ฉบับที่ 247 แฟชั่นต่อขนตาปลอมถาวร

        การเสริมความงามให้ใบหน้าโดดเด่นด้วยขนตาที่หนางอนสวย ยังคงเป็นที่นิยมมากสำหรับสาวๆหลายท่าน ทว่าการต่อขนตาสมัยนี้ไม่ได้ใช้วิธีการในรูปแบบเดิมที่ใช้ขนตาแบบแผงสำเร็จ และแค่เราล้างหน้าก็หลุดออกมาโดยง่าย  ปัจจุบันเป็นเทรนด์ต่อขนตาแบบถาวร ที่ใช้เวลาแค่ 30-60 นาที ขนตาที่ต่อก็สามารถอยู่ได้ถาวรถึง 4-8 สัปดาห์ โดนน้ำก็ไม่หลุด          “ต่อขนตาปลอมแบบถาวร” คือ การนำขนตาปลอม หรือตามร้านจะมีรูปแบบที่เรียกว่า ขนมิงค์ เส้นใยสังเคราะห์หรือขนตารูปแบบอื่นๆ ให้ทางลูกค้าเลือก ซึ่งจะนำมาทากาวและติดไปที่ขนตาเส้นที่ยาวและหนาทีละเส้น  เพื่อให้เกิดการยึดติดกับขนตาจริง โดยการติดขนตานั้นจะเป็นการใช้กาวเฉพาะสำหรับการต่อขนตาแบบนี้เท่านั้น หากใช้กาวอื่น เช่น กาวตราช้าง ไม่สามารถทำได้ อันตรายมากๆ อย่างที่เคยมีข่าวเมื่อหลายปีก่อน ที่มีช่างหัวใสนำกาวตราช้างมาติดแทนกาวที่ใช้โดยเฉพาะ ซึ่งก่อให้เกิดอาการบวมแดง ขนตาติดกันเป็นก้อน ระคายเคืองและลืมตาไม่ขึ้น จนทำให้ขนตาธรรมชาติหลุดออกเกือบทั้งหมด          ความเสี่ยงการต่อขนตาถาวร        ขนตา มีหน้าที่ป้องกันสิ่งแปลกปลอมรอบดวงตามิให้สร้างความระคายเคืองให้แก่ลูกตา เช่น ป้องกันละอองฝุ่น หรือแม้แต่เหงื่อ  แต่เมื่อมีการนำขนหรือวัสดุต่างๆ ที่คล้ายกับขนตาจริงมาตกแต่งเสริมความงามรอบดวงตา อาจจะก่อความเสี่ยงต่อดวงตาได้ ดังนี้        -        เกิดความเสี่ยงจากวัสดุที่ใช้ทำขนตาปลอม ซึ่งอาจสะสมสิ่งสกปรก เชื้อโรค เมื่อนำมาใช้บริเวณแผงขนตา ทำให้เสี่ยงระคายเคืองและเปลือกตาอักเสบ        -        กาวติดขนตามีส่วนผสมสารที่เรียกว่า “ฟอร์มาลดีไฮด์(formaldehyde)” ซึ่งก่อปัญหาแพ้ได้ง่าย เช่น  คันตา เคืองตา ตาอักเสบ ติดเชื้อ ขนตาร่วงหรือถึงขั้นหลุดร่วงถาวร        -        ความเสี่ยงจากการเก็บรักษา ”ขนตาปลอม” ที่ไม่สะอาด ไม่ถูกวิธี  อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ เกิดอาการแพ้อย่างหนัก อักเสบ อาจเสี่ยงถึงขั้นทำให้ดวงตาเสียหาย        -        เมื่อต่อขนตาแล้วดึงออกบ่อยๆ อาจทำให้ขนตาจริงหลุดติดออกมา แล้วกระทบถึงการทำลายระบบต่างๆ รอบดวงตา เพราะบริเวณโคนขนตาแต่ละเส้นนั้น จะมีต่อมไขมันและต่อมเหงื่อช่วยผลิตไขมันและน้ำเพื่อไปหล่อเลี้ยงในดวงตา         วิธีดูแลหลังต่อขนตาปลอมถาวร        1.ห้ามขยี้ตา บางคนอาจจะรำคาญหรือไม่ชิน เพราะต่อขนตาเป็นครั้งแรก ยังไงก็ห้ามขยี้เพราะอาจทำให้ขนตาปลอมหลุดออกมาพร้อมขนตาจริง        2.ห้ามโดนน้ำหลังต่อ 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นค่อยล้างหน้าด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ ห้ามล้างน้ำอุ่นเพราะจะทำให้กาวติดขนตาเสื่อมสภาพ        3.ห้ามใช้ผลิตภัณฑ์ที่เช็ดเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมเป็นน้ำมัน เพราะจะทำให้ขนตาที่ต่อหลุดร่วงเร็วเนื่องจากประสิทธิภาพกาวลดลง        4.งดการดัดขนตาและหรือใช้มาสคาร่ากันน้ำไปก่อน เพราะขนตานั้นเปราะบางมาก การต่อขนยาช่วยให้มีความยาวงอนเด้งอยู่แล้ว หากไปดัดหรือทามาสคาร่าซ้ำก็อาจจะเป็นการทำให้หลุดร่วงเร็วขึ้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 225 เปรียบเทียบประสิทธิภาพเครื่องฟอกอากาศ

        การทดสอบครั้งนี้ เป็นการนำเครื่องฟอกอากาศที่มีในท้องตลาดมาเพื่อทดสอบประสิทธิภาพในการบำบัดฝุ่นละออง โดยใช้วิธีและเครื่องมือที่มีมาตรฐาน เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจซื้อเครื่องฟอกอากาศ โดยเครื่องฟอกอากาศที่ทำการสุ่มซื้อตัวอย่างจากท้องตลาด และทางออนไลน์จำนวน 10 ยี่ห้อ ดังนี้        1.   รายละเอียดเครื่องฟอกอากาศ        2.  คุณสมบัติเฉพาะของเครื่องฟอกอากาศ        3. วิธีการทดสอบ         การทดสอบนี้จะทำการทดสอบเครื่องฟอกอากาศโดยการปรับปรุงมาตรฐาน Standards of The Japan Electrical Manufacturers’ Association (JEM Standards), JEM1467-Air Cleaner for Household Use (Air cleaners of household and similar use) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศครัวเรือน โดยกำหนดเงื่อนไข ดังนี้         3.1 เงื่อนไขการทดสอบ             3.1.1 ฝุ่นที่ใช้ในการทดสอบ             ในการทดสอบครั้งในใช้เครื่องสร้างฝุ่น TOPAS Aerosol Generator ATM 226 (รูปที่ 2.1) โดยเครื่องดังกล่าวจะสร้างฝุ่นจำลองที่มีขนาดช่วง 0.1 - 0.9 ไมครอน โดยฝุ่นส่วนใหญ่มีขนาด 0.2 ไมครอน 3.1.2 เครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบ            การทดสอบนี้ใช้เครื่อง Dusttrak DRX Aerosol Monitor 8533 (รูปที่ 2.2) เพื่อวัดความเข้มข้นของ PM 2.5 โดยเครื่องวัดนี้สามารถวัดความเข้มข้นของ PM 2.5 แบบ Real-time3.1.3 ลักษณะของห้องที่ทดสอบ        ห้องที่ใช้ในการทดสอบมีขนาด 26.46 m3  (กว้าง x ยาว x สูง: 3.6 x 3 x 2.45 m3) ทำการติดตั้งเครื่องฟอกอากาศบริเวณริมกำแพงห้อง โดยตั้งเครื่องฟอกอากาศให้สูงจากพื้น 70 เซนติเมตร และติดตั้งเครื่องวัดความเข้มข้นฝุ่นให้สูงจากพื้น 70 เซนติเมตร บริเวณกึ่งกลางห้อง         ห้องที่ใช้ในการทดสอบประสิทธิภาพการบำบัดฝุ่นละอองมีคุณสมบัติสามารถรักษาระดับความเข้มข้นของฝุ่นละอองภายในห้อง และมีการติดตั้งอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดสอบ ดังรูป        3.2 วิธีการทดสอบ        การทำสอบประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศทำได้โดยทดสอบการลดลงตามธรรมชาติของฝุ่นละอองภายในห้องขณะยังไม่มีเครื่องฟอกอากาศ (Natural decay) และทดสอบการลดลงของฝุ่นละอองขณะเปิดเครื่องฟอกอากาศ (Decay of dust concentration) สำหรับการทดสอบเครื่องฟอกอากาศแต่ละเครื่อง ทำการทดสอบเครื่องละ 2 ครั้ง เพื่อยืนยันผลการทดสอบ โดยค่าการตรวจวัดดังกล่าวจะแสดงในรูปของ อัตราการไหลของอากาศบริสุทธิ์ (Clean Air Delivery Rate; CADR)       การลดลงของฝุ่นละอองตามธรรมชาติ (Natural decay)        ดำเนินการโดยการสร้างฝุ่นละอองเพื่อให้ความเข้มข้นของ PM 2.5 ภายในห้องมีค่าอยู่ในช่วง 1.0 - 5.0 mg/m3 จากนั้นจะทำการวัดความเข้มข้นของฝุ่นละอองภายในห้องเป็นเวลา 30 นาที เพื่อหาค่าที่การ Natural decay โดยความเข้มข้นของฝุ่นละอองหลังจากเวลาผ่านไป 30 นาที ควรมีค่าความเข้มข้นมากกว่า 80 % ของความเข้มข้นเริ่มต้น        การลดลงของฝุ่นละอองขณะเปิดเครื่องฟอกอากาศ (Decay of dust concentration)        ในการทดสอบนี้จะดำเนินการเหมือนกับการทดสอบ Natural Decay แต่หลังจากสร้างฝุ่นละอองจนได้ความเข้มข้นของ PM 2.5  ในช่วง 1.0-5.0 mg/m3 จะทำการเปิดเครื่องฟอกอากาศโดยจะวัดความเข้มข้นของ PM 2.5 เป็นเวลา 90 นาที หรือจนกว่าความเข้มข้นของ PM 2.5 จะเหลือความเข้มข้นน้อยกว่า 0.020 mg/m3 หรือ 20 µg/m3        การคำนวณหาประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศ        สำหรับการคำนวณนี้จะทำการคำนวณค่าประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศในแง่ของ อัตราการไหลของอากาศบริสุทธิ์ (Clean Air Delivery Rate; CADR) เพื่อให้ทราบถึงอัตราการสร้างอากาศสะอาดของเครื่องฟอกอากาศ        โดยการคำนวณ CADR จะคำนวณจาก4. ผลการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องฟอกอากาศผลการทดสอบได้แสดงดังตารางที่ 2 โดยค่าการตรวจวัดดังกล่าวจะแสดงในรูปของ อัตราการไหลของอากาศบริสุทธิ์ (Clean Air Delivery Rate: CADR)สรุปผลการทดสอบจากผลการทดสอบสามารถแบ่งประเภทของเครื่องฟอกอากาศ โดยพิจารณาจาก การเปรียบเทียบ พื้นที่ห้องที่เหมาะสม กับ พื้นที่ห้องที่แนะนำตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้เป็น 5 กลุ่มกลุ่มที่ 1 คือ เครื่องฟอกอากาศเหมาะกับกลุ่มที่ขนาดพื้นที่ห้องจากการทดสอบ มีขนาดเล็กมาก        (2.32 ตารางเมตร) ซึ่งสามารถแปลผลการทดลองได้ว่า ไม่สามารถลดปริมาณฝุ่นได้ ได้แก่ ยี่ห้อ Clairกลุ่มที่ 2 เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ในห้องที่มี ขนาด 13 - 16  ตารางเมตร  และเป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ ยี่ห้อ Blueair **   กลุ่มที่ 3 เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ในห้องที่มีขนาด มากกว่า 20 ตารางเมตร แต่ไม่เกิน 30 ตารางเมตร และเป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ ยี่ห้อ Hitachi Fanslink Air D  Sharp และ Bwell  กลุ่มที่ 4 เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ได้กับห้องที่มีขนาดมากกว่า 20 ตารางเมตร แต่ไม่เกิน 30 ตารางเมตร แต่ไม่เป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ Hatari, Mitsuta   กลุ่มที่ 5 เครื่องฟอกอากาศที่สามารถใช้ในห้องที่มีขนาด มากกว่า 30 ตารางเมตร และเป็นไปตามโฆษณาหรือคู่มือการใช้งาน ได้แก่ Philips และ Mi** หมายเหตุ ** เนื่องด้วยทีมบริหารของผลิตภัณฑ์ Blueair ได้นำเอกสารยืนยันจาก AHAM (Association of Home Appliance Manufacturers) ซึ่งระบุว่า ผลิตภัณฑ์ Blueair สามารถใช้กับห้องในขนาด 16 ตารางเมตร ได้ ตามที่ระบุในคู่มือการใช้งาน         อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตจากทีมทดสอบของนิตยสารฉลาดซื้อว่า การทดสอบผลิตภัณฑ์ของบลูแอร์ เป็นการทดสอบที่ค่า CADR ขึ้นอยู่กับขนาดของฝุ่นที่ใช้ทดสอบด้วย โดยดูจากผลการทดสอบของ Blueair (ขนาดฝุ่น tobacco smoke 0.1- 1 micron CADR 119  ขนาดฝุ่น Dust 0.5- 3 micron CADR 121  ขนาดฝุ่นละอองเกสร ดอกไม้  CADR 131)         การที่ค่า CADR มีความแตกต่างกัน การระบุปริมาตรหรือขนาดห้องที่เหมาะสมจึงแตกต่างตามไปด้วย ดังนั้นทางบลูแอร์ควรทำความเข้าใจกับผู้บริโภคว่าขนาดห้องที่เหมาะสมกับเครื่องฟอกอากาศควรเป็นเท่าไร และควรต้องแจ้งเรื่อง การทดสอบแบบไม่มี prefilter ซึ่งเป็นการทดสอบที่แตกต่างจากทางนิตยสารฉลาดซื้อ ที่ทดสอบแบบมี prefilter ซึ่งเป็นสภาพจริงที่ผู้บริโภคใช้งาน        นอกจากนี้ การทดสอบความสามารถในการดักจับฝุ่น ตามมาตรฐานของ JEMA มีข้อกำหนดเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ ฝุ่นละอองไมโครขนาดเล็ก ( PM 2.5) ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญในการทดสอบประสิทธิภาพเครื่องฟอกอากาศของนิตยสารฉลาดซื้อ        คำแนะนำเพิ่มเติม สำหรับผู้บริโภคในการตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องฟอกอากาศ และการเฝ้าระวังคุณภาพอากาศ โดยเฉพาะความเข้มข้นของ ฝุ่น PM 2.5 ด้วยตนเอง  คือ การใช้เครื่องวัดความเข้มข้นฝุ่น ขนาดพกพา ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องไฟฟ้าและร้านค้าออนไลน์ แก้ไขปรับปรุง ณ วันที่ 4 ก.พ. 2563   

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 216 กระแสต่างแดน

ขอคืนพื้นที่        Adblock Cardiff เรียกร้องให้เทศบาลเมืองเลิกหารายได้จากการให้เช่าพื้นที่ทำป้ายโฆษณาที่พวกเขาบอกว่า “เป็นมลพิษต่อสุขภาพจิต” ของผู้คน เพราะมันพร่ำบอกอยู่ทุกเช้าค่ำว่าชีวิตพวกเขา “ขาดอะไรบางอย่าง”        องค์กรดังกล่าวขอให้เทศบาลคาร์ดิฟพิจารณาผลกระทบในระยะยาวและเคารพสิทธิผู้บริโภคที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงโฆษณาเหล่านี้ได้แม้จะไม่ต้องการเห็นมัน         ด้านโฆษกเทศบาลชี้แจงว่านอกจากสร้างรายได้ให้รัฐแล้ว ป้ายพวกนี้ยังช่วยเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนด้วย นักวิเคราะห์สื่อก็มองว่านี่เป็นเรื่องปกติที่ทำกัน ป้ายรถเมล์ในลอนดอนก็สร้างโดยบริษัทที่จ่ายค่าเช่าพื้นที่ให้กับเทศบาลนั่นเอง        การเคลื่อนไหวแบบเดียวกันนี้ที่เมืองบริสตอลสามารถระงับการให้อนุญาตติดตั้งป้ายโฆษณาดิจิทัลขนาดใหญ่ถึง 11 ป้ายในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา ในขณะที่เซาเปาโลซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของบราซิลได้แบนโฆษณาแบบนี้ไปแล้วจ่ายให้จบ        สภารีไซเคิลแห่งออสเตรเลียว่าจ้างบริษัท Equilibrium ให้ศึกษาแนวทางจัดเก็บ “ค่ารีไซเคิล” ของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก่อนจะประชุมเพื่อทำ “นโยบายขยะแห่งชาติ” ในเดือนกุมภาพันธ์นี้        อัตราที่เหมาะสมในการเรียกเก็บค่ารีไซเคิลจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยางรถยนต์ และที่นอน (ตั้งแต่จัดเก็บ ขนส่ง คัดแยก และนำกลับมาใช้ใหม่ รวมถึงค่าบริหารจัดการและค่าการตลาด) มีดังนี้        ขยะเครื่องใช้ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่าย 1.85 เหรียญ (41 บาท) ต่อน้ำหนักสินค้า 750 กรัม กาต้มน้ำไฟฟ้าที่หนัก 1.3 กิโลกรัมจึงมีค่ารีไซเคิล 3.20 เหรียญ (71 บาท)        ยางรถยนต์หนึ่งเส้นมีค่ารีไซเคิล 4 เหรียญ (89 บาท) และที่นอนหนึ่งหลังมีค่ารีไซเคิล 16.50 เหรียญ (365 บาท) เฉลี่ยแล้วค่าธรรมเนียมนี้อยู่ที่ร้อยละ 2 ของราคาสินค้า        คนออสซี่สร้างขยะปีละ 2,700 กิโลกรัมต่อคน ออสเตรเลียจริงจังกับมาตรการรีไซเคิลมากขึ้นกว่าเดิมตั้งแต่จีนประกาศไม่รับอุปการะขยะต่างประเทศองจำกัด        รัฐมนตรีกระทรวงขนส่งของเยอรมนีให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับหนึ่งว่าทางหลวงของประเทศเขาปลอดภัยที่สุดในโลก…        แต่สถิติขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ระบุว่าอัตราการเสียชีวิตต่อระยะทาง 1,000 กิโลเมตรของทางหลวงในเยอรมนีอยู่ที่ร้อยละ 30.2 ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของยุโรปคือร้อยละ 26.4 และ OECD ยังพบว่าความเร็วที่เพิ่มขึ้นผันแปรโดยตรงต่ออัตราการตายที่สูงขึ้น        พูดให้ชัดคือทางหลวงในฝรั่งเศส ฟินแลนด์  สหราชอาณาจักร โปรตุเกส และสวีเดน ปลอดภัยกว่าในเยอรมนีซึ่งร้อยละ 70 ของทางหลวงไม่มีการจำกัดความเร็ว        รอดูกันว่ารัฐบาลเยอรมนีจะจัดการอย่างไร ก่อนหน้านี้ก็เคยมีเสียงเรียกร้องให้จำกัดความเร็วบน “ออโต้บาห์น” เพราะผลการศึกษาพบว่าการจำกัดความเร็วจะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และไฮโดรคาร์บอนลงได้ร้อยละ 9 และลดการปล่อยไนโตรเจนออกไซด์ลงได้ร้อยละ 6 ด้วยขออภัยในความไม่สะดวก        ร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่นประกาศยุติการขาย “นิตยสารผู้ใหญ่” ภายในเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรต่อทุกคน ก่อนที่ญี่ปุ่นจะเปิดบ้านเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 2020        สามแบรนด์ใหญ่ต่างเห็นตรงกันว่าไม่ควรทำให้อาคันตุกะจากต่างแดนที่จะเริ่มมาเยือนตั้งแต่ปีนี้เพื่อชมการแข่งขันรักบี้เวิลด์คัพได้ภาพลักษณ์ที่ผิดๆ เกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น        เซเว่นอิเลฟเว่นบอกว่าก่อนหน้านี้ลูกค้าหลักของร้านคือผู้ชายที่เข้ามาซื้อเครื่องดื่มและอาหารฟาสต์ฟู้ด แต่ปัจจุบันมีลูกค้าทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ที่สำคัญยอดขายนิตยสารเหล่านี้มีสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 1 ของยอดขายใน 20,000 สาขาทั่วประเทศ        ด้านแฟมิลี่มาร์ทซึ่งมี 16,000 สาขาทั่วประเทศ ก็เริ่มหยุดขายนิตยสารนี้ไปแล้วใน 2,000 สาขา        ลอว์สันซึ่งหยุดการขายนิตยสารนี้ในสาขาที่โอกินาวาไปตั้งแต่สองปีก่อน ก็เตรียมจะใช้นโยบายนี้ใน 14,000 สาขาทั่วประเทศเช่นกันลดแล้วลดอีก        ปักกิ่งมีแผนจะลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศลงจากเดิมให้ได้อีกร้อยละ 1 จากปีที่แล้วที่สามารถลดจากปีก่อนหน้าได้ถึงร้อยละ 12 จนเหลือปริมาณฝุ่นอยู่ที่ 51 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร        “โครงการหนึ่งไมโครกรัม” นี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเมืองที่ได้ลงมือทำทุกอย่างที่ควรทำเพื่อลดปริมาณฝุ่น แม้แต่เชื้อเพลิงที่ใช้เพื่อให้ความอบอุ่นในบ้านเรือนทุกวันนี้ก็เปลี่ยนจากถ่านหินมาใช้พลังงานสะอาดแล้ว        รัฐมนตรีกระทรวงนิเวศน์วิทยาและสิ่งแวดล้อมของจีนยอมรับว่า การรักษาระดับปริมาณฝุ่นไม่ให้สูงกว่าเดิมในสภาวะอากาศที่อาจไม่เป็นผลดีต่อคุณภาพอากาศก็ถือเป็นชัยชนะแล้ว        สาเหตุหลักของฝุ่นจิ๋วในปักกิ่งมาจากการคมนาคมขนส่ง (ร้อยละ 45) โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถบรรทุกที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล รัฐบาลจึงมีมาตรการติดตามการเคลื่อนไหวของรถเหล่านี้ด้วยระบบออนไลน์ ในขณะที่ไซต์งานก่อสร้าง ซึ่งเป็นตัวการสร้างฝุ่นอันดับสอง (ร้อยละ 16) ก็กำลังถูกจับตาผ่านกล้องวิดีโอเช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 215 วิธีรับมือฝุ่นและมลภาวะเพื่อผิวสดใส

ในวิกฤตฝุ่นขนาดเล็กที่เราเผชิญอยู่ หลายคนอาจไม่มีอาการข้างเคียงที่จับได้ว่ากระทบกับสุขภาพ ซึ่งอาจเพราะเคยชินกับสภาพแวดล้อม แต่บางทีถ้าวิกฤตฝุ่นเริ่มส่งผลกระทบกับผิวพรรณอันนี้เชื่อว่าคุณผู้อ่านที่รักสวยรักงามน่าจะจับสังเกตได้ง่าย เช่น เริ่มมีสิวผุดขึ้น ทั้งที่ไม่ปรากฏมานานแล้ว หรือผิวเกิดผื่นคันยุบยิบๆ ผิวหมองทั้งที่บำรุงอยู่ตลอด ทั้งนี้ก็เพราะฝุ่นควันหรือมลภาวะทางอากาศนั้นทำร้ายผิวได้ไม่น้อยไปกว่าแสงแดดเลย          ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผิวพรรณไม่ได้มาจากวัยที่เพิ่มขึ้น แสงแดดหรือความเครียดเท่านั้น มลภาวะทางอากาศคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ซ้ำยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวเหี่ยวย่น เกิดริ้วรอยตามจุดต่างๆ ไปจนถึงจุดด่างดำ ยิ่งฝุ่นที่มีอนุภาคเล็กๆ มากๆ PM 2.5 ยิ่งก่อให้เกิดปัญหากับผิวได้โดยตรง เพราะสามารถแทรกซึมเข้าไปทางผิวหนังได้          “ผลกระทบที่ฝุ่นละออง PM 2.5 มีต่อผิวพรรณของมนุษย์นั้น ผศ.นพ.ชูชัย ตั้งเลิศสัมพันธ์ กรรมการสมาคมแพทย์ความงาม ให้สัมภาษณ์กับทางบีบีซีไทยว่า สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ระดับ กล่าวคือ ผลลัพธ์ทันทีจะก่อให้เกิดอาการแพ้และระคายเคือง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (atopic dermatitis) หรือโรคผิวหนังอักเสบบริเวณที่มีต่อมไขมันเป็นจำนวนมาก ซึ่งสองโรคนี้พบเห็นได้บ่อยครั้งผลระยะยาว อนุภาคของฝุ่นจะแทรกผ่านเข้าผิวหนังแล้วทำลายเซลล์ผิว โดยเฉพาะผู้ที่เสริมความงามด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ฉีดโบท็อกซ์ หรือศัลยกรรม ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะรอยที่ผิวหนังจะทำให้ระคายเคืองได้ง่าย และหากแกะเกาจนเกิดแผล ก็อาจจะติดเชื้อ” (ที่มา https://www.bbc.com/thai/thailand-46890563)รับมืออย่างไรดี          1.หมั่นทำความสะอาด ถ้าออกไปอยู่ในพื้นที่โล่งนานๆ อย่างน้อยเข้าบ้านหรือในอาคารก็ควรล้างมือ หรือถ้าล้างหน้าได้ก็ควรทำ แต่ต้องเพิ่มการบำรุงด้วยเพราะผิวที่โดยชะล้างบ่อยจะแห้งกร้าน ควรเพิ่มครีมหรือโลชั่นเพื่อบำรุงผิว กักเก็บความชุ่มชื้น          2. เพิ่มกระบวนการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ซึ่งแค่การบำรุงผิวจากเครื่องสำอางอาจจะได้ผลน้อย ควรเพิ่มการรับประทานผัก ผลไม้สด ซึ่งอุดมด้วยแร่ธาตุและวิตามินให้มากขึ้น          3.ถ้าไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีการสะสมฝุ่นละอองขนาดเล็กสูง อยู่ในพื้นที่โล่งแจ้งให้น้อยลง โดยเฉพาะผู้ที่ทำศัลยกรรมความงาม เช่น ฉีดโบท็อกซ์ ควรจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ          4.ติดตามข่าวสารเรื่องสภาวะอากาศอย่างใกล้ชิด ป้องกันแค่ผิวพรรณยังไม่พอ ควรเพิ่มการใช้หน้ากากกันฝุ่นด้วย เพราะจะส่งผลกับสุขภาพโดยรวม          5.ช่วยกันรณรงค์และงดใช้รถยนต์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของมลภาวะฝุ่นละอองขนาดเล็ก ด้วยการใช้รถสาธารณะเพิ่มขึ้น 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 206 เท่าทันฝุ่นละออง PM2.5 กับ Air Visual

มลพิษในอากาศของประเทศไทยมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีข่าวการรายงานสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มีค่าเกินมาตรฐาน ซึ่งสามารถมองเห็นสภาพอากาศที่มีฝุ่นละอองในอากาศได้อย่างชัดเจน และทำให้เกิดกระแสการป้องกันตนเองของผู้ที่ต้องใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานครฝุ่นละออง PM2.5 หมายถึง ค่าฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน ซึ่งมีขนาดประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผ่าศูนย์กลางของเส้นผมมนุษย์ เป็นขนาดที่เล็กเกินกว่าที่ขนจมูกของมนุษย์จะสามารถกรองฝุ่นละอองชนิดนี้ได้ โดยจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและต่อสุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง จะทำให้ฝุ่นละอองสามารถแพร่กระจายเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ กระแสเลือด และแทรกซึมเข้าสู่การทำงานในอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับฝุ่นละอองในสภาพอากาศในประเทศไทย จึงนำแอปพลิเคชันเช็คสภาพมลพิษในอากาศที่มีชื่อว่า Air Visual ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ทั้งระบบปฏิบัติการ Android และระบบปฏิบัติการ iOS  เพื่อติดตามสภาพอากาศได้ตลอดเวลา ภายในแอปพลิเคชันจะมี หมวด My Air  เพื่อแจ้งผลสภาพอากาศของจังหวัดในประเทศ เป็นระดับตัวเลขให้ทราบว่าสภาพอากาศเป็นเช่นไร โดยแบ่งมาตรฐานตามคุณภาพอากาศได้ 6 ระดับ ดังนี้ ระดับ 0-50 Good  หมายถึงสภาพอากาศดี ไม่มีความเสี่ยงหรือความเสี่ยงน้อย  ระดับ 51-100 Moderate  หมายถึงคนที่แพ้หรือภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่ควรทำกิจกรรมนอกบ้าน  ระดับ 101-150 Unhealthy for sensitive group หมายถึงสภาพอากาศคนที่แพ้หรือภูมิคุ้มกันต่ำ ไม่ควรออกนอกบ้าน  และอาจเกิดการระคายเคืองหรือมีปัญหาเกี่ยวกับทางเดินหายใจได้  ระดับ 151-200 Unhealthy หมายถึงสภาพอากาศมีผลต่อคนภูมิคุ้มกันต่ำอย่างมากและระดับนี้มีผลกระทบต่อคนทั่วไป อาจมีความเสี่ยงทางเดินหายใจได้  ระดับ 201-300  Very Unhealthy หมายถึงสภาพอากาศมีผลต่อผู้คนทั่วไป ไม่ควรออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน และระดับ 301-500 Hazardous หมายถึงผู้คนทั่วไปมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วย เกิดการระคายเคืองหรือมีปัญหาด้านทางเดินหายใจซึ่งในหมวด My Air จะแบ่งสภาพอากาศเป็นช่วงเวลา และมีการคาดการณ์สภาพอากาศล่วงหน้าได้ 3 วัน นอกจากนี้ผู้ใช้แอปพลิเคชั่นยังสามารถเพิ่มจังหวัดที่ต้องการทราบสภาพอากาศ ให้กดสัญลักษณ์บวกที่อยู่บริเวณตรงกลางด้านล่างแอปพลิเคชันหมวด Map จะแสดงสภาพอากาศทั่วประเทศและทั่วโลก เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบสภาพอากาศภายในประเทศและทั่วโลก  และหมวด News&Ranking มีไว้เพื่อแจ้งข่าวที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสภาพอากาศทั่วโลก และแสดงการจัดลำดับสภาพอากาศที่แย่ที่สุดทั่วโลกสภาพอากาศที่มีฝุ่นละอองมากขนาดนี้ ประชาชนอย่างเราควรมีวิธีป้องกันฝุ่นละออง PM2.5 ที่เกินมาตรฐานนั้น โดยการหาซื้อหน้ากากป้องกันฝุ่นละอองมาตรฐาน N95 ซึ่งสามารถป้องกันฝุ่นละอองขนาด 0.3 ไมครอน จะทำให้สามารถป้องกันฝุ่นละอองขนาด 2.5 ไมครอนได้   แต่ถ้าเป็นหน้ากากอนามัยทั่วไปจะไม่สามารถป้องกันฝุ่นละอองขนาด 2.5 ไมครอนได้ ป้องกันสุขภาพตัวเองให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บกันด้วยนะคะ

อ่านเพิ่มเติม >