ฉบับที่ 275 ใส่คอนแทคเลนส์อย่างไร ให้ปลอดภัย

        การใส่คอนแทคเลนส์ยังคงเป็นที่นิยม บางคนใส่เพื่อแก้ปัญหาทางด้านสายตา แต่บางรายก็เพื่อแฟชั่นความสวยงามเฉยๆ แต่รู้หรือไม่ แม้การใส่คอนแทคเลนส์จะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรแต่ก็ควรจะต้องระมัดระวังกันไว้ เพราะเกี่ยวพันกับอวัยวะสำคัญอย่างดวงตา ซึ่งเป็นอวัยวะที่บอบบาง หากดูแลไม่ดีอาจทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตาได้ ยิ่งเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่หัดใส่คอนแทคเลนส์เป็นครั้งแรกด้วยนั้น ยิ่งต้องดูแลให้ปลอดภัย ฉลาดซื้อจึงมีวิธีที่ถูกต้องมาแนะนำ การเลือกซื้อคอนแทคเลนส์         คอนแทคเลนส์ที่จำหน่ายโดยทั่วไปส่วนมากจะมีระยะเวลาในการใส่ เช่น หลักๆ ก็จะมีเป็นแบบรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน รายปี เป็นต้น ซึ่งสำหรับผู้ใส่คอนแทคเลนส์ควรจะใส่ตามระยะเวลาที่เลือกซื้อ เช่น หากเลือกซื้อแบบรายวัน ก็ควรใช้แบบวันต่อวันและเปลี่ยนใหม่ในวันถัดไปทันที ไม่ควรเอาแบบรายวันมาใส่เป็นรายเดือนเด็ดขาด รวมถึงแบบอื่นๆ ด้วย ห้ามใช้เกินระยะเวลาที่กำหนดเพื่อความปลอดภัย         ในหมู่วัยรุ่นมักจะนิยมใส่คอนแทคเลนส์โดยซื้อจากตามท้องตลาดทั่วไป โดยไม่ตรวจเช็กรายละเอียดอื่นๆ แนะนำว่า ควรต้องดูฉลากกันสักหน่อย เช่น ชื่อคอนแทคเลนส์ วัสดุที่ใช้ วันเดือนปีที่หมดอายุ ที่สำคัญเลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และสามารถนำเลขมาตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์ ระบบตรวจสอบผลิตภัณฑ์ - กระทรวงสาธารณสุข อย่าลืมติ๊กเครื่องมือแพทย์ก่อนตรวจสอบ  ข้อควรรู้ก่อนใส่คอนแทคเลนส์        1. สำหรับผู้ที่ต้องการใส่คอนแทคเลนส์เนื่องจากปัญหาสายตาสั้นแนะนำให้สอบถามผู้เชี่ยวชาญและเข้าตรวจวัดค่าสายตาก่อนใส่         2. ล้างมือให้สะอาดเสมอก่อนสัมผัสคอนแทคเลนส์ทุกครั้งก่อนใส่         3. ก่อนใส่คอนแทคเลนส์ควรนำออกมาแช่น้ำยาคอนแทคเลนส์ก่อนทุกครั้ง ไม่แนะนำให้แช่เป็นน้ำเกลือหรือน้ำเปล่า         4. ตรวจเช็กก่อนใส่ว่าเลนส์ไม่พลิกหรือกลับด้าน เพื่อป้องกันการใส่ผิดด้านแล้วเกิดการระคายเคือง        5. เมื่อใส่คอนแทคเลนส์แล้วไม่รู้สึกระคายเคืองตา แสดงว่าเข้าที่เรียบร้อยแล้ว หากมีอาการแสบตาระคายเคืองไม่หาย แนะนำควรถอดออกทันที         6. ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์นอนข้ามคืน (ต้องถอดออกก่อนเสมอ) เพราะเสี่ยงทำให้เกิดอาการอักเสบ ติดเชื้อ หรืออื่นๆ ที่อันตรายต่อดวงตาได้        7. สำหรับคนที่ปัญหาตาแห้งบ่อยควรพกน้ำตาเทียมเพื่อหยอดระหว่างวัน แนะนำใช้แบบธรรมดาไม่เป็นแบบหยอดตาแล้วเย็นหรือใดๆ ทั้งสิ้น        8. ที่สำคัญคือไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับคนอื่นโดยเด็ดขาด  ดูแลรักษาอย่างไรหลังใช้งาน         สำหรับคนที่ใช้แบบรายสัปดาห์ รายเดือนหรือปี ควรเปลี่ยนน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์ในตลับทุกครั้งหลังใช้งาน และควรทำความสะอาดอีกด้วย โดยมีวิธีดังนี้         ล้างมือให้สะอาดและนำคอนแทคเลนส์ ไว้บนฝ่ามือเทน้ำยาลงที่เลนส์แล้วใช้นิ้วถูทำความสะอาดบริเวณเลนส์สักพัก และล้างด้วยน้ำยาอีกรอบ เมื่อเสร็จให้นำใส่ตลับแล้วแช่น้ำยาเหมือนเดิม รวมถึงทำความสะอาดตลับที่ใส่ทุกวัน ในส่วนของตลับใส่ก็ควรเปลี่ยนอย่างน้อยทุก 3 เดือน  ข้อควรระวัง        ·     พิจารณาบรรจุภัณฑ์หรือขวดบรรจุคอนแทคเลนส์ ต้องไม่มีรอยชำรุดหรือเสียหาย หากเจอในลักษณะนั้น ไม่ควรนำมาใช้งาน        ·     น้ำยาคอนแทคเลนส์ ควรดูฉลากให้ชัดเจน โดยเฉพาะวันเดือนปีที่หมดอายุ ถ้าหมดอายุแล้วไม่ควรนำมาใช้ต่อ ไม่ต้องเสียดายให้ทิ้งไปเลย นอกจากนี้อ่านฉลากหรือวิธีการใช้งานให้ละเอียดและควรทำตามอย่างเคร่งครัด เนื่องจากตัวน้ำยาคอนแทคเลนส์ก็มีหลากหลายรูปแบบ บางอันสามารถหยอดตาได้หรือบางอันไม่ได้  และวิธีการใช้งานอาจแตกต่างกัน และอย่าลืม ไม่ควรใช้น้ำเปล่าหรือน้ำเกลือแทนน้ำยาเด็ดขาด         ·     หากมีอาการปวดเจ็บตาผิดปกติจากเดิม เช่น ตาแดง ตามัว ตามแห้ง รวมถึงอาการต่างๆ มากกว่านี้ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา  ข้อมูลจาก : วิธีการดูแล คอนแทคเลนส์ ที่ถูกต้อง วิธีใส่คอนแทคเลนส์ที่ปลอดภัย ทำได้ง่ายใน 7 ขั้นตอนคอนแทคเลนส์ ใช้อย่างไรให้ปลอดภัยคอนแทคเลนส์ : เภสัชกรหญิง กิตติมา วัฒนากมลกุล ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลใส่คอนแทคเลนส์อย่างไร ให้ปลอดภัย

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 238 เปลี่ยนแปลงด้วยการเปลี่ยนแปรงสีฟันให้บ่อยขึ้น

        สารภาพมาเถอะว่า คุณจำไม่ได้ละว่าเปลี่ยนแปรงสีฟันครั้งล่าสุดเมื่อไร เพราะคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและทันตแทพย์จะย้ำเสมอว่า เปลี่ยนทุกสามเดือน แต่จะมีกี่คนที่ทำตามคำแนะนำนั้น ส่วนใหญ่ก็รอจนแปรงสีฟันบาน...ปลาย ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดจากความเสียดายนั่นเอง (ก็ของมันยังใช้ได้) แต่ถ้าต้องการถนอมเงินจริงๆ สู้เปลี่ยนแปรงสีฟันให้บ่อยหรือตามคำแนะนำของทันตแพทย์จะช่วยประหยัดมากกว่า เพราะเท่ากับป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพฟัน ที่รู้กันว่าค่ารักษาไม่ถูกเลย         ถ้าเฉลี่ยว่าคุณแปรงฟันวันละสองครั้ง ตลอดเวลาสามเดือนเท่ากับแปรงของคุณผ่านการใช้งานมาเเล้วกว่า 180 ครั้ง เคยมีการส่องกล้องขยายเพื่อดูสภาพของขนแปรงก็พบว่ามันเสื่อมสภาพสุดๆ ซึ่งอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคแม้จะเหมือนว่าเราล้างแปรงสะอาดแล้วก็ตาม หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ คือการใช้แปรงสีฟันเก่าซ้ำๆ จะมีผลต่อเหงือกและฟัน แน่นอนว่าสภาพแปรงที่เสื่อมประสิทธิภาพในการขจัดสิ่งสกปรก คราบพลัค เศษอาหารตามผิวฟันเเละร่องฟันจะลดลง ขนแปรงที่บานจะทำให้เกิดผลเสียบางอย่างตามมาเช่น เหงือกอักเสบ บวมแดง หรือมีเลือดออกระหว่างแปรงฟัน          การเลือกซื้อแปรงสีฟัน         1.ขนาดของหัวแปรง หัวแปรงสีฟันสำหรับผู้ใหญ่ควรมีขนาดกว้างประมาณ ½ -1 นิ้ว และความยาวประมาณ 1 นิ้ว เพราะขนาดหัวแปรงที่ใหญ่เกินไปอาจทำความสะอาดในบริเวณที่ยากจะเข้าถึงได้ไม่หมดจด         2.ขนแปรง มีความอ่อนนุ่ม ปลายขนแปรงโค้งมนเล็กน้อย ซึ่งวัสดุที่ใช้ตั้งแต่ชนิดอ่อนนุ่ม, ชนิดนุ่มพิเศษ ชนิดปานกลาง ขนแปรงที่เหมาะสมในการใช้งานสำหรับผู้ใหญ่ควรผลิตจากไนลอน พีบีที (Polybutylene Terephthalate: PBT) หรือวัสดุที่ระบุคุณสมบัติเทียบเท่า ขนแปรงที่มีความแข็งอาจสร้างความเสียหายให้กับเหงือก รากฟัน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของฟันแต่ละบุคคลรวมถึงวิธีแปรงฟันด้วย         3.แปรงสีฟันไฟฟ้าดีกว่าไหม ขึ้นอยู่กับบุคคลและความชอบส่วนตัว เพราะแปรงสีฟันไฟฟ้ามีราคาค่อนข้างสูงกว่าแปรงสีฟันธรรมดา อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายเสริมในขณะใช้งานตามมา เช่น หัวแปรง แบตเตอรี่หรือถ่านไฟฉาย แม้สะดวกสบายกว่าแต่ราคาไม่ธรรมดา ส่วนผลการใช้งานไม่แตกต่างกันมากนัก ขึ้นอยู่กับวิธีแปรงฟันมากกว่า         4.แปรงสีฟันสำหรับเด็ก หัวแปรงและด้ามมีขนาดเหมาะสมตามอายุของเด็ก ขนแปรงอ่อนนุ่ม หลายยี่ห้อได้รับการรับรองจากหน่วยงาน ถือเป็นทางเลือกหนึ่ง         การทำความสะอาดและเก็บรักษาแปรงสีฟัน        · ควรล้างแปรงสีฟันให้สะอาดทุกครั้งก่อนการเก็บ        · การวางแปรงสีฟันในที่เก็บหรือภาชนะต่างๆ ควรวางในลักษณะตั้งแปรงขึ้นให้หัวแปรงอยู่ด้านบน        · ที่สำหรับวางแปรงควรมีอากาศถ่ายเทสะดวก และควรมีลมพัดผ่านเพื่อให้ขนแปรงแห้ง        · ไม่ควรเก็บแปรงไว้ในกล่องแบบมิดชิด เพราะอาจจะมีส่วนทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้         ลองเช็คดูว่าแปรงของคุณเริ่มเสื่อมเเล้วหรือยัง สังเกตจากรูปร่างขนแปรงที่เปลี่ยนไป แปรงสีฟันที่ใช้งานนานๆ จะเริ่มมีปลายขนแปรงที่บาน มีสีแปรงเริ่มเปลี่ยนไป บางทีไม่ถึงสามเดือนถ้าสภาพไม่ไหวก็เปลี่ยนเถอะ และทุกๆ ครั้งที่ป่วย เป็นหวัด เป็นไข้ แผลในปากหรือแม้แต่อาการเจ็บคอ ก็ควรจะเปลี่ยนแปรงสีฟันทันทีเพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ที่ยังคงค้างอยู่บนแปรงสีฟัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 236 รับมือกับปัญหาสิว

        สิวเกิดขึ้นเพราะผิวหนังมีการอุดตันอยู่ใต้รูขุมขน เมื่อต่อมไขมันผลิตไขมันมากและระบายออกไม่ดีจะเกิดการอุดกลั้นทางเดินของไขมันทำให้เป็นสิว ซึ่งแบ่งได้สองลักษณะใหญ่ คือ ยังไม่อักเสบจะแค่เป็นสิวหัวขาวหรือสิวหัวดำ แต่ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียจะทำให้เกิดการอักเสบของสิวกลายเป็นสิวอักเสบและสิวที่เป็นหนอง         สิวมักเป็นปัญหาใหญ่ของวัยรุ่น แต่ผู้ใหญ่ก็เป็นได้เนื่องจากสิวเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย สิวจะว่าเป็นปัญหาเล็กหรือใหญ่ก็ได้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา โดยเฉพาะปัญหารอยแดงหรือรอยแผล(หลุมยุบ)จากสิว ส่วนใหญ่เป็นแล้วหายอยาก บางคนดูแลไม่ดีกลายเป็นเรื่องให้เคืองใจกันตลอดชีวิต ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาต้องรักษาสิวให้ถูกวิธีตั้งแต่แรก  การรักษาสิว         วิธีที่ได้ผลดีและถูกต้องคือการใช้ยา ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องใช้ยาหลายตัวประกอบกันมีทั้งแบบรับประทานและยาทา ดังนั้นควรได้รับการดูแลโดยแพทย์ผิวหนัง เพื่อวินิจฉัยสาเหตุหรือต้นเหตุที่ทำให้เกิดสิว และเพื่อป้องกันอาการข้างเคียงไม่พึงประสงค์         อย่างไรก็ตามบางคนมีสิวแค่เม็ดสองเม็ดจะไปหาหมอก็ดูยุ่งยากเกินไป ปัจจุบันจึงมียาแต้มสิวออกมาเป็นผู้ช่วยสำหรับการรักษาเพื่อให้สิวยุบตัวอย่างรวดเร็ว การเลือกใช้ยาหรือเจลแต้มสิว ต้องเลือกให้ถูกกับชนิดของสิวที่เป็น ธรรมดาสิวแบบไม่อักเสบ (กดไม่เจ็บ) จะรักษาง่ายกว่าสิวอักเสบ เพราะเพียงกำจัดความมัน(ส่วนเกิน) และเลือกยาที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้ไวขึ้น เช่น Benzoyl Peroxide (เบนโซอิล เปอร์ออกไซด์) หรือยาในกลุ่มวิตามินเอ สิวก็ไม่กลับมากวนใจอีกเพียงแต่ต้องดูแลในภายหลังให้ถูกวิธี        ส่วนสิวที่รักษายากคือสิวอักเสบ ที่เกิดเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สิวมักจะมีลักษณะบวม แดง มือกดแล้วเจ็บ การรักษาทำได้โดยใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาภายนอกจะช่วยรักษาสิวอักเสบโดยเฉพาะ ที่นิยมคือ ตัวยา Clindamycin (คลินดามัยซิน)         เวลาจะทายาสิวควรทาเฉพาะจุดที่มีปัญหาสิวเท่านั้น ป้องกันการแพ้ยา และอ่านคู่มือการใช้ยาให้ละเอียดก่อนการใช้ ยาแต้มสิวประเภทยาปฏิชีวนะควรทาขณะผิวชื้น(หลังอาบน้ำหรือล้างหน้าทันที) เพราะจะช่วยให้ยาสามารถซึมถึงจุดที่อักเสบได้ดีที่สุด         กรณีรักษาสิวอักเสบ เมื่อใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาผู้ใช้ต้องคงระยะเวลาการใช้ยาให้ต่อเนื่องแม้สิวยุบแล้วเพื่อป้องกันการดื้อยาในอนาคต และอีกเรื่องหนึ่งคืออย่าใจร้อน บางครั้งการรักษาด้วยยาตัวแรกได้ผลไม่ทันใจ ก็รีบร้อนเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่น แบบนี้จะสร้างปัญหามากกว่าการแก้ไขปัญหาเพราะเสี่ยงทำให้เกิดการดื้อยาและเกิดอาการแพ้ยาได้เช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 232 ถึงโควิดบุกแหลก ก็อย่าสติแตกกับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด

        ยุคโควิด 19 ระบาด สิ่งที่บุกแหลกไม่แพ้เชื้อโควิด 19 ก็คือ ข้อมูลข่าวสารจากแหล่งต่างๆ จริงบ้าง มั่วบ้าง คลาดเคลื่อนบ้าง กระหน่ำมาตามๆ กัน นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับการทำความสะอาดหรือฆ่าเชื้อโรคก็ไม่ยอมตกขบวนมีจำหน่ายในท้องตลาดมากมาย แต่ละผลิตภัณฑ์ก็อ้างว่าจัดการเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้อยู่หมัด แต่ที่แน่ๆ มันจะจัดการดูดเงินในกระเป๋าสตางค์เราไปก่อนเป็นอันดับแรก ฉลาดซื้อเล่มนี้ขอแนะนำผลิตภัณฑ์และวิธีการการทำความสะอาดอย่างฉลาดซื้อฉลาดใช้เพื่อความปลอดภัยและไม่สิ้นเปลือง        สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจคือ โควิด 19 มันคือไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งหากมันเข้าไปอยู่ในร่างกายของเรา มันก็จะมีชีวิตอยู่ได้เรื่อยๆ ยิ่งคนที่อ่อนแอ หรือมีภูมิต้านทานต่ำๆ มันก็จะยิ่งออกลูกออกหลานกันสนุกสนานอยู่ในร่างกายเราเพิ่มมากขึ้นไปอีก แต่ถ้าเราเป็นคนแข็งแรงมีภูมิต้านทานสูงภูมิต้านทานในร่างกายเราก็จะช่วยกันจัดการเจ้าไวรัสตัวแสบนี้ได้         และเมื่อมันหลงเข้ามาอยู่ในร่างกายเราแล้ว บางทีเราก็จะเผลอแพร่เชื้อไปสู่คนรอบข้างได้ เพราะมันจะหลุดออกมากับละอองฝอยของน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ และน้ำตาของเรา กระเด็นไปสู่คนรอบข้างที่อยู่ใกล้ๆ หรือกระเด็นไปติดตามที่ต่างๆ แล้วดันมีคนโชคร้ายไปสัมผัสตรงพื้นที่นั้นก็รับเชื้อจากเราไปโดยไม่รู้ตัว นี่คือเหตุผลที่เขาจึงรณรงค์ให้ กินร้อน ใช้ช้อนตัวเอง เร่งล้างมือ คาดหน้ากากปิดจมูกและปาก และอย่าอยู่ใกล้ชิดกันเกินไป         โดยทั่วไปแล้ว เชื้อไวรัสเมื่อมันอยู่นอกร่างกายเรา มันจะใจเสาะอายุสั้น แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตายแล้ว แต่เจ้าโควิด 19 มันเป็นไวรัสพันธุ์หัวแข็งตายยากกว่าไวรัสอื่นๆ เช่น ถ้าอยู่บนโต๊ะ พื้นผิวต่างๆ หรือลูกบิดประตู ก็อยู่ได้ถึง 4 – 5 วัน แต่ถ้ามันเจออากาศที่ร้อนกว่า 30 องศาเซลเซียส อายุก็จะสั้นลง ปัจจุบันจะมีผลิตภัณฑ์ ที่อ้างว่าสามารถใช้ทำลายเชื้อโควิด 19 ได้ ซึ่งขึ้นกับชนิดของสารเคมี บางชนิดก็ราคาแพงมาก แต่ที่จริงแล้วเจ้าโควิด 19 นี้ มันตายได้ง่ายถ้าเจอสบู่ น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาดต่างๆ ตลอดจนเจอความร้อนสูงๆ  รู้อย่างนี้จะจ่ายแพงกว่าทำไม ขอแนะนำในการทำความสะอาดสิ่งต่างๆ ที่ง่ายและประหยัดดังนี้        การทำความสะอาดมือ ถ้าอยู่บ้านหรือสำนักงาน ให้ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือน้ำยาล้างมือก็พอแล้ว ทางสาธารณสุขเขาแนะนำให้ล้างมือ 7 ขั้นตอน แต่ถ้าจำไม่ได้ ก็จำง่ายๆ แค่ล้างให้ละเอียดทั่วทุกซอกทุกมุม ให้มือสัมผัสกับสบู่หรือน้ำยานานพอสมควร นานประมาณร้องเพลงช้างช้างช้าง 2 รอบก็ได้ และหากออกไปนอกบ้าน หาที่ล้างมือไม่ได้ ก็สามารถใช้แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อแทนได้ จะเป็นน้ำยาแอลกอฮอล์ หรือแอลกอฮอล์เจลก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องมี % ของแอลกอฮอล์ไม่น้อยกว่า 70% และเมื่อใช้แล้วก็ไม่ต้องเช็ดออก ต้องปล่อยทิ้งไว้ให้มือแห้งเองด้วย         ถ้วยชามภาชนะต่างๆ ใช้น้ำยาล้างจานทั่วไปก็พอแล้ว ถ้าไม่มั่นใจก็นำมาตากแดด หรือลวกด้วยน้ำร้อนหรือน้ำเดือดสัก 30 วินาที         สำหรับเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ก็ใช้ผงซักฟอกเหมือนที่เคยใช้ แล้วเอามาตากแดดร้อนๆ ของเมืองไทย ก็ใช้ได้แล้ว         ส่วนพื้นผิวต่างๆ เช่น โต๊ะ ลูกบิด ราวบันได ใช้แอลกอฮอล์ 70 %  หรือน้ำยาทำความสะอาดชนิดที่ระบุว่าฆ่าเชื้อไวรัสได้ เช็ดถูทำความสะอาดให้ทั่ว และเช็ดบ่อยๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่ามีคนมาสัมผัสมากน้อยขนาดไหน         สำหรับพื้นที่เราเหยียบย่ำนั้น สามารถใช้ ผงซักฟอก น้ำยาทำความสะอาดพื้นชนิดที่ระบุว่าฆ่าเชื้อไวรัสได้ เช็ดถูทำความสะอาด วันละ 1 – 2 ครั้ง ขึ้นกับสถานการณ์ต่างๆ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 229 ร้อง...โรงเรียนไม่สะอาด

        โรงเรียนนั้นเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของลูก ก่อนคุณพ่อคุณแม่จะให้ลูกเข้าเรียนโรงเรียนไหนก็มีการศึกษาข้อมูลโรงเรียนเป็นอย่างดี ยิ่งลูกยังอยู่ในวัยเล็กๆ การดูแลความปลอดภัย สวัสดิภาพ ความสะอาดของโรงเรียนยิ่งต้องมีมากขึ้นด้วย เพราะเด็กเล็กจะติดเชื้อโรคได้ง่าย         คุณภูผามีลูกเล็กสองคน ลูกชายวัยสามขวบหนึ่งคน และลูกสาววัยขวบกว่าอีกหนึ่งคน ลูกชายของเขาอยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องเข้าโรงเรียนชั้นอนุบาล 1 เขาและแฟนจึงได้เลือกโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงใกล้บ้าน เพื่อง่ายต่อการรับส่ง ในเดือนมิถุนายนเด็กนักเรียนในโรงเรียนเริ่มป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก และลูกชายของเขาก็ติดโรคมือเท้าปากจากโรงเรียน จึงต้องหยุดเรียนเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ระหว่างลูกชายหยุดเรียนเขาได้ข่าวจากผู้ปกครองทางไลน์กลุ่มว่าที่โรงเรียนมีเด็กป่วยเพิ่มขึ้นตลอด และก่อนให้ลูกชายกลับไปเรียน เขาได้ไปขอใบรับรองแพทย์อีกครั้งว่าลูกชายหายจากโรคมือเท้าปากแล้ว แต่เมื่อลูกชายไปเรียน กลับติดโรคมือเท้าปากอีกครั้ง และครั้งนี้ลูกสาวก็ติดโรคมือเท้าปากด้วย         คุณภูผาต้องเสียค่ารักษาพยาบาลของลูกสองคน 2 ครั้งเป็นเงินเกือบ 100,000 บาท เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เขารู้สึกว่าทางโรงเรียนไม่ได้มีมาตรการป้องกันการติดเชื้อ ทำให้ไม่มีความมั่นใจที่จะให้ลูกของเขาเรียนที่โรงเรียนนี้อีกต่อไป จึงได้ติดต่อไปยังโรงเรียนแจ้งลาออกและขอเงินค่าเทอมคืน          หลังจากนั้นภูผาได้แจ้งไปยังสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ซึ่งช่วยดำเนินการประสานงานกับโรงเรียน ทางโรงเรียนแจ้งเขาว่าจะคืนเงินค่าเทอมให้เพียง 40% เป็นเงินจำนวน 18,800 บาท จากค่าเทอม 47,000 บาท และค่าแรกเข้าอีกรวมเป็นเงิน 62,000 บาท ทั้งที่ลูกชายของเขาเพิ่งไปเรียนได้เพียง 1 เดือนกว่า เมื่อสช.ประสานงานไปยังโรงเรียน โรงเรียนได้มีมาตรการควบคุมโรคโดยปิดโรงเรียนเพียง 3 วัน ซึ่งตามมาตรการของกระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนต้องกำหนดมาตรการโรคโดยปิดชั้น หรือปิดโรงเรียนเป็นระยะเวลา 5 – 7 วัน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด แต่โรงเรียนก็ไม่ได้ทำตามมาตรการของกระทรวงศึกษาธิการ และไม่มีมาตรการคัดแยกเด็กนักเรียนที่ป่วยกับไม่ป่วยออกจากกัน ทั้งยังจัดกิจกรรมเล่านิทาน ให้เด็กนักเรียนหลายห้องมารวมกัน จึงทำให้มีการแพร่เชื้อได้ง่าย ภูผารู้สึกว่าถูกโรงเรียนเอาเปรียบจึงร้องเรียนมายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนวทางการแก้ไขปัญหา        ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค แนะนำว่า ผู้ร้องสามารถขอเงินคืนได้ เพราะกรณีดังกล่าวเป็นการผิดสัญญาจ้าง หากโรงเรียนไม่สามารถทำได้ตามสัญญา ผู้ร้องก็มีสิทธิเรียกเงินในส่วนที่เหลือคืน และการที่โรงเรียนได้มีหนังสือแจ้งผู้ร้องแล้วว่าจะคืนเงินให้ 40 % นั้น ถือว่าเป็นการยอมรับการยกเลิกสัญญาแล้ว เพียงแต่ปัจจุบันไม่สามารถตกลงในเรื่องจำนวนเงินที่จะคืนได้          ศูนย์พิทักษ์ฯ ได้เชิญประชุมเพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างโรงเรียนและผู้ร้อง โดยผู้ร้องเสนอให้โรงเรียนหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามระยะเวลาที่เข้าเรียนและคืนเงินจำนวน 40,000 บาท แต่ตัวแทนโรงเรียน ยืนยันคืนเงิน 40 % ของเงินค่าเล่าเรียนจำนวน 47,000 บาท เป็นเงินจำนวน 18,800 บาท ซึ่งไม่สามารถตกลงกันได้ ผู้ร้องจึงขอให้ศูนย์พิทักษ์ช่วยเหลือด้านทนายความในการดำเนินคดีกับโรงเรียน         ผู้ร้องได้ดำเนินการฟ้องคดีกับโรงเรียนและเจ้าของโรงเรียนเป็นคดีผู้บริโภค เรื่อง ผิดสัญญาให้บริการทางการศึกษา ต่อมาสามารถตกลงกันได้ โดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โรงเรียนตกลงคืนเงินค่าแรกเข้าและค่าเล่าเรียนให้กับผู้ร้องเป็นเงินจำนวน 62,000 บาท

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 229 กระแสต่างแดน

 งานด่วน        ยักษ์ใหญ่ในวงการผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดกำลังแข่งกันว่าใครจะส่งสินค้าที่ “สามารถฆ่าไวรัสโคโรนาได้” ออกสู่ตลาดได้ก่อนกัน         เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (เจ้าของแบรนด์เดทตอล) แถลงเป็นรายแรกว่าได้ซื้อสเตรนของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 จากห้องปฏิบัติการอิสระมาแล้ว         ตามข้อกำหนดของยุโรปและอเมริกา ต้องมีผลการทดสอบจากห้องปฏิบัติการที่ผ่านการรับรองโดยหน่วยงานควบคุมมายืนยันว่าผลิตภัณฑ์นั้นฆ่าไวรัสได้ร้อยละ 99.99 จึงจะสามารถโฆษณาว่าผลิตภัณฑ์ “ฆ่าไวรัสได้”         ผลทดสอบจะออกปลายเดือนเมษายนนี้ แต่ยังต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่าหกเดือนสำหรับการทดสอบอย่างเข้มข้นโดยหน่วยงานควบคุมอีกหลายครั้ง (ซึ่งมีค่าใช้จ่ายหนึ่งถึงสองแสนเหรียญ (3.2 ล้านถึง 6.4 ล้านบาท)         ข่าวไม่ได้ระบุราคาของไวรัส แต่แหล่งข่าวคาดการณ์ว่าอีกสามค่าย (โคลร็อกซ์, ยูนิลเวอร์, และ พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล) คงจะซื้อสเตรนไวรัสสุดเฮี้ยนนี้มาแล้วเช่นกันคนจีนไม่ถูกใจสิ่งนี้        เป็นธรรมเนียมปกติสำหรับศิลปินดาราจีนที่จะต้อง “แทนคุณแผ่นดิน” ที่ผ่านมามีหลายคนมอบเงินบริจาคเพื่อสู้กับวิกฤติการระบาดของโรคโควิด-19 ที่เมืองอู่ฮั่น ชาวเน็ตจึงรวบรวมรายชื่อดาราและเงินบริจาคมาแชร์กันในโลกออนไลน์        งานนี้หลายคนได้รับการชื่นชมมาก เช่น เจย์ โชว์และภรรยาที่บริจาคให้มูลนิธิแห่งหนึ่งในมณฑลหูเป่ยเป็นเงิน 3 ล้านหยวน (13.7 ล้านบาท) หรือเจ้าเปิ่นชาน เจ้าพ่อแห่งวงการบันเทิงที่บริจาคให้กับเทศบาลเมืองอู่ฮั่นถึง 10 ล้านหยวน ( 45.8 ล้านบาท)         แต่บางรายโดนถล่มยับเพราะไม่เป็นไปตามความคาดหวังของชาวจีน เช่น หวงเสี่ยวหมิงและภรรยา ที่มอบเงินให้มูลนิธิแห่งหนึ่ง 200,000 หยวน (917,000 บาท)         โดนหนักที่สุดคือ คริสตัล หลิว นางเอกภาพยนตร์เรื่องมู่หลาน นอกจากถูกหาว่าขี้เหนียวเพราะบริจาคแค่ 200,000 หยวนแล้วเธอยังโดนประณามว่า “ไม่มีสำนึกรักบ้านเกิด” ด้วย  ไหนว่าไม่มี        คอนแทค เอนเนอร์ยี ผู้ประกอบการด้านพลังงานที่ใหญ่เป็นอันดับสองของนิวซีแลนด์ถูกสั่งปรับเป็นเงิน 245,000 เหรียญ (4.8 ล้านบาท) เนื่องจากทำผิด พ.ร.บ.การค้าที่เป็นธรรม ถึงเจ็ดข้อหา          บริษัทยอมรับผิดกรณีที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดในสาระสำคัญของโปรโมชัน Fuel Rewards Plans ในปี 2017 ที่โฆษณาว่าลูกค้าจะได้ส่วนลดลดค่าน้ำมัน 10 ถึง 50 เซนต์ต่อลิตรทุกเดือน และยังคำนวณให้ด้วยว่าใครที่เลือกโปรฯ แบบหนึ่งปีจะประหยัดเงินได้ถึง 180 เหรียญ (3,500 บาท) สิ่งที่ไม่บอกให้ชัดคือ ผู้บริโภคมีสิทธิได้ส่วนลดที่ว่านี้เพียงเดือนละครั้ง และจำกัดที่ไม่เกิน 50 ลิตรแต่ที่น่าตีที่สุดคือบริษัทยังมั่นหน้าชูสโลแกน “ไม่ตุกติก ไม่ต้องรอ ไม่มีเซอร์ไพรซ์”          คณะกรรมการพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการฟ้องบริษัทนี้บอกว่า การกระทำเช่นนั้นส่งผลให้ผู้บริโภคลดความระมัดระวังในการอ่านเงื่อนไขตัวเล็กๆ ก่อนตัดสินใจ น้องหมางานเข้า        มาตรการล็อกดาวน์ในสเปนที่สืบเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้คนไม่สามารถออกมาสูดอากาศนอกบ้านได้เลย          เฉพาะคนที่มีสุนัขเท่านั้นที่ได้สิทธิพามันออกมาเดินเล่นในระยะเวลาสั้นๆ ให้มันได้ทำธุระส่วนตัว         แต่คุณจะพากันออกมาทั้งครอบครัวไม่ได้ เขาให้โควตาน้องหมาหนึ่งตัวต่อคนจูงหนึ่งคน นอกจากจะต้องมีถุงเก็บมูลสุนัขแล้ว คนจูง (ซึ่งต้องจูงสุนัขตลอดเวลา) ต้องเตรียมน้ำยาทำความสะอาดละลายน้ำใส่ขวดมาราดทำความสะอาดบริเวณที่สุนัขอึหรือฉี่ด้วย         เมื่อใครๆ ก็อยาก “จูงน้องหมา” ความฮาจึงบังเกิดในโลกโซเชียล... เราได้เห็นคลิปชายคนหนึ่งแอบจูงตุ๊กตาน้องหมาออกมานอกบ้าน หรือคุณพ่อที่จับลูกสาวแต่งเป็นดัลเมเชียนเพื่อจะพาเธอไป “เดินเล่น”         เรายังได้เห็นโฆษณา “ให้เช่าสุนัข” และภาพล้อเลียนที่น้องหมาในสภาพอิดโรยกำลังโอดครวญว่า “วันนี้แม่พาผมเดินไป 38 รอบแล้วนะ”  พักหรูสู้โควิด        หลายโรงแรมอาจเลือกปิดกิจการชั่วคราวในช่วงการระบาดของโควิด-19 แต่ไม่ใช่ที่โรงแรม Le Bijou ในเมืองซูริค สวิตเซอร์แลนด์         โรงแรมแห่งนี้เสนอ “แพ็คเกจสุดหรู ที่ควรคู่กับการกักตัวเพื่อป้องกันการแพร่ไวรัสโคโรนา” ที่นอกจากห้องพักหรูเลิศ ซาวนาและยิมส่วนตัวแล้ว คุณยังสามารถเลือกบริการเสริมต่อไปนี้ได้ตามใจชอบ          มาดูกันว่าคุณชอบค่าใช้จ่ายของแต่ละบริการหรือไม่         บริการตรวจหาเชื้อไวรัส  500 ฟรัง (17,000 บาท)  การเยี่ยมโดยพยาบาลวันละสองครั้ง 1800 ฟรัง (61,000 บาท)  หรือออปชันแบบมีพยาบาลส่วนตัวดูแล 24 ชั่วโมง 4,800 ฟรัง (164,000 บาท)         รวมๆ แล้ว ถ้าคุณพักที่นี่จนครบช่วงเวลากักตัว 14 วัน ก็เตรียมควักกระเป๋าอย่างน้อย 80,000 ฟรัง (2.7 ล้านบาท)  โอ... มันช่างเป็นประสบการณ์ที่เลอค่าจริงๆ  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 228 สวยและสะอาด

        โรคโควิด 19 ไม่สนใจไม่ได้แล้ว ถึงไม่ต้องตระหนกมาก แต่เราควรตื่นรู้และป้องกันไว้ก่อน ด้วยการทำให้สะอาด โดยเฉพาะอุปกรณ์ติดกาย มือของเรา และต้องระวังสิ่งที่ใช้ร่วมกับผู้อื่น        นอกจากหน้ากากอนามัย ที่อาจจำเป็นต้องพกไว้และใส่ให้ตัวเองเมื่ออยู่ในสถานที่ที่อากาศปิดและแวดล้อมด้วยผู้คนจำนวนมาก อาจรวมถึงเผื่อหยิบยื่นให้คนที่ไอ จามโดยไม่สวมหน้ากาก (หน้ากากอนามัยจะป้องกันการแพร่เชื้อสำหรับคนป่วยได้ถึง 90% แต่หากเราแข็งแรงดีและไม่ได้ใกล้ชิดผู้ที่ไอ จามในระยะ 1 เมตร อาจไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากาก ยิ่งเป็นที่รโหฐานใส่ในบ้าน ใส่นอน อันนี้ไม่มีประโยชน์)         สิ่งที่จำเป็นต้องระวังมากกว่าคือ สิ่งของที่อาจต้องจับต้องร่วมกับผู้อื่น เช่น ตัวจับประตูปิดเปิด ร้านค้า ห้าง ห้องน้ำสาธารณะ ปุ่มลิฟต์ ประตูรถแท็กซี่ ห่วง เสา บนรถประจำทาง ซึ่งแน่นอนละว่า ไม่จับก็ไม่ได้ วิธีการที่ต้องฝึกทำให้บ่อยขึ้น คือ          ล้างมือให้บ่อยและล้างให้ถูกวิธี        1. ล้างด้วยสบู่และน้ำ หลักการคือ ล้างด้วยระยะเวลาอย่างน้อย 20-30 วินาที เคยมีคนบอกว่าเท่ากับร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์สักสองรอบ วิธีนี้ประหยัดและง่าย แต่อาจไม่สะดวกจำเป็นต้องมีสถานที่ ดังนั้นควรทำเมื่อกลับถึงบ้าน ก่อนรับประทานอาหารหรือเตรียมอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ เล่นกับสัตว์เลี้ยง หรือล้างทุกครั้งเมื่อคิดว่ามือสกปรก         2. ล้างด้วยเจลล้างมือ วิธีนี้ค่อนข้างสะดวก แต่ก็ต้องทำให้ถูกวิธีด้วยเช่นกัน คือใช้ในปริมาณที่พอเหมาะและระยะเวลาที่พอดี อย่างน้อย 20 วินาทีต่อการล้างหนึ่งครั้ง หากระหว่างการใช้เจลล้างมือแล้วพบว่าเนื้อเจลแห้งในเวลาไม่ถึง 15 วินาที หมายความว่า เจลล้างมือที่ใช้มีปริมาณน้อยเกินไป และอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรค          ทำความสะอาดเครื่องใช้ส่วนตัว         ข้าวของบางอย่างแม้เป็นของใช้ส่วนตัว แต่ก็อาจมีการสัมผัสกับเชื้อโรคได้เพราะใช้ในที่ชุมชน เช่น โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสะพาย เป้สะพาย และเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ สำหรับเครื่องใช้ควรทำความสะอาดเมื่อกลับเข้าบ้าน วิธีง่ายๆ คือ การตากแดด เนื่องจากบ้านเราแดดร้อนและเชื้อไวรัสจะไม่ชอบพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง หรือเช็ด พ่นด้วยแอลกอฮอลล์ เสื้อผ้าควรหมั่นซักให้บ่อยขึ้นไม่หมักหมมไว้เป็นที่เพาะเชื้อ        การป้องกันตัวเองจากการสัมผัสเชื้อโรคด้วยการทำความสะอาด เป็นหัวใจสำคัญที่ควรคำนึง เพราะไม่เพียงช่วงป้องกันเราจากไวรัสโคโรนาเท่านั้น แต่ยังป้องกันเราจากเชื้อโรคอื่นๆ อีกด้วย ดังนั้นควรทำให้เป็นนิสัยไม่จำเป็นต้องรอให้มีการระบาดของโรคเกิดขึ้นก่อนจึงค่อยทำ          

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 218 น้ำยาทำความสะอาดมือ

        น้ำยาทำความสะอาดมือ(Hand Anticeptic) เป็นสารที่ใช้เพิ่มเติมเป็นทางเลือกของการทำความความสะอาดมือ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีน้ำ ปัจจุบันมีทั้งรูปแบบเจล โฟมและสารละลายเหลว เมื่อฉบับที่แล้วฉลาดซื้อได้สุ่มสำรวจผลิตภัณฑ์สบู่เหลวล้างมือไป ฉบับนี้จึงขอต่อเนื่องมาที่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือ แบบที่ไม่ต้องพึ่งพาน้ำกันบ้าง ซึ่งได้รับความนิยมมากพอสมควรมีหลายผลิตภัณฑ์ให้เลือกซื้อหา ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่พบมีสารออกฤทธิ์สำคัญคือ เอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้ดี เหมาะสำหรับการฆ่าเชื้อบนผิวหนัง นอกจากนั้นก็จะมีการผสมสารประเภทที่ให้ความชุ่มชื้น ครีมบำรุงและสารประเภทน้ำหอมเพิ่มเติม ซึ่งไม่มีประโยชน์ในงานทำความสะอาดแต่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจ โดยลดความกังวลเรื่องที่มืออาจแห้งกร้านเนื่องจากการสัมผัสแอลกอฮอล์            จากการสุ่มตัวอย่างพบผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือแบบไม่ใช่น้ำ จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์ มีส่วนผสมหลักดังที่กล่าวไปข้างต้น แต่มีอยู่สองตัวที่มีส่วนผสมของ ไตรโคลซาน ซึ่งฉลาดซื้อเคยนำเสนอไปว่า เป็นสารที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสารที่มีอันตรายสูง ทำให้มีปัญหากับระบบนิเวศดังนั้นควรหลีกเลี่ยง         น้ำยาทำความสะอาดมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ที่ดีควรเป็นอย่างไร            1.ควรมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ระหว่าง 60-85 % เพื่อให้เพียงพอสำหรับการฆ่าเชื้อ            2.มีฉลากระบุวันผลิตและวันสิ้นอายุที่ชัดเจน(ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่หมดอายุ)  รวมทั้งคำเตือนที่จำเป็น เช่น ห้ามใช้หรือวางใกล้เปลวไฟ            3.มีเลขจดแจ้งที่ชัดเจน น้ำยาทำความสะอาดมือจัดเป็นเครื่องสำอาง ดังนั้นต้องมีเลขที่จดแจ้งตามกฎหมายเครื่องสำอาง  ความสะอาดมือบ่อยๆ        การล้างมือเป็นหนึ่งในวิธีการป้องกันการติดเชื้อที่ดี โดยทั่วไปหากมือสกปรกควรล้างด้วยน้ำและสบู่ เพื่อชะล้างคราบสกปรกออกไป แต่หากเป็นกรณีที่มือไม่มีคราบสกปรกแต่อาจสัมผัสกับจุดเสี่ยง เช่น การสัมผัสกับสิ่งของสาธารณะ สัตว์เลี้ยง การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือแบบไม่ต้องใช้น้ำ ก็ช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อได้ วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ล้างมือที่ถูกต้อง         เจลล้างมือควรใช้ในปริมาณ 3-5 ซีซี หรือปริมาณเท่าขนาดเล็บหัวแม่มือของผู้ใช้ ถูให้ทั่วฝ่ามือและซอกเล็บ ถูจนเจลระเหยหมดภายในครึ่งนาที (หากเจลระเหยอย่างรวดเร็วก่อน 15 วินาที อาจหมายถึงใช้เจลในปริมาณน้อยไป ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพการกำจัดเชื้อโรค) ระวัง!เจลล้างมือติดไฟได้ หากถูกสะเก็ดไฟ         เจลล้างมือมีส่วนผสมสำคัญคือแอลกอฮอล์ ที่นอกจากมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อโรค และยังสามารถติดไฟได้ง่าย ดังนั้นเจลล้างมือจึงติดไฟได้ง่ายเช่นกัน โดยเฉพาะในผู้สูบบุหรี่ ผู้ที่ใช้เจลล้างมือหลังชโลมเปียกทั่วมือแล้วจึงควรรอให้แห้งก่อน ซึ่งใช้เวลาประมาณครึ่งนาที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 174 รู้เท่าทันการทำความสะอาดแผลด้วยน้ำประปา

เมื่อร่างกายเกิดแผลขึ้น  ความเชื่อที่ถูกสอนกันมาอย่างต่อเนื่องและสอนกันผิดๆ ก็คือ เราต้องใช้ยาฆ่าเชื้อโดยเฉพาะทิงเจอร์ไอโอดีนเทลงบนแผลหรือทาที่แผลสดเลยเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค  ความจริงแล้วเราสามารถใช้น้ำประเภทต่างๆ มาทำความสะอาดแผลได้  โดยไม่ต้องหรือที่ถูกก็คือห้ามใช้น้ำยาฆ่าเชื้อทาที่แผล  น้ำที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือ น้ำเกลือธรรมดา(น้ำเกลือธรรมดาที่มีความเข้มข้นร้อยละ 0.9 ซึ่งเท่ากับกับความเข้มข้นของเกลือในกระแสเลือดของคนปกติ)  เหตุที่ทางการแพทย์นิยมใช้น้ำเกลือธรรมดาเพราะว่ามีเข้มข้นของเกลือเท่ากับเลือดและไม่มีผลกระทบต่อกระบวนการเยียวยาของแผลตามปกติ  อย่างไรก็ตาม น้ำเกลือมีจำหน่ายเฉพาะในร้านขายยาและใช้ในโรงพยาบาลเท่านั้น  เราสามารถใช้น้ำประปาในการทำความสะอาดแผลแทนน้ำเกลือได้หรือไม่?  และมีผลในการหายของแผลได้เหมือนน้ำเกลือธรรมดาหรือไม่?  ถ้าได้จะเป็นการประหยัดและสะดวกอย่างมาก  เราลองมารู้เท่าทันการทำความสะอาดแผลด้วยน้ำประปากันเถอะ    ห้องสมุดคอเครน  ได้ทำการทบทวนข้อมูลและการศึกษาวิจัยจากงานการทบทวนของคอเครนเอง และงานวิจัยของ MEDLINE, EMBASE และ EBSCO CINAHL โดยได้ทำการคัดกรองการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมที่เปรียบเทียบการใช้น้ำกับสารอื่นๆ ในการทำความสะอาดแผล  การรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลใช้นักวิชาการสองท่านทำงานแยกจากกัน    ผลการทบทวนงานการศึกษาทดลอง 11 การศึกษา พบว่า  การใช้น้ำประปาในการทำความสะอาดแผลในผู้ใหญ่และเด็กไม่มีผลต่อการติดเชื้อที่แผลอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้น้ำเกลือ  และไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของการติดเชื้อที่แผลระหว่างการทำความสะอาดแผลด้วยน้ำประปากับการไม่ทำความสะอาดแผลด้วยวิธีการใดๆ  ในแผลเรื้อรังก็ไม่พบมีความแตกต่างของการติดเชื้อเช่นเดียวกัน  การใช้น้ำเกลือธรรมดา น้ำกลั่น และน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วในการทำความสะอาดแผลกระดูกหักแบบเปิดก็ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการติดเชื้อที่กระดูก     ผลการทบทวนสรุปว่า  ยังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าการใช้น้ำประปาในการทำความสะอาดแผลสดในผู้ใหญ่หรือเด็กจะเพิ่มหรือลดการติดเชื้อ  ยังไม่มีหลักฐานหนักแน่นพอว่า การล้างแผลนั้นช่วยให้การหายของแผลเร็วขึ้นหรือลดการติดเชื้อ  ในกรณีที่ไม่มีน้ำประปา อาจใช้น้ำที่ต้มสุกและเย็นแล้ว เช่นเดียวกับน้ำกลั่นในการทำความสะอาดแผลได้    ท่านผู้อ่านคงสบายใจได้แล้วนะครับว่า  ถ้ามีแผลสด แผลเรื้อรัง  เราสามารถใช้น้ำประปา (ที่สะอาดและดื่มได้) หรือน้ำดื่มที่มีตราของอย. มาทำความสะอาดแผลได้โดยไม่ต้องวิ่งหาซื้อน้ำเกลือธรรมดา  โรงเรียนในชนบทก็ไม่ต้องซื้อน้ำเกลือธรรมดามาเก็บตุนไว้เพื่อรอทำแผลเด็กนักเรียน  ใช้น้ำเปล่าบรรจุขวดที่มีตราอย.แทนได้เลย ที่สำคัญเลิกใช้ยาฆ่าเชื้อทาที่แผลสดโดยตรง  อย่างมากก็ทารอบๆ แผลก็พอหมายเหตุ:  ศึกษาเพิ่มเติมใน  Water for wound cleansing  โดย  Ritin Fernandez, Rhonda Griffiths ตีพิมพ์ออนไลน์เมื่อ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 150 เช็คปริมาณ แผ่นเช็ดทำความสะอาด แผ่นซับความมัน และ สำลีก้าน

ฉลาดซื้อฉบับที่แล้วเราได้ตรวจสอบเรื่องความถูกต้องของจำนวนกระดาษเช็ดหน้าแบบบรรจุกล่อง ดูว่าปริมาณจริงกับปริมาณที่ระบุข้างกล่องถูกต้องตรงกันหรือไม่ ฉบับนี้เรายังมีภาค 2 ให้ติดตามกันต่อ กับการตรวจสอบความถูกต้องปริมาณสินค้าที่เราได้เปรียบเทียบกับปริมาณที่แจ้งไว้บนของฉลาก กับอีก 3 ผลิตภัณฑ์ใกล้ตัว คือ แผ่นเช็ดทำความสะอาด แผ่นซับความมัน และ สำลีก้าน ไปดูกันซิว่าผู้ผลิตเขาซื่อตรงกับผู้บริโภคอย่างเราหรือเปล่า   วิธีการทดสอบ เราใช้อาสาสมัครฉลาดซื้อ 3 คน ในการตรวจนับทวนตัวอย่างทั้งหมดที่เรานำมาทดสอบ อาสาสมัครทั้ง 3 คน จะนับคนละ 1 ครั้งต่อ 1 ตัวอย่าง เท่ากับว่าแต่ละตัวอย่างจะมีการนับจำนวนทั้งหมด 3 ครั้ง เพื่อเป็นการตรวจทานความถูกต้อง   แผ่นเช็ดทำความสะอาด ตารางแสดงผลการสำรวจจำนวนแผ่นเช็ดทำความสะอาดเปรียบเทียบกับจำนวนที่แจ้งไว้บนบรรจุภัณฑ์  ผลการทดสอบ จากการตรวจนับตัวอย่างแผ่นเช็ดทำความสะอาดจำนวน 6 ตัวอย่างพบว่าทุกตัวอย่างมีจำนวนแผ่นเช็ดทำความสะอาดตรงตามที่แจ้งไว้ในรายละเอียดบนบรรจุภัณฑ์ แถมทุกตัวอย่างที่เรานำมาทดสอบยังให้ปริมาณของแผ่นเช็ดทำความสะอาดมาแบบพอดี๊พอดี บอกว่ามี 80 แผ่นก็ให้มา 80 แผ่น บอกว่า 20 แผ่นก็มี 20 แผ่น ไม่ขาดไม่เกิน ไม่เหมือนกับตัวอย่างแผ่นกระดาษเช็ดหน้าที่ฉลาดซื้อทดสอบเมื่อฉบับที่แล้ว ที่เราพบว่าบางตัวอย่างให้แผ่นกระดาษเช็ดหน้ามาเกินจากที่แจ้งจำนวนไว้บนบรรจุภัณฑ์ ถือว่าเป็นกำไรของผู้บริโภค   ฉลาดซื้อแนะนำ แผ่นเช็ดทำความสะอาด (Cleansing Tissue) หรือ ทิชชูทำความสะอาดแบบเปียก ถือเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องสำอาง มีการใช้สารต่างๆ เป็นส่วนผสม เพราะฉะนั้นการแสดงฉลากจะต้องมีการแจ้งชื่อของสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสมในการผลิต โดยเรียงลำดับตามปริมาณของสารจากมากไปหาน้อย มีการแสดงวิธีใช้ และข้อควรระวังหรือคำเตือนในการใช้ เช่น ห้ามใช้เช็ดบริเวณรอบดวงตา ผลิตภัณฑ์อาจทำให้เกิดอาการแพ้ในผู้ใช้บางคน หากระคายเคืองควรหยุดใช้ เป็นต้น ที่มา: ประกาศคณะกรรมการเครื่องสำอาง เรื่อง ฉลากของเครื่องสำอาง   แผ่นซับความมัน ตารางแสดงผลการสำรวจจำนวนแผ่นซับความมันเปรียบเทียบกับจำนวนที่แจ้งไว้บนบรรจุภัณฑ์ ผลการทดสอบ จากการสุ่มสำรวจตัวอย่างแผ่นซับความมันจำนวน 9 ตัวอย่าง เราพบเรื่องที่น่ายินดีเพราะทุกตัวอย่างที่เราสำรวจ ให้ปริมาณแผ่นซับความมันตรงตามจำนวนที่แจ้งไว้บนบรรจุภัณฑ์ นอกจากนี้เรายังพบว่ามีถึง 4 ตัวอย่างที่แถมแผ่นซับความมันเกินมาจากจำนวนที่แจ้งไว้ ได้แก่ยี่ห้อ แกทส์บี (Gatsby), ยี่ห้อ คลีนแอนด์เคลียร์ (Clean&Clear) และ ยี่ห้อ เมนโธลาทัม แอคเนส์ (Mentholatum  Acnes) ที่เพิ่มแผ่นซับความมันมาให้อีก 1 แผ่นจากจำนวนที่แจ้งไว้ ส่วนยี่ห้อ แพ็ตตี้ ควิกส์ (Pretty Quiks) เพิ่มมาให้อีก 2 แผ่นจากจำนวนที่แจ้งไว้   ฉลาดซื้อแนะนำ -ประโยชน์ของกระดาษหรือฟิล์มซับความมันบนใบหน้า คือการลดความบนใบหน้าเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการเช็ดทำความสะอาดใบหน้า การใช้กระดาษหรือฟิล์มซับความมันบนใบหน้าเช็ดหน้าอาจมีผลเสียต่อผิวหน้า เพราะเนื้อกระดาษหรือฟิล์มซับมันอาจสร้างความระคายเคืองให้กับผิวหน้า -บนบรรจุภัณฑ์ควรมีการแสดงข้อมูลการใช้งานและข้อควรระวัง เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่สัมผัสโดยตรงกับร่างกายของเรา แต่จากตัวอย่างที่เราสุ่มสำรวจพบว่ามีหลายยี่ห้อที่ไม่การแจ้งข้อมูลดังกล่าว ส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ แล้วนำรายละเอียดภาษาไทยอย่าง ชื่อสินค้า ที่อยู่ผู้ผลิต ผู้นำเข้ามา แปะทับ   สำลีก้าน ตารางแสดงผลการสำรวจจำนวนสำลีก้านเปรียบเทียบกับจำนวนที่แจ้งไว้บนบรรจุภัณฑ์ ผลการทดสอบ จากการสุ่มทดสอบตัวอย่างสำลีก้านจำนวน 7 ตัวอย่าง เราพบว่ามี 2 ตัวอย่าง ที่ให้ปริมาณสำลีก้านน้อยกว่าที่ได้แจ้งไว้บนบรรจุภัณฑ์ คือยี่ห้อ บิ๊กซี (Big C) และยี่ห้อ วี-แคร์ (V-Care) ซึ่งแจ้งไว้บนบรรจุภัณฑ์ว่ามีจำนวน 100 ชิ้น แต่จากการทดสอบเราพบว่ามีจำนวนก้านสำลีอยู่ 98 ชิ้น สำหรับยี่ห้อ บิ๊กซี (Big C) และ 99 ชิ้น สำหรับยี่ห้อ วี-แคร์  (V-Care) ส่วนอีก 5 ตัวอย่างที่เหลือจำนวนที่ทดสอบนับได้ตรงตามจำนวนที่แจ้งไว้บนบรรจุภัณฑ์   ฉลาดซื้อแนะนำ -ผลิตภัณฑ์สำลีก้านที่ดี ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้ หัวสำลีต้องเป็นสีขาว พันเรียบมิดปลายก้านโดยไม่มีสิ่งแปลกปลอมปะปน ก้านตรง แข็งแรง ไม่หักง่าย ปลายทู่ ผิวของวัสดุไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ -การแสดงข้อมูลบนบรรจุภัณฑ์ ต้องแสดงชื่อสินค้า ที่อยู่ผู้ผลิต วันเดือนปีที่ผลิต จำนวนบรรจุ วิธีการใช้ ที่สำคัญคือ คำเตือนในการใช้ผลิตภัณฑ์ -จำนวนสำลีพันก้านในแต่ละภาชนะบรรจุต้องมีไม่น้อยกว่าที่ระบุไว้ที่ฉลาก -สำลีก้านที่ซื้อมาต้องอยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิท ป้องกันสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคปนเปื้อน ที่มา : ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสำลีพันก้าน ฉบับที่ 3828 (พ.ศ. 2551)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 145 รองเท้ามือสอง เสน่ห์หรือภัยเงียบ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สินค้ามือสอง มีเสน่ห์สำหรับหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นแบบที่ถูกใจหรือราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับคุณภาพของสินค้า โดยเฉพาะรองเท้ามือสอง ซึ่งคงไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเท่านั้นที่นิยมรองเท้ามือสอง คนอีกหลายวัยก็นิยมเช่นกัน เพราะสินค้ารองเท้ามือสองนั้นมีความหลากหลายของรูปแบบที่เข้าได้กับทุกกลุ่ม เพศ วัย ไม่ว่าจะเป็นผ้าใบยี่ห้อดัง รองเท้าหนังเท่ๆ หรือส้นสูงสุดเฉี่ยว   ถึงจะเป็นที่นิยมมากแค่ไหน แต่รองเท้ามือสองกำลังเป็นคำถามสำคัญที่ผู้บริโภคต้องใส่ใจมากขึ้น ว่าจะยังตระเวนซื้ออย่างสนุกสนานต่อไป หรือว่าควรมีรองเท้ามือสองไว้ในครอบครองแต่พอดี   เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่เรื่อง ขยะรองเท้ามือสองกองสูงเป็นภูเขา(ฝ่ายที่กองไว้อ้างว่าอยู่ระหว่างรอการกำจัด) เป็นปัญหาเดือดร้อนรำคาญและก่อผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ที่จังหวัดสระแก้ว ใกล้ตลาดโรงเกลือ ซึ่งถือเป็นแหล่งค้ารองเท้ามือสองที่ใหญ่สุดในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน ขยะดังกล่าวได้ถูกกำจัดไปส่วนหนึ่งแต่ก็ไม่ทันกับปริมาณของตัวขยะ(ใหม่)ที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน เพราะตลาดของรองเท้ามือสองนั้นติดลมบนและมีมูลค่ามหาศาลไปแล้ว คำถามก็คือ เราจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาขยะรองเท้ามือสองต่อไป หรือเราจะเปลี่ยนตัวเอง ด้วยการซื้อรองเท้ามือสองให้น้อยลงหรือแม้แต่รองเท้าใหม่ก็เช่นกัน และถนอมใช้รองเท้าที่เรามีอยู่ไปจนเปื่อยขาดหมดสภาพแล้วจึงค่อยซื้อใหม่ดี   “ปัจจุบันมีโรงเท้ามือสองถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ กระจายไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ภายในตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ วันละ 6-10 ตัน เพื่อนำไปซ่อมแซม และตกแต่ง เพื่อจำหน่ายต่อไป ซึ่งจะมีชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ต้องทิ้งเป็นขยะ ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ ของรองเท้าทั้งหมด”  นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว     พิสูจน์ความสะอาดของรองเท้ามือสอง ฉลาดซื้อฉบับนี้ไปช้อปปิ้งรองเท้ามือสองจากตลาดนัดที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งของรองเท้ามือสองจำนวน 9 แห่ง โดยเลือกรองเท้าที่ไม่เหมาะกับการซัก แต่อาจต้องทำความสะอาดด้วยวิธีอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อส่องดู เชื้อโรคและเชื้อรา(standard plate count และ Mold) ว่ามีอยู่มากน้อยแค่ไหน  การทดสอบทำโดย บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด (Standard plate count / วิธีตรวจนับจุลินทรีย์มาตรฐาน) ผลการทดสอบ   วิธีทำความสะอาดรองเท้ามือสอง 1.ถ้าเป็นรองเท้าที่ซักด้วยน้ำและผงซักฟอกได้ เมื่อซื้อมาแล้วให้ซักล้างทำความสะอาด ตากแดดให้แห้งสนิท ก่อนสวมใส่ 2.รองเท้าที่ซักด้วยน้ำและผงซักฟอกไม่ได้ ควรเช็ดถูด้านในรองเท้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคหรือแอลกอฮอล์ และนำไปผึ่งแดดจัดๆ แต่ถ้าเป็นรองเท้าหนังไม่ควรผึ่งแดดจัด เพราะจะทำให้เสื่อมสภาพไวขึ้น ควรผึ่งในที่ร่มที่มีลมพัดผ่าน 3.ถ้าภายในรองเท้าเปียกชื้น การซับด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์จะช่วยดูดความชื้นออกไปได้ 4.ควรหมั่นซัก ล้าง ทำความสะอาดรองเท้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขอนามัยอันดีและป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์   -------------------------------------------------------------------------------------------- สิ่งที่อาจมากับของใช้มือสอง 1.อาการภูมิแพ้ ทั้งจากวัสดุ ฝุ่น เชื้อโรคหรือแม้แต่น้ำยาปรับผ้า น้ำยารีดผ้า 2.โรคจากเชื้อรา ชื่นชอบอากาศและความอับชื้นเป็นพิเศษ จึงเจริญเติบโตได้ดีในรองเท้าที่ไม่ค่อยได้ซักทำความสะอาด กรณีรองเท้ามือสอง หากไม่ทำความสะอาดให้ดีก่อนสวมใส่ อาจก่อให้เกิดอาการเท้าเป็นเชื้อรา คันตามบริเวณง่ามเท้า ฝ่าเท้า 3.โรคผิวหนัง เชื้อโรคเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังต่างๆ และเมื่อแบคทีเรียรวมตัวกับความเปียกชื้นจากเหงื่อก็จะทำให้เกิดปัญหากลิ่นอับ ซึ่งเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point