ฉบับที่ 254 การฉีดฟิลเลอร์ปาก

        การมีริมฝีปากอวบอิ่มลุคสาวสายฝอ (ฝรั่ง) ยังคงเป็นความนิยมแบบแรงดีไม่มีตก ดังนั้นการเดินเข้าคลินิกเสริมความงามเพื่อใช้บริการฉีดฟิลเลอร์ที่ปากถือว่าเป็นเรื่องที่ปกติมากในสมัยนี้     วิธีเสริมความงามโดยการฉีดสารฟิลเลอร์ในจุดที่ต้องการเติมเต็มถึงแม้จะช่วยให้เราสวยขึ้นดูดีขึ้นได้  แต่ต้องไม่ลืมว่า อาจมีผลข้างเคียงหรือปัญหาตามมาได้เช่นกัน เพราะหากตามข่าวคราวกันมาบ้าง อาจจะได้ยินกันบ่อยถึงการที่หลายๆ คน เข้าไปใช้บริการคลินิกเสริมความงามเพื่อฉีดฟิลเลอร์ แต่ผลที่ได้กลับกลายเป็นหน้าพังเพราะสารที่ฉีดเข้าไปไม่ได้มาตรฐาน หรือผู้ให้บริการ (คนฉีด) ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรือก็คือหมอปลอมนั้นเองรู้จักกับสารฟิลเลอร์        ฟิลเลอร์ คือ สารที่ช่วยเติมเต็มในส่วนที่ผู้รับบริการอาจรู้สึกว่าพร่องไป หรือเพื่อลดเลือนริ้วรอย เช่นรอยย่นบนใบหน้า ร่องลึกบนใบหน้า หรือใช้ในการปรับแต่งรูปหน้าก็ได้ เช่นการเพิ่มความอวบอิ่มกับริมฝีปาก ซึ่งทั่วไปแล้วประเภทของฟิลเลอร์มีดังนี้        1.ฟิลเลอร์แบบไม่ถาวรหรือชั่วคราว โดยทั่วไปจะมีอายุการใช้งานแค่เพียง 4-6 เดือนเท่านั้น จากนั้นจะสลายไปเองโดยธรรมชาติ        2.ฟิลเลอร์แบบกึ่งถาวร มีอายุนานกว่าแบบชั่วคราว และอยู่ได้นานถึง 2 ปี        3.แบบถาวร มีอายุการใช้งานตลอดไปเพราะจะไม่สลายไปตามธรรมชาติเพราะสารที่ฉีดเข้าไปมักเป็นสารซิลิโคน ซึ่งการฉีดรูปแบบนี้อาจก่อให้เกิดผลกระทบในภายหลังได้        4.ฟิลเลอร์จากไขมันตัวเอง การฉีดฟิลเลอร์รูปแบบนี้มักมีข้อเสีย คือ อาจคงตัวอยู่ได้ไม่นานนักเท่าไหร่เลือกสถานบริการ แพทย์ และฟิลเลอร์ที่ได้มาตรฐาน        -       ให้พิจารณาว่าสถานที่และผู้ให้บริการมีใบอนุญาตถูกต้องและได้รับการรับรองหรือไม่ ตรวจสอบใบอนุญาตว่าผู้ให้บริการฉีดฟิลเลอร์เป็นแพทย์จริง ตรวจสอบสถานประกอบการ ที่จะเข้าใช้บริการว่าได้รับการอนุญาตอย่างถูกต้อง สามารถตรวจสอบผ่านทางเว็บไซต์ https://checkmd.tmc.or.th/ (เว็บไซต์ตรวจสอบรายชื่อแพทย์จากฐานข้อมูลแพทยสภา)        -       สังเกตราคาของฟิลเลอร์หากมีราคาที่ถูกเกินไป ก็ให้ระวังว่าอาจจะเป็นของปลอมหรือของไม่ได้มาตรฐาน (ลองเปรียบเทียบราคาจากคลินิกหลายแห่ง)         -       หาข้อมูลชนิดฟิลเลอร์ที่จะทำการฉีดเพื่อตรวจสอบว่าได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)หรือไม่         สำคัญคือ ไม่ควรเสี่ยงกับสถานบริการที่ไม่น่าไว้วางใจ เนื่องจากเห็นว่ามีราคาที่ถูก เพราะหากเจอหมอปลอม หมอกระเป๋า อาจได้ไม่คุ้มเสีย และหากได้ทำการฉีดฟิลเลอร์ไปแล้ว ก็หมั่นสังเกตอาการให้ดี หากมีอาการผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็ควรไปพบแพทย์ทันที อย่าวางใจจนเกิดผลเสียร้ายแรง สำหรับผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์ที่ปาก วิธีดูแลตัวเอง        -        แนะนำให้ไม่สัมผัสบริเวณที่ฉีด เช่น นวดหรือกดเพราะอาจทำให้บริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์เคลื่อนที่ได้ หากมีอาการคันก็ห้ามแกะหรือเกาเด็ดขาด หากมีอาการมากกว่า 3 วันแล้วไม่หาย ให้ไปพบแพทย์ทันที        -        48 ชั่วโมงแรก ให้หลีกเลี่ยงการเข้าห้องซาวน่า เพราะอาจทำให้ผิวนั้นยืดหดตัวมากกว่าปกติ ซึ่งมีผลต่อการเซตตัวของฟิลเลอร์        -        ไม่ใช้ยาที่มีฤทธิ์ทำให้ต้านความแข็งตัวของเลือด ได้แก่ แอสไพริน ไอบูโพรเฟน และยาแก้อักเสบบางชนิด เนื่องจากในการฉีดอาจจะไปโดนเส้นเลือดขณะฉีด ซึ่งอาจทำให้เลือดหยุดไหลช้าและช้ำง่ายกว่าปกติ        -       ดื่มน้ำเยอะๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว หรือ 2 ลิตรต่อวัน  และงดการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่          -       ลดอาหารเสริมบางชนิด เช่น กระเทียม โสมและวิตามินอี เพราะอาจทำให้เกิดภาวะช้ำได้ง่ายกว่าปกติ แต่ทั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อฟิลเลอร์ที่ฉีด        -       ไม่ถอนขน หรือแว๊กซ์ในบริเวณรอบปากที่ฉีด 2-3 วัน เพราะอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองอักเสบและเสี่ยงต่อการติดเชื้อตามมาได้ ขอบคุณข้อมูลจากhttps://www.bangkokpattayahospital.com/th/healthcare-services/beauty-plastic-surgery-th/dermatology-articles-th/item/2095-filler-th.htmlhttps://www.pobpad.com/%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1https://www.phyathai.com/article_detail/1841/th/https://www.apexprofoundbeauty.com/

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 253 หนุ่มกรุงเก่าเตือนภัย ฉีดยาลดพุงกลับได้แผลลึก คลินิกดังไม่รับผิดชอบ ลุยทวงความยุติธรรมให้ถึงที่สุด

        “ความตั้งใจของผมคือ อยากให้มีความเท่าเทียมกัน ในขณะที่บุคคลทั่วไปเป็นคู่กรณีต่อสู้คดีกับนายทุน ไม่ใช่ว่านายทุนจะทำอะไรก็ได้ ปฏิเสธหมด เพราะเขามั่นใจว่าเราไม่สามารถจะทำอะไรเขาได้อยู่แล้ว ถ้าสมมติว่าผู้บริโภคอย่างเราไม่ต่อสู้จริง ๆ ผมว่าเรื่องนี้ก็จะพิสูจน์ความเป็นธรรมยากเลย”         “เราไม่ควรใช้วิธีทางลัดในการลดน้ำหนัก”         นี่เป็นบทเรียนสอนใจที่ได้จากประสบการณ์หลอนของคุณพงษ์พัฒน์ ลอมคุณารักษ์ เมื่อครั้งที่เขาไปฉีดยาสลายไขมันลดพุงแล้วต้องเจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ เพราะไปหลงเชื่อคำโฆษณาเกินจริงของคลินิกเสริมความงามชื่อดัง จนกระทั่งวันนี้เขาตัดสินใจลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมในฐานะผู้บริโภคคนหนึ่ง         คุณพงษ์พัฒน์ได้เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2564 ว่า         “ช่วงนั้นผมน้ำหนักเยอะมาก ประมาณ 97 กิโลฯ คืออึดอัด ไม่ไหวแล้ว ปกติน้ำหนักผมจะอยู่ประมาณ 80 – 85 กิโลฯ เริ่มรู้สึกไม่คล่องตัว ตอนแรกก็กังวลว่าอาจจะถึง 100 กิโลฯ ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่ค่อยได้กินอะไรมาก พอดีไปเห็นโฆษณาฉีดสลายไขมันของคลินิกชื่อดังที่พิษณุโลก ผมก็เดินทางจากสุโขทัยไปเลย” ตัดสินใจวันนั้นเลยว่าจะฉีดสลายไขมันที่หน้าท้อง         ใช่ ก่อนจะไปผมก็แชตไปสอบถามและปรึกษากับทางคลินิกนี้ ตามช่องทางที่เขามีโฆษณาทางไลน์และเฟซบุ๊ก แล้วก็ตามดูรีวิว เขาก็ว่าปลอดภัย ว่าสารที่ฉีดเข้าไปไม่มีอันตราย ไม่ตกค้าง สามารถขับออกทางปัสสาวะและทางเหงื่อเองได้ พอไปถึงคลินิก ผมก็สอบถามข้อมูลเบื้องต้นว่าตัวยาเป็นอย่างไร ซึ่งทางคลินิกเขาก็บอกว่าไม่มีอันตราย แล้วก็ไม่มีผลข้างเคียง ไม่มีการเจ็บปวด หรือว่าต้องพักฟื้นอะไร คือเขาก็เหมือนโน้มน้าวให้ผมเกิดความมั่นใจ แล้วคลินิกเขาก็ใหญ่ มีหลายสาขาด้วย เขาก็บอกว่าถ้าจองภายในวันนั้นเลย ก็จะได้ส่วนลด ในราคา 3,900 บาท จากราคาเต็มประมาณ 5,900 บาท จ่ายเงินแล้วทำได้เลย         ผมก็ตกลง เขาให้เซ็นเอกสารที่จะมีระบุคล้ายๆ ว่าถ้าเกิดมีความเสียหายหรือผลข้างเคียง คือยินยอมให้คลินิกเป็นผู้รักษา ซึ่งผมไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ เพราะตอนนั้นไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร         วันนั้นแพทย์ที่ประจำคลินิกเป็นคนฉีดยาสลายไขมันให้ผม ฉีดบริเวณหน้าท้องส่วนล่างที่เขาตีตารางไว้ก่อนแล้ว ผมซื้อโปรฯ แบบบุฟเฟต์ คือฉีดซ้ำๆ แบบไม่จำกัดซีซีเลย หมอหยิบเข็มมาแล้วก็จิ้มๆ ๆ เยอะมาก ไวมาก น่าจะ 2 - 3 นาทีเอง พอฉีดเสร็จ ผมเห็นรอยเข็มเต็มหน้าท้องไปหมดเลย แล้วสังเกตว่ามีรอยช้ำขนาดใหญ่อยู่จุดหนึ่ง ซึ่งหมอก็บอกว่ารอยช้ำนี้จะหายภายใน 3 - 4 สัปดาห์ แล้วก็ให้ผมกลับบ้านได้ ตั้งใจไปลดพุง แต่กลับได้แผลลึก         ช่วงแรกๆ  ทางคลินิกก็โทรศัพท์มาติดตามอาการและชวนให้ไปทำต่อ เขาบอกว่าถ้าอยากให้เห็นผลดียิ่งขึ้นต้องฉีดทุกอาทิตย์ แล้วทุกครั้งที่ฉีดก็ต้องจ่ายเท่าเดิม แต่ผมก็บอกว่าอยากรอให้รอยช้ำหายก่อน         ผ่านไปประมาณ 4 เดือน ในวันที่ 1 ตุลาคม  ผมก็ติดต่อไปที่คลินิกทางไลน์ ส่งรูปให้ดูว่ารอยช้ำยังไม่หายและเหมือนจะแดงขึ้นด้วย แล้วเขาก็นัดให้ไปที่คลินิกในช่วงบ่ายวันนั้นเลย คุณหมอมาตรวจแล้วก็ให้ขึ้นนอนเตียง ใช้เข็มดูดตรงรอยช้ำที่เหมือนจะมีก้อนๆ ตรงหน้าท้อง ตอนนี้ผมไม่เห็น แต่ผมได้ยินว่าหมอน่าจะโทรศัพท์ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญสักคน พอวางสาย หมอก็มาบอกขอกรีดนะ หลังจากฉีดยาชาแล้วหมอก็กรีดบริเวณหน้าท้องประมาณ 1-2 เซนติเมตร เหมือนเอาอะไรบางอย่างออกมา ทางคลินิกถ่ายวิดีโอไว้ จากนั้นหมอก็ยัดก็อซเดรนเข้าไปในรูหน้าท้อง แล้วก็ปิดแผลไว้ ผมถามว่าผมเป็นอะไร หมอบอกว่าเป็นหนอง ผมถามว่าเป็นได้ยังไง หมอก็ไม่บอก พูดแต่ว่าคลินิกจะรับผิดชอบทุกอย่าง ไม่ต้องกลัว สบายใจได้ ตอนหลังคลินิกบอกปัดความรับผิดชอบ         ตอนแรกผมก็งงนะ เพราะวันนั้นหมอบอกว่าต้องมาล้างแผลทุกวัน แต่ผมอยู่สุโขทัยก็บอกไปว่าไม่สะดวก หมอก็บอกว่าให้ล้างแผลที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือมานอนโรงพยาบาลเอกชนที่พิษณุโลกก็ได้ ทางคลินิกจะออกค่าใช้จ่ายให้ ซึ่งผมขอกลับบ้านมาปรึกษากับครอบครัวก่อน         วันที่ 2 ตุลาคม ตอนนั้นโรงพยาบาลสุโขทัยน้ำท่วม ผมก็เลยไปหาหมอที่คลินิกแห่งหนึ่งซึ่งมีใบอนุญาตถูกต้อง แล้วผมแจ้งค่าใช้จ่ายตามจริงไป 1,300 บาท คือ 800 เป็นค่ายา ฉีดยา ล้างแผล แล้วก็ค่าวินิจฉัยโดยอัลตราซาวด์ที่หน้าท้องพบว่าเกิดการอักเสบในชั้นไขมัน ส่วนอีก 500 บาทเป็นค่าน้ำมันรถ เขาก็รับผิดชอบโอนมาให้ทั้งหมด และย้ำว่าพรุ่งนี้ให้ไปล้างแผลอีก แล้วจะขอติดตามอาการด้วย         ผมเห็นเขารับผิดชอบจริง ผมก็คุยกับที่บ้านว่าน่าจะไปนอนโรงพยาบาลตามที่คลินิกแนะนำ แต่ยังไม่ทันได้แจ้งไปเลย วันรุ่งขึ้นเขาก็โทรศัพท์มาบอกว่าเขาไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากการกระทำของคลินิก ให้ผมไปรักษาตัวเอง เขาจะไม่รับผิดชอบอะไรอีกแล้ว ตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้คิดอะไร ขอรักษาตัวให้หายก่อน ไปแจ้งความแต่กลับโดนคลินิกข่มขู่กลับ         ผมปรึกษาทางแพทยสภาก่อน ฝ่ายจริยธรรมและฝ่ายกฎหมายเขาก็แนะนำให้ผมไปยื่นเรื่องร้องเรียนที่สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก หลังจากที่ผมไปแจ้งแล้วทางเจ้าหน้าที่ก็ไปตรวจสอบ เบื้องต้นก็พบว่ามีความบกพร่องและถูกเปรียบเทียบปรับเกี่ยวกับเรื่องการโฆษณาเกินจริงไปแล้ว จากนี้ก็จะดำเนินคดีในส่วนของมาตรฐานการรักษาต่อไป ซึ่งในรายละเอียดของคดีตรงนี้ผมไม่แน่ใจ แต่ทางสสจ.พิษณุโลกส่งใบแจ้งผลมาให้ผมว่าได้ดำเนินการตรวจสอบพบว่ามีความผิดจริง         ผมปรึกษาทางสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคด้วย เขาแนะนำมาว่าให้สาธารณสุขทำเป็นใบความเห็นออกมา แล้วก็แจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดี ให้ตำรวจส่งฟ้อง แล้วอัยการเขาจะดำเนินการให้ พอผมรักษาตัวประมาณ  21 วัน แผลเริ่มแห้ง ผมก็ไปแจ้งความกับตำรวจให้ดำเนินคดีทางคลินิกในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผมได้รับอันตรายสาหัส         วันที่ตำรวจนัดมาคุย คลินิกเขาก็ส่งทนายความมา ก็ปฏิเสธเหมือนเดิมว่าไม่ใช่ความผิดจากเขา แถมยังข่มขู่อีกว่าให้ผมยอมความ ถ้าไม่ยอมความ เขาก็จะดำเนินคดีกลับ เขาพูดทำนองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นคล้ายกับเป็นโชคร้ายของผมเอง ให้ผมยอมรับสภาพความเจ็บปวดหรือสิ่งที่สูญเสียไปนี้เอง แล้วให้จบกันไป ไม่มีเรื่องราวต่อกัน คือผมคิดว่ามันไม่เป็นธรรม แล้วหลังจากนั้นทางคลินิกก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาอีกเลย ตอนนี้ความคืบหน้าทางคดีเป็นยังไงบ้าง         ผมไปแจ้งความที่ สภอ.เมืองพิษณุโลก ที่คลินิกตั้งอยู่ ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2564 ทางตำรวจได้ตรวจสอบพยานหลักฐานและสอบพยานที่อยู่ในเหตุการณ์แล้ว เขาบอกว่าต้องรอผลจากแพทยสภา โดยไม่ได้บอกระยะเวลา ผมก็โทรไปปรึกษาทางแพทยสภา เขาก็บอกว่าจริงๆ เรื่องนี้เป็นดุลยพินิจของตำรวจที่สามารถจะดำเนินคดีได้เลย เพราะแพทยสภาก็ได้รับเรื่องนี้ไว้สอบเรื่องจริยธรรมของแพทย์แล้ว         ผ่านมาหลายเดือนเรื่องยังไม่คืบ ผมก็เลยไปปรึกษาที่ตำรวจจังหวัดพิษณุโลก เขาก็แนะนำว่าถ้าเรื่องช้าก็ให้ยื่นคำร้องเพื่อให้สอบพนักงานสอบสวนได้ แต่ผมไม่มีเจตนาแบบนั้นอยู่แล้ว แค่อยากหาทางออกว่าจะทำยังไงต่อไปดี หลังจากนั้นทางตำรวจก็ส่งเอกสารกลับมาแจ้งว่าได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว และทางร้อยเวรก็โทร.มารับปากว่าเขาจะดำเนินการให้ แต่อีกใจก็กลัวว่าเรื่องจะไม่ไปถึงไหน เพราะเหมือนมาหยุดอยู่ที่รอแพทยสภา เรื่องไม่ไปถึงชั้นอัยการ ซึ่งจะส่งฟ้องหรือไม่ส่งฟ้อง ไม่อยากปล่อยผ่านผมร้องเรียนทุกหน่วยงาน         ตอนแรกผมก็ลองสอบถามพี่ที่รู้จักและเสิร์ชในกูเกิลว่ามีหน่วยงานไหนที่จะให้ความเป็นธรรมแล้วก็ช่วยเหลือผมได้บ้าง ผมก็ไปปรึกษาศูนย์ดำรงธรรม สคบ. สำนักอัยการคุ้มครองสิทธิ  สำนักงานยุติธรรมจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด แพทยสภา และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ทุกหน่วยงานก็รับเรื่องไว้และให้คำแนะนำตลอดเลยครับ แล้วผมก็ยังหาข้อมูลทางอินเทอร์เนตเอาไว้ เพื่ออยากให้เรื่องนี้เกิดความเป็นธรรม แล้วก็เกิดการพิสูจน์หาความจริงมากที่สุด ผมไม่อยากปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ไม่อยากให้เกิดกับคนอื่นอีก         ผมไปร้องเรียนในเพจเฟซบุ๊กของพิษณุโลก และออกข่าวช่อง PPTV 36 ด้วย จนมีคนทักมาส่วนตัวสอบถามว่าผมไปทำมาจากที่ไหน เขากลัวว่าถ้าไปทำแล้วจะเป็นแบบผม เพราะตอนนี้คลินิกก็ยังเปิดปกติ แล้วก็ยังมีโปรโมชันฉีดสลายไขมันแบบนี้อยู่ด้วย แผลนี้มีผลกระทบกับชีวิตยังไงบ้าง         ตอนนี้แผลแห้งแล้วมีรอยแผลเป็น หมอก็บอกไม่ได้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่เหมือนเป็นปมอยู่ในใจผมตลอด เพราะช่วง 1 เดือนที่ต้องไปรักษาต่อเนื่องที่โรงพยาบาลสุโขทัย ผมรู้สึกแย่มาก เพราะมันเป็นแผลเปิด พอขยับตัวมาก พวกน้ำเลือดน้ำหนองก็จะซึมออกมาเปื้อนผ้าที่ปิดไว้ ผมกลายเป็นคนวิตกกังวล ทำงานอะไรไม่ได้เลย ไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ เพราะจะเจ็บมาก อาบน้ำก็ไม่ได้ นอนหงายก็ไม่ได้ ผมเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเลย ซึ่งค่าความเจ็บปวดและความทรมานที่ผมได้รับนี้ตีเป็นราคาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ         ผมตั้งใจจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด อยากจะให้เรื่องนี้ตีแผ่เพื่อเตือนและเป็นอุทาหรณ์ให้กับทั้งคนที่จะไปฉีดและคลินิกด้วย อยากให้เป็นกรณีศึกษาแก่สถานประกอบการที่เปิดบริการแบบนี้ ว่าน่าจะมีมาตรการออกมาดูแล ติดตามผลและรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของคนที่จะไปฉีดด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้เสียหายมารับชะตากรรมเองแบบนี้ ซึ่งผมว่ามันไม่ถูกเลย         เมื่อเรื่องนี้เป็นข่าวออกไป ทางแพทยสภาก็แจ้งว่าเมื่อวันที่ 1 เมษาที่ผ่านมา ได้นำเรื่องนี้มาเป็นวาระเร่งด่วน ตั้งอนุกรรมการขึ้นมาสอบสวนแพทย์ที่ทำการฉีด ในเรื่องจริยธรรม เพราะเบื้องต้นเขาก็มีความเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะมีมูล ก็ให้แพทย์มาชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าผิดจริงตามที่ยื่นฟ้องไป ก็อาจจะต้องลงโทษ แล้วก็มีมาตรการออกมาป้องกัน เพื่อไม่ให้มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นมาอีก         “ความตั้งใจของผมคือ อยากให้มีความเท่าเทียมกัน ในขณะที่บุคคลทั่วไปเป็นคู่กรณีต่อสู้คดีกับนายทุน ไม่ใช่ว่านายทุนจะทำอะไรก็ได้ ปฏิเสธหมด เพราะเขามั่นใจว่าเราไม่สามารถจะทำอะไรเขาได้อยู่แล้ว ถ้าสมมติว่าผู้บริโภคอย่างเราไม่ต่อสู้จริง ๆ ผมว่าเรื่องนี้ก็จะพิสูจน์ความเป็นธรรมยากเลย” 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 249 แม่อุ๊ยป่วยหลังฉีดวัคซีนโควิด-19 ขอเยียวยาค่ารักษา

        ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ข้อมูลว่าหากใครฉีดวัคซีนโควิด-19 ยี่ห้อที่รัฐบาลจัดสรรให้แล้วเกิดอาการแพ้และอาการไม่พึงประสงค์ ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงขั้นเสียชีวิต ในทุกกรณีที่สงสัยว่าได้รับผลกระทบจากวัคซีนนี้ ให้ยื่นคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นไปก่อนได้ แต่อาจไม่ได้รับการเยียวยาทุกกรณี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมติของคณะอนุกรรมการฯ ที่จะพิจารณาโดยใช้ความเชี่ยวชาญของแพทย์ ดูจากประวัติ จากข้อมูลต่างๆ ประกอบกันด้วย         แม่อุ๊ยวันดี อยู่ที่ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ เป็นหนึ่งในผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีนเข็มแรกที่โรงพยาบาลฮอดไปได้ประมาณ 2 สัปดาห์ วันนั้นแม่อุ๊ยเริ่มรู้สึกเวียนหัว ร้อนตามตัว พอลุกมาเข้าห้องน้ำตอน 3 ทุ่ม ก็เป็นลมล้มหมดสติไป หลานจึงพาไปโรงพยาบาลฮอด แต่อาการแม่อุ๊ยไม่ดีขึ้นจึงถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลมหาราชทันที และนอนรักษาตัวอยู่ 2 คืน คุณหมอวินิจฉัยว่าแม่อุ๊ยวันดีเป็นเส้นเลือดตีบที่หัวใจ ต้องเจาะที่ต้นคอและต้นขา และกินยาต่อเนื่อง จากนั้นก็ถูกส่งตัวมานอนรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลจอมทองอีกคืนหนึ่งจึงกลับบ้านได้ โดยหมอนัดมาตรวจอาการอีกทุกๆ 2 อาทิตย์ เป็นเวลา 1 ปี           ทุกวันนี้แม่อุ๊ยวันดีได้เงินเบี้ยผู้สูงอายุ 700 บาทและหลานให้อีก 500 บาทเท่านั้น อาการเจ็บป่วยทำให้แม่อุ๊ยได้รับความเดือดร้อนมาก เพราะไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดีอย่างเมื่อก่อน และยังต้องเสียค่ารักษาพยาบาลต่อเนื่องด้วย  จึงได้ให้หลานร้องเรียนมายัง เครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดเชียงใหม่ ว่า ตนเองจะเรียกร้องค่าเยียวยาจากไหนได้บ้างไหม เพื่อมาจ่ายค่ารักษาอาการป่วยต่อเนื่องนี้ แนวทางการแก้ไขปัญหา         เครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดเชียงใหม่ แนะนำให้ ครอบครัวแม่อุ๊ยวันดีเตรียมข้อมูลสำหรับยื่นขอรับเงินช่วยเหลือจากการได้รับผลกระทบหลังฉีดวัคซีนแล้ว โดยทำตามขั้นตอนที่ สปสช.ประกาศไว้ในเอกสารวิธียื่นคำร้องขอรับ “เงินช่วยเหลือเบื้องต้น” ที่ต้องยื่นภายใน 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ทราบความเสียหาย         ผู้มีสิทธิยื่นคำร้อง คือ ผู้เสียหายหรือทายาท ถ้าไม่มีทายาท ผู้อุปการะหรือผู้ดูแลใกล้ชิดกันมาต่อเนื่องพอสมควร หรือหน่วยบริการที่ให้บริการ สามารถยื่นคำร้องแทนได้ โดยต้องเตรียมเอกสารประกอบ ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชน  ความเห็นจากแพทย์ที่รักษาและการหยุดพักงาน  บันทึกเหตุการณ์ก่อนและหลังฉีดจนมีอาการข้างเคียง หรือสำเนาใบมรณบัตร(กรณีที่เสียชีวิต) ไปยื่นได้ที่โรงพยาบาลที่ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19  สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.) หรือสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สาขาเขตพื้นที่ (13 เขต ทั่วประเทศ)         หลังจากยื่นคำร้องแล้ว หากคณะอนุกรรมการฯ ภายใต้ สปสช. พิจารณาลงมติว่าเห็นชอบที่จะจ่ายเงินช่วยเหลือให้ ทางสปสช.จะโอนเงินเข้าบัญชีภายใน 5 วัน หลังจากมีมติ โดยอัตราการจ่ายช่วยเหลือเบื้องต้น คือ เสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวร ไม่เกิน 400,000 บาท เสียอวัยวะ/พิการ ไม่เกิน 240,000 บาท บาดเจ็บ/บาดเจ็บต่อเนื่อง ไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้หากไม่เห็นด้วยกับผลการวินิจฉัย สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 246 รู้เท่าทันการฉีดวัคซีนโควิด-19 สลับชนิด

        ขณะนี้นโยบายการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของประเทศไทยให้ใช้การฉีดวัคซีนสลับชนิด โดยเข็มที่ 1 เป็นวัคซีนซิโนแวค เข็มที่ 2 เป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า หรือ อาจเป็นวัคซีนทางเลือก เช่น ไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา ทำให้ประชาชนจำนวนมากกังวลว่า การฉีดวัคซีนสลับชนิดจะเกิดประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะมีหมอบางคนออกมาคัดค้านการฉีดวัคซีนสลับชนิดดังกล่าว เรามารู้เท่าทันกันเถอะ ประเทศทางยุโรปเริ่มใช้มาตรการฉีดวัคซีนสลับชนิด         ในขณะนี้ ทั่วโลกมีการฉีดวัคซีนไปกว่า 1.2 พันล้านโดสแล้ว และเริ่มมีบางประเทศแนะนำให้มีการฉีดวัคซีนสลับชนิด โดยเข็มแรกเป็นวัคซีนชนิดหนึ่ง และเข็มที่ 2 เป็นวัคซีนอีกชนิดหนึ่ง         มาตรการดังกล่าวเริ่มจากประเทศฝรั่งเศสและเยอรมัน ที่ผู้รับวัคซีนเข็มแรกเป็นแอสตร้าเซนเนก้าแล้วมีอาการของลิ่มเลือดอุดตัน จึงให้ฉีดวัคซีนเข็มสองเป็นวัคซีนอีกชนิดเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของวัคซีน พบว่า การฉีดวัคซีนสลับชนิดทำให้มีภูมิต้านทานเชื้อโควิด-19 เหมือนหรือสูงกว่าการฉีดวัคซีนชนิดเดียว และทำให้การกระจายการฉีดวัคซีนสามารถทำได้ง่ายและมากขึ้น การฉีดวัคซีนสลับชนิดไม่ใช่เรื่องใหม่ มีประโยชน์         การใช้วัคซีนสลับชนิดเริ่มมีมาตั้งแต่ทศวรรษในปีค.ศ. 1990-1999 โดยใช้ในนักวิจัยเรื่องเอชไอวี         นอกจากนี้ การใช้วัคซีนสลับชนิดยังช่วยหลีกเลี่ยงภูมิต้านทานที่มีต่อวัคซีน ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง และยังทำให้ภูมิต้านทานเชื้อโรคหรือโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นและอยู่ได้นานขึ้น         อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนสลับชนิดนั้นต้องมีการประเมิน เพราะในขณะนี้ ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 สลับชนิดมากเพียงพอ และต้องประเมินผลด้านความปลอดภัยในการใช้ โดยเฉพาะการใช้วัคซีน mRNA (ของไฟเซอร์และโมเดอร์นา) สลับกับวัคซีนที่ใช้อดีโนไวรัส (ของแอสตร้าเซนเนก้า) ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อน         การฉีดวัคซีนแบบสลับชนิด อาจช่วยในการต่อสู้กับการกลายพันธุ์ของไวรัส เพราะทำให้เกิดภูมิต้านทานกว้างขึ้น ซึ่งช่วยในการป้องกันไวรัสที่กลายพันธุ์ได้ดีขึ้น ประสิทธิผลของการฉีดวัคซีนสลับชนิด         มีการศึกษาเบื้องต้นในหลายประเทศ เช่น ในสเปน ศึกษาในอาสาสมัคร 600 คน  ในสหราชอาณาจักร ศึกษาในอาสาสมัคร 830 คน พบว่า มีภูมิต้านทานสูงกว่าการรับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเพียงอย่างเดียว แต่เนื่องจากเป็นการศึกษาในจำนวนอาสาสมัครที่น้อย และระยะเวลาสั้น จึงต้องติดตามผลต่อไป องค์การอนามัยโลกแนะนำให้หน่วยงานด้านสุขภาพเป็นผู้พิจารณา         องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า ไม่ควรให้แต่ละคนเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเลือกฉีดวัคซีนแบบสลับชนิดหรือไม่ด้วยตนเอง แต่ขอให้หน่วยงานด้านสุขภาพของแต่ละประเทศเป็นผู้พิจารณาและกำหนดแนวทางบนพื้นฐานข้อมูลที่มีอยู่ ขณะนี้ ยังต้องรอข้อมูลการประเมินผลการฉีดวัคซีนแบบสลับชนิด การศึกษาภูมิต้านทาน และความปลอดภัย         สำหรับประเทศไทย การฉีดวัคซีนสลับชนิดไม่ใช่เกิดจากวัคซีนที่ฉีดไม่มีคุณภาพ จึงต้องเปลี่ยนวัคซีน แต่เพราะมีการศึกษาว่า การฉีดวัคซีนสลับชนิดจะมีประสิทธิผลเพิ่มมากขึ้นจาการฉีดวัคซีนชนิดเดียว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 245 รู้เท่าทันผลไม่พึงประสงค์ของวัคซีนโควิด-19

        เดือนมิถุนายน เป็นช่วงการเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 กันอย่างเร่งด่วน เพื่อที่จะสร้างภูมิคุ้มกันในหมู่ประชาชนไทยให้มากที่สุด มีข่าวต่างๆ มากมายว่า วัคซีนที่ไทยใช้นั้นไม่ดี ไม่ปลอดภัยเท่ากับของอเมริกา และมีผู้เสียชีวิตหลังการฉีดวัคซีนในประเทศไทยจำนวนมาก ทำให้คนไทยกลัวการฉีดวัคซีน อยากได้วัคซีนที่ปลอดภัยกว่านี้ มารู้เท่าทันผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนแต่ละชนิดกันเถอะ รายงานอาการไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีนโควิดในสหรัฐอเมริกา        ในอเมริกาจะมีระบบรายงานอาการไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีนโควิด ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดยทุกๆ วันศุกร์ จะรายงานต่อสาธารณชนเกี่ยวกับอาการไม่พึงประสงค์ของวัคซีนทุกชนิด         ข้อมูลระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2563 – 28 พฤษภาคม 2564 มีการรายงานว่า         อาการไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีนโควิดมีจำนวนทั้งหมด 294,801 ราย จากการฉีดวัคซีนทั้งหมด 292.1 ล้านโดส คิดเป็นร้อยละ 0.1         ในจำนวนนี้ เป็นวัคซีนโมเดอร์นา 123 ล้านโดส เป็นวัคซีนไฟเซอร์ 158 ล้านโดส และวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน 11 ล้านโดส         มีอาการไม่พึงประสงค์รุนแรง 25,359 ราย มีผู้เสียชีวิตหลังการฉีดวัคซีน 5,165 ราย         โดยร้อยละ 24 เสียชีวิตหลังการฉีดภายใน 48 ชั่วโมง ร้อยละ 38 เสียชีวิตหลังการฉีดภายใน 24 ชั่วโมง ที่เกิดในผู้ที่ได้รับวัคซีนและป่วยภายใน 48 ชั่วโมง         ร้อยละ 52 ที่เสียชีวิตเป็นผู้หญิง ร้อยละ 45 เป็นผู้ชาย ที่เหลือไม่ได้ระบุเพศ         อายุเฉลี่ยที่เสียชีวิตคือ 74.4 ปี         ร้อยละ 17 ที่เสียชีวิต เกี่ยวกับความผิดปกติของหัวใจ         หญิงที่ตั้งครรภ์ 1,831 ราย เกิดอาการไม่พึงประสงค์ ในจำนวนนี้ มี 596 รายที่แท้งหรือคลอดก่อนกำหนด         เกิดอาการอัมพาตของใบหน้า (Bell’s Palsy) 2,876 ราย เป็นวัคซีนไฟเซอร์ ร้อยละ 41 วัคซีนโมเดอร์นา ร้อยละ 41 และวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ร้อยละ 9         มีรายงานการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน 5,159 รายงาน  จากวัคซีนไฟเซอร์ 2,213 รายงาน จากวัคซีนโมเดอร์นา 1,617 รายงาน และจากวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน 1,289 รายงาน         มีรายงานการเกิดการอาการแพ้รุนแรง 83,684 รายงาน จากวัคซีนไฟเซอร์ ร้อยละ 40 จากวัคซีนโมเดอร์นา ร้อยละ 51 และจากวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ร้อยละ 9     รายงานอาการไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีนโควิดในไทย         เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2564 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วประเทศ สะสม 7,003,783 โดส แล้ว ฉีดเข็มแรก 5,114,755 ราย เข็มสอง 1,889,028 ราย         พบอาการไม่พึงประสงค์ ทั้งวัคซีนซิโนแวค และแอสตร้าเซเนก้า         มีผู้เสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน 68 ราย โดยจำนวน 13 ราย ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับวัคซีน อีก 55 รายรอการพิจารณา         เป็นการฉีดวัคซิโนแวค 3,214,385 โดส มีอาการไม่พึงประสงค์ 993 ราย (เฉพาะที่ต้องนอนโรงพยาบาล) คิดเป็น 20 ราย ต่อ 1 แสนโดส  พบมากที่สุดคือ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ อาเจียน ผื่น         เป็นวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า 1,943,693 โดส พบอาการไม่พึงประสงค์ที่รับรักษา 472 ราย คิดเป็น 24 ราย ต่อ 1 แสนโดส พบมากคือ อาการไข้ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ถ่ายเหลว         สรุป  วัคซีนที่เชื่อว่าดีที่สุดนั้น มีอาการไม่พึงประสงค์เช่นเดียวกัน และอาจมีมากกว่าวัคซีนที่ฉีดในไทยอย่างเห็นได้ชัด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 212 จดหมายถึงบอกอ

ความต่างของผงปรุงรสกับผงชูรส ดิฉันเคยเขียนไปรษณียบัตรถาม มีความสงสัยเรื่องผงปรุงรสที่ว่าไม่ใช่ผงชูรส แต่อ่านส่วนผสมก็มีโมโนโซเดียมกลูตาเมต ช่วยขยายความด้วย ประเด็นนี้เคยถามไปนาน ไม่มั่นใจว่ากี่ปี ลืมแล้ว แต่ติดตามทางนิตยสารก็ยังไม่มี หรือตอบไปแล้ว ดิฉันลืมอ่าน แล้วผงปรุงรสมีผลเสียอย่างไรบ้างไหมคะ หมายถึงปริมาณที่แนะนำให้บริโภคคงไม่มีโทษ แต่ความจริง แม่ค้าขายอาหารน่าจะใส่ผงปรุงจำนวนมากกว่าปริมาณแนะนำเพื่อให้มีรสอร่อยมาก ถ้าผลิตมาจากเนื้อสัตว์ ใส่มากๆ ก็แค่เพิ่มต้นทุน และได้ความอร่อยเพิ่ม ไม่ได้รับส่วนปรุงรสที่เป็นอันตราย อย่างนี้ไหมคะวงษ์จันทร์ต้องขออภัยด้วยที่ไม่ได้ตอบคำถาม อย่าเพิ่งโกรธกันเสียก่อนนะคะ พอดีฉลาดซื้อเปลี่ยนแอดมินเพจเฟซบุ๊กและเว็ปไซต์เลยอาจจะมีอะไรผิดพลาดไปบ้าง  ผงชูรส หรือ โมโนโซเดียมกลูตาเมต (MSG) คือ วัตถุปรุงแต่งอาหารที่ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น มันสำปะหลัง หรือ อ้อย นำมาผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อตกผลึกกลายเป็นผงชูรส มีคุณสมบัติทำให้อาหารมีรสชาติดีขึ้น หากใส่ในปริมาณที่พอดีจะให้รสอูมามิในอาหาร ส่วน ผงปรุงรส คือ การนำเอาเครื่องปรุงรสอาหารต่างๆ มาหมักรวมกับเนื้อสัตว์ นำไปต้มและอบแห้งทำให้เป็นผง ซึ่งผงปรุงรสเองอาจจะมีส่วนประกอบของผงชูรสหรือไม่มีเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของผงปรุงรส ต้องอ่านฉลากให้ดีค่ะ ผงปรุงรสมีผลเสีย ตรงที่มีปริมาณโซเดียมสูง ผู้ที่มีปัญหาภาวะความดันโลหิตสูง โรคไต ควรหลีกเลี่ยง หรือรับประทานให้น้อยลงค่ะ   ผลิตภัณฑ์ฉีดพ่นคอ พวกยาฉีดพ่นคอ ระงับอาการระคายเคือง ที่ทำให้ไอ กระแอม ตัวนี้พ่นบ่อยๆ จะมีอันตรายไหมคะ Kanokporn Vongpradit Mouth Spray ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเคลมว่าเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ไม่น่าจะมีอันตราย อย่างไรก็ตาม หากพ่นบ่อยๆ โดยไม่ได้มีอาการระคายเคือง อาจเป็นการใช้ผลิตภัณฑ์เกินความจำเป็น และเสียเงินโดยใช้เหตุค่ะ เปลี่ยนมาเป็นจิบน้ำบ่อยๆ หรือใช้พวกยาอมหรือเม็ดอมสมุนไพร ก็ช่วยให้ชุ่มคอได้เช่นกัน 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 206 ฉีดเลือด เพื่อผิวอ่อนเยาว์

ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้กาลเวลาพรากความอ่อนเยาว์ของผิวหน้าไป จึงสรรหาสารพัดวิธีมาเอาชนะปัญหาดังกล่าว โดยหนึ่งในวิธีที่ยังได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลายก็หนีไม่พ้น “การฉีดเลือดเพื่อผิวอ่อนเยาว์” ซึ่งจะมีข้อมูลน่าสนใจหรือให้ผลลัพธ์ได้อย่างที่หลายคนปรารถนาหรือไม่นั้น เราลองไปหาคำตอบกันฉีดเลือดเพื่อผิวอ่อนเยาว์ คืออะไรหลักการฉีดเลือดเพื่อให้ผิวอ่อนเยาว์ขึ้นนั้น คือการนำเลือดตัวเองมาปั่นเพื่อให้ได้เกล็ดเลือด ที่เรียกว่า Growth Factors (โกรท แฟคเตอร์) ซึ่งเป็นสารที่สามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติในร่างกายของสิ่งมีชีวิต และมีความสามารถกระตุ้นให้เซลล์มีการเพิ่มจำนวนหรือเจริญเติบโตได้ โดยหลังจากได้เกล็ดเลือดดังกล่าวแล้ว ก็จะฉีดกลับเข้าไปที่ผิวหน้าในบริเวณที่ต้องการ เช่น ริ้วรอยเหี่ยวย่นต่างๆ บนผิวหน้า ทั้งนี้สถาบันเสริมความงามหลายแห่งที่นำวิธีการนี้มาบริการ อาจใช้ชื่อที่แตกต่างกันไป เช่น PRP (Platelet-Rich Plasma) หรือ Vampire Facelift เป็นต้น รวมทั้งบางแห่งอาจมีการผสมสารอื่นๆ เช่น คอลลาเจน/ อีลาสติน หรือใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งมักโฆษณาว่าการฉีดเลือดกลับเข้าไปที่ผิวนั้นสามารถทำให้ผิวกระจ่างใส ดูอ่อนวัย และสามารถให้ผลลัพธ์ได้ 1 – 2 ปี นอกจากนี้ยังมีความปลอดภัยสูงอีกด้วยฉีดเลือด ปลอดภัยสูงจริงหรือแม้การฉีดเลือดด้วยโกรท แฟคเตอร์ เพื่อการเสริมความงาม จะถูกโฆษณาถึงผลดีมากมายตามที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น แต่ในทางกลับกันกลับพบว่าวิธีการดังกล่าว ยังไม่ได้รับการยอมรับทางการแพทย์และยังถือว่าไม่ใช่วิธีการรักษาที่เป็นไปตามมาตรฐาน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ภาวะแทรกซ้อนหรือการติดเชื้อได้ โดยสามารถก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวหนังอักเสบบริเวณ ข้อบวมอักเสบ เกิดสิวหรือหนอง รวมทั้งยังทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งโลหิตได้ ส่งผลให้วิธีการดังกล่าวมักถูกใช้เพื่อรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะร่างกายขาดเกล็ดเลือด เกล็ดเลือดต่ำหรือโรคไข้เลือดออกเท่านั้นตรวจสอบ ก่อนรับบริการแน่นอนว่าการฉีดเลือด เพื่อหวังผลให้ผิวอ่อนเยาว์นั้นจะยังคงมีอยู่ และอาจเปลี่ยนชื่อเรียกไปเรื่อยๆ ดังนั้นผู้บริโภคอย่างเรา จึงควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสถาบันเสริมความงามที่เรากำลังจะเข้ารับบริการนั้น มีความปลอดภัยจริง โดยที่ผ่านมากรมสนับสนุนบริการสุขภาพได้ออกประกาศ เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขและค่าใช้จ่ายในการโฆษณาหรือประกาศเกี่ยวกับสถานพยาบาล เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับบริการในด้านระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ปลอดภัยและไม่โฆษณาโอ้อวดเกินจริง ซึ่งผู้บริโภคสามารถสอบถามไปยังกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ว่าสถานบริการเสริมความงามดังกล่าว ได้รับอนุญาตให้โฆษณาข้อมูลหรือโปรโมชั่นต่างๆ หรือไม่ ผ่านทางเบอร์โทรศัพท์ 02-1397041 หรือที่เว็บไซต์ http://hss.moph.go.th/index2.phpทั้งนี้การโฆษณาดังกล่าว หมายถึง การกระทำไม่ว่าโดยวิธีใดๆ ให้ประชาชน เห็น ได้ยิน หรือทราบ ข้อความ เสียง หรือภาพ เพื่อประโยชนทางการค้า ซึ่งต้องขออนุมัติจากผู้อนุญาตก่อนจึงจะเผยแพร่ได้ทั้งนี้การโฆษณาดังกล่าว หมายถึง การกระทำไม่ว่าโดยวิธีใดๆ ให้ประชาชน เห็น ได้ยิน หรือทราบ ข้อความ เสียง หรือภาพ เพื่อประโยชนทางการค้า ซึ่งต้องขออนุมัติจากผู้อนุญาตก่อนจึงจะเผยแพร่ได้ (รวมทั้งการติดประกาศในลิฟต์ เสียงตามสาย สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ) และหากพบว่าการโฆษณาดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่ หรือเข้าข่ายเป็นเท็จ หรือโอ้อวดเกินจริง หรือน่าจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญ เกี่ยวกับการประกอบกิจการของสถานพยาบาล จะถือว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ.2541 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 พ.ศ.2559 ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทและให้ปรับอีกวันละไม่เกิน 1 หมื่นบาท จนกว่าจะระงับการโฆษณา หรือหากมีการโฆษณาโอ้อวดเกินจริง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ปรับอีกวันละไม่เกิน 1 หมื่นบาทจนกว่าจะระงับการโฆษณา

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง

ร่วมสนับสนุนเราให้มีทุนทดสอบต่อเนื่อง สมัครสมาชิก อ่านรายละเอียดคลิกที่นี่สมาชิกที่กำลังมองหาตัวช่วยในการทำความสะอาด ไม่ว่าจะล้างรถ ล้างแอร์ หรือล้างพื้นบ้าน โปรดฟังทางนี้ เรามีผลทดสอบเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงที่องค์กรผู้บริโภค CHOICE ของออสเตรเลียได้ทำไว้มาฝากกัน อุปกรณ์ที่ว่านี้อาจราคาไม่ถูกนักแต่ถ้าเทียบกับเงินที่เราประหยัดได้จากการซื้อบริการทำความสะอาดในแต่ละครั้ง รวมกับการใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วก็ถือว่าน่าลงทุนไม่น้อย  CHOICE แบ่งการให้คะแนนออกเป็นสามด้านได้แก่ ประสิทธิภาพในการทำความสะอาด ความสะดวกในการใช้งาน และความดังของเสียงขณะใช้งาน ทุกด้านมีคะแนนเต็ม 100 แต่คะแนนรวมจะคิดจากประสิทธิภาพ (ร้อยละ 60) และความสะดวกในการใช้งาน (ร้อยละ 40) เท่านั้น  • ราคาที่แสดงเป็นการแปลงค่าจากเงินเหรียญออสเตรเลีย  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า500 Point

ฉบับที่ 201 การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะทำให้เป็นโรคความจำเสื่อมจริงหรือ

หลายคนไม่กล้าฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เพราะกลัวว่าจะเกิดโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ เนื่องจากมีเว็บไซต์ของการแพทย์ทางเลือกหลายเว็บไซต์จากต่างประเทศกล่าวถึงผลข้างเคียงที่เกิดจากการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ทำให้ผู้สูงอายุซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเป็นไข้หวัดใหญ่ยอมเป็นไข้หวัดใหญ่ดีกว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่คืออะไรวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นวัคซีนที่ใช้ฉีดปีละครั้ง และต้องฉีดทุกปี วัคซีนนี้ป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่กระทบต่อทางเดินหายใจส่วนบนเป็นหลัก ซึ่งมีอาการไข้ ไอ บวม และอาจเกิดอาการปอดอักเสบหรือที่เราเรียกกันทั่วไปว่า ปอดบวม  ทุกปีวัคซีนนี้ต้องคัดเชื้อที่คิดว่าจะเกิดการระบาดในปีนั้น และสามารถป้องกันเชื้อไข้หวัดได้ประมาณร้อยละ 70 เนื่องจากเชื้อไข้หวัดใหญ่มีมากกว่า 200 สายพันธุ์วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ก่อให้เกิดอัลไซเมอร์จริงหรือ สมาคมอัลไซเมอร์แห่งอเมริกา แถลงว่า ความเข้าใจเรื่องวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่(หรือสารเคมีในวัคซีน) ก่อความเสี่ยงในการเกิดอัลไซเมอร์นั้น เป็นความหลงเชื่อที่ผิด และไม่เป็นความจริง เหตุที่เชื่อนั้นเพราะ วัคซีนจะมีสารปรอทซึ่งเป็นสารกันเสื่อมของวัคซีนบางชนิด(วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นการฉีดแค่ครั้งเดียว จึงไม่ต้องใช้สารนี้)  หน่วยงานควบคุมและป้องกันโรค ได้ทำการวิจัยและพบว่า ปริมาณของปรอทนั้นมีปริมาณน้อย และไม่มีอันตรายมากไปกว่าการบวมและแดงเล็กน้อยเมื่อฉีดวัคซีนงานวิจัยกลับบอกผลตรงกันข้ามจากการทบทวนงานวิจัยในหลายๆ ที่ พบว่า งานวิจัยในวารสาร Canadian Medical Journal ปีค.ศ. 2001 มีการวิจัยในประชากร 4, ราย  392 รายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอัลไซเมอร์ มีความเสี่ยงลดลงสำหรับผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เช่นเดียวกับผู้ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบและบาดทะยัก หรือโปลิโอ  งานวิจัยนี้ไม่ได้บ่งชี้ว่า วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ไม่ได้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอัลไซเมอร์ หรือผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนมีแนวโน้มการเกิดอัลไซเมอร์มากกว่ารายงานอีกเรื่องในวารสาร JAMA ค.ศ. 2004 พบว่า การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำปีสำหรับผู้สูงอายุ สัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลงในการตายจากสาเหตุต่างๆ ทุกประเภท  ซึ่งในวารสาร Pubmed ได้นำบทคัดย่อไปเผยแพร่ในวารสารงานวิจัยอีกชิ้นที่น่าสนใจคือ การศึกษาล่าสุดในไต้หวัน ปีค.ศ. 2016 เป็นการศึกษาในผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง จำนวน 11,943 ราย ในจำนวนนี้ มีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ร้อยละ 48 และที่เหลืออีก 6,192 ราย ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่  พบว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่มีการลดลงของการเกิดโรคความจำเสื่อมโดยสรุป ความเชื่อเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะทำให้เกิดโรคความจำเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ นั้น ไม่พบหลักฐานทางวิชาการที่สนับสนุนความเชื่อดังกล่าว  ในทางตรงข้าม กลับพบว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่กลับมีความเสี่ยงและการเกิดโรคความจำเสื่อมและอัลไซเมอร์ลดลง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 ประสิทธิภาพ “โลชั่นและสเปรย์ฉีดกันยุง”

คำเปรียบเปรยที่ว่า “ยุงร้ายกว่าเสือ” นั้นไม่ได้เป็นคำกล่าวที่เกินจริงแต่อย่างใด อย่าได้ปรามาสเห็นยุงตัวเล็กกระจิริดแค่ใช้ 2 มือตบก็จบชีวิต แต่ยุงตัวเล็กๆ พิษสงเหลือร้ายทำคนตายหลายสิบรายต่อปี!!! เพราะยุงเป็นพาหะนำโรคติดต่อร้ายแรง ทั้ง ไข้เลือดออก ไข้มาลาเรีย โรคชิคุนกุนยา หรือแม้แต่ โรคติดเชื้อไวรัสซิกา ที่กำลังเป็นข่าวว่าระบาดในหลายประเทศ ในประเทศไทยเองก็มีผู้ป่วยแล้วหลายรายข้อมูลจากสำนักควบคุมโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าเฉพาะในปี 2559 จนถึงเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2559 พบว่ามีคนไทยเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกแล้วจำนวน 31 คน และมีผู้ป่วยสะสมจำนวน 38,031 ราย ส่วนโรคไข้มาลาเรีย ข้อมูลตั้งแต่มกราคม-สิงหาคม 2559 มีผู้ป่วยรวมทั้งหมด 11,144 ราย (เป็นคนไทย 8,531 ราย และชาวต่างชาติ 2,613 ราย) สำหรับโรคชิคุนกุนยา หรือ ไข้ปวดข้อยุงลาย ในปี 2559 ข้อมูลจนถึงเดือนสิงหาคม มีจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 13 ราย แต่ยังน้อยกว่าปีที่แล้วที่รวมทั้งปีมีผู้ป่วยทั้งหมด 25 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต การหาวิธีป้องกันและกำจัดยุงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่เราทุกคนควรทำ ซึ่งผลิตภัณฑ์สำหรับปกป้องเราจากยุงหลายเดี๋ยวนี้ก็มีให้เลือกใช้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ยาจุดกันยุงแบบขด หรือ ยาฉีดไล่ยุง ที่พบเห็นมีใช้กันอยู่ตามบ้านเรือนทั่วไป นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ไล่ยุงแบบใหม่ๆ ที่เริ่มนิยมใช้กันมากขึ้นอย่าง โลชั่นทากันยุง และ สเปรย์ฉีดกันยุง ซึ่งถ้าไปเดินดูตามซูเปอร์มาเก็ตและร้านสะดวกซื้อทั่วไปจะเห็นว่ามีผลิตภัณฑ์หลากหลายยี่ห้อให้เลือกซื้อเลือกใช้ ฉลาดซื้อ ฉบับนี้เลยขออาสารวบรวม โลชั่นทากันยุง และ สเปรย์ฉีดกันยุง ยี่ห้อต่างๆ มาลองดูกันสิว่าแต่ละยี่ห้อมีคุณสมบัติในการไล่ยุงและมีส่วนประกอบที่ใช้แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ผลที่ได้จากการสำรวจ-ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มโลชั่นทากันยุง จากทั้งหมด 8 ตัว มีถึง 6 ตัวอย่าง ที่ใช้สารเคมี ดีอีอีที DEET ซึ่งเป็นสารเคมียอดนิยมในผลิตภัณฑ์ป้องกันยุง เป็นส่วนประกอบสำคัญ มีเพียงแค่ 1 ตัวอย่างเท่านั้นที่ใช้สารที่สกัดจากธรรมชาติ คือยี่ห้อ เบลล์ ที่ใช้ น้ำมันตะไคร้หอม Citronella oil เป็นส่วนประกอบ-ต่างจากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสเปรย์ฉีดกันยุง ที่มีการใช้สารเคมีสกัดจากธรรมชาติเป็นส่วนประกอบมากกว่า โดยจากตัวอย่างผลิตภัณฑ์สเปรย์ฉีดกันยุงทั้งหมด 7 ตัวอย่าง มีถึง 5 ตัวอย่างที่ใช้สารสกัดจากธรรมชาติ ทั้ง  น้ำมันตะไคร้หอม Citronella oil และ น้ำมันหอมระเหยยูคาลิปตัส Eucalyptus Oil-ระยะเวลาในการป้องกันยุงของผลิตภัณฑ์ชนิดโลชั่นทากันยุง เฉลี่ยอยู่ที่ 6 - 7 ชั่วโมง ขณะที่ผลิตภัณฑ์ชนิดสเปรย์ฉีดกันยุงระยะเวลาในการป้องกันยุงตามที่แจ้งบนฉลากเฉลี่ยอยู่ที่ 2 - 3 ชั่วโมง มีเพียง 2 จาก 7 ตัวอย่างที่มีระยะเวลาในการป้องกันยุงอยู่ที่ 7 ชั่วโมง คือ ยี่ห้อ Mos Away ที่มีส่วนผสมเป็นสารเคมี ดีอีอีที DEET และยี่ห้อ POKPOK ป๊อกป๊อก ที่มีส่วนประกอบเป็นสารสกัดจากธรรมชาติอย่าง น้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพร Citronella Oil-จากการเปรียบเทียบพบว่า ส่วนประกอบไม่ว่าจะเป็นสารเคมีหรือสารที่สกัดจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัยมากกว่า ไม่มีผลต่อระยะเวลาในการป้องกันยุง เพราะส่วนประกอบทั้ง 2 ประเภทต่างก็มีระยะเวลาในการป้องกันยุงสูงสุดที่ 7 ชั่วโมงเท่ากัน-ผลิตภัณฑ์ชนิดที่ใช้สำหรับเด็กเล็ก ใช้ติดตามเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ที่อยู่ใกล้ตัวเด็ก ห้ามติดโดยตรงลงบนผิวหนังของเด็กโดยเด็ดขาด เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ป้องกันยุงชนิดอื่นๆ ห้ามใช้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี หรือ 4 ปี ตามแต่ข้อกำหนดของแต่ละผลิตภัณฑ์ ซึ่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ปิดกันยุงสำหรับเด็กทั้ง 2 ตัวอย่าง ต่างก็ใช้ส่วนประกอบที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติทั้ง 2 ตัวอย่าง-คำแนะนำในการเลือกซื้อ ควรเปรียบเทียบข้อมูลเรื่องของประสิทธิภาพในการป้องกันยุง ปริมาณ และ ราคา เลือกตามความเหมาะสม ส่วนเรื่องของส่วนประกอบ ไมว่าจะเป็นชนิดที่ใช้สารเคมีหรือใช้สารสกัดจากธรรมชาติเป็นส่วนประกอบต่างก็ต้องใช้ตามคำแนะนำและคำเตือนที่ระบุไว้บนฉลากอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกัน แต่ส่วนประกอบที่ใช้สารสกัดจากธรรมชาติแน่นอนว่ามีความปลอดภัยมากกว่า ผู้ใช้เสี่ยงต่อการแพ้หรือระคายเคืองผิวหนังน้อยกว่าข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ของผลิตภัณฑ์ทากันยุงและสเปรย์ฉีดกันยุงผลิตภัณฑ์ทากันยุงและสเปรย์ฉีดกันยุง เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมี (เช่น ดีอีอีที (DEET) และ เอทิล บิวทิลอะซีทิลอะมิโนโพรไพโอเนต (Ethyl Butylacetylaminopropionate)) ที่จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ต้องได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ต้องมีการแสดงเลขทะเบียน อย.วอส. (วัตถุอันตรายที่ใช้ในทางสาธารณสุข) บนฉลากผลิตภัณฑ์ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ใช้ส่วนผสมของสารที่สกัดจากธรรมชาติ เช่น citronella oil หรือน้ำมันตะไคร้หอมเป็นสารสำคัญ ซึ่งจัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ตามพระราชบัญญัตวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องมีการแจ้งข้อเท็จจริงต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และต้องมีการแสดงเลขที่รับแจ้งบนฉลาก ซึ่งผลิตภัณฑ์ไล่ยุงที่ใช้ส่วนประกอบของ citronella oil ควรมีประสิทธิภาพในการออกฤทธ์ไล่ยุงลายบ้านได้ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงผลิตภัณฑ์ทากันยุงและสเปรย์ฉีดกันยุง มีฤทธิ์ไปรบกวนกลไกการรับรู้กลิ่นของยุง ทำให้ยุงไม่บินมาดูดเลือดบนผิวหนังของเรา แต่ไม่ได้มีฤทธิ์ในการฆ่ายุงแต่อย่างใด.ผลิตภัณฑ์ทากันยุงและสเปรย์ฉีดกันยุง เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีเป็นส่วนประกอบสำคัญ เวลาใช้จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง โดยปฏิบัติตามคำแนะนำและคำเตือนบนฉลากอย่างเคร่งครัด ป้องกันการเกิดอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ฉลากของผลิตภัณฑ์ทากันยุงและสเปรย์ฉีดกันยุง ต้องมีการแสดงฉลากที่ให้ข้อมูลสำคัญครบถ้วนตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ดังนี้ 1.ประโยชน์ 2.วิธีเก็บรักษา 3.คำเตือนในการใช้ 4.อาการเกิดพิษ และ 5.วิธีแก้พิษเบื้องต้น นอกเหนือข้อมูลชื่อและชนิดสินค้า ที่อยู่ผู้ผลิต-ผู้จัดจำหน่าย และวัน เดือน ปี ที่ผลิต ใช้ผลิตภัณฑ์ทากันยุงและสเปรย์ฉีดกันยุงอย่างไรให้ปลอดภัย-ควรใช้ผลิตภัณฑ์เมื่อมีความต้องการใช้เพื่อป้องกันยุงเท่านั้น-ผลิตภัณฑ์ไล่แมลงประเภทแป้งและโลชั่น ห้ามนำไปทาแทนแป้งและโลชั่นสำหรับทาผิวทั่วไปโดยเด็ดขาด-ก่อนใช้ควรทาหรือพ่นที่ข้อพับแขนดูก่อน เพื่อดูว่าเรามีอาการแพ้ต่อผลิตภัณฑ์ดังกล่าหรือไม่ หากมีอาการแพ้ควรหยุดใช้ทันที-การทาหรือฉีดสเปรย์กันยุง ควรเน้นทาและฉีดให้ทั่วบริเวณผิวหนังที่อยู่ภายนอกเสื้อผ้า ไม่จำเป็นต้องทาและฉีดให้หนาเกินไป เพราะไม่ได้ช่วยให้ประสิทธิภาพในการป้องกันยุงเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด-ไม่ควรใช้ทาบริเวณเนื้อเยื่ออ่อน เช่น บริเวณใกล้ตา ริมฝีปาก เปลือกตา รักแร้ หรือทาบริเวณที่เป็นแผล เพราะอาการแพ้หรือระคายเคืองได้-หลังจากการใช้ผลิตภัณฑ์ ควรล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบจับอาหาร-ควรเก็บผลิตภัณฑ์ในที่มิดชิด ห่างจากเด็ก อาหาร และสัตว์เลี้ยง-หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยน้ำมันตะไคร้หอม ควรปิดฝาให้สนิท อย่าให้ถูกแสงแดด อย่าวางใกล้เปลวไฟหรือความร้อน-อ่านฉลากก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ทุกครั้ง และปฏิบัติตามคำแนะนำและคำเตือนบนฉลาก ทั้งเพื่อป้องกันอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันยุง-ผลิตภัณฑ์ไล่แมลงส่วนใหญ่ ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 หรือ 4 ปี ขึ้นกับชนิดและปริมาณสารออกฤทธิ์ในแต่ละผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ไล่ยุงประเภทอื่นๆยาจุดกันยุงแบบขดเป็นผลิตภัณฑ์กันยุงที่นิยมใช้กันมากที่สุด เพราะมีราคาถูก หาซื้อง่าย สารเคมีที่ใช้ในยาจุดกันยุงแบบขดเป็นสารในกลุ่ม ไพรีทรอยด์ (Pyrethroids) ซึ่งเป็นสารที่ใช้ในการกำจัดแมลงทั้งในทางสาธารณสุขและทางการเกษตร สำหรับส่วนประกอบอื่นๆ ที่ใช้ในการผลิตยาจุดกันยุงแบบขด ประกอบด้วย ผงขี้เลื่อย ผงกะลาบด ผลแป้งที่ได้จากมันสำปะหลัง ฤทธิ์ของยาจุดกันยุงคือส่งกลิ่นและควันออกไปไล่ยุงไม่ให้เขามาใกล้ในพื้นที่ที่จุดยากันยุงไว้ ไม่มีฤทธิ์ในการฆ่ายุงยาฉีดกันยุงเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์กันยุงที่นิยมใช้ตามบ้านเรือนทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ฆ่าหรือไล่แมลงได้หลากหลายไม่ใช่แค่เฉพาะยุงเท่านั้น สารเคมีที่ใช้ส่วนใหญ่ก็เป็นสารในกลุ่ม ไพรีทรอยด์ (Pyrethroids) เช่นกัน การใช้ยาฉีดกันยุงหรือไล่แมลงในบ้าน ควรเลือกประเภทให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพราะจะมีการแบ่งการใช้ไว้สำหรับแมลงที่บินเท่านั้น เช่น ยุง แมลงวัน กับแบบที่ใช้ได้เอนกประสงค์แต่เน้นไปที่แมลงที่อาศัยอยู่ตามพื้น เช่น มด ปลวก แมลงสาบ เพราะละอองของชนิดที่ฉีดได้อเนกประสงค์จะมีขนาดใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ทำให้ตัวสารไม่ได้ลอยในอากาศได้ทั้งหมด ประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงบินจึงมีน้อยกว่าไม้ตียุงไฟฟ้าเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ยอดฮิตที่หลายคนนิยมใช้จัดการยุง ซึ่งเมื่อไม่นานนี้คณะกรรมการว่าด้วยฉลาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้ออกประกาศให้ไม้ตียุงไฟฟ้าเป็นสินค้าควบคุมฉลาก ต้องมีการระบุเรื่องของคำแนะนำในการใช้งาน คำเตือน ชื่อ-ที่อยู่ผู้ผลิต ดังนั้นต่อไปนี้ถ้าใครจะซื้อหาไม้ตียุงไฟฟ้ามาใช้ต้องเลือกที่มีข้อมูลต่างๆ ครบถ้วนชัดเจน เพื่อความปลอดภัย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 130 นางงามประเภทสอง หวิดบอดเพราะฉีดฟิลเลอร์

น้องต๊อกแต๊ก เป็นสาวประเภทสอง มีรายได้จากการเดินสายแข่งขันประกวดความงามบนเวทีทั่วราชอาณาจักร ความงามบนใบหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเธอหรือเขา...คนนี้“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะฉีด” ภาษิตใหม่ของน้องต๊อกแต๊ก เธอบอกว่ามันช้าและอาจไม่สวยเด่นหากจะให้งามเพราะแต่งอย่างเดียว มันต้องมีฉีดด้วย และที่ได้รู้จัก ได้ยินมาคือการฉีดสารฟิลเลอร์ ดูจะสะดวกรวดเร็วในเว็บไซต์หนึ่งให้ข้อมูลว่า  Filler (HA) ถูกนำมาฉีดเพื่อช่วยในการปรับแก้ไขรูปหน้า  เช่น เสริมจมูก เสริมคาง หรือเพื่อเติมเต็มริ้วรอยบนใบหน้า ลดริ้วรอย ร่องลึก หรือแม้แต่การบำรุงผิวให้กลับกระชับ เปล่งปลั่ง สดใสอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้า ลำคอ หลังมือ หรือแม้กระทั่งบริเวณผิวหน้าอก และเมื่อสาร Filler นั้นเป็นสารที่ร่างกายมีอยู่แล้ว ดังนั้นการฉีดสารชนิดนี้เข้าไปในชั้นผิวหนังจึงไม่ก่อให้เกิดอันตราย และสามารถย่อยสลายไปเองได้ตามกระบวนการทำงานของร่างกายพอเลื่อนหน้าจอคอมพิวเตอร์ดูข้อมูลที่พูดถึง การฉีดปรับแก้ไขรูปหน้าหรือฉีดแบบเฉพาะจุด ยิ่งน่าสนใจ บอกว่า เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับแก้ไขเฉพาะส่วน เช่น ฉีดเพื่อเสริมจมูก เสริมคาง เติมแก้มที่ตอบ เติมร่องใต้ตา โดยผลลัพธ์การรักษาจะอยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือนต๊อกแต๊ก อยากเสริมหน้าผากให้โหนกนูนเต็มอิ่มขึ้นมาอีกนิด จึงติดต่อเข้าใช้บริการฉีดฟิลเลอร์ที่คลินิกความงามแห่งหนึ่งย่านถนนรัชดาภิเษกก่อนเกิดเหตุ การฉีดฟิลเลอร์เข้าหน้าผากต๊อกแต๊กทำมาก่อนแล้ว 2 ครั้ง เว้นระยะห่างกันประมาณ 1 สัปดาห์ ฉีด 2 ครั้งแรก ไม่มีอะไรผิดปกติ เสียเงินรวมไป 7,000 บาท ในราคาที่แพทย์แจ้งว่าเป็นราคาทุนเพราะเห็นใจว่าเป็นนักศึกษาต้องทำงานกลางคืนเพื่อหารายได้พิเศษ จนถึงการฉีดครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นการฉีดในบริเวณเหนือคิ้วซ้ายใกล้ดวงตา จึงเป็นเรื่อง... แพทย์ผู้ฉีดให้ข้อมูลหลังเกิดเหตุว่า โดยปกติจะฉีดฟิลเลอร์ให้คนไข้ครั้งละประมาณ 2-3 มิลลิลิตร ด้วยความระมัดระวังเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะผิวหนังอักเสบ ติดเชื้ออย่างรุนแรง หากคนไข้ต้องการฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณที่มาก จึงจะนัดให้มาฉีดเพิ่มในภายหลังครั้งละประมาณ 1-2 มิลลิลิตร ในการฉีดครั้งที่ 3 หลังจากฉีดเสร็จ เธอมีอาการปวดหัวอย่างแรงบริเวณเหนือคิ้วซ้ายที่ได้ฉีดสารเข้าไปทันที มีอาการตาพร่ามัวและมีอาเจียนร่วมด้วยแพทย์ที่คลินิกได้ปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยการให้น้ำเกลือและฉีดยาแก้ปวดให้ หลังจากนั้นอาการยังไม่ดีขึ้น ตาซ้ายมองไม่เห็นมีอาการบวมแดงแพทย์จึงทำการเจาะเอาสารฟิลเลอร์ออก และนำคนไข้ไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมาหลังจากวันนั้นน้องต๊อกแต๊กก็มีอาการปวดหัวเป็นพักๆ ส่วนตานั้นมีอาการพร่ามัวมองเห็นได้ไม่ชัด แต่ที่สำคัญคือ มันทำให้เธอหมดโอกาสเฉิดฉายบนเวทีประกวดความงามและไม่สามารถทำงานหารายได้ได้เหมือนเดิม ต๊อกแต๊กจึงต้องร้องเรียนและขอให้แพทย์รับผิดชอบในค่าเสียหายที่เกิดขึ้น แนวทางแก้ไขปัญหากรณีแบบนี้เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ว่า การรักษาเป็นไปโดยมีคุณภาพมาตรฐานหรือไม่  มีความระมัดระวังเพียงพอหรือไม่ ซึ่งเมื่อถามฝั่งแพทย์ผู้ทำการรักษาได้รับคำตอบว่า การรักษาเป็นไปตามมาตรฐานที่ดี มีความระมัดระวังทุกขั้นตอน แต่เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นก็พร้อมจะรับผิดชอบในค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเราจึงแนะนำให้น้องต๊อกแต๊กใช้วิธีเจรจาเรียกค่าเสียหายกับคลินิกที่ทำการรักษาก่อน และแนะนำให้ประเมินค่าเสียหายที่เป็นค่ารักษาพยาบาลที่จะตามมาอย่างถูกต้องเหมาะสมเป็นจริง การเรียกค่าเสียหายในด้านความทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วย การขาดโอกาสในการทำมาหารายได้ก็ให้เรียกอย่างเหมาะสม ไม่สูงสุดโต่งจนเลยจุดที่จะทำให้ไม่สามารถเจรจากันได้ท้ายที่สุด แพทย์ผู้ทำการรักษาได้แสดงน้ำใจให้ความช่วยเหลือน้องต๊อกแต๊กเป็นเงินรวม 100,000 บาท ขอแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ ละ 50,000 บาท น้องต๊อกแต๊กพึงพอใจในค่าเสียหายที่ได้รับ ยอมยุติเรื่อง และหันมาตั้งหน้าตั้งตารักษาตัวที่จวนใกล้จะหาย เพื่อก้าวขึ้นสู่เวทีประกวดอีกครั้งเชื่อว่า...ทุกเวทียังมีมงกุฎให้เธอไขว่คว้าอย่างแน่นอน

อ่านเพิ่มเติม >