ฉบับที่่ 269 กระแสต่างแดน

เอาที่ไหนมาพูด          Champstudy แพลตฟอร์มติวข้อสอบเจ้าดังของเกาหลีใต้ ถูกคณะกรรมาธิการการค้าที่เป็นธรรม สั่งปรับเป็นเงิน 285 ล้านวอน (ประมาณ 7.6 ล้านบาท) หลังปล่อยโฆษณาที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าเขาเป็นแพลตฟอร์มที่มีสถิตินักเรียนสอบผ่านสูงที่สุด         บริษัท Hackers Language Institute ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มดังกล่าว อ้างว่าเป็น “อันดับหนึ่ง” ในเรื่องการสอบเข้ารับราชการและการสอบเป็นตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ โดยอาศัยข้อมูลจากการสำรวจความพึงพอใจของผู้บริโภค (ไม่ใช่การเก็บสถิติอย่างเป็นทางการ)         นอกจากนี้ยังโฆษณายังอ้างว่าผู้เรียนจะสอบผ่านได้ “เร็วที่สุด” โดยไม่ได้ให้รายละเอียด คณะกรรมาธิการฯ จึงลงความเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เป็นธรรมทั้งต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการรายอื่นในตลาดคอร์สออนไลน์ของเกาหลี ซึ่งมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านวอน (ประมาณ 1,340 ล้านบาท) ในปี 2021         ก่อนหน้านี้บริษัท Eduwill ก็เคยถูกสั่งปรับด้วยความผิดนี้มาแล้วเช่นกัน  ขับสบาย นั่งสบาย         กระทรวงคมนาคมจีนขอให้แพลตฟอร์มเรียกรถปรับปรุงรูปแบบการดำเนินงานและการจัดการเพราะรัฐบาลตั้งเป้าให้อุตสาหกรรมนี้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน         ผู้โดยสารจะต้องได้รับบริการและประสบการณ์การเดินทางที่ราบรื่นปลอดภัย ไม่ถูกละเมิดสิทธิ บริษัทจะต้องเข้มงวดกับการขึ้นทะเบียนคนขับและยานพาหนะที่ใช้ และหากมีปัญหาก็ต้องสามารถร้องเรียนให้เกิดการแก้ไขได้         ขณะเดียวกัน คนขับก็ต้องมีสภาพการทำงานที่ดี ไม่ถูก “กดดัน” ให้ใช้ความเร็วสูง ทำงานเลยเวลา หรือทำงานต่อเนื่องนานเกินไป และพวกเขาควรได้รับข้อมูลการจราจรและสภาพอากาศอย่างทันท่วงที  นอกจากนี้กระทรวงฯ ยังขอให้บริษัทพิจารณาลดค่าคอมฯ ที่เรียกเก็บจากคนขับทุกครั้งที่รับงานด้วย         อุตสาหกรรมนี้ในจีนเติบโตมาก ขณะนี้มีบริษัทขนส่งที่ได้รับอนุญาตถึง 318 ราย (ในจำนวนนี้มี 15 แพลตฟอร์ม) มีคนขับขึ้นทะเบียน 5.79 ล้านคน ยานพาหนะขึ้นทะเบียน 2.43 ล้านคัน ในเดือนมิถุนายนมีการเรียกใช้บริการถึง 763 ล้านครั้ง ด้วยอัตราการเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 4 ต่อเดือน  ย่อยนานไป ไม่ผ่าน         ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป ไต้หวันจะ “แบน” ช้อน ส้อม จาน ชาม และภาชนะบรรจุอาหารที่ทำจาก “พลาสติกชีวภาพ”         หน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมไต้หวันกล่าวว่าได้ปรับปรุงกฎระเบียบให้เพิ่มการห้ามใช้ภาชนะที่ทำจากพลาสติกชนิดโพลีแลคไทด์ (PLA) ที่เคยเชื่อกันว่าสามารถ “ย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ”        เพราะพลาสติกชนิดนี้ใช้เวลาย่อยสลายนานเกินไปจนเป็นภาระต่อระบบรีไซเคิล และยังเป็นอุปสรรคในการบรรลุเป้าหมายของไต้หวันที่ต้องการลดการใช้พลาสติกชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้งด้วย        กฎหมายดังกล่าวห้ามหน่วยงานรัฐ โรงเรียน (ทั้งรัฐบาลและเอกชน) ห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และร้านฟาสต์ฟู้ด ใช้แก้ว ชาม จาน จานรอง กล่องอาหาร และถาดที่ทำจากพลาสติก PLA        ผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับ 1,200 – 6,000 เหรียญไต้หวัน (ประมาณ 1,375 – 6,900 บาท)    ต่ำกว่าเป้า         สองปีก่อนเนเธอร์แลนด์เปิดตัวเลนจักรยานฝังโซลาเซลล์ที่ยาวที่สุดในโลก (350 เมตร) ที่หมู่บ้าน Maartensdijk อย่างยิ่งใหญ่         โครงการนำร่องซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสภาเมืองอูเทรคต์ และบริษัทก่อสร้าง Strukton ใช้เงินลงทุนมากถึง 1.3 ล้านยูโร (ประมาณ 49 ล้านบาท) เจ้าของโครงการยืนยันว่าถ้าประสบความสำเร็จ ต้นทุนในการสร้างเลนแบบนี้จะถูกลงเพราะจะทำให้เกิดความต้องการและการผลิตเป็นจำนวนมาก         แต่การณ์ไม่เป็นดังคาด จากที่ตั้งเป้าจะผลิตกระแสไฟฟ้าให้ได้ 137 kWh ต่อปี ผลประกอบการในปีที่แล้วกลับทำได้เพียงร้อยละ 27 ของเป้าหมาย ทั้งที่ฤดูใบไม้ผลิในปีนั้นแดดค่อนข้างแรงจัด ในขณะที่ตัวเลขของปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 26 เท่านั้น         ผู้เชียวชาญบอกว่าอาจเป็นเพราะพื้นผิวไม่เรียบลื่นเท่าที่ควร เพราะเลนจักรยานต้องการความฝืดเพื่อป้องกันการลื่นล้มของผู้ขับขี่ ประกอบกับฝุ่นหรือโคลนจากล้อรถที่มาบดบังแสงอาทิตย์ด้วย         โครงการนี้จะได้ไปต่อหรือไม่ เดือนมิถุนายนปีหน้าจะได้รู้กัน  บำบัดไม่ทัน         เมื่อการเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงกลายเป็นทางเลือกในการเดินทางอันดับหนึ่งของชาวจีน ระบบบำบัด “ของเสียจากมนุษย์” ต้องทำงานเกินความสามารถจนอาจถึงขั้น “ล่ม” ได้ หากไม่ได้รับการแก้ไขโดยด่วน        การตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำจากแหล่งน้ำที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟความเร็วสูงในปักกิ่งเป็นเวลาหนึ่งปี พบว่า ระดับสารประกอบออกานิก (ที่แสดงถึงการปนเปื้อนจากของเสียจากมนุษย์) ในแหล่งน้ำเหล่านี้สูงกว่าในน้ำเสียจากครัวเรือนทั่วไปหลายร้อยหลายพันเท่า อาจส่งผลให้สาหร่ายเติบโตอย่างรวดเร็วจนปริมาณออกซิเจนในแหล่งน้ำลดลง และอาจเกิดการแพร่ระบาดของโรคที่เกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือพยาธิชนิดต่างๆ อีกด้วย         ส้วมในรถไฟไฮสปีดนั้นทั้งสะอาดและสะดวก แต่ของเสียในถังเก็บไม่มีเวลาและพื้นที่เพียงพอที่จะย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติด้วยความเร็วของรถไฟและจำนวนผู้ใช้บริการ และระบบบำบัดน้ำเสียที่สถานีก็ยังไม่ได้รับการอัปเกรดให้จัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 268 กระแสต่างแดน

แบนดีไหม         ฮ่องกงกำลังพิจารณาห้ามนำเข้าอาหารทะเลจาก 10 จังหวัดของญี่ปุ่น หลังสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) อนุมัติให้ญี่ปุ่นปล่อยน้ำเสียจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในจังหวัดฟุกุชิมะที่ผ่านการบำบัด ปริมาณ 1.3 ล้านตัน ลงสู่ทะเลได้ในช่วง 30 ปีข้างหน้า         นอกจากอาหารทะเลชนิดสด แห้ง ดอง แช่เย็น และแช่แข็ง ฮ่องกงยังจะแบนเกลือทะเล สาหร่าย และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทำให้ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น (คิดเป็นร้อยละ 13 ของร้านอาหารที่จดทะเบียนในฮ่องกง) ได้รับผลกระทบ อาจมีถึง 3 ใน 10 ร้านที่ต้องเลิกกิจการ         ฮ่องกงเป็นผู้นำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นรายใหญ่ที่สุดอันดับสอง รองจากจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งประกาศห้ามนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นไปก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว            ส่วนประเทศไทย อเมริกา แคนาดา อังกฤษ และอีก 30 กว่าประเทศทั่วโลกได้ยกเลิกมาตรการห้ามหรือจำกัดการนำเข้าอาหารจากญี่ปุ่นมานานแล้ว  ช่วยน้องกลับบ้าน         สืบเนื่องจากการร้องเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยในกัวลาลัมเปอร์ ที่ไม่สามารถกลับบ้านได้ในช่วงปิดเทอม เนื่องจากบ้านอยู่ไกลถึงรัฐซาบาห์ ซาราวัก หรือเกาะลาบวน ซึ่งต้องเดินทางโดยเครื่องบิน แต่ราคาตั๋วกลับสูงเกินเอื้อม แม้จะทำงานพิเศษ ก็ยังมีรายได้ไม่พอซื้อตั๋ว         ในที่สุดกระทรวงคมนาคมมาเลเซียตัดสินใจแจกเวาเชอร์มูลค่า 300 ริงกิต (ประมาณ 2,300 บาท) ให้กับนักศึกษาเพื่อใช้ซื้อตั๋วเครื่องบินในประเทศ รายงานระบุว่าแผนนี้สามารถช่วยเหลือนักศึกษาได้ไม่ต่ำกว่า 56,000 คน ด้วยงบประมาณ 16.8 ล้านริงกิต โดยโครงการดังกล่าวจะเริ่มในวันที่ 15 สิงหาคมนี้         สภานักศึกษาฯ มองว่ารัฐมาถูกทางแล้ว แต่ยังต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มด้วย เช่น นักศึกษาบางคนต้องนั่งเครื่องบินมากกว่าหนึ่งต่อ รวมถึงรัฐควรจัดให้มีความช่วยเหลือกรณีฉุกเฉิน เช่น การกลับบ้านด่วนเพื่อไปร่วมงานศพของคนในครอบครัว         เมื่อต้นปีรัฐบาลประกาศว่าจะเจรจากับผู้ประกอบการสายการบินให้จัดตั๋วราคาพิเศษสำหรับนักศึกษา แต่แผนดังกล่าวไม่มีความคืบหน้า    ไม่มาเลยดีกว่า         การรถไฟสวิตเซอร์แลนด์ (SBB) ภูมิใจในความตรงต่อเวลาในการให้บริการมาโดยตลอด แต่เมื่อเปิดบริการ “ขบวนรถไฟความเร็วสูงข้ามประเทศ” จากเยอรมนีเข้ามายังเมืองหลักในประเทศ เช่น คูร์ ซูริค หรือ อินเทอร์ลาเคน สถิติความล่าช้าของเขากลับเพิ่มขึ้นจนน่าเป็นห่วง         เพราะขบวนรถจากเยอรมนีมาสายบ่อย ตารางเวลาเดินรถที่ออกแบบไว้เพื่อการเชื่อมต่อจึงไม่สามารถใช้การได้ สถิติปีที่แล้วระบุว่าร้อยละ 80 ของขบวนรถไฟที่มาช้าคือขบวนที่มีต้นทางในเยอรมนี         เพื่อไม่ให้เสียชื่อไปมากกว่านี้ สำนักงานขนส่งของสวิตเซอร์แลนด์ จึงเสนอว่าเมื่อสัญญาร่วมให้บริการหมดลงในปี 2035 เขาจะให้รถไฟจากเยอรมนีส่งผู้โดยสารเป็นป้ายสุดท้ายที่สถานีเมืองบาเซิลตรงชายแดนเท่านั้น ผู้โดยสารที่ต้องการเข้าเมืองจะต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟขบวนท้องถิ่น         หลายฝ่ายไม่เห็นด้วย การตัดลดเส้นทางไม่น่าจะเอื้อต่อแผนลดโลกร้อน นักท่องเที่ยวคงไม่อยากหอบกระเป๋าขึ้นลงหลายรอบ แม้แต่รัฐบาลกลางก็ไม่เห็นด้วยและเกรงว่าเรื่องนี้อาจยังแก้ไม่ถูกจุด   กติกานักสู้         หน่วยงานป้องกันการผูกขาดทางการค้าของอิตาลีเริ่มสอบสวน CoopCulture ผู้ให้บริการขายตั๋วเข้าชม “โคลอสเซียม” หลังได้รับเรื่องร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวว่าการซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมสถานที่แห่งนี้ด้วยตนเอง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะบริษัททัวร์ใหญ่ๆ กว้านซื้อไปหมดแล้ว         จากการตรวจสอบพบว่า จนถึงวันที่ 7 สิงหาคม มีตั๋วเหลืออยู่เพียง 3 ใบในเว็บขายตั๋วอย่างเป็นทางการของโคลอสเซียม (ราคาตั๋วปกติอยู่ที่ 18 ยูโร หรือประมาณ 700 บาท)        แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน เว็บของบริษัททัวร์หลายเจ้ากลับมี “ทัวร์โคลอสเซียมพร้อมตั๋วและไกด์” ให้เลือกมากมายในราคาตั้งแต่ 37.50 ถึง 74 ยูโร (1,430 ถึง 2,820 บาท)        CoopCulture ยืนยันว่าบริษัทมีระบบป้องกันการกว้านซื้อ และยินดีให้ความร่วมมือกับการตรวจสอบ ในขณะที่องค์กรผู้บริโภค Codacons ก็ออกมาเรียกร้องให้มีกฎหมายห้ามการซื้อตั๋วไปขายต่อ รวมถึงเพิ่มบทลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนด้วย  ผิดซ้ำต้องแฉ         ตั้งแต่ต้นปี 2566 สำนักอนามัยเทศบาลเมืองไทเป ได้สุ่มตรวจผลิตภัณฑ์ขนมหวานแช่แข็งและเครื่องดื่มเย็นทั้งหมด 299 รายการ เพื่อหาแบคทีเรียที่เป็นอันตราย (เช่น ซัลโมเนลลา อีโคไล) และพบว่ามี 20 ผลิตภัณฑ์หรือร้อยละ 6.7 ที่ไม่ผ่านเกณฑ์        ตามระเบียบของไทเป ผู้ประกอบการที่มีอาหารหรือเครื่องดื่ม “ไม่ผ่านเกณฑ์ความปลอดภัย จะได้รับแจ้งจากสำนักฯ พร้อมกับ “เดดไลน์” ในการปรับปรุง แต่การตรวจครั้งล่าสุดยังพบว่ามากกว่าร้อยละ 50 ยังคงสอบตกเหมือนเดิม        พ.ร.บ.ความปลอดภัยและอนามัยด้านอาหารของไต้หวันกำหนดโทษปรับสำหรับร้านค้าที่ฝ่าฝืนข้อกำหนดเรื่องปริมาณจุลินทรีย์ไว้ที่ระหว่าง 30,000 ถึง 3,000,000 เหรียญ         สำนักอนามัยฯ ยังเตือนภัยผู้บริโภคด้วยการเปิดเผยชื่อเมนู ชื่อร้าน รวมถึงสาขาที่ตั้ง พร้อมรูปถ่ายในการแถลงข่าวด้วย หากสนใจกดเข้าไปดูได้ที่ลิงก์นี้ https://www.taiwannews.com.tw/en/news/4947489

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 267 ความเคลื่อนไหวเดือนพฤษภาคม 2566

พบ “สเตียรอยด์” ในสินค้ายี่ห้อ “โสมผสมกระชายดำ ตราเทพี”         สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตรวจสอบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสมุนไพรโสมผสมกระชายดำ ตราเทพี เลขสารบบอาหาร 40-2-00658-2-0012 โดยในฉลากได้ระบุว่า คือ “ชา สมุนไพร ตราเทพี  มีสรรพคุณกล่าวอ้างว่า แก้ปวดตามข้อ ปวดหลัง ปวดเอว โรคเก๊าท์ รูมาตอยด์ ภูมิแพ้ กระดูกทับเส้นประสาท ... มีเลขวันผลิต 30/12/22 และหมดอายุ  30/12/24  เมื่อนำมาตรวจสอบด้วยชุดทดสอบสเตียรอยด์พบว่า มีการปนเปื้อนของสารดังกล่าวในผลิตภัณฑ์ เมื่อตรวจสอบสถานะผลิตภัณฑ์ได้มีการยกเลิกโดยผู้ประกอบการตั้งแต่ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564  โดยเลขสารบบอาหารดังกล่าวอยู่ที่ จ.ขอนแก่น อย.จึงได้ประสานไปยังสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่นเพื่อตรวจสอบเฝ้าระวังหากมีการกระทำผิดจะดำเนินตามกฎหมาย พร้อมเตือนให้ผู้บริโภคอย่าซื้อมารับประทาน  การบินไทยห้ามนำ “กระเป๋า-ยานพาหนะ มีแบตเตอรี่ลิเธียม” ขึ้นเครื่อง         การบินไทยประกาศออกมาทางเพจเฟซบุ๊ก “Thai Airways” กรณีห้ามนำกระเป๋าเดินทางหรือยานพาหนะที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมขึ้นเครื่องบิน  โดยทางการบินไทยได้มีการระบุข้อความดังนี้ เรียนท่านผู้โดยสาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ขอเรียนให้ท่านผู้โดยสารทุกท่านทราบว่าบริษัทฯ ไม่รับกระเป๋า Smart Baggage ที่ติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียม ในลักษณะดังนี้        1.สัมภาระถือขึ้นเครื่อง (Carry on) และสัมภาระลงทะเบียน (Checked Baggage) ที่ติดตั้งแบตเตอรี่แบบที่ถอดไม่ได้ และมีกำลังไฟเกิน 2.7 วัตต์ *ไม่รับในทุกกรณี           2.ยานพาหนะขนาดเล็กส่วนบุคคลที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมในการขับเคลื่อน , Segway         3.กระเป๋าที่มีมอเตอร์ขับเคลื่อน หรือมีลักษณะใกล้เคียงกัน กระเป๋าเดินทางที่ขี่ได้ Motorize Baggage, Rideable Carry-On Baggage         ทั้งนี้ ทางการบินไทยยังระบุว่าอีกว่า ทางการบินไทยไม่รับผิดชอบการจัดเก็บ/การรับฝากสิ่งของทุกประเภทที่ไม่อนุญาตให้นำไป  จับแหล่งขายซากเนื้อสัตว์ ฟอร์มาลีน-โซดาไฟ         26 พฤษภาคม 2566 ทางกรมปศุสัตว์ได้มีการสืบทราบถึงกรณีการลักลอบการนำเข้าซากสัตว์แบบผิดกฎหมายในพื้นที่ อ.พานทอง จ.ชลบุรี จึงได้มีการประสานนำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบสถานที่ผลิตอาหารผิดกฎหมายพบว่า มีการจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ผลิตไส้ตัน หมึกกรอบ สะไบนาง และนำไปส่งขายที่ร้านหมูกระทะในพื้นที่ และในจังหวัดใกล้เคียง นอกจากนี้ยังตรวจพบซากเนื้อสัตว์ เช่น  ไส้ตันแช่แข็ง ระบุว่านำเข้าจากเยอรมันนี จำนวน 39 กล่อง 500 กก. ไส้ตันแปรรูปแช่สารโซดาไฟ และฟอร์มาลิน จำนวน 1 ถัง น้ำหนัก 200 กก. สไบนางแช่สารโซดาไฟ และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และฟอร์มาลิน จำนวน 2 ถัง น้ำหนัก 400 กก. และหมึกกรอบแช่สารฟอร์มาลิน จำนวน 1 ถัง น้ำหนัก 100 กก.         นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ซากสัตว์ทั้งหมดไม่พบเอกสารรองรับและไม่มีเอกสารเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ตามกฎหมาย ทั้งยังตรวจพบสารฟอร์มาลินในน้ำแช่สไบนาง ไส้ตัน และหมึกกรอบ ในการทดสอบด้วยชุดทดสอบฟอร์มาลินเบื้องต้น         ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ยึดและอายัดสินค้าจำนวนกว่า 1,200 กก รวมทั้งให้ผู้ประกอบการนำเอกสารมาแสดงหากไม่นำมาทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป  เตือนนักเรียนแบกกระเป๋าหนัก เสี่ยงกระดูกสันหลังคด         นายแพทย์ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ ได้เปิดเผยว่า เด็กนักเรียนไม่ควรแบกกระเป๋าน้ำหนักเกิน 10-20% ของน้ำหนักตัว เนื่องจากการแบกกระเป๋าหนักมาก อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อระบบโครงสร้างกล้ามเนื้อของร่างกาย โดยจะมีอาการปวดที่บ่า ต้นคอ ซึ่งคือสาเหตุของการปวดหลังเรื้อรัง ส่งผลให้มีบุคลิกภาพที่ผิดปกติ เช่น หลังค่อม ไหล่และเชิงกรานไม่สมดุลกัน ทั้งนี้ อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนรู้ของเด็ก  และแนะนำให้ผู้ปกครองคอยสังเกตอาการโรคกระดูกคดเอียงอีกด้วย         ส่วนเด็กที่ถือกระเป๋ารูปแบบหิ้ว สะพายข้าง หากมีน้ำหนักเอียงไปทางใดทางหนึ่งเพื่อรับน้ำหนักตัวเราจะเอียงตามทำให้บุคลิกภาพเราจะเป็นไปตามนั้น  ส่วนกล้ามเนื้อก็จะพัฒนาไปในลักษณะนั้นๆ ซึ่งเมื่อคนเราปกติใช้ร่างกายด้านใดด้านหนึ่งก็จะทำงานหนักมากกว่าปกติและส่งผลต่อการเจริญเติบของเด็กได้ มพบ. เสนอ อย. ให้ควบคุมจดแจ้งเครื่องสำอางที่เคยถูกห้ามขาย ครีมผิวขาวเพิร์ลลี่         จากกรณีที่มีผู้บริโภคเข้ามาร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบจากครีมผิวขาว “เพิร์ลลี่” และให้ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคช่วยเหลือด้านคดีนั้น ล่าสุดทางศาลอุทธรณ์มีคำสั่งห้ามขายครีมผิวขาวเพิร์ลลี่แล้วแต่ปัจจุบันทางมูลนิธิฯ ยังคงพบว่ามีจำหน่ายอยู่ในทางออนไลน์         นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้กล่าวว่า แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษา “ห้ามมิให้จำเลยจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ชื่อ เพิร์ลลี่ อินเทนซีฟ ไวท์ โลชั่น เลขที่จดแจ้ง 10-1-5733777 และเพิร์ลลี่ อินเทนซีฟ ไวท์ ชั่น พลัส เลขที่จดแจ้ง 10-1-5749866” แต่ทางมูลนิธิฯ ยังพบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางออนไลน์ และผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการเปลี่ยนเลขจดแจ้งใหม่ เป็น “โลชั่นเพิร์ลลี่ (อินเซ็นทีฟไวท์ ครีม สูตร พลัส x 2) Pearly Lotion Intensive WCream PlusX2”  และ โลชั่นเพิร์ลลี่ (อินเทนซีฟครีม) Pearly Lotion Intensive Cream ข้อมูล ณ วันที่ 8 พ.ค. 66 )         จึงขอฝากให้ผู้บริโภคช่วยกันเป็นหูเป็นตา พบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้แจ้งรายละเอียดมายังช่องทางต่างๆ ของมูลนิธิฯ เพื่อร่วมกันเฝ้าระวังให้ผู้บริโภคปลอดภัยและร่วมสร้างระบบคุ้มครองผู้บริโภคที่เข้มแข็ง ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย. อยากให้ควบคุมเรื่องการจดแจ้งผลิตภัณฑ์อย่างเข้มงวด เพราะจากข้อมูลที่มูลนิธิฯ รวบรวมไว้ พบว่ามีเจ้าของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง หรืออาหารเสริมจำนวนไม่น้อยที่เมื่อได้รับการถอนทะเบียนจะนำผลิตภัณฑ์มาปะแป้งแต่งตัว เปลี่ยนชื่อใหม่แล้วจดแจ้งใหม่นำมาจำหน่าย ซึ่งอาจเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภค

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 260 กระแสต่างแดน

 แน่นจนน่ากลัว         เหตุการณ์ที่อิแทวอนทำให้ผู้โดยสารรถไฟไต้ดินของกรุงโซลเริ่มวิตก เพราะในชั่วโมงเร่งด่วนมีผู้คนหนาแน่น เบียดเสียดกันทั้งในสถานีและในขบวนรถเช่นกัน         โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเส้นทางสาย 1 ช่วงระหว่างสถานีกูโรและสถานีกิล การสำรวจโดยบริษัท SK Telecom  พบว่า มีความหนาแน่นของผู้โดยสารถึงร้อยละ 252 หรือเท่ากับ 403 คนต่อคัน (ทั้งที่ควรเป็น 160 คนเท่านั้น)         รายงานระบุว่าผู้ประกอบการรถไฟใต้ดินมีแผนจะแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มระบบแจ้งความหนาแน่นในตัวรถ รวมถึงจำกัดจำนวนผู้โดยสารที่จะผ่าน “ประตู” สถานีเข้ามา ด้านนักวิชาการเสนอให้มีการปรับปรุงตารางรถ ไม่ให้รถไฟเข้าชานชาลาพร้อมกัน รวมถึงเพิ่มเส้นทางรถเมล์ด้วย          ระหว่างนี้เขาจะใช้มาตรการชั่วคราวไปก่อน ด้วยการจัดเจ้าหน้าที่มา “ยืน” ให้มากขึ้น นักวิชาการของเกาหลีบอกว่าแผนนี้ใช้ได้ เมื่อคนเกาหลีเห็นเจ้าหน้าที่ ก็จะเกรงใจและขึ้นลงอย่างเป็นระเบียบมากขึ้น ไม่เบียด ไม่ผลัก และไม่พยายามแทรกเข้าขบวนรถที่เต็มแล้ว ตั๋วเดือนกลับมาแล้ว         ผลตอบรับที่ดีของ “ตั๋ว 9 ยูโร” ในฤดูร้อนที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลเยอรมนีเตรียมขาย “ตั๋วเดือน 49 ยูโร”  (ประมาณ 1,800 บาท) ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 ตามแผนลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวและการปรับปรุงระบบขนส่งมวลชนให้น่าใช้มากขึ้น         ตั๋วที่ว่านี้สามารถใช้ได้กับขนส่งสาธารณะทั่วประเทศ ทั้งรถราง U-Bahn (รถไฟใต้ดิน)  S-Bahn (รถไฟในเมือง) และรถไฟข้ามเมืองของ Deutsche Bahn เช่นเดียวกับตั๋ว 9 เหรียญ         ตั๋วเอื้ออาทรนี้ใช้เงินอุดหนุนประมาณ 3 ล้านยูโร โดยรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นร่วมกันจ่ายคนละครึ่ง   นอกจากนี้เยอรมนียังเตรียมขยายระบบขนส่งมวลชนโดยจัดสรรงบประมาณไว้ปีละหนึ่งพันล้านยูโร (และเพิ่มให้อีกร้อยละ 3 ต่อปี         ผลโพลล์พบว่าร้อยละ 55 ของคนเยอรมันชอบตั๋วแบบนี้มากถึงมากที่สุด เพราะทุกวันนี้จ่ายอยู่เดือนละ 80 - 100  ยูโร แต่ก็มีถึงร้อยละ 23 ที่ไม่ชอบแนวคิดนี้         บ้างก็ว่าราคานี้ยังแพงไป ที่พวกเขาต้องการจริงๆ คือ “ตั๋วปี” ในราคา 365 ยูโรรถสะอาด อากาศดี         ฝรั่งเศสเล็งเพิ่มพื้นที่ “มลพิษต่ำ” จาก 11 พื้นที่ในปัจจุบันเป็น 43 พื้นที่ภายในสิ้นปีหน้า         พื้นที่ดังกล่าวไม่อนุญาตให้รถรุ่นเก่าเข้ามาวิ่ง หรือวิ่งได้เพียงบางช่วงเวลา และรถที่จะเข้าพื้นที่ได้ต้องมีสติกเกอร์ Crit’Air ซึ่งทางการจะออกให้หลังตรวจประเมินระดับการปล่อยมลพิษ (ระดับ 0 ถึง 5) การขับรถที่ไม่มีสติกเกอร์เข้าเขตดังกล่าวจะมีค่าปรับระหว่าง 68 ถึง 750 ยูโร         รัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมกล่าวว่าการบังคับใช้กฎหมายขณะนี้ยังไม่ดีพอและไม่มีมาตรฐาน แต่เขากำลังจะเปลี่ยนเป็นระบบอัตโนมัติโดยใช้กล้องวงจรปิดเข้ามาช่วยในเร็วๆ นี้         ด้านประชาชนที่เปลี่ยนมาใช้รถพลังงานไฟฟ้า (ค่ามลพิษระดับ 0) จะได้ “โบนัส” 7,000 ยูโร โดยรถที่เข้าข่ายได้รับการสนับสนุนต้องมีราคาระหว่าง 7,000 - 47,000 ยูโร โดยเจ้าของจะต้องใช้รถอย่างน้อยหกเดือน หรือขับอย่างน้อย 6,000 กิโลเมตร ก่อนจะขายต่อได้         ความนิยมรถไฟฟ้าในฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขการจดทะเบียนในครึ่งแรกของปีนี้อยู่ที่ 93,344 คัน  รีวิวหลอกดาว         อเมซอนยื่นฟ้องบริษัทนายหน้าจัดหาผู้มารีวิวสินค้าในประเทศสเปนและอิตาลี หลังพบว่า “ลูกค้า” ที่เข้ามารีวิวสินค้าในอเมซอนไว้อย่างเลิศเลอนั้นไม่ใช่ลูกค้าตัวจริง         อเมซอนบอกว่าเขาตรวจสอบได้ว่าใคร “ถูกจ้าง” โดยทั่วไปลูกค้าจะได้เงินคืนก็ต่อเมื่อไม่ได้รับสินค้า สินค้าที่ได้รับมีความชำรุดบกพร่อง หรือไม่เป็นไปตามความคาดหวัง แต่กรณีนี้ผิดสังเกต เพราะลูกค้าที่พึงพอใจมากกลับทำเรื่องขอเงินคืน แล้วก็ได้คืน “เต็มจำนวน” เสียด้วย สุดท้ายพบว่าเงินดังกล่าวคือค่าตอบแทนนั่นเอง         บริษัทที่เป็นจำเลยอ้างว่า พวกเขาเพียงแต่เลือกคนที่พวกเขารู้ล่วงหน้าแล้วว่ายินดีจะซื้อสินค้า และจะมีความพึงพอใจขนาดโพสต์รีวิวให้ถึงห้าดาว วิธีการแบบนี้แพร่หลายมากขึ้นช่วงโควิดระบาดที่ผู้คนนิยมเดินห้างออนไลน์ ก่อนหน้านี้อเมซอนยุโรป ได้ส่งคำเตือนไปยังเว็บไซต์ 5 เว็บในเยอรมนี ให้หยุดการกระทำดังกล่าว ซึ่งเว็บเหล่านั้นก็ยินยอมเพราะไม่ต้องการถูกฟ้อง   ร้อน แล้ง เครียด         ปัจจุบันจำนวนคนชั้นกลางที่มีฐานะดีและต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์นมมีจำนวนมากขึ้นทั่วโลก แต่อากาศที่ร้อนแล้งขึ้นทุกปีส่งผลให้วัวให้น้ำนมได้น้อยลงเพราะ “ความเครียด” และการขาดแคลนทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ ผลผลิตจากนมวัวจึงมีแนวโน้มจะลดลงและมีราคาแพงขึ้น         มีการคาดการณ์ว่าปีนี้ผลผลิตจากนมวัวของออสเตรเลียจะลดลงไปถึงร้อยละ 50 เนื่องจากเกษตรกรจำนวนมากต้องเลิกกิจการไปเพราะเจอกับคลื่นความร้อนหลายปีติดต่อกัน  ด้านอเมริกาก็มีรายงานว่าหากสถานการณ์โลกร้อนยังไม่ดีขึ้น ก่อนถึงสิ้นศตวรรษที่ 21 อุตสาหกรรมวัวนมที่นั่นอาจขาดทุนถึงปีละ 2,200 ล้านเหรียญ         ในขณะที่ฝรั่งเศสประกาศหยุดผลิตชีสยอดนิยมที่เรียกกันว่า  Salers เพราะไม่มี “วัตถุดิบ” เพียงพอ วัตถุดิบที่ว่านั้นคือน้ำนมจากแม่วัวที่กินหญ้านั่นเอง         ส่วนอินเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำนมวัวรายใหญ่ที่สุดของโลก สถานการณ์ก็ย่ำแย่เช่นกัน เกษตรกรรายย่อย จำเป็นต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อนำมาลงทุนติดตั้งอุปกรณ์หรือสร้างโรงเรือนเพื่อทำความเย็นให้กับวัวนั่นเอง     

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 252 กรแสะต่างแดน

โหวตได้หรือไม่        สวิตเซอร์แลนด์ใช้ระบบประชาธิปไตยทางตรงที่ประชาชนสามารถโหวตได้ทุกเรื่อง แต่มีอย่างน้อยหนึ่งเรื่องที่แต่ละรัฐในประเทศยังเห็นไม่ตรงกัน มีจึงมีเพียงบางรัฐ (จากทั้งหมด 26 รัฐ) เท่านั้นที่จัดโหวตในเรื่องดังกล่าว         ประเด็นที่ว่าคือ “การขอให้บริการขนส่งมวลชนเป็นสิ่งที่รัฐจัดให้ฟรี”           เนื่องจากรัฐธรรมนูญของสวิตเซอร์แลนด์กำหนดว่า ผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะจะต้องจ่ายค่าเดินทางในราคาที่สมเหตุสมผล ในขณะที่บางคนมองว่าการจ่ายภาษีก็ถือเป็นการร่วมจ่ายอย่างเหมาะสมแล้ว ผู้บริหารบางรัฐยังตีความว่าการจัดโหวตเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้         แต่บางรัฐอย่างรัฐโว (Vaud) ตีความว่ารัฐธรรมนูญไม่ได้ห้าม “บริการขนส่งสาธารณะฟรี” และให้ความเห็นว่า รัฐมีสิทธิตัดสินใจได้ว่าจะช่วยจ่ายค่าโดยสารให้เต็มราคาหรือไม่ เขาเลือกใช้หลักการ...หากเกิดข้อสงสัย ให้เลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประชาชนไว้ก่อน อยากเปลี่ยนน้ำ         เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในยุโรป เดนมาร์กยังล้าหลังในเรื่องการลดปริมาณแคลเซียมในน้ำประปา ชาวบ้านจึงต้องหาวิธีจัดการกับน้ำกระด้างกันเอง บ้างก็พยายามขูดหินปูนในท่อ บ้างก็ลงทุนซื้อเครื่องกรองมาติดฝักบัว  นอกจากจะเปลืองสบู่ แชมพู และผงซักฟอก เพราะ “ตีฟองไม่ขึ้น” แล้ว การอาบน้ำกระด้างยังทำให้ผิวแห้ง หนังศีรษะเป็นรังแค แถมยังผมชี้ฟูอีกด้วย         แต่ข่าวดีคือโคเปนเฮเกนกำลังจะมีระบบกรองน้ำประปาส่วนกลางแล้ว บริษัท Hofor ผู้ให้บริการน้ำประปาในเมืองนี้และพื้นที่โดยรอบประกาศว่าเขาจะลดความกระด้างของน้ำลงให้ได้ภายในปี 2028         ด้านทันตแพทย์ออกมาเตือนว่า “น้ำอ่อน” จะทำให้คนฟันผุมากขึ้น โดยอ้างอิงงานวิจัยที่ยืนยันว่าเด็กในโคเปนเฮเกนมีฟันผุน้อยกว่าเด็กในเขตอื่นอย่างมีนัยยะสำคัญ (งานวิจัยนี้เก็บข้อมูลจากเด็กอายุ 15 ปี จำนวน 52,000 คน)           มารอดูกันว่าเขาจะแก้ปัญหานี้อย่างไร   ป้องกันหลงผิด         ตั้งแต่ 1 มีนาคมเป็นต้นไป รัฐบาลเมืองหางโจวจะเริ่มใช้กฎหมายอนุรักษ์ชาหลงจิ่ง สินค้าที่ได้รับการคุ้มครองเพราะเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของเมืองหางโจว         ด้วยชื่อเสียงด้านคุณภาพและราคาระดับพรีเมียม ทำให้มี “ชาแอบอ้าง” เข้ามาบุกตลาด ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรตัวจริงจากไร่ชาในเขตรอบทะเลสาบซีหู และหุบเขาในเมืองหางโจว          เพื่อพิทักษ์ “แบรนด์หลงจิ่ง” เขาจึงมีกฎหมายกำหนดรหัสเฉพาะ ที่ประกอบด้วยชื่อบริษัทผู้ผลิต ปีที่ผลิต ซีเรียลนัมเบอร์ และรหัสที่ต้องแจ้งบนกระป๋องนี้ จะไม่สามารถนำไปโอน แจกจ่าย หรือให้ใครยืมได้ ผู้ฝ่าฝืนมีค่าปรับ 10,000 หยวน สำหรับบุคคลธรรมดา และ 50,000 หยวน สำหรับนิติบุคคล          นอกจากนี้ยังต้องมีแพลตฟอร์มออนไลน์ทำหน้าที่ควบคุม ดูแล จัดการ ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจัดจำหน่าย รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงานด้วย          ไร่ชาที่นี่จะมีการสำรวจทุก 10 ปี เพื่อดูแลจัดการเรื่องการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และทำฐานข้อมูลพื้นที่แต่ละแปลง รวมถึงการใช้ปุ๋ยธรรมชาติตามที่รัฐส่งเสริม โปรฯ โรแมนติก         ข่าวดีสำหรับคู่รักที่พร้อมจะแต่งงานกันภายในปีนี้ แคว้นลาซิโอ อิตาลี เขาจัดโปรโมชันเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการในธุรกิจงานแต่ง และโปรฯ นี้สามารถเข้าร่วมได้ทั้งคนอิตาเลียนและคนต่างชาติ            ตามโครงการ “In Lazio with Love” คู่สมรสที่จัดพิธีแต่งงานในเขตลาซิโอ ไม่ว่าจะเป็นในกรุงโรม ชายหาด หรือปราสาทยุคกลาง หรือโลเคชันยอดนิยมอื่นๆ จะสามารถนำใบเสร็จมาขอเบิกเงินคืนได้สูงสุด 2,000 ยูโร (ประมาณ 73,000 บาท)         ใบเสร็จที่ว่านี้อาจมาจากบริษัทรับวางแผนงานแต่ง ร้านเช่าชุดแต่งงาน ผู้ให้เช่าสถานที่ ร้านดอกไม้ บริษัทรับจัดเลี้ยง รวมไปถึงค่าจ้างช่างภาพ หรือค่าเช่ารถด้วย ทั้งนี้เขาสงวนสิทธิ์ให้ส่งใบเสร็จได้ไม่เกิน 5 ใบ         ข่าวบอกว่าเขาตั้งงบไว้ 10,000,000 ยูโร เพื่อช่วยเหลือธุรกิจงานแต่งที่ซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด ในปี 2019 มีคู่รักมาจัดงานแต่งที่นี่ถึง 15,000 คู่ แต่สองปีกว่าหลังการระบาดของโควิด-19 เขามีโอกาสจัดงานแต่งไปเพียง 9,000 งานเท่านั้น       สควิดฟาร์ม        โลกกำลังจะมีฟาร์มปลาหมึกแห่งแรกในปี 2023 ภายใต้การดำเนินการของบริษัท Nueva Pescanova ของสเปน ที่ปาดหน้าคู่แข่งจากญี่ปุ่นและเม็กซิโกไปได้         บริษัทอ้างว่าเขาลงทุนไปกว่า 65 ล้านยูโร หรือประมาณ 2,400 ล้านบาท และได้ศึกษาวิจัยจนพบ “สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม” กับการเลี้ยงปลาหมึกในถัง เขาจะผลิตปลาหมึกได้ถึงปีละ 3,000 ตัน ภายในปี 2026 ทั้งนี้เขาไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพราะถือเป็น “ความลับทางการค้า”         แต่นักวิชาการที่รีวิวผลงานวิจัยกว่า 300 ชิ้น ฟันธงว่า “ฟาร์มปลาหมึก” มันเป็นไปไม่ได้ การถูกจำกัดบริเวณอาจทำให้ปลาหมึกเครียดและทำร้ายกันเอง นักสิ่งแวดล้อมก็มองว่านี่เป็นการสวนกระแสเรื่องความยั่งยืน ปัจจุบันเราใช้ 1 ใน 3 ของสัตว์ทะเลที่จับได้มาเป็นอาหารสัตว์  แล้วเรายังจะต้องนำไปใช้ในฟาร์มปลาหมึกอีกหรือ ชาวประมงรายย่อยก็อาจได้รับผลกระทบ ในขณะที่เชฟบอกว่า “มันไม่อร่อย”            ขณะนี้ฟาร์มดังกล่าวอยู่ระหว่างรอการอนุมัติ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 250 สวัสดีปีใหม่เดินทางปลอดภัย

        ขณะทำต้นฉบับนี้ อีกไม่กี่วันปี 2564 ก็จะจากไป ขณะที่หลายคนต่างหวาดกลัวและกังวลว่าโควิด-19 จะกลับมาอีกมั้ย แต่พฤติกรรมคนส่วนใหญ่กลับละเลยการป้องกันตนเอง และกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติกันแล้ว โดยเฉพาะความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนที่พบว่ากว่า 95 เปอร์เซ็นต์มาจากพฤติกรรมการขับขี่ การขับรถเร็ว ดื่มแล้วขับ ไม่สวมหมวกนิรภัย (เหมือนเดิม) และกลายเป็นเรื่องตลกร้ายที่ขำไม่ออก เมื่อทุกคนคิดว่าการมาของโควิด-19 นั้นทำให้อุบัติเหตุทางถนนลดลง จึงมีผลทำให้หลายมาตรการของรัฐหย่อนยานลดประสิทธิภาพลงตามไปด้วย         แน่นอนว่าในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนจะมีจำนวนลดน้อยลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ด้วยเหตุผลหลายประการ อาทิ รัฐบาลใช้มาตรการล็อคดาวน์เพื่อหยุดการเดินทางของผู้คนทั้งประเทศ ตลอดจนการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มของมึนเมาเพื่อลดการรวมกลุ่มสังสรรค์ในทุกกิจกรรม รวมถึงการที่ประชาชนส่วนใหญ่ตัดสินใจได้เองว่า ต้องป้องกันตนเองจากสถานการณ์โรคระบาดและลดพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยในทุกกิจกรรม         อย่างไรก็ดีแม้สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 จะน่ากลัว แต่ก็เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐบาลที่ต้องทุ่มเทสรรพกำลังทุกภาคส่วนเพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนป้องกันมากที่สุด โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ได้ 100 ล้านโดสภายในสิ้นปี 2564 ซึ่งรัฐบาลก็ทำได้แล้วตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และมีผลให้สถานการณ์ความตึงเครียดของโรคระบาดโควิด-19 เริ่มผ่อนคลาย ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ         นับเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลมีมาตรการเข้มข้นเพื่อต้องการหยุดเจ็บหยุดตายและป้องกันทุกชีวิตจากโควิด-19 ให้ได้ แต่เมื่อหันกลับมามองดูสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนที่มีคนเจ็บและตายมากกว่าหลายเท่าตัวตลอดหลายปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า “ยังไม่เห็นความทุ่มเทของหน่วยงานเจ้าภาพหลักของประเทศและหน่วยงานในสังกัดทุกภาคส่วน ที่มีเป้าหมายร่วมเพื่อจะหยุดเจ็บหยุดตายให้ได้เหมือนโควิด-19” หากแต่เป็นเพียงวาทะกรรมอันสวยหรูของผู้มีอิทธิพลทางการเมืองและสังคมบางกลุ่ม เน้นสร้างสรรค์กิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ รณรงค์แบบเดิมทุกปี ที่สำคัญยังทำแค่เพียงช่วงเทศกาลเท่านั้น         ขณะที่ประเทศไทยก้าวข้ามผ่านทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน พ.ศ. 2554 – 2563 (ที่ล้มเหลว) มาแล้วรอบหนึ่ง และปัจจุบันกำลังเข้าสู่แผนความปลอดภัยทางถนนในทศวรรษหน้า พ.ศ. 2565 – 2575 และยังมีแผนปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติภายใต้แผนแม่บทด้านความมั่นคง เพื่อการแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัทางถนน มีเป้าหมายเพื่อลดการเสียชีวิตจากอุบัติเหตางถนนลงร้อยละ 50 ในปี พ.ศ. 2565 และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นโครงสร้างพื้นฐานระบบโลจิสติกและดิจิทัล มีเป้าหมายการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนไว้ไม่เกิน 12 ต่อแสนประชากรในปี พ.ศ. 2564 - 2570 รวมถึงกรอบการดำเนินงานระดับโลกด้านความปลอดภัยทางถนนที่ประเทศไทยรับมาดำเนินการด้วย เช่น 12 เป้าหมายโลกสำหรับการดำเนินงานด้านความปลอดภัยทางถนน หรือ Global road safety performance targets ปฏิญญาสตอกโฮล์ม (Stockholm Declaration) หลักการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อการขับเคลื่อนการลดอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน         จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีแผนดำเนินการและแผนปฏิบัติการมากมายหลายระดับชั้น เพื่อเป้าหมายในการลดอุบัติเหตุทางถนนให้เป็นไปตามตัวชี้วัดของข้อตกลงที่กำหนดไว้ หากแต่เมื่อขั้นตอนและระบบปฏิบัติงานยังขาดความชัดเจนต่อเนื่องและเชื่อมต่อในแต่ละระดับ หลายฝ่ายจึงมีความเชื่อในทางเดียวกันว่า เป้าหมายการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนที่กำหนดไว้ไม่เกิน 12 ต่อแสนประชากรภายใน 6 ปีข้างหน้า หรือปี 2570 นั้น “ไม่น่าจะทำได้”         เพราะหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ ในปี 2563 ประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตของประชากรจากอุบัติเหตุทางถนนอยู่ที่ 27.20 คนต่อแสนประชากร หรือมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนที่ 17,831 คน ลดลงจากในปี 2562 ที่ 19,904 คน (ส่วนหนึ่งที่จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลดน้อยลงมีผลสืบเนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19) ซึ่งต่อจากนี้หากจะลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้ได้เหลือ 12 ต่อแสนประชากรภายในปี 2570 ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้นั่นเท่ากับว่าประเทศไทยจะต้องมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเหลือเพียง 8,474 คนเท่านั้น         ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงแล้ว เป้าหมายการลดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้เหลือ 12 ต่อแสนประชากรเชื่อว่าไม่น่าจะทำได้ หากถอดบทเรียนช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาก็อาจจะพอพิสูจน์ให้เห็นว่าความรุนแรงและความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนนนั้น เป็นเรื่องที่สามารถป้องกันและลดจำนวนลงได้  อุบัติเหตุบนท้องถนนไม่ใช่เรื่องเวรกรรมความเชื่อหรือมายาคติของสังคมอีกต่อไป การสร้างมาตรการ เป้าหมาย และแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนตรงประเด็นเป็นนโยบายหลักของประเทศ ตั้งแต่ระบบการบังคับบัญชาลงมาถึงส่วนปฏิบัติงาน รวมถึงการสนับสนุนภาคีเครือข่าย และท้องถิ่นเพื่อให้มีการดำเนินงานร่วมกันของทุกภาคส่วนคือสิ่งที่ควรต้องดำเนินการให้จริงจังได้เท่ากับมาตรการป้องกันโควิด 19         แน่นอนว่าเป้าหมายสูงสุดอาจจะเป็นเรื่องท้าทายที่ต้องการเวลาและความร่วมมือ และปลายทางอาจไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย แต่ระหว่างทางตัวเลขผู้เสียชีวิตต้องน้อยลงกว่านี้ให้ได้ เพราะเราคงไม่หวังให้มีโรคระบาดใหม่เพื่อมาหยุดการเจ็บตายจากอุบัติเหตุทางถนนอีกแล้ว

อ่านเพิ่มเติม >

กระเป๋าเดินทาง

        สมาชิกฉลาดซื้อหลายท่านอาจกำลังเตรียมตัวออกเดินทางเพื่อกระจายรายได้ให้กับผู้ประกอบการที่พักหรือร้านค้าต่างๆ ในพื้นที่ท่องเที่ยว ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขอนำเสนอผลการทดสอบเปรียบเทียบกระเป๋าเดินทางแบบล้อลาก ชนิดขับเคลื่อน 4 ล้อ มีทั้งแบบกล่องแข็งและแบบผ้าหนา ในขนาด “เคบินไซส์” หรือขนาดที่หิ้วขึ้นเครื่องบินได้ ผลที่องค์กรผู้บริโภคของออสเตรเลีย CHOICE ได้ทำไว้ทั้งหมด 12 รุ่น ราคาระหว่าง 1,100 ถึง 8,500 บาท        คะแนนรวม 100 คะแนน แบ่งออกเป็น        ร้อยละ 60      ความแข็งแรงทนทาน (การทดสอบในห้องแล็บฯ เปรียบเทียบความแข็งแรงทนทานของตัวกระเป๋า ล้อ และคันชัก รวมถึงการกันน้ำ)         ร้อยละ 40      การใช้งานได้สะดวก (ความพึงพอใจของอาสาสมัคร 3 คนที่ทดลองใช้)          ในภาพรวม กระเป๋าทุกรุ่นผ่านการทดสอบการตกจากที่สูงไปด้วยคะแนน 100 เต็ม (ใส่น้ำหนัก 4 กิโลกรัม ทดสอบการตก 300 ครั้ง) ยกเว้นรุ่น Voyager Boston Collection ที่ได้ไป 80 คะแนน)  กระเป๋าเหล่านี้ได้คะแนนแตกต่างกันในเรื่องความทนทานต่อการถูกเจาะเมื่อมีของแหลมมีน้ำหนักหล่นใส่ หรือประสิทธิภาพการกันน้ำ (ทดสอบด้วยการตากฝนเทียมเป็นเวลา 10 นาที) ส่วนเรื่องการใช้งานสะดวกเวลาเข็นออกจากลิฟต์ หิ้วลงบันได ลากบนพื้นพรม ยางมะตอย และซีเมนต์ ก็อยู่ในขั้นดีถึงดีมากแทบทุกรุ่นรุ่นที่ได้คะแนนรวมสูงที่สุดคือรุ่นที่ราคาประมาณ 2,350 บาท ส่วนรุ่นที่ราคาถูกที่สุด (ประมาณ 1,100 บาท)* ก็ไม่ได้ขี้เหร่เลย เรียกว่าทุกรุ่นที่เรานำมาเสนอนั้นได้คะแนนดีเลยทีเดียว คงต้องแล้วแต่ความพึงพอใจในรูปลักษณ์ภายนอกและงบประมาณที่อยากลงทุนของแต่ละคน ไปดูกันเลยว่าคุณชอบแบบไหน         หมายเหตุ ราคาที่แสดงเป็นราคาที่แปลงจากหน่วยเงินของออสเตรเลียในช่วงต้นเดือนธันวาคม โปรดตรวจสอบราคาที่เป็นปัจจุบัน ณ จุดขาย อีกครั้ง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point


ฉบับที่ 211 กระเป๋าขึ้นเครื่อง

ฉลาดซื้อฉบับนี้ขอเสนอผลทดสอบกระเป่าเดินทางขนาดเล็ก หรือที่นิยมเรียกกันว่า “เคบินไซส์” ที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศทำไว้* มีให้สายเที่ยวได้เลือกกัน 19 รุ่น ตั้งแต่ราคาต่ำกว่า 1,000 บาทไปจนถึงเกือบ 35,000 บาท ทั้งแบบกล่องแข็งและแบบที่ทำด้วยวัสดุเส้นใย  คะแนนการทดสอบแบ่งออกเป็นสองด้าน ได้แก่ -                 - ร้อยละ 60 >> คะแนนความสะดวก/คล่องตัวในการใช้งาน (ผู้ทดสอบลองใช้แล้วตอบแบบสอบถาม)  -                 - ร้อยละ 40 >> คะแนนความแข็งแรงทนทานของกระเป๋าและส่วนประกอบ (ทดสอบในห้องปฏิบัติการ)สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) ได้ให้คำแนะนำเรื่องขนาดกระเป๋าเดินทางที่อนุญาตให้ผู้โดยสารนำขึ้นเครื่องได้จะต้องมีความยาวไม่เกิน 56 เซนติเมตร (22 นิ้ว) ความกว้างไม่เกิน 45 เซนติเมตร (18 นิ้ว) และความหนาไม่เกิน 25 เซนติเมตร (10 นิ้ว) เมื่อรวมส่วนประกอบรอบๆ ตัวกระเป๋าแล้ว อย่างไรก็ตาม สายการบินสามารถกำหนดขนาดได้ตามความเหมาะสม เช่นรุ่นของอากาศยานที่ใช้ หรือชั้นที่นั่งโดยสาร เป็นต้น หากมีข้อสงสัยโปรดตรวจสอบกับสายการบินก่อนลงมือจัดของหมายเหตุ  ขนาดของกระเป๋าที่เรานำเสนอเป็นขนาดและความจุที่วัดได้โดยทีมทดสอบ อาจจะไม่ตรงกับตัวเลขที่เห็นในโฆษณาหรือฉลากผลิตภัณฑ์    การทดสอบครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Which? (อังกฤษ) และ UFC (ฝรั่งเศส) ซึ่งเป็นสมาชิกองค์กรทดสอบระหว่างประเทศเช่นเดียวกับฉลาดซื้อ ทั้งสององค์กรร่วมมือกันซื้อกระเป๋าส่งเข้าทดสอบ และหารค่าใช้จ่ายในการทดสอบ (ค่าใช้จ่ายในการทดสอบอยู่ที่ตัวอย่างละ 545 ยูโร หรือประมาณ 27,000 บาท) ฉลาดซื้อก็สามารถส่งผลิตภัณฑ์ไปร่วมทดสอบได้หากเรามีเงินทุนสนับสนุนจากสมาชิกมากพอ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 192 Transit การเดินทางด้วยรถไฟและรถไฟฟ้าแต่ละประเทศ

ตั้งแต่การคมนาคมสะดวกรวดเร็ว มีสายการบินเพิ่มขึ้นหลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศมีทางเลือกมากขึ้น ประกอบกับราคาค่าเดินทางของสายการบินที่แข่งขันกัน จึงทำให้ราคาถูกมากกว่าเดิม และลองสังเกตดีๆ จะเห็นว่าราคาตั๋วเครื่องบินไปต่างประเทศถูกมากเมื่อเทียบเท่ากับราคาตั๋วเครื่องบินที่เดินทางภายในประเทศ จึงเป็นจุดที่ทำให้ผู้คนหันเหไปท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นฉบับนี้ผู้เขียนขอเอาใจผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยวไปประเทศต่างๆ แบบท่องเที่ยวด้วยตนเองสักหน่อย แอพพลิเคชั่นนี้จะทำให้ผู้เดินทางสามารถเรียนรู้เส้นทางการเดินรถไฟและรถไฟฟ้าของประเทศนั้นได้ก่อนเดินทางไป โดยไม่ต้องไปเสียเงินซื้อคู่มือเส้นทางการเดินรถแอพพลิเคชั่นนี้ผลิตโดยประเทศญี่ปุ่น แต่ได้พัฒนาไว้หลายประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน อังกฤษ เกาหลี สิงคโปร์ ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย จีน ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน อินโดนีเซีย สวิตเซอร์แลนด์ และอาจจะมีมากกว่านี้การค้นหาแอพพลิเคชั่นให้ใช้คำว่า Transit ตามหลังชื่อประเทศที่ต้องการดาวน์โหลด เช่น ประเทศเกาหลี ใช้คำว่า Korea Transit, ประเทศฮ่องกง ใช้คำว่า Hong Kong Transit, ประเทศสิงคโปร์ใช้คำว่า Singapore Transit เป็นต้น ภายในแอพพลิเคชั่นจะมีภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่นของประเทศกำกับ ผู้ใช้สามารถเลือกสถานีที่เริ่มต้นและสถานีปลายทางที่ต้องการไป โดยให้กดตรงสัญลักษณ์วงกลมของสถานีนั้นๆ แล้วเลือกว่าเป็นสถานีเริ่มต้นหรือสถานีปลายทาง และตรงสัญลักษณ์ยังปรากฏคำว่า hotels around the spot หมายถึง ข้อมูลโรงแรมที่ตั้งโดยรอบสถานี ซึ่งจะทำให้สะดวกในการค้นหาโรงแรมที่ใกล้กับสถานีรถไฟได้อีกด้วยเมื่อได้สถานีที่ต้องการเดินทางแล้วให้กดเลือก Depart now แอพพลิเคชั่นจะแสดงเส้นทางสายรถไฟที่ต้องเดินทางหรือต้องเปลี่ยนขบวน พร้อมทั้งช่วงเวลาในการเดินทางการ เพื่อใช้สำหรับคำนวณระยะเวลาในการเดินทางแต่ละทริปด้วยนอกจากนี้ยังมีแอพพลิเคชั่นที่มีลักษณะเดียวกัน โดยใช้การค้นหาแอพพลิเคชั่นคำว่า Rail ตามหลังชื่อประเทศที่ต้องการดาวน์โหลดเช่นกัน แอพพลิเคชั่นนี้จะเพียงแค่กดเลือกสถานีที่ต้องการเริ่มต้น หลังจากนั้นจะปรากฏเส้นทางการเดินทางที่ต้องผ่านแต่ละสถานีให้เลือกอีกครั้งแอพพลิเคชั่นทั้งสองรูปแบบมีเส้นทางการเดินทางของประเทศไทยเช่นกัน ชื่อแอพพลิเคชั่น Bangkok Transit และ Thailand Rail และขอแนะนำว่าผู้อ่านลองดาวน์โหลดรูปแบบการเดินทางของประเทศไทยมาศึกษาก่อน เพื่อให้เกิดความชำนาญและเข้าใจมากขึ้น เมื่อไปใช้แอพพลิเคชั่นของประเทศต่างๆ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 186 ซื้อทัวร์แล้ว แต่เดินทางไม่ได้

เมื่อต้นปีที่แล้วได้มีข่าวเกี่ยวกับสายการบิสซิเนส แอร์ ที่ถูกกรมการบินพลยกเลิกการบิน เนื่องจากยังไม่ชำระหนี้ที่ค้างไว้ ทำให้ทัวร์ชาวไทยตกค้างที่ประเทศเกาหลีและสนามบินดอนเมืองจำนวนมาก ซึ่งหนึ่งในคณะทัวร์ที่ได้รับความเสียหายครั้งนั้น ก็ส่งเรื่องมาร้องเรียนยังศูนย์พิทักษ์สิทธิเพื่อขอคำปรึกษาผู้ร้องซื้อโปรแกรมทัวร์ให้คณะนักศึกษากับบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเดินทางโดยสารการบินของบริษัท บิสซิเนสแอร์เซ็นเตอร์ จำกัด โดยมีกำหนดเดินทางวันที่ 20 – 23 ม.ค. 2558 อย่างไรก็ตามเมื่อถึงกำหนดการกลับผลว่าไม่สามารถเดินทางได้ ซึ่งในขณะนั้นทางบริษัททัวร์ได้มีการเจรจาและตกลงกับผู้ร้องว่า ให้ผู้ร้องออกเงินค่าตั๋วใหม่จำนวน 100,000 บาทไปก่อน แล้วทางบริษัททั้งสองจะร่วมกันจ่ายให้ภายหลัง ผู้ร้องจึงยินยอมและเดินทางด้วยสายการบินอื่นแทน อย่างไรก็ตามปัญหาใหม่ก็เกิดขึ้นเมื่อผู้ร้องได้ทำหนังสือขอคืนเงิน แต่ทางบริษัทก็ไม่มีการตอบรับใดๆ ทำให้เขาต้องมาร้องเรียนเพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางการแก้ไขปัญหาจากกรณีนี้ในเบื้องต้นพบว่า หากกรมการบินพลเรือนสามารถดูแลหรือแจ้งข่าวสาร สถานะความสามารถในการให้บริการของบริษัทการบินต่างๆ ให้ผู้โดยสาร รวมทั้งบริษัททัวร์รับทราบได้ ก็อาจไม่เกิดปัญหาจ่ายเงินไปแล้วแต่เดินทางไม่ได้เช่นนี้ ทั้งนี้ศูนย์ฯ ได้ช่วยเหลือผู้ร้องด้วยการแนะนำให้รวบรวมเอกสารต่างๆ มาให้เพิ่มเติม ได้แก่ จดหมายทวงถาม หนังสือขอคืนเงิน เอกสารการติดต่อกับสายการบิน จากนั้นจึงช่วยติดต่อกับทางสายการบินดังกล่าว ซึ่งตัวแทนของบริษัททัวร์แจ้งว่าจะมีการคืนเงินให้ผู้ร้องปลายปีนี้  โดยเหตุที่ล่าช้าและไม่สามารถดำเนินการบินได้ เนื่องจากสายการบินประสบปัญหาถูกสั่งห้ามบิน และมีการฟ้องร้องอยู่ในชั้นศาลปกครอง อย่างไรก็ตามจะรับผิดชอบแต่เพียงฝ่ายเดียว ด้วยการคืนค่าตั๋วเครื่องบินให้กับผู้ร้องตามจำนวนที่จ่ายไปเพิ่มเติม คือ 100,000 บาท แต่ขอแบ่งชำระเป็น 2 งวด งวดละ 50,000 บาท ซึ่งผู้ร้องยินดีกับข้อเสนอดังกล่าว แต่เหตุการณ์ไม่ได้จบลงเพียงเท่านี้ เพราะเวลาต่อมาบริษัทฯ ก็แจ้งกลับมาอีกครั้งว่า ก่อนหน้านี้บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการยื่นขอฟื้นฟูกิจการ ซึ่งเจ้าหนี้บางรายคัดค้าน อาจทำให้กระบวนการชำระหนี้ล่าช้า แต่ขณะนี้การที่กรมการบินพลเรือนได้เพิกถอนใบอนุญาตของบริษัทฯ ทำให้ภายหลังบริษัทฯ ต้องถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ เพราะไม่สามารถประกอบกิจการได้ ผู้ร่วมทุนของบริษัทรายใหม่ก็ถอนหุ้นไปเกือบหมด บริษัทฯ จึงไม่มีเงินที่จะดำเนินกิจการ แต่บริษัทฯ จะยังคงหาผู้ร่วมทุนรายใหม่ เพื่อที่จะดำเนินการกิจการต่อไป และประสงค์ที่จะยื่นฟื้นฟูกิจการอีกครั้ง เนื่องจากคิดว่าหากมีการฟื้นฟูกิจการ บริษัทฯ ก็สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และขอนำเรื่องผู้ร้องเข้าที่ประชุมของบริษัทฯ  เพื่อพิจารณาเรื่องจำนวนเงินที่จะผ่อนชำระให้ผู้ร้องอีกครั้ง ทั้งนี้ภายหลังทางบริษัทฯ ก็เสนอกลับมาว่า สามารถผ่อนจ่ายให้ผู้ร้องได้เดือนละ 2,000 บาท จนกว่าจะสามารถฟื้นฟูกิจการได้ ซึ่งเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ผู้ร้องก็ต้องยินยอมข้อเสนอดังกล่าวไป

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 181 สบายใจกับการเดินทางรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

เคยไหมคะ ยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ แต่ไม่รู้ต้องขึ้นสายไหน...โดยเฉพาะวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผู้เขียนเป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ ไม่ได้เติบโตในกรุงเทพมหานคร เมืองฟ้าอมรที่ใครๆ ก็ต้องต่างทยอยเข้ามาอยู่อาศัยและหางานทำ จึงไม่แปลกที่จะมีอาการสับสนกับการใช้รถโดยสารสาธารณะกลางใจเมืองขนาดนี้ แถมวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นจุดศูนย์กลางของถนนสี่สาย ยิ่งถ้าไม่รู้ว่าแต่ละเส้นทางไปที่ใดบ้าง บอกได้คำเดียวคะว่า “งง” ล่าสุดได้มีผู้จัดทำแผนที่การใช้รถโดยสาร ทั้งรถเมล์และรถตู้บริเวณรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิจะแบ่งออกเป็น 4 ฝั่ง หรือ 4 เกาะ ได้แก่ เกาะดินแดง เกาะพญาไท เกาะราชวิถี และเกาะพหลโยธิน ซึ่งเรียกชื่อตามสายถนนนั่นเอง ถ้าต้องมีการอธิบายถึงป้ายรถเมล์หรือรถตู้ที่ต้องรอขึ้น โดยไม่ชี้ฝั่งหรือเกาะให้ชัดเจน ให้กับคนที่เดินทางมาผ่านวงเวียนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิครั้งแรก (บางคนผ่านบ่อยครั้งยังไม่รู้เลย) กว่าจะเข้าใจตรงกันคงต้องใช้ความพยายามมากหน่อย  แค่พูดชื่อ 4 เกาะ ก็งงกันแล้ว แต่ถ้าอาศัยแผนที่ฉบับนี้จะสามารถช่วยได้อย่างมาก ผู้จัดทำแผนที่การใช้รถโดยสาร ทั้งรถเมล์และรถตู้บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินี้ มีชื่อว่า “easymap” โดยสามารถดาวน์โหลดภาพแผนที่ได้ที่ www.easymap.in.th มาไว้ที่สมาร์ทโฟนได้ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน ต้องบอกก่อนนะคะว่าผู้เขียนไม่ได้แนะนำเพื่อต้องการให้ไปทำธุรกิจหรือซ้อสินค้าใดๆ เพียงแต่ต้องการนำข้อมูลในส่วนที่มีประโยชน์แก่การเดินทางของประชาชนมาให้ทราบกันเท่านั้น ทั้งนี้ผู้เขียนขออธิบายประโยชน์ที่จะได้รับจากภาพแผนที่นี้ คือ ถ้าเป็นภาพแผนที่รถเมล์บริเวณ 4 เกาะรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แผนที่จะบอกรายละเอียดถึงป้ายรถเมล์ที่สามารถรอขึ้นรถ โดยบอกสายรถเมล์จากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งใช้สีต่างๆ เพื่อบอกเส้นทางดังกล่าว  ส่วนภาพแผนที่รถตู้ จะบอกจุดขึ้นรถรอบบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อบอกว่าจุดไหนมีบริการรถตู้ไปที่ใดบ้าง หลังจากที่ผู้เขียนบ่นมาแสนนานที่ต้องสับสนกับการขึ้นรถเมล์บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ภาพแผนที่ที่ถูกจัดทำขึ้นมานี้ช่วยให้ความสับสนของผู้เขียนลดน้อยลงแล้วค่ะ และด้วยภาพแผนที่ที่มีอยู่นี้เลยต้องขอทำตัวเป็นพลเมืองดีกันสักหน่อย เพราะมีโอกาสได้แนะนำเส้นทางบริเวณรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ให้กับผู้คนที่ต้องผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิตลอด บอกตรงๆ ค่ะ เข้าใจความรู้สึกสับสนนั้นได้ดีจริงๆ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 158 360 องศากับ Google Earth

หลายครั้งที่ต้องเดินทางไปที่นั่นที่นี่ โดยที่ไม่รู้ว่าบริเวณที่จะไปอยู่ส่วนไหนของประเทศหรืออยู่ส่วนไหนของโลก ถือว่าเป็นเรื่องที่ลำบากอย่างมาก ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันที่อินเตอร์เน็ตช่วยทำให้ความลำบากเหล่านั้นหายไปโดยสิ้นเชิง ต้องยอมรับว่าอินเตอร์เน็ตมีประโยชน์อย่างมากที่จะช่วยค้นหาสถานที่ต่างๆ ที่ต้องการเดินทางไป ซึ่งคำตอบที่มักจะมาจาก google ที่เรารู้จักกันดีนั่นเอง แค่นี้เว็บไซต์นี้ก็จะค้นหาแผนที่ที่จะใช้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ มาให้เลือกมากมาย ภาพแผนที่ได้ถูกพัฒนาขึ้นตามวิวัฒนาการของเทคโนโลยี จนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจากภาพแผนที่เดิมๆ ที่มีเพียงลายเส้นเพื่อบอกทิศทาง เปลี่ยนมาเป็นภาพผ่านดาวเทียม มีลักษณะจำลองเป็นภาพ 3 มิติ เป็นภาพเสมือนจริง เหมือนกับเราได้ไปเดินในถนนเส้นนั้นๆ ฉบับนี้จึงพามารู้จักแผนที่ฉบับดาวเทียมที่ถือว่ามีชื่อเสียงระดับโลกเลยทีเดียว นั่นคือ Google Earth ปัจจุบัน Google Earth ได้ถูกพัฒนาให้เห็นสถานที่ต่างๆ ในเส้นทางที่ต้องการจะค้นหาว่าสถานที่ใดตั้งอยู่ในบริเวณใด ถือว่าเป็นการย่อส่วนของสถานที่ทั่วโลกมาไว้ที่คอมพิวเตอร์   โดยปกติ Google Earth สามารถใช้ผ่านอินเตอร์เน็ต ถ้าต้องการโปรแกรมมาไว้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ก็สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมมาติดตั้งได้ด้วย โดยเข้าที่เว็บไซต์ www.google.com/earth และได้ถูกพัฒนามาไว้ที่แอพพลิเคชั่นแบบเต็มตัว ที่ชื่อว่า Google Earth เพื่อให้ทันสมัยกับยุคโซเชียลมีเดีย แอพพลิเคชั่นนี้จะช่วยในการค้นหาเส้นทาง ผังเมือง แผนที่การคมนาคม  ภายในแอพพลิเคชั่น Google Earth จะมีลักษณะการใช้งานเหมือนกับในคอมพิวเตอร์ โดยจะมีเข็มทิศบอกทิศทางเหนือทิศใต้  เมื่อต้องการค้นหาสถานที่ใดให้ใส่ชื่อสถานที่ในช่องค้นหา ภาพจำลอง 3 มิติจะปรากฏขึ้นมา เราสามารถเลื่อนไปทางซ้ายหรือทางขวา ขึ้นลง ได้ตามความต้องการ ถ้าต้องการมองในมุมแนวเดียวกับถนน ให้กดที่รูปคนด้านซ้ายมือ จะปรากฏภาพถนนสายนั้นๆ ที่เป็นเหมือนภาพถ่าย 360 องศา ทำให้รู้สึกเสมือนว่าเรายืนอยู่ตรงบริเวณนั้น ปุ่มบนด้านขวามือ จะเป็นการตั้งค่าของมุมมองที่ต้องการให้เห็น อย่างเช่น ต้องการให้เห็นถนน ต้องการให้เห็นสถานที่ ต้องการให้เห็นมหาสมุทร เป็นต้น ก็ให้คลิกเพื่อทำเครื่องหมายที่เราต้องการให้เห็นในส่วนนั้น  อีกปุ่มหนึ่งจะเป็นลูกศรอยู่ทางด้านล่างขวา ลูกศรนี้ช่วยหาตำแหน่งที่อยู่ของเราในขณะที่ใช้งานแอพพลิเคชั่นนี้ ช่วยให้ผู้ที่ไม่แน่ใจว่าตนเองอยู่ส่วนไหนได้รู้ตำแหน่งตนเองให้แน่ชัด ประโยชน์ของแอพพลิเคชั่น Google Earth จะช่วยให้รู้สถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประเทศอะไรก็ตามในโลกนี้  Google Earth ได้ทำภาพจำลอง 3 มิติอาคารสถานที่ให้ได้เห็น โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปยังประเทศนั้นๆ อย่างน้อยก็ช่วยให้รู้จักบรรยากาศ สภาพบ้านเมืองของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ลองโหลด Google Earth มาเล่นกันดูนะคะ   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 143 ใช้ประโยชน์จาก Google Maps

  สวัสดีปีใหม่ปีมะเส็งนะคะ ผู้อ่านทุกท่าน เทศกาลปีใหม่ผ่านพ้นไป หลายคนคงได้หยุดพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ (แม้ว่าวันหยุดจะน้อยไปนิ๊ด 555) บางคนได้เดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ บางคนก็กลับบ้าน พอเทศกาลปีใหม่ผ่านไป มนุษย์เงินเดือนอย่างเราก็ต้องกลับเข้าประจำโต๊ะทำงานกันต่อไป กลับมาใช้ชีวิตผจญปัญหาจราจรติดขัดในเมืองกรุงเหมือนเดิม   ปัญหาการจราจรบนท้องถนนในกรุงเทพมหานครติดขัดตลอด ไม่มีใครสามารถแก้ปัญหานี้ไปได้ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนท้องถนนนานนับเป็นชั่วโมง จะหลีกเลี่ยงเส้นทางก็ไม่แน่ใจว่าจะติดเหมือนกันหรือไม่ จึงได้แต่ร้องเพลงรอกันต่อไป  ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงลองหาแอพพลิเคชั่นที่มีประสิทธิภาพมาช่วยปัญหาที่เกิดขึ้น (อย่างน้อยก็ช่วยอะไรได้บ้างนะคะ)   แอพพลิเคชั่น Google Maps เป็นบริการแสดงแผนที่ประเทศไทย (รวมถึงทั่วโลก) บอกถึงสภาพการจราจรบนท้องถนน ตำแหน่งที่ยืนอยู่ไปจนถึงค้นหาตำแหน่งจุดหมายที่ต้องการเดินทางไปถึง ระบบขนส่งมวลชน อย่างเช่น สถานีรถไฟฟ้า BTS สายรถเมล์ที่สามารถทำให้จุดหมายปลายทางนั้นได้ โดยแอพพลิเคชั่นจะบอกระยะทางการเดินทาง รวมถึงเวลาที่จะใช้ในการเดินทาง   เมื่อเปิดแอพพลิเคชั่นขึ้นมา Google Maps จะบอกตำแหน่งที่เรายื่นอยู่ปรากฏบน Google Maps จากนั้นให้กรอกสถานที่จุดหมายที่ต้องการเดินทาง โดยจะมีเมนูที่แสดงผลสถานที่ใกล้เคียงบริเวณที่ค้นหา ให้คุณเลือกเพิ่มเติมอีกด้วย ในกรณีที่การแสดงผลไม่ตรงกับสถานที่ที่คุณต้องการ  เมื่อเจอสถานที่นั้นแล้ว คุณสามารถเปลี่ยนมุมมองเป็นแผนที่ 3 มิติหมุน 360 องศา หรืออาจจะเป็นในรูปแบบภาพถ่ายดาวเทียม นอกจากนี้ยังสามารถดูภาพท้องถนน หรือเรียกว่า Google Street View ในช่วงเวลานั้นได้เช่นกัน   บน Google Maps ที่แสดงผลอยู่นั้น คุณสามารถดูสภาพการจราจรไปด้วยในตัว ว่าเส้นทางใดสภาพการจราจรติดขัดควรหลีกเลี่ยง เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกเส้นทางการเดินทางที่ไม่ติดตัดและที่ดีที่สุด และแอพพลิเคชั่นยังคำนวณเวลาในการเดินทางให้ ไม่ว่าจะเป็นรถส่วนตัว หรือขึ้นรถเมล์ โดยจะบอกสายรถเมล์ที่ผ่านบริเวณจุดหมายให้อีกด้วย Google Maps สามารถติดตั้งในรูปแบบแอพพลิเคชั่น โดยผู้ที่ใช้ระบบ  iOS สามารถไปดาวน์โหลดได้ที่ App Store สำหรับผู้ใช้ระบบ Android  สามารถไปดาวน์โหลดได้ที่ Android Market เมื่อดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Google Maps มาใช้งานแล้วมีปัญหา Google Maps ไม่ระบุตำแหน่ง ให้ไปเช็คที่  Settings > Privacy > Location Services   ลองดาวน์โหลดและดึงประโยชน์ของ แอพพลิเคชั่น Google Maps มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน อาจจะช่วยแก้ความหงุดหงิดใจในระหว่างที่อยู่บนท้องถนนได้สักเล็กน้อย ^_^

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 116 เที่ยวไปกอดไป...ใครอยากกอดเมืองไทยบ้าง...ยกมือขึ้น!!!

กิจกรรม “การเดินทาง” ในสังคมไทย เกิดขึ้นมานานแล้ว สมัยโบราณบรรดาพ่อค้าวาณิชหรือนายฮ้อยในภาคอีสานอาจเดินทางไปด้วยเป้าหมายเพื่อการค้าขาย นักรบและกองทัพเดินทางไปด้วยเหตุผลเรื่องการเมืองและการทำสงคราม หรือแม้แต่พระสงฆ์ก็เดินทางจาริกแสวงบุญไปด้วยวัตถุประสงค์เพื่อพระศาสนา จากหลักฐานที่ปรากฏในนิราศของสุนทรภู่นั้น ก็ดูเหมือนว่า แม้แต่สามัญชนสมัยก่อนก็มีการเดินทางรอนแรมไป ณ ที่ต่างๆ มาช้านานแล้ว เป้าหมายก็อาจจะมีทั้งเพื่อความเพลิดเพลิน เพื่อแสวงหาความรู้ หรือเป็นเป้าหมายแบบที่บรมครูสุนทรภู่เดินทางไปเพื่อไหว้พระ ดังที่ท่านเขียนไว้ในนิราศหลายๆ เรื่อง แต่พอมาถึงยุคปัจจุบัน เมื่อการเดินทางกลายเป็นกิจกรรมขนาดใหญ่ หรือที่เรียกกันอย่างเก๋ไก๋ว่าเป็น “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ซึ่งมีองค์กรของรัฐหรือแม้แต่การตั้งกระทรวงท่องเที่ยวเพื่อรองรับกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่นี้ ดูเหมือนว่า ความหมายและเป้าหมายของการท่องเที่ยวร่วมสมัยจะผิดแผกแตกต่างไปจากวัฒนธรรมการเดินทางที่มีมาแต่โบราณกาล อีกนัยหนึ่ง เป้าหมายหลักของการท่องเที่ยวคงไม่ใช่เพื่อการค้าพาณิชย์หรือการจาริกบุญตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาอีกต่อไปแล้ว ทว่าเป็นการสร้างจินตกรรมชุดใหม่ให้กับการเดินทาง “ท่องเที่ยว” ของคนบางกลุ่ม ที่จะมีเหตุผลหรือแรงจูงใจบางชุดในการได้ไปเยือนดินแดนอะเมซิ่งต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร ในโฆษณาชวนเที่ยวทั่วไทยชิ้นล่าสุดที่ผลิตขึ้นโดยองค์กรท่องเที่ยวแห่งรัฐนั้น ก็ดูเหมือนจะให้คำตอบเอาไว้ชัดเจนว่า ทุกวันนี้กิจกรรมการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมบริการที่เติบโตควบคู่มากับการขยายตัวของบรรดากลุ่มคนที่เรียกตนเองว่าเป็นพวกคนชั้นกลางของไทย และคนชั้นกลางเหล่านี้ก็ได้ผลิตความคิดบางอย่างว่า พวกเขาอาจไม่เพียงแค่อยากไปสัมผัสดินแดนที่มหัศจรรย์ของเมืองไทยเท่านั้น แต่ยังอยากจะเก็บอยากจะกอดเมืองไทยเอาไว้ให้อยู่ใต้อ้อมแขนน้อยๆ ของตนเองอีกด้วย “กอดฟ้า กอดน้ำ กอดภูเขา กอดต้นหญ้า…แล้วให้ต้นไม้กอดกอดเรือเล็ก กอดเรือใหญ่ กอดโกงกาง...แล้วนอนกางให้กอดกอดหินยักษ์ กอดหินเรดาห์ กอดถ้วยฟีฟ่า...หือ!!!กอดน้อยหน่า มังคุด เงาะ กอดทุเรียน...ระวังหนามกอดลิง ให้ลิงกอด กอดฮิปโป กอดปลา...แล้วให้ปลากอดกอดกองฟาง กอดหุ่นไล่กา กอดดอกไม้ กอดผีเสื้อ...สมุทรลงไปกอดทะเลใส ขึ้นไปกอดทะเลหมอก ออกไปกอดเมืองไทย...ให้หายเหนื่อย” นั่นคือข้อความที่เสียงผู้บรรยายชายในโฆษณา ได้อธิบายอารมณ์ความรู้สึกของนักท่องเที่ยวไทยที่มีต่อรอบๆ ขอบขัณฑสีมาของเมืองไทย ที่พวกเขาได้จินตนาการว่าอยากจะไปสัมผัส และภาพโฆษณาที่ตัดมาสลับกับเสียงบรรยายนั้น ก็เปิดฉากไล่เรียงมาตั้งแต่ผู้คนที่ชูสองมือขึ้นโอบกอดท้องฟ้า สองมือโอบกอดน้ำตก กับอีกคนหนึ่งนอนโอบกอดยอดหน้าผาตัดภาพมาที่คนกอดเรือกอและและเรือรบ เข้าไปนอนกอดต้นโกงกาง สลับกับคนนอนกอดกิ่งไม้และยอดหญ้าอยู่กลางท้องทุ่ง ภาพคนๆ หนึ่งกอดรูปปั้นปลา แล้วมาลงทะเลให้ฝูงปลาโอบล้อมโอบกอด อีกคนหนึ่งก็กอดกองฟาง คุณพ่อคุณลูกกอดหุ่นไล่กา คุณยายกอดดอกไม้ในทุ่ง คุณผู้ชายกอดรูปปั้นนางผีเสื้อสมุทร คุณแม่กับคุณลูกเล่นกอดน้ำทะเล ส่วนคุณผู้ชายอีกคนก็ไปยืนโอบกอดทะเลหมอกที่กลางขุนเขา ปิดท้ายด้วยภาพเด็กน้อยนอนกอดควายอยู่กลางทุ่งนา แล้วก็มีสายหมอกบางๆ พัดผ่านขุนเขา กระตุ้นให้ผู้ชมหลงรักในคุณค่าของธรรมชาติที่อยู่รอบเมืองไทยก็แบบที่ผมได้กล่าวไว้ตั้งแต่ตอนต้นนั่นแหละครับ เมื่อคนชั้นกลางของไทยได้ผันตนเองให้กลายเป็นพลเมืองแห่งอารยธรรมท่องเที่ยวสมัยใหม่ คนกลุ่มนี้เองที่ไม่เพียงแต่สร้างความฝันว่าอยากจะเที่ยวทั่วถิ่นไทยอย่างไร หากแต่ยังมีอำนาจแผ่ขยายรสนิยมการท่องเที่ยวของพวกเขาผ่านโฆษณาโทรทัศน์ไปได้อีก แล้วนักท่องเที่ยวไทยกลุ่มนี้มีความฝันอันใดบ้าง??? คำตอบง่ายๆ ก็คือ พวกเขาไม่เพียงแค่อยากจะ “เชยชม” กับธรรมชาติรอบตัวไล่เรื่อยไปจากแผ่นฟ้าจนจรดถึงท้องสมุทร หากแต่พวกเขายังอยากที่จะโอบกอดหรือ “ครอบครอง” ธรรมชาติเหล่านั้นเอาไว้ใต้อ้อมแขนของตน   ทำไมน่ะหรือครับ? เหตุผลคงเป็นเพราะว่า ในช่วงหลายๆ ทศวรรษที่ผ่านมา ภายใต้ความพยายามที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ คนกลุ่มนี้ได้ผลาญธรรมชาติมากมายที่อยู่รอบตัว ป่าไม้ ป่าชายเลน สร้างมลพิษให้กับอากาศและท้องทะเล รวมถึงถีบตัวเองด้วยการละทิ้งวัฒนธรรมท้องถิ่นและวัฒนธรรมชาวนาอันเป็นกระดูกสันหลังของชาติที่มีมาแต่เดิม เพราะฉะนั้น ด้วยราคาที่ต้องจ่ายไปแสนแพงให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ทุกวันนี้คนชั้นกลางไทยจึงอยากจะสร้างจินตนาการการไปโอบกอดต้นไม้ ป่าโกงกาง ทุ่งหญ้า ขุนเขา หุ่นไล่กา และอะไรต่อมิอะไรที่กำลังจะหายไปจากชีวิตพวกเขาอีกมากมาย หรืออีกนัยหนึ่ง เมื่อคนชั้นกลางไทยได้นำนวัตกรรมควายเหล็กเข้ามาใช้ไถนาเพื่อแทนควายเนื้อ ตอนนี้ลูกหลานตัวเล็กของพวกเขาก็จึงเพียรร่ำอยากที่จะหาควายเป็นๆ สักตัว มานอนกอดอยู่กลางท้องนานั่นเอง ด้านหนึ่งโฆษณาท่องเที่ยวไทย ได้ช่วยทำให้เราเห็นว่า คุณค่าอะไรบ้างที่ซ่อนอยู่ข้างหลังรอบๆ เมืองไทยของเรา แต่อีกด้านหนึ่ง แม้วันนี้เราจะยังมีคุณค่าเหล่านั้นเอาไว้ให้ตนเองและลูกหลานได้โอบกอด แต่ก็ไม่แน่ว่า ในวันรุ่งของพรุ่งนี้ เราก็อาจจะกอดคุณค่าเหล่านั้นได้ ก็เฉพาะผ่านภาพและเสียงที่สัมผัสจากจินตกรรมแห่งโฆษณาท่องเที่ยวทั่วไทยเท่านั้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 109 ไทยแอร์เอเซีย ชดใช้ผู้บริโภคเหตุเครื่องบินดีเลย์

เรื่องนี้...เป็นเรื่องยาวข้ามประเทศครับคุณรุจน์ และภรรยา มีกิจธุระที่ต้องเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย และเลยไปท่องเที่ยวยังเมืองที่ชื่อว่า ย๊อกยาการ์ตา ซึ่งอยู่ในประเทศอินโดนีเซียเช่นกันทั้งสองสามีภรรยาเลือกใช้บริการสายการบินราคาประหยัดไทยแอร์เอเซีย โดยซื้อตั๋วจากเว็บไซต์ของสายการบินแห่งนี้ ได้ตั๋วขาไปออกเดินทางในวันที่ 21 มีนาคม 2552 ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 20.15 น. และถึงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียเวลา 23.45 น. และตั๋วขากลับเครื่องบินจะออกจากจาการ์ตาในวันที่ 29 มีนาคม 2552 เวลา 16.20 น. และถึงกรุงเทพฯ เวลา 19.45 น. ทั้งนี้เพื่อจะกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ ให้ทันในเช้าวันรุ่งขึ้นอย่างไรก็ดี ในวันที่ 29 มีนาคมซึ่งเป็นวันที่ต้องเดินทางกลับนั้น สองสามีภรรยายังอยู่ที่เมืองย๊อกยาการ์ตา เพื่อไม่ให้พลาดเที่ยวบินขากลับจากจาการ์ตาไปกรุงเทพฯ ทั้งสองจึงได้ซื้อตั๋วจากไทยแอร์เอเซียเที่ยวบินจากย๊อกยาการ์ตามาถึงจาการ์ตาในเวลา 12.45 – 13.45 น. อีกด้วยคุณรุจน์และภรรยาทราบจากโฆษณาว่า สายการบินแอร์เอเซีย เป็นสายการบินที่ให้บริการแบบ “จุดต่อจุด” ไม่ได้ให้บริการเที่ยวบินต่อเนื่อง ผู้โดยสารต้องรับผิดชอบตัวเองในการไปเช็คอินให้ทันเที่ยวบินถัดไป คุณรุจน์จึงไม่ประมาทเพราะกลัวตกเครื่องบิน ก่อนออกเดินทางคุณรุจน์และภรรยาจึงช่วยกันเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อรวบรวมข้อมูลเที่ยวบินของสายการบินอื่นๆ ที่ให้บริการในเส้นทางย๊อกยาการ์ตา – จาการ์ตา ในเวลาใกล้เคียงกันกับเที่ยวบินของไทยแอร์เอเซียไว้เผื่อเหนียว ขาไปไม่มีปัญหาอะไร ทำธุระและท่องเที่ยวอยู่ในอินโดนีเซียจนถึงวันที่ 26 มีนาคม 2552 จึงได้เดินทางมาถึงเมืองย๊อกยาการ์ตา ก่อนออกจากสนามบินย๊อกยาการ์ตาจึงได้นำตั๋วเครื่องบินเส้นทางย๊อกยาการ์ตา – จาการ์ตา และ จาการ์ตา – กรุงเทพฯ ที่ซื้อไว้แล้วไปยืนยันการเดินทางกับพนักงานไทยแอร์เอซีย พนักงานก็จิ้ม ๆ ดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์แล้วบอกว่าเที่ยวบินที่สำรองที่นั่งไว้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ คุณรุจน์และภรรยาจึงออกจากสนามบินไปท่องเที่ยวและทำธุระในเมืองย๊อกยาการ์ตาอย่างสบายใจพอถึงวันเดินทางกลับในวันที่ 29 มีนาคม 2552 ซึ่งจะต้องบินออกจากย๊อกยาการ์ตาไปจาการ์ตาในเวลา 12.45 น. คุณรุจน์และภรรยา จึงรีบเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า เดินทางมาถึงสนามบินย๊อกยาการ์ตา และเช็คอินในเวลา 10.30 น. ได้ถามพนักงานไทยแอร์เอเซียว่าเที่ยวบิน “ตรงเวลา” หรือเปล่า ได้รับคำตอบจากพนักงานยืนยันว่าเที่ยวบินนี้ตรงเวลาจนถึงเวลา 12.15 น. พนักงานของท่าอากาศยานได้ประกาศเรียกให้ผู้โดยสารของสายการบินไทยแอร์เอเซียเที่ยวบินที่จะไปจาการ์ตาเข้าไปรอที่หน้าประตูทางออก คุณรุจน์และภรรยาก็เบาใจว่าได้ขึ้นเครื่องบินตรงเวลาแน่ จึงได้ผ่านกระบวนการซื้อสิทธิการใช้ท่าอากาศยานและผ่านการตรวจค้นอาวุธเพื่อไปรอที่ประตูทางออกรอกันอยู่ที่ประตูทางออกจนถึงเวลาที่เครื่องบินจะต้องออกคือเวลา 12.45 น. ไม่เห็นวี่แววจะมีเครื่องบินของไทยแอร์เอเซียมารับไปจาการ์ตาเสียที มองไปที่ลานบิน เห็นเครื่องบินของสายการบินอื่นที่ได้เล็งไว้เผื่อเป็นเที่ยวบินสำรองเวลามีเหตุฉุกเฉิน ก็ทยอยโผผินบินไปทีละลำๆโอย...นี่มันเหตุฉุกเฉินแล้วนี่ คุณรุจน์และภรรยามองหน้ากันเลิ่กลั่ก และทำสิ่งที่อาจหาญที่สุดเท่าที่เคยทำในชีวิตที่ผ่านมาด้วยการ ขออนุญาตพนักงานรักษาความปลอดภัยของสนามบินวิ่งย้อนออกไปถามข้อมูลเรื่องความล่าช้าของเที่ยวบินกับพนักงานไทยแอร์เอเซียกระทั่งเวลาบ่ายโมงเศษถึงได้รับข้อมูลว่า เครื่องบินที่จะใช้เดินทางนั้นเกิดความล่าช้าในการบินจากสนามบินสิงคโปร์มาสนามบินย๊อกยาการ์ตา ทำให้ต้องเลื่อนการเดินทางออกจากย๊อกยาการ์ตาเป็นเวลา 15.00 น. และถึงจาการ์ตา เวลา 16.00 น.การที่พนักงานไทยแอร์เอเซียเพิ่งมาบอกข้อมูลการดีเลย์ของเที่ยวบิน ทำให้คุณรุจน์และภรรยาหมดสิทธิที่จะไปเช็คอินเที่ยวบินจาการ์ตา – กรุงเทพฯ ได้ทัน เพราะเครื่องบินจะออกเวลา 16.20 น. แต่ต้องเช็คอินก่อนเครื่องบินออกอย่างน้อย 45 นาที สองสามีภรรยาจึงได้แต่นั่งทำใจหลังจากนั่งทำใจอยู่ในสนามบินย๊อกยาการ์ตาจนเบื่อแล้วเบื่ออีก ท้ายที่สุด คุณรุจน์และภรรยาได้ขึ้นเครื่องจากย๊อกยาการ์ตาในเวลา 15.30 น. ล่าช้าไปกว่ากำหนดการเดิม 2 ชั่วโมงครึ่ง และถึงจาการ์ตาเวลา 16.30 น. ซึ่งเที่ยวบินที่ซื้อจองไว้โบยบินไปกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้วทำให้คุณรุจน์และภรรยาต้องควักเงินซื้อตั๋วเครื่องบินหาทางกลับกรุงเทพฯ ใหม่ทั้งหมด และกลับมาถึงกรุงเทพฯ เกือบเที่ยงคืน นับเป็นการเดินทางที่ต้องใช้ความพยายามอย่างแสนสาหัสและต้องจดจำไปอีกนานแนวทางการแก้ไขปัญหาหลังเกิดปัญหา คุณรุจน์และภรรยา ได้พยายามติดต่อไปที่ไทยแอร์เอเซียเพื่อให้แสดงความรับผิดชอบใช้เวลาไปอีก 26 วัน ถึงจะได้คำตอบว่า ไทยแอร์เอเซีย ไม่จ่ายค่าชดเชยให้ โดยอ้างว่าความล่าช้าของเที่ยวบินที่เกิดขึ้น เป็นความล่าช้าจากระบบของสนามบินสิงคโปร์ที่ขัดข้องอย่างกะทันหัน ทำให้เครื่องบินของไทยแอร์เอเซียจากสิงคโปร์ไม่สามารถบินมารับผู้โดยสารที่ย๊อกยาการ์ตาได้ตรงตามเวลาเมื่อเห็นการปัดความรับผิดชอบเช่นนั้น คุณรุจน์และภรรยาจึงอีเมลล์ไปสอบถามข้อเท็จจริงกับทางท่าอากาศยานสิงคโปร์ ไม่นานได้รับคำตอบกลับมาว่า เหตุล่าช้าของเที่ยวบินเจ้าปัญหานั้น เกิดความบกพร่องของสายการบินไทยแอร์เอเซียเอง ไม่ใช่ความผิดพลาดของสนามบินสิงคโปร์ คำตอบดังกล่าวทำให้ลิมิตความอดทนของคุณรุจน์และภรรยาขาดสะบั้น แบกความชอกช้ำระกำใจจูงมือกันมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อให้ช่วยทำเรื่องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกับไทยแอร์เอเซียให้หลาบจำเสียทีศูนย์ทนายความอาสาเพื่อผู้บริโภค ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้รับมอบอำนาจจากผู้ร้องทั้งสอง ยื่นฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคเรียกค่าเสียหายกับไทยแอร์เอเซีย โทษฐานผิดสัญญาการให้บริการ รวมเป็นเงิน 65,000 บาทเศษศาลได้นัดเจรจาไกล่เกลี่ย ท้ายที่สุดไทยแอร์เอเซีย ยอมชดใช้ค่าเสียหายในส่วนที่เป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ค่ารถแท๊กซี่ ในการที่ต้องวิ่งวุ่นไปมา ตามจำนวนที่ถูกเรียกร้องมาทั้งหมดคือ 15,844 บาท และยังยอมชดใช้ค่าเสียความรู้สึกอีกเป็นเงิน 30,000 บาท จากที่เรียกร้องไปในส่วนนี้ 50,000 บาท ทำให้คุณรุจน์ได้รับการเยียวยาความเสียหายจากการเดินทางด้วยความทรมานของสายการบินไทยแอร์เอเซียเป็นเงินทั้งสิ้น 45,844 บาทถือเป็นบรรทัดฐานสำหรับผู้โดยสารอื่นๆ ว่า ปัญหาเที่ยวบินดีเลย์แล้วไม่รับผิดชอบนั้น อย่าปล่อยให้สายการบินลอยนวลโดยเด็ดขาด  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 107 ปัญหาจาก พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถอีกแล้วครับ..ท่าน

สวัสดีปีใหม่ ขอให้โชคดีมีชัยทุกท่านนะจ๊ะ(ไม่ช้าไปใช่ไหม) และเรื่องที่ตามมาคือจำนวนอุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดจากการเดินทางด้วยรถประเภทต่างๆ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บมากมาย และที่หนีไม่พ้นคือเมื่อเกิดเหตุจากรถ ก็ต้องมี พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถ จึงเขียนเรื่องที่เกิดเหตุเมื่อตอนปลายปี 2552ช่วงนั้นมีข่าวแปลกๆ คือชาวบ้าน “แห่ศพไปสวดที่หน้าสถานีตำรวจ” สาเหตุเพราะผู้ตายประสบเหตุ ถูกรถกระบะของตำรวจเฉี่ยวชน รถซาเล้ง(มอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง) จนทำให้แม่ลูก 2 คน ที่โดยสารมาเสียชีวิตทั้งคู่ โดยตำรวจคนที่ขับรถมาชน(ซึ่งค่อนข้างมีอิทธิพล) สั่งห้ามแจ้งความและไม่ยอมแจ้งประกัน แต่จะจ่ายให้ 2 ศพ 30,000 บาท ชาวบ้านไม่กล้าแจ้งความเพราะกลัวไม่ได้รับความเป็นธรรมเพราะคนที่ขับรถชนคือตำรวจ แล้วเขาก็ต้องไปแจ้งตำรวจอีก ญาติจึงตัดสินใจแห่ศพไปสวดหน้าโรงพักซะเลย เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมปรากฏว่าวิธีนี้ได้ผลมากเพราะสื่อต่างๆ ให้ความสนใจ ทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ (ออกหน้าหนึ่งไทยรัฐ) ทำให้ผู้ว่าฯ นั่งก้นไม่ติดเก้าอี้ ต้องลุกขึ้นมาสั่งการให้มีการสอบสวนให้เกิดความเป็นธรรมในกรณีนี้ ศูนย์พิทักษ์ผู้บริโภคได้เข้าไปช่วยเหลือเพราะกลัวว่าเรื่องนี้จะเป็นแค่ไฟไหม้ฟาง ข่าวสงบทุกอย่างก็จะเงียบอีก จึงได้ไปประสานงานเรื่องการชดเชยเบื้องต้นตามพรบ.ผู้ประสบภัยจากรถก่อน จากข้อมูลที่ศูนย์ฯ ได้มาคือ รถซาเล้ง พรบ. ขาดยังไม่ได้ต่อ แต่รถคันที่มาชนมี พรบ. ผู้ประสบภัยจากรถ ศูนย์ฯ จึงได้ไปประสานงานกับบริษัทประกันภัยกลางจังหวัด เพื่อรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ซึ่งโดยทั่วไปผู้โดยสารซึ่งเป็นบุคคลที่ 3 ต้องได้รับเงินชดเชยตามกฎหมายศพละ 100,000 บาท ไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด เพราะไม่ใช่คนขับขี่ แต่กรณีนี้ปรากฏว่า บริษัทประกันภัยกลางแจ้งมาว่า จ่ายให้ได้แค่ศพละ 35,000 บาท เท่านั้น เพราะรถที่ผู้เสียชีวิตนั่งไปไม่ได้ทำประกัน อ้าว..ก็รถคันที่ชนมันมีประกันทำไมไม่ให้คันนั้นจ่ายให้ ล่ะ.. เพราะถึงรถคันที่นั่งไปไม่มีประกัน หากเขาไม่ถูกรถกระบะวิ่งมาชนเขาก็ไม่ตายนี่.. บริษัทกลางยืนยันยังไงก็จ่ายได้แค่นั้น เพราะกฎหมายเขียนไว้อย่างนี้ และนี่คือเหตุผลที่ต้องเขียนเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังว่า พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถมันมีปัญหาซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมาย ที่ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถใช้ประโยชน์จาก พรบ.นี้ได้จริง เห็นมีแต่บริษัทประกันภัยเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ และบริษัทประกันภัยกลางก็ไม่ได้ยินดียินร้ายกับความเสียหายที่เกิดขึ้น เฉื่อยแฉะและเย็นชาเอามาก...ก...ก...เครือข่ายผู้บริโภคและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงร่วมกันผลักดันให้เกิดการแก้กฎหมายฉบับนี้ เพราะเรารู้ว่าเราพึ่งใครไม่ได้ (นักการเมืองไม่ว่างเพราะทะเลาะกันอยู่) ขณะนี้เราร่างพรบ.ฉบับใหม่เรียบร้อยแล้ว และได้ชื่อมาแล้วกว่า 8,000 ชื่อ ยังขาดอีกนิดหน่อย จึงขอเรียนเชิญท่านผู้อ่านช่วยร่วมลงชื่อเพื่อแก้ไข พรบ.ผู้ประสบภัยจากรถให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประสบภัยมากขึ้น  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 98 ทางด่วน ที่ไม่ด่วน แล้วจะให้ทำยังไง

ถึงเทศกาล การเดินทางกันอีกแล้วละพี่น้อง และเมื่อต้องเดินทางคงหนีไม่พ้นถนนใช่ไหม วันนี้เลยมีเรื่องถนนมาเล่าสู่กันฟัง พอดีเมื่อวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2552 ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปบางแสน จังหวัดชลบุรี แนะๆ คิดว่าไปเที่ยวล่ะซิ เปล่า…เลย ไปประชุมต่างหาก พอดีที่นั่นมีชาวบ้านเขาร้องเรียนเรื่องความเดือดร้อนจากการตั้งเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจกรรมโทรคมนาคม จึงไปจัดเวทีเพื่อระดมความคิดเห็นของทุกภาคส่วน ทั้งผู้ใช้บริการ ผู้ให้บริการ นักวิชาการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาเชิงระบบในภาพรวม เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ต่อไป แต่คงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร จากการที่ถูกเชิญจึงทำให้ต้องเดินทางไปจากสมุทรสงคราม ซึ่งหนีไม่พ้นคือต้องขึ้นทางด่วนที่ดาวคะนองเพื่อมุ่งหน้าไปบางนาแล้วผ่านไปยังบางแสน ขาไปก็ไม่รู้สึกอะไร เสียค่าทางด่วนที่ดาวคะนอง 45 บาท เจออีกด่านก็รับบัตร ไปเสียเงินด่านหน้า อีก 65 บาท รวมเป็น 110 บาท มามีเรื่องเอาขากลับ วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม 2552 (กลับทางเดิม) เริ่มต้นเข้าทางด่วนก็รับบัตร เพื่อไปเสียเงินด่านหน้า พอถึงด่านเวลาบ่าย 3 โมงกว่าๆ พอส่งบัตรให้ เจ้าหน้าที่บอกเราว่า เสียค่าผ่านทาง 105 บาท เราก็นึกในใจว่า “โอ้โฮ...ขากลับเสียเงินมากกว่าตอนขาไปอีก ทางก็เท่ากันทำไมเก็บไม่เท่ากัน” แต่ก็ต้องจ่ายไปนั่นแหละใช้ทางเขาแล้วนี่… แล้วก็ขับรถต่อไประยะทางไม่ไกลนัก ก็เริ่มเห็นความหนาแน่นของรถข้างหน้าที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนเรียกได้ว่าติดขัด ขยับไม่ได้ เราก็คิดว่าข้างหน้าต้องมีอุบัติเหตุแน่ๆ เลย ใช้เวลาอยู่ตรงนั้นเกือบ 20 นาที (หงุดหงิดบอกตรงๆ ก็อากาศมันร้อนจัดนี่) รถขยับไปทีละนิดถึงได้รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้รถติดเพราะข้างหน้ามีด่านเก็บเงินค่าผ่านทาง ตอนแรกก็ไม่รู้สึกอะไร เสียก็เสียซิจะเป็นไรไป แต่พอจ่ายเงินลมออกหูเลยท่านผู้อ่าน ก็จะไม่ให้โมโหได้ไงมันมีด่านไว้เก็บเงินแค่ 5 บาท ดู่ดู๊....ดูเขาทำ... 5 บาทเนี่ยนะ...ที่มันทำให้เราต้องเสียเวลาตั้งมากตั้งมายเสียน้ำมันอย่างน้อยก็ 2 ลิตร เกือบ 50 บาท เพื่อให้เขาเก็บเงินเราเพียง 5 บาท ท่าจะบ้าไปแล้ว…อันนี้ชี้ให้เห็นเลยว่า “ธุรกิจทางด่วนไม่ได้สนอกสนใจความรู้สึกของผู้ใช้บริการเล้ย...จริงๆ” เห็นแต่ผลประโยชน์ของตนเองชัดๆ เราเคยหงุดหงิดว่าก่อนลงงามวงค์วาน มีด่านเก็บเงิน 10 บาท แต่นี่ 5 บาทก็เอา ทำไมไม่เก็บรวมไปเลยเรายอมเสียอยู่แล้ว ดูซิอ้างเรื่องสัญญาว่ากี่ปีมีสิทธิขึ้นค่าผ่านทาง ถึงเวลาก็ขึ้นเลย อ้างสัญญาตลอด แต่ในสัญญา(ที่แอบรู้มา) ระบุว่าในแต่ละ1 เดือนจะมีรถขึ้นทางด่วน 200,000 คัน เอาเข้าจริงเป็นล้านคัน จำนวนรถที่เกินก็เก็บเงินเพิ่มมหาศาลแล้ว แถมยังขึ้นค่าผ่านทางได้อีก ท่านผู้อ่านคิดดูนะว่าทำไมเราต้องยอม เขาจะขึ้นค่าผ่านทางเราก็ยอมเขาพอใจจะตั้งด่านเก็บเงินตรงไหนเราก็ยอม คนจ่ายตังค์อย่างเราไม่เคยมีส่วนร่วมด้วยเลย มีหน้าที่จ่ายอย่างเดียว ทั้งๆ ที่เขาไม่มีเราเขาก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน ทางด่วนมีอิสระมากในการบริหารจัดการเหมือนไม่มีหน่วยงานใดดูแลอยู่เลย คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ทั้งรัฐมนตรีรัฐมนโท รวมถึงข้าราชการที่กินเงินเดือนจากภาษีของเราทั้งหลายไปไหนกันหมด ยังมีความสุขดีกันอยู่ไหม ตื่นๆๆๆๆ มาทำงานกันบ้าง ไม่ต้องรอให้ผู้บริโภคต้องออกมาโวยหรือรออยู่จะได้จัดให้.... ที่ฮึ่มกันอยู่นี่ยังไม่พอใช่ไหมจ๊ะ ราด-ทะ-บาน-ปะ-ชา-ทิ-ปาด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 185 กระเป๋าเดินทางล้อลาก

ฉลาดซื้อขอนำเสนอผลการทดสอบกระเป๋าล้อลากเอาใจคนรักการเดินทางกันบ้าง ผลการทดสอบที่สมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT ทำไว้คราวนี้ มีมาให้พิจารณากัน 17 รุ่น ทั้งแบบที่ทำจากพลาสติกและแบบที่ใช้วัสดุผ้า มีทั้งแบบ 4 ล้อ และ 2 ล้อ สนนราคาเริ่มตั้งแต่ต่ำกว่า 3,000 ไปจนถึงมากกว่า 20,000 บาท โชคดียังเป็นของผู้บริโภคอย่างเรา เพราะรุ่นที่ดีที่สุดไม่ใช่รุ่นที่แพงที่สุดและรุ่นที่ราคาต่ำที่สุดก็ไม่ได้คุณภาพต่ำตามราคา และทีมทดสอบพบว่าส่วนประกอบอย่างคันชัก ซิปและล้อของกระเป๋าทุกรุ่นที่ทดสอบมีความแข็งแรงทนทานในระดับที่น่าพอใจ แต่จะเฉือนกันอยู่ก็ตรงความทนทาน ความสามารถในการกันน้ำซึมเข้าของตัวกระเป๋า และความพึงพอใจของผู้ใช้ ... ติดตามรายละเอียดได้ในหน้าถัดไป                

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 156 เดินทางไกล เอาสัมภาระไปได้แค่ไหน

ฉบับก่อนเราใส่ใจกันเรื่องตั๋วโดยสาร การจอง การคืน คราวนี้ถ้าได้เดินทางจริง ก็คงมาถึงเรื่องสัมภาระเนื่องจากเราต้องไปด้วยระบบสาธารณะ ไม่ได้ไปด้วยพาหนะของเราเอง จึงควรทราบถึงกฎ ระเบียบของแต่ละสายการบิน รถโดยสารสาธารณะ และรถไฟ ว่าเขาให้เรา ได้ ไม่ได้ แค่ไหน งานนี้เฉพาะเดินทางในประเทศนะคะ เริ่มด้วยการบินกันก่อน สรุป ถือติดตัวเข้าห้องโดยสารไม่เกินคนละ 7 กิโลกรัม ฟรี ทุกสายการบิน (เอาเข้าท้องเครื่องก็ได้ 7 กก. นี้ฟรีเหมือนกัน) การบินไทยและนกแอร์ โหลดเข้าใต้ท้องเครื่อง ฟรี น้ำหนักสูงสุดไม่เกิน 30 กิโลกรัม (ขึ้นอยู่กับประเภทของตั๋วโดยสาร จริงๆ ก็ไม่ฟรีหรอกมันรวมในค่าตั๋วแล้ว) แอร์เอเชียเกิน 7 กิโลกรัม ต้องจ่ายเงินเพิ่ม (จองน้ำหนักล่วงหน้าจะได้ราคาถูกกว่าหน้าเคาน์เตอร์)   การบินไทย สัมภาระที่ท่านผู้โดยสารนำติดตัวขึ้นเครื่องบิน สัมภาระน้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม และมีขนาดโดยรวมไม่เกิน 45 นิ้ว (115 เซ็นติเมตร) ติดตัวขึ้นบนเครื่องบิน เกณฑ์สำหรับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การเดินทางภายในประเทศไทยตลอดเส้นทาง น้ำหนักสัมภาระอนุญาตสำหรับช่วงของการเดินทางในประเทศเท่านั้น ประเภท น้ำหนักสัมภาระทุกชิ้นรวมกันสูงสุด รอยัลซิลค์คลาส 30 กก. (66 ปอนด์) เอโคโนมีคลาส 20 กก. (44 ปอนด์) เด็กเล็กที่ไม่ใช้ที่นั่ง 10 กก. (22 ปอนด์) น้ำหนักเพิ่มสำหรับผู้ถือบัตรรอยัลออร์คิด และสตาร์อัลลายแอนซ์โกลด์ 20 กก. (44 ปอนด์) น้ำหนักเพิ่มสำหรับผู้ถือบัตรรอยัลออร์คิดซิลเวอร์ (เฉพาะบนเที่ยวบิน TG เท่านั้น) 10 กก. (22 ปอนด์) *มีค่าบริการสัมภาระส่วนเกินสำหรับช่วงของการเดินทางในประเทศเท่านั้น*   ที่มา http://www.thaiairways.co.th/thai-services/your-guide-to-safety/th/th-cabin-baggage.htm http://www.thaiairways.com/th_TH/Terms_condition/baggage_policy.page   นกแอร์ กระเป๋าถือ กระเป๋าถือติดตัวขึ้นเครื่อง จะต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม ต่อผู้โดยสาร 1 คน   ขนาด ความยาว ความสูง ความกว้าง สำหรับเครื่องบินโดยสารทุกรุ่น 56 ซม (22 นิ้ว) 36 ซม (14 นิ้ว) 23 ซม (9 นิ้ว) การขนส่งสัมภาระโดยไม่มีค่าใช้จ่าย กระเป๋าเดินทางต้องมีน้ำหนักรวมกันไม่เกินที่ระบุไว้ในเงื่อนไขและข้อจำกัดของบริษัท ซึ่งจะไม่เสียค่าใช้จ่าย ดังนี้   ประเภทที่นั่ง ลูกค้าปกติ (กิโลกรัม) นกแฟนคลับ (กิโลกรัม) นกแฟนคลับพลัส (กิโลกรัม) โปรโมชั่น 15 20 25 นกประหยัด 15 20 25 นกเปลี่ยนได้ 20 25 30 สัมภาระที่มีน้ำหนักเกิน ท่านไม่มีสิทธินำสัมภาระที่มีน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์ที่อนุญาต ให้ขนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากในดุลพินิจของบริษัทฯ ยินยอมให้มีการนำสัมภาระที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ที่อนุญาต ท่านจะต้องชำระค่าใช้จ่ายในการขนส่งสัมภาระที่ มีน้ำหนักเกินคิดเป็นกิโลกรัมละ 200 บาท ที่มา http://www.nokair.com/contents/journey_plan/baggage_info/th-TH/index.html http://blogger-airlowcost.blogspot.com/2012/06/low-cost_20.html   แอร์เอเชีย สัมภาระพกพา (Cabin baggage) ผู้โดยสาร 1 คน พกพาของได้หนึ่งชิ้นและ/หรือกระเป๋าโน้ตบุ๊ก 1 ใบหรือกระเป๋าถือ 1 ใบ เข้าห้องโดยสาร ของแต่ละชิ้นต้องมีขนาดไม่เกิน 56 ซม. x 36 ซม. x 23 ซม. และห้ามหนักเกิน 7 กก. เมื่อรวมกับสัมภาระพกพาแล้ว (ต้องสามารถเก็บไว้ใต้ที่นั่งด้านหน้าหรือช่องเก็บของเหนือหัวได้)     1 x สัมภาระพกพา   และ/หรือ   1 x โน้ตบุ๊กที่เก็บอยู่ในกระเป๋าพร้อมอุปกรณ์เสริม หรือ   1 x กระเป๋าถือ          (ชาย/หญิง)     น้ำหนักรวม: 7 กก.   สัมภาระใต้ท้องเครื่อง (Checked baggage) แต่ละชิ้นจะต้องมีขนาดไม่เกิน  81 ซม. (สูง) x 119 ซม. (กว้าง) x 119 ซม. (ลึก) และน้ำหนักไม่เกิน        32 กก. น้ำหนักสัมภาระใต้ท้องเครื่องที่จองได้ทางอินเตอร์เน็ต เส้นทางในประเทศ 15 กก./ 20 กก./ 25 กก./ 30 กก./ 40 กก เส้นทางระหว่างประเทศ 20 กก./ 25 กก./ 30 กก./ 40 กก *มีรายละเอียดของเงื่อนไข* ที่มา http://www.airasia.com/th/th/baggage-info/cabin-baggage.page   http://www.airasia.com/th/th/baggage-info/checked-baggage.page   http://blogger-airlowcost.blogspot.com/2012/06/low-cost_20.html     รถโดยสารสาธารณะ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการบริการ รับ - ส่ง สิ่งของสัมภาะระผู้โดยสาร การเรียกเก็บค่าบริการ รับ – ส่ง สิ่งของสัมภาระจากผู้โดยสาร ข้อ 1. ผู้โดยสารสามารถนำสิ่งของสัมภาระไปได้ไม่เกินคนละ 2 ชิ้น และมีน้ำหนักรวมกันไม่เกิน 20 กก. โดยไม่ต้องเสียค่าบริการ หากเกินกว่าที่กำหนดไว้ ต้องเสียค่าบริการเฉพาะส่วนที่เกิน กก.ละ 3 บาท (สามบาทถ้วน) หรือลูกบาศก์ฟุตละ 20 บาท (ยี่สิบบาทถ้วน) โดยให้เรียกเก็บในอัตราที่บริษัทฯ ได้ประโยชน์สูงกว่า ข้อ 2. ในกรณีที่ผู้ใช้บริการ ไม่ได้เดินทางไปกับรถบริษัทฯ     หากมีความประสงค์จะฝากสิ่งของสัมภาระหรือพัสดุภัณฑ์ไปกับรถบริษัทฯ ให้เรียกค่าบริการกก.ละ 5 บาท (ห้าบาทถ้วน) โดยให้เรียกเก็บในอัตราที่บริษัทฯ ได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ค่าบริการต้องไม่ต่ำกว่า 50 บาท (ห้าสิบบาทถ้วน)     หนังสือพิมพ์รายวันที่ฝากส่งไปกับรถบริษัทฯ ให้คิดค่าบริการ ฉบับละ 25 สตางค์ (ยี่สิบห้าสตางค์)  เอกสารสำคัญ ให้คิดค่าบริการฉบับละ 50 บาท (ห้าสิบบาทถ้วน) ขั้นตอนการปฏิบัติ หน่วยงานที่รับผิดชอบในการบริการรับ-ส่ง สิ่งของสัมภาระมีหน้าที่ปฏิบัติดังนี้1.เมื่อเจ้าหน้าที่รับเงินให้ออกใบเสร็จรับเงิน (บช. 1) เป็นรายชิ้นโดยบันทึกรายละเอียดในใบเสร็จรับเงิน ประกอบด้วย ชื่อ, ที่อยู่, หมายเลขโทรศัพท์ของผู้นำฝาก และผู้รับของปลายทางให้ชัดเจน, จำนวนเงิน, ปริมาณน้ำหนัก, ชื่อ ตำแหน่ง ผู้รับเงิน/ผู้รับฝาก และคัดแยกเอกสารใบเสร็จรับเงิน ดังนี้1.1 ฉบับสำหรับผู้ชำระเงิน = ให้ผู้นำฝาก/ผู้ชำระเงิน1.2 ฉบับสำหรับงานบัญชี = นำส่งพร้อมเงินสดให้พนักงานบัญชีและการเงิน หรือผู้ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ลักษณะเดียวกันเพื่อรับเงิน, บันทึกบัญชี โดยจัดทำบัญชีพิเศษควบคุมใบเสร็จรับเงิน การรับ-ส่ง สิ่งของสัมภาระเป็นกาเฉพาะ1.3 ฉบับติดกับเล่ม = ให้นำติดกับสิ่งของสัมภาระในตำแหน่งที่แสดงให้เห็นได้ชัดเจน พร้อมให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองหรือพนักงานของบริษัทฯ ตรวจสอบได้2. ส่งมอบสิ่งของให้ผู้รับของปลายทาง ที่แสดงหลักฐาน สำเนาบัตรประชาชน ชื่อที่อยู่ ตรงกับชื่อผู้รับของที่ระบุตามใบเสร็จรับเงิน ข้อห้าม ห้ามพนักงานประจำสถานีทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งพนักงานประจำรถ รับบรรทุกสิ่งของสัมภาระดังต่อไปนี้1 สิ่งผิดกฎหมาย2 น้ำมันเชื้อเพลิง หรือวัตถุอันตรายอื่น ๆ3 สัตว์ หรือสิ่งของ ซึ่งอาจเป็นที่รังเกียจของผู้โดยสาร4 สิ่งของมีค่า สัมภาระที่มีราคาแพง บุบสลาย หรือเสื่อมค่าได้ง่าย เช่น โทรทัศน์, ฟิลม์ภาพยนตร์, กล้องถ่ายรูปฯ เว้นแต่ ผู้โดยสาร/ผู้ใช้บริการจะยินยอมรับผิดชอบความเสียหายนั้นเอง ชดเชยของหาย บริษัทฯ จะรับผิดชอบชดใช้ กรณีเสียหาย หรือสูญหาย เฉพาะสิ่งของ หรือสัมภาระที่ผูกติดป้าย และเก็บไว้ในช่องเก็บสัมภาระใต้ท้องรถ ในวงเงินไม่เกิน 1,000 บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน)บริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบในความเสียหาย หรือสูญหายต่อสิ่งของมีค่าที่ติดตัวผู้โดยสาร หรือสัมภาระที่ผู้โดยสารได้เก็บไว้ภายในห้องผู้โดยสาร ผู้รับผิดชอบให้ผู้จัดการเดินรถภาค กำกับ ดูแล และมอบหมายให้รองผู้จัดการฝ่ายจัดการเดินรถ รับผิดชอบ ถือปฏิบัติ และควบคุม ดูแลให้เป็นไปตามคำสั่งนี้ พร้อมทั้งจัดพนักงานเพื่อทำหน้าที่ ผูก ชั่ง ติดป้าย และเรียกเก็บค่าบริการและออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้โดยสาร และหรือผู้ใช้บริการ   ที่มา http://home.transport.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=230&Itemid=305&lang=th   นครชัยแอร์ 1. ผู้โดยสารทุกท่านสามารถถือสัมภาระที่จะนำไว้ใต้ท้องรถได้ไม่เกิน 2 ชิ้น (ต่อ 1 ท่าน) และน้ำหนักรวมไม่เกิน 20 กก. 2. ถ้าน้ำหนักเกินที่กำหนด บริษัทฯ ขอเรียกเก็บค่าระวางเพิ่ม (คิดเฉพาะส่วนที่น้ำหนักเกิน) ที่มา http://www.nakhonchaiair.com/question7.php   สมบัติทัวร์ สัมภาระที่ติดตัวระหว่างการเดินทางนำไปได้ท่านละ 2 ชิ้น โดยมีน้ำหนักรวมไม่เกิน 25 กก. สัมภาระที่ติดป้ายสัมภาระ เมื่อท่านนำสัมภาระมาติดป้ายแล้ว สัมภาระนั้นจะอยู่ในความดูแลของบริษัทฯ  สัมภาระที่ไม่ได้ติดป้ายสัมภาระ ตามปกติผู้โดยสารแต่ละคนได้รับอนุญาตให้นำสัมภาระที่ไม่ได้ติดป้ายสัมภาระ มายังห้องโดยสารได้ โดยต้องมีขนาดพอดีกับช่องเก็บของ หากมีน้ำหนักหรือขนาดใหญ่ ต้องเก็บไว้ใต้ท้องรถ   การชดเชยการสูญหาย สัมภาระที่สูญหาย หรือเสียหาย หากในกรณีที่สัมภาระที่ฝากไว้ใต้ท้องรถสูญหายหรือเสียหาย ทางบริษัทจะชดใช้ให้ตามส่วนรวมแล้วไม่เกิน 500 บาท ของต้องห้าม 1. สิ่งที่ไม่ถือว่าเป็นสัมภาระ- วัตถุที่ไม่ได้บรรจุในกระเป๋าหรือภาชนะที่เหมาะสมสำหรับการขนส่งที่ปลอดภัย- วัตถุที่อาจเป็นอันตรายต่อรถโดยสาร หรือบุคคล หรือทรัพย์สินบนรถโดยสาร- ยาเสพติด- วัตถุที่บริษัทฯ พิจารณาโดยชอบด้วยเหตุผลแล้วว่าไม่เหมาะกับการขนส่ง เนื่องจากน้ำหนัก ขนาด หรือลักษณะของวัตถุนั้น- อาวุธปืน ดินปืน และเครื่องกระสุน2. สัตว์เลี้ยง โดยบริษัทฯ ไม่อนุญาตให้นำสัตว์ทุกชนิดโดยสารไปกับรถ   ที่มา  http://www.sombattour.com/html/regulation.php   รถไฟ การรถไฟแห่งประเทศไทย ประเภทของสัมภาระ 1. หัตถภาระ(แปลว่าหิ้วติดตัวอ่ะนะ) คือ ถุงย่าม ห่อผ้า กระเป๋าถือ หีบหรือกระป๋องทุกชนิด ซึ่งผู้โดยสารนำไปในห้องรถโดยสารสำหรับใช้สอยเอง หรือเพื่อความสะดวก 2. ครุภาระ(แปลว่าของหนักหิ้วไม่ไหวแต่อยากเอาไปด้วย) คือ สรรพสิ่งของเครื่องใช้ทุกชนิด ซึ่งผู้โดยสาร จะนำไปในรถภาระ อนุญาตให้นำสัมภาระไปพร้อมกับตัวผู้โดยสาร ในขบวนรถต่าง ๆ ได้ดังนี้ 1. สัมภาระที่มีขนาดไม่เกินกว่า 50 x 50 x 50 ซม. 2. สัมภาระที่ไม่ใช่วัตถุที่ไวไฟหรือเป็นสิ่งอันพึงรังเกียจ หรือสิ่งของส่งกลิ่นรุนแรง หรืออาจเปรอะเปื้อนทำความเสียหายแก่ส่วนประกอบรถหรือต่อบุคคลหรือสิ่งของของผู้โดยสารอื่น 3. สามารถเก็บในที่วางของหรือใต้ม้านั่งได้โดยเรียบร้อย หากเป็นรถที่ไม่มีที่วางของหรือชั้นวางของก็อนุโลมให้วางไว้ข้างที่นั่งในส่วนที่เป็นสิทธิของแต่ละคน (ตรงกับที่นั่งแต่ละคน) แต่ไม่ให้ล้ำเข้าไปในช่องทางเดินเกินจนไปปิดกั้นช่องทางเดินโดยสิ้นเชิง หรือกีดขวางการใช้สิทธิของผู้โดยสารอื่น และต้องไม่ก่อให้เกิดความเดือนร้อนรำคาญกับผู้โดยสารอื่น ที่มา http://www.railway.co.th/NewSite/ -------------------   การระวางสินค้า การรถไฟแห่งประเทศไทย การคิดค่าระวาง = อัตราค่าระวางด่วน + ค่าธรรมเนียม 20 % ของอัตราค่าระวางด่วน( ขั้นต่ำ 20 บาท ) สินค้าทั่วไป คิดอัตราค่าระวางด่วน ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 50.00 บาท สินค้ากลุ่มเครื่องไฟฟ้า โลหะ นุ่น โฟม พลาสติก เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเซ่น เครื่องจักรสาน คิดอัตราค่าระวางด่วน ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 80.00 บาท การส่ง รถจักรยานยนต์ ที่ไม่ได้บรรจุหีบห่อให้ส่งโดยวิธี สัมภาระ จะส่งแบบห่อวัตถุด่วนไม่ได้ ขนาดของห่อวัตถุ เครื่องล้อเลื่อน และสัตว์มีชีวิต ขนาดไม่เล็กกว่า 20 x 14 x 6 ซม. หรือกินเนื้อที่ในทางราบไม่น้อยกว่า 280 ตร.ซม. และสูงไม่น้อยกว่า 6 ซม. ขนาดไม่เกินกว่า 2.50 x 1.00 x 0.80 ม. หรือกินเนื้อที่ในทางราบไม่น้อยกว่า 2 ตร.ม. และสูงไม่เกินกว่า 1 ม. หากมีขนาดไม่เกินกว่าที่กำหนดแต่มีน้ำหนักเกินกว่า 200 กก. และไม่เกิน 1,000 กก. จะต้องจัดส่งไปกับขบวนรถสินค้า ถ้าน้ำหนักเกินกว่า 1,000 กก. จะต้องจัดส่งไปประเภทเหมาคัน ฝ่ายการพาณิชย์สินค้าและไปรษณียภัณฑ์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ค่าระวาง คือ ค่าขนส่งสินค้าที่ผู้ส่งจะต้องชำระเพื่อการส่งสินค้า อัตราค่าระวางขนส่งสินค้าทางอากาศ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ - M (Minimum Charge) คือ อัตราค่าระวางสินค้าต่ำสุด ต่อ 1 ใบตราส่งสินค้า - GCR (General Cargo Rates) คือ อัตราค่าระวางสำหรับสินค้าทั่วไป แบ่งเป็น 2 ประเภท 1. N (Normal Rate) คือ อัตราค่าระวางปกติของสินค้าที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 45 กก.แต่ค่าระวางสูงกว่าอัตราขั้นต่ำ 2. Q (Quantity Rates) คือ อัตราค่าระวางสินค้าที่มีน้ำหนัก ตั้งแต่ 45 กก.ขึ้นไป ตามจำนวนน้ำหนัก เช่น Q45, Q100 และ Q250 - SCR (Specific Commodity Rate) คือ อัตราค่าระวางสำหรับสินค้าเฉพาะอย่าง เช่น DOM1(100) หมายถึง อัตราค่าระวางสำหรับสินค้า ประเภทอาหารทุกชนิด เครื่องเทศ ผักสด ฯลฯ ที่มีน้ำหนัก ตั้งแต่ 100 กก. ขึ้นไป -CLASS RATE คือ อัตราค่าระวางสำหรับสินค้าพิเศษ ได้แก่ สิ่งตีพิมพ์ สินค้ามีค่า สินค้าที่มีความเสี่ยงในการสูญหาย สินค้าอันตราย สัตว์มีชีวิต และศพ การคำนวณค่าระวาง เป็นไปได้ 2 ลักษณะ คือ 1. คิดจากน้ำหนักรวมที่ชั่งได้ (Gross Weight)  น้ำหนักที่นำมาคำนวณค่าระวาง ให้ปัดเศษขึ้นทุกๆครึ่งกก.2. คิดจากน้ำหนักปริมาตร (Volume Weight) เช่น          ชั่งได้จริง 9.3 กก. น้ำหนักที่นำมาคิดค่าระวาง = 9.5   กก. ชั่งได้จริง 9.8 กก. น้ำหนักที่นำมาคิดค่าระวาง = 10.0 กก. ชั่งได้จริง 9.5 กก. ไม่ต้องปัด ให้ใช้                = 9.5  กก. 2. คิดน้ำหนักจากปริมาตร  ให้วัดสินค้า กว้าง x ยาว x สูง หน่วยเป็น ซม. หาร 6,000 ผลลัพธ์ที่ได้ ให้เปรียบเทียบกับน้ำหนักที่ชั่งได้จริง  แล้วนำน้ำหนักที่ได้จากการเปรียบเทียบสูงสุด มาคูณกับ อัตราค่าระวาง *ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ ฝ่ายการพาณิชย์สินค้าและไปรษณียภัณฑ์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) http://www.reocities.com/TheTropics/Reef/9792/domestic/freight.htm* ตัวอย่างค่าระวาง อัตราค่าระวางสินค้าพิเศษ (CLASS RATES) ประเภทของสินค้า ค่าระวางขั้นต่ำ ค่าระวางต่อ 1 กก. 1. ฟิล์มข่าว สิ่งตีพิมพ์ นิตยสาร หนังสือทุกชนิด และหนังสือพิมพ์ MIN 50% ของ N Rate 2. สินค้ามีค่า (VAL) ผู้ส่งต้องประเมินราคา เพื่อการขนส่ง(Declared Value for Carrige) และชำระค่าธรรมเนียม (Valuation Charge) 05% ของราคาประเมิน ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่า 100 บาท 300 บาท ต่อ 1 AWB. 200% ของ N Rate 3. สินค้าที่มีความเสี่ยงสูงในด้านสูญหาย (VUN) 200 บาท ต่อ 1 AWB. 150% ของ N Rate 4. สินค้าอันตราย ผู้ส่งต้องชำระค่า Handling Fee เป็นจำนวนเงิน 700 บาท ต่อ 1 AWB. MIN N Rate (ห้ามใช้ Q Rate) 5. สัตว์มีชีวิต (AVI) 150 % ของ MIN 150% ของ N Rate 6. ศพ (HUM) 6000 บาท / 1 ศพ 200% ของ N Rate 7. รถจักรยานยนต์ ขนส่งเฉพาะเส้นทางที่ใช้เครื่อง Wide-bodied Aircraft การหีบห่อต้องตีลังไม้ยึดติดให้แน่นหนา เพื่อความปลอดภัยในการบรรทุก MIN N Rate (ห้ามใช้ Q Rate) อัตราค่าระวางสินค้าพิเศษ (CLASS RATES) ประเภทของสินค้า ค่าระวางขั้นต่ำ ค่าระวางต่อ 1 กก. 8.รถยนต์นั่ง เส้นทาง ราคาต่อ 1 เที่ยวบิน กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ หรือ เชียงใหม่ - กรุงเทพฯ 12,000 บาท กรุงเทพฯ - ภูเก็ต หรือ ภูเก็ต - กรุงเทพฯ 12,500 บาท กรุงเทพฯ - หาดใหญ่ หรือ หาดใหญ่ - กรุงเทพฯ 13,000 บาท หมายเหตุ ห้ามใส่พัสดุอื่นใด เข้าในห้องโดยสาร หรือห้องบรรทุกสิ่งของในตัวรถยนต์ ยกเว้น ยางอะไหล่ และเครื่องมือประจำรถ 9. ภาชนะเปล่าเพื่อบรรจุสินค้า ประเภทของสินค้า เส้นทาง อัตราขั้นต่ำต่อ 1 AWB. อัตราต่อ กก. หมายเหตุ กล่องโฟม ทุกเส้นทาง 1,000 บาท 30 บาท ให้คำนวณค่าระวางจากน้ำหนักที่ชั่งได้จริง กล่องกระดาษพับเรียบ เช่น ตะกร้า ลังพลาสติก ทุกเส้นทาง 200 บาท 4 บาท ให้คำนวณค่าระวางจากน้ำหนักที่ชั่งได้จริง 10. โทรศัพท์เคลื่อนที่ วิทยุเคลื่อนที่ และเพจเจอร์ เส้นทาง อัตราขั้นต่ำต่อ 1 AWB. อัตราต่อ กก. หมายเหตุ ทุกเส้นทาง 200 บาท N Rate , Q45 , Q100 Security Handling Charge คิด กก.ละ 2บาท ขั้นต่ำ 100 บาท แต่ไม่เกิน 500 บาท ต่อ 1 AWB.   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point