ฉบับที่ 189 10 พฤติกรรม ที่มีส่วนทำให้เชื้อดื้อยา

1. เคยซื้อยาต้านแบคทีเรีย กินตามคนอื่นคนแต่ละคนอาจเจ็บป่วยจากเชื้อโรคต่างชนิดกัน การซื้อยาต้านแบคทีเรีย มารับประทานเอง อาจได้ยาต้านแบคทีเรีย ที่ไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคนั้นได้ และยังส่งผลให้เชื้อโรคพัฒนาตัวมันเองไปสู่การดื้อยาได้2. เคยหยุดรับประทานยาต้านแบคทีเรีย เมื่ออาการดีขึ้นยาต้านแบคทีเรีย ต้องรับประทานติดต่อหลายวันตามที่กำหนด หากเราหยุดรับประทาน อาจมีเชื้อโรคหลงเหลืออยู่และเชื้อโรคจะพัฒนาตัวมันเองไปสู่การดื้อยาได้3. เคยซื้อยาต้านแบคทีเรีย กินเองตามที่เคยได้รับจากบุคลากรทางการแพทย์ในครั้งก่อนๆยาต้านแบคทีเรีย แต่ละชนิดจะมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคแต่ละชนิดต่างกัน การใช้ยาต้านแบคทีเรีย โดยไม่เลือกให้เหมาะกับชนิดของเชื้อโรค นอกจากจะทำให้ไม่หายแล้ว อาจทำให้เชื้อโรคพัฒนาตัวมันเองไปสู่การดื้อยาได้4. เคยอมยาอมที่ผสมยาต้านแบคทีเรีย การใช้ยาต้านแบคทีเรีย ฆ่าเชื้อโรค ต้องใช้ในขนาดที่เหมาะสม และต้องใช้ติดต่อให้ครบตามระยะเวลาที่กำหนด การอมยาอมที่ผสมยาต้านแบคทีเรีย นอกจากจะเป็นการใช้ยาในขนาดที่ไม่เหมาะสม ยังเป็นการใช้ยาที่เกินจำเป็น และอาจทำให้เชื้อโรคพัฒนาตัวมันเองไปสู่การดื้อยาได้5. เคยเปลี่ยนไปซื้อยาต้านแบคทีเรีย ที่แรงกว่าทานเองเมื่อรับประทานยาต้านแบคทีเรีย ชนิดแรกแล้วอาการไม่ดีขึ้นทันใจการใช้ยาต้านแบคทีเรีย ฆ่าเชื้อโรค ต้องใช้ในขนาดที่เหมาะสม และใช้ติดต่อให้ครบตามระยะเวลา บางครั้งอาการเจ็บป่วยของเราต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรอาการถึงจะดีขึ้น การเปลี่ยนไปใช้ยาต้านแบคทีเรีย ตัวอื่นๆ ที่แรงกว่า อาจทำให้เชื้อโรคพัฒนาตัวมันเองไปสู่การดื้อยาได้6. เคยแกะแคปซูลเอายาต้านแบคทีเรีย ไปโรยแผลนอกจากจะเป็นการใช้ยาไม่เหมาะสมแล้ว ยังทำให้แผลสกปรกและเสี่ยงต่อการเกิดอาการแผลอักเสบลุกลามได้ เพราะผงในแคปซูลไม่ได้มีแต่ตัวยาเท่านั้น ยังมีผงแป้งผสมอยู่ด้วย และยังอาจทำให้เชื้อโรคที่แผลพัฒนาตัวมันเองไปสู่การดื้อยาได้7. เคยใช้ยาต้านแบคทีเรีย ผสมในอาหารสัตว์ตามคำบอกเล่าเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เจ็บป่วยเป็นการใช้ยาที่ผิด และอาจไม่ได้ผลด้วย เนื่องจากขนาดยาไม่แน่นอน นอกจากนี้ยังอาจทำให้เชื้อโรคพัฒนาตัวมันเองไปสู่การดื้อยาได้8. เคยใช้ยาต้านแบคทีเรีย โดยไม่ทราบชื่อสามัญของยานอกจากจะเสี่ยงที่จะได้รับยาที่เคยแพ้แล้ว อาจได้รับยาที่ไม่ตรงกับเชื้อโรค อาจทำให้เชื้อโรคพัฒนาตัวมันเองไปสู่การดื้อยาได้9. เคยไปซื้อยาแก้อักเสบกินเองอาการอักเสบตามความเข้าใจของคนทั่วไปมีหลายแบบ เช่น อาการปวดอักเสบ อาการอักเสบจากแผลหนอง อาการอักเสบเจ็บคอ บางครั้งเมื่อเราอักเสบจากการปวดและไปซื้อยาโดยระบุว่าต้องการยาแก้อักเสบกินเอง เราอาจได้ยาต้านแบคทีเรีย มาแทนยาแก้ปวดอักเสบ เป็นการใช้ยาต้านแบคทีเรีย อย่างไม่จำเป็นเพราะไม่ได้อักเสบจากการติดเชื้อ การได้รับยาเกินจำเป็น อาจทำให้เชื้อโรคดีๆ ในตัวเรา พัฒนาตัวมันเองไปสู่การดื้อยาได้10. ไม่แนะนำคนที่ใช้ยาต้านแบคทีเรีย อย่างผิดให้ใช้อย่างถูกต้องเหมาะสมการเพิกเฉยของเรา เท่ากับปล่อยให้มีการใช้ยาต้านแบคทีเรีย ที่ไม่เหมาะสมขึ้นในสังคม สุดท้ายเมื่อเชื้อโรคพัฒนาตัวมันเองไปสู่การดื้อยา ปัญหานี้ก็จะกลับมาส่งผลต่อตัวเรา ครอบครัว และผู้ป่วยอื่นๆ ในอนาคตได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 150 GPS ตรวจจับพฤติกรรมผู้ขับขี่รถโดยสารสาธารณะ

จากที่เคยมีข่าวรถโดยสารขับรถเร็วเกินกำหนด ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมาหลายครั้ง โดยที่ไม่เคยใส่ใจกับเรื่องการพัฒนาถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับผู้โดยสารที่ต้องโดยสารรถสาธารณะ  จนปัจจุบันได้มีมาตรการการเยียวยาเพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากการขับขี่โดยประมาทของคนขับรถโดยสารสาธารณะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นระบบของ บริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. บริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. ได้ติดตั้งระบบที่เรียกว่า GPS ซึ่งย่อมาจาก Global Positioning System หรือ “ระบบกำหนดพิกัดตำแหน่งบนโลก” ระบบนี้จะอาศัยการคำนวณพิกัดจากดาวเทียมที่โคจรอยู่รอบโลก โดยจะรับสัญญาณจากดาวเทียมตั้งแต่ 3 ดวงขึ้นไป ทำให้ระบบนี้สามารถชี้บอกตำแหน่งได้ทุกแห่งบนโลก ระบบนี้มีความแม่นยำของข้อมูลด้านทิศทาง เส้นทางการเดินทาง ถนน และสถานที่ต่างๆ แต่มีข้อจำกัดอยู่เหมือนกัน คือ ถ้าอยู่ในบริเวณที่สัญญาณส่งไม่ถึง เช่น อยู่ในตึก ใต้ทางด่วนก็จะไม่สามารถรับสัญญาณดาวเทียมได้ หรือแม้กระทั่งถ้าฟ้าปิด ฟ้าไม่ปลอดโปร่งก็จะไม่สามารถรับสัญญาณดาวเทียมได้เช่นกัน  ผู้ที่ติดตั้งระบบกำหนดพิกัดตำแหน่งบนโลก หรือ GPS  จำเป็นต้องอยู่ตรงถนนสายหลักๆ ต่างๆ   เมื่อระบบสามารถแจ้งพิกัดที่เราอยู่บนพื้นโลกนี้ได้ จึงส่งผลให้การติดตั้งระบบ GPS ที่ทาง บริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส. ได้นำมาใช้ติดตั้งกับรถโดยสารสาธารณะนั้น จะช่วยบอกข้อมูลของรถแต่ละคันแบบ Realtime โดยจะแสดงข้อมูลตำแหน่งของรถ ความเร็วที่ขับ และลักษณะของรถที่มีการขับผิดปกติ ได้แก่ การเบรคกะทันหัน การขับกระชาก การเปลี่ยนเลนกะทันหัน หรือรถที่มีการเอียงเกิน 30 องศาซึ่งเสี่ยงต่อการพลิกคว่ำได้ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะมาปรากฏขึ้นภายในศูนย์ควบคุมของบริษัท อย่างน้อยด้วยระบบติดตามรถสาธารณะชนิดนี้ ก็ทำให้ผู้โดยสารที่ต้องใช้บริการรถสาธารณะสบายใจกันบ้าง   ประเภทของ GPS แบ่งออกตามประโยชน์การใช้งานได้ 2 แบบคือ ระบบนำทาง (Navigation System) โดยโครงสร้างของอุปกรณ์จะมีชุดรับสัญญาณดาวเทียม GPS ขนาดเล็ก ฝังติดตั้งอยู่ภายในแผ่นเซอร์กิต จากนั้นสัญญาณดาวเทียมจะถูกควบคุมด้วยโปรแกรมนำทางอีกที ระบบติดตาม (Tracking System) ใช้ในการติดตามสิ่งของที่อยู่ติดกับตัวอุปกรณ์ และในชุดอุปกรณ์จะมี ช่องให้ใส่ซิมการ์ด (โทรศัพท์มือถือ) เนื่องจาก GPS Module จะทำหน้าที่รับสัญญาณดาวเทียม แล้วปล่อยออกมาเป็นข้อมูลพิกัด ณ จุดนั้น จากนั้น ก็ต้องอาศัยระบบเครือข่ายโทรศัพท์มือถือส่งพิกัดนี้ ออกไปทาง SMS, EDGE , GPRS เป็นต้น เมื่อปลายทางได้รับข้อมูลแล้วก็จะนำเอาพิกัด ไป Plot กับตารางแผนที่ จึงออกมาเป็นตำแหน่งบนแผนที่ที่อุปกรณ์นั้นติดตั้งอยู่ ระบบนี้ โดยมากจะใช้ติดตามยานพาหะนะ ที่กำลังเป็นที่นิยมกันเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน  โดยสามารถนำมาใช้กับการติดตามคน และสัตว์เลี้ยงได้ด้วย **ข้อมูลเพิ่มเติมจาก http://www.it24hrs.com/2011/about-gps/

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 162 พฤติกรรมการกินที่ดี ช่วยคุณได้

รสนิยมในการกินอาหารของชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยดูแล้วน่าสงสาร เพราะกินแต่อาหารมีพลังงานและไขมันสูง อีกทั้งรสชาติอาหารก็ซ้ำซากอย่างที่เห็นในภาพยนตร์จากฮอลลิวู้ด ขาดความประณีตและจินตนาการในการปรุงแต่ง ดังนั้นทุกครั้งที่เพื่อนชาวอเมริกัน(สมัยที่ผู้เขียนมีโอกาสไปเรียนในสหรัฐอเมริกา) ได้รับคำเชิญให้ร่วมงานกินอาหารของชาวเอเชียแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ปฏิเสธและตั้งตารอ Annie Tucker Morgan และ Divine Caroline จาก www.care2.com ได้เขียนบทความเกี่ยวกับ  Healthy Diet Habits from Around the World ซึ่งเล่าถึงพฤติกรรมการกินอาหารที่ทั้งสองคนเชื่อว่า น่าจะช่วยให้สุขภาพของชาวอเมริกันที่ทำตามดีขึ้น ผู้เขียนจึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง เพราะปัจจุบันคนไทยหลายส่วนก็ใกล้จะเป็นชาวอเมริกันเข้าไปทุกขณะแล้ว พฤติกรรมแรกเป็นของคน “โปแลนด์” ซึ่งกินอาหารที่บ้านเป็นประจำ จึงกำหนดปริมาณอาหารไม่ให้มากเกินไปได้ ต่างจากเวลาไปกินอาหารนอกบ้าน ซึ่งอาหารแต่ละจานบางครั้งก็มากเกิน จนผู้บริโภคต้องยอมท้องแตกดีกว่าของเหลือ เนื่องจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ชาว “แกมเบีย” ในอัฟริกาจึงเลือกกินถั่วหลากชนิด เป็นอาหารหลัก เพราะได้ทั้งโปรตีน แป้ง ไขมัน รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวทำให้ชาวแกมเบียเป็นกลุ่มชนที่มีอัตราการเป็นโรคอ้วนและมะเร็ง(ในภาพรวมทุกชนิด) ต่ำที่สุดในโลกชาติหนึ่ง   ถ้าถามหนุ่มอเมริกันว่า สาวชาติใดเซ็กซี่มากที่สุดในโลกในการเยื้องย่างร่างกาย คำตอบส่วนใหญ่มักยกให้ สาว “บราซิล” ซึ่งมีสไตล์การเต้นแซมบ้าที่เร้าใจ โดยไม่มีหน้าท้องมาขัดขวางการส่ายสะโพก แม้ว่าชาวบราซิเลียนกินอาหารที่มีแป้งค่อนข้างสูง แต่ก็เป็นแป้งในรูปเมล็ดธัญพืชและถั่วทั้งเมล็ด ซึ่งมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Obesity Research สนับสนุนว่า อาหารแป้งในอาหารบราซิเลียนนั้นลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนถึงร้อยละ 14 เพราะมีใยอาหารและไขมันต่ำ ทั้งช่วยชะลอการเพิ่มความเข้มข้นของน้ำตาลในเลือดและทำให้อิ่มทน สำหรับอาหารที่มีเครื่องเทศสูงของ “ไทยและมาเลเซีย” สามารถทำให้คนอเมริกันหลั่งน้ำตามานักต่อนักด้วยความซาบซึ้งว่า ได้กินของดีที่ทำให้แสบร้อนตั้งแต่รากผมถึงปลายเท้า เพราะเครื่องเทศในอาหาร เช่น ขมิ้นซึ่งมีสารเคอร์คิวมิน (curcumin) ช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานจากอาหาร ส่งผลให้กินช้าลงเพราะต้องคอยซดน้ำเปล่าล้างความเผ็ดร้อนและอิ่มก่อนที่ร่างกายจะถึงจุดอิ่มจริง ซึ่งต่างจากอาหารของชาวอเมริกัน ซึ่งมักทำให้รู้สึกอิ่มหลังจากกินเกินเข้าไปแล้ว เนื่องจากอาหารไขมันสูงมักทำให้เรารู้สึกอร่อยจนหยุดไม่อยู่ ปรัชญาการไม่พลาดอาหารเช้าของชาว “เยอรมัน” นั้น ดูขัดความรู้สึกว่ามันน่าจะทำให้อ้วน แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนว่า อาหารเช้าช่วยให้น้ำหนักลดถ้าเริ่มอย่างถูกต้อง คือ มีไข่ ธัญพืชทั้งเมล็ดและผลไม้ เพื่อเปิดสวิทช์การใช้พลังงานในร่างกายและตอบสนองความต้องการของสมอง ซึ่งลดโอกาสการตะกายหาอาหารกิน (เกิน)ในช่วงสายเหมือนคนละเลยอาหารเช้า ที่มาแปลกแต่ดูเป็นประโยชน์มากคือ ความคิดของชาวดัชท์ใน “เนเธอร์แลนด์” เกี่ยวกับการขยับแข้งขยับขาก่อนกินอาหาร โดยชาวดัทช์มักถีบจักรยานเพื่อไปซื้ออาหารมากิน ต่างจากชาวอเมริกันที่นิยมระบบ Drive in เพื่อซื้ออาหารจานด่วนมานั่งคุดคู้กินในรถ ที่น่าสนใจคือ ในเนเธอร์แลนด์นั้นจำนวนจักรยานมีมากกว่าจำนวนพลเมืองเสียอีก และกว่าครึ่งของชาวดัทช์ใช้จักรยานในการเดินทางประจำวัน ซึ่งเผาผลาญพลังงานได้ราว 550 แคลอรีต่อชั่วโมง ผู้คนรอบทะเลเมดิเตอเรเนียน เช่น “กรีก” รวมทั้งชาวเอเชียมองเนื้อสัตว์เป็นเพียงส่วนเสริมของมื้ออาหารโดยให้ความสนใจกับพืชผักท้องถิ่น เช่น น้ำมันมะกอก มะเขือต่างๆ และมองหาโปรตีนที่มาจากถั่ว ซึ่งตรงกันข้ามกับความคิดแบบอเมริกันๆ ที่ให้เนื้อสัตว์และมันฝรั่งเป็นองค์ประกอบหลักของอาหารแต่ละมื้อ สำหรับเครื่องดื่มในมื้ออาหารนั้นชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่รู้จักศีลข้อ 5 เรื่องห้ามดื่มสุรา เบียร์จึงขายดีมาก ต่างจากชาว “อัฟริกาใต้” ที่นิยมดื่มชาแดงรอยบอส (Rooibos) ซึ่งถูกสกัดจากใบและกิ่งของต้น แอสปาเลตัสลีเนียรีส (Aspalathus linearis) ซึ่งเป็นไม้พุ่มและขึ้นที่เดียวในโลกคือ อัฟริกาใต้ ชานี้มีความหอมและรสชาติดีพร้อมคาเท็คชิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ปราศจากคาเฟอีนและมีแทนนินต่ำ แต่ถ้าเป็นความยากลำบากในการหาชาดังกล่าว ไทยมีชาสมุนไพรเพื่อสุขภาพมากมายหลายชนิด ที่ผู้เขียนขอแนะนำให้ชาวอเมริกันคือ ชามะตูม เพราะทั้งหอมและมีรสละมุน การปรับให้อาหารกลางวันเป็นมื้อหลักแทนอาหารค่ำตามพฤติกรรมการกินของ “ชาวยุโรปและเม็กซิโก” น่าจะดีกว่าการที่ชาวอเมริกันชอบยกเลิกมื้อเช้า กินกลางวันให้น้อยหน่อย เพื่อสงวนกระเพาะอาหารสำหรับมื้อเย็นพร้อมการสังสรรค์ จากนั้นก็ไปนอนเพื่อให้อาหารถูกย่อยกลายเป็นพลังงานสำหรับสร้างไขมันสะสมที่พุง สารคดีในโทรทัศน์บางเรื่องให้ความรู้เกี่ยวกับการกินอาหารของชาวยุโรปว่า มีความพิถีพิถันในการปรุงและตั้งราคาให้แพงเข้าไว้ จึงต้องกินแต่เพียงน้อย สุขภาพของคนที่กินอาหารตามแบบยุโรปจึงค่อนข้างดีกว่าคนที่กินอาหารแบบอเมริกัน ปัญหาของคนที่ชอบกินของอร่อยและลดน้ำหนักไม่ได้คือ กินเร็ว แบบว่าชอบออกกำลังแขนด้วยการยกช้อนส้อมด้วยความถี่สูง มีผู้ช่างสังเกตพบว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 28 ได้พบหน้าคนในครอบครัวที่โต๊ะอาหารมื้อเย็น ในขณะที่ชาว “ฝรั่งเศส” ร้อยละ 92 กินอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นประจำในตอนค่ำ ซึ่งการกินอาหารพร้อมกันนั้นทำให้ต้องกินช้า (มิเช่นนั้นอาหารอาจติดคอเวลาพูดคุยกัน) นักสรีรวิทยากล่าวว่า ระหว่างการเคี้ยวข้าวให้แหลกในปากนั้น จะมีการย่อยแป้งด้วยเอนไซม์อมัยเลสจากน้ำลาย ก่อให้เกิดน้ำตาลกลูโคส ซึ่งถูกดูดซึมเข้าเลือดส่งไปยังสมองทำให้รู้สึกอิ่ม ซึ่งต่างจากคนที่กลืนข้าวโดยไม่เคี้ยวจะอิ่มช้ากว่า จึงกินได้มากกว่าและอ้วนกว่า การเพิ่มปลาและอาหารทะเลอื่นในมื้ออาหารมากขึ้นตามแบบพฤติกรรมการบริโภคของชาว “ญี่ปุ่นและดัทช์” นั้น ทำให้ผู้บริโภคได้กรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโอเมกาสาม ซึ่งเชื่อกันว่ากระตุ้นการทำงานของสมองเด็ก ลดความเสี่ยงต่อปัญหาของเส้นเลือดหัวใจ และลดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งเพิ่มการสะสมของไขมันหน้าท้อง ที่สำคัญอาหารทะเลส่วนใหญ่เว้นปลาหมึกมีไขมันต่ำผู้บริโภคจึงมักกินกันได้เต็มที่ ลักษณะพิเศษชาวญี่ปุ่นซึ่งชาวอเมริกันค่อนข้างชื่นชมแกมอิจฉาคือ ไม่ค่อยอ้วนเมื่อแก่ โดยเฉพาะเมื่อชะแง้แลดูชาวโอกินาวา ซึ่งมีพฤติกรรมการกินแบบที่เรียกว่า ฮารา ฮาชิ บุ (hara hachi bu) ซึ่งหมายความว่า ให้หยุดกินเมื่อเริ่มอิ่ม เพราะถ้ารอให้รู้สึกอิ่มจริง กระเพาะจะขยายตัวเองใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการเดินออกจากโต๊ะอาหาร หลังจากจ่ายค่าอาหารแล้วอย่างเร็วโดยไม่อ้อยอิ่งเติมของหวาน นำไปสู่การมีดัชนีมวลกายที่ดูดี ชาวโอกินาวานั้นมีค่าดัชนีมวลกายเฉลี่ย 21.5 ในขณะที่ชาวอเมริกันตัวเลขอยู่ที่ 28 ส่วนคนไทยก็ตัวใครตัวมันนะครับท่าน ที่เขียนให้อ่านนี้ก็เพียงหวังว่า ท่านผู้อ่านที่ฉลาดซื้อ จะสนใจหยิบยกเรื่องราวดี ๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันบ้างไม่มากก็น้อย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 119 เชื่อหรือไม่ นิสัยกำหนดได้ด้วยอาหาร

  ท่านผู้อ่าน “ฉลาดซื้อ” คงเคยตั้งคำถามถามตัวเองว่า ทำไมคนบางคนถึงมีพฤติกรรมได้สุดๆ อย่างไม่น่าเชื่อ เช่น พูดอะไรออกมาทางโทรทัศน์ผู้ชมจะต้องผรุสวาทด่าทอกลับไปทันที หรือหนักกว่านั้นอาจทำร้ายโทรทัศน์ของตนเองฐานไม่รู้จักดูดเสียงเหมือนเวลาเราดูละครน้ำเน่า อีกตัวอย่างคือ มีนักข่าวชาวอาหรับคนหนึ่งที่ถอดรองเท้าขว้างใส่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แล้วตามต่อมาด้วยการทำรองเท้า ทำเสื้อ ทำของที่ระลึกถึงวีรเวรการขว้างรองเท้าออกมาขาย จนสุดท้ายท่านอาจถามตัวเองอีกว่า แล้วคนที่ซื้อของที่ระลึกประเภทนี้ คิดได้อย่างไรจึงซื้อ การที่คนมีพฤติกรรมแปลกออกไปจากส่วนใหญ่ของสังคมนี้ ท่านผู้อ่านอาจรู้สึกประหลาดใจถ้าผู้เขียนจะบอกว่า สงสัยแม่เขากินไม่ดีตอนท้องเขา ทั้งนี้เพราะปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่า การแสดงออกของคน และสัตว์ต่างๆ เป็นไปตามสิ่งแวดล้อมบางประการที่กำหนดให้ยีนทำงาน และที่สำคัญอาจกำหนดตั้งแต่เขาผู้นั้นอยู่ในท้องแม่   นิสัยจะดีหรือร้ายกำหนดได้ตั้งแต่ในท้องแม่   ในปัจจุบันมีการศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ที่ผสมผสานระหว่างวิชาด้านพันธุศาสตร์และวิชาด้านอาหารจนเกิดเป็นศาสตร์ที่เรียกว่า nutrigenomic ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในอนาคต นอกจากนี้วิทยาศาสตร์ได้ก้าวหน้าไปถึงขั้นหนึ่งที่บอกว่า การทำงานของยีนที่แสดงออกมาในรูปพฤติกรรมต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งรวมไปถึงสุขภาพและการเกิดโรคต่างๆ นั้น มีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งรวมถึงอาหารและสารพิษ เป็นตัวกำหนดการแสดงของยีนได้ ศาสตร์ในเรื่องนี้เรียกรวมกันว่า epigenetics คำว่า epi เป็นคำแสดงถึงลักษณะที่เป็นปัจจัยที่มีผลโดยอ้อม (epi มีรากศัพท์เดิมมาจากความหมายที่ว่า อยู่เหนือขึ้นไปหรืออยู่ข้างบน) ไม่ได้เกี่ยวเนื่องโดยตรงต่อสิ่งที่ถูกกระทบ ส่วนคำว่า genetic นั้นหมายถึง ยีน รวมคำนี้เป็น epigenetic ซึ่งมีความหมายถึง ผลจากภายนอกที่กระทบต่อการทำงานของยีน จากความรู้ด้านพันธุกรรมนั้น ลักษณะที่แสดงออกซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตชั้นสูงทั้งพืชและสัตว์มีลักษณะต่างกันนั้นมีคำรวมที่เรียกว่า ฟีโนไทป์ (phenotype) ซึ่งถูกกำหนดการแสดงออกด้วยลักษณะจำเพาะของยีนที่เราเรียกว่า จีโนไทป์ (genotype) ที่อยู่บนดีเอ็นเอในนิวเคลียสของแต่ละเซลล์ ในการทำงานของยีนที่เป็นส่วนจีโนไทป์นั้นเราอาจใช้คำว่า เป็นการเปิดยีน ซึ่งแต่ละยีนนั้นจะเปิดความเป็นลักษณะเด่นหรือด้อยขึ้นอยู่ว่าได้ยีนใดจากพ่อและแม่ ดังที่เราเคยเรียนกันมาแล้วว่า ในการผสมพันธุ์ดอกไม้ ถ้าสีชมพูเป็นลักษณะเด่นจริงและสีขาวเป็นลักษณะด้อยจริง ลูกรุ่นแรกจะเป็นสีของลักษณะเด่นคือ ชมพู ทั้งหมด แต่ถ้าเอาลูกที่เป็นสีชมพูมาผสมกัน โอกาสที่จะได้ลูกเป็นสีชมพูต่อขาวคือ 3:1 ตามกฏของเมนเดล  แต่กฏของเมนเดลซึ่งเสนอโดยนักบวชชาวออสเตรียนั้น ปัจจุบันไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างที่ผู้เขียนเรียนเมื่อราว 40 ปี ที่แล้ว เพราะการแสดงออกของหน่วยพันธุกรรมคือ ยีน บนดีเอ็นเอนั้น ถูกกำหนดให้ปิดหรือเปิดด้วยอาหารที่แม่กินตอนท้อง ที่ซ้ำร้ายมีผู้กล่าวว่าขนาดยายกินอะไรตอนท้องแม่ส่งผลไปถึงแม่ตอนท้องหลานด้วยซ้ำ ในความรู้ด้าน epigenetic นั้น นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาในสัตว์ทดลองให้เห็นชัดว่า การกินอาหารขาดไวตามินบางชนิดคือ กรดโฟลิก (ซึ่งต้องทำงานร่วมกับไวตามินบี6 และไวตามินบี12 ในร่างกายสิ่งมีชีวิตชั้นสูง) นั้น การแสดงออกของยีนในสัตว์ที่มีหน่วยพันธุกรรมเหมือนกันกลับต่างกัน มีหนูทดลองประเภทหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่าเป็นหนู agouti มีความพิเศษที่เมื่อหนูประเภทนี้ท้องแล้วนักวิทยาศาสตร์สามารถใช้สารอาหารกำหนดสีขนของลูกหนูที่กำเนิดได้ คำว่า agouti นั้นเป็นคำอธิบายลักษณะสีขนของสัตว์ไม่ว่าจะเป็น หนู แมว สุนัข ม้า ฯลฯ ที่มีลักษณะสีขนถูกควบคุมด้วยลักษณะพันธุกรรมมากกว่าหนึ่งยีน และสามารถแสดงผลออกมาให้เห็นเป็นสีขนที่ต่างกันได้ ความแตกต่างของสีขนนี้อาจเป็นสีเดียวทั้งตัวที่ต่างกัน หรือหลายเฉดสีในตัวเดียวกัน เช่น ม้า ที่นำรูปมาให้ดู ในกรณีแม่หนู agouti นั้น ถ้าช่วงที่ท้องได้กินอาหารที่มีกรดโฟลิกน้อยหรือไม่มีเลย จะออกลูกมามีขนสีเหลืองทอง แต่ถ้าแม่หนูกินอาหารมีกรดโฟลิกครบ จะออกลูกมีขนสีน้ำตาลเข้ม   สำหรับอีกการทดลองหนึ่งได้เปลี่ยนจากกรดโฟลิกเป็นสารเจ็นนิสตีนซึ่งพบในถั่วเหลืองผสมในอาหารหนูก็ได้ผลเหมือนกันคือ ถ้าแม่หนูได้กินเจ็นนิสตีน ลูกออกมาจะมีขนสีน้ำตาลปรกติ ทั้งที่แม่ไม่ต้องกินกรดโฟลิก  และอีกตัวอย่างหนึ่งที่มีการศึกษาให้หนูท้องได้กินอาหารผสมสารพิษคือ บิสฟีนอลเอ (ซึ่งเป็นสารที่ใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติกชนิดโพลีคาร์บอเนต ซึ่งเป็นพลาสติกแข็งใส นิยมทำภาชนะบรรจุอาหารรวมไปถึงขวดนมเด็กทารกนั้น) ก็ปรากฏว่า ลูกหนูที่ออกมามีขนสีเหลืองทองเช่นกัน เพราะสารบิสฟีนอลเอนั้นไปออกฤทธิ์ทำให้เสมือนแม่หนูที่ตั้งท้องนั้นไม่ได้รับกรดโฟลิกเพียงพอ ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์สรุปถึงความสำคัญของกรดโฟลิกในการแสดงออกของยีนสีขน ที่สำคัญ หนู agouti ที่มีขนสีเหลืองนี้ จะมีอาการที่เป็นผลพลอยได้จากการมีขนสวยคือ เป็นเบาหวานแต่กำเนิด และมีอัตราการตายด้วยมะเร็งสูงมากกว่าหนูขนสีน้ำตาลปรกติ อาการแทรกซ้อนของการขาดกรดโฟลิกในสัตว์นั้น เป็นสิ่งที่เกิดในคนเช่นกันแต่เป็นคนละอาการ   กรดโฟลิกกับมะเร็ง เป็นที่ทราบกันดีว่าถ้าแม่ท้องแล้วกินอาหารขาดกรดโฟลิกหรือได้ต่ำเกินไป ลูกที่ออกมาจะมีความเสี่ยงต่ออาการที่เรียกว่า NTD หรือ neural tube defect เช่น อาการกระโหลกปิดไม่สนิท ซึ่งเรียกตามภาษาแพทย์ว่า Anencephaly หรืออาการที่เรียกว่า Spina bifida ซึ่งมีอาการโดยรวมเหมือนมีหางออกมาจากปลายกระดูกสันหลัง  ส่วนใหญ่ทารกที่เกิดดังกล่าวนี้อาจพิการหรือตายคลอด ขึ้นกับความรุนแรงของอาการที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน เพียงแต่ทราบว่าการขาดกรดโฟลิกนั้นเพิ่มความเสี่ยงต่อการพิการนี้   ปัจจุบันนี้เราค่อนข้างจะมั่นใจว่า การขาดกรดโฟลิกนั้นส่งผลในการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งโดยรวม เนื่องจากกรดโฟลิก(หรือบางครั้งเรียกว่า โฟเลท) นั้นเป็นไวตามินที่มีความสำคัญต่อการแบ่งเซลล์และการซ่อมแซมหน่วยพันธุกรรมเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้การทำงานของกรดโฟลิก ไวตามินบี 6 และไวตามินบี 12 นั้นช่วยให้การทำงานของยีนในร่างกายเราดำเนินไปอย่างปรกติ ไม่เพี้ยนจนเป็นมะเร็ง ในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญเกี่ยวกับกรดโฟลิกมาก และอยู่ในระหว่างการพิจารณาว่า ต้องแนะนำให้ประชาชนเน้นการบริโภคอาหารที่มีกรดโฟลิกเป็นประจำเพื่อป้องกันมะเร็งหรือไม่  กรดโฟลิกนั้นมีมากในเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ผลไม้หลายชนิด ผักใบเขียว เมล็ดดอกทานตะวันและถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ เป็นต้น ไวตามินนี้ต้องทำงานร่วมกันกับไวตามินบี 6 และไวตามินบี 12 ในการชลอความเสื่อมสภาพของร่างกายซึ่งเป็นไปตามวัย ได้แก่ ความแก่ โรคหัวใจ และมะเร็ง เป็นต้น  การทำวิจัยเพื่อให้ได้สารอาหารที่ช่วยให้สุขภาพยีนในเซลล์ดีนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าในอนาคตเราสามารถหาสารอาหารที่ทำให้เด็ก (ซึ่งเป็นไม้อ่อนดัดได้) มีโอกาสได้รับสารอาหารที่กำหนดให้ยีนการเป็นคนดี สุภาพ มีศีลธรรม เข้าใจหน้าที่ของตนว่า เมื่อได้รับเลือกให้ทำอะไร ก็ทำหน้าที่นั้นอย่างดีให้สมบูรณ์แบบ ไม่เหมือนคนบางอาชีพที่อยู่ดี ๆ ก็ถอดเกือกที่ใส่เพื่อแสดงความทรงเกียรติมาวางบนโต๊ะ เสมือนเตรียมขว้างหน้าฝ่ายตรงข้าม หรือให้นักข่าวถ่ายรูปไปลงหนังสือพิมพ์เพื่อแสดงความ โหด มัน ฮา

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 120 คืนวันอันพิเศษกับการบริโภคอันล้นเกิน

  คุณผู้อ่านเคยสงสัยกันไหมครับว่า ช่วงเวลาใดในชีวิตที่มนุษย์อย่างเรา ๆ จะบริโภควัตถุกันอย่างเข้มข้นและมากมายที่สุด คำตอบก็คือ ช่วงเวลาพิเศษที่เราปลีกตัวออกไปอยู่ในสภาวะที่แปลกและแตกต่างไปจากชีวิตปกติประจำวัน   และที่สำคัญ ช่วงเวลาพิเศษแบบนี้แหละครับ ที่โฆษณาจะมีอำนาจในการขยายพฤติกรรมการบริโภคของมนุษยชาติให้ล้นเกินไปจากความต้องการพื้นฐานของเรา ก็ดังที่เราได้เห็นจากโฆษณาโลชั่นบำรุงผิวยี่ห้อหนึ่ง ที่นักการตลาดได้ผูกความเรื่องราวของคู่รักข้าวใหม่ปลามันในช่วงเวลาพิเศษอย่างช่วงฮันนีมูนอันแสนหวาน และใช้ฉากในพื้นที่พิเศษที่อยู่ไกลโพ้นถึงนครปารีสดินแดนน้ำหอม   โฆษณาชิ้นนี้เริ่มต้นด้วยการจับภาพของหอไอเฟล ที่มองผ่านสายตาของคู่ฮันนีมูนจากแดนสยาม และมีเสียงผู้บรรยายกล่าวกับผู้ชมขึ้นว่า “...(ชื่อผลิตภัณฑ์)...ค้นพบคนที่ต้องการมีผิวเนียนนุ่ม...”   แล้วจากนั้น ภาพก็ตัดมาที่ชายหนุ่มซึ่งกุมมือภรรยาสาวอยู่กลางสวนแห่งหนึ่งของกรุงปารีส ภรรยาสารภาพกับกล้องว่า “ช่วงฮันนีมูน ฉันไม่อยากให้ผิวแห้งกร้าน ฉันจึงใช้...(ชื่อแบรนด์ของโลชั่นดังกล่าว)...ผิวจะได้ชุ่มชื่นตลอด 24 ชั่วโมง...” แล้วโฆษณาก็ฉายภาพของเธอกำลังชะโลมโลชั่นให้ผิวกายนุ่มเนียน ภาพโฆษณาตัดสลับไปมาระหว่างทัศนียภาพของกรุงปารีส จากหอไอเฟล ผ่านย่านต่างๆ ในตัวเมือง จนถึงภาพของมหาวิหาร Notre Dame de Paris สลับกับภาพของคู่รักใหม่ที่นั่งกอดเอวกัน กุมมือกัน ควงโอบกันไปชื่นชมราตรีของปารีส ดื่มด่ำกับดนตรีที่บรรเลงริมแม่น้ำ Seines และยืนเต้นรำกันอยู่ริมถนนสายหนึ่ง ภาพที่ตัดสลับกันไปมานี้ก็เหมือนกับจะเป็นการสื่อสารกับผู้ชม ถึงความหมายและความสุขที่คู่ฮันนีมูนได้รับในช่วงเวลาอันเป็นพิเศษสุด และกับคืนวันอันพิเศษเยี่ยงนี้ ชายหนุ่มก็ได้เอ่ยสารภาพกับกล้องว่า “เราสองคนแทบจะไม่อยากปล่อยมือออกจากกันและกันเลย” และสาวเจ้าก็พูดโต้กลับแบบค้อนๆ ว่า “คุณต่างหาก...ไม่ใช่ฉัน...” โฆษณามาจบที่ประโยคของชายหนุ่มที่พูดขึ้นว่า “ผมไม่เคยคิดเลยนะครับว่า ผิวของเธอจะนุ่มอย่างนี้” โดยที่หญิงคนรักได้เอาศอกกระทุ้งเอวเขาเบาๆ ก่อนจะกล่าวว่า “อะไรนะคะ” แล้วภาพก็ปิดลงที่ฉากของมหาวิหาร Notre Dame ที่แสงของวันคืนค่อย ๆ เปลี่ยนไป คุณผู้อ่านนึกฉงนหรือไม่ครับว่า แล้วช่วงเวลาพิเศษอย่างการเดินทางไปฮันนีมูนนั้น สัมพันธ์อย่างไรกับพฤติกรรมการบริโภคของมนุษย์เรา ถ้าสังเกตในโฆษณากันดี ๆ ช่วงเวลาพิเศษถือเป็นช่วงที่ผิดแผกแตกต่างไปจากชีวิตประจำวันของคนเรา เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นห้วงเวลาและพื้นที่ที่แตกต่างออกไป ธรรมเนียมปฏิบัติของเราก็เลยต้องผิดแหวกและหวือหวาเกินไปกว่าภาวะปกติ แบบเดียวกับที่ตัวละครก็จะมีการเดินทางที่มากไปกว่าปกติ(ชนิดข้ามฟ้ากันไปไกลถึงยุโรป) แต่งตัวให้ดูโก้เก๋ไปกว่าชีวิตประจำวัน เกาะกุมมือและเดินโอบเอวกันมากกว่าช่วงเวลาทั่วไป หรือแม้แต่ประกอบกิจกรรมอันใดที่อาจจะไม่เคยได้ทำกันมาก่อนเลยในชีวิต อย่างเช่น การเต้นรำคลอกับแสงจันทร์และเสียงดนตรีอยู่ริมบาทวิถีของนครปารีส   และเพราะอยู่ในช่วงเวลาที่พิเศษกับการสร้างวัตรปฏิบัติที่พิเศษออกไป มนุษย์เราจึงต้องการการบริโภควัตถุบางอย่างที่ออกจะล้นเกินไปจากความจำเป็นพื้นฐานของชีวิต ด้วยสภาวะอากาศของปารีสที่หนาวและแตกต่างอย่างยิ่งกับภูมิอากาศเมืองร้อนของไทย ประกอบกับมือของคู่รักที่เกาะกุมกันไว้แทบไม่ปล่อยออกจากกันเลยในช่วงแห่งการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ผิวและมืออันแห่งกร้านก็เลยกลายเป็นอุปสรรคต่อความสุขของคู่วิวาห์มือใหม่ไปโดยปริยาย เพราะฉะนั้น ในการนี้ วัตถุหรือสินค้าต่างๆ จึงได้เสนอตัวออกมาเพื่อขจัดปัดเป่าปัญหา และทำให้ช่วงเวลาพิเศษกลายเป็นสภาวะพิเศษจริง ๆ อันจะส่งผลให้ช่วงเวลาดังกล่าวกลายเป็นความทรงจำที่ทรงคุณค่าของชีวิตไปในที่สุด   ก็เช่นเดียวกับที่คุณผู้อ่านหลายท่านก็คงจะสังเกตได้ว่า ในวาระโอกาสพิเศษอย่างการไปเที่ยวสถานที่ไกลๆ หรือไปท่องเที่ยวฮันนีมูนยังต่างประเทศนั้น มนุษย์เราก็พร้อมจะซื้อ จะจ่าย จะเสพ หรือจะบริโภควัตถุต่าง ๆ รอบตัว ชนิดว่ามากล้นเกินกว่ามาตรฐานการครองชีพทั่วไป ยิ่งเสริมด้วยมนต์เสน่ห์แห่งแม่น้ำ Seines และมหานครปารีสด้วยแล้ว คนรักสาวที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาไกลจากแดนสยาม ก็พร้อมจะชะโลมโลชั่นและอบร่ำประทินผลิตภัณฑ์ปริมาณมหาศาลไปทั่วองคาพยพร่างกาย ด้วยเหตุดังกล่าว จึงไม่มีช่วงเวลาใดอีกแล้วที่มนุษย์เราจะยินดีและยินยอมที่จะขยับขยายพฤติกรรมการบริโภคของตนให้เป็นไปอย่างเข้มข้น เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาพิเศษที่เราสร้างขึ้นให้กับชีวิต(แบบช่วงท่องเที่ยวดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์) อันเป็นจังหวะชีวิตที่สินค้าและบริการต่าง ๆ จะเปล่งประกายอำนาจเข้ามากำกับและชโลมเคลือบอยู่ทั่วสรรพางค์กายของเรา โดยปกติแล้ว ช่วงเวลาพิเศษนั้นเป็นความจำเป็นของชีวิตผู้คนในทุกยุคทุกสมัย ที่จะหาจังหวะโอกาสในการประกอบกิจกรรมหรือออกแบบพฤติกรรมใดๆ ก็ตาม ที่เลี่ยงหลบและตื่นตาไปจากความซ้ำซากของชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น ในวโรกาสพิเศษแบบนี้ การกิน การนอน และการใช้ชีวิต จึงเอื้อให้เราได้มีประสบการณ์แปลกๆ ใหม่ๆ กับโลกที่แตกต่างไปกว่าแค่การตื่นขึ้นมา แต่งตัวไปทำงานและกลับมาบ้าน กินข้าวอาบน้ำ แล้วก็เข้านอน จนซ้ำซากวนเวียนเป็นวัฏจักร แต่ก็นั่นแหละครับ ช่วงเวลาพิเศษเยี่ยงนี้ก็อาจจะกลายเป็นจังหวะเวลาที่เปราะบางของชีวิต ที่มนุษย์เรามักจะถูกยวนเย้าให้เหหันไปหาศิลปะแห่งการบริโภคและปรุงแต่งการใช้ชีวิตแบบใหม่ๆ ขึ้นมา และเราเองก็จะได้ละเลงโลชั่นกันแบบมากล้น การบริโภคไม่ได้มีความผิดอันใดในตัว เพราะมนุษย์ทุกคนก็ต้องเสพวัตถุต่างๆ เพื่อดำรงชีวิตเป็นพื้นฐานกันอยู่แล้ว แต่กับคืนวันอันพิเศษและการบริโภคแบบที่ล้นเกินความจำเป็นนั้น ก็อาจเป็นเรื่องที่น่าคิดยิ่งนักสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุกวันนี้เช่นกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 86 แอบดูร้านเน็ต รอบรั้วโรงเรียน

ปัจจุบันธุรกิจอีกหนึ่งชนิดที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็นในบริเวณรอบๆสถาบันการศึกษา ได้แก่ร้านอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตนั้นเพิ่มขึ้นแน่นอน ข้อมูลจากสถาบันรามจิตติก็ระบุว่าร้อยละ 25 ของเด็กไทย เข้าอินเทอร์เน็ตทุกวันหลายคนเห็นว่าการมีร้านดังกล่าวเป็นสิ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้เด็กสามารถค้นคว้าหาข้อมูล ทั้งมาทำการบ้านตามที่อาจารย์สั่ง ทั้งได้เปิดโลกทัศน์จากเว็บไซต์เผยแพร่ความรู้ต่างๆ แต่บางคนก็วิตกว่าจะเป็นแหล่งชุมนุมของเด็กๆที่นิยมเกมออนไลน์ เข้าไปดูภาพลามกอนาจาร หรือสนทนากับคนแปลกหน้าผ่านโปรแกรมแชทต่างๆ อย่างที่เคยได้ยินข่าวกันเสียมากกว่า จะนั่งสงสัยอยู่ก็ใช่ที่ ฉลาดซื้อร่วมกับเครือข่ายศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพ ภาคประชาชน ในจังหวัด ลำปาง เพชรบูรณ์ กาญจนบุรี ลพบุรี ตราด สมุทรสงคราม สตูล และยะลา จึงส่งสายสืบไปคุยกับเด็กๆที่เข้าใช้บริการในร้านอินเทอร์เน็ตบริเวณรอบๆ โรงเรียน ว่าพวกเขาใช้เงิน ใช้เวลาในนั้นอย่างไรสายสืบของเรา หลอก เอ้ย สอบถามข้อมูลจากเด็กนักเรียน 346 คน จากจังหวัดต่างๆ เป็นเด็กชายและเด็กหญิงอย่างละครึ่ง และในกลุ่มที่เราสำรวจนั้น มีถึงร้อยละ 20 เป็นเด็กชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า รองลงมาได้แก่เด็กใน มัธยมสี่และสามเข้าร้านเน็ตกันบ่อยไหม ?เกือบร้อยละ 30 ของเด็กกลุ่มนี้ เข้าร้านเน็ตสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ประมาณร้อยละ 20 เข้าเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ที่เข้าทุกวันมีร้อยละ 13 ช่วงเวลาที่เด็กๆ เข้าใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดได้แก่ 4 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม (ร้อยละ 47) รองลงมาคือช่วงบ่ายโมง ถึง 4 โมงเย็น (ร้อยละ 19) ตามด้วยช่วง 8 โมงเช้า ถึงเที่ยง (ร้อยละ 15)ใช้อินเทอร์เน็ตทำอะไรกันบ้าง ?กิจกรรมที่ทำมากเป็นอันดับหนึ่ง ได้แก่ กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการเรียน เช่นหาข้อมูลทำรายงาน  รองลงมาคือการเล่นเกมส์ออนไลน์และการสนทนาออนไลน์ หาข้อมูลทำรายงาน          ร้อยละ 68เล่นเกมส์ออนไลน์             ร้อยละ 54สนทนาออนไลน์*              ร้อยละ 48หาข้อมูลเพื่อความบันเทิง (เช่น หาข้อมูลดารา/นักร้องที่ชอบ)    ร้อยละ 30ดาวน์โหลดเพลง            ร้อยละ 26*ในกลุ่มที่เราสำรวจ โปรแกรม/เว็บสนทนาที่นิยมใช้มากที่สุดได้แก่ MSN (ร้อยละ 59) ตามด้วย Hi5 เว็บที่เป็นข่าวฮือฮากันอยู่ขณะนี้ (ร้อยละ 20)>> และเมื่อถามเด็กๆว่า สิ่งพวกเขาใช้ประโยชน์มากที่สุดจากอินเทอร์เน็ตได้แก่อะไร คำตอบคือ เพื่อการศึกษาและเพื่อเล่นเกมส์ในระดับที่พอๆกัน (ร้อยละ 41 และ 40 ตามลำดับ) กลุ่มที่ใช้เพื่อการศึกษานั้น 1 ใน 4 เป็นเด็กชั้นมัธยมปีที่ 5 กลุ่มที่ใช้เพื่อเล่นเกม ร้อยละ 18 เป็นเด็กชั้นมัธยมปีที่ 1 อยู่ในร้านกันนานแค่ไหนเด็กๆส่วนใหญ่ (ร้อยละ 47) ตอบว่าใช้เวลาในการเข้าอินเทอร์เน็ตแต่ละครั้ง ประมาณ 2 ชั่วโมงมีประมาณ ร้อยละ 18 ที่ใช้เวลามากกว่า 3 ชั่วโมงต่อครั้งกลุ่มที่ใช้เวลา 2 ชั่วโมง นั้น ร้อยละ 47 ใช้เพื่อการศึกษา ที่เหลือใช้เพื่อเล่นเกม แชท หรือ ดูข่าวบันเทิงกลุ่มที่ใช้เวลา 3 ชั่วโมง นั้น ร้อยละ 51 ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการเล่นเกมกลุ่มที่อยู่นานกว่า 5 ชั่วโมงนั้น เกือบร้อยละ 70 ใช้เพื่อเล่นเกมเช่นกัน แล้วเล่นเกมอะไรกันบ้างเกมยอดนิยมในหมู่เด็กๆที่เราไปสำรวจ ได้แก่เกมแนวต่อสู้ (ร้อยละ 41) รองลงมาได้แก่เกมกีฬา (ร้อยละ 20) ตามด้วยเกมทำครัวและแฟชั่น (ร้อยละ 12)เอาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายที่ร้านเน็ตร้านอินเทอร์เน็ตเหล่านี้คิดค่าบริการ 10/15/20 บาท ต่อชั่วโมง เกือบร้อยละ 60 ของเด็กๆเหล่านี้ บอกว่าขอเงินจากพ่อแม่มาใช้บริการ อีกประมาณร้อยละ 39 บอกว่าใช้เงินที่เก็บสะสมไว้ ส่วนที่เหลืออีกไม่กี่คนนั้นได้เงินจากญาติหรือเพื่อนส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนั้น เกือบครึ่งหนึ่งของเด็กๆ บอกว่าใช้ไม่เกิน  50 บาทต่อสัปดาห์ ร้อยละ 32 ใช้ไม่เกิน 100 บาทต่อสัปดาห์ ร้อยละ 17 ใช้ระหว่าง 100 – 300 บาท เด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชาย มีพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตที่แตกต่างกัน หรือไม่กลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษานั้นเป็นเด็กหญิงร้อยละ 62 เด็กชายร้อยละ 38กลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเล่นเกมส์นั้นเป็นเด็กชายร้อยละ 67 เด็กหญิงร้อยละ 33กลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตไม่เกิน 2 ชั่วโมงนั้น จะเป็นเด็กหญิงมากกว่าเด็กชาย แต่ในกลุ่มที่อยู่ในร้าน 3 ชั่วโมงขึ้นไป จะเป็นเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง ======>>> ตามกฎหมายแล้ว ร้านจะต้องไม่ให้เด็กเข้าใช้บริการหลังเวลาสี่ทุ่ม แต่สายสืบของเราพบว่าร้อยละ 19 ของร้านอินเทอร์เน็ตในบริเวณรอบๆโรงเรียนในเขตที่เราไปสำรวจนั้นยังมีเด็กๆเข้าใช้บริการอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดตราด มีร้านที่ยังให้บริการกับเด็กหลังสี่ทุ่มถึง 9 ร้าน จากทั้งหมด 20 ร้าน ที่เราไปสังเกตการณ์

อ่านเพิ่มเติม >