ฉบับที่ 248 โควิด 19 น่ะของจริง แต่ผลิตภัณฑ์บางอย่างอาจจะปลอม?

        ข่าวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด19 จะมีการเผยแพร่ออกมาเรื่อยๆ ล่าสุดมีการนำผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรที่ใช้ในผู้ป่วยจากประเทศจีนเข้ามาขออนุญาตจำหน่ายในไทย โดยยานี้ได้รับอนุญาตในประเทศไทยแล้ว โดยให้สรรพคุณบรรเทาอาการจากไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ ปวดเมื่อยร่างกาย บรรเทาอาการไอ เจ็บคอ ปวดหัว และเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงทำให้ประชาชนต้องการยาสมุนไพรชนิดนี้มาก จึงมีผู้ฉวยโอกาสนำยาปลอมลักลอบมาจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์จำนวนมาก และยังขายในราคาแพงกว่ายาจริงอีกด้วย        จากข้อมูลที่ได้รับแจ้งจากผู้บริโภคพบว่าจำหน่ายถึงราคากล่องละ 350-380 บาท ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรของแท้ราคากล่องละ 279 บาทเท่านั้น ซึ่งล่าสุดผู้นำเข้ายาสมุนไพรนี้ได้แจ้งความเพื่อให้ตำรวจติดตามดำเนินคดีแล้ว         สมุนไพรจากจีนยังมีมาอีกเรื่อยๆ ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา พบการโฆษณาขายผลิตภัณฑ์สเปรย์พ่นจมูกต้านเชื้อแบคทีเรีย ทางสื่อออนไลน์ โดยระบุสรรพคุณว่า สมุนไพรชนิดนี้ ใช้สเปรย์พ่นจมูกต้านเชื้อแบคทีเรีย ป้องกันและรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ จมูกตัน น้ำมูกไหล จมูกคัน แห้งตึง สูตรสมุนไพรบริสุทธิ์ สเปรย์ฆ่าเชื้อป้องกันไวรัส และต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ 10 วินาทีผ่านโพรงจมูกและหายเร็วโดยไม่เกิดซ้ำ” จนบางคนนำไปใช้กับผู้ป่วยโควิด 19         สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่าผลิตภัณฑ์นี้ยังไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. จึงไม่สามารถประเมินความปลอดภัยและประสิทธิผลตามที่กล่าวอ้างได้ และพบว่าผู้จำหน่ายมีลูกเล่นในการหลบเลี่ยงให้ดำเนินการตามกฎหมายได้ยาก โดยเมื่อจะสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ ผู้ซื้อจะต้องกรอกข้อมูลชื่อผู้ซื้อและเบอร์โทรศัพท์ของตนลงในเว็บไซต์ หลังจากนั้นผู้ขายจึงจะติดต่อกลับเพื่อส่งสินค้าโดยการเก็บเงินปลายทาง ทำให้โฆษณานี้จะไม่สามารถเชื่อมโยงกับผู้ขายได้ และหากผู้บริโภคใช้ผลิตภัณฑ์แล้วไม่ได้ผลตามที่กล่าวอ้างหรือได้รับอันตราย การเอาผิดใดๆ กับผู้ขายก็ทำได้ยาก        นอกจากสมุนไพรจีนแล้ว ยังมีผู้นำผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรทางเลือกในไทย ไปมอบให้ตามโรงพยาบาลสนามหรือศูนย์พักคอยผู้ป่วยโควิด 19 โดยแนะนำว่าให้ใช้รักษาโควิด มีการนำเสนอภาพการรับมอบผลิตภัณฑ์ หรือคลิปประสบการณ์ของผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่ใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้แล้วหายจากการป่วย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการโฆษณาอ้างว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจากสมุนไพรหลายชนิด ได้แก่ ฟ้าทะลายโจร แก่นจันทน์แดง แก่นจันทน์ขาว หัวคล้า รากฟักข้าว รากมะนาว รากสะแก รากกระทุงหมาบ้า รากย่านาง บอระเพ็ด แต่เมื่อตรวจสอบจากสูตรที่ขึ้นทะเบียนตํารับแล้ว พบว่าไม่มีฟ้าทะลายโจรเป็นส่วนประกอบ และมิได้มีสรรพคุณหรือมีฤทธิ์ในการช่วยรักษาการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่อย่างใด และไม่พบหลักฐานข้อมูลการวิจัยถึงประสิทธิผลและความปลอดภัยในการใช้เพื่อข้อบ่งใช้เพื่อรักษาโรคโควิด-19  นอกจากนี้ยังพบว่าผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าวขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์ยาแผนไทย มีข้อบ่งใช้เป็นยาแก้ไข้ ดังนั้นการนำเอาผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าวมาใช้เพื่อรักษาโรคโควิด-19 จึงไม่สอดคล้องตามสรรพคุณที่ขึ้นทะเบียนไว้         ในยุคที่ผู้คนกำลังตื่นตัวในการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันและรักษาโควิด 19 แม้การใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกต่างๆ จะเป็นสิ่งที่หลายคนอยากลองนำมาใช้ แต่หากเราผลีผลามนำมาใช้โดยไม่หาข้อมูลอย่างรอบคอบแล้ว เราอาจจะเสียทั้งเงิน และอาจเสี่ยงต่ออาการป่วยที่ลุกลามไปได้ ดังนั้นควรปรึกษาหรือติดตามตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานของสาธารณสุขก่อนจะดีกว่า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 201 ซื้อยาสมุนไพรออนไลน์ ปลอดภัยแค่ไหน

สินค้าออนไลน์มีมากมายหลายประเภท แต่หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคจำนวนมากก็หนีไม่พ้นอาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพต่างๆ อย่างไรก็ตามการซื้อสินค้าเหล่านี้ผ่านโลกออนไลน์ จะมีความปลอดภัยจริงหรือคุณดวงใจโทรศัพท์มาปรึกษาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิ์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคว่า น้องสาวของเธอมีอาการเท้าบวมและไม่ยอมไปโรงพยาบาล แต่ซื้อผลิตภัณฑ์สมุนไพรยี่ห้อ นราห์ (NARAH) ผ่านอินเทอร์เน็ตมาเพื่อรักษาอาการแทน ซึ่งเมื่อได้รับสินค้า เธอได้นำเลขที่สารบบอาหาร 13 หลักที่ระบุไว้บนฉลากคือ 50-1-02254-1-0009 ไปตรวจสอบผ่านการสืบค้นข้อมูลผลิตภัณฑ์ในเว็บไซต์ของ อย. ก็ไม่มีพบรายละเอียดใดๆ เธอจึงไม่มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีความปลอดภัย นอกจากนี้สินค้ายังมีการโฆษณาแสดงสรรพคุณที่ดูเกินจริงอีกด้วย เช่น เป็นสมุนไพรเพื่อลด ควบคุมและป้องกันโรคเบาหวาน ไขมันสูง ความดันและโรคหัวใจได้ คุณดวงใจจึงส่งผลิตภัณฑ์และรายละเอียดต่างๆ มาให้ศูนย์ฯ ช่วยตรวจสอบแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เคยแถลงข่าวเตือนประชาชนในการซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพผ่านอินเทอร์เน็ตว่า อาจเสี่ยงได้รับผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพมาตรฐาน หรือมีส่วนผสมของสารอันตราย เพราะมักมีการโฆษณาอวดอ้างเกินจริงและแสดงฉลากไม่ถูกต้อง ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคแล้ว ผู้ที่ขายยาผ่านอินเทอร์เน็ตหรืออาหารเสริมที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงยังเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอีกด้วย จึงขอความร่วมมือผู้บริโภคไม่สนับสนุนผู้กระทำผิดกฎหมาย และช่วยแจ้งเบาะแสหากพบเห็นการจำหน่ายสินค้าในลักษณะนี้ที่สายด่วน อย. 1556และสำหรับในกรณีนี้ ศูนย์ฯ ได้ช่วยผู้ร้องตรวจสอบผลิตภัณฑ์สมุนไพรดังกล่าว ด้วยการทำหนังสือถึง อย. เพื่อขอให้มีการตรวจสอบ ซึ่งภายหลังทาง อย. ก็ได้แจ้งผลการดำเนินการมาว่า ผู้ขอจดทะเบียนเลขระบบอาหารของสมุนไพรนราห์ ได้ขอยกเลิกเลขทะเบียนสารระบบอาหารไปแล้ว เนื่องจากมีผู้เสียหายร้องเรียนเข้ามาหลายราย ซึ่งขณะนี้ อย. กำลังสืบเรื่องและเตรียมส่งต่อให้กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ดำเนินคดีและแจ้งระงับการโฆษณาการขายสินค้าดังกล่าว โดยหากดำเนินการเสร็จเรียบร้อย จะทำหนังสือตอบกลับมายังมูลนิธิฯ อีกครั้ง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 93 กระแสในประเทศ

17 ตุลาคม 2551 สธ.โวยมีคนแอบใช้นมผลิตอาหารสัตว์ทำ "เบเกอรี่" จี้ คลัง-เกษตรฯ ส่งตรวจซ้ำ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อขอความร่วมมือให้ด่านศุลกากรทั่วประเทศตรวจสอบการนำเข้านมจากประเทศจีน ที่แจ้งวัตถุประสงค์เพื่อนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์ โดยขอให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรแจ้งข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่ของ อย.ประจำด่านอาหารและยา เพื่อสุ่มตรวจนมที่มีการนำเข้าทุกลอตซ้ำ เนื่องจากพบว่า มีการนำนมดังกล่าวมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ ทำให้เกิดการปนเปื้อนสารเมลามีนในผลิตภัณฑ์จากนม ที่คนนำมาบริโภค เช่น เบเกอรี่ต่างๆ อย.ได้กำชับเจ้าหน้าที่ประจำด่านอาหารและยาทั่วประเทศ ประสานกับเจ้าหน้าที่ของด่านศุลกากรและด่านปศุสัตว์ เพื่อเฝ้าระวังและตรวจสอบการนำเข้านมและผลิตภัณฑ์จากนมต่างประเทศ โดยเฉพาะของจีนอย่างเข้มงวด และให้รอผลการตรวจหากการปนเปื้อนสารเมลามีนจากกรมวิทย์ฯ ก่อนที่จะนำสินค้าออกจากด่านทั้ง 32 ด่าน ----------------------------------------------------------------------------------------------------------- 22 ตุลาคม 2551“หยินจี้หวง” ยาสมุนไพรทำเด็กจีนตาย ไม่พบในไทย ข่าวกระทรวงสาธารณสุขจีน สั่งให้โรงพยาบาลทั่วประเทศงดการใช้ยา “หยินจี้หวง” ที่ใช้รักษาโรคตับและโรคดีซ่านในทารก ซึ่งมีส่วนประกอบของสมุนไพร ดอกพุด และต้นสายน้ำผึ้ง ผลิตโดยบริษัท ไทฮั่ง ฟาร์มาซูติคอล เนื่องจากทำให้ทารกเสียชีวิตแล้ว 1 ราย และป่วยอีก 3 รายนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทยได้เร่งตรวจสอบเป็นการด่วนแล้วพบว่า ไม่มียาดังกล่าวเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย และไม่มีการผลิตหรือนำเข้ายาสมุนไพรจีน ที่มีส่วนประกอบของดอกพุดและต้นสายน้ำผึ้งในตำรับอื่นเข้าในประเทศไทยอีกด้วย ขอให้ประชาชนไทยมั่นใจได้ “สำหรับประชาชนที่นิยมใช้สมุนไพรรักษาอาการเจ็บป่วย แนะนำให้ซื้อจากร้านขายยาสมุนไพรที่มีใบอนุญาตถูกต้อง ถ้าเป็นยาแผนโบราณหรือยาสำเร็จรูป ต้องสังเกตว่ามีเลขทะเบียนตำรับยา หากพบข้อน่าสงสัยหรือไม่มั่นใจว่าเป็นยาสมุนไพรที่ปลอดภัย สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อ อย.จะได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบต่อไป” นักโภชนาการหนุนดื่มนมแม่ เลี่ยงเมลามีน นางสุจิต สาลีพัน นักโภชนาการ 8 กรมอนามัย กล่าวว่า การพบการปนเปื้อนสารเมลามีนในผลิตภัณฑ์นม นมผง อาหาร ขนมขบเคี้ยวที่มีส่วนผสมของนมนั้น อาจทำให้ผู้ปกครองห่วงใยบุตรหลาน และอาจหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีการปนเปื้อน หรือระมัดระวังจนทำให้ร่างกายของเด็กขาดโปรตีนและแคลเซียม ซึ่งความจริงผู้ปกครองควรพลิกวิกฤตเป็นโอกาสให้มาเลี้ยงดูบุตรหลานด้วยนมแม่แทน เพราะในน้ำนมแม่มีโปรตีน แร่ธาตุ และสารอาหารที่เป็นประโยชน์มากกว่านมวัวและนมอื่นๆ ทั้งยังส่งผลให้เด็กมีภูมิคุ้มกันโรค ร่างกายแข็งแรง มีไอคิว อีคิวดี และเป็นการเสริมสร้างใยรักจากแม่สู่ลูกด้วยการสัมผัส ซึ่งเด็กสามารถดื่มนมแม่ได้ถึงอายุ 2 ขวบ และหากแม่ต้องเดินทางไปทำงาน ในปัจจุบันก็มีถุงเก็บน้ำนมที่แม่สามารถปั๊มเก็บไว้ให้ลูกดื่มได้ และยังอาจเสริมด้วยผลไม้บด เช่น กล้วยน้ำว้าบด เป็นต้น 29 ตุลาคม 2551ทั่วโลกร่วมร่างกฎคุมบุหรี่เถื่อน ห้ามดิวตี้ฟรีขายบุหรี่ปลอดภาษี รายงานจากการประชุมของสมาคมวิจัยการเสพติดนิโคตินและยาสูบภาคพื้นเอเชีย ครั้งที่ 1 ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า สมาชิกสมาคม 160 ประเทศทั่วโลกได้ร่วมกันหารือในประเด็น การกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาบุหรี่เถื่อน โดยห้ามขายบุหรี่ปลอดภาษี โดยเฉพาะในร้านสินค้าปลอดภาษีของสนามบินต่างๆ ที่สามารถขายบุหรี่ได้แต่ต้องเป็นบุหรี่ที่จัดเก็บภาษีแล้วเท่านั้น เนื่องจากช่องทางนี้เป็นสาเหตุสำคัญในการมีบุหรี่เถื่อนเล็ดลอดออกมาจำหน่ายในประเทศเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังห้ามโฆษณาขายบุหรี่ทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งจากการศึกษาพบว่า มาตรการห้ามโฆษณาบุหรี่ 100% จึงสามารถลดการสูบบุหรี่ได้เต็มที่ โดยเรื่องดังกล่าวนี้ยังจะต้องมีการประชุมอีก 2-3 ครั้ง จึงจะได้ข้อสรุป เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยมีประเด็นเหล่านี้บรรจุในกฎหมายของประเทศสมาชิกอนุสัญญาฯ มาก่อน 30 ตุลาคม 2551“อัมมาร” เซ็งนักการเมืองหัวหดไม่เก็บภาษี รพ.เอกชนที่ทุ่มรักษาชาวต่างชาติเต็มที่ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า กรณีที่ นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีแนวคิดจะเสนอให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ผลักดันมาตรการการจัดเก็บภาษีสถานพยาบาลเอกชนที่ให้บริการรักษาโรคกับชาวต่างชาตินั้น ตนเองได้เสนอแนวคิดในการจัดเก็บภาษีดังกล่าวมานานแล้ว และสนับสนุนให้มีการดำเนินการอย่างเต็มที่ 100% ซึ่งในทางปฏิบัติยังไม่มีการจัดเก็บภาษีนี้แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในการขับเคลื่อนแนวคิดนี้เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงยังเป็นเรื่องยาก เพราะยังไม่มีหน่วยงานใดให้ความสำคัญ“แม้ สปสช.จะเล็งเห็นถึงความสำคัญ แต่ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนให้เป็นนโยบายของภาครัฐได้สำเร็จ เพราะ สปสช.ไม่มีอำนาจเพียงพอ เรื่องนี้จะต้องใช้อำนาจของกระทรวงการคลังหรือรัฐบาล เป็นเจ้าภาพดำเนินการเท่านั้น แต่ขณะนี้เมื่อพูดถึงเรื่องการจัดเก็บภาษี นักการเมืองก็หัวหด ไม่มีใครใจถึงกล้าทำสักคน ขณะนี้จึงยังคงเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น หากจะนำไปบังคับใช้จริง จะต้องมีการศึกษาผลกระทบทั้งข้อดี เสีย และอัตราการจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งเรื่องเหล่านี้ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจนเพียงพอ” ดร.อัมมาร กล่าว“เมดิเคิลฮับ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แพทย์ในระบบราชการถูกซื้อตัวไปอยู่ภาคเอกชนที่มีรายได้จาการรักษาชาวต่างชาติเป็นมูลค่าที่สูงมาก ซึ่งจากข้อมูลสถานพยาบาลเอกชนกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ ที่ให้บริการรักษาชาวต่างชาติเมื่อปี 2550 พบว่า มีชาวต่างชาติมารักษาโรคในประเทศไทย ประมาณ 1.5 ล้านบาท มีรายได้ประมาณ 60,000 ล้านบาท” ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง หัวหน้าโครงการติดตามประเมินผลการจัดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทีดีอาร์ไอ กล่าว กิน “ปลา” ต้านเบาหวาน คนในยุคปัจจุบันมีความเสี่ยงกับภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้น จนต้องรณรงค์เพื่อลดปัญหาดังกล่าวกันขนานใหญ่ ล่าสุดมีการรณรงค์ “กินปลาไร้พุงต้านโรคเบาหวาน” ขึ้นเนื่องใน “วันเบาหวานโลก” 14 พ.ย. 2551 นี้ ศ.เกียรติคุณ พญ.ชนิกา ตู้จินดา คณะกรรมการกองทุน สสส. ให้ข้อมูลว่า องค์การอนามัยโลกได้มีการประเมินว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลกอย่างน้อย 194 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 300 ล้านคน ในอีก 17 ปีข้างหน้า และจากการสำรวจในไทยที่ผ่านมาพบคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานกว่า 3 ล้านคน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีการชี้ให้เห็นด้วยว่า โรคเบาหวานนั้นมีความอันตรายสูงกว่าโรคเอดส์ เพราะมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ถึงปีละกว่า 3.2 ล้านคน ส่วนเอดส์นั้นเสียชีวิตเพียง 3 ล้านคนต่อปี “เบาหวานที่พบบ่อย คือ เบาหวานชนิดที่ 2 ที่จะเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ที่อ้วน หรือคนอ้วนลงพุง ซึ่งเป็นคนที่ออกแรง หรือออกกำลังกายน้อยเกินไป อีกทั้งในปัจจุบันนี้ยังพบมากในเด็ก ซึ่งเป็นการกินอาหารที่มีไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูง และวิธีหนึ่งที่จะสามารถลดปัญหาโรคอ้วนและโรคเบาหวาน คือการหันมาส่งเสริมการกินอาหารแบบไทยโดยการเน้นการบริโภคปลาให้มากขึ้น เพราะปลานั้นเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดีราคาถูก ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเบาหวานได้” พญ.ชนิกาอธิบายด้าน นพ.ฆนัท ครุธกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจและโภชนวิทยาคลินิก โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ข้อมูลเสริมว่า ไม่ว่าจะเป็นปลาน้ำจืด หรือปลาน้ำเค็มก็มีคุณค่าไม่แตกต่างกันมาก แต่ที่เห็นได้ชัดคือ ปลาน้ำเค็มนั้นจะมีไอโอดีนสูง แต่ก็จะมีคอเลสเตอรอลสูงเช่นกัน อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการปนเปื้อนสารตกค้างในทะเลอย่าง สารปรอท สารตะกั่ว ดื่ม “กาแฟ” ไม่ทำให้ผอมเพรียว ศ.นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาคลินิกและโรคเบาหวาน กล่าวว่า ขณะนี้มีการโฆษณาชวนเชื่อ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า การดื่มกาแฟแล้วจะทำให้รูปร่างผอมเพรียว ซึ่งต้องบอกว่าไม่เป็นความจริงทั้งหมด แม้ว่ากาแฟจะมีส่วนต่อระบบการเผาผลาญของร่างกาย แต่หากดื่มเป็นปริมาณมาก โดยหวังว่าจะให้ร่างกายผอม หุ่นดีนั้นอาจเกิดอันตรายกับร่างกายได้ แทนที่จะผอม เพราะกาเฟอีนจะทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายทำงานดีขึ้น แต่หากทานมากไปจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ“เป็นไปไม่ได้ที่กาแฟจะทำให้ลดน้ำหนักได้ เพราะไม่มีข้อมูลวิทยาศาสตร์ยืนยันเช่นนั้น ทั้งนี้ ถ้าหากกินกาแฟสูตรใดสูตรหนึ่งแล้วสามารถลดน้ำหนักได้จริงคงเป็นการเติมสารอะไรบางอย่างทำให้มีผลต่อร่างกาย อาจเป็นยาลดน้ำหนัก ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก นอกจากนี้ หากดื่มกาแฟมากกว่าวัน 2 แก้วต่อวัน ก็อาจมีผลเสียกับร่างกายได้ เพราะหากร่างกายได้รับปริมาณกาเฟอีนเกินไปก็อาจเป็นอันตรายได้” นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการระดับ 9 กรมอนามัย ให้ข้อมูลเพิ่มเติม ผู้บริโภคตั้งศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ ต้านการละเมิดสิทธิของธุรกิจโทรคมนาคม4 พ.ย.51 มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคและเครือข่ายผู้บริโภคจับมือสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม เปิดตัวศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคภาคประชาชน กรุงเทพมหานคร รวมกว่า 31 ศูนย์ทั่วกรุงเทพฯ พร้อมเดินหน้ารับเรื่องร้องเรียนและแก้ไขปัญหาผู้ประกอบธุรกิจโทรคมนาคมบางรายยังมีพฤติกรรมเอารัดเอาเปรียบลูกค้า โดยเฉพาะการกำหนดวันหมดอายุการใช้งานของซิมแบบเติมเงิน รวมทั้งการเก็บค่าต่อสัญญาณใหม่ 107 บาท นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ได้กล่าวในเวทีเสวนาหัวข้อ “เราจะหยุดการเอาเปรียบของธุรกิจโทรคมนาคมได้อย่างไร” ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งของโครงการดังกล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคในหลายๆ ปัญหาที่พบมาก คือการถูกเรียกเก็บค่าบริการรายเดือนทั้งที่ไม่ได้เปิดใช้บริการใช้ซิมฟรีที่ได้รับแจกมา การใช้ซิมแบบเติมเงินแต่ถูกกำหนดวันหมดอายุการใช้งานต้องเติมเงินเพิ่มทั้งๆ ที่มีเงินเหลืออยู่ อีกปัญหาที่มีการร้องเรียนมาโดยตลอดคือ กรณีลูกค้าขอเปิดใช้งานโทรศัพท์หลังโดนระงับสัญญาณเพราะค้างชำระค่าบริการ แทนที่ผู้ให้บริการจะคิดค่าปรับตามอัตราดอกเบี้ยที่กฎหมายกำหนดแต่กลับใช้วิธีเรียกเก็บค่าเชื่อมต่อสัญญาณใหม่ ในอัตรา 107 บาทตายตัว และบางเจ้าก็เรียกเก็บในอัตรา 214 บาท ซึ่งเป็นการขัดกับข้อกำหนดในเรื่องของค่าธรรมเนียมและค่าบริการในกิจการโทรคมนาคมตามพระราชบัญญัติการประกบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 ที่ห้ามไม่ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการนอกเหนือหรือเกินกว่าอัตราขั้นสูงที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) กำหนด แต่ในทางปฏิบัติยังมีการละเมิดสิทธิในเรื่องนี้อยู่ แต่เมื่อลูกค้าร้องเรียนหรือขอให้มีการยกเว้นก็จะมีการคืนเงินในส่วนนี้ให้ และเป็นการให้เฉพาะรายไม่ใช่ทุกรายเสมอไป “ในขณะนี้แม้กฎหมายจะกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องมีหน้าที่เปิดศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและห้ามคิดค่าโทรในการร้องเรียน แต่ก็ไม่ได้รับการสนองตอบอย่างเต็มที่จากผู้ประกอบธุรกิจส่วนใหญ่ จึงถือเป็นหน้าที่ของ สบท. ที่นอกจากจะมีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของตนเองแล้ว ยังจะต้องส่งเสริมสนับสนุนให้องค์กรผู้บริโภคภาคประชาชนรวมตัวกันเพื่อปกป้องพิทักษ์สิทธิของตนเอง การจัดตั้งศูนย์พิทักษ์สิทธิภาคประชาชนจะช่วยทำให้ประชาชนได้รับรู้และตระหนักในสิทธิของตนเองได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ด้าน รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคกล่าวว่า จากปัญหาหลากหลายที่เกิดขึ้นจำเป็นต้องเร่งให้เกิดการรวมตัวของกลุ่มผู้บริโภคเพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง มูลนิธิฯ จึงได้ร่วมกับเครือข่ายองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนจัดตั้ง “ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคภาคประชาชนในกิจการโทรคมนาคม” ขึ้น โดยจะเริ่มต้นในเขต กรุงเทพมหานครเป็นลำดับแรก โดยจะมีทั้งหมด 31 ศูนย์ มีพื้นที่ให้บริการประชาชนครอบคลุมทุกเขตของกรุงเทพมหานคร โดยมีศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเป็นองค์กรประสานงานกลาง โดยปัญหาเร่งด่วนที่วางเป้าว่าจะต้องมีข้อยุติภายในปีนี้คือ การกำหนดวันหมดอายุการใช้งานของโทรศัพท์มือถือแบบเติมเงิน และการคิดค่าต่อสัญญาณโทรศัพท์ใหม่ที่ไม่ใช่ลักษณะของการคิดค่าปรับตามที่กฎหมายกำหนด จะต้องทำไม่ได้กับผู้บริโภคทุกรายไม่ใช่รายที่มีการร้องเรียนเข้ามาเท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 131 สมุนไพรหมื่นแปดหายทุกโรค!

  หากมีคนมาขายยาสมุนไพร ชุดละ 18,000 บาทต่อเดือน โดยโฆษณาว่ารักษาหายได้ทุกโรค ท่านคิดว่าผู้ป่วย จะซื้อหรือไม่ ? น้องเภสัชกรท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดลำปางแจ้งข้อมูลให้ผมทราบว่า มีบุคคลอ้างว่าตนเป็นหมอสมุนไพร จบจากเมืองนอก มาจัดการโฆษณาขายยาสมุนไพรที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง โดยในการจัดกิจกรรมนั้นได้เชิญชวนให้ประชาชนที่เข้าร่วมกิจกรรม ซื้อยาสมุนไพรที่อ้างว่ารับประทานแล้วหายได้ทุกโรคนำไปใช้รับประทาน สมุนไพรที่ว่านี้ราคาสูงถึงชุดละ 18,000 บาท (มีทั้งแบบซองสำหรับชงและแบบแท่งสำหรับต้มดื่ม) ผู้บริโภครายหนึ่งที่ได้เข้าไปฟังการโฆษณาจึงหลงเชื่อ ซื้อกลับมา 1 ชุดเพื่อให้ญาติของตนที่ป่วยเป็นมะเร็งท่อน้ำดีในตับ ลองใช้รักษาอาการป่วย หลังจากนั้นไม่นาน ทางโรงพยาบาลก็ได้รับตัวผู้ป่วยชาย อายุ 58 ปี ซึ่งป่วยเป็นเนื้องอกร้ายของมะเร็งท่อน้ำดีในตับ กลับมารักษาตัวที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่คราวนี้ ผู้ป่วยกลับมาด้วยอาการปวดขาข้างขวามาก เมื่อแพทย์ตรวจแล้วจึงพบว่าเกิดจากลิ่มเลือดอุดตันที่ขา เภสัชกรที่โรงพยาบาลได้ไปซักประวัติผู้ป่วยเพิ่มเติม ได้ข้อมูลว่า ผู้ป่วยรายนี้ไม่ได้มีพฤติกรรมการบริโภคอะไรที่ผิดแปลกไปจากเดิมเลย นอกจากกินยาสมุนไพร 18,000 บาทที่โฆษณาว่าหายทุกโรคนี่แหละ เมื่อขอยาสมุนไพรที่ผู้ป่วยรับประทานทั้ง 2 แบบมาดู ก็พบว่า ยาสมุนไพรทั้ง 2 แบบนี้ มีการโฆษณาที่ผิดกฎหมายหลายอย่าง เช่น ยาดองเหล้าสมุนไพรแอนนี่ ไม่ได้ขึ้นทะเบียนยาแต่กลับโฆษณาสรรพคุณมากมาย ส่วนยาสมุนไพรแอนนี่ แม้ไม่ได้ระบุสรรพคุณยาบนฉลาก แต่ก็เป็นยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเช่นกัน หากแสดงเลขที่ใบอนุญาตตั้งคลินิกที่ตั้งอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งตามกฎหมายแล้วจะไม่สามารถมาเร่ขายยาตามโรงแรมได้ เพราะเขาอนุญาตให้จ่ายเฉพาะผู้ป่วยที่รับบริการจากคลินิกเท่านั้น ล่าสุดทราบว่า เภสัชกรได้แจ้งข้อมูลไปให้ ทั้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปางและจังหวัดอุบลราชธานีทราบ เพื่อช่วยกันติดตามดำเนินการตามกฎหมายต่อไปแล้ว หากใครเจอการเร่จัดมหกรรมโฆษณาขายยาที่ไม่ถูกต้องแบบนี้ อย่าหลงเชื่อนะครับ อาจจะเสียทั้งเงินและได้รับอันตรายได้ ช่วยๆ กันเตือนเพื่อนฝูงและแจ้งข้อมูลให้หน่วยราชการทราบด้วยนะครับ จะได้ช่วยกันจัดการให้ยาหายทุกโรคแบบนี้ หายไปจากการหลอกลวงซะที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 128 สอดสะท้านโลกา

  “ไม่รู้ว่ามันคือยาหรืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ วิธีใช้ มันให้สอดครับ ไม่ใช่สอดใต้หมอน หรือสอดใต้ผ้าห่มนะครับ มันให้สอดที่ตรงนั้นของผู้หญิงต่างหาก” ผู้ขายอ้างว่า วัตถุสีดำก้อนเล็กๆ นี้เป็นยาสมุนไพรไทยที่ทำขึ้นมา เพื่อช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวกับจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงในระยะเบื้องต้น เช่น ตกขาวมีกลิ่นและผิดปกติ เชื้อราในช่องคลอด มดลูกอักเสบ อาการคันต่างๆ และยังช่วยลดกลิ่นอับบริเวณจุดซ่อนเร้น ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด แก้อาการตกขาวผิดปกติ ตกขาวเยอะคัน มีสีเขียวเหลือง และที่สำคัญทำให้มดลูกกระชับแน่น  ไม่ต้องเสียเงินไปทำรีแพร์ เห็นผลได้หลังจากที่ใช้รู้สึกได้ถึงความแตกต่าง เพิ่มความฟิตกระชับช่องคลอด แก้ตกขาว ไม่เหม็น ไม่อับ มั่นใจดุจวัยสาวแรกแย้ม (ยาเทวดาหรือไงนี่ ?)  นอกจากนี้ยังโฆษณาอวดอ้างอีกว่า ยานี้ใช้ป้องกันการติดเชื้อจากคุณผู้ชายด้วย ใช้ได้ทั้งสุภาพสตรีและสาวประเภทสอง ที่สำคัญความรู้สึกของสามีจะดีขึ้น 100% เหมือนได้กลับมารักกันใหม่ๆ อีกครั้ง และที่มันถึงกับทำให้สะท้านโลกาก็เพราะ มันเล่นบรรยาย เกี่ยวกับสรรพคุณระหว่างคุณผู้หญิงขณะมีความสุขกับคุณสามีแบบสยิวกิ้วไม่บันยะบันยัง แบบถ้าคนที่หลงเชื่อคงระทวย และวิ่งไปคว้ามาสอดทันที  เจ้าวัตถุสีดำนี้ขายเป็นตลับ ตลับละ10 เม็ด (ราคา 150 บาทพร้อมส่ง) ตลับต่อไป100 บาท พิเศษสำหรับลูกค้าที่เคยสั่งซื้อแล้ว ตลับแรก 125 บาทพร้อมส่งตลับต่อไป 100 บาท นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีก เช่น เจลสลายไขมัน, สบู่สลายไขมัน , แป้งJT , แป้งสมุนไพรทารักแท้ ระงับกลิ่นและเหงื่อใต้รักแร้ การสั่งซื้อไม่ยากเลย เพียงแค่สั่งทาง SMS แล้วโอนเงินผ่านธนาคารได้ทันที ผมดูส่วนประกอบที่อ้างว่าเป็นส่วนสำคัญในตัวยา ว่ามีว่านชักมดลูก เปลือกทับทิม ต้นธูปดำ ขมิ้นอ้อย ดูแล้วเจ้าสมุนไพร 4 ชนิดนี้คงไม่สามารถทำให้เกิดสรรพคุณสะท้านโลกาแน่นอน แต่ที่แน่ๆ ราคามันสะท้านกระเป๋าแน่นอน ยังไงก็ขอเตือนมายังผู้อ่านทั้งหลาย อย่าหลงเชื่อนะครับ ร่างกายของเรา มีเราเป็นเจ้าของ อย่าให้วัตถุสะท้านโลกาที่ไม่มีการขึ้นทะเบียนใดๆ มาอวดอ้างสรรพคุณและฉวยเข้ามารุกล้ำอธิปไตยของเราเลยครับ เดี๋ยวจะบาดเจ็บทั้งกายและใจเปล่าๆ ส่วนผมขอไปนำสืบเพื่อดำเนินคดีให้สะท้านโลกาดีกว่า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 126 สเตียรอยด์ในยาสมุนไพร “เยอะ”

  ในระหว่างปี 2548 – 2552 ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม ได้ตรวจวิเคราะห์ยาแผนโบราณ เพื่อเฝ้าระวังการปลอมปนสารสเตียรอยด์ พบว่ายาแผนโบราณจำนวน 626 ตัวอย่าง มีสเตียรอยด์ปลอมปนอยู่ถึง 136 ตัวอย่าง และเมื่อได้นำยาที่เหลือมากพอมาทดสอบหา “ปริมาณ” สารสเตียรอยด์ที่ปลอมปน ปรากฏว่าพบข้อมูลที่น่าตกใจ เพราะสารสเตียรอยด์ที่ปลอมปนอยู่นั้น มีปริมาณที่ค่อนข้างสูงมาก จนอาจเสี่ยงทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ และที่น่าทึ่งคือ บางชนิดแม้เป็นยี่ห้อเดียวกัน แต่กลับพบปริมาณสารสเตียรอยด์ปนอยู่ในปริมาณที่ไม่เท่ากันหรือพบการผสมสเตียรอยด์ต่างชนิดกัน  ดังข้อมูลในตัวอย่างต่อไปนี้   ยาผงสีน้ำตาลเหลือง ไม่ระบุชื่อ  จำนวน 3 ตัวอย่าง ตรวจพบว่ายานี้ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มี Dexamethasone (สารสเตียรอยด์) ผสมอยู่ในปริมาณตั้งแต่ 1 เม็ดครึ่ง ถึง 5 เม็ด และบางตัวอย่างยังพบ สเตียรอยด์ผสมถึง 2 ชนิด  คือผสมทั้ง Dexamethasone และ Prednisolone  ดังนั้นหากคิดง่ายๆ ว่า รับประทานยานี้วันละ 1 ช้อนโต๊ะ หลังอาหาร 3 มื้อ เราจะมีโอกาสได้รับ Dexamethasone  ถึง 15 เม็ดต่อวัน   ยาผงสีน้ำตาล ฉลากระบุชื่อ “ยาสมุนไพรไทย” จำนวน 8 ตัวอย่าง ตรวจพบว่ายานี้ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มี Dexamethasone  ผสมอยู่ในปริมาณตั้งแต่ ครึ่งเม็ด ถึง  3 เม็ด บางตัวอย่างยังพบว่ามี Prednisolone ผสมอยู่ด้วย โดยพบในปริมาณเทียบเท่ากับยาเม็ด  Prednisolone จำนวนครึ่งเม็ด  และบางตัวอย่างพบการผสมสเตียรอยด์ร่วมกันทั้ง  2 ชนิด   ยาเม็ดสีน้ำตาลแดง ฉลากระบุชื่อ “ยาสมุนไพรตามแนวทางโครงการพระราชดำริ” ซึ่งฉลากระบุ ให้รับประทาน 1 เม็ด หลังอาหาร ตรวจพบว่ายาชนิดนี้ 1 เม็ด มีปริมาณ Prednisolone ผสมอยู่ เทียบเท่ากับยาเม็ด Prednisolone 4 เม็ด   ดังนั้นหากเรารับประทานยานี้หลังอาหาร 3 มื้อ จะมีโอกาสได้รับ Prednisolone ถึง 12 เม็ดต่อวัน ยาจากสมุนไพร ฉลากระบุชื่อ “ยากษัยเส้นตราเทียนทองคู่” ระบุ รับประทานวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ ตรวจพบว่า ในยา 1 ช้อนโต๊ะ มีปริมาณ Dexamethasone  ผสมอยู่ เทียบเท่ายาเม็ด จำนวนครึ่งเม็ด ถึง 1 เม็ด และหากรับประทานวันละ 3 ครั้งตามที่ระบุบนฉลาก  เราจะได้รับ Dexamethasone ถึง 6 เม็ดต่อวัน (ยา Dexamethasone ชนิดเม็ดเท่ากับ 0.5 mg , ยา Prednisoloneชนิดเม็ดเท่ากับ 5 mg) จากการสอบถามผู้บริโภค ส่วนใหญ่ผู้ที่บริโภคยาเหล่านี้ มักจะรับประทานยาดังกล่าวเป็นเวลานานกว่า 3 เดือน หมายความว่า ร่างกายจะได้รับสารสเตียรอยด์ติดต่อกันในปริมาณสูงจนอาจเป็นอันตรายได้  ขอแนะนำว่าหากเราเจอยาแผนโบราณ ที่ไม่มีทะเบียนยา ไม่มีรายละเอียดบนฉลาก หรือเป็นยาที่รับประทานแล้วอาการป่วยหายอย่างรวดเร็วจนผิดสังเกต ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขตรวจสอบโดยด่วน เพื่อป้องกันอันตรายนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 104 ปวดร้าวเพียงใด

ฉบับที่แล้วผมให้ข้อมูลไปว่า ยาสมุนไพรหากจะผลิต แปรรูปเป็นยาแผนโบราณ ก็ต้องนำมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจะได้ช่วยตรวจสอบว่ามันเป็นยาที่มีความเป็นไปได้ในแง่ผลการรักษาเพียงใด โดยจะเปรียบเทียบอ้างอิงกับตำรับยาแผนโบราณเพื่อจะพิสูจน์ว่ามันไม่มีอันตรายต่อผู้ป่วย แต่ในท้องตลาดยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ จำหน่ายในทำนองนี้ด้วย เช่น เครื่องดื่มสมุนไพร หากเราสังเกตชื่อที่ระบุประเภทว่า “เครื่องดื่ม” เราจะทราบว่ามันคือเครื่องดื่ม ไม่ใช่ยา ดังนั้นมันจึงไม่สามารถ บำบัด บรรเทา รักษาโรคได้ ล่าสุดเภสัชกรสาวสวยคนเดิมจากโรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ได้ส่งข้อมูลมาอีกแล้ว เธอเล่าว่าผู้ป่วยชาย อายุ 60 ปี ได้ซื้อเครื่องดื่มสมุนไพรจีน มิทเชลล์ฉาง มารับประทาน โดยดื่มวันละ 2 อึก แก้พังผืด ข้อตึง (สรุปง่ายๆ คือซื้อมากินเพื่อรักษาโรคนั่นแหละ) หลังจากรับประทานมาประมาณ 1 เดือน ก็มีอาหารผิดปกติเกิดขึ้นจนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล เภสัชกรสาวสวยขี้สงสัยคนนี้ จึงได้ส่งเครื่องดื่มชนิดนี้ไปตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม ผลปรากฏว่าคราวนี้เธอร้องกรี๊ดดดดด ดังกว่าเดิม (ไม่รู้ตกใจหรือโกรธ) เพราะผลการตรวจปรากฏว่าพบยาแก้ปวด ลดไข้ พาราเซตามอล ผสมอยู่ด้วย เธอจึงรีบแจ้งมายังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงครามให้ติดตามตรวจสอบต่อไป ในเบื้องต้นพบว่า เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดนี้มีวางขายแพร่หลายตามท้องตลาด ในราคา ขวดละพันกว่าบาท โดยโฆษณาว่าเป็นเครื่องดื่ม สูตรสมุนไพรแบบองค์รวม ปรุงขึ้นตามตำรับจีนโบราณ โดยเน้นความสมดุลของระบบหยิน-หยาง และธาตุทั้ง 5 (ดิน น้ำ ทอง ไม้ ไฟ) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการดูแลสุขภาพ สามารถขจัดอนุมูลอิสระ(Antioxidant) อันเป็นเหตุของความชราภาพและโรคภัยต่างๆ มากมาย(ในโฆษณาไม่มีส่วนผสมของยาแผนปัจจุบันนะครับ) ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการติดตามตรวจสอบเชิงลึกอยู่นะครับว่า ยาแก้ปวดลดไข้ พาราเซตามอล มันเข้ามาอยู่ในขวดได้อย่างไร แต่เผอิญเมื่อวานได้มีโอกาสนั่งประชุมกับน้องๆ เจ้าหน้าที่จากศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม น้องเล่าว่าผลการตรวจยาสมุนไพรมันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมๆ ที่พบแค่สารสเตียรอยด์โดยพบว่าเริ่มมีการผสมยาแผนปัจจุบันบางชนิดแล้ว และยังพบในผลิตภัณฑ์รูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยาลูกกลอนด้วย เช่น พบในยาผงสมุนไพร หรือยาน้ำหรือเครื่องดื่มอีกด้วย {xtypo_info}เรื่อง ที่เล่ามานี้คงเป็นข้อมูลเตือนภัยอีกทางหนึ่งว่า แม้การดูแลสุขภาพจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่การเลือกผลิตภัณฑ์มาใช้อย่างรอบคอบระมัดระวัง ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องกระทำอย่างยิ่ง และถ้าเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ไม่ใช่ยา (เช่น เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ฯลฯ) ยิ่งต้องระวัง ไม่ใช้อย่างสับสน ต้องท่องให้ขึ้นใจว่า “มันคืออาหาร ไม่ใช่ยา มันจึงรักษาโรคไม่ได้” เราจะได้ปลอดภัยทั้งตัวและปลอดภัยทั้งตังค์นะครับ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 103 โอม… เพี้ยง! ไขมันจงลด

เรื่องเล่าเฝ้าระวังภก.ภาณุโชติ ทองยัง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม “อัลดุลลา....มาแหล่ว....หายมั๊ย...หาย...ลดมั๊ย...ลด” ยาสมุนไพร เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุนิยมใช้กันมาก ยาสมุนไพรหากจะผลิต แปรรูปเป็นยาแผนโบราณ ก็ต้องนำมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อที่ทางกระทรวงสาธารณสุขจะได้ช่วยตรวจสอบว่ามันเป็นยาที่ทีความเป็นไปได้ในแง่ผลการรักษา โดยจะเปรียบเทียบอ้างอิงกับตำรับยาแผนโบราณเพื่อจะพิสูจน์ว่ามันไม่มีอันตรายต่อผู้ป่วย แต่ส่วนใหญ่แล้ว ผลการรักษาของยาแผนโบราณมันจะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ผลปรู๊ดปร๊าดรวดเร็วแบบยาแผนปัจจุบันนะครับ วันหนึ่งมีผู้ป่วยเพศหญิง อายุ 40 ปี มาที่โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ด้วยอาการที่ผิดปกติที่คาดว่าน่าจะเกิดจากการใช้ยา เภสัชกรสาวสวยผู้รับเรื่อง จึงได้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจึงทราบว่า ผู้ป่วยรายนี้ได้รับประทานยา “สมุนไพรอโรคยาศาลาอิสระธรรม” ตามสรรพคุณที่ว่า “ขยายหลอดเลือด ลดไขมันในเลือด” พร้อมทั้งเล่าว่าได้ยานี้มาจาก อโรคยาศาลาอิสระธรรม อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม โดยจะรับประทานครั้งละ 3 เม็ด วันละ 3 เวลา เช้า กลางวัน เย็น หลังจากการกินมาประมาณ 2 เดือนก็พบอาการผิดปกติเภสัชกรสาวสวย (เธอฝากมาย้ำว่าให้ระบุด้วย) จึงได้ส่งยาไปตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์สมุทรสงคราม ผลการตรวจปรากฏว่า พบ “ยาลดไขมัน Simvastatin” ซึ่งเป็นยาแผนปัจจุบัน ผสมอยู่ในยาชนิดนี้ ไม่รู้ว่าตอนนั้นเธอจะร้อง กรี๊ดดดดดด หรือไม่ รู้แต่ว่าเธอแจ้นมาแจ้งเรื่องยัง เภสัชกร ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงครามทันที เจ้ายาลดไขมัน Simvastatin นี้ บางครั้งอาจจะก่อให้เกิดอาการข้างเคียงต่างๆ เช่น อาการปวดเกร็งท้อง ท้องเสียหรือท้องผูก คลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย ปวดแสบกระเพาะ ปวดศีรษะ มองภาพไม่ชัด เวียนศีรษะ ผื่น คัน นอกจากนี้ยังมีคำเตือนสำหรับผู้ใช้อีก คือ “ห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์หรือสงสัยว่าอาจจะมีการตั้งครรภ์ รวมทั้งในระยะให้นมบุตรด้วย และควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากเป็นโรคตับ โรคไต ติดเชื้ออย่างรุนแรง ความดันโลหิตต่ำ ควรบอกแพทย์หรือเภสัชกรว่าขณะนี้ได้รับยาอะไรอยู่บ้าง โดยเฉพาะยา ซัยโคลสปอริน อิริโธรมัยซิน เจ็มไฟโปรซิล ไนอะซิน และยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วอร์ฟาริน ฯลฯ (เพราะมันส่งผลต่อกัน) และถ้าหากต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือทำฟันให้บอกแพทย์หรือทันตแพทย์ด้วยว่าขณะนี้ได้รับยา Simvastatin นี้อยู่ เนื่องจากยานี้จะไปส่งผลต่อยาอื่นและมีผลต่อร่างกาย และถ้ามีอาการปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อแข็งกดเจ็บ ตะคริวหรืออ่อนเพลีย โดยมีไข้หรือไม่มีไข้ให้รีบพบแพทย์ทันที” แค่เห็นคำเตือนต่างๆ ก็ย่อมจะทราบได้ว่าเจ้ายาลดไขมันที่มันไปปรากฏแบบไม่ได้รับเชิญในยาสมุนไพรนั้น มันมีอันตรายอย่างไร ขณะนี้ทางสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสงคราม ได้แจ้งเรื่องไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครปฐม ให้ไปตรวจสอบอย่างเร่งด่วน ที่เล่านี้ก็อยากให้เป็นอุทธาหรณ์ว่า สมัยนี้หากจะเลือกยาสมุนไพรหรือยาแผนโบราณมารับประทาน อย่าไว้ใจง่ายๆ ต้องท่องให้ขึ้นใจว่า “ต้องมีทะเบียนยา” เสมอ และหากเจอผลการรักษาที่รวดเร็วปรู๊ดปร๊าด ให้พึงสังหรณ์ใจไว้ก่อนว่าอาจจะมีแขกที่กฎหมายไม่ได้เชิญมาปนอยู่ด้วยก็ได้ ให้รีบแจ้งกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค อย.หรือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เพื่อติดตามตรวจสอบโดยด่วน โอม เพี้ยง!

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 90 สำรวจ : นวดไทย โดนใจอย่างแรง

“แพทย์แผนไทย” ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาไทย ยาสมุนไพร อบ ประคบหรือนวด จัดเป็นบริการทางการแพทย์สาขาหนึ่งที่แทรกอยู่ในสถานพยาบาลของรัฐ ทั้งโรงพยาบาลระดับศูนย์ โรงพยาบาลชุมชนและสถานีอนามัย  แม้จะไม่ทุกแห่งแต่ก็ครอบคลุมทั่วประเทศ คุณที่มีบัตรทองหรือสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลอื่นสามารถขอใช้บริการได้ หรือไม่มีสิทธิหลักประกันก็ร่วมจ่ายค่ารักษาได้ในราคาไม่แพง เรียกว่า ถูกและดี ทั้งเป็นการส่งเสริม “คุณค่าแบบไทย” อีกด้วย ก่อนปี พ.ศ.2551 รู้ไหมว่า “นวดไทย” ครองใจชาวบ้านมากที่สุด จาก “รายงานสถานการณ์การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก ประจำปี พ.ศ.2548-2550” โดยคณะกรรมการพัฒนาระบบข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ การพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในรายงานฉบับนี้ระบุว่า เมื่อสำรวจข้อมูลจากศูนย์ส่งเสริมสุขภาพการแพทย์แผนไทย 57 แห่ง จากทั้งหมด 70 แห่ง พบว่า ปี 2546 มีผู้ใช้บริการแพทย์แผนไทย ทั้งเพื่อการบำบัดรักษา การฟื้นฟูสมรรถภาพ การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค รวม 407,651 ครั้ง โดย นวดไทย ได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง คิดเป็นร้อยละ 48 ประคบ ตามมาห่างๆ ที่ร้อยละ 19.3 การใช้ยาไทยและยาสมุนไพร ร้อยละ 17.8 อบไอน้ำสมุนไพร ร้อยละ 10.2 ที่เหลือก็เป็นนั่งสมาธิ การขอความรู้ หรือแม้แต่การทำฤาษีดัดตน ปวดหลัง ปวดไหล่นวดไทยช่วยคุณได้ ทำไมนวดไทยมาแรง เรามาดูสาเหตุของการเจ็บป่วยกันก่อน ในรายงานสถานการณ์การแพทย์แผนไทยฯ อาการเจ็บป่วยที่พึ่งแพทย์แผนไทย สูงสุดอันดับหนึ่งร้อยละ 59.3 คือ เจ็บป่วยเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและกระดูก ทายสิว่า ปวดอะไรมากที่สุด เฉลย…ปวดหลังมากที่สุด รองลงมาก็ปวดเมื่อย/เคล็ดขัดยอก ปวดขา/ข้อเท้าแพลง ปวดไหล่/สะบัก/บ่า   และปวดเข่า/เข่าอักเสบ อันนี้สอดรับกับข้อมูลของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2546 ซึ่งพบว่า คนไทยที่เจ็บป่วยและเลือกใช้การรักษาในแนวทางแพทย์แผนไทย แพทย์พื้นบ้าน ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม ทั้งเกษตรและประมง โดยกลุ่มโรคที่พบมากสุดคือ  โรคระบบกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกและข้อ ซึ่งโรคกลุ่มนี้จัดเป็นอาการแบบเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ เพราะรู้กันอยู่ว่า คนในภาคเกษตรกรรมนั้น ทำงานหนักใช้แรงกายมาก อาการปวดเมื่อยหลังไหล่เลยพบได้บ่อย นวดนี่แหละช่วยได้มาก ไม่ต้องกินยาให้เสี่ยงกับอาการไม่พึงประสงค์จากยา  แต่บริการนวดเขาก็ไม่ได้ปิดกั้นคนทำงานออฟฟิสนะ เดี๋ยวนี้โรคปวดหลัง ปวดไหล่ ไม่เข้าใครออกใคร ไม่เฉพาะคนสูงอายุ วัยทำงานแหละตัวดี ดังนั้นหากปวดหลังไหล่ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว แล้วกินแต่ยากันจนเคย ลองเปลี่ยนมาใช้บริการนวดไทยในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลเอกชนที่เปิดให้บริการนวด ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย  นวดไทยเป็นสิทธิประโยชน์ในบัตรทองตอนปี 2549 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกาศนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนการแพทย์แผนไทย โดยการเพิ่มการรักษาพยาบาลด้วยระบบนี้ไว้ในชุดสิทธิประโยชน์ของผู้ถือ “บัตรทอง” และเพิ่มเงินสนับสนุนอย่างจริงจังในปี 2551 ให้กับการจัดบริการแพทย์แผนไทย เน้นการนวดเพื่อการรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูสภาพ   ปรากฏว่า ผ่านมา 6 เดือน (มกราคม – มิถุนายน 2551) ผู้ถือบัตรทองนิยมบริการนวดแผนไทยเพื่อรักษาโรคและฟื้นฟูสุขภาพ ถึง 60,000 ครั้ง โดยเขตเชียงใหม่ใช้บริการมากสุด 17,000 ครั้ง จากหน่วยบริการ 122 แห่ง ส่วนเขตพื้นที่ที่มีการใช้บริการน้อยที่สุดคือ เขตพื้นที่สุราษฎร์ธานี ใช้บริการ 600 ครั้ง จากหน่วยบริการ 13 แห่ง โดยขณะนี้มีสถานพยาบาลทั่วประเทศ ทั้งโรงพยาบาล สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ สถานีอนามัย และศูนย์สุขภาพชุมชน ที่ให้บริการแพทย์แผนไทย ที่เกี่ยวกับการนวด ประคบ อบสมุนไพร เพื่อการรักษาพยาบาลและฟื้นฟูสภาพทั้งสิ้น 708 แห่ง นวดไทย เสน่ห์ไทย นวดไทยนับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับแล้วว่าสามารถผ่อนคลายบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้หลายกลุ่มอาการโรค ปัจจุบันจึงมีการพัฒนาการเรียนการสอนด้านการนวดไทยอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐานถูกต้องตามหลักวิชาการ ประโยชน์ของการนวด มีมากมาย ทั้งลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ เพิ่มระบบการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลือง กระตุ้นระบบประสาท เพิ่มประสิทธิภาพของระบบทางเดินหายใจ ฟื้นฟูสภาพของระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนโลหิตและระบบประสาท และทำให้รู้สึกสบายคลายเครียด แล้วคุณล่ะ จะลองไปนวดกันสักครั้งดีไหม 

อ่านเพิ่มเติม >