ฉบับที่ 244 ข่าวดีเพิ่มเติมจากยาสูบ

        ข้อมูลส่วนใหญ่ที่สืบค้นได้ในประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้ยาสูบสายพันธุ์ออสเตรเลียสู้ไวรัสนั้น มักเป็นไปในด้านการดัดแปลงพันธุกรรมให้ใบยาสูบสร้างโปรตีนที่เป็นแอนติบอดีสู้กับเชื้อโรค (neutralizing antibody) ดังที่เล่าให้ฟังในฉลาดซื้อประจำเดือนมีนาคม 2564 อย่างไรก็ดีได้มีคำถามถึงการใช้ใบยาสูบเพื่อผลิตโปรตีนที่ทำหน้าที่ในวัคซีนเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต้านเชื้อโรคมีบ้างไหม ซึ่งคำตอบคือ มี         บทความชื่อ Potential Applications of Plant Biotechnology against SARS-CoV-2 ตีพิมพ์ในวารสาร Trends in Plant Science ในปี 2020 นั้น ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการหาทางต่อสู้ covid-19 โดยอาศัยใบยาสูบช่วยในการผลิตวัคซีน ข้อความส่วนหนึ่งในบทความกล่าวประมาณว่า...         “อย่างน้อยก็มีบริษัทหนึ่งที่คิดจะพัฒนาวัคซีน covid-19 โดยอาศัยการแสดงออกของยีน (เพื่อสร้างหน่วยย่อยโปรตีนจาก SARS-CoV-2) ในใบยาสูบ บริษัทนั้นคือ Kentucky BioProcessing ในเมือง Owensboro รัฐเคนตักกี สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ British American Tobacco อย่างไรก็ดีรายละเอียดนั้นยังไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะ โดยมีข้อมูลเบื้องต้นว่าน่าจะเป็นการใช้ลำดับโปรตีน S1 ซึ่งเป็นโพลีเป็บไทด์ที่เป็นองค์ประกอบส่วนที่แสดงความแตกต่างระหว่างหนามโปรตีน (spike protein) ของ SARS-CoV-2 และหนามโปรตีนของ coronavirus ชนิดอื่น มาถอดเป็นรหัสพันธุกรรมแล้วใส่เข้าไปในเซลล์ของใบยาสูบ เพื่อบังคับให้ใบยาสูบสร้างโปรตีนซึ่งสามารถแยกออกเป็นโปรตีนบริสุทธิ์ที่มีศักยภาพเป็นแอนติเจน เพื่อใช้ทำเป็นวัคซีนสำหรับฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้าน SARS-CoV-2 ในคน”         กลับมาที่แอนติบอดีที่ผลิตจากใบยาสูบ ซึ่งปรากฏเป็นข่าวในแง่ความปลอดภัยว่าผ่านหรือไม่นั้น ในเว็บ www.sanook.com เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 มีหัวข้อข่าวเรื่อง บริษัทยาสหรัฐแตะเบรก ระงับการทดลองแอนติบอดีรักษาโควิด-19 เหตุกังวลความปลอดภัย บริษัทที่ข่าวกล่าวถึงคือ Eli Lilly & Co ซึ่งได้แถลงการณ์ว่า คณะกรรมการติดตามความปลอดภัยด้านข้อมูลของบริษัทจาก US.FDA ได้แนะนำให้บริษัทระงับการรับอาสาสมัครทดลองการฉีดแอนติบอดีในโครงการทดลองซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา โดยแอนติบอดีชนิดนี้เป็นโมโนโคลนอลแอนติบอดี (monoclonal antibody) ที่ Eli Lilly & Co ต้องการใช้บำบัดอาการของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ควบคู่กับการใช้ยาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) ของบริษัทกิลเลียด ไซแอนเซส (Gilead Sciences)         ต่อมาในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 ได้มีข่าวปรากฏใน https://www.prnewswire.com กล่าวว่า Lilly's neutralizing antibody bamlanivimab (LY-CoV555) receives FDA emergency use authorization for the treatment of recently diagnosed COVID-19 และเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 ในเว็บ https://www.biopharma-reporter.com มีข่าวเรื่อง Canada grants emergency use authorization to Lilly’s COVID-19 antibody, drug maker in strategic manufacturing deal with Samsung ซึ่งเป็นการแสดงว่ามีการอนุมัติแบบฉุกเฉินในการใช้ neutralizing antibody เป็นยาในคนไข้วิกฤตบางกลุ่มเป็นกรณีพิเศษแล้ว         Bamlanivimab เป็นโปรตีนแอนติบอดีที่สามารถจับตัวกับหนามโปรตีนของไวรัส เพื่อยับยั้งการเข้าสู่เซลล์มนุษย์ โดยมีข้อแม้ในการใช้ยาตัวนี้คือ ต้องเป็นคนไข้ covid-19 ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่มีอาการไม่หนักหรือถ้าเป็นเด็กจะต้องมีอายุมากกว่า 12 ปีและมีน้ำหนักอย่างน้อย 40 กิโลกรัม ซึ่งแพทย์ต้องประเมินว่า ถ้าไม่ได้รับการบำบัดด้วยยานี้แล้วมีแนวโน้มว่า จะมีอาการหนักเมื่อเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาล        Bamlanivimab นี้ห้ามใช้กับผู้ป่วยใน (Inpatient) ของโรงพยาบาลซึ่งป่วยเนื่องจาก covid-19 ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและผู้ป่วยที่มีปริมาณออกซิเจนต่ำ (ผู้เขียนเข้าใจว่าเนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้อยู่ในขั้นวิกฤตที่เกิดจาก cytokine storm คือสภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดพลาดและตอบสนองด้านการอักเสบแบบโหมกระหน่ำเกินภาวะควบคุมได้ ส่งผลให้มีการทำลายเซลล์ปอดในคนไข้หลายคน) ยานี้ผ่านการประเมินทั้ง 3 ระยะแล้วในคน แต่ผลจากการประเมินนั้น US.FDA ไม่ประทับใจนัก ซึ่งดูได้จากการกำหนดให้มีข้อแม้ในการใช้ยามากมายซึ่งหาดูได้จากเอกสารหลายชิ้นที่ Eli Lilly & Co เผยแพร่ในเว็บของบริษัท         ตัวอย่างที่สำคัญของข้อมูลที่เป็นข้อจำกัดห้ามใช้คือ ผู้ป่วยต้องไม่เป็น 1. คนขี้แพ้ (allergies) 2. คนท้องหรือเตรียมจะท้อง 3. แม่กำลังให้นมลูก 4. คนไข้โรคร้ายแรงอื่น ๆ หรือ 5. ผู้ที่กำลังกินยาหรือวิตามินเสริมใด ๆ เพื่อการบำบัดโรค และที่สำคัญคือ การใช้ยานี้ในผู้ป่วยจำเป็นต้องให้สู่หลอดเลือดดำโดยผ่านสายน้ำเกลือในปริมาณสูงถึง 700 มิลลิกรัมต่อ 20 มิลลิลิตร ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงได้ถึงขั้น “ตาย” หรืออยู่โรงพยาบาลนานขึ้น เป็นต้น         ต่อคำถามที่อาจมีคือ แอนติบอดีชนิดใดบ้างถูกใช้ในการบำบัดโรคเนื่องจากไวรัสได้จริงแล้วหรือไม่ นั้น ผู้เขียนได้สืบข้อมูลพบว่า มีหลายบทความในอินเตอร์เน็ตที่กล่าวถึงยาชื่อ ZMapp ของ Eli Lilly & Co ที่เคยมีเป็นความหวังในการใช้บำบัดโรค Ebola ที่เกิดจากไวรัสชื่อ Zaire ebolavirus โดยโรคนี้ติดต่อจากคนสู่คน (Human to human transmission) ผ่านการสัมผัสเมือกหรือสารคัดหลั่ง (ปัสสาวะ น้ำลาย เหงื่อ อุจจาระ อาเจียน น้ำนมหรือน้ำอสุจิ) ของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ นอกจากนี้ยังเชื่อว่าสัตว์บางชนิดอาจเป็นพาหะ ได้แก่ ค้างคาวผลไม้ (Fruit Bat) และลิง เป็นต้น         อาการของการติดเชื้อไวรัสอีโบลาโดยทั่วไปเหมือนการติดเชื้อไข้เลือดออกคือ มีอาการไม่เฉพาะเจาะจง ประกอบไปด้วยอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว แต่อาการจะรุนแรงขึ้นถึงขั้นมีเลือดออก ตาเหลือง ตัวเหลือง การทำงานของอวัยวะภายในล้มเหลว นอกจากนี้ให้สงสัยไว้ก่อนในผู้ที่มีประวัติเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลา และ/หรือ มีการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสอีโบลาว่า เป็นผู้อาจติดเชื้อ ซึ่งโดยทั่วไปมักเริ่มมีอาการตั้งแต่ 2-21 วันภายหลังจากสัมผัสกับเชื้อ โรคอีโบลานี้มีความรุนแรงมากเพราะมีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ยสูงถึงราวร้อยละ 50         จากบทความเรื่อง Fighting Ebola with ZMapp: spotlight on plant-made antibody ใน Scientific China Life Sciences ของปี 2014 (doi: 10.1007/s11427-014-4746-7) และบทความเรื่อง Ebola 'Secret Serum': Small Biopharma, The Army, And Big Tobacco ในเว็บ www.forbes.com รวมถึงข้อมูลจาก Wikipedia ทำให้ประมวลรู้เรื่องของ ZMapp ว่า ยานี้ผลิตภายใต้กระบวนการแบบโมโนโคลนอลแอนติบอดีซึ่งมีหลายวิธี แต่วิธีที่เกิดจากการดัดแปลงพันธุกรรมของยาสูบออสเตรเลีย (Nicotiana bethamiana) นั้นเป็นความพยายามของบริษัท Kentucky BioProcessing Inc. ซึ่งหวังว่าจะเป็นยาที่อาจช่วยชีวิตชาวโลกจากโรคอีโบลา         จากข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับ ZMapp นั้นกล่าวประมาณว่า โปรตีนนี้เป็นยาชีวเภสัชภัณฑ์ซึ่งประกอบด้วยโมโนโคลนอลแอนติบอดีที่เป็น chimeric antibodies 3 ชนิดที่ถูกพัฒนาให้ทำงานร่วมกันเพื่อบำบัดโรคอีโบลา คำว่า Chimeric antibody นั้นหมายถึง แอนติบอดีลูกผสมที่เกิดจากการต่อโปรตีนส่วน Fab (ส่วนของแอนติบอดีที่เปลี่ยนแปลงไปตามแอนติเจนที่ต่างกัน) ซึ่งมักผลิตได้จากสัตว์ทดลอง (เช่นหนู) กับโปรตีนส่วน Fc (ส่วนของแอนติบอดีที่คงที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามแอนติเจนที่ต่างกัน) ของแอนติบอดีจากมนุษย์ ทั้งนี้เพื่อลดการกระตุ้นให้เกิดการสร้างแอนติบอดีที่ต่อต้านโปรตีนที่ใช้เป็นยา (ในที่นี้คือ ZMabb) ให้น้อยลง         ยา ZMapp ได้รับการทดสอบกับสัตว์เท่านั้นและยังไม่ได้รับการทดลองแบบ randomized controlled trial ในคน แต่จำเป็นต้องใช้ในมนุษย์อย่างรีบด่วนเพราะในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2014 เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ชาวอเมริกัน 2 คน ชื่อ Dr. Kent Brantly (อาสาสมัครวัย 33 ปีของ โครงการของ Samaritan's Purse ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรของกลุ่มผู้นับถือศาสนาคริสต์) และ Nancy Writebol (อาสาสมัครวัย 59 ปี ที่ไปทำงานช่วยคนไข้อีโบลา) ได้ติดเชื้อในระหว่างการดูแลผู้ป่วยอีโบลาในไลบีเรีย ซึ่งหลังจากได้ยา ZMapp แล้วผู้ป่วยทั้งสองอ้างว่า รู้สึกดีขึ้นและออกจากโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2014 ซึ่งเป็นข่าวโทรทัศน์ที่หาดูได้จาก YouTube เรื่อง How to grow an Ebola vaccine with a tobacco plant (https://www.youtube.com/watch?v=uCW6qeJt-JA)         National Institute of Health (หรือกระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา) เริ่มดำเนินการทดลองประสิทธิภาพของ ZMapp ทางคลินิกในอาสาสมัครจากเซียร์ราเลโอน กินี และไลบีเรีย ในเดือนมกราคม 2015 โดยมีเป้าหมายที่จะทดลองในคน 200 คน แต่การแพร่ระบาดของโรคลดลงส่งผลทำให้ต้องปิดการทดลองก่อนกำหนดในเดือนมกราคม 2016 โดยมีข้อมูล (ที่ไม่สามารถตัดสินทางสถิติ) ว่า ZMapp ช่วยลดอันตรายของโรคราวร้อยละ 40         แม้ว่า ZMapp เคยได้รับการประเมินโดยองค์การอนามัยโลกเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินเนื่องจากมีประโยชน์มากกว่าผลเสียที่เป็นความเสี่ยงก็ตาม แต่ก็มีข้อสังเกตเกี่ยวกับปัญหาของอุณหภูมิของการจัดเก็บระหว่างการขนส่งที่ต้องการความเย็นต่อเนื่อง ในเดือนสิงหาคม 2019 หน่วยงานด้านสุขภาพแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก องค์การอนามัยโลกและสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศหยุดใช้ ZMapp จากนั้นในเดือนตุลาคม 2020 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้อนุมัติยาอีกชนิดหนึ่งในลักษณะเดียวกับ ZMapp ชื่อ Inmazeb ซึ่งเป็นของผสมของโมโนโคลนอลแอนติบอดี 3 ชนิด คือ atoltivimab, maftivimab, และ odesivimab ในการรักษาการติดเชื้อที่เกิดจาก Zaire ebolavirus         ดังนั้นโดยสรุปแล้ว แอนติบอดีสู้ไวรัสที่ผลิตโดยใช้ใบยาสูบจึงมีแค่แนวโน้มที่อาจถูกใช้ได้จริงยามฉุกเฉิน แต่ยังไม่ได้ใช้โดยทั่วไปในขณะที่เขียนบทความนี้

อ่านเพิ่มเติม >