ฉบับที่ 147 กินดิน

มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตบนดาวโลกที่กินอาหารด้วยแรงขับสองประการคือ สัญชาติญาณเพื่อการอยู่รอด ซึ่งกินอาหารเพราะต้องการสารอาหาร เพื่อคงไว้ซึ่งการทำงานของอวัยวะภายใน แต่แรงขับที่สองนั้นเป็นการกินเพราะความอยากคือ กินในสิ่งที่ต้องมีการไขว่คว้าหามา ไม่ว่าด้วยตนเองหรือใช้พลังเงิน ความจริงแล้วสัตว์ป่าเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะใหญ่เป็นช้างจนถึงเล็กเป็นนกก็มีการกินอาหารบางอย่างที่ดูไม่ได้เป็นอาหารปรกติ จนเหมือนเป็นการกินเพื่อความบันเทิง เช่น การกินดินโป่ง เพื่อให้ได้สารอาหารสำคัญที่สัตว์ป่าต้องการแต่มีน้อยในอาหารปรกติคือ เกลือ ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบสรีรวิทยาของร่างกายสัตว์หลายชนิด ดินโป่งของสัตว์ป่านั้น ในวิกิพีเดีย (ไทย) อธิบายว่า เป็นแหล่งดินที่มีรสเค็มและละเอียด ซึ่งเกิดจากแร่ธาตุบางชนิด เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แร่ธาตุในโป่งประกอบไปด้วย โซเดียม แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส และสังกะสี ซึ่งเป็นที่ต้องการของกระดูกและกล้ามเนื้อ แร่ธาตุเหล่านี้เป็นสิ่ง ซึ่งสัตว์ไม่สามารถหาทดแทนได้จากพืช ดังนั้นโป่งจึงเป็นแหล่งแร่ธาตุสำหรับสัตว์ป่าซึ่งกินพืชเป็นอาหาร ส่วนใหญ่พบโป่งได้มากในป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และ ป่าดงดิบ จากมากไปน้อยตามลำดับ จะเห็นว่าการกินดินของสัตว์ป่านั้นเป็นการกินตามสัญชาติญาณ เพื่อทำให้ระบบภายในร่างกายมีการทำงานได้ตามปรกติ ดังนั้นการนำสัตว์ป่ามาเลี้ยงในเมืองโดยขาดความรู้เรื่องโภชนาการของอาหารสัตว์ป่านั้น จึงเป็นการทำร้ายสัตว์เพื่อความบันเทิงของมนุษย์โดยแท้   ท่านผู้อ่านที่มีอายุมากหน่อยคงเคยได้รับข่าวสารว่า คนไทยนั้นก็มีการกินดินกันมานานแล้ว นัยว่าเพื่อสนองความเปรี้ยวปาก เช่น คนเชียงใหม่เรียกดินที่นำมากินกันนั้นว่า “อิด หรือ อิบ” โดยเลือกดินเหนียวที่อยู่ลึกจากผิวดินประมาณ 2 เมตร อาจได้จากการขุดบ่อน้ำ แล้วนำดินนั้นมาหั่นเป็นแผ่นบางๆขนาดฝ่ามือแล้วผึ่งให้แห้ง การกินนั้นอาจเป็นเพราะความชอบกลิ่นรสโดยส่วนตัว หรือในช่วงการแพ้ท้องซึ่งมักต้องการกินอะไรบางอย่างที่ต่างไปจากพฤติกรรมการกินปรกติ รายละเอียดเรื่องนี้สามารถไปดูได้ที่ http://www.gotoknow.org/posts/130370 ส่วนที่เป็นข่าวในระบบสื่อสารมวลชนของไทยนั้นก็มีในราวปี 2528 ที่มีการทำข่าวว่า เด็กในอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ ยากจนอดอยากจนต้องกินดินต่างข้าว ซึ่งสุดท้ายแล้วต้องมีการเฉลยกันว่า การกินดินของเด็กนั้นเป็นเรื่องปรกติของเด็กที่มีความอยากเฉพาะตัว ไม่ได้อดอยากไม่มีอะไรกินจนถึงกับต้องขุดดินกิน ที่สำคัญเรื่องของการกินดินนั้นสามารถค้นหาข้อมูลดูได้จากระบบอินเตอร์เน็ทซึ่งมีผู้ลงข้อมูลว่า การกินดินนั้นมีอยู่ทั่วโลก การกินดินเพราะแพ้ท้องนั้น มีปรากฏในวรรณคดีที่ผู้เขียนเรียนในสมัยเรียนชั้นมัธยมศึกษาคือ ในหนังสือเรื่องราชาธิราชมีเรื่องเล่า กล่าวถึงมเหสีของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ซึ่งเป็นพม่าเจ้าเมืองอังวะทรงอยากเสวยดินเพราะแพ้ท้อง การที่อยากกินของแปลกนี้เนื่องมาจากพระราชโอรสที่เกิดในพระครรภ์นั้น ชาติก่อนคือ พ่อลาวแก่นท้าว เคยมีความแค้นเคืองกับพระเจ้าราชาธิราชเจ้ามอญแห่งเมืองหงสาวดี (ซึ่งเป็นทั้งพระราชบิดาและศัตรูของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องซึ่งเป็นพระราชบิดาในชาติต่อมา) ดังนั้นก่อนตายพ่อลาวแก่นท้าว จึงอธิษฐานต่อพระธาตุมุเตาว่า เกิดมาชาติหน้าจะขอแก้แค้นให้สำเร็จ แล้วด้วยความแค้นจัดเลยเผลออธิษฐานเรื่องที่กำหนดให้พระราชมารดาอยากกินดินกลางเมืองหงสาวดีด้วย แต่คงอธิษฐานดังไปหน่อย พระเจ้าหงสาวดีทรงทราบเลยทรงอธิษฐานเกทับเลยว่า ขอให้พระองค์ชนะต่อศัตรูซึ่งเคยเป็นลูกตลอดไป ดังนั้นพอทางพระเจ้าฝรั่งมังฆ้องส่งทูตไปขอดิน ทางพระเจ้าหงสาวดีเลยส่งดินที่ขุดจากส้วมกลางเมืองหงสาวดีไปให้เป็นของขวัญกินเล่น เด็กที่ออกมาเมื่อโตขึ้นเป็นมังรายกะยอชวารบทุกครั้งก็แพ้ทุกคราว นิยายเรื่องนี้สอนว่า เวลาอธิษฐานอะไร ต้องกล่าวในใจมิเช่นนั้นจะมีคนอธิษฐานแบบเกทับเราได้ มูลเหตุที่ผู้เขียนสนใจหาเกร็ดความรู้เรื่องการกินดินมาเล่าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านนั้น เพราะวันหนึ่งได้ดูข่าวทั้งทางโทรทัศน์และหน้าเว็บไซต์กล่าวถึง ร้านอาหารญี่ปุ่น แหวกแนวนำ "ดิน" มาทำอาหาร โดยพ่อครัวของร้านอาหารชื่อ โทชิโอะ ทานาเบะ ซึ่งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เคยทำอาหารฝรั่งเศสอยู่ถึง 20 ปีแล้วคงไม่รุ่งพอ จึงทดลองนำดินมาทำเป็นอาหารบริการลูกค้าที่ชอบของแปลก โดยพ่อครัวนายนี้ยืนยันว่า อาหารที่ทำมาจากดินมีประโยชน์มากมาย (แต่ไม่ได้บอกว่าใครยืนยันว่าประโยชน์นั้นเป็นจริง) ต่อคำถามว่าดินนั้นเอามาจากไหน พ่อครัวนายนี้กล่าวว่า ดินที่ทำเป็นอาหารได้นั้นต้องเป็นดินที่สะอาด และไม่มีสารเคมีปนเปื้อน โดยเขาได้เดินทางไปหาดินมาทำอาหารในหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นตามภูเขา แต่ท้ายที่สุดก็พบว่า ดินที่ใช้ได้จริงๆ คือ ดินที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวดินจากเมืองคานุมะในจังหวัดโทชิกิ ซึ่งเป็นดินในระดับลึกจึงจะสะอาดพอที่จะสามารถนำมาใช้ทำอาหารได้ โดยเขามีตัวแทนคอยจัดหาดินสะอาดให้ทางร้านทุกวัน วันละ 1 กิโลกรัม เขาจึงมั่นใจได้ว่าดินที่ได้มาสะอาดไม่เป็นอันตรายต่อการบริโภค เมื่อได้ดินมาแล้วพ่อครัวท่านนี้จะจัดแจงร่อนดินเอาเศษทราย เศษหินแยกออกมา จากนั้นจึงนำดินมาเป็นส่วนผสม ตั้งแต่ในน้ำซุป นำมาผสมในอาหาร และปิดท้ายด้วยการราดดินบนเชอร์เบท สำหรับอาหารจานเด็ดของเขาคือ มันฝรั่งบดปั้นเป็นก้อนกลม มีเห็ดทรัฟเฟิลอยู่ตรงกลาง แล้วราดด้วยดิน   จากการพิเคราะห์คำอธิบายของพ่อครัวท่านนั้นแล้ว ไม่พบว่าตัวแทนจัดหาดินของเขาเคยเอาดินไปทำการตรวจวิเคราะห์เลยว่าดินมีสารพิษหรือไม่แต่อย่างไร   ถ้าท่านผู้อ่านลองใช้ Google หาข้อมูลเกี่ยวกับสารพิษในดินแล้ว จะพบข้อมูลที่น่าตกใจว่ามันมีมากมายมหาศาล โดยบางครั้งสารพิษก็สามารถซึมเข้าไปสะสมอยู่ในพืชเช่น กรณีสารหนูจากดินสะสมในพืชผักผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ ทั้งที่พืชและสัตว์นั้นต่างก็มีกระบวนการกำจัดสารพิษของตนเองแต่ก็ยังตกค้างก่อพิษร้ายให้มนุษย์ซึ่งเป็นโซ่ข้อสุดท้ายของห่วงโซ่อาหาร   ดังนั้นท่านผู้บริโภคผู้ใดที่ได้รับข่าวการนำดินมาปรุงอาหารของพ่อครัวชาวญี่ปุ่นนี้แล้ว พึงตั้งสติระลึกให้ได้ว่า คนญี่ปุ่นนั้นมีความละเมียดละไม พิถีพิถันในการสรรหาของกินหลายอย่างที่ชวนให้เกิดอาการสวิงสวายของลำไส้ เช่น การกินปลาปักเป้าดิบรวมทั้งสัตว์ทะเลไม่สุกอีกหลายเมนู   ท้ายที่สุดแล้ว ผู้บริโภคซึ่งมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนดีอยู่ คงตั้งอยู่บนความเป็นอยู่ที่พอเพียง เมื่อหิวก็กินอาหารเพียงเพื่อความอยู่รอดของชีวิต เพื่อประกอบกรรมดีต่อสังคม ไม่ใช่มีชีวิตที่ตั้งหลักแต่จะกินเพื่อความสำราญของชีวิตที่เกิดมาครั้งหนึ่ง โดยปราศจากคำสรรเสริญจากผู้อื่นเมื่อจากโลกนี้ไปเพราะประกอบแต่กรรมชั่วเช่น กินหิน กินปูน กินทราย กินเหล็กเส้น เป็นต้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point