุตส่าห์ยอมที่จะผ่อนกุญแจรถให้แต่กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรไปเสียนี่ จึงอยากจะให้ทางมูลนิธิ ช่วยแนะนำแนวทางแก้ไขปัญหาว่าตามกฎหมายแล้ว ในฐานะผู้บริโภคจะสามารถจ่ายในส่วนของเงินต้นที่ค้างอยู่ได้หรือไม่ เพราะตอนนี้ฐานะทางการเงินของครอบครัวไม่ดีนัก รายรับไม่แน่นอน จึงอยากจะเก็บสะสมเงินก้อนเพื่อนำไปจ่ายหนี้สินให้กับทางอิออนให้หมดไป มารดาจะได้ไม่ต้องทุกข์ใจเมื่อทางเจ้าหน้าที่โทรและส่งจดหมายมาข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีในข้อหายักยอกทรัพย์ แนวทางแก้ไขปัญหาอันว่าสัญญาเช่าซื้อรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ ไม่ว่าจะเป็นของไฟแนนซ์หรือลิซซิ่งไหนก็แล้วแต่ จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมสัญญาตามประกาศเรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ.2543 ซึ่งประกาศฉบับนี้ได้คุ้มครองผู้บริโภคไม่ต้องผ่อนค่ากุญแจต่อไปจนครบสัญญาในกรณีที่รถหรือรถจักรยานยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย ถูกทำลาย ถูกยึด ถูกอายัด หรือถูกริบโดยมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ เพราะถือว่าสัญญาเช่าซื้อได้ระงับลงแล้วเมื่อทรัพย์สินที่เช่าซื้อได้สูญหายไปดังนั้น หากผู้บริโภคมั่นใจว่าการสูญหายของรถนั้นไม่ได้เกิดมาจากความประมาทหรือความจงใจของตนก็ให้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยทันที และให้ส่งสำเนาหลักฐานการแจ้งความไปให้อิออนครับ ส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ เก็บตัวจริงไว้เป็นหลักฐาน หากจะมีการกล่าวหาว่าผู้บริโภคเป็นผู้ยักยอกทรัพย์ที่เช่าซื้อนั้นเองฝ่ายผู้กล่าวหาก็ต้องมีพยานหลักฐานที่ชัดเจนเช่นกันครับ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 108 ถูกตัดบัญชีเงินเดือนทั้งหมดโดยยังไม่มีหมายศาล

ต้องเรียกว่า 100% เต็มครับที่เป็นลูกหนี้ของธนาคารกรุงเทพทั้งนั้นและได้ร้องเรียนเข้ามาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ว่าถูกธนาคารดอกบัวหลวงยึดเงินในบัญชีไปโดยไม่มีการบอกกล่าวหรือมีหมายบังคับคดีจากศาลแต่อย่างใด ที่สำคัญคือบัญชีที่ถูกยึดเป็นบัญชีเงินเดือนวันที่ 24 ธันวาคม 2552 เป็นวันสุดช็อคของคุณสุวรรณ(นามสมมติ) เพราะอยู่ดีๆ เงินในบัญชีร่วมสี่หมื่นกว่าหายกลายเป็นศูนย์โดยไม่มีการบอกกล่าว“วันนั้นดิฉันไปกดเงินจากบัญชีธนาคารกรุงเทพซึ่งเป็นบัญชีสำหรับโอนเงินเดือนเข้าแต่พบเงินในบัญชีมียอดเงินเป็นศูนย์บาท ตกใจมากค่ะทีแรกคิดว่าเงินหายจึงโทรสอบถามไปที่คอลเซนเตอร์ ได้รับแจ้งให้ติดต่อไปอีกหมายเลขหนึ่ง ก็กดโทรไปถามจึงได้รับแจ้งว่า ธนาคารเป็นผู้หักเงินในบัญชีไปทั้งหมดจริงเพื่อนำไปชำระหนี้บัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพที่ดิฉันติดค้างชำระอยู่  เจ้าหน้าที่แจ้งว่าธนาคารมีสิทธิจะทำได้เนื่องจากดิฉันทำสัญญาไว้”คุณสุวรรณงงเหมือนเพลงไก่นาตาฟาง ว่าตนเองไปทำสัญญาบ้าๆ แบบนี้ตอนไหนที่ไปอนุญาตให้ธนาคารหักเงินซะหมดเกลี้ยงจนไม่มีจะกิน…คุณวรพลเป็นลูกหนี้บัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพอีกรายที่ประสบชะตากรรมในลักษณะเดียวกัน โดยเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2552 ญาติของคุณวรพลได้โอนเงินมาใช้หนี้ของพี่ชายจำนวน 12,500 บาท เข้ามาบัญชีของคุณวรพล พอวันที่  29 ธันวาคม 2552 คุณวรพลจะไปกดเงินมาให้พี่ชาย แต่ว่าไม่มีเงินอยู่แม้แต่บาทเดียว ไปสอบถามทางธนาคารบอกคุณเป็นหนี้บัตรเครดิต ทางบัตรเครดิตได้หักเงินไปแล้ว สุดท้ายคือคุณสมคิด ถูกธนาคารกรุงเทพอายัดเงินในบัญชีเงินเดือนไปทั้งหมด เพื่อชำระหนี้บัตรเครดิต จำนวนสองหมื่นกว่าบาท โดยคุณสมคิดเข้าใจว่า การที่ธนาคารจะทำเช่นนี้ได้จะต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของบัญชีเสียก่อนการยึดเงินในบัญชีเพื่อนำไปชำระหนี้โดยไม่มีการบอกกล่าวกับลูกหนี้ของธนาคารแห่งนี้ ทำให้ลูกหนี้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก อย่างกรณีของคุณสุวรรณเธอบอกว่า เงินที่ถูกยึดไปนั้นเป็นเงินเดือนและโบนัสที่ได้มาและจะนำมาเคลียประนอมหนี้เจ้าหนี้ที่มี  และเป็นค่าใช้จ่ายจิปาถะในแต่ละเดือนของครอบครัว และเมื่อไม่มีเงินเหลือเลยแม้แต่บาทเดียว ทำให้ต้องไปกู้หนี้ยืมสินญาติพี่น้องเพื่อมาประทังชีวิตแนวทางแก้ไขปัญหาการที่ลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้จะถูกยึดทรัพย์ อายัดเงินทั้งที่เป็นเงินเดือนหรือเงินในบัญชีที่ฝากไว้กับธนาคารได้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าหนี้จะทำได้โดยพลการ เพราะตามกระบวนการทางกฎหมายแล้วเจ้าหนี้จะต้องไปฟ้องร้องต่อศาลจนมีคำพิพากษาออกมา หากลูกหนี้ก็ยังไม่มีปัญญาหาเงินมาชำระหนี้ได้นั่นแหละ ทางเจ้าหนี้ถึงจะไปร้องขอต่อศาลอีกครั้งเพื่อออกหมายบังคับคดี อายัดเงินเดือน ยึดทรัพย์ หรือยึดบัญชีฝากเงินในธนาคาร ที่ว่ามานี้เป็นกรณีที่ไม่มีข้อสัญญาผูกกันไว้แต่ต้น แต่ถ้ามีสัญญาผูกพันกันไว้ว่าถ้าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้จะยอมให้เจ้าหนี้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ได้และลูกหนี้ลงนามยินยอมให้เจ้าหนี้ทำเช่นนั้นได้ก็เสร็จเจ้าหนี้แน่นอนในการทำสัญญาเป็นสมาชิกบัตรเครดิตกับธนาคารกรุงเทพหรือกับสถาบันการเงินอื่นๆ ต้องยอมรับว่ามีผู้บริโภคน้อยรายที่จะสนใจอ่านข้อสัญญากันทุกบรรทัดก่อนลงลายมือชื่อเข้าทำสัญญา แต่ถ้าใครมีบัญชีเงินเดือนอยู่กับธนาคารกรุงเทพและถูกแนะนำให้ทำบัตรเครดิตด้วย ขอแนะนำว่าต้องอ่านครับหากจะทำบัตรเครดิตกับธนาคารแห่งนี้ เพราะในสัญญามีการระบุข้อความสำคัญว่า “ข้าพเจ้า(ผู้ถือบัตรเครดิต) ตกลงว่า หากข้าพเจ้าไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดและเงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตของธนาคาร อันเป็นเหตุให้ธนาคารยกเลิกบัตร ข้าพเจ้ายินยอมให้ธนาคารมีสิทธินำเงินในบัญชีเงินฝากทุกประเภทของข้าพเจ้า มาชำระหนี้บัตรเครดิตที่มีอยู่กับธนาคารได้” ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ธนาคารยึดเงินในบัญชีไปชำระหนี้บัตรเครดิตที่ค้างได้จนกว่าจะหมดเนื่องจากผู้บริโภคได้ให้ความยินยอมไว้แล้วนั่นเอง และสามารถหักได้แม้จะอายุความของหนี้บัตรเครดิตจะขาดไปแล้วก็ตามข้อสัญญาในลักษณะดังกล่าวนี้ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้มีการพิจารณาเห็นว่าเป็นข้อสัญญาที่มีลักษณะหรือมีผลให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติหรือรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติ เนื่องจากการไม่ชำระหนี้บัตรเครดิตอาจมีสาเหตุหลายประการ เช่น บัตรสูญหาย  บัตรถูกลักขโมย  ซึ่งยังไม่ได้พิสูจน์ความรับผิดประกอบกับเป็นการใช้ข้อสัญญาที่เลี่ยงกระบวนการยุติธรรมโดยไม่ไปใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลเพื่อพิสูจน์ความผิดเสียก่อน  การกำหนดข้อสัญญาเช่นนี้ จึงน่าจะเป็นกรณีที่กำหนดข้อสัญญาที่ให้ผู้บริโภคต้องรับผิดชอบ หรือรับภาระมากกว่าที่กฎหมายกำหนด  ซึ่งอาจถือได้ว่าทำให้ได้เปรียบคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเกินสมควร  ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 และยังขัดต่อประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2542 อีก ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อหาแนวทางกำหนดนโยบายและมาตรการในการคุ้มครองผู้บริโภคต่อไปแต่ผู้บริโภคอย่างคุณสุวรรณ คุณวรพล คุณสมคิดที่โดนยึดเงินไปแล้วคงจะรอมาตรการของ สคบ. ไม่ไหว ข้อแนะนำที่มีให้คือให้ไปขอเจรจากับธนาคารเพื่อขอลดหย่อนการหักเงินในบัญชีลงส่วนหนึ่งซึ่งธนาคารจะพิจารณาเป็นรายๆ ไป และที่สำคัญต้องไม่ผิดนัดชำระหนี้บัตรเครดิตของธนาคารที่ตนมีสมุดบัญชีเงินเดือนหรือสมุดบัญชีเงินฝากอยู่อย่างเด็ดขาด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 107 ปัญหาจาก พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถอีกแล้วครับ..ท่าน

สวัสดีปีใหม่ ขอให้โชคดีมีชัยทุกท่านนะจ๊ะ(ไม่ช้าไปใช่ไหม) และเรื่องที่ตามมาคือจำนวนอุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดจากการเดินทางด้วยรถประเภทต่างๆ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บมากมาย และที่หนีไม่พ้นคือเมื่อเกิดเหตุจากรถ ก็ต้องมี พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถ จึงเขียนเรื่องที่เกิดเหตุเมื่อตอนปลายปี 2552ช่วงนั้นมีข่าวแปลกๆ คือชาวบ้าน “แห่ศพไปสวดที่หน้าสถานีตำรวจ” สาเหตุเพราะผู้ตายประสบเหตุ ถูกรถกระบะของตำรวจเฉี่ยวชน รถซาเล้ง(มอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง) จนทำให้แม่ลูก 2 คน ที่โดยสารมาเสียชีวิตทั้งคู่ โดยตำรวจคนที่ขับรถมาชน(ซึ่งค่อนข้างมีอิทธิพล) สั่งห้ามแจ้งความและไม่ยอมแจ้งประกัน แต่จะจ่ายให้ 2 ศพ 30,000 บาท ชาวบ้านไม่กล้าแจ้งความเพราะกลัวไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะคนที่ขับรถชนคือตำรวจ แล้วเขาก็ต้องไปแจ้งตำรวจอีก ญาติจึงตัดสินใจแห่ศพไปสวดหน้าโรงพักซะเลย เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมปรากฏว่าวิธีนี้ได้ผลมากเพราะสื่อต่างๆ ให้ความสนใจ ทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ (ออกหน้าหนึ่งไทยรัฐ) ทำให้ผู้ว่าฯ นั่งก้นไม่ติดเก้าอี้ ต้องลุกขึ้นมาสั่งการให้มีการสอบสวนให้เกิดความเป็นธรรมในกรณีนี้ ศูนย์พิทักษ์ผู้บริโภคได้เข้าไปช่วยเหลือเพราะกลัวว่าเรื่องนี้จะเป็นแค่ไฟไหม้ฟาง ข่าวสงบทุกอย่างก็จะเงียบอีก จึงได้ไปประสานงานเรื่องการชดเชยเบื้องต้นตามพรบ.ผู้ประสบภัยจากรถก่อน จากข้อมูลที่ศูนย์ฯ ได้มาคือ รถซาเล้ง พรบ. ขาดยังไม่ได้ต่อ แต่รถคันที่มาชนมี พรบ. ผู้ประสบภัยจากรถ ศูนย์ฯ จึงได้ไปประสานงานกับบริษัทประกันภัยกลางจังหวัด เพื่อรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ซึ่งโดยทั่วไปผู้โดยสารซึ่งเป็นบุคคลที่ 3 ต้องได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายศพละ 100,000 บาท ไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด เพราะไม่ใช่คนขับขี่ แต่กรณีนี้ปรากฏว่า บริษัทประกันภัยกลางแจ้งมาว่า จ่ายให้ได้แค่ศพละ 35,000 บาท เท่านั้น เพราะรถที่ผู้เสียชีวิตนั่งไปไม่ได้ทำประกัน อ้าว..ก็รถคันที่ชนมันมีประกันทำไมไม่ให้คันนั้นจ่ายให้ ล่ะ.. เพราะถึงรถคันที่นั่งไปไม่มีประกัน หากเขาไม่ถูกรถกระบะวิ่งมาชนเขาก็ไม่ตายนี่.. บริษัทกลางยืนยันยังไงก็จ่ายได้แค่นั้น เพราะกฎหมายเขียนไว้อย่างนี้ และนี่คือเหตุผลที่ต้องเขียนเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังว่า พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถมันมีปัญหาซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมาย ที่ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถใช้ประโยชน์จาก พรบ.นี้ได้จริง เห็นมีแต่บริษัทประกันภัยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ และบริษัทประกันภัยกลางก็ไม่ได้ยินดียินร้ายกับความเสียหายที่เกิดขึ้น เฉื่อยแฉะและเย็นชาเอามาก...ก...ก...เครือข่ายผู้บริโภคและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงร่วมกันผลักดันให้เกิดการแก้กฎหมายฉบับนี้ เพราะเรารู้ว่าเราพึ่งใครไม่ได้ (นักการเมืองไม่ว่างเพราะทะเลาะกันอยู่) ขณะนี้เราร่างพรบ.ฉบับใหม่เรียบร้อยแล้ว และได้ชื่อมาแล้วกว่า 8,000 ชื่อ ยังขาดอีกนิดหน่อย จึงขอเรียนเชิญท่านผู้อ่านช่วยร่วมลงชื่อเพื่อแก้ไข พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประสบภัยมากขึ้น  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 107 “ไฮสปีดกลายเป็นโลว์สปีด”

ปัญหาของอินเตอร์เน็ตที่มีการร้องเรียนจากผู้บริโภคมากที่สุดในขณะนี้คือ เน็ตช้า ความเร็วไม่เป็นไปตามที่โฆษณา อารมณ์สะเทือนใจของชาวเน็ตเป็นอย่างไรบ้างลองอ่านดูกันครับ“ที่บ้านดิฉันใช้บริการอินเตอร์เน็ต แบบ 3Mb ค่ะ ใช้มาสองปีแล้ว แต่เพิ่งเปลี่ยนแพคเกจเป็น 3MB เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาและเมื่อเปลี่ยนแล้ว ความเร็วไม่เต็มสปีดสักเท่าไหร่ ที่สำคัญ หลุดบ่อยมากค่ะ โดยเฉพาะเวลาที่ฝนตก และตอนกลางคืนใช้ได้ 5-10 นาที เน็ตก็ตัดแล้วทำอะไรไม่ได้เลยโทรศัพท์ไปแจ้งกับทางศูนย์บริการก็รับเรื่องแบบแกนๆ เคยโทรไปหลายครั้งแล้วรอสายนานมาก แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไขสักทีตอนนี้ใช้งานที่ราชบุรีค่ะ ศูนย์บริการปิดตอนห้าโมงเย็น แต่ปัญหาเกิดตอนกลางคืนค่ะ เคยโทรไปฝากเรื่องตอนกลางคืน เพราะอินเตอร์เน็ตใช้ไม่ได้ตอนเช้าพนักงานเพิ่งจะโทรมา ปัญหาก็หายไปแล้ว ทำแบบนี้ก็ไม่ได้แก้ไขปัญหาอะไรจริงมั้ยคะ?? จ่ายเต็มราคาทุกครั้งแต่เจอสภาพอินเตอร์เน็ตแบบนี้สมควรเรียกร้องมั้ยล่ะคะ”หรืออีกกรณีหนึ่ง“ผมทำสัญญาใช้บริการอินเตอร์เน็ตรายเดือน ความเร็ว 3 เม็ก แต่ความเร็วจริงต่างกับที่โฆษณาเอาไว้มากครับน่าจะโฆษณาว่าเน็ต 2.5 เม็กมากกว่า ต้องจ่ายเงินให้ทีโอทีทุกเดือน แต่ก็มีความรู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบอยู่ทุกเดือน ต่างกับของ ทีทีแอนด์ที มากครับ 3 เม็กเต็ม บางวันก็จะตกมาอยู่ที่ 2.9 หรือ 2.8 ดาวน์โหลดทุกอย่างเร็วทันใจ ผมใช้เน็ตของทีโอทีดาวน์โหลดไฟล์ให้ลูกค้า บางไฟล์ ต้องรอถึงสามวันกว่าจะโหลดเสร็จ ทั้งๆ ที่ เคยใช้ของทีทีแอนด์ทีใช้เวลาแค่ 8 ชั่วโมง เก็บค่าใช้บริการเท่ากันแท้ๆ แต่ทีโอทีกลับเอาเปรียบผู้บริโภคไม่ดีเลยครับ” “ดูหนัง ฟังเพลงได้ช้ามากๆ กระตุกหยุดโหลดทุกสามวินาที ทั้งที่เป็น 3 เม็ก เช็คความเร็วดูปรากฏว่าไม่ถึง 3 เม็ก โทรไปร้องเรียนที่ 1100 คอนแทคเซ็นเตอร์ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่รับสาย โทรไปกี่ครั้งก็ไม่มีเจ้าหน้าที่รับสาย มีแต่เสียงตอบรับอัตโนมัติว่าคู่สายบริการเต็มให้โทรมาใหม่เสียความรู้สึกมากๆ รบกวนช่วยรับเรื่องร้องเรียนของฉันด้วยค่ะ มันไม่ยุติธรรมเลยที่ต้องเสียค่าบริการเต็ม แต่ได้รับบริการห่วยๆแบบนี้” ฯลฯ “มีปัญหาสัญญาณหลุดบ่อย อีกทั้งมีความล่าช้าในการแก้ไข และไม่ได้รับความเร็วตามที่กำหนด 3 เม็กแต่ใช้งานได้เพียงไม่ถึง 1 เม็ก แต่ก็ยังเก็บค่าบริการรายเดือนเต็มจำนวนอีกด้วยทุกเดือน โดยที่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไขให้เสร็จสมบูรณ์”แนวทางแก้ไขปัญหาบรรดาสารพันปัญหาอินเตอร์เน็ตล่าช้า ไม่เป็นไปตามสัญญา สามารถดำเนินการได้ 4 แนวทางนะครับ 1. สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ได้จัดทำโครงการทดสอบความเร็วอินเตอร์เน็ตของผู้ให้บริการร่วมกับ สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย บนเว็บไซต์ www.speedtest.or.th ให้ไปเช็คความเร็วอินเตอร์เน็ตและแจ้งไว้เป็นหลักฐานที่นี่ ปกติแล้วถ้าได้ความเร็วสัก 80% ขึ้นไปก็ถือว่าเป็นคุณภาพที่พอรับได้ครับ2. ถ้าโทรแจ้งที่คอลเซนเตอร์แล้วไม่ได้ผล ผู้บริโภคทำหนังสือร้องเรียนโดยตรงที่บริษัทผู้ให้บริการ โดยเรียนถึงกรรมการผู้จัดการ เรื่องขอให้แก้ไขปรับปรุงคุณภาพมาตรฐานการบริการ และขอให้คืนเงินค่าบริการในช่วงที่ไม่ได้ใช้งานไปหักลบกลบหนี้ของบิลรอบเดือนถัดไป ดังนั้นควรระบุให้ชัดเจนว่าเน็ตช้ามากในช่วงไหนถึงไหนจากหลักฐานที่เราได้เช็คจากwww.speedtest.or.th3. หากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตไม่แก้ไขปัญหา หรือยังไม่ยอมคืนเงินในช่วงที่ไม่ได้ใช้บริการหรือใช้บริการแล้วแต่ได้ความเร็วไม่เป็นไปตามโฆษณาหรือสัญญา ให้ทำหนังสือร้องเรียนพร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชนส่งถึงผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม หรือ สบท. ส่งไปที่สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) 404 อาคารพหลโยธินเซนเตอร์ ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร.02-2790250 โทรสาร 02-2790251 หรือจะเดินทางไปร้องเรียนด้วยตนเองก็ได้4. การร้องเรียนมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สิ่งที่เราจะดำเนินการให้คือ ออกจดหมายเรียกร้องให้บริษัทปรับปรุงคุณภาพบริการ หากยังไม่มีการดำเนินการใดๆ อีก คุณสามารถขอให้มูลนิธิฯ ดำเนินการเขียนคำฟ้องเพื่อฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นคดีผู้บริโภคได้ครับ ความผิดของผู้ให้บริการคือ การให้บริการที่ไม่มีคุณภาพมาตรฐานไม่เป็นไปตามที่โฆษณาหรือสัญญาไว้ครับ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 107 โดนน้ำร้อนลวกบนแอร์เอเซีย

เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2552 คุณปาริจฉัตร์ ได้เดินทางไปฮ่องกงกับเพื่อนอีก 5 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นพนักงานฝ่ายขายของบริษัทขายยาและเวชภัณฑ์แห่งหนึ่ง โดยได้ใช้บริการไป-กลับ กับสายการบินไทยแอร์เอเซีย ขาไปเหตุการณ์ปกติ แต่ในขากลับ วันที่ 6 พ.ย. 2552 ออกจากฮ่องกงเวลา 20.50 น. และถึงกรุงเทพฯ เวลา 22.50 น.นั้น นับเป็นช่วงเวลาการเดินทางที่คุณปาริจฉัตร์ต้องจดจำไปอีกนานคุณปาริจฉัตร์ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า ในขณะที่มีการเสิร์ฟอาหารบนเครื่อง เมื่อถึงที่นั่งแถวเธอ พนักงานต้อนรับบนเครื่องแจ้งว่า อาหารไม่มีให้เลือกแล้ว เหลือแต่สปาเก็ตตี้กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เธอเลยสั่งบะหมี่ถ้วยปกติและพี่ที่นั่งติดกันสั่งเป็นบะหมี่เกาหลีถ้วยใหญ่“หลังจากได้รับอาหารแล้วดิฉันก็รับประทานตามปกติ โดยวางกระเป๋าบนขาแล้วเอาถาดที่ใช้วางอาหารลงมา แต่ถ้วยบะหมี่ของพี่ที่นั่งข้างๆ นั้น น้ำที่ใส่ให้ในถ้วยเป็นแค่อุ่นน้อยๆ เอามือสัมผัสที่ถ้วยแล้วแทบจะไม่มีความร้อนเลยทำให้บะหมี่ไม่สุก เส้นแข็ง ไม่สามารถรับประทานได้ ดิฉันจึงได้เรียกพนักงานให้นำอาหารไปอุ่นให้”ไม่นานพนักงานก็เดินถือบะหมี่ถ้วยใหญ่มาเสิร์ฟ เมื่อเดินมาถึงทางด้านข้างเยื้องไปทางด้านหลัง พนักงานแจ้งว่า “ได้แล้วค่ะ” แต่ทันใดนั้นบะหมี่ที่มีน้ำร้อนอยู่เต็มถ้วยได้หกรดใส่ตัวคุณปาริจฉัตร์อย่างไม่ทันตั้งตัวโดยเฉพาะบริเวณต้นขาขวา“ตอนนั้นตกใจมากทั้งแสบทั้งร้อน ร้องออกมาเสียงดังมากด้วยความเจ็บปวดสะดุ้งสุดตัวจนลุกขึ้นยืนแต่ยืนไม่ได้เพราะติดเบลท์(belt) ที่คาดไว้” คุณปาริจฉัตร์ได้เล่าต่อว่า พนักงานได้กล่าวคำขอโทษบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ในจังหวะนั้นคุณปาริจฉัตร์รีบปลดเบลท์ ปัดทุกอย่างออกจากตัวแล้ววิ่งไปทางด้านหลังเครื่องโดยมีพนักงานที่ก่อเหตุวิ่งตามมาด้วย และได้ร้องขอน้ำเปล่า น้ำเย็น น้ำแข็ง จากพนักงานแล้วทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในห้องน้ำ และต้องนั่งอยู่ในนั้นตลอดการเดินทางเพราะต้องถอดเสื้อผ้าออกเกือบทั้งหมดเพื่อทำการปฐมพยาบาล และเมื่อมาถึงสนามบินเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันจึงได้พาคุณปาริจฉัตร์ไปรักษาที่โรงพยาบาลทันที และได้มีการร้องเรียนผ่านทางศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดชลบุรีและส่งต่อมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลืออีกทีแนวทางแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ครั้งนี้มีรายละเอียดอีกเยอะที่คุณปาริจฉัตร์ได้เล่ามา แต่ต้องขอตัดทอนเอาเฉพาะที่สำคัญ ซึ่งโดยสรุปคือเป็นเรื่องที่พนักงานของสายการบินประมาทขาดความระมัดระวังทำให้ผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ แม้จะไม่หนักหนาสาหัสแต่ก็มีความเสียหายทุกข์ทรมานไม่น้อยที่ต้องโดนน้ำร้อนลวกจนเกือบจะถูกจุดสำคัญเมื่อได้รับเรื่องร้องเรียนเจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิจึงแนะนำให้ผู้ร้องรายนี้ไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน และในวันที่ 27 พ.ย.2552 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงได้นัดเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างผู้เสียหายคือคุณปาริจฉัตร์และตัวแทนของบริษัทไทยแอร์เอเซียคือคุณระวีวรรณ สุทธิลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ ขึ้น โดยในวันดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันว่าผู้บริโภคจะไม่ติดใจเอาความทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อไป โดยไทยแอร์เอเซียได้เสนอเยียวยาความเสียหายดังนี้1. ชดเชยค่ารักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริง จำนวน 2,160.80 บาท2. ชดเชยความเสียหายของทรัพย์สินคือ กระเป๋าและเสื้อผ้าที่ถูกบะหมี่หกราด จำนวน 5,000 บาท3. ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-ฮ่องกง ของสายการบินแอร์เอเซีย จำนวน 6 ที่นั่ง(ไม่ระบุวันเดินทางไป-กลับ)4. ให้บริษัทไทยแอร์เอเซียฯ ออกจดหมายขอโทษผู้บริโภคอย่างเป็นทางการต่อมาในวันที่ 2 ธันวาคม 2552 คุณระวีวรรณ สุทธิลักษณ์ ผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ บริษัท ไทยแอร์เอเซีย ได้ดำเนินการเยียวยาความเสียหายตามที่ได้ตกลงกันไว้ พร้อมกับจดหมายขอโทษอย่างเป็นทางการถึงคุณปาริจฉัตร์ โดยมีสาระที่น่าสนใจดังนี้ทางสายการบินฯ และพนักงานทุกคนขอแสดงความเสียใจอย่างที่สุดที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกับท่าน และขอเรียนให้ทราบว่าหลังจากได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายได้เข้าร่วมประชุมและหารือถึงสาเหตุและมาตรการต่างๆ ซึ่งทางหลักปฏิบัติโดยทั่วไปนั้น หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น พนักงานต้อนรับจะต้องรีบทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยใช้ชุดอุปกรณ์ตามมาตรฐานความปลอดภัยในอากาศยาน และจะต้องทำการแจ้งกับผู้ควบคุมการบินประจำเที่ยวบินนั้นโดยทันทีผู้ควบคุมการบินจะทำการติดต่อหอบังคับการ และเจ้าหน้าที่ภาคพื้นเพื่อดำเนินการเตรียมอุปกรณ์เพื่อพร้อมรับผู้โดยสารไปยังโรงพยาบาลทันที ณ เครื่องบินลงจอด ซึ่งสายการบินฯ ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยของผู้โดยสารเป็นอันดับหนึ่ง พนักงานทุกภาคส่วนได้รับการฝึกอบรมตามมาตรฐานความปลอดภัยในอากาศยานมาโดยตลอดอย่างไรก็ตามเหตุการณ์ดังกล่าวมิได้มีการแจ้งไปยังหน่วยงาน ผู้เกี่ยวข้องตามระเบียบปฏิบัติแต่อย่างใด ยังผลให้ท่านผู้โดยสารไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง อันเป็นเหตุมาจากการประเมินสถานการณ์ที่ผิดพลาด และการไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับที่กำหนดของพนักงานต้อนรับท่านดังกล่าว ทั้งนี้สายการบินฯ ได้มีการเรียกประชุมแผนกพนักงานต้อนรับเพื่อให้มีการรับทราบ และเพื่อให้พนักงานทุกคนได้ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับอย่างเคร่งครัดเพื่อมิให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอีกต่อไป....

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 107 ลูกอมเรืองแสง แรงฤทธิ์

 “ตอนนี้ลูกอมเรืองแสงกำลังเป็นที่นิยมในหมู่เด็กๆ มาก ที่อื่นไม่ทราบว่ากำลังเป็นที่นิยมหรือเปล่า”คุณหทัยชนก สมาชิกฉลาดซื้อเขียนจดหมายมาถามไถ่โดยให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ที่แถวบ้านแถบปทุมธานีเจ้าลูกอมเรืองแสงกำลังได้รับความนิยมสูง“ตอนแรกก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไรเห็นลูกขอเงินไปซื้อลูกอมเรืองแสง แล้วบ่นว่าหาซื้อไม่ค่อยได้ แม่ค้าขายหมดไวเลยลองสอบถามลูก ลูกก็บอกว่าด้ามจับจะเรืองแสงได้ แต่เคยมีเพื่อนกัดลูกอมแล้วด้ามพลาสติกแตก น้ำเรืองแสงเกือบเข้าปาก” ฟังแล้วก็รู้สึกหวาดเสียวจริงๆ ครับลูกของคุณหทัยชนกบอกกับแม่ว่า คุณครูที่โรงเรียนบอกว่าให้กินแบบระมัดระวังอย่ากัดให้ด้ามแตก ต้องบอกว่าน่าตกใจจริงๆ กับคำแนะนำลักษณะนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นน้ำเรืองแสงหรือเศษพลาสติก มันไม่ควรเข้าปากเด็กได้ทั้งสิ้นเพราะมันไม่ใช่อาหาร “ดิฉันพยายามหาซื้อเพื่อส่งมาให้มูลนิธิฯ ดูว่าเป็นอันตรายหรือเปล่า แต่ก็เจอแค่กล่องเพราะแม่ค้าบอกว่าขายดีมาก เห็นกล่องพอจะทราบว่ามาจากจีนแต่ไปซื้อกี่ครั้งก็ไม่เคยได้เพราะว่าของหมดตลอด อันที่ส่งตัวอย่างมาให้ดูนี่ลูกไปหามาให้จากโรงเรียน เมื่อวานดิฉันไปเดินตลาดไทสำรวจว่ามีขายหรือเปล่าปรากฏว่าขายส่ง 30 อันต่อกล่อง ราคา 60 บาท มีขายตามร้านขายส่งทั่วไป และเมื่อหาข้อมูลจากเน็ตก็มีขายทั่วไปอีกเหมือนกัน” คุณหทัยชนกให้ข้อมูลมาด้วยความเป็นห่วง แนวทางแก้ไขปัญหาถ้าพูดถึงเรื่องความปลอดภัยในอาหารการกินคงไม่พ้นไปจากความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศน.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ว่า ได้มีการสั่งการและประสานงานไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ทั่วประเทศแล้วตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม เพื่อกำชับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ช่วยเป็นหูเป็นตาดูการจำหน่ายลูกอมหรืออมยิ้มเรืองแสง ซึ่งเข้าข่ายผิดกฎหมาย เนื่องจากมีการลักลอบนำเข้าจากประเทศจีนมาจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตและประชาชนที่พบการจำหน่ายอมยิ้มหรือลูกอมเรืองแสง สามารถแจ้งเบาะแสมายัง อย. ได้ที่สายด่วน 1556 หรือจะแจ้งเจ้าหน้าที่ สสจ.ทั่วประเทศ เพื่อ อย.จะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดดร.ทิพย์วรรณ ปริญญาศิริ ผอ.กองควบคุมอาหาร อย. เปิดเผยว่า ขณะนี้ลูกอมหรืออมยิ้มเรืองแสง ทางกองควบคุมอาหาร ได้เก็บตัวอย่างส่งตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์แล้ว ทั้งตัวอมยิ้มและก้านอมยิ้ม ที่นำมาหักแล้วจะเกิดเป็นสารเรืองแสงว่ามีส่วนผสมของสารที่เป็นอันตรายหรือไม่ โดยเกรงว่าเด็กๆ อาจจะได้รับอันตราย ซึ่งคงจะทราบผลในเร็วๆ นี้ว่าข้างในมีสารอะไรบ้าง สำหรับความผิดของผู้จำหน่ายเบื้องต้น คือ 1.ขายอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะไม่ได้มีการขออนุญาตนำเข้า 2.ฉลากอาหารไม่ถูกต้อง โทษปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท และ 3.ถ้าตรวจพบว่ามีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายจะเข้าข่ายขายอาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 106 ช่วยทำให้คนไม่คิดก่อหนี้ด้วยนะรัฐบาล

คงต้องยอมรับกันว่าปัจจุบันเรื่องหนี้ๆ โดยเฉพาะหนี้ที่ไม่ใช่หนี้ในระบบสถาบันการเงิน หรือที่เรียกกันติดปากว่า “หนี้นอกระบบ” นั้น มีการกระพือโหมข่าวนี้กันมากในสื่อสารมวลชนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะข่าวทีวีและหนังสือพิมพ์ มีการนำเสนอให้เห็นถึงการคิดดอกเบี้ยกันแบบบ้าระห่ำชนิดว่าบ้านนี้เมืองนี้มันไม่มีขื่อมีแปกันเลยทีเดียว รวมถึงวิธีการทวงหนี้แบบมหาโหด ทั้งชกต่อยเตะตี และสุดท้ายของความรุนแรงคือ ถึงกับฆ่าแกงกัน จนทำให้รัฐบาลก้นร้อนนั่งไม่ติดต้องหาวิธีด้วยการหยิบยกปัญหาหนี้นอกระบบ ขึ้นมาเป็นปัญหาระดับชาติ โดยกระทรวงการคลังแอ่นอกมารับเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขปัญหาการออกมาตรการมาช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบ ให้พ้นทุกข์พ้นร้อนจากวังวนดอกเบี้ยมหาโหดนั้นคือ ให้สถาบันการเงินในระบบเข้ามาช่วยเหลือ โดยให้ลูกหนี้นอกระบบสามารถกู้เงินไปใช้หนี้ได้และมาเป็นหนี้สถาบันการเงินแทนในราคาดอกเบี้ยที่เป็นธรรมและระยะเวลาการผ่อนชำระก็ยืดเวลาให้ยาวขึ้น เรียกว่ามาตรการครั้งนี้ น่าจะสามารถช่วยให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากขอบเหวแห่งความทุกข์ร้อนของกระบวนการหนี้นอกระบบได้ เรียกง่ายๆ ว่า หลุดพ้นจากขุมนรกกันเลยทีเดียวก็ว่าได้ผู้เขียนเห็นมาตรการนี้แล้วก็รู้สึกโล่งอกโล่งใจและชื่นใจแทนลูกหนี้เหล่านั้น และนึกขอบคุณรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับประชาชนทุกระดับแบบได้ใจกันไปเต็มๆ กันเลยล่ะ (นี่ชมนะ ชมจริงๆ) แต่มีอยู่วันหนึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปสระผมที่ร้านแห่งหนึ่งแถวสมุทรสงคราม พอดีในร้านนั้นมีคนนั่งพูดคุยกันอยู่เรื่องหนี้นอกระบบและการช่วยเหลือของรัฐ ก็เลยนั่งฟังเขาคุยกันจับใจความได้ว่า ดีจังเลยที่รัฐบาลช่วยเหลือในครั้งนี้ธนาคารออมสินก็ดี๊ดีๆให้เรากู้ง่ายมากแค่เรารวมกลุ่มกันไป 3 คน และค้ำประกันกันเองก็กู้ได้แล้ว งวดแรกเขาให้กู้คนละสองหมื่น หากเรามีประวัติดีเขาจะเพิ่มให้เป็นคนละห้าหมื่น แต่ในกลุ่มเราต้องส่งตรงเวลานะอย่าให้เสียประวัติ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่เพิ่มวงเงินให้ ตอนนี้เอาไปใช้หนี้นอกระบบได้แล้วโล่งไปเลยดีจัง ผู้เขียนก็เลยถามเขาว่าทำไมถึงต้องกู้นอกระบบล่ะ เขาบอกว่าก็ตอนแรกลงทุนค้าขายมันไม่มีเงินทุนก็เลยต้องกู้เขา ก็คิดว่าจะส่งทันแต่มันขายของไม่ดีการส่งเลยเป็นไปด้วยความยากลำบาก ผู้เขียนก็พยักหน้าแบบเข้าอกเข้าใจกันแหละ สักพักเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยตอนแรกผู้เขียนก็ไม่ตั้งใจฟังแต่มาสะดุดตรงที่ เสียงเจ้าของร้านคุยว่า แหม..เมื่อคืนดวงไม่ดีเสียป๊อกเด้งไปสามพัน เดี๋ยวคืนนี้แก้ตัวใหม่ เสียงอีกคน(ที่คุยเรื่องเป็นหนี้นอกระบบ)ก็ตอบมาว่าฉันก็ดวงไม่ดีงวดนี้ตาม 41 ไป 2,000 บาท ไม่กระทบเลย งวดหน้าเอาใหม่ ผู้เขียนฟังแล้วอึ้งทึ่งไปเลย...อะไรเนี่ย เมื่อกี้ยังคุยเรื่องความทุกข์ของการเป็นหนี้อยู่เลย แป๊บเดียวคุยเรื่องการพนันกันและ โอ้ย..ยังงี้เขาจะหลุดพ้นวังวนของการเป็นหนี้ได้อย่างไร หากลูกหนี้เหล่านั้นยังไม่มีวินัยในการใช้จ่ายเงินสุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นการกลับไปเป็นหนี้นอกระบบอีกจนได้ ดังนั้นหากรัฐบาลจะช่วยเขาคงไม่ใช่แค่หาแหล่งเงินกู้ให้ใหม่เหมือนที่ทำอยู่ แต่คงต้องมีการฝึกอบรมวินัยการบริหารจัดการเงินรวมถึงวิธีคิดให้เขาด้วย ไม่อย่างนั้นการช่วยเหลือของรัฐคงเป็นได้แค่ไฟไหม้ฟาง สุดท้ายเขาเหล่านั้นก็ต้องกลับไปเป็นลูกหนี้นอกระบบอีกเหมือนเดิม หากจะช่วยเขาจริงคงต้องคิดมากกว่านี้นะ รัด-ทะ-บาน

อ่านเพิ่มเติม >