ฉบับที่ 263 ดวงตาเป็นหน้าต่างของกำไร

        ปัจจุบันผู้คนเข้าสู่ยุคสังคมก้มหน้า ไม่ว่าใครต่อใครก็มักจะก้มหน้าใช้สายตาจ้องหน้าจอมือถือหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบตลอดเวลา อาการเหนื่อยล้าทางสายตาย่อมเกิดขึ้นได้ง่ายๆ บางคนเกิดปัญหาทางตาตามมาอีก จึงเป็นช่องทางให้ผลิตภัณฑ์สุขภาพเกี่ยวกับสายตาผุดออกมาจำหน่ายมากมายและรุกโฆษณาเข้าถึงตัวเราได้ง่ายๆ         ผมลองสังเกตหน้าจอมือถือที่จู่ๆ ก็มีโฆษณาแนะนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาถึง แค่ครึ่งวันก็จู่โจมมาเกือบ 10 ยี่ห้อแล้ว        “เห็นยักใย่ ดำๆลอยไปลอยมา 1 เม็ดก่อนนอน ตาใสปิ๊งเหมือนได้ตาใหม่ ซื้อตอนนี้ 590 บาท ลดเหลือ 390 บาท”         “ฟื้นฟูดวงตาด้วยสารสกัดหญ้าฝรั่น ให้ผลไวกว่าลูทีนทั่วไป 5 เท่า ดูดซึมเร็วกว่าเดิมถึง 25 เท่า”                 “ตาพร่าดวงตาล้า ดูซีรี่ย์นานใช้ดวงตาเยอะ ....(ชื่อดารา)....เลือกใช้”                 “ปวดตาเคืองตา น้ำตาไหล มองไม่ชัด ซื้อ 3 แถม 1”         “....(ชื่อดารารุ่นแม่)....แนะนำสูตรใหม่ เห็นผลไวกว่าลูทีน 8 เท่า การันตีด้วยรางวัลโนเบล”         “สายตาพร่ามัวมองไม่ชัด เป็นต้อ รู้สึกไม่สบายตา แสบตาเคืองตาอย่ารอช้า รีบทาน (โทรติดต่อ......)         “รวบรวมสารสกัดที่มีคุณภาพ ซึ่งประกอบไปด้วยสาร..... ซึ่งเป็นสารที่ช่วยปกป้องจอตาหรือเรตินาจากการถูก         ทำลายโดยแสงสีฟ้าและแสงยูวีจากดวงอาทิตย์ สาร... ช่วยให้กล้ามเนื้อยึดเลนส์คลายตัว การไหลเวียนของเลือดไปยังบริเวณรอบๆตาจึงไหลเวียนดีขึ้น ช่วยลดอาการอ่อนล้าของดวงตา ลดอาการตาแห้ง และเพิ่มการโฟกัสของตาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”         “บำรุงสายตาลดอาการตาแห้งตาล้า ช่วยให้การมองเห็นชัดขึ้น ป้องกันดวงตาจากแสงสีฟ้า บำรุง ฟื้นฟู สายตา ตาแห้ง ตาล้า จอประสาทตาเสื่อม ช่วยลดอาการตาแห้งจากลม เพิ่มการมองเห็นให้ชัดเจน ช่วยปรับโฟกัส ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม ป้องกันโรคที่เกี่ยวกับดวงตาของผู้สูงอายุ สามารถดูดซึมได้รวดเร็ว ภายใน 15 นาที”         ข้อความต่างๆ ที่ส่งเข้ามาจะหลากหลาย ตั้งแต่บอกว่ามีสารที่มีประโยชน์ มีสรรพคุณบำรุง ป้องกัน ไปจนกระทั่งถึงรักษาโรคทางตาได้ด้วยซ้ำ อันที่จริงแล้วกฎหมายอนุญาตให้ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้ แต่ต้องมายื่นขอ อย.ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงคือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเหล่านี้อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร แต่ในส่วนประกอบอาจมีสารอาหารมากกว่าอาหารทั่วๆ ไปเพิ่มเข้ามา ดังนั้นเมื่อมันเป็นแค่ผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ประเภทยา มันจึงไม่มีสรรพคุณในการ บำบัด บรรเทา ป้องกันหรือรักษาโรคได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถล้ำเส้นอ้างสรรพคุณทางยาได้ ซึ่งทางหน่วยงานที่ดูแลก็พยายามไล่กวดจับกันอยู่ แต่ผู้ขายและเครือข่ายก็มักจะแอบไปเปิดช่องทางใหม่ๆ ในโซเชียลจนเจ้าหน้าที่ตามแทบไม่ทัน         สุดท้ายนี้ขอแนะนำวิธีการถนอมสายตา เพื่อช่วยช่วยป้องกันสายตาเมื่อต้องจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือใช้มือถือนานๆ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก เช่น (1) พักสายตาทุก 30 นาที (2) กะพริบตาให้ได้ 4-6 ครั้ง/นาที (3)ไม่ฝืนอ่านตัวอักษรที่มีขนาดเล็กมากจนเกินไป (4) เว้นระยะห่างจากหน้าจอประมาณ 30-40 เซนติเมตร (5) ปรับความสว่างของหน้าจอให้พอดีไม่มืดหรือสว่างเกินไป (6)ไม่ใช้งานมือถือหากอยู่บนพาหนะที่มีความสั่นไหวเพราะทำให้มองจอได้ยาก (7)ช่วงอากาศแห้งไม่ควรใช้สายตานานจนเกินไป เป็นต้น         มันไม่คุ้มค่าหากตาจะพังและกระเป๋าตังค์จะรั่ว ต้องระมัดระวังอย่าหลงเชื่อโฆษณาล้ำเส้นจนเกินจริง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 252 อาหารเสริมรักษาดวงตา......จนตาเสีย

        ดวงตาเป็นอวัยวะหนึ่งที่สำคัญในร่างกาย  ด้วยความสำคัญของดวงตา และผลกระทบจากการที่ต้องถูกใช้งานอย่างหนัก  ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีการโฆษณาสรรพคุณในการบำรุงรักษาดวงตาจึงผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด ทั้งในสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ วิทยุ หรือสื่อออนไลน์  และยังมีการใช้กลยุทธในการตลาดที่มีความซับซ้อนมากขึ้น  เช่น  ได้รับอนุญาตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแต่ใช้ขวดบรรจุที่มีลักษณะคล้ายกับขวดยาหยอดตาทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าสามารถหยอดตาได้  การตัดต่อภาพข่าวมาโฆษณาเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการตลาด ใช้บุคลากรทางการแพทย์ ผู้มีชื่อเสียง นักร้อง นักแสดงมาเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา หรือแม้แต่การนำผลิตภัณฑ์หยอดตาที่ผลิตขึ้นเองโดยไม่ได้รับอนุญาตไปบริจาคตามโรงทาน เป็นต้น         เครือข่ายชมรมเภสัชชนบท  พบกรณีผู้บริโภคที่สูญเสียดวงตาข้างขวาไปตลอดชีวิต จากการนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาใช้หยอดตา  โดยผู้ขายโฆษณาขาย  โดยอ้างว่าสามารถดื่มเพื่อรักษาอาการปวดขาและสามารถนำไปใช้หยอดตาเพื่อรักษาอาการต้อกระจกได้ ซึ่งเดือนแรกที่ผู้บริโภคดื่มรู้สึกว่าอาการปวดขาลดลง  เดือนต่อมาจึงนำมาหยอดตาตนเอง  เนื่องจากเห็นว่าผลิตภัณฑ์นี้ช่วยทำให้อาการปวดขาดีขึ้น น่าจะช่วยรักษาตาต้อกระจกให้หายได้เช่นกัน  จึงนำมาหยอดตาแบบวันเว้นวัน ซึ่งทุกครั้งที่หยอดตาจะมีอาการแสบร้อนที่ดวงตา แต่ผู้ขายกลับบอกว่า ยิ่งแสบแสดงว่ายานี้ได้ผลไปฆ่าเชื้อจะได้หายไวๆ         ผู้บริโภครายนี้ได้หยอดตาไปถึง 6 ครั้งและเริ่มมีอาการแสบตามากขึ้น  จึงไปโรงพยาบาลและตรวจพบว่าดวงตาติดเชื้อและเยื่อตาทะลุ ต้องผ่าตัดดวงตาข้างขวาออก มิฉะนั้นจะเกิดการติดเชื้อลามไปที่สมองและเสียชีวิตได้  กรณีนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายกรณีของผู้บริโภคที่ถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อจากคำโฆษณา  เกินจริง แล้วพวกเราจะติดอาวุธมิให้ตกเป็นเหยื่อได้อย่างไร         พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2510 การโฆษณาสรรพคุณของอาหารเป็นยารักษาโรค ถือว่าเป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จ หรือเป็นการหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร  ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ          วิธีการที่ดีที่สุดในการดูแลรักษาสุขภาพ  คือ  การปฏิบัติตามกลยุทธ์สุขภาพดีด้วย 4 อ  ได้แก่ อากาศ  อาหาร  ออกกําลัง และอารมณ์  โดยจัดสถานที่ให้มีอากาศบริสุทธิ์หายใจ  รับประทานอาหารที่ดีมีคุณค่าให้ร่างกายได้สารอาหารครบตามที่ร่างกายต้องการ  ออกกำลังกายให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว  ให้อวัยวะต่างๆ ได้ทำงานอย่างสมดุล  และควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในภาวะปกติอยู่เสมอ   หากสามารถปฏิบัติได้ดังนี้แล้ว  สุขภาพกาย  สุขภาพจิต จะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมดุลส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง  สดชื่น แจ่มใส  ช่วยป้องกันตัวเรามิให้ตกเป็นเหยื่อ หลงเชื่อโฆษณาเกินจริงได้อีกทางหนึ่ง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 116 ผิวหนังรอบดวงตา ควรดูแลอย่างไรดี

ผิวหนังทั่วร่างกายมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น ผิวหนังที่ฝ่าเท้าจะหนาและกระด้าง หนังศีรษะจะมีรากผมมากมายอยู่กันอย่างหนาแน่น ผิวหนังรอบจมูกและแก้มจะมีต่อมไขมันมาก ทำให้หน้ามัน ส่วนผิวหนังรอบดวงตามีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวคือ - ผิวรอบดวงตาไม่มีต่อมไขมัน ทำให้ผิวบริเวณนี้แห้งง่ายมาก- ผิวรอบดวงตาจะบางมากที่สุดบนใบหน้า ทำให้อ่อนไหวง่ายต่อสารเคมีและสิ่งแวดล้อม- ใต้ผิวหนังรอบดวงตาจะมีเส้นเลือดฝอยอยู่มากมาย แต่มีชั้นไขมันน้อยมาก ทำให้ผิวหนังบริเวณนี้แห้งง่ายและบวมง่าย- ผิวหนังรอบดวงตามักจะตึงเครียดเมื่อมีการเคลื่อนไหวของดวงตาหรือใช้สายตามากเกินไป ทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้นทำให้ผิวหนังรอบดวงตาเป็นตัวชี้บ่งถึงความชราแห่งวัยอย่างชัดเจน   ควรดูแลผิวหนังรอบดวงตาเป็นพิเศษ ทุกคนต้องการดูอ่อนกว่าวัย เมื่อเราต้องทายอายุของคน เรามักจะคาดเดาได้ง่ายจากผิวหนังรอบดวงตา ดังนั้นการดูแลผิวหนังรอบดวงตาจึงต้องพิเศษกว่าส่วนอื่นของร่างกายด้วยหลักดังต่อไปนี้ 1 ไม่ทำอันตรายผิวรอบดวงตาอ่อนไหวง่าย จึงควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงทั้งหลาย เช่น การหรี่ตาและขยี้ตาบ่อยๆ โดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดริ้วรอยตีนกา บางคนสายตาไม่ปรกติ ยาวไปหรือสั้นไป ทำให้อ่านหนังสือแล้วต้องทำตาย่นในการอ่านโดยไม่รู้ตัว ควรหมั่นตรวจวัดสายตาเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยนี้ 2 ปกป้องจากรังสียูวีผิวหนังบอบบางรอบดวงตาจะอ่อนไหวต่อรังสียูวีมาก จำเป็นต้องปกป้องทั้งผิวหนังและดวงตาจากรังสียูวี อาจจะเลือกแว่นกันแดดที่สามารถครอบคลุมผิวหนังรอบดวงตาด้วยนอกเหนือจากการทาครีมกันแดดรอบดวงตา 3 หลักเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เกิดความระคายเคืองผิวหนังที่บอบบางรอบดวงตาจะง่ายและไวต่อสารเคมีทั้งหลาย ผลิตภัณฑ์บางชนิดอาจไม่เหมาะสม เช่น ผลิตภัณฑ์สำหรับอาบน้ำ เมื่อนำมาล้างหน้าด้วย สารทำความสะอาดในผลิตภัณฑ์จะรุนแรงเกินไปสำหรับรอบดวงตา ก่อให้เกิดความระคายเคืองได้ การใช้บ่อยๆ ทำให้ผิวรอบดวงตาแห้งกร้าน และก่อให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร ครีมบำรุงผิวหน้าที่ประกอบไปด้วยเอเอชเอ (AHA) หรือ บีเอชเอ (BHA) ไม่ควรนำมาทารอบดวงตา เนื่องจากเนื้อครีมชนิดนี้จะมีความเป็นกรดค่อนข้างมากประมาณ 3.5 ซึ่งจะทำให้ระคายเคืองได้ 4 การเลือกใช้เมคอัฟที่เหมาะสมผลิตภัณฑ์สำหรับแต่งหน้าหรือเมคอัฟมักจะประกอบไปด้วยสารที่ระคายเคืองผิวหนังได้มาก จึงควรแต่งหน้าด้วยเมคอัฟที่ไม่หนาเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบดวงตา เมคอัฟประเภททนน้ำและติดทนนาน ต้องระวังให้ดี เพราะจะประกอบไปด้วยสารเคมีที่ล้างออกยากด้วยน้ำ จำเป็นต้องใช้สารเคมีที่รุนแรงเช็คออก ยิ่งทำให้ผิวรอบดวงตาระคายเคืองและอักเสบได้ 5 รอยหมองคล้ำรอบดวงตาหลายๆ คนอาจมีปัญหาของตาหมีแพนด้าบนใบหน้า หรือรอยคล้ำใต้ตา บวมเขียว ซึ่งเกิดจากอาการบวมของผิวหนังใต้ตานั่นเอง อาการบวมใต้ตาเกิดจากการที่มีของเหลวสะสมใต้ผิวหนัง อาการบวมทำให้ผิวหนังรอบดวงตาขยายและเกิดเป็นถุงใต้ตาและริ้วรอยเหี่ยวย่นในที่สุด สาเหตุหลักเกิดจากผิวหนังรอบดวงตามีเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงมากมาย ทำให้บวมคล้ำได้ง่าย บางครั้งอาการบวมใต้ตาอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น โรคไต โรคตับ ซึ่งจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง แต่ที่พบเป็นประจำคือตาบวมหลังตื่นนอนตอนเช้า ซึ่งมักเกิดจากนอนไม่พอ นอนดึกเกินไป หรือใช้สายตามากเกินไป 6 การเลือกใช้ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาควรเลือกใช้ครีมที่ให้ความชุ่มชื้นสูง เนื่องจากผิวหนังรอบดวงตาที่บอบบางมาก จำเป็นต้องได้รับการปกป้องสูงสุด ไนท์ครีมสำหรับบำรุงผิวตอนกลางคืนมักจะประกอบไปด้วยสารให้ความชุ่มชื้นสูงและสารหล่อลื่นผิวหนังสูง การเลือกใช้ไนท์ครีมชนิดสำหรับบำรุงรอบดวงตาสามารถช่วยปกป้องผิวหนังส่วนนี้ได้ดีทั้งในเวลากลางคืนและกลางวัน --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- การใช้เครื่องสำอางรอบดวงตา- เริ่มต้นจากความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์น้อยที่สุด หรือเริ่มต้นทาให้บางที่สุดก่อน ถ้าไม่มีอาการระคายเคืองเกิดขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ แสดงว่าน่าจะใช้ต่อไปได้หรือเพิ่มปริมาณที่ต้องการทาได้ - ก่อนที่จะทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่รอบดวงตา ควรจะเริ่มทดสอบที่บริเวณท้องแขนก่อน เมื่อไม่แพ้ จึงขยับมาทดสอบบริเวณผิวหน้า ข้างแก้ม ก่อนที่จะใช้จริงที่รอบดวงตา- หากมีผลิตภัณฑ์ที่มีสูตรเฉพาะรอบดวงตา ควรเลือกชนิดนั้น - หากมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวโดยทันที   ข้อควรปฏิบัติเพื่อป้องกันปัญหาตาบวมหรือตาคล้ำ- ควรนอนหงาย หากนอนคว่ำหน้า ความดันเลือดที่หน้าจะสูงกว่าส่วนอื่น - ไม่ควรดื่มน้ำหรือของเหลวมากเกินไปก่อนนอน หากของเหลวในร่างกายมากเกินไป จะทำให้ตัวบวมตามส่วนต่างๆ ได้รวมทั้งผิวหนังใต้ตา- ควรจำกัดการกินอาหารที่เค็มจัด เพื่อลดปริมาณโซเดียมเข้าร่างกาย เกลือโซเดียมจะทำให้น้ำถูกดูดไว้ในร่างกาย ทำให้ผิวหนังบวมตามตัวได้ง่าย - สำหรับผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ ควรจำกัดให้น้อยลงและให้น้อยที่สุดในเวลาเย็นและก่อนนอน - ครีมบำรุงผิวใต้ดวงตาบางประเภทจะประกอบไปด้วยสารคาเฟอีน ซึ่งจะช่วยขจัดน้ำหรือของเหลวออก ทำให้อาการบวมลดลงได้ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 125 ร้องหมอผ่าตัดทำเสียดวงตา

คุณปภาวี วัย 49 ปี มีอาชีพรับราชการพยาบาลที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลกคุณปภาวี มีอาการเจ็บป่วยทางสายตาทั้งสองข้าง และต่อมาได้เข้ารับการรักษาผ่าตัดรักษาจอประสาทตา ทั้งหมด 4 ครั้งเป็นการผ่าตัดจอประสาทตาขวาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ 1 ครั้ง เมื่อ 6 สิงหาคม 2552 อีก 3 ครั้งเป็นการผ่าตัดจอประสาทตาซ้ายโดยแพทย์ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ผ่าตัดในวันที่ 4 มีนาคม, 4 เมษายน และ 28 เมษายน 2553คุณปภาวีได้ให้ข้อมูลว่า การผ่าตัดตาทั้งสองข้าง ทำการรักษาโดยการยิงเลเซอร์  ผ่าตัดเปลี่ยนน้ำวุ้นในตาและอัดแก๊สไว้ นอนคว่ำนาน 1 เดือนครึ่งทุกครั้ง “ดิฉันได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เหมือนกันทุกครั้ง”ผลการรักษาที่ได้รับคือ จอประสาทตาด้านขวากลับมามองเห็นได้หลังการผ่าตัด ส่วนตาข้างซ้ายหลังการผ่าตัดถึง 3 ครั้ง ตากลับมืดบอดสนิทมองไม่เห็นอะไรเลยคุณปภาวีบอกถึงสาเหตุที่มาเข้ารับการรักษาที่ ร.พ. รามาธิบดีว่า เนื่องจาก ร.พ.จุฬาลงกรณ์ เครื่องยิงเลเซอร์เสีย แพทย์จึงได้เขียนใบส่งตัวให้ไปรักษาต่อที่อื่น“ดิฉันจึงไปที่ ร.พ.รามาฯ ซึ่งอยู่ใกล้กัน คิดว่าแพทย์คงจะชำนาญในการรักษาเช่นเดียวกัน แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้ามทั้งที่ทำการผ่าตัดรักษาเหมือนกัน แต่แพทย์เข้ามาชี้แจงว่า ตำแหน่งจอตาฉีกขาดนั้นต่างกัน คือตาขวาเป็นด้านบนจะติดง่ายกว่า ส่วนตาซ้ายเป็นด้านล่าง”ด้วยความที่มีอาชีพเป็นพยาบาลคุณปภาวี มีความเห็นว่าการผ่าตัดที่ ร.พ.รามาธิบดี อาจมีข้อบกพร่อง เช่น“ผ่าตัดครั้งแรกกับนายแพทย์.......ซึ่งดิฉันไม่ทราบว่ามีความชำนาญพร้อมเพียงพอที่จะทำการรักษาหรือไม่ เพราะได้ยินพยาบาลห้องผ่าตัดพูดกับแพทย์คนนี้ว่า ไม่เป็นไรหรอกหมอ..... อีกเดือนเดียวก็จะจบแล้ว” “การผ่าตัด(ตาข้างซ้าย)ครั้งแรก ใช้เวลานานมากคือ 3 ชั่วโมงกว่า (ขณะที่ร.พ.จุฬาฯ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง) ดิฉันปวดมากจนต้องขอฉีดยาชาเพิ่ม”หลังรู้ผลการผ่าตัดตาข้างซ้ายของตนว่า ตามืดบอด คุณปภาวี จึงได้ไปตรวจที่ ร.พ.ศิริราช จักษุแพทย์ได้บอกว่า ทำอะไรไม่ได้แล้วเพราะจอตาเป็นแผลเป็น ลักษณะก้อนแข็งกลม ถ้าแผ่เป็นแผ่นบางๆ ก็อาจจะทำได้“ดิฉันถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น แพทย์บอกว่ามันเป็นภาวะแทรกซ้อนซึ่งเกิดขึ้นได้”หลังจากนั้นคุณปภาวีจึงได้ไปทำบันทึกข้อความร้องเรียนไว้ที่สำนักผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี และต่อมาผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งนี้ ได้เรียกคุณปภาวีเข้าไปคุยบอกว่า “โรงพยาบาลไม่มีนโยบายจะจ่ายเงินชดเชย เพราะท่านไม่มีอำนาจไม่ใช่คณบดี ได้แต่บอกว่า จะช่วยผ่าตัดตาขวาซึ่งมีต้อกระจกให้”คุณปภาวีปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว เพราะเห็นว่าตนได้รับความเดือดร้อนมาก เนื่องจากจะไม่ได้รับเงินเพิ่มค่าตอบแทนพิเศษในอาชีพของตนเองจากที่เคยได้รับเดือนละ 2,000 บาท“ตาที่มองไม่ชัดทำให้ทำคลอดไม่ได้ เย็บแผลไม่ได้ ทำหัตถการต่างๆ ไม่ได้เลย ตอนนี้ก็ช่วยสรุปเขียนแฟ้มประวัติผู้ป่วยกลับบ้าน ส่งแฟ้มคืนห้องบัตร ทำเรื่องเกี่ยวกับเอกสารต่างๆ มากกว่า”“ดิฉันอยากเรียกร้องค่าเสียหายจากทางโรงพยาบาลรามาฯ ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่” คุณปภาวีทิ้งคำถามสำคัญ แนวทางแก้ไขปัญหาหลังจากได้รับเรื่องร้องเรียน เจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และทำจดหมายขอเข้าพบเพื่อรับทราบคำชี้แจงเกี่ยวกับมาตรฐานการรักษาพยาบาลกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 และในวันที่ 1 มีนาคม 2554 ผู้บริหารของโรงพยาบาลรามาธิบดีจึงได้นัดเจรจากับคุณปภาวีพร้อมครอบครัว และเจ้าหน้าที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อหาข้อยุติกรณีร้องเรียน จากการเจรจาในวันนั้น โรงพยาบาลรามาธิบดียินดีจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับผู้เสียหาย เป็นเงินทั้งสิ้น 278,500 บาท ประกอบด้วยค่าพาหนะ ค่าที่พัก ค่าอาหาร และค่าสูญเสียรายได้ต่อมาในวันที่ 29  มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมาคุณปภาวีพร้อมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลรามาธิบดี ตามนัด และรับเงินช่วยเหลือตามจำนวนดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย“การรักษาดวงตานั้นมีความเสี่ยงสูง  โรงพยาบาลไม่ควรจะให้นักศึกษาแพทย์หรือแพทย์ฝึกหัดมาทำการรักษา เพราะอาจเกิดความผิดพลาดกับผู้ป่วยได้เพราะยังไม่มีความชำนาญในการรักษา และอยากจะให้เรื่องของดิฉันเป็นตัวอย่างหรืออุทาหรณ์เตือนใจทั้งแพทย์และการแสดงความรับผิดชอบของโรงพยาบาลว่าไม่ควรจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก” คุณปภาวีกล่าว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 112-113 เปรียบเทียบครีมลดริ้วรอยรอบดวงตา

มาแล้วคุณสาวๆ ที่ไม่อยากแก่ เราจัดให้อีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานสำหรับผลทดสอบครีมบำรุงผิว คราวนี้ ฉลาดซื้อ ขอนำเสนอเน้นๆ เฉพาะครีมลดริ้วรอยรอบดวงตา ให้สมาชิกที่ตั้งตารออยู่ได้รู้กันไปว่า “อายครีม” ยี่ห้อไหน มีประสิทธิภาพในการกำจัดริ้วรอยสูงกว่ากัน คราวนี้เราดูกันเส้นต่อเส้น และใช้วิธีตัดสินกันด้วยภาพถ่ายเลยทีเดียว   และเช่นเคย การทดสอบครั้งนี้ทำโดยองค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT (International Consumer Research & Testing) ที่ฉลาดซื้อเราเป็นสมาชิกอยู่ คราวนี้มี “อายครีม” ที่อ้างว่าสามารถลดริ้วรอยและรอยย่นรอบดวงตาได้ เข้าลงแข่งถึง 18 ยี่ห้อด้วยกัน มีทั้งผลิตภัณฑ์จากฝรั่งเศส (5 ยี่ห้อ) อังกฤษ (4 ยี่ห้อ) และอเมริกา (9 ยี่ห้อ) ผู้เข้าร่วมการทดสอบทั้งหมดเป็นหญิงและชายที่มีสุขภาพดีจำนวน 107 คน ที่มีอายุระหว่าง 35 – 65 ปี แต่ละคนจะใช้ 2 ผลิตภัณฑ์ (คนละซีกหน้า) ทุกเช้า/เย็น เป็นเวลาทั้งหมด 6 สัปดาห์ โดยแต่ละผลิตภัณฑ์จะมีผู้ทดลองใช้ระหว่าง 9 - 11 คน   --------------------------------------------------------------------------------------------------------  โฆษณาแฝง อุอุ ฉลาดซื้อ เป็นสมาชิกขององค์กรทดสอบ ICRT จึงมีผลทดสอบสินค้าและผลิตภัณฑ์มาฝากผู้อ่านได้อย่างสม่ำเสมอแม้จะไม่มีทุนมากพอที่จะส่งผลิตภัณฑ์ไปร่วมทดสอบเอง (ขอเมาท์ให้รู้โดยทั่วกันว่า การทดสอบครีมลดริ้วรอยรอบดวงตาครั้งนี้มีค่าใช้จ่ายถึง 3,500 ยูโร หรือประมาณ 140,000 บาท ต่อหนึ่งผลิตภัณฑ์) ความฝันอันสูงสุดของกองบรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อ คือการมีสมาชิกมากพอที่จะทำให้เรามีทุนเพียงพอที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในบ้านเราไปร่วมทดสอบด้วย --------------------------------------------------------------------------------------------------------  เราทดสอบอะไร • ประสิทธิภาพในการลดความลึกและความยาวของริ้วรอย กรรมการจะดูจากภาพถ่ายที่ถ่ายไว้ (โดยกล้อง Canon EOS-ID Mark III ความละเอียด 21.1 megapixel) เพื่อเปรียบเทียบ ระหว่างสภาพผิวก่อนใช้ สภาพผิวหลังใช้หนึ่งชั่วโมง และสภาพผิวหลังการใช้ 6 สัปดาห์ ทั้งนี้กรรมการไม่ทราบว่าภาพแต่ละภาพนั้นถ่ายในช่วงเวลาใด • ประสิทธิภาพในการลดรอยคล้ำและถุงใต้ตา อาสาสมัครที่ทดลองใช้ตอบแบบสำรวจความพึงพอใจ ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ถ้ามีผู้ใช้อย่างน้อย 9 คนเห็นด้วยว่ารอยคล้ำได้ตาดูจางลง หรือถุงใต้ตาดูลดลงผลิตภัณฑ์นั้นจะได้คะแนนในข้อนี้ไป   ผลทดสอบในภาพรวม • ต้องทำใจนะ ยังไม่มีครีมลดริ้วรอยรอบดวงตายี่ห้อไหนสามารถกำจัดริ้วรอยไม่พึงประสงค์ของเราได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ครีมลดริ้วรอยรอบดวงตาที่ได้คะแนนสูงสุดในการทดสอบครั้งนี้ สามารถลดริ้วรอยได้ประมาณ 60% • สิ่งที่ครีมเหล่านี้ทำได้ดีคือการลดความลึกของริ้วรอย แต่ยังทำได้ไม่ดีนักในเรื่องของการลดความยาวของริ้วรอย (ประสิทธิภาพในการลดความลึกของริ้วรอยตั้งแต่ 17% ถึง 61% ในขณะที่ประสิทธิภาพในการลดความยาวของรอยย่นตั้งแต่ 9.5% ถึง 46% เท่านั้น) • การทดสอบครั้งนี้ได้มีการทดสอบครีมบำรุงผิวด้วย 2 ยี่ห้อซึ่งปรากฏว่า หนึ่งในนั้นประสิทธิภาพติดหนึ่งในห้าอันดับต้น (Accantia Simple Kind to Skin Replenishing Rich Moisturizer) ในขณะที่อีกยี่ห้อหนึ่งอยู่ในอันดับที่สามจากท้าย (Neutrogena Oil Free Moisture For Sensitive Skin)   เคล็ดลับผิวสวย อ่อนเยาว์จากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง   1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อหน้าตาที่สดชื่นอิ่มเอิบ 2. ลดความเครียดสะสมในชีวิตประจำวัน เพราะความเครียดเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระตามอวัยวะต่างๆ รวมทั้งผิวหนังด้วย ลองเลือกวิธีการที่คุณชอบ เช่น ฟังดนตรี ดูภาพยนตร์อ่านหนังสือ พบปะสังสรรค์กับเพื่อน ฟังธรรมะ นั่งสมาธิ ฯลฯ 3. หลังทำความสะอาดผิวหน้าทุกครั้ง ควรบำรุงผิวด้วยครีมหรือโลชั่นบำรุงผิว เพราะหลังล้างหน้า สารทำความสะอาดจากผลิตภัณฑ์จะชะเอาความชุ่มชื้นและน้ำมันธรรมชาติจากผิวหนังออกไป ทำให้ผิวหน้าตึงซึ่งเป็นสาเหตุให้ผิวหย่อนยานได้ 4. หลังจากทำความสะอาดผิวหน้าแล้ว ควรบำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุงผิวชนิดสำหรับกลางคืน “Night cream” ซึ่งจะมีส่วนผสมของเนื้อครีมที่เข้มข้นด้วยสารอาหารสำหรับผิวหน้า เช่น วิตามินอี วิตามินเอ คอลลาเจน อีลาสตินและสารต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ โดยส่วนประกอบของน้ำมันมักจะหนักกว่าครีมสำหรับทาตอนกลางวัน เพื่อปกป้องผิวหน้าจากอากาศเย็นและแห้งในห้องแอร์ 5. ถ้ามีเวลาว่างในช่วงวันหยุดยาว ภายหลังการทำความสะอาดผิวหน้าแล้วอาจพอกหน้าด้วยแตงกวาสดหรือว่านหางจระเข้ โดยล้างให้สะอาด ตัดเป็นแว่นและวางบนผิวหน้า สารอาหารและความชุ่มชื้นจากแตงกวาหรือว่านหางจระเข้จะแทรกซึมเข้าฟื้นฟูและซ่อมบำรุงผิว 6. หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในช่วงเวลา 8 โมงเช้า ถึง 3 โมงเย็น เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีรังสีอัลตร้าไวโอเลททั้งยูวีเอและยูวีบี ซึ่งสามารถทำลายเซลล์ผิวหนังทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น รูขุมขนกว้าง ผิวหนังหนา หยาบกร้านและดำคล้ำ แต่หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดได้ ควรปกป้องผิวด้วยการใส่เสื้อแขนยาวหรือกางร่ม และทาผิวด้วยครีมกันแดดที่มีองค์ประกอบของสารที่สามารถกรองรังสีทั้งสองชนิดและมีค่า “เอสพีเอฟ” (SPF) อย่างน้อย 15 (จาก หนังสือ “สวยอย่างฉลาด” โดย รศ.ดร.พิมลพรรณ พิทยานุกุล)  

อ่านเพิ่มเติม >