ผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้บริโภคเรื่องสินค้าและบริการที่ต้องการให้ทดสอบ

โพลล์เผย 54.7% ถูกละเมิดสิทธิจากการซื้อสินค้าบริการ โฆษณาเกินจริงขึ้นแท่นปัญหาอันดับหนึ่ง ด้านมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเปิดสถิติปี 64 ร้องเรียนสินค้าบริการมากเป็นอันดับสองโพลล์เผยผู้บริโภคถูกละเมิดสิทธิจากการซื้อสินค้าและบริการ ถึงร้อยละ 54.7 การโฆษณาเกินจริงเป็นปัญหาอันดับหนึ่ง โดยประชาชน ร้อยละ 77.2 อยากให้สภาองค์ของผู้บริโภคทดสอบสินค้า มากที่สุดคือ เครื่องใช้ไฟฟ้า ด้านมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดสถิติ ม.ค. - ก.ย. 64 พบผู้ร้องเรียนปัญหาหมวดสินค้าบริการทั่วไปเป็นอันดับสอง ร้อยละ 27.18 เรื่องร้องเรียนอันดับหนึ่งคือ สินค้าชำรุดบกพร่อง/ไม่ได้มาตรฐาน ร้อยละ 20.06  เรื่องโฆษณาเกินจริงที่เป็นปัญหาอันดับหนึ่ง พบผู้ร้องเรียนกับทางมูลนิธิฯ อยู่ที่อันดับที่สี่ ร้อยละ 16.05         วันที่ 2 ธันวาคม 2564 สภาองค์กรของผู้บริโภค นิตยสารฉลาดซื้อ ร่วมกับ ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้บริโภคเรื่องสินค้าและบริการที่ต้องการให้ทดสอบ ในกรุงเทพมหานครโดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,143 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 22 - 26 กันยายน 2564         ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ผลการสำรวจในครั้งนี้เรื่องผู้บริโภคเรื่องสินค้าและบริการที่ต้องการให้ทดสอบ เนื่องจากสภาองค์กรของผู้บริโภค เป็นส่วนหนึ่งที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 46 บุคคลย่อมมีสิทธิรวมกันจัดตั้งองค์กรของผู้บริโภคเพื่อคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค องค์กรของผู้บริโภคตามวรรคสองมีสิทธิรวมกันจัดตั้งเป็นองค์กรที่มีความเป็นอิสระเพื่อให้เกิดพลัง ในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐ และยังมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค ในมาตรา 61 รัฐต้องจัดให้มีมาตรการหรือกลไกที่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการรู้ข้อมูลที่เป็นจริง ด้านความปลอดภัย หรือด้านอื่นๆ อีกทั้ง ตามพ.ร.บ.การจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 สภาองค์กรของผู้บริโภคเป็นองค์กรอิสระที่ได้รับงบประมาณสามร้อยห้าสิบล้านบาทในการดำเนินการ และสามารถใช้สิทธิแทนผู้บริโภคในการดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นองค์กรอิสระที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคหรือประชาชนเป็นอย่างมาก โดยผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อเรื่องผู้บริโภคเรื่องสินค้าและบริการที่ต้องการให้ทดสอบ โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ทราบว่า “สภาองค์กรของผู้บริโภค” มีการจัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นผู้แทนของผู้บริโภคในทุกด้าน ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 ร้อยละ 61.7 และทราบว่า “สภาองค์กรของผู้บริโภค” เป็นตัวแทนผู้บริโภคและมีอำนาจคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภคในทุกด้าน มีหน้าที่รวบรวม และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการอันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือใช้บริการ ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้โดยสะดวก ร้อยละ 57.6         โดยใน 1 ปีที่ผ่านมาประชาชนเคยถูกละเมิดสิทธิจากการซื้อสินค้าและบริการ ร้อยละ 54.7 และเรื่องที่ประสบปัญหามากที่สุด อันดับที่หนึ่งคือ การโฆษณาเกินจริง ร้อยละ 26.4 อันดับที่สองคือ ขนาดของสินค้าไม่ตรง ร้อยละ 23.9 อันดับที่สามคือ สินค้าไม่ได้คุณภาพ ร้อยละ 22.2 อันดับที่สี่คือ สินค้าหมดอายุ ร้อยละ 12 อันดับที่ห้าคือ ซื้อแล้วไม่ได้สินค้า ร้อยละ 7.7 และอันดับสุดท้ายคือ สินค้าไม่มีฉลากกำกับ ร้อยละ 7.5         สินค้าหรือบริการพบว่าไม่ได้คุณภาพ อันดับที่หนึ่งคือ เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 22.4 อันดับที่สองคือ เครื่องสำอาง ร้อยละ 20.4 อันดับที่สามคือ อาหาร ร้อยละ 18 อันดับที่สี่คือ เครื่องดื่ม ร้อยละ 9.4 อันดับที่ห้าคือ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ร้อยละ 7.8 อันดับที่หกคือ บริการขนส่งมวลชน ร้อยละ 7.4 อันดับที่เจ็ดคือ เครือข่ายโทรศัพท์ ร้อยละ 6.6 อันดับที่แปดคือ บริการจัดส่งสินค้า ร้อยละ 4.5 และอันดับสุดท้ายคือ บริการนำส่งอาหาร ร้อยละ 3.3         กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยากให้ “สภาองค์กรของผู้บริโภค” ทดสอบสินค้าและบริการเพื่อเป็นข้อมูลในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ ร้อยละ 77.2 และคิดว่าท่านจะสามารถใช้ผลการทดสอบสินค้าและบริการของ “สภาองค์กรของผู้บริโภค” เพื่อเป็นข้อมูลในการเลือกซื้อสินค้าและบริการ ร้อยละ 67.2        โดยต้องการให้ “สภาองค์กรของผู้บริโภค” ทดสอบสินค้าและบริการ อันดับที่หนึ่งคือ เครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 45.6 อันดับที่สองคือ อาหาร ร้อยละ 42.8 อันดับที่สามคือ เครื่องสำอาง ร้อยละ 41.7 อันดับที่สี่คือ เครื่องดื่ม ร้อยละ 34.9 อันดับที่ห้าคือ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ร้อยละ 32.8 อันดับที่หกคือ บริการจัดส่งสินค้า ร้อยละ 29 อันดับที่เจ็ดคือ บริการขนส่งมวลชน ร้อยละ 25 อันดับที่แปดคือ เครือข่ายโทรศัพท์ ร้อยละ 24.8 และอันดับสุดท้ายคือ บริการนำส่งอาหาร ร้อยละ 22.7         อยากให้สภาองค์กรของผู้บริโภค ทดสอบประเภทของสินค้าอาหาร อันดับที่หนึ่งคือ อาหารเสริม ร้อยละ 38.5 อันดับที่สองคือ อาหารกึ่งสำเร็จรูป ร้อยละ 18.5 อันดับที่สามคือ อาหารปรุงสุก ร้อยละ 15.7 อันดับที่สี่คือ อาหารสด ร้อยละ 11.2 อันดับที่ห้าคือ ขนมอบกรอบ ร้อยละ 9.7 และอันดับสุดท้ายคือ ผัก ผลไม้ ร้อยละ 6.5         อยากให้สภาองค์กรของผู้บริโภค ทดสอบประเภทของเครื่องดื่ม อันดับที่หนึ่งคือ เครื่องดื่มผสมวิตามิน ร้อยละ 40.4 อันดับที่สองคือ เครื่องดื่มชูกำลัง ร้อยละ 15 อันดับที่สามคือ นม UHT ร้อยละ 12.2 อันดับที่สี่คือ ชา กาแฟ ร้อยละ 11.8 อันดับที่ห้าคือ น้ำผลไม้ ร้อยละ 10.8 และอันดับสุดท้ายคือ น้ำดื่ม ร้อยละ 9.6         อยากให้สภาองค์กรของผู้บริโภค ทดสอบประเภทของเครื่องสำอาง อันดับที่หนึ่งคือ ครีมบำรุงผิว ร้อยละ 23.6 อันดับที่สองคือ สบู่ / ครีมอาบน้ำ ร้อยละ 18.5 อันดับที่สามคือ โฟมล้างหน้า ร้อยละ 17.7 อันดับที่สี่คือ แชมพู ครีมนวดผม ร้อยละ 14.8 อันดับที่ห้าคือ ผงซักฟอก / น้ำยาซักผ้า ร้อยละ 13 และอันดับสุดท้ายคือ ลิปสติก ร้อยละ 11.9         อยากให้สภาองค์กรของผู้บริโภค ทดสอบประเภทของเครื่องใช้ไฟฟ้า อันดับที่หนึ่งคือ เครื่องปรับอากาศ ร้อยละ 27.9 อันดับที่สองคือ เครื่องฟอกอากาศ ร้อยละ 17.6 อันดับที่สามคือ เครื่องกรองน้ำ ร้อยละ 16.7 อันดับที่สี่คือ เตาอบ ร้อยละ 13.7 อันดับที่ห้าคือ ทีวี ร้อยละ 12.5 และอันดับสุดท้ายคือ ตู้เย็น ร้อยละ 10.9         อยากให้สภาองค์กรของผู้บริโภคทดสอบ/สำรวจบริการเครือข่ายโทรศัพท์ อันดับที่หนึ่งคือ ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว ร้อยละ 30.4 อันดับที่สองคือ บริการ SMS ที่เก็บค่าบริการ ร้อยละ 20.6 อันดับที่สามคือ ค่าบริการ ร้อยละ 13.6 อันดับที่สี่คือ การชดเชยเมื่อเกิดความผิดพลาดของผู้ให้บริการ ร้อยละ 12.5 อันดับที่ห้าคือ บริการ Call center ร้อยละ 12.1 และอันดับสุดท้ายคือ พื้นที่ให้บริการ ร้อยละ 10.8         อยากให้สภาองค์กรของผู้บริโภค ทดสอบ/สำรวจบริการอินเทอร์เน็ต อันดับที่หนึ่งคือ ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว ร้อยละ 32 อันดับที่สองคือ ความเร็วอินเทอร์เน็ต ร้อยละ 24.2 อันดับที่สามคือ พื้นที่ให้บริการ ร้อยละ 12.1 อันดับที่สี่คือ ค่าบริการ ร้อยละ 11.8 อันดับที่ห้าคือ บริการ Call center ร้อยละ 10.3 และอันดับสุดท้ายคือ การชดเชยเมื่อเกิดความผิดพลาดของผู้ให้บริการ ร้อยละ 9.5         อยากให้สภาองค์กรของผู้บริโภค ทดสอบ/สำรวจบริการขนส่งสินค้า อันดับที่หนึ่งคือ การดูแลพัสดุไม่ให้เกิดความเสียหาย ร้อยละ 24 อันดับที่สองคือ การชดเชยกรณีพัสดุเสียหาย ร้อยละ 22 อันดับที่สามคือ ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว ร้อยละ 17.6 อันดับที่สี่คือ การชดเชยกรณีพัสดุสูญหาย ร้อยละ 15.2 อันดับที่ห้าคือ ความเร็วในการจัดส่ง ร้อยละ 12.6 และอันดับสุดท้ายคือ ค่าบริการ ร้อยละ 8.7         อยากให้สภาองค์กรของผู้บริโภค ทดสอบ/สำรวจบริการขนส่งมวลชน อันดับที่หนึ่งคือ รถเมล์ ร้อยละ 26 อันดับที่สองคือ รถแท็กซี่ ร้อยละ 18.5 อันดับที่สามคือ จักรยานยนต์รับจ้าง ร้อยละ 16 อันดับที่สี่คือ รถรับจ้างสาธารณะ (สองแถว) ร้อยละ 15 อันดับที่ห้าคือ รถไฟฟ้า ร้อยละ 13.3 และอันดับสุดท้ายคือ เรือโดยสาร ร้อยละ 11.2         นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า สถิติการร้องเรียนของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกันยายน ปี 2564 มีเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 1,192 เรื่อง มีผู้ร้องเรียนปัญหาหมวดสินค้าบริการทั่วไป เป็นอันดับสอง จำนวน 324 เรื่อง ร้อยละ 27.18 รองจากอันดับหนึ่ง หมวดการเงินการธนาคาร/ประกัน จำนวน 516 เรื่อง ร้อยละ 43.29 ในหมวดสินค้าบริการทั่วไป ประเภทสินค้าที่ร้องเรียนที่พบมากที่สุด คือ สินค้า 248 เรื่อง ร้อยละ 76.54 รองลงมา คือ บริการ 76 เรื่อง ร้อยละ 23.46         เมื่อแบ่งประเภทปัญหาที่ร้องเรียนในหมวดสินค้าบริการทั่วไป อันดับที่หนึ่งคือ สินค้าชำรุดบกพร่อง/ไม่ได้มาตรฐาน จำนวน 65 เรื่อง ร้อยละ 20.06 อันดับที่สองคือ มีปัญหาการขอคืนเงิน จำนวน 56 เรื่อง ร้อยละ 17.28 อันดับที่สามคือ ไม่พอใจบริการ จำนวน 56 เรื่อง ร้อยละ 17.28 อันดับที่สี่คือ โฆษณาเป็น         เท็จ/หลอกลวง/เกินจริง จำนวน 52 เรื่อง ร้อยละ 16.05 อันดับที่ห้าคือ ไม่ได้รับสินค้า/สินค้าไม่ถูกต้อง จำนวน 33 เรื่อง ร้อยละ 10.19 อันดับที่หกคือ ฉ้อโกง/หลอกลวง จำนวน 21 เรื่อง ร้อยละ 6.48         ในปี 2564 พบว่าผู้บริโภคเคยถูกละเมิดสิทธิจากการซื้อสินค้าและบริการถึงร้อยละ 54.7 แต่มีผู้ที่มาร้องเรียนกับมูลนิธิฯ ในหมวดสินค้าบริการทั่วไปเป็นอันดับสอง ร้อยละ 27.18 เป็นจำนวนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ที่พบปัญหาถูกละเมิดสิทธิ เมื่อเทียบปัญหาที่พบกับการร้องเรียนปัญหาเรื่องสินค้าและบริการทั่วไปแล้วยังพบว่ามีผู้ที่พบปัญหาแต่ไม่ได้ร้องเรียนอยู่มาก โดยเฉพาะเรื่องของการโฆษณาเกินจริง ที่พบปัญหามากเป็นอันดับที่หนึ่งแต่ร้องเรียนกับมูลนิธิฯ เป็นอันดับที่สี่ อาจจะเพราะผู้บริโภคยังไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่สามารถร้องเรียนได้ ฉะนั้นเมื่อพบปัญหาแล้วเกิดความสงสัยหรือไม่แน่ใจ ควรสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอยากให้ผู้บริโภคร้องเรียนปัญหาเพื่อรักษาสิทธิของตนเอง         หากพบปัญหาเรื่องสินค้าและบริการต่างๆ สามารถสอบถามเพิ่มเติม หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนได้ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค โทรศัพท์ : 02-2483734-7 Line id : @ConsumerThai หรือร้องทุกข์ออนไลน์ที่ https://www.consumerthai.com/

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 192 เป้สำหรับวันทำงาน

เป็นโชคดี (หรือโชคร้าย) ของคนยุคนี้ที่สามารถทำงานได้ทุกที่ หลายคนมีคอมพิวเตอร์ติดตัวไปด้วยไม่ว่าจะไปสำนักงานหรือไปนั่งในร้านกาแฟที่เปิดเป็นพื้นที่ทำงาน กระเป๋าสำหรับสัมภาระรายวันเช่น ขวดน้ำ โน้ตบุ้ค และเสื้อผ้าสำหรับออกกำลังกาย จึงเป็นสิ่งจำเป็นฉลาดซื้อฉบับนี้ภูมิใจเสนอผลทดสอบเป้สำหรับวันทำงานที่สมาชิกองค์กรทดสอบระหว่างประเทศร่วมกันทำไว้ ตลาดเป้เมืองไทยใหญ่ไม่แพ้ชาติใดในโลก เราจึงนำเสนอเป้ทั้ง 24 รุ่น ความจุระหว่าง 17 ถึง 35 ลิตร ที่ห้องปฏิบัติการ Strojírenský zkušební ústav, s.p. (SZU) ในสาธารณรัฐเชกได้ทำการทดสอบไว้การทดสอบแบ่งออกเป็นสองช่วงได้แก่ 1. ความพึงพอใจของอาสาสมัครที่ทดลองใช้งานโดยใส่ของทั้งแบบครึ่งและเต็มพื้นที่เป้ การปิด/เปิด หยิบโน้ตบุ้ค หยิบของขณะสะพาย และความกระชับเวลาเคลื่อนไหว 2. การทดสอบในห้องปฏิบัติการ* ที่เปรียบเทียบ- พื้นที่ใช้สอย - ความแข็งแรงทนทาน (เช่น หูหิ้ว สายสะพาย)- การกันน้ำ (ทั้งด้านบนและด้านล่างตัวกระเป๋า)- ความปลอดภัยต่อผู้ใช้ (ขอบ มุม หรือเหลี่ยมที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ และสีสะท้อนแสงที่ช่วยให้มองเห็นได้ง่าย เป็นต้น)- ช่องใส่โน้ตบุ๊ก (ทดสอบกับโน้ตบุ้คขนาด 15.6 นิ้ว ความหนา 2.5 เซนติเมตร โดยดูจากความกระชับ ความสะดวกในการนำอุปกรณ์เข้าออกจากกระเป๋า) - คุณภาพการประกอบ (เช่น ตะเข็บ ซิป ล็อค และหมุด)จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน เป้ที่ได้คะแนนสูงสุด (82 คะแนน) ได้แก่ THE NORTH FACE รุ่น BOREALIS ขนาด 28 ลิตร ตามด้วย deuter รุ่น Giga 7309 Blueline Check ขนาด 20 ลิตร (80 คะแนน) และ OSPREY Flare ขนาด 22 ลิตร (76 คะแนน)เป้แต่ละรุ่นมีจุดแข็งแตกต่างกัน พลิกดูรายละเอียดได้ในหน้าถัดไปเพื่อหาใบที่เหมาะกับคุณที่สุดได้เลย*อัตราค่าทดสอบต่อหนึ่งตัวอย่างอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 14,000 บาทเป้เหล่านี้ออกแบบมาให้เป็นมิตรต่อหลังของเราในระดับหนึ่ง แต่เราก็ต้องใช้มันให้ถูกวิธีด้วย เช่น ปรับสายสะพายให้กระชับเสมอ ไม่สะพายไหล่เดียว และไม่แบกน้ำหนักเกินกว่า 15% ของน้ำหนักตัว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 สารกันบูดใน “ขนมเปี๊ยะ”

ขนมเปี๊ยะ อีกหนึ่งขนมยอดนิยมที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน จัดเป็นขนมที่นิยมซื้อหาไปเยี่ยมเยือนเพื่อนฝูง ญาติมิตร หรือรับประทานเป็นของว่างแสนอร่อย ปัจจุบันจึงมีขนมเปี๊ยะวางขายอยู่ทั่วไปมากมายหลายแบบหลายรสชาติ อย่างไรก็ตามด้วยความที่ขนมเปี๊ยะมีส่วนประกอบหลักคือ แป้ง และไส้ขนมที่มีปริมาณค่อนข้างเยอะทำให้ขนมเปี๊ยะมีความชื้นสูง ซึ่งเหมาะต่อการเติบโตของจุลินทรีย์ ทำให้โอกาสที่ขนมเปี๊ยะจะเน่าเสียหรือเกิดเชื้อราก่อนรับประทานหมดนั้นเกิดได้ค่อนข้างง่าย ดังนั้นผู้ผลิตรายหลายจึงเลือกที่จะใส่หรือเติมสารกันบูดลงไปด้วย เพื่อคงสภาพของขนมให้อยู่ได้นานๆ หลายวัน ทำให้ฉลาดซื้อ ฉบับนี้เลือก ขนมเปี๊ยะ จากหลายสถานที่ผลิต นำมาทดสอบหาปริมาณสารกันบูด มาดูกันว่าบรรดาเจ้าดังเจ้าอร่อยมียี่ห้อไหนบ้างที่พบการปนเปื้อนของสารกันบูดขนมเปี๊ยะ ใส่สารกันบูดได้หรือไม่?สารการบูดที่เราทำการทดสอบครั้งนี้คือ กรดเบนโซอิก และ กรดซอร์บิก ซึ่งเป็นสารที่นิยมใส่ในผลิตภัณฑ์กลุ่มเบเกอรี่ สามารถยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์ได้ดีโดยจะไปทำให้กระบวนการแทรกซึมของจุลินทรีย์เข้าไปในอาหารอาหารผิดปกติ ทำให้จุลินทรีย์ไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง ข้อกำหนดการใช้วัตถุเจือปนอาหาร ไม่ได้กำหนดเกณฑ์การใช้ กรดเบนโซอิก ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมอบ ซึ่งขนมเปี๊ยะจัดอยู่ในกลุ่มดังกล่าว เช่นเดียวกับขนมเค้ก ขนมพาย โดยในประกาศระบุเพียงว่า ให้ใช้ใน “ปริมาณที่เหมาะสม” ซึ่งถ้าลองนำไปเทียบกับกลุ่มอาหารชนิดอื่นๆ ส่วนใหญ่กฎหมายจะอนุญาตให้ใช้กรดเบนโซอิกได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ส่วน กรดซอร์บิก ไม่มีการกำหนดปริมาณการใช้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมอบ อย่างไรก็ตามข้อกำหนดที่อนุญาตให้ใช้กรดเบนโซอิกได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัมนั้น เท่ากันกับที่กำหนดไว้ในมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ หรือ โคเด็กซ์ (Codex) ที่ก็อนุญาตให้ใช้กรดเบนโซอิกสูงสุดได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ในกลุ่มอาหารประเภทขนมอบ ส่วน กรดซอร์บิก โคเด็กซ์ กำหนดให้ใช้ได้ไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัมเช่นกัน แต่ทั้งนี้หากมีการใช้ทั้ง 2 ชนิดรวมกัน ปริมาณสูงสุดที่พบเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัมผลการทดสอบผลทดสอบ ขนมเปี๊ยะ 13 ตัวอย่าง พบว่ามีเพียง 1 ตัวอย่างที่ไม่พบการปนเปื้อนของ เบนโซอิก และ ซอร์บิก คือ ขนมเปี๊ยะเหลือง จากร้าน เอส แอนด์ พี ขณะที่ตัวอย่างขนมเปี๊ยะอีก 12 ตัวอย่างพบการปนเปื้อนทั้งหมด แต่ปริมาณของ เบนโซอิก และ ซอร์บิก ในขนมเปี๊ยะจากการสุ่มสำรวจครั้งนี้ พบในปริมาณที่น้อยมาก เฉลี่ยอยู่ที่ 20.47 มิลลิกรัม ต่อ กิโลกรัมเท่านั้น เมื่อเทียบกับปริมาณที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้คือสูงสุดไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัม ต่อ กิโลกรัมข้อสังเกต-มี 3 ตัวอย่างที่มีการแจ้งบนฉลากว่า ไม่ใส่สารกันบูด คือ 1.ขนมเปี๊ยะไส้ถั่ว ยี่ห้อครูสมทรง 2.ขนมเปี๊ยะไส้ถั่ว ร้านหมู และ 3.ขนมเปี๊ยะบางกระบือ (โง้วฮั่วเตียง) แต่ทั้ง 3 ตัวอย่างพบการปนเปื้อนของเบนโซอิก แต่ก็พบในปริมาณเพียงเล็กน้อย จึงมีความเป็นไปได้ว่าเบนโซอิกที่พบนั้น อาจปนเปื้อนอยู่ในส่วนของวัตถุดิบโดยผู้ผลิตไม่ทราบมาก่อน หรือผู้ผลิตมีการใส่สารกันบูดลงไปในส่วนผสม-มี 1 ตัวอย่างที่แจ้งว่ามีการใช้สารกันบูด คือ ขนมเปี๊ยะกุหลาบ ยี่ห้อ แต้ เซ่ง เฮง-ขนมเปี๊ยะที่เราเลือกเก็บมาทดสอบส่วนใหญ่แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักๆ กลุ่มแรกคือ ขนมเปี๊ยะเจ้าดังที่เป็นที่รู้จักของคนที่ชอบกินขนมเปี๊ยะ และมักนิยมซื้อหากันในช่วงเทศกาลสำคัญของชาวจีนอย่าง วันไหว้พระจันทร์ ซึ่งร้านขนมเปี๊ยะชื่อดังเหล่านี้ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในย่านเยาวราช เช่น ขนมเปี๊ยะ อื้อ เล่ง เฮง และ ขนมเปี๊ยะแต้เล่าจิ้นเส็ง กลุ่มที่ 2 คือ ขนมเปี๊ยะที่ขายอยู่ในร้านเบเกอร์รี่ชื่อดังที่มีสาขาหลายสาขา เช่น เอส แอนด์ พี, กาโตว์ เฮาส์ และร้านขนมบ้านอัยการ และกลุ่มสุดท้าย คือกลุ่มตัวอย่างขนมเปี๊ยะที่อาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่พบว่ามีวางจำหน่ายอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อดังอย่าง เทสโก้ โลตัส และ บิ๊กซี ซึ่งถือว่าสามารถเข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมาก-ถ้าดูจากวันที่ผลิตและวันหมดอายุของตัวอย่างขนมเปี๊ยะที่สุ่มสำรวจครั้งนี้ ส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ที่ไม่เกิน 1-2 เดือน ถือว่าเก็บไว้ได้ไม่นาน แต่ก็มีหลายตัวอย่างที่ไม่ได้มีการแจ้งเรื่องวันที่ผลิตและหมดอายุ เพราะลักษณะของร้านค้าที่ขายขนมเปี๊ยะส่วนใหญ่จะเป็นแบบทำไปขายไป กฎหมายอนุโลมให้อาหารลักษณะนี้ไม่ต้องมีฉลาก ซึ่งดูแล้วอายุของขนมเปี๊ยะในกลุ่มนี้ก็น่าจะใกล้เคียงกับกลุ่มที่มีการแจ้งข้อมูลบนฉลาก คือไม่เกิน 1-2 เดือนฉลาดซื้อแนะนำ-เลือกซื้อขนมเปี๊ยะจากร้านที่มั่นใจ ดูที่ทำสะอาดผลิตใหม่ทุกวัน -ขนมเปี๊ยะที่ซื้อมาแล้วกินไม่หมด ควรเก็บในตู้เย็น ช่วยยืดอายุของขนมเปี๊ยะให้นานขึ้น-แม้ว่าผลทดสอบที่ออกมาจะบอกว่า ขนมเปี๊ยะ อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยจากสารกันบูด เบนโซอิก และ ซอร์บิก เพราะปริมาณที่พบค่อนข้างน้อย แต่ก็ควรเลือกกินแต่พอดี เพราะในขนมเปี๊ยะมีส่วนผสมทั้งน้ำตาลและน้ำมันเป็นส่วนประกอบ กินมากๆ ก็อาจส่งผลต่อสุขภาพขนมเปี๊ยะที่ขายกันอยู่ในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ โดยแบ่งได้เป็น 2 แบบหลักๆ คือ แบบที่เปลือกนิ่ม เช่น เปี้ยะไหว้พระจันทร์ เปี๊ยะลูกเต๋า เปี๊ยะโมจิ อีกแบบคือขนมเปี๊ยะที่เปลือกแป้งจะมีความกรอบร่วนมีลักษณะเป็นชั้นๆ เช่น เปี๊ยะใหญ่ เปี๊ยะกุหลาบ เปี๊ยะทานตะวัน เป็นต้นตามความเชื่อของประเทศจีน ขนมเปี๊ยะ ถือเป็นขนมมงคล สื่อความหมายถึงความปรารถนาดีต่อกัน ของทั้งผู้ให้และผู้รับ ขนมเปี๊ยะเป็นขนมที่คู่กับเทศกาลไหว้พระจันทร์ ในภาษาจีนคำว่า ขนมไหว้พระจันทร์ เรียกว่า “เย่ว์ปิ่ง” ซึ่งมาจากคำ 2 คำ คือ “เย่ว์” ที่แปลว่า พระจันทร์ และคำว่า “ปิ่ง” ซึ่งหมายถึง ขนมเปี๊ยะ เพราะในเทศกาลไหว้พระจันทร์ เป็นช่วงเวลาที่คนจีนจะได้พบปะญาติพี่น้องแบบพร้อมหน้าพร้อมตา ร่วมกันกินขนมและชมพระจันทร์ไปพร้อมกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 179 สำรวจ “ร้านค้าออนไลน์” เจ้าไหนน่าช้อปกว่ากัน

เพราะปัจจุบันนี้ชีวิตของเราสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ง่ายขึ้นเพียงแค่ใช้ปลายนิ้วสั่งการผ่านทางหน้าจอสมาร์ทโฟน ด้วยเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารที่ถูกพัฒนามาไกล ล่าสุดก็เพิ่งจะประมูลคลื่น 4จี กันไป สัญญาณอินเตอร์เน็ท และ ไว-ไฟ ก็หาใช้ได้ไม่ยาก ทำให้เราสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์และมือถือสมาร์ทโฟนได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมที่หลายๆ คนหันมาทำผ่านทางออนไลน์มากขึ้นก็คือ “การช้อปปิ้ง” ซึ่งเดี่ยวนี้ก็มีร้านค้าและสินค้าให้เลือกซื้อผ่านทางออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากไว้คอยเอาใจขาช้อป ถือเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อตอบรับกับยุคสมัย ยุคที่เทคโนโลยีช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น           รูปแบบของ “ร้านค้าออนไลน์” ในปัจจุบัน 1.เว็บไซต์ที่เป็นของผู้ผลิตหรือเจ้าของสินค้าเองโดยตรงเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ในลักษณะนี้จะเป็นเว็บไซต์ที่ทางร้านค้าทำขึ้นเพื่อเปิดขายสินค้าภายใต้แบรนด์ของตัวเอง เช่น www.apple.com/th หรือ shop.adidas.co.th เป็นต้น หรือไม่ก็เป็นเว็บไซต์ที่ขายสินค้าเฉพาะกลุ่มชัดเจน เช่น www.jib.co.th/web/ (ร้าน เจ.ไอ.บี. คอมพิวเตอร์) ที่ขายเฉพาะอุปกรณ์ด้านไอที หรือ www.naiin.com (ร้านนายอินทร์) ที่ขายเน้นขายหนังสือและนิตยสารต่างๆ เป็นหลัก เป็นต้น เว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าที่มีหน้าร้านปกติอยู่แล้ว แต่มาขยายช่องทางเปิดเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าผ่านทางออนไลน์ รองรับกระแสที่ผู้บริโภคเริ่มหันมาช้อปปิ้งผ่านสมาร์ทโฟนและหน้าจอคอมพิวเตอร์กันมากขึ้น 2.เว็บไซต์แบบ ตลาดกลางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Marketplaceเป็นเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เหมือนตลาดกลางที่รวบรวมสินค้าจากร้านค้าหรือบริษัทต่างๆ เอาไว้ภายในเว็บไซต์เดียว เหมือนห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีร้านค้าต่างๆ มากมายมาเช่าพื้นที่เปิดร้านขายสินค้า จุดเด่นของเว็บไซต์ในลักษณะนี้ก็คือการมีสินค้าหลากหลายประเภทให้เลือกซื้อ มีสินค้าให้เลือกเยอะ ทำให้สามารถเปรียบเทียบราคาและคุณสมบัติของสินค้าที่เราต้องการได้จากหลายๆ ร้านค้าที่อยู่ในเว็บไซต์ ง่ายต่อการค้นหาข้อมูลเพราะในเว็บไซต์จะจัดแบ่งหมวดหมู่ของสินค้าแต่ละประเภทเอาไว้แล้ว เว็บไซต์รูปแบบ e-Marketplace ที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมี 2 แบบ คือแบบที่เว็บไซต์ทำหน้าที่ตั้งแต่การขาย การสั่งซื้อ การรับชำระค่าสินค้า ไปจนถึงการจัดส่ง สินค้าที่ขายส่วนใหญ่เป็นสินค้ายี่ห้อดังเป็นที่รู้จักทั่วไป ได้แก่ www.shopat7.com และ www.itruemart.com เป็นต้น อีกแบบจะเป็นเว็บไซต์ที่เปิดให้ร้านค้าต่างๆ โดยเฉพาะร้านค้าจากผู้ค้ารายย่อยสามารถสมัครเข้ามาขายสินค้าของตัวเองได้ ตัวเว็บไซต์จะรับหน้าที่เป็นตัวกลางดูแลเรื่องระบบการสั่งซื้อและชำระค่าสินค้าเท่านั้น ส่วนขั้นตอนการส่งสินค้าร้านจะดำเนินการเองเป็นไปตามเงื่อนไขของแต่ละร้านค้า เว็บไซต์ในกลุ่มนี้ได้แก่ www.weloveshopping.com, www.tarad.com, www.lazada.co.th และ www.ensogo.co.th เป็นต้น 3.เว็บไซต์แบบ ตลาดนัดออนไลน์ หรือ e-Classifiedเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ในแบบ  e-Classified  เป็นเว็บไซต์ขายสินค้าที่ไม่ว่าใครก็สามารถลงขายสินค้าได้โดยไม่เสียค่าบริการหรือค่าคอมมิชชั่นใดๆ ความรู้สึกคล้ายกับการเปิดแผงลอยในตลาดนัด ไม่จำเป็นต้องเป็นร้านค้าหรือบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ก็สามารถมาลงขายสินค้ากับเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์แบบ e-Classified ได้ มีสินค้าแค่ชิ้นเดียว เป็นสินค้าเก่า ของมือสอง ของที่ใช้เองแล้วอยากขาย ก็สามารถนำมาลงขายได้ เพียงแต่ขั้นตอนในการซื้อขาย ตัวผู้ประกาศลงขายสินค้าก็ต้องรับหน้าที่ดำเนินการต่อเองทั้งหมด ตั้งแต่ขั้นตอนการติดต่อซื้อขายกับผู้ซื้อ การชำระค่าสินค้า การจัดส่ง เว็บไซต์ e-Classified เป็นแค่พื้นที่กลางในการลงประกาศขายสินค้าเท่านั้น เว็บไซต์แนวนี้ที่เป็นที่รู้จักกันก็คือ www.kaidee.com4.ร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ (Facebook, Instagram, Line) ในการขายสินค้าโซเชียลมีเดีย หรือ สังคมออนไลน์ ถือเป็นมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ทำให้ การซื้อขายสินค้าและการทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะปัจจุบันมีจำนวนผู้ที่ใช้เว็บไซต์และโปรแกรมโซเซียลมีเดียเพื่อติดต่อสื่อสารกันเป็นจำนวนมาก ทำให้ช่องทางดังกล่าวถูกนำมาใช้เพื่อการประกอบธุรกิจ ทั้งกลุ่มสินค้าชื่อดังและกลุ่มผู้ค้ารายย่อย ต่างก็หันมาใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการขายสินค้า ทั้งวิธีการทำหน้าเพจเพื่อค้าสินค้าโดยตรง หรือการนำไปประกาศขายตามกลุ่มที่มีการขายสินค้าต่างๆ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากใน Facebook ที่สามารถทำได้โดยง่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย หรือแม้แต่ใน Instagram ที่เป็นแอพลิเคชั่นสำหรับแช่ร์รูปถ่าย ก็ยังถูกนำไปใช้เพื่อเปิดเป็นร้านค้าออนไลน์ ช่องทางโซเชียลมีเดียเหล่านี้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อได้เป็นจำนวนมากแต่ใช้การลงทุนที่แทบจะเป็นศูนย์ การติดต่อพูดคุยเพื่อซื้อขายรวมถึงการชำระค่าสินค้าทำได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว จบทุกอย่างได้ด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว ทำให้ไม่ใช้เรื่องน่าแปลกใจที่จะเกิดพ่อค้า-แม่ค้าหน้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากตามโซเชียลมีเดียต่างๆ (ในปี 2015 ที่ผ่านมาพบว่าคนไทยใช้ Facebook มากถึง 35 ล้านคน หรือประมาณครึ่งหนึ่งของประชากรในประเทศทั้งหมด, Line มีจำนวนผู้ใช้อยู่ที่ 33 ล้านคน ส่วน Instagram มีผู้ใช้จำนวน 2 ล้านคน ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่จะมีแนวโน้นของจำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ที่มา: www.zocialinc.com) ข้อดี - ข้อเสียของการซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ ข้อดี-สะดวกสบาย สามารถซื้อสินค้าผ่านทางสมาร์ทโฟน หน้าจอคอมพิวเตอร์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ไม่ต้องเดินทางไปซื้อที่ร้าน ประหยัดค่าเดินทาง ประหยัดเวลา-สามารถซื้อสินค้าได้ตลอด 24 ชั้วโมง -มีสินค้าให้เลือกเป็นจำนวนมาก ง่ายต่อการเปรียบเทียบราคา คุณภาพของสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ-มีจัดโปรโมชั่นและให้ส่วนลดในการซื้อสินค้าอยู่เสมอข้อเสีย-ผู้ซื้อต้องมีความรู้เรื่องการใช้งานคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์โฟน และอินเทอร์เน็ต-ไม่ได้เห็นสินค้าตัวจริง สินค้าจับต้องไม่ได้ -การจัดส่งต้องใช้เวลาหลายวัน และต้องเสียค่าจัดส่ง-ต้องศึกษาข้อมูลหรือมีความรู้เกี่ยวกับสินค้าที่ต้องการซื้ออยู่บ้างแล้ว-ต่อรองราคาไม่ได้วิธีป้องกันการถูกหลอกจากการซื้อสินค้าผ่านสื่อออนไลน์ควรเลือกเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ชื่อดังที่เป็นที่นิยมและเป็นที่ยอมรับ เพราะเว็บไซต์เหล่านี้มีมาตรฐานเรื่องความปลอดภัย มีที่ตั้งบริษัทหรือร้านค้าที่แน่นอน หากเกิดปัญหาจากการสั่งซื้อสินค้าก็สามารถติดตามเพื่อดำเนินการแก้ไขได้ง่าย มีระบบการจ่ายเงินและการส่งสินค้าที่ปลอดภัย มีนโยบายคืนสินค้าและคืนเงินที่เป็นมาตรฐาน แต่ที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษก็คือการซื้อสินค้าออนไลน์จากพ่อค้า-แม่ค้ารายย่อย ที่โพสต์ขายสินค้าเองตามโซเชียลมีเดียต่างๆ เพราะส่วนใหญ่เป็นร้านค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ อาจมีปัญหาในการติดตามตัวเวลาที่การปัญหาหลังจากซื้อสินค้า รวมทั้งอาจมีมิจฉาชีพแฝงตัวเข้าด้วย โดยที่ผู้ซื้อยากต่อการตรวจสอบ ข้อควรปฏิบัติเมื่อซื้อสินค้าออนไลน์กับร้านค้าในโซเชียลมีเดีย-เลือกซื้อกับร้านค้าหรือผู้ขายที่แสดงตัวตนชัดเจน มีการเปิดเผยหลักฐานบัตรประชาชน ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ที่สามารถติดตามตัวได้-ดูประวัติการซื้อขายก่อนหน้านี้ของผู้ขายว่ามีประวัติที่ไม่ดีหรือเปล่า เช่น สินค้ามีปัญหา หรือส่งของไม่ตรงเวลา โดยดูได้จากการแสดงความคิดเห็นของลูกค้าคนอื่นๆ ที่เคยซื้อสินค้ากับผู้ขายรายนี้มาก่อน ในหน้าเว็บหรือหน้า Facebook หรือนำชื่อผู้ขายชื่อร้านค้าไปลองเสิร์ชหาข้อมูลใน Google-ข้อดูรูปถ่ายสินค้าตัวจริง ขอดูภาพมุมต่างๆ ของสินค้าให้มากที่สุด สอบถามตำหนิต่างๆ ของสินค้าจากผู้ขายให้ชัด ก่อนตัดสินใจซื้อ-สอบถามเรื่องวิธีการส่งสินค้าและวันที่จะได้รับสินค้าจากผู้ขายเสมอ-ขอหลักฐานการส่งสินค้า เช่น ใบเสร็จจากไปรษณีย์ เพื่อใช้ยืนยันว่ามีการส่งสินค้าจริง-บันทึกการสนทนาการซื้อขายบนโซเชียลมีเดียเก็บไว้เป็นหลักฐานเมื่อเกิดปัญหา-ควรบันทึกภาพหน้าเพจร้านค้าใน Facebook หรือข้อความโพสต์ขายสินค้าบนโซเชียลมีเดียเก็บเอาไว้ เพื่อใช่เป็นหลักฐานเมื่อเกิดปัญหา เพราะบ่อยครั้งที่ผู้ขายที่ตั้งใจหลอกลวงจะปิดหน้าเพจ Facebook หรือลบข้อความทิ้ง-เมื่อถูกโกงจากการซื้อของออนไลน์ให้นำหลักฐานทั้งหมดไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ประกอบการ E-Commerce หรือ การทำธุรกรรมซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ ไทยในปัจจุบันมีจำนวน 502,676 ราย มูลค่าของ E-Commerce ในประเทศไทย เมื่อปี 2557 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นเท่ากับ 2,033,493.4 ล้านบาท มูลค่า E-Commerce แยกตามแต่ละประเภทธุรกิจ (ปี 2558)1.การให้บริการที่พัก 658,909.76 ล้านบาท2.การผลิต 350,286.83 ล้านบาท3.ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร 303,1111.48 ล้านบาท4.การค้าปลีก และ การค้าส่ง 325,077.48 ล้านบาท5.การขนส่ง 59,572.42 ล้านบาท6.ศิลปะ ความบันเทิง และนันทนาการ 11,694.22 ล้านบาท7.กิจกรรมการบริการด้านอื่นๆ 4,348.23 ล้านบาท8.การประกันภัย 1,751.62 ล้านบาท มูลค่าของสินค้าและบริการ แต่ละประเภทในธุรกิจ E-Commerce 1.คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ 25.66%2.เครื่องสำอาง และอุปกรณ์เสริมความงาม 24.42%3.แฟชั่น เครื่องแต่งกาย 17.27%4.สินค้าปลีกและส่งอื่นๆ 16.01%5.เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน 5.65%6.ห้างสรรพสินค้าออนไลน์ 5.61%7.อาหาร และเครื่องดื่ม 2.54%8.อุปกรณ์การกีฬา ของเล่นและของที่ระลึก 2.48%9.การจำหน่ายยายยนต์และผลิตภัณฑ์ 0.37% ที่มา: รายงานผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ในประเทศไทย ปี 2558, สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า150 Point

ฉบับที่ 98 โปรแกรมไหนให้ความมั่นใจคุณได้มากกว่า

กลับมาอีกครั้งกับผลทดสอบโปรแกรมรักษาความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว ให้กับผู้ใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ท จากองค์กรทดสอบสากล (ICRT) เจ้าเก่าที่เราเป็นสมาชิกอยู่ การทดสอบครั้งนี้มีโปรแกรม (เวอร์ชั่นปี 2009) ทั้งหมด 15 โปรแกรมด้วยกัน ที่มีราคาตั้งแต่ 1,300 ถึง 3,400 บาท ประเด็นทดสอบ1. ประสิทธิภาพในการป้องกันการถูกเจาะข้อมูล (Firewall)2. ประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสและสปายแวร์ 3. ความสะดวกในการลงโปรแกรม 4. ความสะดวกในการใช้งาน   ข้อสรุปจากการทดสอบ- เรายังไม่พบว่ามีโปรแกรมใดได้ 5 ดาว ในทุกๆหัวข้อที่ทดสอบ- ยกเว้นในเรื่องของ การป้องกันการถูกเจาะข้อมูลที่ที่ได้ 5 ดาว ไป 2 โปรแกรมคือ Gdata และ Bitdefender- 5 อันดับแรกของโปรแกรมที่ได้คะแนนสูงสุดได้แก่ Gdata Bitdefender Kaspersky Avira และ F-secure สำหรับคะแนนโดยละเอียดในแต่ละด้าน สามารถดูได้จากตารางต่อไปนี้ โปรแกรม เวอร์ชั่น คะแนนรวม ป้องกันการถูกเจาะข้อมูล (Firewall) การป้องกันไวรัสและสปายแวร์ ความสะดวกในการลงโปรแกรม ความสะดวกในการใช้งาน ราคา*   Gdata Internet Security 2009 4 5 4 4 4 1,600 Bitdefender Internet Security 2009 4 5 3 4 4 1,300 Kaspersky Internet Security 2009 4 4 3 4 4 2,200 Avira Premium Security Suite 4 4 3 3 4 1,800 F-secure Internet Security 2009 4 3 3 4 4 3,200 McAfee Internet Security Suite with Site Advisor 2009 3 4 3 4 4 2,900 Panda Internet Security 2009 3 4 3 4 4 3,200 Bullguard Internet Security 8.5 3 4 3 3 4 2,500 Symantec Norton Internet Security 2009 3 3 3 3 4 3,400 Checkpoint ZoneAlarm Internet Security Suite 2009 3 3 3 4 4 1,700 Trend micro Internet Security 2009 3 4 2 4 4 2,900 Agnitum Outpost Security Suite Pro 2009 3 5 2 4 4 2,700 Avg Technologies Security Suite 3 4 2 4 4 2,300 Steganos Internet Security 2009 3 4 2 4 4 1,700 CA Internet Security Suite Plus 2009 2 3 2 4 3 2,800 หมายเหตุ ราคาที่แจ้งนั้นเป็นราคาที่สำรวจจากเว็บไซต์ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ก่อนตัดสินใจซื้อ สมาชิกควรตรวจสอบราคาอีกครั้งหนึ่ง และอย่าลืมสอบถามผู้ขายด้วยว่าเราสามารถนำไปลงกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้กี่เครื่อง (บางเจ้าอาจให้ลงได้ถึง 5 เครื่อง)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า150 Point

ฉบับที่ 180 สำรวจราคา “ก๊าซหุงต้ม” ที่ไหนขายแพงบ้าง?!!

“ก๊าซหุงต้ม” ถือว่ามีความจำเป็นอย่างมากต่อการดำรงชีวิตประจำวัน เพราะทุกวันนี้ไม่ว่าจะบ้านไหนๆ ก็ใช้ “ก๊าซถัง” เป็นเชื้อเพลิงในการประกอบอาหารกันทั้งนั้น เดี๋ยวนี้คงแทบไม่มีใครที่ยังใช้วิธีก่อฟืนจุดไฟเพื่อทำกับข้าวกันอีกแล้ว เพราะ “ก๊าซหุงต้มบรรจุถัง” สะดวกและง่ายกว่ากันเยอะ ก๊าซหุงต้มที่เราใช้กับตามบ้านเรือนและร้านค้าทั่วไปในปัจจุบัน ชื่อเรียกเต็มๆ ก็คือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว หรือก็คือ ก๊าซ LPG (Liquefied Petroleum Gas) ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่ได้จากกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบในโรงกลั่นน้ำมัน และจากกระบวนการแยกก๊าซธรรมชาติในโรงแยกก๊าซก๊าซถังมีการควบคุมราคา “ห้ามขายแพงเกิน” (แต่ควบคุมเฉพาะ กทม.และ ปริมณฑล เท่านั้น) ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ราคาของก๊าซหุงต้มมีการปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกับสินค้าด้านพลังงานชนิดอื่นๆ เดิมทีเราเคยซื้อก๊าซหุงต้ม 1 ถังน้ำหนัก 15 กิโลกรัม ที่ราคาถังละ 300 บาท เมื่อปี 2555 แต่ในปี 2556 กระทรวงพลังงานได้มีการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มทุกเดือนเฉลี่ยเดือนละประมาณ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม ติดต่อกัน 12 เดือน จากเดิมที่ราคากิโลกรัมละ 18.13 บาท ขยับขึ้นไปสูงถึง 24.82 บาท ซึ่งทำให้ในเวลานั้นราคาก๊าซ 1 ถังพุ่งขึ้นไปสูงสุดถึง 400 บาทเลยทีเดียว!!! แต่ว่าเมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติปรับลดราคาจำหน่ายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) หลังต้นทุนก๊าซ LPG ลดลงตามราคาตลาดโลก โดยปรับลดลงกิโลกรัมละ 0.67 บาท ทำให้ราคาจำหน่ายปลีกลดลงจากเดิมกิโลกรัมละ 22.96 บาท เป็นกิโลกรัมละ 22.29 บาท ประกาศสำนักงานคณะกรรมการคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ*** เรื่อง ราคาจำหน่ายปลีกแนะนำก๊าซปิโตรเลียมเหลวบรรจุถัง (ก๊าซหุงต้ม) ปี 2558 (ฉบับที่ 3) ซึ่งมีผลตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2558 กำหนดให้ ก๊าซปิโตรเลียมเหลวบรรจุถัง ขนาด 15 กิโลกรัม ในเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ จำหน่ายปลีกในราคาไม่เกินถังละ 370 บาท โดยราคาดังกล่าวรวมค่าบริการขนส่งถึงสถานที่ของผู้ซื้อ ซึ่งมีระยะทางขนส่งในรัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตร แต่ไม่รวมค่าบริการขนส่งขึ้นบนอาคารสูง ***ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ก.พ.2559 ที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติปรับลดราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม (LPG) ลงอีก 2 บาทต่อกิโลกรัม เท่ากับว่าราคาจะลดลงมาอยู่ 20.29 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ในประกาศสำนักงานคณะกรรมการคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เรื่อง ราคาจำหน่ายปลีกแนะนำก๊าซปิโตรเลียมเหลวบรรจุถัง (ก๊าซหุงต้ม) ฉบับล่าสุดปี 2559 กำหนดราคาของก๊าซหุงต้มบรรจุถังขนาด 15 กิโลกรัมไว้ใหม่ว่าจะต้องมีราคาจำหน่ายไม่เกิน 340 บาทต่อถัง ซึ่งเป็นราคาที่ร่วมค่าขนส่งในระยะรัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตร แต่ก็ยังเป็นราคาที่กำหนดเฉพาะพื้นที่ กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ เท่านั้น ส่วนจังหวัดอื่นๆ กบง. แจ้งว่าก็จะมีปรับลดเช่นกัน แต่อัตราที่ลดจะไม่เท่ากันแตกต่างกันไปตามระยะทาง การสำรวจครั้งนี้ยังคงใช้เกณฑ์ราคาแนะนำเดิมคือที่ 370 บาทเป็นเกณฑ์ในการสำรวจ เพราะการสำรวจครั้งนี้เป็นการสำรวจในเดือนธันวาคม 2558 ซึ่งยังยึดตามประกาศฉบับเดิม แต่หลังจากนี้ไปผู้บริโภคในกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล ควรเลือกซื้อก๊าซหุงต้มที่ราคา 340 บาทต่อถังเท่านั้นนอกจากนี้ในประกาศฉบับดังกล่าวยังกำหนดให้ร้านค้าต้องแสดงราคาจำหน่ายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวบรรจุถัง และค่าบริการขนส่งถึงสถานที่ของผู้ซื้อ รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ หากทางร้านมีการคิดเพิ่มนอกเหนือจากราคาจำหน่าย ซึ่งถ้าหากร้านค้าก๊าซบรรจุถังร้านใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งในประกาศถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย โดยหากร้านค้าใดจำหน่ายในราคาที่สูงกว่าที่กำหนด หรือแจ้งราคาไม่ตรงกับราคาขาย มีสิทธิ์ถูกลงโทษสูงสุด จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับทั่วประเทศไทยมีที่ไหนขายเกินราคาบ้าง?    จากประกาศของสำนักงานคณะกรรมการคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เรื่อง ราคาจำหน่ายปลีกแนะนำก๊าซปิโตรเลียมเหลวบรรจุถัง (ก๊าซหุงต้ม) ปี 2558 (ฉบับที่ 3) จะเห็นว่ามีจุดอ่อนอยู่ที่การกำหนดราคาขายก๊าซหุงต้มบรรจุถังมีผลบังคับกับร้านค้าเฉพาะที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และจังหวัดปริมณฑล คือ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ทำให้อีกหลายจังหวัดจำหน่ายก๊าซหุงต้มบรรจุถังขนาด 15 กิโลกรัม สูงกว่าราคาแนะนำที่ 370 บาท     คณะอนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ ภายใต้คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน และเครือข่ายผู้บริโภคทั่วประเทศ จึงได้ทำการสำรวจราคาซื้อขายก๊าซหุงต้มตามร้านจำหน่ายก๊าซทั้งในเขตกรุงเทพฯ และในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อดูว่ามีการตั้งราคาจำหน่ายแตกต่างจากที่ภาครัฐกำหนดไว้มากน้อยเพียงใด ผลการสำรวจราคาก๊าซหุงต้มทั่วประเทศกรุงเทพมหานคร (16 ร้าน)สูงกว่าราคาแนะนำ     3 ร้าน (19%)เท่ากับราคาแนะนำ    10 ร้าน (62%)ต่ำกว่าราคาแนะนำ    3 ร้าน (19%)ราคาที่พบกว่าสูงเกินกว่าราคาแนะนำ คือ     380 บาท (2 ร้าน) 375 บาท (1 ร้าน)พื้นที่ที่พบร้านที่จำหน่ายสูงเกินราคาแนะนำ คือ เขตพระนคร เขตทุ่งครุ และ เขตสะพานสูงการติดป้ายแสดงราคา ทุกร้านติดป้ายแสดงราคาปริมณฑล (20 ร้าน)สูงกว่าราคาแนะนำ     13 ร้าน (65%)เท่ากับราคาแนะนำ    2 ร้าน (10%)ต่ำกว่าราคาแนะนำ    5 ร้าน (25%)ราคาที่พบกว่าสูงเกินกว่าราคาแนะนำ คือ    400 บาท (1 ร้าน) 395 บาท (1 ร้าน) 390 บาท (5 ร้าน) 385 บาท (1 ร้าน)  380 บาท (5 ร้าน)จังหวัดที่พบร้านที่จำหน่ายสูงเกินราคาแนะนำ คือ ปทุมธานี (10 ร้าน) สมุทรปราการ (3 ร้าน) การติดป้ายแสดงราคา แจ้งราคา 4 ร้าน ไม่แจ้ง 16 ร้านภาคกลาง (24 ร้าน)สูงกว่าราคาแนะนำ     8 ร้าน (33%)เท่ากับราคาแนะนำ    4 ร้าน (17%)ต่ำกว่าราคาแนะนำ    12 ร้าน (50%)ราคาที่พบกว่าสูงเกินกว่าราคาแนะนำ คือ    400 บาท (2 ร้าน) 380 บาท (6 ร้าน)จังหวัดที่พบร้านที่จำหน่ายสูงเกินราคาแนะนำ คือ ชัยนาท (4 ร้าน) พระนครศรีอยุธยา (4 ร้าน)การติดป้ายแสดงราคา แจ้งราคา 12 ร้าน ไม่แจ้ง 12 ร้านภาคตะวันตก (94 ร้าน)สูงกว่าราคาแนะนำ     50 ร้าน (53%)เท่ากับราคาแนะนำ    16 ร้าน (17%)ต่ำกว่าราคาแนะนำ    28 ร้าน (30%)ราคาที่พบกว่าสูงเกินกว่าราคาแนะนำ คือ    420 บาท (1 ร้าน) 415 บาท (2 ร้าน) 410 บาท (9 ร้าน) 400 บาท (1 ร้าน) 395 บาท (1 ร้าน) 390 บาท (4 ร้าน) 385 บาท (1 ร้าน) 380 บาท (22 ร้าน) 375 บาท (9 ร้าน)จังหวัดที่พบร้านที่จำหน่ายสูงเกินราคาแนะนำ คือ ประจวบคีรีขันธ์ (12 ร้าน) ราชบุรี (12 ร้าน) นครปฐม (7 ร้าน) เพชรบุรี (7 ร้าน) กาญจนบุรี (6 ร้าน) สมุทรสาคร (6 ร้าน)การติดป้ายแสดงราคา แจ้งราคา 31 ร้าน ไม่แจ้ง 63 ร้านภาคตะวันออก (48 ร้าน)สูงกว่าราคาแนะนำ     41 ร้าน (86%)เท่ากับราคาแนะนำ    3 ร้าน (6%)ต่ำกว่าราคาแนะนำ    4 ร้าน (8%)ราคาที่พบกว่าสูงเกินกว่าราคาแนะนำ คือ    420 บาท (1 ร้าน) 410 บาท (1 ร้าน) 400 บาท (4 ร้าน) 395 บาท (2 ร้าน) 390 บาท (2 ร้าน) 380 บาท (23 ร้าน) 375 บาท (8 ร้าน)จังหวัดที่พบร้านที่จำหน่ายสูงเกินราคาแนะนำ คือ สระแก้ว (12 ร้าน) จันทบุรี (11 ร้าน) ปราจีนบุรี (9 ร้าน) ฉะเชิงเทรา (9 ร้าน)การติดป้ายแสดงราคา แจ้งราคา 6 ร้าน ไม่แจ้ง 42 ร้านภาคเหนือ (81 ร้าน)สูงกว่าราคาแนะนำ     56 ร้าน (69%)เท่ากับราคาแนะนำ    11 ร้าน (14%)ต่ำกว่าราคาแนะนำ    14 ร้าน (17%)ราคาที่พบกว่าสูงเกินกว่าราคาแนะนำ คือ    420 บาท (1 ร้าน) 410 บาท (1 ร้าน) 405 บาท (4 ร้าน) 400 บาท (11 ร้าน) 390 บาท (10 ร้าน) 385 บาท (4 ร้าน) 380 บาท (16 ร้าน) 379 (1 ร้าน) 375 บาท (8 ร้าน)จังหวัดที่พบร้านที่จำหน่ายสูงเกินราคาแนะนำ คือ พิษณุโลก (12 ร้าน) น่าน (12 ร้าน) เชียงใหม่ (9 ร้าน) ลำพูน (9 ร้าน) พะเยา (8 ร้าน) ลำปาง (5 ร้าน) แพร่ (1 ร้าน)การติดป้ายแสดงราคา แจ้งราคา 35 ร้าน ไม่แจ้ง 46 ร้านภาคอีสาน (119 ร้าน)สูงกว่าราคาแนะนำ     91 ร้าน (76%)เท่ากับราคาแนะนำ    9 ร้าน (8%)ต่ำกว่าราคาแนะนำ    19 ร้าน (16%)ราคาที่พบกว่าสูงเกินกว่าราคาแนะนำ คือ    440 บาท (4 ร้าน) 430 บาท (12 ร้าน) 420 บาท (13 ร้าน) 415 บาท (2 ร้าน) 410 บาท (4 ร้าน) 400 บาท (14 ร้าน) 395 บาท (3 ร้าน) 390 บาท (17 ร้าน) 385 บาท (5 ร้าน) 380 บาท (13 ร้าน) 379 บาท (1 ร้าน) 375 บาท (3 ร้าน)จังหวัดที่พบร้านที่จำหน่ายสูงเกินราคาแนะนำ คือ บึงกาฬ (24 ร้าน) หนองบัวลำภู (12 ร้าน) ร้อยเอ็ด (10 ร้าน) ขอนแก่น (9 ร้าน) เลย (8 ร้าน) บุรีรัมย์ (8 ร้าน) อุดรธานี (8 ร้าน) กาฬสินธุ์ (6 ร้าน) สุรินทร์ (6 ร้าน)การติดป้ายแสดงราคา แจ้งราคา 13 ร้าน ไม่แจ้ง 106 ร้านภาคใต้ (78 ร้าน)สูงกว่าราคาแนะนำ     68 ร้าน (87%)เท่ากับราคาแนะนำ    6 ร้าน (8%)ต่ำกว่าราคาแนะนำ    4 ร้าน (5%)ราคาที่พบกว่าสูงเกินกว่าราคาแนะนำ คือ    520-550 บาท (2 ร้าน*เป็นร้านที่ตั้งอยู่บนเกาะพีพี จ.กระบี่ เนื่องจากมีพื้นที่เป็นเกาะ ทำให้การตั้งราคาสูงกว่าพื้นที่อื่นค่อนข้างมาก) 470 บาท (1 ร้าน) 460 บาท (1 ร้าน) 450 บาท (1ร้าน) 430 บาท (4 ร้าน) 420 บาท (9 ร้าน) 410 บาท (6 ร้าน) 405 บาท (1 ร้าน) 400 บาท (10 ร้าน) 395 บาท (2 ร้าน) 390 บาท (9 ร้าน) 385 บาท (2 ร้าน) 380 บาท (17 ร้าน) 375 บาท (2 ร้าน) 373 บาท (1 ร้าน)จังหวัดที่พบร้านที่จำหน่ายสูงเกินราคาแนะนำ คือ กระบี่ (16 ร้าน) ปัตตานี (12 ร้าน) สตูล (12 ร้าน) สุราษฎร์ธานี (11 ร้าน) ชุมพร (10 ร้าน) สงขลา (7 ร้าน)การติดป้ายแสดงราคา แจ้งราคา 20 ร้าน ไม่แจ้ง 53 ร้านสรุปผลการสำรวจราคา-จากการสำรวจครั้งนี้ พบว่า มีเพียงแค่ กทม. และ ภาคกลาง เท่านั้น ที่สัดส่วนจำนวนของร้านค้าที่จำหน่ายก๊าซหุงต้มบรรจุถังเท่ากับหรือต่ำกว่าราคาแนะนำที่ 370 บาท มากกว่าจำนวนของร้านค้าที่สูงกว่าราคาแนะนำ -หลายร้านค้ามีการคิดค่าขนส่งเพิ่มจากราคาขาย ตั้งแต่ 5 – 20 บาท- มีร้านอีกจำนวนไม่น้อยที่ขายก๊าซหุงต้มบรรจุถังถูกกว่าราคาแนะนำ -การติดป้ายแสดงราคา ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่กฎหมายกำหนด พบว่ามีเพียงตัวอย่างร้านค้าในกทม.เท่านั้น ที่ติดป้ายครบทุกร้านที่ทำการสำรวจ ส่วนพื้นที่อื่นๆ ยังพบร้านที่ไม่ติดป้ายแสดงราคาอีกเป็นจำนวนมาก-ราคาจำหน่ายปลีกก๊าซหุงต้มบรรจุถังในพื้นที่ในต่างจังหวัด ยังไม่มีข้อบังคับที่เป็นการกำหนดราคาที่ชัดเจน โดยกรมการค้าภายในได้มอบอำนาจในการจัดการควบคุมดูแลเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการส่วนจังหวัดว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กจร.) ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน สามารถกำหนดราคาได้เองตามความเหมาะสมของแต่ละจังหวัด แต่ ณ ปัจจุบันก็ยังไม่มีจังหวัดไหนที่ออกประกาศเรื่องนี้ ทำให้ราคามีความแตกต่างกันหลากหลายราคาตามข้อมูลที่ได้จากการสำรวจพื้นที่และจำนวนจังหวัดในการสำรวจพื้นที่    จังหวัดที่สำรวจ    จำนวนร้านค้ากรุงเทพฯ    14 เขต (1.พระนคร 2.ทุ่งครุ 3.สะพานสูง 4.ป้อมปราบศัตรูพ่าย 5.ราษฎร์บูรณะ 6.บางกะปิ 7.ห้วยขวาง 8.คลองเตย 9.พระโขนง 10.ดินแดง 11. ลาดพร้าว 12.ธนบุรี 13.บางแค และ 14.บางนา)    16 ร้านปริมณฑล    2 จังหวัด (1.สมุทรปราการ และ 2.ปทุมธานี)    20 ร้านภาคกลาง    2 จังหวัด (1.ชัยนาท และ 2.พระนครศรีอยุธยา)    24 ร้านภาคตะวันตก    8 จังหวัด (1.ประจวบคีรีขันธ์ 2.กาณจนบุรี 3.สมุทรสาคร 4.ราชบุรี 5.เพชรบุรี 6.นครปฐม 7.สมุทรสงคราม และ 8.สุพรรณบุรี)    94 ร้านภาคตะวันออก    4 จังหวัด (1.สระแก้ว 2.ปราจีนบุรี 3.จันทบุรี และ 4.ฉะเชิงเทรา)    48 ร้านภาคเหนือ    7 จังหวัด (1.ลำปาง 2.พิษณุโลก 3.น่าน 4.เชียงใหม่ 5.ลำพูน 6.แพร่ และ 7.พะเยา)    81 ร้านภาคอีสาน    9 จังหวัด (1.กาฬสินธุ์ 2.บึงกาฬ 3.เลย 4.สุรินทร์ 5.ขอนแก่น 6.หนองบัวลำภู 7.ร้อยเอ็ด 8.บุรีรัมย์ และ 9.อุดรธานี)    119 ร้านภาคใต้    6 จังหวัด (1.สุราษฎร์ธานี 2.ปัตตานี 3.กระบี่ 4.ชุมพร 5.สตูล และ 6.สงขลา)    73 ร้านรวม    39 จังหวัด    480 ร้านระยะเวลาการสำรวจ : ระหว่างวันที่ 1 – 15 ธันวาคม 2558    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 175 สำรวจตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญอัตโนมัติ

    ตู้กดน้ำดื่มอัตโนมัติเป็นสิ่งที่เราพบเห็นทั่วไปในย่านชุมชน หลายคนต้องพึ่งพาตู้เหล่านี้เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดในราคาย่อมเยา ธุรกิจตู้น้ำดื่มก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะใครๆ ก็ทำได้ แค่มีพื้นที่หน้าบ้านบวกกับเงินลงทุนเริ่มต้นอีกไม่เกิน 3 หมื่นบาทเราก็เป็นเจ้าของตู้พวกนี้ได้แล้ว มีทั้งแบบขายขาดให้เจ้าของพื้นที่ดูแลเองและแบบที่มีบริษัทส่งพนักงานมาซ่อมบำรุงให้ แต่น้ำที่ได้จากตู้พวกนี้สะอาดจริงหรือ?   การเก็บตัวอย่างน้ำ 2,025 ตัวอย่างจากตู้น้ำหยอดเหรียญทั่วประเทศ เพื่อตรวจวิเคราะห์โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในระหว่างเดือนตุลาคม 2554 ถึง กันยายน 2555 พบว่าเกือบร้อยละ 40 ไม่ผ่านมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด น้ำดื่มเหล่านี้มีค่าความเป็นกรด-ด่าง และค่าความกระด้างเกินเกณฑ์ และยังพบเชื้อโคลิฟอร์ม และ E.coli  ในน้ำดื่มถึง 319 ตัวอย่างด้วยปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดการดูแลรักษา แล้วการกำกับดูแลธุรกิจหรือการควบคุมมาตรฐานของอุปกรณ์เหล่านี้ดีพอที่จะรับประกันคุณภาพหรือความปลอดภัยให้กับผู้บริโภคแล้วหรือยัง?เครือข่ายผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร ภายใต้การสนับสนุนของอนุกรรมการด้านอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพ คณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค  ได้ทำการสำรวจลักษณะทางกายภาพของตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญอัตโนมัติในกรุงเทพมหานคร ว่าเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ การสำรวจครั้งนี้เป็นการสำรวจเกี่ยวกับ สถานที่ตั้ง การติดฉลาก คุณลักษณะ แหล่งน้ำที่ใช้ และการบำรุงรักษาตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญทั้งหมด 855 ตู้จาก 18 เขตของกรุงเทพมหานคร ทีมสำรวจพบว่า ...•    มีเพียงร้อยละ 8.24 ของตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญในการสำรวจ (855 ตู้)  ที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ  … นั่นหมายความว่ายังมีตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญอีกมากที่ดำเนินการขายน้ำดื่มโดยยังไม่ได้รับใบอนุญาต (ใบอนุญาตดังกล่าวมีค่าธรรมเนียม 2,000 บาทต่อปี ซึ่งผู้ประกอบการมองว่าแพงเกินไป!!)•    ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งอยู่ในสถานที่ที่เหมาะสมตามคำแนะนำของคณะกรรมการสาธารณสุข ร้อยละ 76.3      ตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณที่มีฝุ่นมาก เช่น ริมถนน บนทางเท้า ร้อยละ 47.7    ไม่มีการยกระดับตู้ให้สูงจากพื้นอย่างน้อย  10 เซนติเมตรร้อยละ 28.3     ตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำขัง/แหล่งระบายน้ำเสีย (บางครั้งพบตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญและเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญในบริเวณใกล้กัน)ร้อยละ 22    ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีแมลงและสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรค เช่น แมลงสาบ หนู แมลงวัน•    ตู้กดน้ำส่วนใหญ่ไม่มีการติดฉลากบอกข้อแนะนำในการใช้ คำเตือน หรือ วัน เดือน ปีที่เปลี่ยนไส้กรอง หรือมีแต่ก็ไม่ครบถ้วน•    ทีมสำรวจพบทั้งตู้เก่าและตู้ใหม่ บางตู้ติดตั้งมานานและไม่ได้รับการดูแลจากผู้ประกอบกิจการ มีสนิม มีรูรั่วซึม มีการผุกร่อน บางตู้ไม่มีฝาปิดช่องจ่ายน้ำ บางตู้มีตะไคร่เกาะที่หัวจ่ายน้ำด้วย•    ร้อยละ 93.8 ของน้ำที่ใช้ในการผลิตน้ำดื่มในตู้เหล่านี้เป็นน้ำประปา ซึ่งถือเป็นเรื่องดีเพราะน้ำประปาเป็นน้ำที่ผ่านการปรับปรุงคุณภาพแล้ว•    มีเพียงร้อยละ 58.7 ของตู้เหล่านี้ที่ได้รับการบำรุงรักษาและทำความสะอาดถังเก็บน้ำ อย่างน้อยเดือนละครั้ง•    มีตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญจำนวนไม่น้อยที่ผู้สำรวจไม่สามารถติดตามพบเจ้าของผู้รับผิดชอบได้   -------------------------------------------------------------------------------------------------วิธีการเลือกใช้บริการน้ำดื่มจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ: ข้อเสนอแนะจากทีมสำรวจสภาพภายนอก >> เลือกตู้ที่สะอาด มีการทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูบริเวณรอบๆ จุดที่ใช้สำหรับวางภาชนะบรรจุเพื่อรองน้ำจากหัวบรรจุต้องสะอาด ไม่มีฝุ่นผง มีฝาปิดป้องกันฝุ่นละออง หัวจ่ายน้ำไม่มีคราบสนิมหรือตะไคร่น้ำ ควรเลือกใช้ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ตั้งอยู่ในที่ร่มไม่มีแสงแดดส่องถึง เพราะแสงแดดมักทำให้เกิดตะไคร่ภายในหัวบรรจุการควบคุมคุณภาพน้ำ >>  ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญบางยี่ห้อมีการดูแลและควบคุมคุณภาพของน้ำดื่มเป็นประจำ เมื่อผู้ดูแลตู้ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องและไส้กรองแล้วจะติดสติ๊กเกอร์แจ้งวัน/เวลาที่เข้ามาตรวจสอบ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยทำให้ผู้บริโภครู้ว่าเจ้าของตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญตู้นี้มีการดูแล และควบคุมคุณภาพของน้ำหรือไม่การสังเกตกลิ่น สี รส  >>  ผู้บริโภคสามารถตรวจดูสภาพของน้ำจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญเบื้องต้นได้ด้วยการสังเกตสี ความขุ่น-ใส กลิ่นและรสชาติของน้ำ ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ควรเปลี่ยนตู้ใหม่เมื่อน้ำที่ได้มามีกลิ่นหรือรสชาติของน้ำเปลี่ยนไปจากเดิม หรือรอให้ตู้ที่ใช้อยู่เดิมนั้นได้รับการดูแลทำความสะอาดหรือเปลี่ยนไส้กรองเสียก่อนภาชนะที่นำไปบรรจุน้ำดื่มจากตู้ >> ควรเป็นภาชนะที่สะอาดและมีขนาดพอดีกับปริมาณน้ำที่ซื้อไม่สัมผัสหัวจ่ายน้ำด้วยมือหรือวัสดุอื่นใด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรคในน้ำดื่ม------------------------------------------------------------------------------------------------กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญถือเป็นกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 362 พ.ศ. 2556 เรื่อง น้ำบริโภคจากตู้น้ำดื่มอัตโนมัติ น้ำบริโภคจากตู้น้ำดื่มอัตโนมัติ ต้องมีคุณภาพหรือมาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยเรื่องน้ำบริโภคในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท หากฝ่าฝืนจะเข้าข่ายเป็นอาหารผิดมาตรฐาน ตามมาตรา 28 ฝ่าฝืนมาตรา 25 (3) มีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท ประกาศดังกล่าว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2557 ------------------------------------------------------------------------------------------------ความนิยมของน้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2555 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ร้อยละ 40.9 ของน้ำดื่มที่คนไทยบริโภค มาจากน้ำบรรจุขวดและตู้น้ำดื่มยอดเหรียญผลสำรวจของกรมอนามัยในปี 2556 ระบุว่า ร้อยละ 14 ของประชาชนจัดหาน้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญ ร้อยละ 17 ดื่มน้ำฝนที่กักเก็บไว้ ร้อยละ 24 ดื่มน้ำประปา และร้อยละ 32 นิยมดื่มน้ำบรรจุขวด ที่เหลือเป็นน้ำดื่มที่ได้จากบ่อบาดาลและบ่อน้ำตื้น------------------------------------------------------------------------------------------------น้ำดื่มคุณภาพ: หน่วยงานและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง•    สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา >> กำกับดูแลคุณภาพของน้ำดื่มจากตู้หยอดเหรียญให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขภายใต้พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522•    สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค >> กำกับดูแลการโฆษณาคุณภาพและควบคุมการติดฉลากของเครื่องผลิตน้ำแบบหยอดเหรียญภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522•    สำนักอนามัย สำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร >> ติดตามการขอรับใบอนุญาตประกอบกิจการตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ และบังคับใช้บทลงโทษตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 •    สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม >> กำกับดูแลเครื่องผลิตน้ำแบบหยอดเหรียญให้เป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรมเครื่องกรองน้ำประเภทต่างๆที่กำหนดภายใต้พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ.2511 ------------------------------------------------------------------------------------------------น้ำดื่มที่ดีไม่ได้หมายถึงน้ำดื่มบริสุทธิ์ปราศจากแร่ธาตุใดๆ เพียงแต่ปริมาณแร่ธาตุเหล่านั้นจะต้องไม่เกินกว่าที่องค์การอนามัยโลกหรือมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสำหรับน้ำบริโภคกำหนดไว้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://plan.dgr.go.th/school/5.pdf------------------------------------------------------------------------------------------------การเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดของประชากรอาเซียน    มหาวิทยาลัยเยล ร่วมกับมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและ World Economic Forum จัดทำ Environmental Performance Index (EPI) ขึ้นในปี 2014 จากการสำรวจและประเมินความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมใน 178 ประเทศทั่วโลก หนึ่งในหัวข้อสำรวจคือการเข้าถึงน้ำดื่มสะอาด ซึ่งหมายถึง ประปา แหล่งน้ำบาดาล น้ำฝน เท่านั้น (ไม่นับน้ำดื่มบรรจุขวดหรือสั่งซื้อ) เรามาดูกันว่ากลุ่มประเทศอาเซียนทำได้ดีแค่ไหนจากคะแนนเต็ม 100 คะแนน  เรียงจากมากไปน้อยตามนี้100        สิงคโปร์ 100         บรูไน 91.94        มาเลเซีย60.55        ไทย59.47        เวียดนาม48.38        ฟิลิปปินส์32.45        อินโดนีเซีย 32.27        เมียนมา 17.34        ลาว 15.52        กัมพูชา ข้อมูลจาก http://epi.yale.edu/epi/issue-ranking/water-and-sanitation  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 173 ตะกั่วในสีทาบ้าน “ผู้ผลิตไทยลดการใช้ตะกั่วลง” ตอน 2

ปี 2553 และ ปี 2556 ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศ* ได้สำรวจตลาดสีน้ำมันทาอาคาร และส่งตัวอย่างสีเพื่อวิเคราะห์หาปริมาณสารตะกั่ว พบว่า ผู้ผลิตสีน้ำมัน ยังมีการใช้ตะกั่วในการผลิตสี โดยเฉพาะสีโทนสดใส ค่อนข้างสูง จากจำนวนตัวอย่าง 120 ตัวอย่าง ในปี 2556 พบว่า ร้อยละ 93 ของกลุ่มตัวอย่างโทนสีสดใสมีตะกั่วสูงกว่าค่ามาตรฐาน (100 ppm เป็นมาตรฐานแบบสมัครใจไม่ใช่มาตรฐานบังคับ) ในขณะที่ปริมาณตะกั่วในกลุ่มตัวอย่างโทนสีขาว พบว่า ร้อยละ 61 มีตะกั่วสูงเกินกว่า 100 ppm โดยทางนิตยสารฉลาดซื้อได้นำรายชื่อตัวอย่างสี ทั้ง 120 ตัวอย่างไว้ในฉบับที่ 151 กันยายน 2556    และในปี 2558 นี้ ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้สำรวจตลาดสีน้ำมันทาอาคารเป็นครั้งที่สาม เพื่อติดตามสถานการณ์ ซึ่งภาพรวมพบว่า เป็นข่าวดี มีผู้ผลิตสีจำนวน 1 ใน 3 ลดใช้สารตะกั่วในการผลิตสีแล้ว แต่ก็ยังมีบริษัทใหญ่บางแห่งผลิตสีแบบสองมาตรฐาน โดยเลิกใช้ในบางยี่ห้อ แต่ยังคงใช้ในบางยี่ห้อ     โดยฉลาดซื้อได้ลงรายชื่อผลิตภัณฑ์สีน้ำมันที่ตรวจพบ ปริมาณตะกั่วเกิน 100 ppm ในฉบับที่ 172 สำหรับฉบับนี้ จะนำเสนอรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่พบปริมาณตะกั่วไม่เกิน 100 ppm โปรดตรวจดูรายชื่อได้ในหน้าถัดไป     ในส่วนเรื่องฉลากยังพบว่า บางผลิตภัณฑ์มีการหลอกลวงผู้บริโภคโดยระบุฉลากว่า ปราศจากตะกั่ว แต่ผลทดสอบกลับพบมีปริมาณตะกั่วสูงเกินค่ามาตรฐาน แนวโน้มที่ดีขึ้นของฉลากและปริมาณสารตะกั่วเมื่อฉบับที่ 151 กันยายน 2556 ฉลาดซื้อเคยลงข้อมูลเกี่ยวกับฉลากแสดงปริมาณสารตะกั่วไม่ตรงตามจริงว่า มีสีน้ำมัน 29 ตัวอย่างจาก 120 ตัวอย่างที่ติดฉลากปลอดสารตะกั่ว แต่เมื่อพิจารณาปริมาณตะกั่วที่ตรวจพบในตัวอย่างสีที่มีข้อความบนฉลากดังกล่าว พบว่า มีสีน้ำมัน 17 ตัวอย่างจาก 29 ตัวอย่าง ที่มีสารตะกั่วสูงเกินกว่า 100 ppm จึงเห็นได้ว่า ข้อมูลบนฉลากและปริมาณตะกั่วที่ตรวจพบไม่ตรงกัน ดังนั้นสำหรับฉบับนี้ฉลาดซื้อจะมาอัพเดตข้อมูลล่าสุดที่มูลนิธิบูรณะนิเวศได้ดำเนินการสำรวจอีกครั้งใน 2558 ผลการทดสอบฉลากแสดงปริมาณสารตะกั่วจากทั้งหมด 100 ตัวอย่าง พบว่ามี 26 ตัวอย่างที่แสดงฉลากโฆษณาว่า สีปลอดสารตะกั่ว ซึ่งเมื่อนำไปทดสอบแล้วปรากฏว่าพบปริมาณสารตะกั่วอยู่ระหว่าง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 172 ตะกั่วในสีทาบ้าน “ผู้ผลิตไทยลดการใช้ตะกั่วลง”

ปี 2553 และ ปี 2556 ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศ* ได้สำรวจตลาดสีน้ำมันทาอาคาร  และส่งตัวอย่างสีเพื่อวิเคราะห์หาปริมาณสารตะกั่ว พบว่า ผู้ผลิตสีน้ำมัน ยังมีการใช้ตะกั่วในการผลิตสี โดยเฉพาะสีโทนสดใส ค่อนข้างสูง จากจำนวนตัวอย่าง 120 ตัวอย่าง ในปี 2556 พบว่า ร้อยละ 93 ของกลุ่มตัวอย่างโทนสีสดใสมีตะกั่วสูงกว่าค่ามาตรฐาน (100 ppm เป็นมาตรฐานแบบสมัครใจไม่ใช่มาตรฐานบังคับ) ในขณะที่ปริมาณตะกั่วในกลุ่มตัวอย่างโทนสีขาว พบว่า ร้อยละ 61 มีตะกั่วสูงเกินกว่า 100 ppm โดยทางนิตยสารฉลาดซื้อได้นำรายชื่อตัวอย่างสี ทั้ง 120 ตัวอย่างไว้ในฉบับที่ 151 กันยายน 2556    และในปี 2558 นี้ ทางมูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้สำรวจตลาดสีน้ำมันทาอาคารเป็นครั้งที่สาม เพื่อติดตามสถานการณ์ ซึ่งภาพรวมพบว่า เป็นข่าวดี มีผู้ผลิตสีจำนวน 1 ใน 3 ลดใช้สารตะกั่วในการผลิตสีแล้ว แต่ก็ยังมีบริษัทใหญ่บางแห่งผลิตสีแบบสองมาตรฐาน โดยเลิกใช้ในบางยี่ห้อ แต่ยังคงใช้ในบางยี่ห้อ ส่วนเรื่องฉลากยังพบว่า บางผลิตภัณฑ์มีการหลอกลวงผู้บริโภคโดยระบุฉลากว่า ปราศจากตะกั่ว แต่ผลทดสอบกลับพบมีปริมาณตะกั่วสูงเกินค่ามาตรฐาน     การทดสอบในปี 2558 นี้ ทางผู้วิจัยได้เลือกสียี่ห้อเดียวกันกับตัวอย่างของ ปี 2553 และ 2556 โดย•    เลือกเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ตรวจพบสารตะกั่วสูงกว่า 100 ppm •    เลือกเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นหลังกลุ่มตัวอย่างของปี 2553 และ 2556•    สียี่ห้ออื่นที่ผลิตโดยผู้ผลิตสีในกลุ่มตัวอย่างของ ปี 2553 และ 2556 รวมทั้งสิ้น 100 ตัวอย่าง(56 ยี่ห้อ จากผู้ผลิต 35 บริษัท) ซึ่งทางฉลาดซื้อจะขอนำเสนอเป็นสองส่วน โดยฉบับนี้จะลงรายชื่อผลิตภัณฑ์ที่พบปริมาณสารตะกั่วเกินค่า 100 ppm จำนวน 61 ตัวอย่าง และอีก 39 ตัวอย่างซึ่งพบปริมาณตะกั่วไม่เกิน 100 ppm จะนำเสนอในฉบับถัดไป         ทดสอบโดยห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ รับรองมาตรฐานโดยโครงการทดสอบความสามารถการวิเคราะห์สารตะกั่วในสิ่งแวดล้อม (Environmental Lead Proficiency Analytical Testing – ELPAT)  2 แห่ง •    ห้องปฏิบัติการ Certottica Scarl ประเทศอิตาลี •    ห้องปฏิบัติการ AIJU Research Center ประเทศสเปน วิธีวิเคราะห์ CPSC – CH – E1003.09.1 •    ขูดสีจากชิ้นไม้ และใช้กรดย่อยสารตะกั่วในสี•    วิเคราะห์สารตะกั่วในสารละลายด้วยเครื่อง ICP - AES *มูลนิธิบูรณะนิเวศ เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ทำงานเพื่อความเป็นธรรมและความยั่งยืนทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยศึกษาและติดตามนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรม สถานการณ์มลพิษอุตสาหกรรม และรูปแบบการบริโภคที่ไม่ยั่งยืน เน้นส่งเสริมความเป็นธรรมในการจัดการสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม ธรรมาภิบาล และความพร้อมรับผิดของหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานระหว่างประเทศ โดยมุ่งเน้นที่ผลกระทบของสารเคมีอันตรายที่เกิดต่อระบบนิเวศน์ ชุมชน และสุขภาพของคนงานงานศึกษาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเพิกถอนสารตะกั่วจากสีในเอเชีย (Asian Lead Paint Elimination Project) เป็นความร่วมมือระหว่างเครือข่ายระหว่างประเทศเพื่อเพิกถอนสารพิษตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อม (IPEN) และองค์กรภาคประชาสังคมใน 7 ประเทศทั่วเอเชีย ได้แก่ บังคลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา เนปาล อินโดนีเชีย ฟิลิปปินส์ และไทย และได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสหภาพยุโรป ภายใต้โครงการส่งเสริมการผลิตและบริโภคอย่างยั่งยืน (Switch Asia)องค์การอนามัยโลกและสหประชาชาติได้กำหนดให้การเพิกถอนสารตะกั่วจากสีเป็นวาระเร่งด่วน โดยจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเพิกถอนสารตะกั่วจากสี (Global Alliance to Eliminate Lead Paint - GAELP) และกำหนดเป้าหมายให้รัฐสมาชิกทุกประเทศออกกฎหมายห้ามใช้สารตะกั่วในการผลิตสีภายในปี 2563  ล่าสุด ประเทศเพื่อนบ้านเริ่มออกกฎหมายห้ามใช้สารตะกั่วในผลิตภัณฑ์สีแล้ว เช่น ฟิลิปปินส์ ศรีลังกา และเนปาล โดยกรมการค้าต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์เตือนผู้ประกอบการไทยให้ปฏิบัติตาม กฎหมายต่างประเทศอย่างเคร่งครัดและพัฒนาปรับปรุงคุณภาพสินค้าของตนอย่างต่อ เนื่องเพื่อไม่ให้เกิดอุปสรรคในการส่งออก เนื่องจากไทยมีมูลค่าการส่งออกสีทาและวานิชไปฟิลิปปินส์เฉลี่ยปีละ 616 ล้านบาท

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 170 ผลสำรวจความพึงพอใจต่อคุณภาพการบริการ และความปลอดภัยรถโดยสารประจำทางใน กทม.

แม้ว่าปัจจุบันจะมีรถโดยสารสาธารณะเป็นตัวเลือกให้ใช้บริการหลากหลายประเภท ทั้ง รถเมล์ รถตู้ รถแท็กซี่ มอเตอร์ไซค์ รถไฟ เรือด่วน แต่ปริมาณกลับไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องคุณภาพ เพราะเมื่อเรามองดูสภาพการจราจรบนท้องถนน โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ทั้งความแออัด ความเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัย มลภาวะเป็นพิษ ปัญหาเหล่านี้ล้วนยังอยู่คู่ถนนเมืองไทย เป็นปัญหาใหญ่ที่มองยังไงก็ยังไม่เห็นทางออก ระบบขนส่งมวลชนหลักในกรุงเทพฯ คงต้องยกให้กับ รถเมล์ เพราะไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา แม่ค้า หรือว่าพนักงานบริษัท ต่างก็เป็นลูกค้าของ ขสมก. ทั้งสิ้น แน่นอนว่าปัญหาจากบริการรถโดยสารสาธารณะส่วนหนึ่งย่อมมาจากรถเมล์ แต่ปัญหาเหล่านั้นมีอะไรบ้าง การสอบถามจากปากคนที่ใช้บริการรถเมล์เป็นประจำน่าจะช่วยให้เราได้รู้ถึงสิ่งที่ยังเป็นปัญหาและสิ่งที่ผู้บริโภคที่ใช้บริการต้องการให้เกิดการปรับปรุง สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ทำการสำรวจ “พฤติกรรมการใช้ ความพึงพอใจต่อคุณภาพการบริการ และความปลอดภัยในการใช้รถโดยสารประจำทาง” โดยประเด็นที่ทำการสำรวจมีอย่างเช่น พฤติกรรมก่อนและหลังใช้บริการ, ทัศนคติต่อความปลอดภัยของจุดจอดรับ-ส่ง, เหตุผลในการเลือกใช้บริการ, ระยะเวลาในการรอรถโดยสาร, สภาพรถภายในและภายนอก ฯลฯ โดยการสำรวจความคิดเห็นได้แบ่งประเภทการสำรวจรถโดยสารเป็นสองกลุ่มใหญ่คือ รถโดยสารประจำทางในกทม.และปริมณฑล กับรถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัด ซึ่งฉลาดซื้อขอเลือกนำเสนอในประเด็นรถโดยสารประจำทางใน กทม.และปริมณฑลก่อน เพื่อประกอบกับบทความเรื่องเด่นซึ่งเกี่ยวกับรถโดยสารประจำทางพอดี ข้อมูลเฉพาะของการสำรวจ *ปริมาณตัวอย่างในการเก็บข้อมูล 307 ตัวอย่าง *สถานที่ในการสำรวจ : บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ บริเวณสวนจตุจักรและเซ็นทรัลลาดพร้าว บริเวณเดอะมอลล์งามวงศ์วานและพันธุ์ทิพย์งามวงศ์วาน บริเวณเซ็นทรัลบางนาและสี่แยกบางนา บริเวณเซ็นทรัลปิ่นเกล้าและเมเจอร์ปิ่นเกล้า   ข้อสรุปจากผลสำรวจ -รถเมล์หรือรถโดยสารประจำทาง ยังคงเป็นตัวเลือกแรกในการเดินทางของคนกทม.และปริมณฑล ด้วยเหตุผลของราคาที่ถูกกว่าวิธีการเดินทางประเภทอื่นๆ มากถึง 59% โดยมีผู้ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยเพียงแค่ 3% เท่านั้น -ในการเดินทางโดยรถประจำทางในกทม. ผู้ใช้ยังต้องต่อรถโดยสารมากกว่า 1 ต่อเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางถึง 31% -ระยะเวลาในการรอรถ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่คือ 41% บอกว่าต้องใช้เวลารอ 16-30 นาที ขณะที่มี 3% ที่ต้องรอรถนานมากกว่า 1 ชั่วโมง -เรื่องความถี่ของการมาของรถโดยสารประจำทางในกทม. พบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามคือ 56% รู้สึกพอใจในระดับปานกลาง -สภาพรถทั้งภายนอกและภายใน ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่งหนึ่งรู้สึกพอใจในระดับปานกลาง คือ 52% สำหรับสภาพรถภายนอก และ 57% สำหรับสภาพรถภายใน -มารยาทการให้บริการของพนักงานขับรถ ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่งหนึ่งรู้สึกพอใจปานกลาง คือ 57% -การรับส่งผู้โดยสารนอกป้าย แม้ว่า 55% ของผู้ตอบแบบสอบถามจะบอกว่าไม่เคยพบปัญหาดังกล่าว แต่อีก 45% ที่เหลือเคยเจอปัญหารถโดยสารประจำทางการรับส่งผู้โดยสารนอกป้าย ซึ่งต้องถือว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างสูง -ความรู้สึกปลอดภัยโดยรวม 50% ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกพอใจมาก ส่วนอีก 37% รู้สึกพอใจปานกลาง ขณะที่มี 6% รู้สึกไม่พอใจมากที่สุด                  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 168 การสำรวจราคากระเบื้องลอนคู่

“อย่างที่หลายๆ ประเทศทั่วโลกบอกอย่างชัดเจนว่า “แร่ใยหิน” หรือ “แอสเบสตอส” (Asbestos) ซึ่งมักใช้ในอุตสาหกรรมผลิตกระเบื้องซีเมนต์ ท่อน้ำซีเมนต์ ผ้าเบรค และคลัทช์ นั้นเป็นวัตถุอันตราย เนื่องจากก่อให้เกิดโรคร้ายต่อมนุษย์หากหายใจเข้าไป เช่น โรคมะเร็งปอด มะเร็งเยื่อหุ้มปอด จนหลายๆ ประเทศได้สั่งห้ามผลิตและใช้วัสดุที่มีแร่ใยหินแล้ว และแม้ว่าจะมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ.2554 ที่เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการอันตรายของแร่ใยหิน ตามยุทธศาสตร์ ‘สังคมไทยไร้แร่ใยหิน’ ที่เสนอโดยสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยวัตถุอันตราย กฎหมายว่าด้วยการนำเข้าและส่งออก กฎหมายว่าด้วยโรงงาน และกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม แต่ปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบโดยตรงยังไม่มีการปฏิบัติตามมติ ครม.ดังกล่าว ทำให้ไม่เป็นไปตามกรอบระยะเวลา อีกทั้งผู้ประกอบการที่ยังมีความต้องการใช้แร่ใยหินชนิดนี้อยู่  ได้พยายามให้ข้อมูลในเรื่องของ ราคาสินค้าที่อาจทำให้ผู้บริโภครับภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นหากเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีแร่ใยหิน ส่วนในประเทศไทยของเรา มากกว่าร้อยละ 90 ของแร่ใยหินที่นำเข้า จะใช้เพื่อการผลิตสินค้าประเภทซีเมนต์ใยหินเช่น กระเบื้องทนไฟ กระเบื้องมุงหลังคา ท่อซีเมนต์ และประมาณร้อยละ 7 ใช้เพื่อการผลิตสินค้าประเภทเบรค คลัทช์ ที่เหลืออีกร้อยละ 3 ใช้ในการผลิตสินค้าอื่นๆ เช่นฉนวนกันความร้อน กระเบื้องยางปูพื้น ภาชนะพลาสติก เสื้อผ้าทนไฟ กระดาษลูกฟูก สายฉนวนเตารีด เป็นต้น แต่ก็ยังมีอุตสาหกรรมผลิตกระเบื้องซีเมนต์ในบ้านเรา  ที่ยังคงผลิตสินค้าประเภทกระเบื้องมุงหลังคาแบบมีแร่ใยหินอยู่เนื่องจากมีความแข็งแรง ทนทาน ราคาถูกกว่ากระเบื้องแบบไร้แร่ใยหิน ทั้ง ๆ ที่ราคากระเบื้องทั้งสองแบบอาจจะมีราคาที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ทางแผนงานฯ จึงร่วมกับนิตยสารฉลาดซื้อ และเครือข่ายผู้บริโภค จัดให้มีการสำรวจราคากระเบื้องมุงหลังคาที่มีและไม่มีส่วนผสมของแร่ใยหิน เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นข้อมูลในการผลักดัน กระตุ้นให้ผู้บริโภคเลือกใช้สินค้าที่ไม่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ เป็นทางเลือกในผู้บริโภคที่ตระหนักในเรื่องของสุขภาพ ของตัวเองเเละคนงานก็ย่อมเลือกเเบบไม่มีเเร่ใยหิน  รณรงค์ให้ผู้ประกอบการผลิตกระเบื้องที่ไม่มีส่วนผสมแร่ใยหิน และสุดท้ายก็เพื่อให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน รศ.ดร.ภก.วิทยา  กุลสมบูรณ์ ผู้จัดการแผนงานพัฒนาวิชาการและกลไกคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.) ---------------------------------------------------- 1.ระยะเวลาการสำรวจ เริ่มตั้งแต่วันที่     10 - 28 ก.พ. 2558 2.การเลือกพื้นที่สำรวจ เลือกจากเขตสาธารณสุขจำนวน 12 เขต เขตละ 2 จังหวัด โดยวิธีการจับสลาก รวม 24 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง แพร่ พิษณุโลก สุโขทัย นครสวรรค์ ชัยนาท ปทุมธานี นนทบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ชลบุรี จันทบุรี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด อุดรธานี สกลนคร นครราชสีมา ชัยภูมิ อุบลราชธานี มุกดาหาร* นครศรีธรรมราช สุราษฎรธานี สงขลา ตรัง บวกกรุงเทพฯ  เขตชั้นใน และชั้นนอก 3.การสำรวจราคากระเบื้องมุงหลังคา 3.1สำรวจราคาจากร้านค้าไทวัสดุก่อสร้าง และ ร้านค้าในเขตอำเภอเมือง ของจังหวัดเป้าหมาย 3.2สำรวจราคากระเบื้องลอนคู่ขนาด 4 มม. สีซีเมนต์และสีมาตรฐาน และกระเบื้องลอนคู่ขนาด 5 มม. สีซีเมนต์และสีมาตรฐาน 4.สัมภาษณ์ช่างมุงกระเบื้องหลังคา เรื่องความรู้เกี่ยวกับแร่ใยหิน ในทุกจังหวัดเป้าหมาย จำนวนทั้งสิ้น 48   ราย               เรื่องเล่าจากช่างมุงหลังคา ความเห็นจากช่าง/ผู้รับเหมา การสำรวจความเห็นจากช่าง/ผู้รับเหมารวม 48 คน ในพื้นที่จังหวัดที่เข้าร่วมการสำรวจ พบว่า กระเบื้องที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในกลุ่มนี้ 5 อันดับแรกคือ กระเบื้องตราช้าง กระเบื้องตราเพชร กระเบื้องตราห้าห่วง กระเบื้องตราลูกโลก และกระเบื้องทีพีไอ ตามลำดับ กระเบื้องที่ช่างเหล่านี้เลือกใช้บ่อยที่สุด 3 แบรนด์ได้แก่ ตราช้าง ตราเพชร และตราห้าห่วง ตามลำดับ  เหตุผลอันดับต้นๆที่ช่างเลือกใช้กระเบื้องตราช้างคือความแข็งแรงทนทานและความเป็นที่นิยม สำหรับกระเบื้องตราเพชรอันดับหนึ่งคือราคา ตามด้วยความแข็งแรงทนทาน และเหตุผลที่เลือกกระเบื้องตราห้าห่วงอันดับแรกคือความแข็งแรงทนทาน ตามด้วยราคา ในกรณีที่ลูกค้าขอคำแนะนำ ...(จะใช้ยี่ห้ออะไรดีนะช่าง) ยี่ห้อที่ถูกแนะนำโดยช่างกลุ่มนี้มากที่สุด 4 อันดับแรกได้แก่ ตราช้าง (ร้อยละ 66.7)  ตามด้วยตราเพชร (ร้อยละ 14.6) ตราลูกโลก (ร้อยละ 10.4) และตราห้าห่วง (ร้อยละ 8.3)  ด้วยเหตุผลเรื่องความแข็งแรงทนทานและราคาเป็นหลัก ในกรณีที่ลูกค้าเจาะจงเลือก … จากประสบการณ์ของช่าง แบรนด์ที่ลูกค้าเจาะจงเลือกใช้มากที่สุดได้แก่ ตราช้าง (ร้อยละ 88.9) ตราเพชร (ร้อยละ 24.4) ตามด้วยตราลูกโลกและตราห้าห่วง (ร้อยละ 17.8 เท่ากัน) ความเข้าใจเรื่องแร่ใยหิน ช่าง/ผู้รับเหมาประมาณร้อยละ 70 ทราบว่ากระเบื้องมุงหลังคาทำจากวัสดุอะไรบ้าง ร้อยละ 50 ตอบว่ารู้จักแร่ใยหิน และกระเบื้องที่ช่าง/ผู้รับเหมาเชื่อว่ามีแร่ใยหินได้แก่ (เรียงตามลำดับความถี่ของการเลือกตอบ) ตราเพชร ตราลูกโลก ตราห้าห่วง ตราช้าง และตราทีพีไอ มากกว่าร้อยละ 60 เชื่อว่าแร่ใยหินเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะสุขภาพของช่างที่ทำงานกับกระเบื้อง   *หมายเหตุ ช่าง/ผู้รับเหมาที่ให้ข้อมูลในการสำรวจครั้งนี้ มีอายุระหว่าง 27 ถึง 67 ปี และทำงานในวงการก่อสร้างเป็นเวลา 3 ถึง 48 ปี   ความเห็นของช่าง/ผู้รับเหมาต่อเรื่องอันตรายของแร่ใยหิน กลุ่มที่เห็นว่าแร่ใยหินมีอันตรายต่อคนทำงานและผู้อยู่อาศัย “เชื่อว่าแร่ใยหินมีอันตรายจึงเลือกซื้อ/ใช้กระเบื้องประเภทที่ไม่มีแร่ใยหิน” “แนะนำผู้ว่าจ้างให้ใช้กระเบื้องหลังคาแบบที่ไม่มีใยหิน” “เวลาตัดจะสวมหน้ากากกันฝุ่น แต่ถ้ามีรุ่นใหม่ที่ไม่มีแร่ใยหินมีออกมาขายมากขึ้น คิดว่าคงเลือกใช้           แบบไม่มีแร่ใยหิน” “ลูกน้องบางคนเป็นโรคทางเดินหายใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแร่ใยหินหรือไม่” “เวลาเจาะ ตัด จะมีฝุ่นเข้าจมูก อาจทำให้เกิดโรคตามมา” “เวลาตัดฝุ่นฟุ้งกระจายมากกว่ากระเบื้องชนิดอื่นๆ” “ถ้ามีอันตราย คนที่ได้รับอันตรายมากสุดคือช่าง ผู้อยู่อาศัยอาจได้รับอันตรายบ้างแต่ไม่เสี่ยงเท่า    ช่าง” “อันตรายกับช่างที่สัมผัส อันตรายกับผู้อยู่อาศัยจากฝุ่นใยหินที่ฟุ้งกระจายในบ้าน” “อันตรายต่อช่าง หายใจไม่ออก ป้องกันโดยการใช้ผ้าปิดจมูก แต่ไม่น่ามีผลกระทบต่อผู้อยู่อาศัย” “อาจเป็นอันตรายต่อตัวช่างเพราะต้องสัมผัสอย่างใกล้ชิด แต่ไม่แน่ใจว่าอันตรายกับผู้อยู่อาศัยหรือไม่”        “เป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย” “มีอันตรายถ้าใช้ระยะยาว เพราะมีส่วนประกอบเป็นวัสดุที่ก่อมะเร็ง” “ฝุ่นและสิ่งสกปรกจากแผ่นกระเบื้องทำให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้” “มีผลต่อสิ่งแวดล้อม น้ำฝนไม่สะอาด ส่งผลต่อสุขภาพ” “อันตรายแต่ต้องรู้จักวิธีใช้” “อาจทำให้เกิดมะเร็งได้” “โรคปอด โรคผิวหนัง” “น่าจะอันตรายแต่ผู้รับเหมาส่วนใหญ่ให้ลูกจ้างให้ใส่หน้ากากและดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ อยากให้ตรวจสอบวัสดุก่อสร้างว่ามีแร่นี้หรือไม่ ถ้ามีควรแจ้งผู้รับเหมา ลูกค้า หน่วยงานรัฐต้องเข้ามา   จัดการ”   กลุ่มที่เห็นว่าแร่ใยหินไม่มีอันตรายต่อคนทำงานและผู้อยู่อาศัย “ไม่น่าจะมีอันตรายเพราะเป็นสิ่งที่คนใช้กันเยอะ” “ใช้กันทั่วไปในการสร้างที่อยู่อาศัย” “ยังไม่เคยเห็นผลกระทบต่อร่างกาย” “ไม่แน่ใจเพราะยังไม่เห็นผลโดยตรง” “ไม่น่าจะอันตรายเพราะไม่ได้สัมผัสเป็นเวลานาน” “คิดว่าแร่ใยหินไม่อันตราย แต่ฝุ่นละอองจากกระเบื้องทุกชนิดมีอันตราย” “ไม่น่าจะอันตราย เพราะนำมาสร้างที่อยู่คน การผลิตต้องมีมาตรฐาน”  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 158 ซูเปอร์มาร์เก็ตที่ทำให้โลกน่าอยู่

ฉลาดซื้อฉบับนี้พาคุณหลบร้อนไปเดินเล่นแถวซูเปอร์มาร์เก็ตในยุโรปกันบ้าง บอกก่อนว่าเราไม่ได้พาคุณไปหาโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม แต่เราจะพาคุณไปพบกับอีกมิติของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่เหล่านี้ นั่นคือนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมที่อยู่ไกลออกไปจากสังคมรอบบ้านตัวเอง ไปถึงสังคมในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งเป็นต้นทางการผลิตอาหารมาเลี้ยงคนยุโรปด้วย  การสำรวจครั้งนี้ เน้นที่นโยบายด้านมาตรฐานแรงงานและขั้นตอนการจัดซื้อสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนา ของผู้ประกอบการซูเปอร์มาร์เก็ตในยุโรป ทีมวิจัยขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research & Testing) และสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคสากล (Consumers International) เจาะจงเลือกห้างที่นำเข้าผัก ผลไม้จากประเทศกำลังพัฒนา (อ้างอิงจากรายชื่อขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา OECD) เพื่อนำมาขายให้กับผู้บริโภคภายใต้แบรนด์สินค้าของห้าง (House brand/private brand) และมีผู้ประกอบการซูเปอร์มาร์เก็ต 25 แห่งใน 8 ประเทศ (บางเจ้ามีสาขามากกว่าหนึ่งประเทศด้วย)   และสิ่งที่มองหาเพื่อให้คะแนนและจัดอันดับความรับผิดชอบต่อสังคมในการสำรวจครั้งนี้ได้แก่ นโยบายและจรรยาบรรณทางธุรกิจที่อิงแนวปฏิบัติของนานาชาติที่มีต่อประเทศกำลังพัฒนา การนำนโยบายดังกล่าวมาใช้ปฏิบัติจริง มีฝ่ายที่รับผิดชอบโดยตรงและมีการรายงานต่อสังคม มาตรฐานแรงงานที่ห้างเรียกร้องจากผู้จัดหาสินค้าในประเทศกำลังพัฒนา เงื่อนไขทางธุรกิจและมาตรฐานแรงงานที่ห้างใช้กับผู้จัดส่งผัก ผลไม้สดในประเทศกำลังพัฒนา   โดยการเก็บข้อมูลจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นข้อมูลที่บริษัทประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่างๆ และส่วนที่เป็นการตอบแบบสอบถามที่ออกแบบโดย Centre for Research on Multinational Corporations (SOMO) --------------------------------------------------------------- ตัวอย่างของข้อตกลงระหว่างประเทศที่ห้างเหล่านี้ใช้อ้างอิงได้แก่ - ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน  (Universal Declaration of Human Rights) - ปฏิญญาขององค์การแรงงานระหว่างประเทศว่าด้วยหลักการและสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงาน (International Labour Organization’s Declaration on Fundamental Principles and Rights at Work) - แนวทางการรับผิดชอบต่อสังคมขององค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (Guidance Standard of Social Responsibility: ISO 26000) - มาตรฐานสากลที่ให้ความสำคัญกับสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงาน Social Accountability 8000 certification - มาตรฐานสมัครใจ ว่าด้วยการประกอบธุรกิจและการคำนึงถึง สิทธิมนุษยชน (UN Guiding Principles on Business and Human Rights) - แนวปฎิบัติขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา สำหรับบรรษัทข้ามชาติ (OECD’s Guidelines for Multinational Enterprises) - ข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (UN Global Compact) เป็นหลักสากลที่ผู้ประกอบการจะนำไปใช้ในการดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจเพื่อให้เป็น บรรษัทพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Corporate Citizen) - มาตรฐานสากลว่าด้วยการบริหารจัดการคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร (Global Food Safety Initiative: GFSI)   ---------------------------------------------------------- ผลการสำรวจปรากฏว่าซูเปอร์มาร์เก็ตในยุโรปที่มีการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคม โดยเน้นเรื่องมาตรฐานแรงงานและขั้นตอนการจัดซื้อสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนา ที่ได้คะแนนผ่านครึ่งมีเพียง 3 แห่งได้แก่ ห้าง Co-op Italia ของอิตาลี  ห้าง Ahold (ย่อมาจาก Albert Heijn holding) ของเนเธอร์แลนด์ และ ห้าง ICA ของสวีเดน ส่วนอีก 22 ห้างนั้นได้คะแนนไม่ถึงร้อยละ 50   ทั้งนี้ คะแนนที่ได้ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ทางบริษัทเปิดเผยต่อทีมวิจัย หลายห้างได้คะแนนต่ำเพราะไม่ให้ข้อมูลว่าได้มีการนำนโยบายไปลงมือปฏิบัติจริงอย่างไร เป็นต้น     มารู้จักกับซูเปอร์มาร์เก็ตที่ได้คะแนนอยู่ใน 3 อันดับต้นกันสักเล็กน้อย สมาชิกฉลาดซื้อที่เตรียมเดินทางไปย่ำยุโรปจะได้เลือกอุดหนุนกันได้ถูกเจ้า             //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 156 เดินทางไกล เอาสัมภาระไปได้แค่ไหน

ฉบับก่อนเราใส่ใจกันเรื่องตั๋วโดยสาร การจอง การคืน คราวนี้ถ้าได้เดินทางจริง ก็คงมาถึงเรื่องสัมภาระเนื่องจากเราต้องไปด้วยระบบสาธารณะ ไม่ได้ไปด้วยพาหนะของเราเอง จึงควรทราบถึงกฎ ระเบียบของแต่ละสายการบิน รถโดยสารสาธารณะ และรถไฟ ว่าเขาให้เรา ได้ ไม่ได้ แค่ไหน งานนี้เฉพาะเดินทางในประเทศนะคะ เริ่มด้วยการบินกันก่อน สรุป ถือติดตัวเข้าห้องโดยสารไม่เกินคนละ 7 กิโลกรัม ฟรี ทุกสายการบิน (เอาเข้าท้องเครื่องก็ได้ 7 กก. นี้ฟรีเหมือนกัน) การบินไทยและนกแอร์ โหลดเข้าใต้ท้องเครื่อง ฟรี น้ำหนักสูงสุดไม่เกิน 30 กิโลกรัม (ขึ้นอยู่กับประเภทของตั๋วโดยสาร จริงๆ ก็ไม่ฟรีหรอกมันรวมในค่าตั๋วแล้ว) แอร์เอเชียเกิน 7 กิโลกรัม ต้องจ่ายเงินเพิ่ม (จองน้ำหนักล่วงหน้าจะได้ราคาถูกกว่าหน้าเคาน์เตอร์)   การบินไทย สัมภาระที่ท่านผู้โดยสารนำติดตัวขึ้นเครื่องบิน สัมภาระน้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม และมีขนาดโดยรวมไม่เกิน 45 นิ้ว (115 เซ็นติเมตร) ติดตัวขึ้นบนเครื่องบิน เกณฑ์สำหรับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การเดินทางภายในประเทศไทยตลอดเส้นทาง น้ำหนักสัมภาระอนุญาตสำหรับช่วงของการเดินทางในประเทศเท่านั้น ประเภท น้ำหนักสัมภาระทุกชิ้นรวมกันสูงสุด รอยัลซิลค์คลาส 30 กก. (66 ปอนด์) เอโคโนมีคลาส 20 กก. (44 ปอนด์) เด็กเล็กที่ไม่ใช้ที่นั่ง 10 กก. (22 ปอนด์) น้ำหนักเพิ่มสำหรับผู้ถือบัตรรอยัลออร์คิด และสตาร์อัลลายแอนซ์โกลด์ 20 กก. (44 ปอนด์) น้ำหนักเพิ่มสำหรับผู้ถือบัตรรอยัลออร์คิดซิลเวอร์ (เฉพาะบนเที่ยวบิน TG เท่านั้น) 10 กก. (22 ปอนด์) *มีค่าบริการสัมภาระส่วนเกินสำหรับช่วงของการเดินทางในประเทศเท่านั้น*   ที่มา http://www.thaiairways.co.th/thai-services/your-guide-to-safety/th/th-cabin-baggage.htm http://www.thaiairways.com/th_TH/Terms_condition/baggage_policy.page   นกแอร์ กระเป๋าถือ กระเป๋าถือติดตัวขึ้นเครื่อง จะต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม ต่อผู้โดยสาร 1 คน   ขนาด ความยาว ความสูง ความกว้าง สำหรับเครื่องบินโดยสารทุกรุ่น 56 ซม (22 นิ้ว) 36 ซม (14 นิ้ว) 23 ซม (9 นิ้ว) การขนส่งสัมภาระโดยไม่มีค่าใช้จ่าย กระเป๋าเดินทางต้องมีน้ำหนักรวมกันไม่เกินที่ระบุไว้ในเงื่อนไขและข้อจำกัดของบริษัท ซึ่งจะไม่เสียค่าใช้จ่าย ดังนี้   ประเภทที่นั่ง ลูกค้าปกติ (กิโลกรัม) นกแฟนคลับ (กิโลกรัม) นกแฟนคลับพลัส (กิโลกรัม) โปรโมชั่น 15 20 25 นกประหยัด 15 20 25 นกเปลี่ยนได้ 20 25 30 สัมภาระที่มีน้ำหนักเกิน ท่านไม่มีสิทธินำสัมภาระที่มีน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์ที่อนุญาต ให้ขนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากในดุลพินิจของบริษัทฯ ยินยอมให้มีการนำสัมภาระที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ที่อนุญาต ท่านจะต้องชำระค่าใช้จ่ายในการขนส่งสัมภาระที่ มีน้ำหนักเกินคิดเป็นกิโลกรัมละ 200 บาท ที่มา http://www.nokair.com/contents/journey_plan/baggage_info/th-TH/index.html http://blogger-airlowcost.blogspot.com/2012/06/low-cost_20.html   แอร์เอเชีย สัมภาระพกพา (Cabin baggage) ผู้โดยสาร 1 คน พกพาของได้หนึ่งชิ้นและ/หรือกระเป๋าโน้ตบุ๊ก 1 ใบหรือกระเป๋าถือ 1 ใบ เข้าห้องโดยสาร ของแต่ละชิ้นต้องมีขนาดไม่เกิน 56 ซม. x 36 ซม. x 23 ซม. และห้ามหนักเกิน 7 กก. เมื่อรวมกับสัมภาระพกพาแล้ว (ต้องสามารถเก็บไว้ใต้ที่นั่งด้านหน้าหรือช่องเก็บของเหนือหัวได้)     1 x สัมภาระพกพา   และ/หรือ   1 x โน้ตบุ๊กที่เก็บอยู่ในกระเป๋าพร้อมอุปกรณ์เสริม หรือ   1 x กระเป๋าถือ          (ชาย/หญิง)     น้ำหนักรวม: 7 กก.   สัมภาระใต้ท้องเครื่อง (Checked baggage) แต่ละชิ้นจะต้องมีขนาดไม่เกิน  81 ซม. (สูง) x 119 ซม. (กว้าง) x 119 ซม. (ลึก) และน้ำหนักไม่เกิน        32 กก. น้ำหนักสัมภาระใต้ท้องเครื่องที่จองได้ทางอินเตอร์เน็ต เส้นทางในประเทศ 15 กก./ 20 กก./ 25 กก./ 30 กก./ 40 กก เส้นทางระหว่างประเทศ 20 กก./ 25 กก./ 30 กก./ 40 กก *มีรายละเอียดของเงื่อนไข* ที่มา http://www.airasia.com/th/th/baggage-info/cabin-baggage.page   http://www.airasia.com/th/th/baggage-info/checked-baggage.page   http://blogger-airlowcost.blogspot.com/2012/06/low-cost_20.html     รถโดยสารสาธารณะ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการบริการ รับ - ส่ง สิ่งของสัมภาะระผู้โดยสาร การเรียกเก็บค่าบริการ รับ – ส่ง สิ่งของสัมภาระจากผู้โดยสาร ข้อ 1. ผู้โดยสารสามารถนำสิ่งของสัมภาระไปได้ไม่เกินคนละ 2 ชิ้น และมีน้ำหนักรวมกันไม่เกิน 20 กก. โดยไม่ต้องเสียค่าบริการ หากเกินกว่าที่กำหนดไว้ ต้องเสียค่าบริการเฉพาะส่วนที่เกิน กก.ละ 3 บาท (สามบาทถ้วน) หรือลูกบาศก์ฟุตละ 20 บาท (ยี่สิบบาทถ้วน) โดยให้เรียกเก็บในอัตราที่บริษัทฯ ได้ประโยชน์สูงกว่า ข้อ 2. ในกรณีที่ผู้ใช้บริการ ไม่ได้เดินทางไปกับรถบริษัทฯ     หากมีความประสงค์จะฝากสิ่งของสัมภาระหรือพัสดุภัณฑ์ไปกับรถบริษัทฯ ให้เรียกค่าบริการกก.ละ 5 บาท (ห้าบาทถ้วน) โดยให้เรียกเก็บในอัตราที่บริษัทฯ ได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ค่าบริการต้องไม่ต่ำกว่า 50 บาท (ห้าสิบบาทถ้วน)     หนังสือพิมพ์รายวันที่ฝากส่งไปกับรถบริษัทฯ ให้คิดค่าบริการ ฉบับละ 25 สตางค์ (ยี่สิบห้าสตางค์)  เอกสารสำคัญ ให้คิดค่าบริการฉบับละ 50 บาท (ห้าสิบบาทถ้วน) ขั้นตอนการปฏิบัติ หน่วยงานที่รับผิดชอบในการบริการรับ-ส่ง สิ่งของสัมภาระมีหน้าที่ปฏิบัติดังนี้1.เมื่อเจ้าหน้าที่รับเงินให้ออกใบเสร็จรับเงิน (บช. 1) เป็นรายชิ้นโดยบันทึกรายละเอียดในใบเสร็จรับเงิน ประกอบด้วย ชื่อ, ที่อยู่, หมายเลขโทรศัพท์ของผู้นำฝาก และผู้รับของปลายทางให้ชัดเจน, จำนวนเงิน, ปริมาณน้ำหนัก, ชื่อ ตำแหน่ง ผู้รับเงิน/ผู้รับฝาก และคัดแยกเอกสารใบเสร็จรับเงิน ดังนี้1.1 ฉบับสำหรับผู้ชำระเงิน = ให้ผู้นำฝาก/ผู้ชำระเงิน1.2 ฉบับสำหรับงานบัญชี = นำส่งพร้อมเงินสดให้พนักงานบัญชีและการเงิน หรือผู้ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ลักษณะเดียวกันเพื่อรับเงิน, บันทึกบัญชี โดยจัดทำบัญชีพิเศษควบคุมใบเสร็จรับเงิน การรับ-ส่ง สิ่งของสัมภาระเป็นกาเฉพาะ1.3 ฉบับติดกับเล่ม = ให้นำติดกับสิ่งของสัมภาระในตำแหน่งที่แสดงให้เห็นได้ชัดเจน พร้อมให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองหรือพนักงานของบริษัทฯ ตรวจสอบได้2. ส่งมอบสิ่งของให้ผู้รับของปลายทาง ที่แสดงหลักฐาน สำเนาบัตรประชาชน ชื่อที่อยู่ ตรงกับชื่อผู้รับของที่ระบุตามใบเสร็จรับเงิน ข้อห้าม ห้ามพนักงานประจำสถานีทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งพนักงานประจำรถ รับบรรทุกสิ่งของสัมภาระดังต่อไปนี้1 สิ่งผิดกฎหมาย2 น้ำมันเชื้อเพลิง หรือวัตถุอันตรายอื่น ๆ3 สัตว์ หรือสิ่งของ ซึ่งอาจเป็นที่รังเกียจของผู้โดยสาร4 สิ่งของมีค่า สัมภาระที่มีราคาแพง บุบสลาย หรือเสื่อมค่าได้ง่าย เช่น โทรทัศน์, ฟิลม์ภาพยนตร์, กล้องถ่ายรูปฯ เว้นแต่ ผู้โดยสาร/ผู้ใช้บริการจะยินยอมรับผิดชอบความเสียหายนั้นเอง ชดเชยของหาย บริษัทฯ จะรับผิดชอบชดใช้ กรณีเสียหาย หรือสูญหาย เฉพาะสิ่งของ หรือสัมภาระที่ผูกติดป้าย และเก็บไว้ในช่องเก็บสัมภาระใต้ท้องรถ ในวงเงินไม่เกิน 1,000 บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน)บริษัทฯ จะไม่รับผิดชอบในความเสียหาย หรือสูญหายต่อสิ่งของมีค่าที่ติดตัวผู้โดยสาร หรือสัมภาระที่ผู้โดยสารได้เก็บไว้ภายในห้องผู้โดยสาร ผู้รับผิดชอบให้ผู้จัดการเดินรถภาค กำกับ ดูแล และมอบหมายให้รองผู้จัดการฝ่ายจัดการเดินรถ รับผิดชอบ ถือปฏิบัติ และควบคุม ดูแลให้เป็นไปตามคำสั่งนี้ พร้อมทั้งจัดพนักงานเพื่อทำหน้าที่ ผูก ชั่ง ติดป้าย และเรียกเก็บค่าบริการและออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้โดยสาร และหรือผู้ใช้บริการ   ที่มา http://home.transport.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=230&Itemid=305&lang=th   นครชัยแอร์ 1. ผู้โดยสารทุกท่านสามารถถือสัมภาระที่จะนำไว้ใต้ท้องรถได้ไม่เกิน 2 ชิ้น (ต่อ 1 ท่าน) และน้ำหนักรวมไม่เกิน 20 กก. 2. ถ้าน้ำหนักเกินที่กำหนด บริษัทฯ ขอเรียกเก็บค่าระวางเพิ่ม (คิดเฉพาะส่วนที่น้ำหนักเกิน) ที่มา http://www.nakhonchaiair.com/question7.php   สมบัติทัวร์ สัมภาระที่ติดตัวระหว่างการเดินทางนำไปได้ท่านละ 2 ชิ้น โดยมีน้ำหนักรวมไม่เกิน 25 กก. สัมภาระที่ติดป้ายสัมภาระ เมื่อท่านนำสัมภาระมาติดป้ายแล้ว สัมภาระนั้นจะอยู่ในความดูแลของบริษัทฯ  สัมภาระที่ไม่ได้ติดป้ายสัมภาระ ตามปกติผู้โดยสารแต่ละคนได้รับอนุญาตให้นำสัมภาระที่ไม่ได้ติดป้ายสัมภาระ มายังห้องโดยสารได้ โดยต้องมีขนาดพอดีกับช่องเก็บของ หากมีน้ำหนักหรือขนาดใหญ่ ต้องเก็บไว้ใต้ท้องรถ   การชดเชยการสูญหาย สัมภาระที่สูญหาย หรือเสียหาย หากในกรณีที่สัมภาระที่ฝากไว้ใต้ท้องรถสูญหายหรือเสียหาย ทางบริษัทจะชดใช้ให้ตามส่วนรวมแล้วไม่เกิน 500 บาท ของต้องห้าม 1. สิ่งที่ไม่ถือว่าเป็นสัมภาระ- วัตถุที่ไม่ได้บรรจุในกระเป๋าหรือภาชนะที่เหมาะสมสำหรับการขนส่งที่ปลอดภัย- วัตถุที่อาจเป็นอันตรายต่อรถโดยสาร หรือบุคคล หรือทรัพย์สินบนรถโดยสาร- ยาเสพติด- วัตถุที่บริษัทฯ พิจารณาโดยชอบด้วยเหตุผลแล้วว่าไม่เหมาะกับการขนส่ง เนื่องจากน้ำหนัก ขนาด หรือลักษณะของวัตถุนั้น- อาวุธปืน ดินปืน และเครื่องกระสุน2. สัตว์เลี้ยง โดยบริษัทฯ ไม่อนุญาตให้นำสัตว์ทุกชนิดโดยสารไปกับรถ   ที่มา  http://www.sombattour.com/html/regulation.php   รถไฟ การรถไฟแห่งประเทศไทย ประเภทของสัมภาระ 1. หัตถภาระ(แปลว่าหิ้วติดตัวอ่ะนะ) คือ ถุงย่าม ห่อผ้า กระเป๋าถือ หีบหรือกระป๋องทุกชนิด ซึ่งผู้โดยสารนำไปในห้องรถโดยสารสำหรับใช้สอยเอง หรือเพื่อความสะดวก 2. ครุภาระ(แปลว่าของหนักหิ้วไม่ไหวแต่อยากเอาไปด้วย) คือ สรรพสิ่งของเครื่องใช้ทุกชนิด ซึ่งผู้โดยสาร จะนำไปในรถภาระ อนุญาตให้นำสัมภาระไปพร้อมกับตัวผู้โดยสาร ในขบวนรถต่าง ๆ ได้ดังนี้ 1. สัมภาระที่มีขนาดไม่เกินกว่า 50 x 50 x 50 ซม. 2. สัมภาระที่ไม่ใช่วัตถุที่ไวไฟหรือเป็นสิ่งอันพึงรังเกียจ หรือสิ่งของส่งกลิ่นรุนแรง หรืออาจเปรอะเปื้อนทำความเสียหายแก่ส่วนประกอบรถหรือต่อบุคคลหรือสิ่งของของผู้โดยสารอื่น 3. สามารถเก็บในที่วางของหรือใต้ม้านั่งได้โดยเรียบร้อย หากเป็นรถที่ไม่มีที่วางของหรือชั้นวางของก็อนุโลมให้วางไว้ข้างที่นั่งในส่วนที่เป็นสิทธิของแต่ละคน (ตรงกับที่นั่งแต่ละคน) แต่ไม่ให้ล้ำเข้าไปในช่องทางเดินเกินจนไปปิดกั้นช่องทางเดินโดยสิ้นเชิง หรือกีดขวางการใช้สิทธิของผู้โดยสารอื่น และต้องไม่ก่อให้เกิดความเดือนร้อนรำคาญกับผู้โดยสารอื่น ที่มา http://www.railway.co.th/NewSite/ -------------------   การระวางสินค้า การรถไฟแห่งประเทศไทย การคิดค่าระวาง = อัตราค่าระวางด่วน + ค่าธรรมเนียม 20 % ของอัตราค่าระวางด่วน( ขั้นต่ำ 20 บาท ) สินค้าทั่วไป คิดอัตราค่าระวางด่วน ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 50.00 บาท สินค้ากลุ่มเครื่องไฟฟ้า โลหะ นุ่น โฟม พลาสติก เฟอร์นิเจอร์ เครื่องเซ่น เครื่องจักรสาน คิดอัตราค่าระวางด่วน ขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 80.00 บาท การส่ง รถจักรยานยนต์ ที่ไม่ได้บรรจุหีบห่อให้ส่งโดยวิธี สัมภาระ จะส่งแบบห่อวัตถุด่วนไม่ได้ ขนาดของห่อวัตถุ เครื่องล้อเลื่อน และสัตว์มีชีวิต ขนาดไม่เล็กกว่า 20 x 14 x 6 ซม. หรือกินเนื้อที่ในทางราบไม่น้อยกว่า 280 ตร.ซม. และสูงไม่น้อยกว่า 6 ซม. ขนาดไม่เกินกว่า 2.50 x 1.00 x 0.80 ม. หรือกินเนื้อที่ในทางราบไม่น้อยกว่า 2 ตร.ม. และสูงไม่เกินกว่า 1 ม. หากมีขนาดไม่เกินกว่าที่กำหนดแต่มีน้ำหนักเกินกว่า 200 กก. และไม่เกิน 1,000 กก. จะต้องจัดส่งไปกับขบวนรถสินค้า ถ้าน้ำหนักเกินกว่า 1,000 กก. จะต้องจัดส่งไปประเภทเหมาคัน ฝ่ายการพาณิชย์สินค้าและไปรษณียภัณฑ์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ค่าระวาง คือ ค่าขนส่งสินค้าที่ผู้ส่งจะต้องชำระเพื่อการส่งสินค้า อัตราค่าระวางขนส่งสินค้าทางอากาศ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท ดังนี้ - M (Minimum Charge) คือ อัตราค่าระวางสินค้าต่ำสุด ต่อ 1 ใบตราส่งสินค้า - GCR (General Cargo Rates) คือ อัตราค่าระวางสำหรับสินค้าทั่วไป แบ่งเป็น 2 ประเภท 1. N (Normal Rate) คือ อัตราค่าระวางปกติของสินค้าที่มีน้ำหนักต่ำกว่า 45 กก.แต่ค่าระวางสูงกว่าอัตราขั้นต่ำ 2. Q (Quantity Rates) คือ อัตราค่าระวางสินค้าที่มีน้ำหนัก ตั้งแต่ 45 กก.ขึ้นไป ตามจำนวนน้ำหนัก เช่น Q45, Q100 และ Q250 - SCR (Specific Commodity Rate) คือ อัตราค่าระวางสำหรับสินค้าเฉพาะอย่าง เช่น DOM1(100) หมายถึง อัตราค่าระวางสำหรับสินค้า ประเภทอาหารทุกชนิด เครื่องเทศ ผักสด ฯลฯ ที่มีน้ำหนัก ตั้งแต่ 100 กก. ขึ้นไป -CLASS RATE คือ อัตราค่าระวางสำหรับสินค้าพิเศษ ได้แก่ สิ่งตีพิมพ์ สินค้ามีค่า สินค้าที่มีความเสี่ยงในการสูญหาย สินค้าอันตราย สัตว์มีชีวิต และศพ การคำนวณค่าระวาง เป็นไปได้ 2 ลักษณะ คือ 1. คิดจากน้ำหนักรวมที่ชั่งได้ (Gross Weight)  น้ำหนักที่นำมาคำนวณค่าระวาง ให้ปัดเศษขึ้นทุกๆครึ่งกก.2. คิดจากน้ำหนักปริมาตร (Volume Weight) เช่น          ชั่งได้จริง 9.3 กก. น้ำหนักที่นำมาคิดค่าระวาง = 9.5   กก. ชั่งได้จริง 9.8 กก. น้ำหนักที่นำมาคิดค่าระวาง = 10.0 กก. ชั่งได้จริง 9.5 กก. ไม่ต้องปัด ให้ใช้                = 9.5  กก. 2. คิดน้ำหนักจากปริมาตร  ให้วัดสินค้า กว้าง x ยาว x สูง หน่วยเป็น ซม. หาร 6,000 ผลลัพธ์ที่ได้ ให้เปรียบเทียบกับน้ำหนักที่ชั่งได้จริง  แล้วนำน้ำหนักที่ได้จากการเปรียบเทียบสูงสุด มาคูณกับ อัตราค่าระวาง *ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมที่ ฝ่ายการพาณิชย์สินค้าและไปรษณียภัณฑ์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) http://www.reocities.com/TheTropics/Reef/9792/domestic/freight.htm* ตัวอย่างค่าระวาง อัตราค่าระวางสินค้าพิเศษ (CLASS RATES) ประเภทของสินค้า ค่าระวางขั้นต่ำ ค่าระวางต่อ 1 กก. 1. ฟิล์มข่าว สิ่งตีพิมพ์ นิตยสาร หนังสือทุกชนิด และหนังสือพิมพ์ MIN 50% ของ N Rate 2. สินค้ามีค่า (VAL) ผู้ส่งต้องประเมินราคา เพื่อการขนส่ง(Declared Value for Carrige) และชำระค่าธรรมเนียม (Valuation Charge) 05% ของราคาประเมิน ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่า 100 บาท 300 บาท ต่อ 1 AWB. 200% ของ N Rate 3. สินค้าที่มีความเสี่ยงสูงในด้านสูญหาย (VUN) 200 บาท ต่อ 1 AWB. 150% ของ N Rate 4. สินค้าอันตราย ผู้ส่งต้องชำระค่า Handling Fee เป็นจำนวนเงิน 700 บาท ต่อ 1 AWB. MIN N Rate (ห้ามใช้ Q Rate) 5. สัตว์มีชีวิต (AVI) 150 % ของ MIN 150% ของ N Rate 6. ศพ (HUM) 6000 บาท / 1 ศพ 200% ของ N Rate 7. รถจักรยานยนต์ ขนส่งเฉพาะเส้นทางที่ใช้เครื่อง Wide-bodied Aircraft การหีบห่อต้องตีลังไม้ยึดติดให้แน่นหนา เพื่อความปลอดภัยในการบรรทุก MIN N Rate (ห้ามใช้ Q Rate) อัตราค่าระวางสินค้าพิเศษ (CLASS RATES) ประเภทของสินค้า ค่าระวางขั้นต่ำ ค่าระวางต่อ 1 กก. 8.รถยนต์นั่ง เส้นทาง ราคาต่อ 1 เที่ยวบิน กรุงเทพฯ - เชียงใหม่ หรือ เชียงใหม่ - กรุงเทพฯ 12,000 บาท กรุงเทพฯ - ภูเก็ต หรือ ภูเก็ต - กรุงเทพฯ 12,500 บาท กรุงเทพฯ - หาดใหญ่ หรือ หาดใหญ่ - กรุงเทพฯ 13,000 บาท หมายเหตุ ห้ามใส่พัสดุอื่นใด เข้าในห้องโดยสาร หรือห้องบรรทุกสิ่งของในตัวรถยนต์ ยกเว้น ยางอะไหล่ และเครื่องมือประจำรถ 9. ภาชนะเปล่าเพื่อบรรจุสินค้า ประเภทของสินค้า เส้นทาง อัตราขั้นต่ำต่อ 1 AWB. อัตราต่อ กก. หมายเหตุ กล่องโฟม ทุกเส้นทาง 1,000 บาท 30 บาท ให้คำนวณค่าระวางจากน้ำหนักที่ชั่งได้จริง กล่องกระดาษพับเรียบ เช่น ตะกร้า ลังพลาสติก ทุกเส้นทาง 200 บาท 4 บาท ให้คำนวณค่าระวางจากน้ำหนักที่ชั่งได้จริง 10. โทรศัพท์เคลื่อนที่ วิทยุเคลื่อนที่ และเพจเจอร์ เส้นทาง อัตราขั้นต่ำต่อ 1 AWB. อัตราต่อ กก. หมายเหตุ ทุกเส้นทาง 200 บาท N Rate , Q45 , Q100 Security Handling Charge คิด กก.ละ 2บาท ขั้นต่ำ 100 บาท แต่ไม่เกิน 500 บาท ต่อ 1 AWB.   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 149 ชั้นในชายสีดำ

ฉลาดซื้อเคยเก็บตัวอย่างเสื้อชั้นในสตรีสีดำมาตรวจหาสารตกค้างจากสีย้อมไปแล้ว คราวนี้ถึงคราวกางเกงชั้นในของผู้ชายกันบ้าง เราทดสอบกางเกงชั้นในชายสีดำที่ทำจากเส้นใยฝ้าย จำนวน 11 ตัวอย่าง สนนราคาตั้งแต่ 25 ถึง 890 บาท มีทั้งที่ผลิตในประเทศไทย และนำเข้าจากต่างประเทศ (จีน ฮ่องกง และบังคลาเทศ) เราส่งตัวอย่างไปทดสอบในห้องปฏิบัติการของศูนย์วิเคราะห์ทดสอบสิ่งทอ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ  เพื่อตรวจหา สารเคมีในสีย้อมที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง ฟอร์มาลดีไฮด์ (สารป้องกันผ้ายับ/ย่น) ค่าความเป็นกรด-ด่าง ในการทดสอบคราวนี้เราไม่พบสารเคมีก่อมะเร็งที่มากับสีย้อมในกางเกงชั้นในชาย 11 ตัวอย่าง  แต่มีอยู่ 2 ตัวอย่างได้แก่ Body Basic และ ZEG ที่ตรวจพบฟอร์มัลดีไฮด์แต่ไม่เกินปริมาณที่มาตรฐานกำหนดไว้ที่ 75 มิลลิกรัม/กิโลกรัม นอกจากนี้ใน 4 ตัวอย่าง (Body Basic / ZEG / H&M และ F&F) ยังพบค่า pH สูงเกินเกณฑ์ด้วย ----------------------------------------------------------------------------------------------- ตลาดชุดชั้นในชายบ้านเรามีมูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท เป็นตลาดบนร้อยละ 25 และตลาดล่างร้อยละ 75 ผู้ชายซื้อชั้นในปีละไม่เกิน 2 ครั้ง แต่ซื้อครั้งละ 3 – 4 ตัวหรือซื้อยกโหล (กัลยา กมลรัตน์ 2553 ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อชุดชั้นในชายในกรุงเทพมหานคร ) -----------------------------------------------------------------------------------------------   กางเกงใน Rosso รุ่น TC-701 ราคา 129 บาท   ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ ฟอร์มัลดีไฮด์ ไม่เกินมาตรฐาน ค่าความเป็นกรดด่าง 7.02     กางเกงใน Body Basic รุ่น Half brief ราคา 159 บาท (แพค 3)   ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ ฟอร์มัลดีไฮด์ < 15 มก/กก. ค่าความเป็นกรดด่าง 7.76     กางเกงใน ZEG รุ่น บิกินี ราคา 270 บาท (แพค 3)   ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ ฟอร์มัลดีไฮด์ < 15 มก/กก. ค่าความเป็นกรดด่าง 8.12     กางเกงใน GUNMAN ราคา 25 บาท   ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไม่ระบุ สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ ฟอร์มัลดีไฮด์ ไม่พบ ค่าความเป็นกรดด่าง 7.23     กางเกงใน APPLE รุ่น 704 ราคา 49 บาท   ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ ฟอร์มัลดีไฮด์ ไม่พบ ค่าความเป็นกรดด่าง 7.26     กางเกงใน ADDER ราคา 129 บาท (แพค 3)   ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไม่ระบุ สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ ฟอร์มัลดีไฮด์ ไม่พบ ค่าความเป็นกรดด่าง 7.29     กางเกงใน H&M รุ่น Trunks Cotton Stretch ราคา 699 บาท (แพค 3)   ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ ฟอร์มัลดีไฮด์ ไม่พบ ค่าความเป็นกรดด่าง 8.07   กางเกงใน J. PRESS รุ่น 9127A ราคา 179 บาท (แพค 3)   ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ ฟอร์มัลดีไฮด์ ไม่พบ ค่าความเป็นกรดด่าง 7.41     กางเกงใน UNIQLO รุ่น Knit Boxer Trunks ราคา บาท   ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ ฟอร์มัลดีไฮด์ ไม่พบ ค่าความเป็นกรดด่าง 6.70     กางเกงใน Calvin Klein รุ่น Hip Brief ราคา 890 บาท   ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ ฟอร์มัลดีไฮด์ ไม่พบ ค่าความเป็นกรดด่าง 7.45     กางเกงใน F&F รุ่น FF-ES09MD ราคา บาท   ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้ายผสม สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ ฟอร์มัลดีไฮด์ ไม่พบ ค่าความเป็นกรดด่าง 7.56 ----------------------------------------------------------------------------------------------- โดยทั่วไปผิวหนังคนเรามีความเป็นกรดเล็กน้อย (ค่า ph 5.5) ค่าความเป็นกรด-ด่างที่เป็นมิตรต่อผู้บริโภคสำหรับเสื้อผ้าที่สวมใส่ติดผิวหนัง ควรอยู่ระหว่าง 4 ถึง 7.5  ถ้าสูงกว่านั้นอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือเป็นผื่นได้ ตามมาตรฐานกางเกงชั้นในชาย ปริมาณฟอร์มัลดีไฮด์ซึ่งเป็นหนึ่งในสารก่อมะเร็งจะต้องไม่เกิน 75 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม --------------------------------------------------------------------------------------------------- พฤติกรรมการซื้อกางเกงชั้นในของผู้ชายสามารถชี้วัดความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้ หลายปีก่อน อลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ เคยกล่าวไว้ว่าถ้ายอดขายกางเกงในชายเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 -3 นั่นหมายความว่า เศรษฐกิจกำลังอยู่ในขาขึ้น นอกจากนี้บรรดาผู้สังเกตการณ์ด้านแฟชั่นของเว็บขายชั้นในชายแห่งหนึ่งในอังกฤษ ที่ทำสถิติยอดขายระหว่างในช่วงปี 2007 – 2011 ยังพบว่าในเวลาที่เศรษฐกิจดีผู้ชายจะซื้อกางเกงชั้นในที่มีสีสันมากขึ้น และในเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำพวกเขาจะกลับไปซื้อชั้นในสีขาว สีเทา และสีดำเหมือนเดิม ----------------------------------------------------------------------------------------------- ชั้นในมือสอง? ปี 2012 รัฐบาลประเทศซิมบับเว สั่งห้ามการขายหรือนำเข้าชั้นในในมือสอง เพื่อเป็นการปกป้องตลาดชุดชั้นในภายในประเทศและลดปัญหาด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นกับประชากร ก่อนหน้านั้น ในปี 1994 ประเทศกานาก็ประกาศแบนชั้นในมือสองไปแล้วเช่นเดียวกัน ----------------------------------------------------------------------------------------------- จากผ้าเตี่ยวสู่กางเกงชั้นใน แฟชั่นไอเท็มชิ้นแรกของบรรพบุรุษมนุษย์ถ้ำคือผ้าเตี่ยว ซึ่งได้รับความนิยมต่อมาในอารยธรรมอิยิปต์และโรมันด้วย รายละเอียดเรื่องนี้ไม่ชัดเจน แต่จากการขุดค้นสุสานของกษัตริย์ตุตันคาเมน นักโบราณคดีเขาพบผ้าเตี่ยวหรือกางเกงชั้นในของตุตันคาเมนถึง 145 ตัวเลยทีเดียว กางเกงชั้นในแบบสวมเริ่มมีในศตวรรษที่ 13 และ “ชั้นใน” เริ่มมีพัฒนาการในหลายรูปแบบมากขึ้นในหมู่ชายไฮโซ (เช่น คอร์เซท ถุงน่อง) จนกระทั่งในศตวรรษที่ 18 เมื่อมีคนเรารู้จักนำลินินมาใช้ ชั้นในก็เริ่มมีบทบาททำให้ชาวบ้านทั่วไปที่ฐานะยากจนได้มีอายุขัยยืนยาวขึ้นด้วย เพราะการสวมชั้นในช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายต้องสัมผัสกับแบคทีเรียและเกิดการติดเชื้อง่ายเหมือนเมื่อก่อน พอถึงศตวรรษที่ 19 กางเกงชั้นในก็กลายเป็นไอเท็มจำเป็นของผู้คนทุกฐานะอาชีพไปในที่สุด ----------------------------------------------------------------------------------------------- ทำไมต้องสวมกางเกงในออกไปกู้โลก? การตูนเรื่องซูเปอร์แมนเล่มแรกออกวางขายในปี 1938 (หลังจากจ็อคกี้เปิดตัวกางเกงชั้นในรุ่นแรกได้ 3 ปี) คาแรคเตอร์นี้จะต้องสวมเสื้อผ้าเต็มตัว ในขณะเดียวกันก็ต้องโชว์กล้ามเนื้อของซูเปอร์ฮีโร่ตามแบบรูปปั้นคลาสสิก จะให้ฮีโร่ของเด็กๆ ดูโป้เปลือยมันก็กระไรอยู่ ผู้วาดจึงต้องสวมกางเกงให้เขาหนึ่งตัว แฟชั่นกูรูให้ความเห็นว่าสิ่งที่เขาสวมอยู่นั่นไม่ใช่กางเกงชั้นในอย่างที่เราคิดกัน ... ชั้นในที่ไหนจะมีเข็มขัดกันล่ะ ... มันเป็นกางเกงกีฬาว่ายน้ำต่างหาก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 148 สำรวจราคาแพ็คเก็จ 3G

ในเดือนมิถุนายนนี้ ถือเป็นเดือนแห่งการเริ่มต้นของเทคโนโลยี 3G อย่างเต็มรูปแบบ หลังจาก ดีเทค ซึ่งเป็น 1 ในผู้ที่ประมูลเครือข่ายให้บริการ 3G เริ่มออกแพ็คเก็จโปรโมชั่น 3G ซึ่งเป็นเจ้าสุดท้าย ตามหลัง เอไอเอส และ ทรูมูฟเอช อีก 2 ผู้ได้รับสิทธิจากการประมูล ซึ่งออกแพ็คเก็จมาเอาใจคนใช้สมาร์ทโฟนไปก่อนหน้านี้ ใครที่กำลังคิดจะใช้แพ็คเก็จค่าโทรในระบบ 3G หรือใช้ 3G อยู่แล้ว แต่ยังอาจไม่รู้ว่าแต่ละค่ายผู้ให้บริการเขามีแพ็คเก็จแบบไหน ราคาเท่าไหร่ ออกมาบ้าง ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขออาสารวบรวมนำมาเปรียบเทียบให้เห็นกันแบบจะจะ กับแพ็คเก็จค่าโทรรายเดือนในระบบ 3G   รู้ไว้ก่อนใช้ 3G -ความเร็วของสัญญาณอินเตอร์เน็ตจะปรับความเร็วลดลง ในแพ็คเก็จต่างๆ ของแต่ละค่ายผู้ให้บริการจะมีการปรับความเร็วลดลงเมื่อใช้ไปครบจำนวนตามที่ระบบในโปรโมชั่น เช่น บอกไว้ว่าใช้ความเร็วอินเตอร์เน็ตสูงสุดได้ 500 MB (เมกะไบต์) 1 GB (กิกะไบต์) หรือ 3 GB (กิกะไบต์) ความจริงตัวเลขที่เห็นในแพ็คเก็จคือจำนวนปริมาณข้อมูลที่สามารถดาวน์โหลดหรือส่งต่อข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุด ซึ่งปัจจุบันผู้ให้บริการจะให้ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 42 Mbps (เมกะบิตต่อวินาที) เมื่อใช้งานอินเตอร์เน็ตครบตามปริมาณข้อมูลที่กำหนดมาในแพ็คเก็จ ความเร็วอินเตอร์เน็ตก็จะถูกปรับลดลงมาเหลือเพียงแค่ 128 Kbps (กิโลบิตต่อวินาที) หรือ 64 Kbps (กิโลบิตต่อวินาที) เพราะฉะนั้นก่อนจะเลือกใช้แพ็คเก็จอะไร ต้องไม่ลืมดูปริมาณความเร็วการใช้งานอินเตอร์เน็ต เพราะหากความเร็วช้าลงจนคุณตกใจให้รู้ไว้ว่านั้นเป็นเงื่อนไขที่ค่ายมือถือเขากำหนดมาแล้ว   -เงื่อนไขอินเตอร์เน็ตที่ใช้เป็นจำกัดปริมาณการใช้หรือใช้ได้ไม่จำกัด ถ้าเป็นแบบไม่จำกัดก็คงไม่น่ามีปัญหา แต่ถ้าเป็นแบบจำกัดปริมาณการใช้ต้องให้แน่ใจว่าหากใช้เกินปริมาณที่กำหนดมา จะมีการคิดค่าบริการส่วนเกินเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ และที่ต้องจำให้ขึ้นใจสำหรับคนที่ไม่ได้ใช้แพ็กเก็จอินเตอร์เน็ตแบบไม่จำกัด คืออย่าเผลอเปิดระบบรับสัญญาณค้างไว้ตลอดเวลา เพราะหากมีการดาวน์โหลดข้อมูลก็เท่ากับมีการคิดค่าบริการเกิดขึ้น -ความเร็วของสัญญาณอินเตอร์เน็ตขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกด้วย แม้บรรดาค่ายมือถือต่างออกมายกย่องความเร็วของระบบ 3G แต่ในความเป็นจริงยังมีปัจจัยประกอบอื่นๆ ที่ส่งผลต่อความเร็วของสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่ค่ายผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่เคยบอก 1.พื้นที่นอกเหนือสัญญาณ เนื่องจากสัญญาณ 3G ยังไม่คลอบคลุมทั้งทั้งประเทศ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด เพราะฉะนั้นหากไม่แน่ใจว่าพื้นที่ที่เราจะใช้งานมีสัญญาณ 3G หรือไม่ ต้องสอบถามจากผู้ให้บริการให้แน่ใจเสียก่อน 2. ความเร็วจะปรับลดลงเมื่อใช้ในพื้นที่ที่ระยะอยู่ห่างจากเสาสัญญาณ แม้จะอยู่ในที่ที่รองรับสัญญาณ แต่ระยะห่างจากแหล่งกำเนิดสัญญาณก็ย่อมมีผลต่อความเร็วในการใช้งานอินเทอร์เน็ต 3.ปริมาณความหนาแน่นของผู้ใช้งานในช่วงเวลาเดียวกัน พื้นที่ใกล้เคียงกันก็มีผลต่อความเร็วของสัญญาณ 4.ความสามารถของโทรศัพท์มือถือที่ใช้อยู่ ก็มีผลต่อความเร็วในการรับสัญญาณอินเทอร์เน็ต อันดับแรกต้องเป็นรุ่นที่สามารถรองรับ 3G ได้ นอกจากนี้มือถือที่สามารถใช้งาน 3G ได้แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อก็มีศักยภาพในการรองรับความเร็วของสัญญาณได้ไม่เท่ากัน มี่ตั้งแต่รุ่นที่รองรับความเร็วได้สูงสุด 7.2 Mbps (เมกะบิตต่อวินาที) ไปจนถึง 42 Mbps (เมกะบิตต่อวินาที) เพราะฉะนั้นต่อให้เราใช้โปรโมชั่นที่ให้สัญญาณ 3G แรงสูงแค่ไหน อุปกรณ์ที่เราใช้ก็สามารถรองรับได้ตามความสามารถที่เรามีเท่านั้น   ------------------------------------------------------------------------------------------------------- สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) ได้กำหนดอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลของโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3G ไว้ดังนี้   +ขณะประจำที่หรือความเร็วเท่ากับการเดิน ต้องรับส่งข้อมูลได้อย่างน้อย 2 Mbps (เมกะบิตต่อวินาที)   +ขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วระดับยานพาหนะ ต้องรับส่งข้อมูลอย่างน้อย 384 Kbps (กิโลบิตต่อวินาที)   +ในทุกสภาพการใช้งาน ต้องสามารถรับส่งข้อมูลสูงสุด 14.4 Mbps (เมกะบิตต่อวินาที)   *หมายเหตุ...ถ้าดูจากอัตราความเร็วที่ ITU กำหนด จะเห็นว่าความเร็วต่ำสุดของคลื่น 3G สำหรับโทรศัพท์มือถือน่าจะอยู่ที่ 384 Kbps (กิโลบิตต่อวินาที) แต่จากการสำรวจพบว่าค่ายผู้ให้บริการสัญญาณมือถือในบ้านเรากลับบริการคลื่น 3G ต่ำสุดที่ 64 Kbps (กิโลบิตต่อวินาที) ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ที่เหมาะสมถึง 6 เท่า -------------------------------------------------------------------------------------------------------   คนไทยมีการใช้งานระบบ 3G อยู่ที่ 7.4%   ใช้งานเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 4,523 นาที   คิดเป็นค่าใช้บริการประมาณ 236 บาทต่อเดือน   คนกรุงเทพฯใช้งานระบบ 3G มากที่สุด คือ 5,919 นาทีต่อเดือน คิดเป็นค่าบริการต่อเดือน 223 บาท   ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) -------------------------------------------------------------------------------------------------------   กสทช. ได้มีการสั่งให้ผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 ค่าย ลดค่าบริการลงมา 15% สำหรับค่าบริการในระบบ 3G ตามเงื่อนไขของผู้ที่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งทาง กสทช. ก็ได้ออกเกณฑ์ค่าบริการกลางใหม่หลังจากลดราคาดังนี้   ค่าบริการด้านเสียง (วอยซ์) 0.82 บาทต่อนาที   บริการส่งข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) ข้อความละ 1.33 บาท   บริการส่งข้อความมัลติมีเดีย (เอ็มเอ็มเอส) 3.32 บาท   บริการอินเทอร์เน็ตนาทีละ 0.28 บาทต่อเมกะไบต์   *หมายเหตุ...แต่จากการทดสอบของฉลาดซื้อยังไม่เห็นการลดราคาแต่อย่างใด โดยดูได้จากค่าบริการส่วนเกินที่ยังสูงกว่าเกณฑ์ของ กสทช. ทั้ง 3 ค่าย ------------------------------------------------------------------------------------------------------- สำหรับใครที่ต้องการย้ายค่ายมือถือในยุค 3G นี้ ทางคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ได้มีการให้ค่ายมือถือลดค่าธรรมเนียมในการย้ายเครือข่ายเบอร์เดิมเหลือเพียง 29 บาท   ส่วนใครที่ใช้ระบบพรีเพดหรือเติมเงิน แล้วต้องการย้ายไปใช้แบบจ่ายรายเดือน ไม่ควรเหลือเงินค้างในระบบ เพราะเมื่อย้ายแล้วเงินที่เหลืออยู่จะไม่ตามไปเท่ากับสูญเงินไปฟรีๆ เพราะฉะนั้นควรใช้ให้หมดก่อน หรือไปติดต่อขอคืนด้วยตัวเองกับทางค่ายผู้ให้บริการ ------------------------------------------------------------------------------------------------------- ตารางแสดงค่าบริการรายเดือนโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G   ราคา (บาท) เอไอเอส โทรทุกเครือข่าย (นาที) อินเตอร์เน็ต 3G / EDGE Wi-Fi 299 100 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 500 MB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 64 Kbps - 399 150 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 750 MB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 64 Kbps - 599 300 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 1.5 GB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 64 Kbps - 799 400 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 2 GB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 128 Kbps ไม่จำกัด 999 500 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 3 GB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 256 Kbps ไม่จำกัด     ราคา (บาท) ดีแทค โทรทุกเครือข่าย (นาที) อินเตอร์เน็ต 3G / EDGE Wi-Fi 299 100 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 500 MB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 64 Kbps - 399 250 1 GB - 429 250 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 750 MB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 64 Kbps ไม่จำกัด 529 250 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 1.5 GB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 64 Kbps ไม่จำกัด 549 400 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 750 MB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 64 Kbps ไม่จำกัด 629 250 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 3 GB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 64 Kbps ไม่จำกัด 649 400 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 1.5 GB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 64 Kbps ไม่จำกัด 749 400 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 3 GB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 64 Kbps ไม่จำกัด 800 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 750 MB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 64 Kbps ไม่จำกัด 849 800 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 1.5 GB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 64 Kbps ไม่จำกัด 949 800 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 3 GB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 64 Kbps ไม่จำกัด     ราคา (บาท) ทรูมูฟเอช โทรทุกเครือข่าย (นาที) อินเตอร์เน็ต 3G / EDGE Wi-Fi 299 100 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 500 MB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 64 Kbps ไม่จำกัด 399 250 1 GB ไม่จำกัด 499 250 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 1 GB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 128 Kbps ไม่จำกัด 599 400 2 GB ไม่จำกัด 699 400 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 2 GB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 128 Kbps ไม่จำกัด 899 500 ไม่จำกัด* หลังจากใช้งานครบ 3 GB ความเร็วจะลดลงอยู่ที่สูงสุด 128 Kbps ไม่จำกัด   หมายเหตุ *ราคานี้ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม *ความเร็วอินเตอร์เน็ต 3G / EDGE สูงสุดอยู่ที่ 42 Mbps *อย่าลืมดูเงื่อนไขค่าบริการส่วนเกินก่อนตัดสินใจ *ข้อมูลสำรวจเมื่อ มิถุนายน 2556

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 145 รองเท้ามือสอง เสน่ห์หรือภัยเงียบ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สินค้ามือสอง มีเสน่ห์สำหรับหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นแบบที่ถูกใจหรือราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับคุณภาพของสินค้า โดยเฉพาะรองเท้ามือสอง ซึ่งคงไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเท่านั้นที่นิยมรองเท้ามือสอง คนอีกหลายวัยก็นิยมเช่นกัน เพราะสินค้ารองเท้ามือสองนั้นมีความหลากหลายของรูปแบบที่เข้าได้กับทุกกลุ่ม เพศ วัย ไม่ว่าจะเป็นผ้าใบยี่ห้อดัง รองเท้าหนังเท่ๆ หรือส้นสูงสุดเฉี่ยว   ถึงจะเป็นที่นิยมมากแค่ไหน แต่รองเท้ามือสองกำลังเป็นคำถามสำคัญที่ผู้บริโภคต้องใส่ใจมากขึ้น ว่าจะยังตระเวนซื้ออย่างสนุกสนานต่อไป หรือว่าควรมีรองเท้ามือสองไว้ในครอบครองแต่พอดี   เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่เรื่อง ขยะรองเท้ามือสองกองสูงเป็นภูเขา(ฝ่ายที่กองไว้อ้างว่าอยู่ระหว่างรอการกำจัด) เป็นปัญหาเดือดร้อนรำคาญและก่อผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ที่จังหวัดสระแก้ว ใกล้ตลาดโรงเกลือ ซึ่งถือเป็นแหล่งค้ารองเท้ามือสองที่ใหญ่สุดในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน ขยะดังกล่าวได้ถูกกำจัดไปส่วนหนึ่งแต่ก็ไม่ทันกับปริมาณของตัวขยะ(ใหม่)ที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน เพราะตลาดของรองเท้ามือสองนั้นติดลมบนและมีมูลค่ามหาศาลไปแล้ว คำถามก็คือ เราจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาขยะรองเท้ามือสองต่อไป หรือเราจะเปลี่ยนตัวเอง ด้วยการซื้อรองเท้ามือสองให้น้อยลงหรือแม้แต่รองเท้าใหม่ก็เช่นกัน และถนอมใช้รองเท้าที่เรามีอยู่ไปจนเปื่อยขาดหมดสภาพแล้วจึงค่อยซื้อใหม่ดี   “ปัจจุบันมีโรงเท้ามือสองถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ กระจายไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ภายในตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ วันละ 6-10 ตัน เพื่อนำไปซ่อมแซม และตกแต่ง เพื่อจำหน่ายต่อไป ซึ่งจะมีชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ต้องทิ้งเป็นขยะ ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ ของรองเท้าทั้งหมด”  นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว     พิสูจน์ความสะอาดของรองเท้ามือสอง ฉลาดซื้อฉบับนี้ไปช้อปปิ้งรองเท้ามือสองจากตลาดนัดที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งของรองเท้ามือสองจำนวน 9 แห่ง โดยเลือกรองเท้าที่ไม่เหมาะกับการซัก แต่อาจต้องทำความสะอาดด้วยวิธีอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อส่องดู เชื้อโรคและเชื้อรา(standard plate count และ Mold) ว่ามีอยู่มากน้อยแค่ไหน  การทดสอบทำโดย บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด (Standard plate count / วิธีตรวจนับจุลินทรีย์มาตรฐาน) ผลการทดสอบ   วิธีทำความสะอาดรองเท้ามือสอง 1.ถ้าเป็นรองเท้าที่ซักด้วยน้ำและผงซักฟอกได้ เมื่อซื้อมาแล้วให้ซักล้างทำความสะอาด ตากแดดให้แห้งสนิท ก่อนสวมใส่ 2.รองเท้าที่ซักด้วยน้ำและผงซักฟอกไม่ได้ ควรเช็ดถูด้านในรองเท้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคหรือแอลกอฮอล์ และนำไปผึ่งแดดจัดๆ แต่ถ้าเป็นรองเท้าหนังไม่ควรผึ่งแดดจัด เพราะจะทำให้เสื่อมสภาพไวขึ้น ควรผึ่งในที่ร่มที่มีลมพัดผ่าน 3.ถ้าภายในรองเท้าเปียกชื้น การซับด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์จะช่วยดูดความชื้นออกไปได้ 4.ควรหมั่นซัก ล้าง ทำความสะอาดรองเท้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขอนามัยอันดีและป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์   -------------------------------------------------------------------------------------------- สิ่งที่อาจมากับของใช้มือสอง 1.อาการภูมิแพ้ ทั้งจากวัสดุ ฝุ่น เชื้อโรคหรือแม้แต่น้ำยาปรับผ้า น้ำยารีดผ้า 2.โรคจากเชื้อรา ชื่นชอบอากาศและความอับชื้นเป็นพิเศษ จึงเจริญเติบโตได้ดีในรองเท้าที่ไม่ค่อยได้ซักทำความสะอาด กรณีรองเท้ามือสอง หากไม่ทำความสะอาดให้ดีก่อนสวมใส่ อาจก่อให้เกิดอาการเท้าเป็นเชื้อรา คันตามบริเวณง่ามเท้า ฝ่าเท้า 3.โรคผิวหนัง เชื้อโรคเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังต่างๆ และเมื่อแบคทีเรียรวมตัวกับความเปียกชื้นจากเหงื่อก็จะทำให้เกิดปัญหากลิ่นอับ ซึ่งเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 143 โชเฟอร์แท็กซี่คนนี้ ชัวร์หรือมั่วนิ่ม

  ปีที่แล้ว มีคนร้องเรียนรถแท็กซี่ผ่านศูนย์ 1584 กว่า 30,000 ราย ด้วยข้อหาเดิมๆ ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร ปัญหานี้เหมือนจะอยู่คู่บริการรถแท็กซี่ของเรามาตั้งแต่เริ่มใช้มิเตอร์ เพราะแต่เดิมเราต้องต่อรองราคากับโชเฟอร์ก่อนเมื่อพอใจกันทั้งสองฝ่ายก็ไปกันราบรื่น แต่หลายครั้งผู้โดยสารก็อาจหงุดหงิดเพราะไม่รู้ว่า ราคาที่เหมาะสมจริงๆ มันคือเท่าไหร่ เมื่อปรับมาเป็นระบบมิเตอร์ คือ คิดเงินตามระยะทาง ดูเหมือนผู้โดยสารกับโชเฟอร์ไม่ต้องมากังวลกับราคาอีกเพราะมีทางรัฐมาเป็นผู้กำหนดราคาให้ แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อสังคม เศรษฐกิจ ระบบจราจร ตลอดจนค่าพลังงานมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้แท็กซี่หันมาปฏิเสธไม่ยอมรับผู้โดยสารมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคิดว่า ไม่คุ้ม นั่นเอง ข้ออ้างประเภท ต้องไปส่งรถ หรือ แก๊สหมด จึงมาเกือบทุกครั้งที่ผู้โดยสารบอกเส้นทางที่จะไป(แต่แท็กซี่ไม่อยากไป) ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่คนแทบทุกคนต้องเคยเจอ   หลังจากไปทบทวนสถานการณ์แล้ว พบว่าหลายฝ่ายได้พยายามแก้ไขปัญหานี้มาตลอด โดยปีที่ผ่านมาก็เช่นกัน ทางการประกาศ 1 กันยายน เป็นต้นไป หากแท็กซี่คันไหนปฏิเสธไม่รับผู้โดยสารจะต้องถูกปรับทันที 1,000 บาท ซึ่งดูเหมือนวูบวาบในระยะแรก แต่นั่นแหละผ่านไปสักพักสถานการณ์ก็เหมือนเดิม   เรื่องนี้ถ้าจะแก้ไขคงต้องไปสะสางกันอีกหลายเรื่อง แต่ประเด็นสำคัญที่คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลัก ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องราคาค่าโดยสาร คือ คนขับแท็กซี่หรือพี่โชเฟอร์ ที่เป็นใครก็ได้ ขอแค่ขับรถเป็นและมีใบขับขี่รถสาธารณะ(ส่วนในความเป็นจริงหลายคนไม่มีใบขับขี่สาธารณะหรือบางคนแม้แต่ใบขับขี่รถยนต์ก็ยังไม่มี)   ท้าพิสูจน์โชเฟอร์คนนี้ ชัวร์หรือมั่วนิ่ม อาชีพแท็กซี่เป็นอาชีพอิสระ หลายคนก็ทำจริงจัง หลายคนก็ทำเป็นอาชีพเสริม เพราะดูจากการอุดหนุนหลายอย่างของรัฐ ทั้งเรื่องการออกใบอนุญาตทั้งรถ ทั้งคนขับ การอุดหนุนค่าพลังงาน ฯลฯ ทำให้ไม่ยากเลยกับการมาเป็นคนขับแท็กซี่ หลายเสียงพูดว่า ถ้าเป็นคนขับแท็กซี่ที่รักในอาชีพจริงๆ มักไม่ปฏิเสธผู้โดยสารหรือจ้องจะเอาเปรียบผู้โดยสาร แต่ปริมาณรถแท็กซี่กว่า 100,000 คันในขณะนี้ มีแท็กซี่มืออาชีพกันสักกี่คน ถูกแท็กซี่ปฏิเสธก็เป็นทุกข์แบบหนึ่ง ได้ขึ้นไปนั่งแล้วก็สร้างความกังวลได้อีก เพราะไม่รู้ว่า คนขับแท็กซี่คันนี้ เป็นคนดีหรือเปล่า คำแนะนำสำหรับการใช้บริการแท็กซี่อันดับแรกเลยก็คือ ทุกครั้งต้องจำเลขรถและชื่อคนขับให้ได้ แล้วถ้าคนขับกับป้ายหน้ารถที่แสดงใบอนุญาตเกิดไม่ตรงกันล่ะ จะทำอย่างไรดี   ปัญหาเรื่องคนขับแท็กซี่เป็นคนละคนกับในใบอนุญาตนั้นจากข้อมูลของกรมการขนส่ง ระบุว่า จากสถิติการขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ (รถแท็กซี่) จนถึงวันที่ 31 พ.ค. 55 มีจำนวน 66,645 ราย ขณะที่ยอดจดทะเบียนรถแท็กซี่ถึงวันที่ 31 พ.ค. 55 มีจำนวน 102,575 คัน เป็นรถแท็กซี่ส่วนบุคคล จำนวน 25,020 คัน และเป็นรถแท็กซี่นิติบุคคล จำนวน 77,555 คัน ชี้ให้เห็นว่า มีผู้ขับรถแท็กซี่จำนวนมากที่ยังไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ ดังนั้นกรมการขนส่งทางบก จึงออกมาตรการตั้งเป้า ผู้ขับรถแท็กซี่ต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ 100%   ฉลาดซื้อเราก็อยากพิสูจน์ว่า มาตรการจะได้ผลหรือไม่ เลยชักชวนกันลองนั่งแท็กซี่ช่วงระหว่างวันที่ 8 -17 มกราคม 2555 นั่งกันไปได้ 108 คัน ทั้งแท็กซี่ส่วนบุคคลและนิติบุคคล ในทุกช่วงเวลา การสำรวจครั้งนี้พบว่า ร้อยละ 91.59 (98 คัน)    =  คนขับเป็นคนเดียวกันกับในใบอนุญาตที่แสดงไว้ด้านหน้า ร้อยละ 6.54 (7 คัน)        =  ไม่ใช่ และร้อยละ 1.87 (2 คัน)   =  ป้ายช่างซีดจางอ่านไม่ออกประเมินไม่ได้ว่า ใช่หรือไม่ใช่ การสำรวจในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราทดลองในเรื่อง การใช้บริการแท็กซี่ ซึ่งต่อไปเราคงจะทดลองนั่งกันอีกหลายครั้งเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาของรัฐว่ามาตรการต่างๆ ที่ออกมานั้นแก้ไขปัญหาได้จริงหรือเปล่า โปรดติดตามกันต่อไป ผู้ขับรถแท็กซี่ไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ จะมีความผิดต้องโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องแสดงบัตรประจำตัวผู้ขับรถด้วย หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท ส่วนผู้ประกอบการ หรือเจ้าของรถแท็กซี่ ต้องร่วมรับผิดชอบ โดยหากยินยอมให้ผู้อื่นที่ไม่มีใบอนุญาตขับรถสาธารณะเช่าหรือขับ มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท หากไม่จัดทำประวัติคนขับรถแท็กซี่จะมีความผิดปรับไม่เกิน 1,000 บาท   ---------------------------------------------------------------------------------------------------- การร้องเรียนผ่านศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ 1584 ในปี 2555 (เดือนมกราคม –ธันวาคม) พบว่า  มีประชาชนร้องเรียนเกี่ยวกับการให้บริการของรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) จำนวน 33,357 ราย ความผิดส่วนใหญ่ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร 17,139 ราย รองลงมาคือแสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ 4,227 ราย ไม่ส่งผู้โดยสารตามสถานที่ตกลงกัน 3,062 ราย ขับรถประมาทหวาดเสียว 2,253 ราย และความผิดด้านอื่น ๆ ที่มา กรมการขนส่งทางบก ----------------------------------------------------------------------------------------------------   พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 93 วรรคหนึ่ง ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ ปฏิเสธไม่รับจ้างบรรทุกคนโดยสารโดยไม่มีเหตุอันควร ถือเป็นความผิด มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท และเป็นข้อหาที่ต้องถูกบันทึกคะแนน 20 คะแนน ถูกยึดใบอนุญาตขับขี่ 15 วัน ---------------------------------------------------------------------------------------------------- (กรุงเทพโพลล์) สำรวจความคิดเห็นเรื่อง “ความพร้อมของประเทศไทยหากมีการเปิดเสรีอาเซียนในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ” เก็บข้อมูลเมื่อวันที่ 11-13 มกราคม 2556 พบว่า ปัจจัยที่อาจทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวในประเทศไทยแย่ลง อันดับแรกคือ การจราจรติดขัด (ร้อยละ 37.2) รองลงมาคือการเอาเปรียบขึ้นค่าโดยสารของ แท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก (ร้อยละ 23.2) ----------------------------------------------------------------------------------------------------   TAXI ที่นั่น ที่นี่ ที่โน้น... กว่าจะขับแท็กซี่ที่ฮ่องกงได้ นอกจากจะต้องผ่านการตรวจร่างกาย สอบภาคปฏิบัติ แล้วยังต้องสอบข้อเขียนด้วย ข้อสอบเขามี 3 ส่วน เป็นคำถามเรื่องกฎระเบียบของรถแท็กซี่ 20 ข้อ คำถามเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ 20 ข้อ (ทั้งสองส่วนนี้ทำผิดได้ไม่เกินส่วนละ 2 ข้อ) นอกจากนี้ยังมีคำถามเกี่ยวกับกฎการใช้รถใช้ถนนอีก 100 ข้อ (ทำผิดได้ไม่เกิน 5 ข้อ) ถ้าคุณนั่งแท็กซี่ที่สิงคโปร์ในช่วงเวลาเร่งด่วน (จันทร์-ศุกร์ 6.00 น. – 9.30 น. / จันทร์ – อาทิตย์ รวมวันหยุดราชการ 18.00 น. – เที่ยงคืน) คุณต้องเตรียมจ่ายเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 25 ของค่าโดยสารที่ปรากฏบนมิเตอร์ ถ้าโบกรถหลังเที่ยงคืน - 5.59 น. ก็ให้เตรียมจ่าย “มิดไนท์ เซอร์ชาร์จ” ไว้ด้วย ไม่มากมาย แค่ร้อยละ 50 ของค่าโดยสารตามมิเตอร์เท่านั้น!!   ลืมบอกไปว่าถ้าเรียกแท็กซี่ในเขตเมือง ระหว่าง 5 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน ผู้โดยสารต้องจ่าย “City area surcharge” อีก 3 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 73 บาท) ด้วย   รัฐบาลมาเลเซียเอาใจพี่ๆ แท็กซี่ ด้วยการประกาศแจกคูปอง 520 ริงกิต (ประมาณ 5,000 บาท) เอาไว้ใช้เป็นค่าเปลี่ยนยาง มิเตอร์ของแท็กซี่ในเวียดนาม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ของบริษัทใหญ่ๆ อย่างไมลิน หรือวินาซัน) จะเริ่มทำงานเองโดยอัตโนมัติหลังจากรถเคลื่อนตัวออกไป 5 เมตร

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 142 ความปลอดภัยของรถยนต์

ฉลาดซื้อฉบับปิดท้ายปี 2555 ขอเกาะกระแสข่าวยอดขายรถยนต์พุ่งกระฉูด ด้วยการนำเสนอผลทดสอบความปลอดภัยรถยนต์ที่ EuroNCAP* ได้ทำไว้ ต้องบอกกันตรงนี้ก่อนว่าตามกฎหมายแล้ว รถยนต์ทุกยี่ห้อต้องผ่านการทดสอบความปลอดภัยก่อนจะนำมาขาย แต่นี่คืออีกระดับของการคุ้มครองผู้บริโภคและการยกระดับคุณภาพสินค้านั่นเอง ผู้ประกอบการเจ้าไหน ใจป้ำจัดเต็มก็จะได้ใจ (พร้อมเงินในกระเป๋า) ผู้บริโภคไป ----------------------------------------------------------------------------------------------------- EuroNCAP คือหน่วยงานอิสระที่ก่อตั้งโดยกรมการขนส่งของอังกฤษใน พ.ศ. 2540 จากนั้นรัฐบาลของฝรั่งเศส เยอรมนี สวีเดน เนเธอร์แลนด์ และแคว้นคาตาโลเนียของสเปน รวมถึงองค์กรผู้บริโภค และสมาคมรถยนต์ในประเทศต่างๆในยุโรปก็เข้าร่วมด้วย หน้าที่ของ EuroNCAP คือการทดสอบความปลอดภัยของรถที่จำหน่ายในยุโรปและเผยแพร่ข้อมูลให้กับผู้บริโภค ย้ำว่าองค์กรนี้ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ หนึ่งในสมาชิกของ EuroNCAP ได้แก่ องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research & Testing) ที่ ฉลาดซื้อ และองค์กรผู้บริโภคในอีก 39 ประเทศเป็นสมาชิกอยู่นั่นเอง -----------------------------------------------------------------------------------------------------   การให้คะแนน EuroNCAP ให้คะแนนรวมจากการทดสอบทั้งหมดเป็นดาว สูงสุดคือ 5 ดาว คะแนนในแต่ละด้าน คิดเป็นคะแนนจากคะแนนเต็ม 100 ได้แก่ ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า ความปลอดภัยของเด็ก (เมื่อนั่งบนเบาะนั่งนิรภัย) ความปลอดภัยของคนเดินถนน อุปกรณ์ความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐานในตัวรถ ----------------------------------------------------------------------------------------------------- CRASH TESTS -     การชนด้านหน้า ทดสอบด้วยการชนเข้ากับสิ่งกีดขวางแบบยุบตัวได้ ที่ความเร็ว 64 กิโลเมตร/ชั่วโมง - การชนจากด้านข้าง ทดสอบโดยการใช้สิ่งกีดขวางแบบยุบตัวได้พุ่งเข้าชนประตูด้านคนขับ ที่ความเร็ว 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง -      การชนเสา ตัวรถจะถูกเหวี่ยงให้ด้านข้างชนกับเสาด้วยความเร็ว 29  กิโลเมตร/ชั่วโมง -      การชน “คนเดินถนน” (โดยการพุ่งชนดัมมี่ศีรษะและขา ทั้งของเด็กและผู้ใหญ่) ที่ความเร็ว 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง -      อุปกรณ์ความปลอดภัย การใส่ ถอด หรือการเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัย (ความชัดเจนทั้งเสียง และไฟสัญญาณเตือน) อุปกรณ์ช่วยจำกัดความเร็ว (ทั้งแบบที่ไม่ยอมไปเร็วกว่าความเร็วที่ผู้ขับขี่ตั้งไว้ และแบบที่มีเสียงเตือนเมื่อผู้ขับขี่ใช้ความเร็วเกิน) และระบบควบคุมการทรงตัวของรถ (Electronic Stability Control) -   การทดสอบความปลอดภัยของเด็ก ใช้ดัมมี่ขนาดเด็กขวบครึ่งและสามขวบนั่งบนเบาะนิรภัย (ชนิดที่ผู้ผลิตรถแต่ละยี่ห้อแนะนำ) ที่เบาะหลังของรถ นอกจากจะให้คะแนนโดยดูพฤติกรรมการเหวี่ยงของเบาะนิรภัยแล้ว ยังให้คะแนนในเรื่องคำแนะนำในการติดตั้ง และคำเตือนเรื่องถุงลมนิรภัย รวมถึงความสามารถของรถในการรองรับการติดตั้งที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กได้อย่างปลอดภัยด้วย   ----------------------------------------------------------------------------------------------------- อาการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลถึงปีละหนึ่งหมื่นล้านยูโร ในยุโรป EuroNCAP จึงเพิ่มการทดสอบเรื่องนี้เพื่อให้เกิดการปรับปรุงการออกแบบเบาะนั่งและหมอนรองศีรษะ และให้คะแนนไว้ในเรื่องความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า ----------------------------------------------------------------------------------------------------- Meet the Iron Men: รู้จักกับ สองหุ่นกระดูกเหล็ก Hybrid III และ ES-2 คือหุ่นหลักที่ใช้ในการทดสอบความปลอดภัยภายในห้องโดยสาร โดย Hybrid III จะ เก็บข้อมูลการชนด้านหน้า ในขณะที่ ES-2 ทำหน้าที่เก็บข้อมูลการชนด้านข้าง ส่วนการทดสอบความปลอดภัยของคนเดินถนนนั้นเขาจะใช้เพียงชิ้นส่วนของหุ่นยนต์ในการทดสอบ   แม้หน้าตาจะไม่หล่อโดนใจ แต่ขอบอกว่าเขารับได้ทุกอย่าง ส่วนหัวทำด้วยอลูมิเนียม โครงกระดูกทำจากเหล็กกล้าถูกห่อหุ้มด้วย “ผิวหนัง” ที่ทำจากยาง ภายในศีรษะ คอ หน้าอก ช่องท้อง เชิงกราน และขา จะมีอุปกรณ์รับข้อมูลต่างๆ ที่แสดงผลให้เรารู้ถึงอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นกับบริเวณดังกล่าว   สนนราคาของหุ่นทรหดแต่ละตัวนั้นไม่ต่ำกว่า หนึ่งแสนยูโร (ประมาณ 4 ล้านบาท) Supermini Chevrolet Aveo  รุ่นปี 2011 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  95% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                           87% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                       54% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                    93%     Citroen C3  รุ่นปี 2009 คะแนนรวม       4          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  83% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                           74% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                       33% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                     40%     Honda Jazz รุ่นปี 2009 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  78% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                           79% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                       60% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                     71%     Nissan Micra (Nissan March) รุ่นปี 2010 คะแนนรวม        4          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  84% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                          79% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      58% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                    57%   Suzuki Swift รุ่นปี 2010 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  94% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                           82% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                       62% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                     71%   Toyota Yaris รุ่นปี 2011 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  89% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                           81% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      60% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                    86%     Peugeot 208 รุ่นปี 2012 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  88% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                           78% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                       61% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                     83%   Ford Fiesta รุ่นปี 2012 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  91% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                          86% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      65% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                    71%   Small Family Car BMW 3 Series รุ่นปี 2012 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  95% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                           84% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                       78% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                     86%   Chevrolet Cruze รุ่นปี 2009 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  96% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                           84% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                       34% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                     71%     Ford Focus รุ่นปี 2012 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  92% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                           82% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                       72% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                     71%     Honda Civic รุ่นปี 2012 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  94% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                           83% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      69% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                    86%     Mazda 3 รุ่นปี 2009 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  86% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                          84% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      51% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                    71%     Mitsubishi Lancer รุ่นปี 2009 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  81% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                          80% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      34% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                    71%     VW Beetle รุ่นปี 2011 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  92% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                          90% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      53% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                   86%     Chevrolet Captiva รุ่นปี 2011 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  88% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                          82% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      48% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                    71%   Large Family Car Audi A4 รุ่นปี 2009 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                 93% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                          84% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      39% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                    71%   Honda Accord รุ่นปี 2009 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  86% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                          79% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      54% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                   86%   Peugeot 508 รุ่นปี 2011 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  90% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                          81% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      41% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                   97%     Toyota Prius รุ่นปี 2009 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  88% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                          82% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      68% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                    86%     Volvo V60 รุ่นปี 2012 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  94% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                           82% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      64% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                    100%     Nissan Cube รุ่นปี 2010 คะแนนรวม        4          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  83% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                          64% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      56% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                    84%   Pick-up Ford Ranger รุ่นปี 2012 คะแนนรวม        5          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  96% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                           86% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      81% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                    71%     Isuzu D-Max รุ่นปี 2012 คะแนนรวม        4          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                 83% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                          67% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                      51% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                   71%     VW Amarok รุ่นปี 2010 คะแนนรวม        4          ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า                  86% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก                                           64% ความปลอดภัยของคนเดินถนน                                       47% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน                                     57%

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 142 คอตตอน 100%

  คงไม่มีใครในโลกที่ไม่มีเสื้อยืดในครอบครอง หลายคนชอบเสื้อยืดเพราะมันนุ่ม ใส่สบาย ไม่ร้อน ให้ความรู้สึกลำลอง แถมยังแอบอ้วนได้โดยไม่อึดอัด เสื้อยืดนั้นผลิตจากเส้นใยหลายชนิด บ้างก็ทำจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์ผสมเส้นใยฝ้ายเพื่อลดการยับยู่ยี่ บ้างก็ทำจากเส้นใยฝ้ายทั้งหมดอย่างที่พนักงานขายเรียกว่า “ผ้าค้อตตอน 100” ซึ่งแม้จะยับง่าย แต่ระบายอากาศได้ดีเพราะเส้นใยมีรูพรุน แต่ว่า... ฉลากที่เขียนว่า “100%” Cotton” นั้นเชื่อถือได้แค่ไหน มีใครแอบทำเสื้อยืดมาหลอกขายเราหรือเปล่า ฉลาดซื้อ สงสัยจึงสุ่มซื้อเสื้อที่มีการระบุว่าเป็นฝ้าย 100% มา 10 ยี่ห้อ รวมถึงเสื้อยืดรณรงค์ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคอีก 1 ตัว แล้วส่งไปศูนย์วิเคราะห์ทดสอบสิ่งทอ เพื่อหาคำตอบ ข่าวดีนะพี่น้อง เสื้อยืดที่เราส่งไปตรวจสอบนั้นผลิตจากเส้นใยฝ้าย 100 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ระบุในฉลากจริงๆ ไม่มีเส้นใยชนิดอื่นผสม     CHIC FORD ราคา          95         บาท ผู้ผลิต/จำหน่าย: บริษัท ดี.แอล. เจ คอมเมอร์เชี่ยล จำกัด                     ZEG ราคา          135       บาท ผู้ผลิต:       บริษัทไทยกุลแซ่ จำกัด ผู้จำหน่าย:  ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด                     TEN & CO BASIC ราคา          390       บาท (ราคาลด 295 บาท) ผู้สั่งผลิต/จำหน่าย บริษัทพีน่า เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)   แตงโม ราคา          195       บาท ผู้ผลิต/จำหน่าย บริษัทสยามแฮนดส จำกัด     Pena House ราคา          590       บาท (ราคาลด 295 บาท) ผู้สั่งผลิต/จำหน่าย    บริษัทพีน่า เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)                       Rosso ราคา          99         บาท ผู้สั่งผลิต/จำหน่าย    บริษัท รอซโซ่ จำกัด                       U-FO ราคา          390       บาท (ราคาลด 195 บาท) ผู้สั่งผลิต/จำหน่าย บริษัทพีน่า เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)                     DOUBLE GOOSE (ห่านคู่) ราคา          119       บาท ผู้ผลิต/จำหน่าย บริษัทไทยแลนด์นิตติ้ง จำกัด                     F&F BODYWEAR ราคา           159      บาท ผู้สั่งผลิต/จำหน่าย บริษัทเอกชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเท็ม จำกัด                     UNIQLO ราคา           590      บาท ผู้ผลิต/จำหน่าย ผลิตในประเทศจีน                     เสื้อยืดรณรงค์ Please wear me out ราคา           180       บาท ผู้สั่งผลิต/จำหน่าย     มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค               ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ผ้าฝ้ายได้จากนำปุยฝ้ายมาปั่นให้ได้เป็นเส้นด้าย แล้วทอเป็นผืนผ้า  เทคนิคในการทอนี้เองที่เป็นตัวแปรชี้ว่าเสื้อที่เราซื้อมาจะหดหรือไม่ เสื้อยืดที่ผลิตจากผ้าฝ้ายจะมีราคาแตกต่างกันไปตามขนาดเส้นด้าย เสื้อที่ทำจากผ้าที่ทอด้วยเส้นด้ายขนาดเล็ก (เช่นเสื้อผ้าสำหรับเด็กอ่อน หรือเสื้อแบรนด์เนมบางรุ่น) จะมีราคาสูงกว่า  เพราะเส้นด้ายขนาดเล็กมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนกว่าเส้นด้ายขนาดใหญ่ ยิ่งต้องการให้เล็กมากก็ต้องสั่งทอเป็นพิเศษ จึงทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ------------------------------------------------------------------------------------------------------------   ฝ้ายเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่เราใช้ร้อยละ 2.3 ของพื้นที่การเกษตรบนโลกในการปลูก และกว่า 1 ใน 6 ของสารเคมีทางการเกษตรที่ใช้กันอยู่ ก็ใช้เพื่อการปลูกฝ้ายนั่นเอง   เพื่อให้ได้ผลผลิตใยฝ้าย 1 กิโลกรัม (สำหรับการผลิตเสื้อยืด 1 หนึ่งตัว และกางเกงยีนส์ 1 ตัว) เราอาจต้องใช้น้ำมากถึง 20,000 ลิตร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------   การปลูกฝ้าย ในระดับเกษตรกรรายย่อยที่ปลูกกันด้วยวิธีธรรมดาจะได้ผลผลิตฝ้ายดิบประมาณ 400 -600 กิโลกรัมต่อเฮคตาร์ แต่ถ้าเป็นไร่ฝ้ายในระดับอุตสาหกรรม อาจได้ผลผลิตมากถึง 3,000 กิโลกรัมต่อเฮคตาร์ ผลผลิตฝ้ายรวมทั่วโลกอยู่ที่ 25 ล้านตันต่อปี ปริมาณนี้สามารถผลิตเป็นเสื้อได้ 60,000 ล้านตัว ผู้ผลิตฝ้าย 5 อันดับแรกของโลกได้แก่ จีน อเมริกา อินเดีย ปากีสถาน และบราซิล ตามลำดับ โดยมีบราซิลเป็นประเทศที่มีผลผลิตต่อไร่สูงที่สุด ส่วนประเทศที่มีการบริโภคฝ้ายมากที่สุด 10 อันดับแรกได้แก่ จีน อินเดีย ปากีสถาน อเมริกา ตุรกี บราซิล อินโดนีเซีย เม็กซิโก ไทย และรัสเซีย จีนคือประเทศที่ผลิต นำเข้า และบริโภคฝ้ายมากที่สุดในโลก ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ราคาฝ้ายในตลาดโลกลดลงอย่างมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา ด้วยสองสาเหตุหลักคือ จีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าฝ้ายดิบในปริมาณมากมีความต้องการฝ้ายลดลง และเนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ฝ้ายมีราคาสูง เกษตรกรจึงหันมาปลูกฝ้ายมากขึ้น ผลผลิตฝ้ายในตลาดจึงเพิ่มขึ้น   เมื่อฝ้ายราคาถูกลง เราก็น่าจะซื้อเสื้อยืดได้ถูกลง ... ซะที่ไหน  เรายังคงจ่ายในราคาเท่าเดิม ในขณะที่ร้านค้าปลีกจะได้กำไรจากส่วนต่างตรงนี้มากขึ้น ถ้าผู้บริโภคอย่างเราจะได้ประโยชน์ก็น่าจะมาจากกระบะเสื้อผ้าที่ทำจากฝ้าย ที่ทางร้านเขาเลือกนำมาลดราคานั่นเอง   ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ มนุษย์เรารู้จักการนำฝ้ายมาแปรเป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มมา 5,000 ปีแล้ว และเรายังคงพึ่งพาฝ้ายเสมอมา ทุกวันนี้เส้นใยที่ใช้ในการผลิตเสื้อผ้ามากเป็นอันดับหนึ่งก็ยังคงเป็นเส้นใยฝ้าย แต่อาจเป็นเช่นนั้นอีกไม่นาน ด้วยข้อจำกัดทางปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรที่ใช้ในการปลูกฝ้าย บวกกับความพยายามในการลดต้นทุนการผลิต ทำให้ผู้ผลิตหันมาใช้เส้นใยประดิษฐ์ (เส้นใยสังเคราะห์และเส้นใยกึ่งสังเคราะห์) กันมากขึ้น เช่นผสมไลคราลงไปในเนื้อผ้ายีนส์ หรือผสมสแปนเด็กซ์ลงไปในผ้ายืดให้มากขึ้น เป็นต้น   สำหรับคนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของฝ้าย วางใจกันได้ว่าจะยังมีเสื้อที่ทำจากเส้นใยฝ้ายอยู่และการปลูกฝ้าย (น่า) จะทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยลง ปัจจุบันมีความพยายามที่จะผลักดันให้เกษตรกรหันมาปลูกฝ้ายโดยไม่ใช้สารเคมีหรือใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการดัดแปรพันธุกรรม แม้ราคาเสื้อยืดที่ทำจากฝ้ายออกานิกจะมีราคาแพงขึ้น แต่ผู้บริโภคจะได้ทั้งเสื้อยืดและได้สนับสนุนให้เกษตรกรได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ เสื้อยืดหนึ่งตัวต้องใช้ทรัพยากรในการผลิตไม่น้อยทีเดียว จึงเป็นเรื่องน่าภูมิใจสุดๆ ถ้าเราสามารถใส่เสื้อยืดที่มีอยู่ให้คุ้มค่าเต็มอายุขัยของมัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 141 ที่รองนั่งชักโครก

ฉลาดซื้อฉบับนี้ ขอเปลี่ยนบรรยากาศจากห้องครัว ไปบุกห้องน้ำกันบ้าง ว่ากันว่าโดยเฉลี่ยแล้วคนเรา เข้าห้องน้ำปีละ 2,500 ครั้ง หรือประมาณวันละ 6 ครั้ง หรืออีกนัยหนึ่งคือเราใช้เวลาประมาณ 3 ปีของชีวิตในห้องส้วม นอกจากนี้ข้อมูลจาก www.itthings.com ยังบอกด้วยว่า แต่ละปี มีคนอเมริกันประมาณ 40,000 คนได้รับอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับโถส้วม คนในกองบรรณาธิการฉลาดซื้อก็เคยมีประสบการณ์เจ็บตัวมาอย่างที่บอก เลยเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าอุปกรณ์สำคัญที่เราต้องพึ่งพาอยู่เสมออย่างที่รองนั่งชักโครกยี่ห้อไหนจะทนทานกว่ากันและจำเป็นหรือไม่ที่จะควักกระเป๋าซื้อของแพงมาใช้ คราวนี้เราได้รับความช่วยเหลือจาก เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ในการทดสอบเปรียบเทียบดูความทนทานของวัสดุที่ใช้ในการผลิตที่รองนั่งชักโครกที่เราสุ่มซื้อมา 11 ยี่ห้อได้แก่ 1. American Standard  ราคา  1,650 บาทวัสดุ   โพลีสเตียรีน ผู้ผลิต/นำเข้า  ไม่ระบุ     2. Bathtime  4105-Vราคา  399 บาทวัสดุ  ไม่ระบุ ผู้ผลิต/นำเข้า  บริษัท นาป้า จำกัด     3. Bemis  BM-R70ADราคา  820 บาทวัสดุ  ไม่ระบุผู้ผลิต/นำเข้า  Bemis Manufacturing, USA/บ.พงศ์ชัยพัฒนา (1977) จำกัด     4. Cotto  C-912ราคา  1,835 บาทวัสดุ  โพลีโพรพิลีนผู้ผลิต/นำเข้า  บริษัท สยามซานิทารีแวร์อินดัสทรี จำกัด     5. Eleganceราคา  199 บาทวัสดุ  ไม่ระบุผู้ผลิต/นำเข้า  SL Home Products     6. Karat ราคา  1,300 บาทวัสดุ  โพลีโพรพิลีนผู้ผลิต/นำเข้า  บริษัท โคห์เลอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)     7. Kohler   ราคา  3,300 บาทวัสดุ  ไม่ระบุผู้ผลิต/นำเข้า     8. LW  - 555ราคา  220 บาทวัสดุ  ไม่ระบุผู้ผลิต/นำเข้า  ไม่ระบุ     9. Moya  TL-05 ราคา  299 บาทวัสดุ  ไม่ระบุผู้ผลิต/นำเข้า  บมจ.โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์     10. Nahm ราคา  2,450 บาทวัสดุ  ไม่ระบุผู้ผลิต/นำเข้า   ไม่ระบุ 11. Pixo  TR-03ราคา  399 บาท วัสดุ  ไม่ระบุผู้ผลิต/นำเข้า  หจก.สหรุ่งอุปกรณ์ ผลการทดสอบ โดยเครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภคการทนต่อแรงกระแทก วัสดุที่ใช้ทำฝารองนั่งชักโครกยี่ห้อ LW สามารถทนแรงกระแทกที่อุณหภูมิห้องได้ดีที่สุด สามารถรับแรงกระแทกได้สูงถึง 11,000 J/m2 รองลงมาคือ วัสดุของฝารองชักโครกยี่ห้อ Elegance สามารถรับแรงกระแทกได้สูงถึง 9,000 J/m2 สำหรับวัสดุในกลุ่มที่สามารถทนแรงกระแทกในระดับรองลงมาคือ วัสดุจากยี่ห้อ American Standard ทนแรงกระแทกได้ 4,900 J/m2 และวัสดุจากยี่ห้อ Cotto ทนแรงกระแทก ได้ 4,500 J/m2 ที่เหลือจัดอยู่ในกลุ่มวัสดุที่สามารถรับแรงกระแทกได้ในช่วง 2,000 แต่ไม่เกิน 4,000 J/ m2   4 อันดับทั้งทนทานและประหยัด 1. LW    220   บาท2. Elegance  199 บาท3. American Standard 1,650 บาท4. Cotto C-912  1,835 บาท   ความทนต่อการไหม้ไฟใช้บุหรี่ที่ติดไฟลุกจนแดง (อุณหภูมิประมาณ 230C) จี้ที่บริเวณฝารองนั่ง เป็นเวลา 2 นาที แล้วตรวจดูรอยไหม้ พบว่าชิ้นงานทุกชิ้นมีรอยไหม้ของบุหรี่ แต่ไม่ลุกติดไฟ  ------------------------------------------------------------------------------------------การทดสอบแรงกระแทกนำฝาชักโครกมาทำการตัดด้วยเครื่องตัดทางกล  Milling Machine ให้ได้ตามแบบมาตรฐาน ASTM D256 ขนาด ดังรูป โดยตัดตามแนวยาวและแนวขวาง  นำชิ้นงานมาทำการทดสอบ ด้วยเครื่องทดสอบแรงกระแทกยี่ห้อ Zwick โดยปล่อยฆ้อน ที่มุม 160 องศา กระแทกชิ้นงานที่ทำการติดตั้ง ทำการคำนวณหาค่าพลังงานที่ใช้กระแทกชิ้นงานจนแตกหัก เสร็จแล้วทำการเปรียบเทียบพลังงานที่ใช้ในการกระแทกชิ้นงานพลาสติกจากที่รองนั่งชักโครกแต่ละยี่ห้อ------------------------------------------------------------------------------------------ คำแนะนำในการเลือกซื้อ• เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผิวไม่มีรอยแตกร้าว ไม่หลุดล่อน ไม่มีรอยด่าง ไม่มีรูพรุนและผลิตภัณฑ์ไม่บิดเบี้ยวจนเสียรูปทรง• เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์ เพื่อป้องกันความเสียหายในระหว่างการขนส่ง• มีเครื่องหมายและฉลาก โดยมีตัวหนังสือที่เห็นได้ชัด โดยฉลากอย่างน้อยควรจะมีข้อมูลดังต่อไปนี้คือ ชื่อโรงงานที่ผลิต หรือที่อยู่ที่ทำการผลิต เครื่องหมายการค้า ชนิดหรือสัญลักษณ์ของพลาสติก ประเภทของผลิตภัณฑ์  วิธีทำความสะอาด คำเตือน ข้อแนะนำในการใช้• มีหมายเลขมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. 2118-2545 ซึ่งเป็นมาตรฐานสมัครใจ ------------------------------------------------------------------------------------------ กระบวนการผลิต ที่รองนั่งและฝาพลาสติกสำหรับโถส้วมเนื่องจากที่รองนั่งและฝาพลาสติกสำหรับโถส้วมผลิตมาจากวัสดุประเภทพลาสติก กระบวนการผลิตที่นิยมใช้ในการขึ้นรูปคือกระบวนการหล่อฉีด (Injection Molding) เริ่มจากการนำเม็ดพลาสติกมาผสมกับส่วนผสมอื่นๆเช่น เม็ดสี สารหน่วงไฟ (Flame Retardants) โดยการเติมเม็ดสีลงไปในภาชนะป้อนเติม (Feed hopper) หลังจากนั้นแท่งอัดก็จะทำการอัดและฉีดเม็ดพลาสติกที่ผสมแล้วด้วยความดันสูง โดยจะใช้แรงดัดไฮโดรลิก ผ่านส่วนที่ให้ความร้อน (spreader) บริเวณนี้เม็ดพลาสติกจะหลอมเปลี่ยนสภาพเป็นวัสดุที่เป็นของเหลวความหนืดสูง (viscous liquid) และจะเคลื่อนที่ผ่านหัวฉีด (Nozzle) เข้าไปในแม่พิมพ์ (Mold)  จนกระทั่งแบบเต็ม และชิ้นงานเย็นตัวลง จึงนำชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์ กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว ทำให้การผลิตชิ้นงานด้วยวิธีนี้เป็นที่นิยม เพราะได้กำลังการผลิตสูง วัสดุที่ใช้ในการผลิตพลาสติกที่ใช้ในการผลิต โดยทั่วไปจะนิยมใช้พลาสติกประเภทเทอร์โมพลาสติก พลาสติกประเภทนี้ ภายใต้อุณหภูมิสูงจะอ่อนตัว สามารถขึ้นรูปได้ง่าย และจะแข็งตัวเมื่ออุณหภูมิลดลงมาที่อุณหภูมิห้อง บางครั้งในการผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ต้องการความอ่อนตัวที่อุณหภูมิห้อง เช่น ตุ๊กตายาง ของเล่น ผู้ผลิตมักจะเติมสารเคมีที่เรียกว่า Plasticizer ลงไป เพื่อทำให้พลาสติกอ่อนตัว แต่สารเคมีดังกล่าว จัดเป็นสารเคมีอันตราย ที่สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็ง เป็นหมันถาวร และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบพันธุกรรม เป็นต้น สหภาพยุโรปสั่งห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีสาร Plasticizer เพื่อป้องกันอันตรายและความเสี่ยงจากสารเคมีดังกล่าวแล้ว------------------------------------------------------------------------------------------ สัญลักษณ์และความหมาย เป็นสัญลักษณ์สำหรับพลาสติกชนิดโพลีโพรพิลีน (Polypropylene, PP) ซึ่งเป็นเทอร์โมพลาสติกที่มีลักษณะเป็นของแข็ง ไม่มีสี มีทั้งโปร่งใสและโปร่งแสง ผิวเป็นมันเงา ทนกรด เบส และสารเคมีต่างๆ ยกเว้นสารละลายกลุ่มไฮโดรคาร์บอน ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโพลีโพรพิลีน ได้แก่ ของเล่นเด็ก ถุงปุ๋ย ไหมเทียม พรมและแผ่นรองพรม ผ้าใบกันน้ำ เชือก สายรัดบรรจุภัณฑ์ ถุงร้อน ขวดใส่เครื่องดื่ม ซองขนม ท่อ ปลอกหุ้มสายไฟและสายเคเบิล งานเคลือบกระดาษ วัสดุอุดรอยรั่ว ขวดใส่สารเคมี อุปกรณ์ของรถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพราะมีความยืดหยุ่นสูง ทนสารเคมี และสามารถทนความร้อนได้ดี เป็นสัญลักษณ์สำหรับพลาสติกชนิดโพลีสเตียรีน  เป็นพลาสติกที่เหมาะสำหรับทำเป็น  โฟม  กล่อง  ถ้วย  และจาน  เนื่องจากง่ายต่อการขึ้นรูป  สามารถพิมพ์สีสันและลวดลายให้สวยงามได้

อ่านเพิ่มเติม >