ฉบับที่ 146 กลูตาไธโอน คืออะไร ตอนที่ 2 : ยาฉีด ยากิน และยาทา

  ด้วยคุณประโยชน์มหัศจรรย์ของสารกลูตาไธโอน ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทำการสังเคราะห์สารกลูตาไธโอนเลียนแบบธรรมชาติที่ผลิตจากเซลล์ในร่างกายขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์ดังนี้   ข้อบ่งใช้ในทางการแพทย์ สารนี้ ในบางประเทศได้รับการรับรองให้ขึ้นเป็นทะเบียนยา และบางประเทศใช้เป็นอาหารเสริม แต่ในประเทศไทย สารชนิดนี้ยังไม่ผ่านการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. มีรายงานการนำสารกลูตาไธโอน มาใช้เป็นยารักษาโรคหลายกรณี เช่น เกี่ยวกับระบบเส้นประสาทบกพร่อง โรคพากินสัน โรคอัลไซเมอร์ หรือ โรคสมองเสื่อม โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งต่อมลูกหมาก ใช้รักษาภาวะการเป็นพิษจากโลหะหนัก พิษจากยาพาราเซ็ทตามอล ข้อมูลการใช้สารกลูตาไธโอน ในการรักษาฝ้า และทำให้ผิวขาวเปล่งปลั่งเหมือนมีแสงออร่า นั้น ยังไม่มีข้อมูลยืนยันทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นผลข้างเคียงจากการใช้สารนี้ที่ใช้รักษาโรคอื่นแล้วผิวขาวขึ้นชั่วคราวเท่านั้น เมื่ออาการข้างเคียงหายไป เม็ดสีที่ผิวหนังก็จะกลับเข้มขึ้นดังธรรมชาติเดิม   2. ประโยชน์การชะลอวัย เป็นยาอายุวัฒนะ การที่กลูตาไธโอนในร่างกายลดปริมาณลงในวัยสูงอายุ ซึ่งสามารถเป็นเหตุผลที่ทำให้คนสูงอายุมีความต้านทานต่อโรคต่างๆ น้อยลง ในทางตรงกันข้าม คนสูงอายุที่มีอายุยืนยาวและยังแข็งแรง มีสถิติพบว่าคนเหล่านั้นจะมีปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณ กลูตาไธโอนในร่างกายกับสุขภาพนั่นเอง หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่ากลูตาไธโอนมีส่วนสำคัญในขบวนการชะลอวัยของร่างกาย นักกีฬาและคนที่สุขภาพดีออกกำลังกายเป็นประจำ จะพบว่ามีปริมาณ กลูตาไธโอนค่อนข้างสูงอย่างสม่ำเสมอ มีสถิติทางการแพทย์ที่พบว่าอาการป่วยด้วยโรคต่างๆ เชื่อมโยงกับการที่ร่างกายขาดกลูตาไธโอน หรือ มีภาวะที่ร่างกายสังเคราะห์ กลูตาไธโอนได้ต่ำกว่าปกติที่ร่างกายควรได้รับ เช่น ภาวะโรคเอดส์ โรคมะเร็ง โรคปอด และในผู้ที่สูบบุหรี่จัด ผู้ที่มีกรรมพันธุ์เกี่ยวกับความบกพร่องของกลูตาไธโอนมักจะมีปัญหาโรคแทรกซ้อนทางระบบประสาท  กลไกสำคัญของกลูตาไธโอนในการต้านหรือชะลอวัยน่าจะมาจากคุณสมบัติของการมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระชนิดเข้มข้นที่สังเคราะห์ได้จากทุกเซลล์ในร่างกายโดยธรรมชาตินั่นเอง การรักษาระดับกลูตาไธโอนในร่างกายจึงสำคัญต่อการขบวนการชะลอวัย   ยาฉีด และ อันตรายที่เกิดจากการฉีดกลูตาไธโอน เนื่องจากตัวยากลูตาไธโอน มีความไม่คงตัวในกระแสเลือด สลายตัวได้ง่ายและรวดเร็ว ดังนั้นผู้ที่หวังผลในการรักษา จะต้องให้แพทย์ฉีดบ่อยๆหรือถี่ๆ เช่น ในกรณีของการฉีดเข้าเส้นเลือดดำเพื่อหวังผลให้ผิวขาว โดยมากแพทย์มักจะฉีดร่วมกับวิตามินซี หากฉีดในความเข้มข้นสูง และฉีดอาทิตย์ละ 2 ครั้ง นอกจากจะเสียเงินมากแล้ว ที่สำคัญ การฉีดในความเข้มข้นสูง อาจทำให้ช็อค ความดันต่ำ เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง กล้ามเนื้อสั่น ประสาทหลอน หายใจติดขัด หลอดลมตีบ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ และผู้ที่ได้รับยาฉีดนี้นานๆ เป็นประจำ อาจทำให้เม็ดสีที่จอตาลดลง ทำให้รับแสงได้น้อยลง เสี่ยงต่อการมองเห็นได้ในอนาคต ทางวารสารการแพทย์ในสหรัฐอเมริกา จึงจัดสารกลูตาไธโอนเป็นสารที่อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงทางสายตา   ยาเม็ดสำหรับกิน เนื่องจากโมเลกุลของกลูตาไธโอนมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะถูกดูดซึมในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหาร นอกจากนี้โมเลกุลของกลูตาไธโอนยังถูกสลายตัวได้ง่ายในทางเดินอาหารอีกด้วย เราจึงไม่สามารถรับประทานกลูตาไธโอนโดยตรงเป็นอาหารเสริมได้ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบยาเม็ด ยาแคปซูล หรือยาน้ำเชื่อม ดังนั้น หากผลิตภัณฑ์โฆษณาว่า เป็นยาเม็ดกลูตาไธโอน ของแท้ ผู้บริโภคไม่ควรเสียเงินซื้อมากิน เพราะไม่ได้ผลทำให้ผิวขาว หรือไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อร่างกาย ปัจจุบันที่พบทั่วไปในท้องตลาดเป็นยาเม็ดที่ อย. อนุญาตให้ขายเป็นอาหารเสริมนั้น ที่จริงเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์กลูตาไธโอน (Glutathione Precursors) คือ อะมิโนแอซิด เอ็นอะซิทิลซิสเตอีน (N-acetyl-cysteine) ซึ่งโมเลกุลชนิดนี้ จะสามารถถูกดูดซึมเข้าทางเดินอาหารได้ง่ายและรวดเร็ว และจะไปรวมตัวกับโปรตีนอีก 2 ชนิด คือ อะมิโนแอซิด ไกลซิน (Glycine) และ กลูตาเมท (Glutamate) ที่มีอยู่มากมายในกระแสเลือดจากอาหารที่รับประทานเข้าไป การรวมตัวของอะมิโนแอซิดทั้ง 3 ชนิด ก่อให้เกิดเป็นโมเลกุลกลูตาไธโอนในกระแสเลือด อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่ประสงค์จะกินอาหารเสริมชนิดนี้เป็นประจำ เพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มปริมาณกลูตาไธโอนในกระแสเลือด เพื่อเป็นยาอายุวัฒนะ ชะลอวัย และเพิ่มความแข็งแรงให้ร่างกาย หากรับประทานมากเกินไป อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียง เช่น มึนงง ปวดหัว ตาพล่ามัว และอาจมีสารตกค้าง ทำให้เป็นนิ่วที่ไต และกระเพาะปัสสาวะอีกด้วย ยาทาผิวหนัง สารกลูตาไธโอน เมื่อนำมาผสมในผลิตภัณฑ์ประเภทครีม หรือเจล สำหรับทาผิวหนัง เพื่อหวังให้ผิวขาวนั้น จะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ เพราะโมเลกุลสารนี้ค่อนข้างใหญ่ ไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้   เอกสารอ้างอิง 1, Lomaestro B, Malone M. Glutathione in health and disease. Pharmacotherapeutic Issues. Ann Pharmacother 29: 1263-73, 1995. 2, The importance of glutathione in human disease. Biomed Pharmacother. 2003 May-Jun; 57(3-4):145-55.

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 145 กลูตาไธโอน คืออะไร ตอนที่ 1: สารมหัศจรรย์ ต้านโรค ชะลอวัย

  กลูตาไธโอน (Glutathione) นับเป็นสารมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ร่างกายคนเราสามารถผลิตขึ้นเองโดยธรรมชาติ มีคุณอนันต์ต่อสุขภาพ ผู้ที่แข็งแรงและมีอายุยืนยาว จะสามารถตรวจพบสารกลูตาไธโอนในร่างกายในปริมาณสูง ตรงกันข้ามกับคนป่วยและผู้ที่สุขภาพไม่ดี จะพบว่าปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายต่ำมาก   เรามาทำความรู้จักกับสารชนิดนี้ให้เข้าใจมากขึ้น ทำอย่างไรให้ร่างกายสร้างกลูตาไธโอนได้เองมากๆ ให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง นอกจากจะช่วยชะลอวัยแล้ว ยังช่วยให้อายุยืนยาวอีกด้วย   สารกลูตาไธโอน คืออะไร เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่สำคัญ 3 ชนิดรวมตัวกันอยู่ คือ ซิสเตอิน (Cystein) ไกลซิน (Glycine) และ กลูตาเมท (Glutamate) เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายสามารถผลิตกลูตาไธโอนได้เอง และถูกผลิตมากที่สุดที่ตับ ปอด ไต ม้าม ตับอ่อน และเลนส์แก้วตา สารมหัศจรรย์นี้เป็นกุญแจสำคัญในการช่วยให้ร่างกายแข็งแรง หน้าที่สำคัญ 4 ประการคือ   1.สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย โดยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาวเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค ทั้งไวรัส แบคทีเรีย และสิ่งแปลกปลอมอื่นๆที่เข้าสู่ร่างกาย รวมทั้งเซลล์มะเร็ง   2.ทำหน้าที่กำจัดสารพิษที่ผ่านเข้าในร่างกาย โดยจะจับสารพิษที่ไม่ละลายน้ำให้เปลี่ยนเป็นสารที่ละลายน้ำ และกำจัดออกทางไตหรือทางลำไส้ ดังนั้นตับและไตซึ่งเป็นอวัยวะที่มีของเสียและสารพิษสะสมมากที่สุด จึงพบ กลูตาไธโอนถูกผลิตออกมามากที่สุด เพื่อทำหน้าที่กำจัดของเสียนั่นเอง ในทำนองเดียวกัน ปอด ก็พบกลูตาไธโอนในปริมาณสูง เพื่อกำจัดของเสียจากที่คนเราหายใจเอาฝุ่นละอองและควันพิษเข้าไปที่ปอดนั่นเอง   3. เป็นสารต้านอนุมูลอิสสระที่มีฤทธิ์แรงที่สุด ผลิตขึ้นเองโดยทุกเซลล์ในร่างกายโดยธรรมชาติ มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ปกป้องเซลล์ให้แข็งแรง ช่วยการไหลเวียนของระบบเลือด รักษาการทำงานของหัวใจและปอด ช่วยชะลออายุของเซลล์ทุกเซลล์ และชะลอความเสื่อมโทรมของร่างกายและของอวัยะวะทุกส่วน   4. ช่วยกระตุ้นการสร้างและซ่อมแซม ‘เซลล์และดีเอนเอ’ที่สึกหรอ นับเป็นกุญแจสำคัญในการสังเคราะห์โปรตีนและไขมัน กระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ นักวิจัยพบว่า เนื้อสมอง ระบบเส้นประสาท เต้านม และต่อมลูกหมาก มีองค์ประกอบส่วนมากเป็นไขมัน ดังนั้นจึงมีแนวโน้มเป็นแหล่งสะสมของสารพิษหรือสารที่ไม่ละลายน้ำแต่ละลายสะสมในไขมัน นักวิจัยตั้งของสังเกตว่า โอกาสการเกิดโรคความจำเสื่อม (Alzheimer) มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก พบเห็นมากขึ้นทั่วโลก เนื่องจากสารพิษจากสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่เป็นสารพิษที่ละลายสะสมในไขมันนั่นเอง   ออกซิเจนที่คนเราหายใจเข้าไปร่างกาย ประมาณ 2 % ของออกซิเจนที่หายใจเข้าไป จะถูกเปลี่ยน เป็นอนุมูลอิสระ หากอนุมูลอิสระนี้อยู่ในร่างกาย และไม่ถูกทำลาย จะส่งผลเสียอย่างมากต่อร่างกาย โดยอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจะไปทำลายผนังเซลล์ และทำให้ดีเอนเอของเซลล์ชำรุดเสียหาย ผลคือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะบกพร่อง อ่อนไหวต่อการเกิดโรคต่างๆ และแก่เร็ว   สิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี การกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อากาศเป็นพิษ ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง รังสียูวี เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารที่มีน้ำตาลสูง ควันบุหรี่ ยาเสพติด และ การบริโภคยารักษาโรคชนิดต่างๆ มากเกินไป ปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ก่อให้ร่างกายเกิดภาวะสะสมอนุมูลอิสระมากๆ   เพื่อต่อสู้กับอนุมูลอิสระที่สะสมจากปัจจัยต่างๆ ข้างต้น ร่างกายคนเราจะใช้สารต้านอนุมูลอิสระคือ ‘กลูตาไธโอน’ ที่ทุกเซลล์ผลิตขึ้นเองโดยธรรมชาติ ในการต่อต้านทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น หากมีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นมากและตลอดเวลา เซลล์ทุกเซลล์ต้องทำงานหนักเพื่อผลิตกลูตาไธโอน มาจับและล้างอนุมูลอิสระให้หมดไปหรือให้เหลือน้อยที่สุด   กลูตาไธโอน คือ สารต้านอนุมูลอิสระ ที่ถูกสร้างและใช้มากที่สุดในร่างกาย นับเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องสายตาของคนเรา ช่วยเปลี่ยนแป้งที่สะสมในร่างกายให้เป็นพลังงาน และป้องกันการสะสมของไขมันซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นโรคหัวใจ กลูตาไธโอนทำหน้าที่ปกป้องทุกเซลล์ของร่างกาย แต่เมื่ออายุมากขึ้น ปริมาณกลูตาไธโอน ในร่างกายจะลดน้อยลง หรือถูกผลิตขึ้นช้าลงและมีปริมาณน้อยลง คนเราเมื่อย่างเข้าอายุ 20 ปี ปริมาณกลูตาไธโอน ในร่างกายจะลดลงเฉลี่ย 8-12% ต่อ 10 ปี แต่หากร่างกายมีการบริโภคยาหรือเคมีมากเกินไป ปริมาณการลดลงของกลูตาไธโอนในร่างกายจะรวดเร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมเร็วก่อนวัย และโรคต่างๆ เข้าแทรกแซงได้ง่าย   เอกสารอ้างอิง The importance of glutathione in human disease. Biomed Pharmacother. 2003 May-Jun; 57(3-4):145-55.

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 144 ดูแลฟันไม่ให้เหลือง

หลายคนคงวิตกกังวลกับการที่ฟันกลายเป็นสีเหลือง น้ำตาล เทาหรือดำ จนทำให้คุณขาดความมั่นใจในการยิ้มหรือการพูดคุยกับคนรอบข้าง จึงจัดได้ว่าเป็นปัญหาทางด้านความงามอย่างหนึ่งในปัจจุบันนี้ ซึ่งเห็นได้จากโฆษณาตามสื่อต่างๆ และผลิตภัณฑ์รูปแบบต่างๆ ที่เกี่ยวกับการทำให้ฟันขาวหรือการฟอกฟันขาว มีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเราควรทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้สีของฟันเปลี่ยนไป รวมถึงข้อดีและข้อเสียของวิธีการต่างๆ ที่ช่วยทำให้ฟันขาวได้อย่างปลอดภัย   สาเหตุที่ทำให้มีการเปลี่ยนสีของฟัน   1. ฟันมีสีผิดปกติมาตั้งแต่เกิด เนื่องมาจาก การได้รับปริมาณฟลูออไรด์ในน้ำดื่มที่มากเกินไป  ทำให้มีจุดสีน้ำตาลบนฟัน ที่เรียกว่า ฟันตกกระหรืออาจเกิดจากการรับประทานยาปฏิชีวนะพวกเตตราซัยคลิน (Tetracycline) ในช่วงวัยเด็กที่มีการสร้างฟัน ซึ่งยาตัวนี้มีผลต่อสีของฟัน ทำให้ฟันมีสีค่อนข้างเหลืองหรือสีเทาดำ ที่เรียกว่า ฟันเตตรา   2. สีของฟันเปลี่ยนเนื่องมาจากสารพัดคราบมาติดที่ผิวฟัน เช่น คราบจากการดื่มชา กาแฟ ไวน์ น้ำอัดลม หรือ เครื่องดื่มที่มีสีเป็นประจำ คราบจากการรับประทานอาหารที่มีสีจัด คราบจากการสูบบุหรี่หรือใช้ยาสูบ และการสะสมของคราบแบคทีเรียหรือหินปูนที่เกิดจากการแปรงฟันที่ไม่สะอาดพอ   3. เกิดจากฟันผุ   4. เกิดจากฟันตายจากการที่ฟันได้รับอุบัติเหตุ ถูกกระทบกระแทกอย่างแรง หรือจากการรักษารากฟัน   5. โดยธรรมชาติสีของฟันจะคล้ำขึ้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น เพราะส่วนของเคลือบฟันที่บางลง จะทำให้สะท้อนสีส่วนของเนื้อฟันซึ่งอยู่ชั้นในและมีสีค่อนข้างเหลืองให้เห็นชัดขึ้น   วิธีทำให้ฟันขาว มีหลากหลายวิธี จึงควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสาเหตุและลักษณะของสีฟันที่ผิดปกติไปของคุณ   กรณีที่มีคราบติดที่ผิวฟัน สามารถทำได้ดังนี้ 1. ควรกินผักผลไม้สด เช่น แอปเปิ้ล เซเลอรี่ แพร์ แครอท เป็นต้น อาหารเหล่านี้จะช่วยทำให้ฟันดูขาวขึ้นตามธรรมชาติ ผักที่มีความกรุบกรอบ เช่น บรอคโคลี่ แตงกวา ผลมันฝรั่งหวานดิบ เป็นต้น จะช่วยลดคราบสีที่เกาะฟัน เพราะผักเหล่านี้จะช่วยขัดฟันของคุณในขณะเคี้ยว ส่วนสตรอเบอร์รี่และส้มก็จะช่วยฟอกสีฟันของคุณได้ เพราะผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มีคุณสมบัติเป็นกรดอ่อนๆ 2. หลังรับประทานอาหารทุกครั้งควรแปรงฟันและ/หรือบ้วนปากให้สะอาด รวมถึงการใช้ไหมขัดฟันร่วมด้วยเพื่อขจัดคราบต่างๆ ที่ติดตามซอกฟัน ซึ่งสามารถใช้ยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากสูตรช่วยเพิ่มความขาว (Whitening) ที่มีขายตามท้องตลาดก็ได้ 3. ถ้ามีการสะสมของคราบสีหรือหินปูนที่ผิวฟัน การขัดฟันหรือการขูดหินปูนโดยทันตแพทย์ ก็ช่วยให้ฟันกลับมาขาวสวยเหมือนเดิมได้   วิธีดังกล่าวข้างต้นจะช่วยทำให้ฟันดูขาวตามสีฟันธรรมชาติของคุณเท่านั้น แต่เป็นวิธีที่มีราคาถูกและปลอดภัย กรณีที่สีของฟันไม่เข้มมากเกินไป สามารถทำการฟอกฟันขาวได้ สารที่นิยมใช้ฟอกฟันขาวคือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen peroxide) และคาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์(Carbamide peroxide) โดยสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์จะมีฤทธิ์ค่อนข้างแรงและให้ผลข้างเคียงมากกว่า ดังนั้นการฟอกฟันขาวควรอยู่ภายใต้การดูแลของทันตแพทย์ และวิธีฟอกฟันขาวสามารถแบ่งออกเป็น 2 วิธีใหญ่ๆ ดังนี้ การฟอกฟันในคลินิกทันตกรรม จะทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีการใช้สารฟอกฟันขาวที่มีความเข้มข้นสูง (30-35%) และอาจเร่งปฏิกิริยาให้โมเลกุลของสารฟอกฟันนั้นแตกตัวได้เร็วขึ้นด้วยการใช้ความร้อนหรือแสงร่วมด้วย จึงทำให้ฟันขาวได้เร็วภายใน 1 ชั่วโมง การฟอกฟันเองที่บ้าน คือ ทันตแพทย์จะเตรียมถาดฟันยางที่ทำขึ้นมาเฉพาะบุคคลและสารฟอกฟันขาวที่มีความเข้มข้นต่ำกว่า (2-10%) ให้กับคนไข้ เพื่อให้คนไข้นำกลับไปทำเองที่บ้านได้ โดยคนไข้จะสวมถาดฟันยางนี้อย่างน้อยวันละ 4 ชั่วโมงเวลานอน หรือ จะใส่นอนตลอดทั้งคืนก็ได้ แล้วคนไข้ต้องกลับมาตรวจเป็นระยะตามที่ทันตแพทย์นัด เพื่อทำการปรับระยะเวลาที่ใช้ (ขึ้นอยู่กับสีและคราบคล้ำของฟัน) และความเข้มข้นของสารฟอกฟัน การฟอกฟันขาวถือว่ามีความปลอดภัยถ้าอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และไม่ทำให้ฟันถูกกัดกร่อนหรือเนื้อฟันบางลงแต่อย่างใด เนื่องจากวิธีนี้เป็นการให้น้ำยาฟอกฟันเข้าไปทำปฏิกิริยากับเม็ดสีที่เกาะอยู่ในผิวเคลือบฟันและในเนื้อฟัน ทำให้เม็ดสีนั้นมีสีจางลง ฟันจึงดูขาวขึ้น แต่วิธีนี้จะมีราคาค่อนข้างแพงและอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ เช่น มีอาการระคายเคืองเหงือก หรือ เนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก เนื่องจากน้ำยาฟอกฟันไปสัมผัสโดยตรงกับเนื้อเยื่อเหล่านั้น และมีอาการเสียวฟันซึ่งอาการก็จะค่อย ๆ ทุเลาลงและหายไปเมื่อหยุดฟอกฟัน ดังนั้นจึงไม่แนะนำ​ให้​คน​ไข้​ฟอก​​ฟัน​ด้วยการ​ไปซื้อ​ผลิต​ภัณฑ์​ที่​มี​ขาย​ตาม​เคาน์เตอร์​ใน​ท้อง​ตลาด​มาท​ำ​เอง​โดย​ไม่​ได้​ปรึกษา​ทันตแพทย์ก่อน​​​ ​เนื่องจากปัญหา​ฟัน​สี​คล้ำ​ที่​คน​ไข้​มี​อาจ​ไม่​ได้​รับ​การ​แก้​ไข​ให้​ตรง​จุด​ ​และถาดฟอกฟันที่ขายมักไม่แนบพอดีกับเหงือกและฟันของแต่ละบุคคล จึงทำให้มี​โอกาส​เกิดการ​ระคาย​เคืองต่อ​เหงือกและเกิด​อาการ​เสียว​ฟัน​ได้​มาก​กว่า​วิธี​ที่​ทำ​ภาย​ใต้​คำ​แนะ​นำ​ของ​ทันตแพทย์​ นอกจากนี้ การฟอกฟันขาวไม่แนะนำให้ทำในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร และผู้ที่แพ้สารพวกเปอร์ออกไซด์ อีกทั้งการฟอกฟันขาวไม่สามารถเปลี่ยนสีของวัสดุอุดฟัน ครอบฟัน หรือฟันปลอมได้ กรณีที่สีของฟันเข้มมาก เช่น ฟันเตตรา และฟันตายมักไม่ตอบสนองต่อน้ำยาฟอกฟันขาว ดังนั้นการปรับเปลี่ยนสีของฟันให้ขาวอาจทำโดยการเคลือบฟันด้วยวัสดุอุดสีขาวหรือสีเหมือนฟัน หรือโดยการทำครอบฟันซึ่งทันตแพทย์จะกรอแต่งผิวเคลือบฟันออกทั้งซี่ให้เหลือเป็นแกน แล้วทำฟันปลอมครอบทับลงไป ติดแน่นด้วยซีเมนต์ทันตกรรม ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้ก็จะทำให้ฟันขาวค่อนข้างถาวรกว่าการฟอกฟัน แต่ก็มีราคาที่แพงกว่าการฟอกฟันด้วยเช่นกัน   ไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีใดก็ตามในการทำให้ฟันของคุณขาว แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือ การดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันอยู่เสมอ รวมทั้งพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้ฟันมีสีคล้ำดังที่กล่าวไว้ข้างต้น เช่น หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ ไวน์ และ งดสูบบุหรี่ เป็นต้น แล้วคุณก็จะมีฟันที่ขาวสวยและแข็งแรงไปอีกนาน พร้อมเผยรอยยิ้มที่ขาวสดใสได้อย่างมั่นใจ   เอกสารอ้างอิง Siriraj E-Public Library. จะทำอย่างไรให้ฟันขาว. ตุลาคม 2553. (Access January 15, 2013, at http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=94) All women stalk. 5 simple tips for making your teeth whiter. (Access January 15, 2013, at http://health.allwomenstalk.com/simple-tips-for-making-your-teeth-whiter) สยามมีเดีย. Teeth whitening, การฟอกฟันขาว (ตอนที่ 2). เมษายน 2553. (Access January 15, 2013, at http://www.siammedia.org/articles/dental/20100402.php) เดลินิวส์. ฟอกสีฟันดีมั้ย. มิถุนายน 2552. (Access January 15, 2013, at http://www.dailynews.co.th/article/23866/26400)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 143 ข้อควรรู้เกี่ยวกับอาหารเสริม

  อาหารเสริม หรือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คือ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปของเม็ด เกล็ด ผง แคปซูล ของเหลว หรือในรูปลักษณ์อื่นๆ ที่ใช้รับประทานโดยตรงเพื่อเสริมการรับประทานอาหารหลักตามปกติ ในปัจจุบันมีอาหารเสริมมากมายหลากหลายชนิดตามท้องตลาดให้เลือกสรร มีทั้งเพื่อสุขภาพ เพื่อบำรุงสมอง เพื่อป้องกันโรคและ/หรือเพื่อความงาม หลายคนตัดสินใจเลือกซื้อมาบริโภคเพียงแค่ดูสรรพคุณข้างกล่อง คำโฆษณาชวนเชื่อ หรือ ราคาเท่านั้น จนอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจตามมา ดังนั้นเราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับคุณประโยชน์ โทษ วิธีรับประทาน และหลักการเลือกซื้ออาหารเสริมอย่างถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภคที่ควรได้รับ   ทำไมต้องมีอาหารเสริม? ถ้าเราสามารถรับประทานอาหารหลากหลายและครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย การรับประทานอาหารเสริมก็เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่ด้วยรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบและแข่งขันกันมากขึ้นในปัจจุบัน จึงทำให้การรับประทานอาหารเป็นแบบประทังความหิวมากกว่าการคำนึงถึงเรื่องสุขภาพร่างกายและผิวพรรณ อีกทั้งอาหารที่รับประทานส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารจานด่วน อาหารห่อถุงพลาสติก หรือรับประทานอาหารซ้ำๆ ก็อาจส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหารบางชนิดได้และเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นอกจากนี้ การใช้ชีวิตท่ามกลางมลพิษต่างๆ ส่งผลให้ภูมิต้านทานโรคลดลง ทำให้สุขภาพร่างกายอ่อนแอและทรุดโทรมลง รวมถึงผู้ที่ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน เช่น ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด ผู้ป่วย และผู้สูงอายุ เป็นต้น ดังนั้นอาหารเสริมจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่จำเป็นเพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดี แต่ไม่ใช่อาหารที่สามารถรับประทานแทนมื้อหลักได้   คุณประโยชน์ โทษ และวิธีรับประทานอาหารเสริม ประโยชน์ของอาหารเสริม ได้แก่ ช่วยให้ร่างกายได้รับโภชนาการที่เหมาะสมเพื่อเสริมสร้างความสมดุลและความแข็งแรงให้แก่ร่างกายและผิวพรรณ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ช่วยบรรเทาหรือรักษาโรคบางชนิดได้ เช่น น้ำมันตับปลาค็อด (Cod liver oil) ช่วยบรรเทาอาการโรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น หรือช่วยป้องกันการเกิดโรค เช่น แคลเซียมและวิตามินดีจะช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุได้ แต่การรับประทานอาหารเสริมเกินขนาดที่ระบุไว้ รับประทานอาหารเสริมหลายชนิดร่วมกัน หรือรับประทานอาหารเสริมติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้ได้รับวิตามินหรือแร่ธาตุบางชนิดที่มากเกินความต้องการของร่างกาย โดยเฉพาะถ้าได้รับกลุ่มวิตามินที่ละลายในไขมัน (วิตามินเอ ดี อี เค) เกินขนาด จะทำให้กำจัดออกจากร่างกายได้ยาก และอาจส่งผลต่อการทำงานของตับหรือไตได้ เช่น ถ้าได้รับวิตามินเอมากเกินไป ทำให้เกิดม้ามและตับโต เป็นต้น   นอกจากนี้ มีการกำหนดปริมาณมาตรฐานของสารอาหารที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน เพื่อความปลอดภัยสำหรับประชาชนในการรับประทานวิตามินและเกลือแร่แต่ละชนิดว่าเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งมีชื่อย่อว่า RDA (Recommended Daily Dietary Allowances) โดยเราสามารถพบเห็นค่าเหล่านี้ได้ตามฉลากโภชนาการที่แปะอยู่ตามผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ ทำให้เราทราบได้ว่าเราได้รับสารอาหารนั้นๆ อย่างเพียงพอในแต่ละวันหรือไม่ และควรเลือกอาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของสารอาหารที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวัน (RDA) อย่างน้อย 100% ส่วนวิธีรับประทานอาหารเสริมให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรรับประทานอาหารเสริมตอนเช้าจะดีที่สุด และควรทิ้งช่วงให้ห่างจากการดื่มชา หรือกาแฟอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพราะคาเฟอีนจะขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารบางชนิดได้ ส่วนช่วงเวลาดีที่สุดในการทานอาหารเสริมคือทานพร้อมอาหาร เนื่องจากจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น   อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมบางชนิด เช่น กรดอะมิโนควรรับประทานก่อนอาหาร ดังนั้นควรอ่านฉลากให้แน่ชัดก่อนรับประทานอาหารเสริม สำหรับวิตามินที่ละลายในไขมัน ควรรับประทานกับอาหารที่มีไขมันปนอยู่ด้วย เพื่อที่ไขมันจะได้เป็นตัวพาวิตามินเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น   หลักการเลือกซื้ออาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ผลิตหรือนำเข้ามาเพื่อจำหน่ายต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อประเมินความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ก่อน ฉลากต้องมีการแสดงข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งประกอบด้วย ชื่อสารสำคัญ/ส่วนประกอบและปริมาณ เลขสารบบอาหารในเครื่องหมาย อย. ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน วิธีรับประทาน ประโยชน์ ผลข้างเคียง คำเตือน วันเดือนปีที่ผลิต หรือหมดอายุ ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิต ผู้แบ่งบรรจุ หรือผู้นำเข้า รวมทั้งแหล่งผลิตต้องได้รับมาตรฐาน อ่านข้อมูลของผลิตภัณฑ์จากฉลากที่ได้รับอนุญาต และไม่ควรเชื่อข้อมูลจากการโฆษณาของผู้จำหน่ายที่นอกเหนือจากที่ระบุในฉลาก อาหารเสริมนั้นต้องมีข้อมูลวิจัยและข้อมูลทางวิชาการรองรับ ก่อนการตัดสินใจ ควรคำนึงถึงความต้องการของร่างกายและเงื่อนไขทางด้านสุขภาพของแต่ละบุคคลด้วย เช่น หากร่างกายอ่อนแอหรือเป็นหวัดง่าย ก็ควรเลือกรับประทานอาหารเสริมที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ได้แก่ วิตามินซี หรือรังนก เป็นต้น ข้อควรระวัง หรือ ข้อห้ามใช้อาหารเสริม สำหรับผู้ที่กินยาเป็นประจำ หรือ มีโรคประจำตัว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้อาหารเสริม เพราะโรคประจำตัวบางโรคเป็นข้อห้ามใช้กับอาหารเสริมบางชนิด หรือ ต้องระมัดระวังการใช้เป็นพิเศษ สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะอาจส่งผลถึงทารกได้ ควรรับประทานอาหารเสริมในปริมาณที่กำหนดไว้บนฉลาก และไม่ควรทานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมส่วนใหญ่ได้มาจากธรรมชาติ แต่อาจทำให้เกิดการแพ้ หรือ มีผลข้างเคียงได้ เอกสารอ้างอิง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร. พฤศจิกายน 2554. (http://newsser.fda.moph.go.th/food/file/BenefitCustomer/11supplement.pdf) Health. กินวิตามินอย่างไรให้ได้ประโยชน์. 2555. (Access December 14, 2012, at http://health.kapook.com/view10770.html)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 142 รอยแผลเป็น

เมื่อมีบาดแผลหรือการฉีกขาดของเนื้อเยื่อของผิวหนัง ร่างกายจะเริ่มกระบวนการสมานแผลหรือซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเนื้อเยื่อที่ฉีกขาด ซึ่งผลที่ออกมาจะไม่เรียบเนียนเหมือนเก่า แต่อาจทิ้งรอยนูนหรือหลุมไว้เป็นหลักฐานที่ผิว ที่เรียกว่า แผลเป็น แผลเป็นจะหนักเบาขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือ ความรุนแรงของบาดแผล ถ้าเป็นแผลเล็กๆ น้อยๆ แค่ระดับผิวชั้นหนังกำพร้าเมื่อแผลหาย อาจไม่เหลือรอยแผลเลย แต่ถ้าแผลลงลึกไปถึงชั้นหนังแท้หรือกล้ามเนื้อ กระดูก ร่องรอยของแผลเป็นก็จะยิ่งชัดเจน ซึ่งถ้าเกิดในบริเวณนอกร่มผ้าจะสร้างความกังวลให้กับคนที่รักสวยรักงามเป็นพิเศษ ชนิดของแผลเป็นรอยแผลเป็นมีมากมายหลายชนิด แต่ที่เป็นปัญหาหลักๆ จะมี 2 ชนิดใหญ่ ดังนี้1.รอยแผลเป็นนูนหนา (Hypertrophic scar) คือ แผลเป็นที่มีสีแดงและนูนขึ้นมาจากผิวหนังปกติ แต่ ไม่กินวงกว้างไปจากรอยแผลเดิม ส่วนที่นูนขึ้นมาเกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินไปของร่างกาย   2.คีลอยด์ (Keloid) คือ แผลเป็นที่มีอาการนูนและแดงคล้ายกับรอยแผลเป็นนูนหนา แต่มีความ ผิดปกติทำให้เกิดการขยายตัวกว้างขึ้นเข้าสู่เนื้อเยื่อรอบๆ รอยโรคของแผลตอนแรกเริ่ม การรักษารอยแผลเป็นในท้องตลาดมีสารพัดครีม สารพัดยา ออกมาวางขายกันมากมาย ก็มีทั้งที่ได้ผลและไม่ได้ผล แต่ในระดับที่เป็นที่ยอมรับมีดังต่อไปนี้ 1.แผ่นเจลซิลิโคน (silicone gel sheet) เป็นแผ่นซิลิโคนใสที่เหมาะสำหรับแผลเป็นที่มีสีแดงหรือสีคล้ำหรือนูน เคยมีรายงานการใช้แผ่นเจลซิลิโคนรักษาแผลแล้วพบว่า จะช่วยให้สีของแผลจางลงและแผลแบนราบลงได้ 2. การฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Intra lesional corticosteroid) การฉีดยาสเตียรอยด์ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะศัลยแพทย์ตกแต่ง ซึ่งจะฉีดยาสเตียรอยด์นี้เข้าใต้ตำแหน่งของแผลเป็น จะช่วยให้แผลเป็นนั้นนุ่มลงและแบนราบลงได้ หรืออาจเป็นการใช้ยาทาสเตียรอยด์ทาบริเวณแผลเป็น จะช่วยบรรเทาอาการคัน ตึง ปวด เพื่อไม่ให้ลุกลามขึ้น แต่ไม่ช่วยให้แผลเป็นหรือคีลอยด์ยุบลงได้ 3. การผ่าตัด การผ่าตัดจะช่วยจัดตำแหน่งร่องรอยแผลเป็นให้ดูดีขึ้นได้ แต่ทุกครั้งที่มีการผ่าตัดก็จะเกิดแผลเป็นใหม่แทนที่แผลเป็นเก่าเสมอ การผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์ได้ผลดีพอสมควร แต่ยังขึ้นอยู่กับขนาดของแผลเป็นด้วย 4.การใช้สารเคมีในการรักษา ตัวอย่างสารที่นำมาใช้ในการรักษาแผลเป็น มีดังนี้ : วิตามิน ได้แก่ วิตามินเอ หรือ retinoic acid นิยมใช้สำหรับแผลเป็นชนิดที่เป็นหลุม โดยไปกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ และทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นหนังกำพร้าหนาตัวขึ้น จะให้ผลดีกับแผลเป็นชนิดตื้นๆ และค่อนข้างใหม่ วิตามินอี มีรายงานกล่าวอ้างว่า วิตามินอี ช่วยเร่งให้แผลหายเร็วขึ้น ซึ่งแพทย์บางคนแนะนำให้ใช้ แต่ก็มีรายงานการศึกษาเปรียบเทียบขี้ผึ้งวิตามินอีกับยาหลอกแล้วพบว่า ขี้ผึ้งวิตามินอีไม่ช่วยให้แผลเป็นดีขึ้นแตกต่างจากยาหลอก อีกทั้งมีรายงานการเกิดผื่นแพ้สัมผัสจากขี้ผึ้งวิตามินอีด้วย สารที่มีฤทธิ์ลอกผิว (chemical peeling) สารที่ใช้ในการลอกผิวมีหลายชนิดและมีการพัฒนาตามลำดับ เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดและเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด ตัวอย่างของสารเคมีที่นิยมใช้ ได้แก่ sulfur, resorcinol, alpha hydroxy acid 30-70%, betahydroxy acid 10-30%, trichloracetic acid 20-90% และ phenol peel เป็นต้น สารแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยแตกต่างกัน สารที่มีความเข้มข้นต่ำทำให้มีการลอกผิวในชั้นตื้นๆ ส่วนสารที่มีความเข้มข้นสูงหรือ phenol ทำให้มีการลอกผิวในชั้นลึก ซึ่งให้ผลการรักษาที่ดีกว่า แต่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงมากขึ้น จึงควรใช้โดยผู้มีประสบการณ์เท่านั้น   สารสกัดจากสมุนไพร มีการค้นหาสมุนไพรสำหรับรักษาแผลเป็น ซึ่งที่กำลังแรงในปัจจุบันคือ บัวบก (Centella asiatica (Linn.) Urban) และ หอมหัวใหญ่ (Allium ascalonicum Linn.) โดยสารสำคัญที่ออกฤทธิ์รักษาแผลเป็นในบัวบก คือ asiaticoside, asiatic aicd และ madecassic acids  สารสำคัญเหล่านี้จะช่วยกันออกฤทธิ์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและ glycoaminoglycan ซึ่งมีผลต่อการสร้างเนื้อเยื่อ  นอกจากนี้ยังสามารถยับยั้งกระบวนการการเกิดแผลเป็นชนิดนูนด้วย ส่วนสารสำคัญที่ออกฤทธิ์รักษาแผลเป็นในหอมหัวใหญ่คือ quercetin ซึ่งเป็นสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ยับยั้ง proliferation ของไฟโบรบลาสและยับยั้งการสร้างคอลลาเจนด้วย สามารถยับยั้งกระบวนการการเกิดแผลเป็นชนิดนูนด้วยเช่นกัน ------------------------------------------------------------------------------------------------- ปล่อยให้แผลเป็นจางลงเองตามธรรมชาติ ร่างกายคนเราเยี่ยมที่สุดแล้ว แผลเป็นเล็กๆ น้อยๆ ใช้เวลาไม่นานลืมๆ ไปบ้าง แผลก็จะดูจางลงไปเอง ดังนั้นเวลาคุณไปขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้ชำนาญการหรือศัลยแพทย์ตกแต่ง หลายท่านจะแนะนำให้ทิ้งรอยแผลนั้นไว้เฉยๆ เสียก่อนเป็นเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี จนแผลเป็นเดิมๆ ที่มีอยู่ ค่อยๆ จางลงไปเรื่อยๆ จนเต็มที่ ถ้าร่องรอยยังบาดใจ ก็ค่อยมาให้การรักษา

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 141 รู้เท่าทัน การร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวหน้า

คนเราทุกคนอยากให้ตัวเองดูดีและอ่อนเยาว์อยู่เสมอ จึงทำให้เทคโนโลยีด้านเสริมความงามพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง หนึ่งในเทคนิคเหล่านั้นที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ก็คือ เทคนิคการร้อยไหมด้วยไหมละลาย ดังนั้นเราจึงควรรู้ถึงข้อเท็จจริง ข้อดีและข้อเสียของเทคนิคดังกล่าวก่อนที่จะตัดสินใจเลือกรับบริการ การร้อยไหม คือ เทคนิคที่นำมาใช้ช่วยยกกระชับ ฟื้นฟูสภาพผิว ลดเลือนริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้ดูเรียว  ด้วยไหมละลายโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศเกาหลี หลักการของเทคนิคนี้ คือ การใช้ไหมเส้นเล็กจำนวนมากมาร้อยเป็นเครือข่าย บริเวณใต้ผิวหนังที่ร้อยไหมเข้าไปจะถูกกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทำให้เกิดการสร้างเส้นเลือดใหม่ มีผลทำให้เกิดการกระตุ้นเซลล์ที่มีหน้าที่สร้างเส้นใยคอลลาเจน ให้สร้างคอลลาเจนใหม่มาพันรอบแนวเส้นไหม มีผลให้เกิดการดึงรั้งผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าเต่งตึงและกระชับ พร้อมทั้งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตมาเลี้ยงชั้นผิวหนังเพิ่มขึ้นด้วย   ชนิดของเส้นไหมและอายุของผู้ที่จะเข้ารับบริการ ไหมชนิดที่นิยมใช้กันมากทำมาจากโพลีไดอ๊อกซาโนน (polydioxanone หรือ PDO) ซึ่งเป็นไหมที่นำมาใช้ในการทำศัลยกรรมเย็บเส้นเลือดหัวใจ ซึ่งมีโอกาสแพ้น้อยมาก ไม่มีปฏิกิริยาต่อผิวหนัง ผ่านการรับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งในและต่างประเทศ และสามารถสลายตัวได้เองภายใน 6-7 เดือน การร้อยไหมแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 39-50 ปี และผู้ที่มีปัญหาการบกพร่องของผิวโดยที่ไม่มีเนื้อเยื่อยุบตัวมากเกินไป ถ้าอายุมากและมีผิวหย่อนคล้อยประกอบกับมีการยุบตัวของผิว การร้อยไหมอย่างเดียวอาจช่วยไม่ได้ต้องใช้วิธีอย่างอื่นร่วมด้วย สำหรับผู้ที่มีอายุน้อยยังไม่พบการหย่อนคล้อยจะได้ผลในแง่ของการปรับรูปหน้ามากกว่า โดยเฉพาะคนที่อายุต่ำกว่า 25 ปีลงไปไม่ควรทำเพราะไม่คุ้มค่าเงินที่เสียไป หลักการร้อยไหม ผลข้างเคียง และข้อควรระวังหลังเข้ารับบริการ ก่อนทำแพทย์จะทายาชาร่วมกับฉีดยาชาในบางตำแหน่งก่อนร้อยไหม หลังจากนั้น แพทย์จะนำเส้นไหมที่อยู่ตรงปลายเข็มเข้าไปยึดตามเนื้อเยื่อผิว โดยจะใช้วิธีการร้อยเรียงเส้นไหมและแพทย์จะพิจารณาตามโครงหน้าของคนไข้เป็นหลักในเวลาเพียง 20-40 นาที ขณะทำจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย อาจพบรอยช้ำตามแนวรอยไหมได้บ้าง ร่วมกับอาการบวม แต่จะหายไปเองโดยไม่ต้องพักฟื้นภายใน 1-2 สัปดาห์ และจะเห็นผลชัดเจนในช่วงประมาณ 2 เดือนหลังร้อยไหม และอาจจะเห็นผลต่อเนื่องนานประมาณ 1-2 ปี หลังจากนี้ก็ต้องมาทำการร้อยไหมใหม่อีกครั้ง เนื่องจากการร้อยไหมละลายไม่ได้เย็บไหมไว้ด้านในชั้นผิวหนัง SMAS (Superficial Musculo Aponeurotic System) ซึ่งยู่ลึกกว่าผิวชั้นหนังแท้ จึงไม่อาจทำให้เกิดความแข็งแรงเทียบเท่าการผ่าตัดดึงหน้า   ข้อควรระวังหลังจากทำร้อยไหม คือ ไม่ควรทำเลเซอร์หรือหัตถการใดๆ กับใบหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ และไม่ควรนวดหน้าแรงๆ ในตำแหน่งที่ร้อยไหมประมาณ 2 เดือน นอกจากนี้ อาจจะมีการเกิดผิวหนังบวมแดง หรือ ตุ่มแดงตามแนวที่ร้อยไหมได้เนื่องจากเกิดการแพ้ไหมละลาย มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออันมาจากการใช้เข็มสอดเส้นไหมจำนวนมากเข้าไปที่ผิวหนัง เช่นเดียวกับการฉีดโบท๊อกซ์และฟิลเลอร์ และอาจทำให้เกิดรอยบุ๋มของผิวหนัง หรือ ผิวหนังทั้งสองข้างยกกระชับไม่เท่ากัน อีกทั้งคอลลาเจนที่ถูกกระตุ้นโดยไหมละลาย อาจเป็นคอลลาเจนชนิดเดียวกับที่พบในแผลเป็นลักษณะคล้ายพังผืด อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไหมละลายชนิด PDO จะได้การรับรองความปลอดภัยจาก อย. แต่นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยได้เปิดเผยว่า อย. ไม่อนุญาตหรือไม่รับรองวิธีการร้อยไหมเพื่อวัตถุประสงค์ของการกระชับผิว แต่อนุญาตให้ใช้ในการเย็บแผลเท่านั้น นอกจากนี้ การร้อยไหมเพื่อยกกระชับผิวยังไม่ได้รับการรับรองให้ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศในทวีปยุโรป เพราะยังไม่มีผลการศึกษาทางการแพทย์ที่แน่ชัดถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาว ดังนั้น ผู้ที่กำลังสนใจที่จะทำการร้อยไหมละลายเพื่อกระชับผิวหน้าควรพิจารณาไตร่ตรองให้ดีอีกครั้งถึงสิ่งที่จะได้มาว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือไม่ และไม่ว่าคุณจะเลือกวิธีเสริมความงามวิธีใดก็ตาม แต่สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือ การดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง จิตใจแจ่มใส ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เป็นต้น ก็ช่วยให้คุณสวย สดใส ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย โดยไม่ต้องเสียเงินมาก ไม่ต้องเจ็บตัว ถึงจะเรียกได้ว่าสวยอย่างฉลาดตัวจริง เอกสารอ้างอิง Cosmetic Surgery Today, Threadlift, 2012. (Access October 30, 2012, at http://www.cosmeticsurgerytoday.com/threadlift/) Dolphin Sutures, Information on Monofilament Polydioxanone Suture, 2012. (Access October 30, 2012, at http://www.dolphinsutures.com/information-on-polydioxanone.html) ไทยรัฐออนไลน์. แพทย์เผย อย. ไม่อนุญาตการร้อยไหมกระชับผิว. 30 ตุลาคม 2555. (Access October 30, 2012, at http://www.thairathco.th/content/edu/263402)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 140 การฉีดสารเติมเต็ม ‘ฟิลเลอร์’ อันตรายถึงตายหรือเสียโฉมตลอดชีวิต ?

ข่าวการตาย รวมทั้งความเสียโฉมของใบหน้าของผู้บริโภค ที่ได้รับการฉีดสารเติมเต็ม หรือ ‘ฟิลเลอร์’ มีให้เห็นถี่ขึ้นทุกวัน ความเสียหายนี้เกิดขึ้นไม่เฉพาะกับคลินิกแพทย์เถื่อน(ที่ไม่ใช่แพทย์ หรือเป็นหมอเถื่อน) และคลินิกแพทย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย(แพทย์ตัวจริง) เพราะการจับเข็มฉีดยา และฉีดสารเคมี(ไม่ว่าจะเป็นยาเพื่อการรักษาโรค หรือเพื่อความสวยงาม) เข้าร่างกายผ่านเส้นเลือดนั้น มีความเสี่ยงต่อร่างกายอยู่แล้วแม้ในคนที่มีสุขภาพแข็งแรงปกติ ก็อาจมีการแพ้สารเคมีตัวใดตัวหนึ่งอย่างรุนแรงจนอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตหรือเป็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิทราได้ ซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัยที่แพทย์จะทราบได้นั้นเป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องความสามารถและความชำนาญส่วนบุคคลของแพทย์ผู้ให้การรักษาอีกด้วย ดังนั้นหากจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการฉีดยาเข้าเส้นเพื่อรักษาโรคและรักษาชีวิตไว้ ก็สมควรต้องยอมรับการฉีดยาจากแพทย์ที่มีความชำนาญ แต่เรื่องที่ไม่สมควรต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง เช่น เพื่อความสวยงาม ผู้บริโภคควรจะพิจารณาให้รอบคอบ จำเป็นอย่างยิ่งต้องพิจารณาแพทย์เฉพาะทาง ที่ร่ำเรียนแพทย์และมีความชำนาญ อยากสวยแต่เห็นแก่ถูก ไปเลือกเอาหมอเถื่อน เป็นการคิดสั้นและทำร้ายตัวเองอย่างคาดไม่ถึง วิชาแพทย์นั้น อย่างที่ทราบกันทั่วไป เข้าเรียนก็ยาก เรียนจบก็ยาก ต้องมีความรู้ความสามารถจริงๆ เพราะรายละเอียดร่างกายมนุษย์มีมากมายทั้งระดับที่มองเห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และแม้แต่แพทย์เองก็ยังมีโอกาสผิดพลาดได้เช่นกัน อย่างที่เราเห็นข่าวในทีวีหรือหนังสือพิมพ์เป็นประจำ ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นแน่นอน   ฉบับนี้ขอนำ ‘การแถลงข่าว’ บางตอนจาก พล.ต.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย เมื่อวันอังคารที่ 25 กันยายน 2555 เรื่อง “อันตรายจากการฉีดสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์” ดังนี้ พล.ต.นพ.กฤษฎา ดวงอุไร นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายงานจากสมาชิกแพทย์ผิวหนังว่า มีผู้ที่ไปรับบริการฉีดสารเติมเต็ม หรือ ฟิลเลอร์ แล้วเกิดอาการแทรกซ้อนมาขอรับการรักษาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งอาการแทรกซ้อนไม่ร้ายแรง เช่น เขียวช้ำ เป็นจ้ำเลือด บวม หน้าไม่เท่ากัน แพ้เป็นผื่นแดง เป็นก้อน จนถึงรุนแรงขั้น ผิวหนังตาย ตามองไม่เห็น หรือถึงขั้นเสียชีวิต จึงอยากจะขอเตือนผู้ที่อยากมาฉีดสารเติมเต็ม โดยเฉพาะการฉีดเสริมดั้งจมูกหรือในส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ขอให้พิจารณาศึกษาหาข้อมูล ทั้งสถานที่ ที่จะรับบริการ ชนิดของสารที่แพทย์จะฉีดให้ และตัวแพทย์ที่ฉีดด้วย ถึงแม้ว่าผลข้างเคียงที่ร้ายแรงพบได้ไม่บ่อย แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีอันตรายมาก ดังนั้นทางสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ขอชี้แจงว่า แม้ว่าสารที่ฉีดได้มาตรฐานผ่านการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)  ใช้เครื่องมืออุปกรณ์การฉีดที่ได้มาตรฐาน แต่ผู้ที่ฉีดขาดความชำนาญ  หรือแม้กระทั่งผู้ที่มีความชำนาญฉีดถูกต้องตามหลักวิชาทุกประการ แต่ผู้รับบริการที่มีลักษณะทางกายวิภาคผิดไปจากที่ควร เช่น อาจได้รับอุบัติเหตุมีพังพืดหรือเคยเสริมจมูกมาแล้วหรือเป็นความแปรผันของเส้นเลือดที่แต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็อาจเป็นสาเหตุของผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ ด้าน นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า ปัญหาแทรกซ้อนภายหลังการฉีดสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์(Filler) เกิดขึ้นได้ จะเห็นได้ว่าเราสามารถใช้ Filler ฉีดเพื่อเติมเต็มให้แก่เนื้อเยื่อได้หลายๆ ส่วน อย่างไรก็ตามผู้ที่ทำการรักษาต้องเลือกชนิด และขนาดโมเลกุลของ Filler ให้เหมาะสมกับผิวหนังในแต่ละตำแหน่ง และควรใช้ Filler ที่มีคุณภาพมีความปลอดภัยสูงเพราะต้องฉีดเข้าไปในร่างกายของเรา และผลิตภัณฑ์ควรได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศไทยหรือสหรัฐอเมริกา มิฉะนั้นอาจเกิดผลข้างเคียงหรือาการแทรกซ้อนได้ เช่น 1.การเกิดผื่นแดงบริเวณที่ฉีด Filler เกิดจุดแดงหรือจ้ำเลือดอันเนื่องมาจากรอยเข็มที่ฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปได้เอง 2.เกิดรอยนูนมากเกินไปแก่ผิวหนังบริเวณที่ทำการรักษาเนื่องจากเลือกใช้ Filler ที่มีขนาดโมเลกุลไม่เหมาะสม หรือฉีดตื้นเกินไป เช่น ถ้าต้องการแก้ไขริ้วรอยตื้นๆที่อยู่บริเวณหางตา ควรเลือกใช้ Filler ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กๆ เพื่อมิให้เกิดรอยนูนบนผิว 3.เกิดปัญหาการเคลื่อนย้าย (migration) เช่น ฉีดดั้งจมูกแล้ว Filler เคลื่อนไหลไปที่ปลายจมูก ดังนั้นถ้าต้องการฉีด Filler เพื่อเสริมคางหรือจมูก ต้องเลือก Filler ที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ เพื่อให้ Filler ชนิดนั้นมีความหนืดเพิ่มมากขึ้น ช่วยลดปัญหาการเคลื่อนย้ายจากบริเวณที่ฉีด และทำให้มีอายุใช้งานได้ยาวนานขึ้นอีกด้วย 4.อาการแพ้สาร Filler ที่ให้ลักษณะเป็นก้อนนูนแดงอักเสบ อาการแพ้ชนิดนี้บางครั้งอาจพบได้ภายหลังการฉีด Filler ผ่านพ้นไปแล้วเป็นเวลาหลายๆ เดือนหรือเป็นปีๆ ทั้งนี้ขึ้นกับอายุใช้งานของ Filler ชนิดนั้นๆ และปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด คือ 5.การที่ฉีด Filler ผิดตำแหน่งโดยฉีดเข้าไปในหลอดเลือด อาจทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดได้ โดยพบผู้ที่ไปฉีดFiller แล้วเกิดตาบอด เนื่องมาจาก Filler ที่ฉีดเกิดไปอุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา มีผลทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ โดยที่ขณะนี้พบในประเทศไทยและต่างประเทศแล้ว นอกจากนี้เมื่อเข้าเส้นเลือดอาจทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นแผลเนื้อตายอีกด้วย ด้าน ผศ.นพ.ถนอม บรรณประเสริฐ หัวหน้าหน่วยศัลยศาสตร์ตกแต่งและเสริมสร้างใบหน้าภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า .....มีผู้ป่วยตาบอดจากการฉีดเสริมจมูกมากกว่าการฉีดที่บริเวณอื่นชัดเจน แสดงให้เห็นว่าบริเวณจมูกเป็นบริเวณที่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากมีแขนงหลอดเลือดจำนวนมาก ที่บริเวณจมูกที่เชื่อมต่อกับระบบหลอดเลือดของประสาทตาและสมองโดยตรง จึงขอให้หลีกเลี่ยงการเสริมจมูกด้วยวิธีนี้ เนื่องจากไม่คุ้มค่าความเสี่ยงตาบอดเพื่อแลกกับการทำให้จมูกโด่งเพียงชั่วคราว แม้แต่ฟิลเลอร์ที่ อย. รับรองก็อาจเกิดตาบอดได้เช่นกัน เพราะอาการตาบอดไม่ได้เกิดจากคุณภาพของสารที่ฉีดแต่เกิดจากกระบวนการฉีดที่มีการรั่วไหลของฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงประสาทตาทำให้ตาบอดถาวรตลอดชีวิต นอกจากนี้ยังมีผู้รายงานว่าพบมะเร็งเต้านมชนิดร้ายแรงในผู้ป่วยที่ฉีดเต้านม ทำให้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ฟิลเลอร์ชนิดนี้ไม่ได้รับการรับรองจาก อย. แต่มีการลักลอบนำมาใช้ฉีดกันอย่างแพร่หลายทั้งผู้ที่เป็นแพทย์จริงและแพทย์เถื่อน ประชาชนควรระมัดระวังและห้ามไปเชื่อหลงฉีดเด็ดขาด ก่อนฉีดต้องตรวจสอบกับแพทย์ที่ฉีดให้ชัดเจนถ้าสงสัยให้ปฏิเสธหรือเลื่อนไปก่อน แล้วไปถามความเห็นแพทย์ที่อื่นเพื่อความมั่นใจมีบางรายไปฉีดสารมาแต่ตนเองไม่รู้ว่าฉีดสารอะไรและมาพบอันตรายแทรกซ้อนในภายหลังทำให้ต้องทรมานไปตลอดชีวิต เอกสารอ้างอิง สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย  http://www.dst.or.th/news_details.php?news_id=71&news_type=oth

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 139 บ่มผิวให้สวยเนียนด้วยน้ำผึ้ง และ พรอพอลิส

น้ำผึ้ง ถือเป็นยาอายุวัฒนะที่ได้รับการกล่าวถึงตั้งแต่ยุคโบราณ ชาวกรีกจะดื่มน้ำผึ้งก่อนลงแข่งกีฬาโอลิมปิก เพราะเชื่อว่า น้ำผึ้งช่วยขจัดความเมื่อยล้าได้ ชาวอียิปต์ได้ใช้น้ำผึ้งช่วยสมานแผลในการผ่าตัด เพื่อฆ่าเชื้อโรค รวมไปถึงการทำมัมมี่เพื่อช่วยรักษาสภาพร่างกายของมัมมี่ให้คงอยู่ทนนาน  นอกจากนี้น้ำผึ้งยังเป็นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ถูกใช้เพื่อความงามมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบันอย่างแพร่หลายอย่างที่เห็นกันในโฆษณาโทรทัศน์  น้ำผึ้งถูกนำไปเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอาง เช่น สบู่ แชมพู และครีมบำรุงผิวพรรณชนิดต่างๆ ส่วนประกอบของน้ำผึ้งจากธรรมชาติ น้ำผึ้ง เป็นผลิตผลของน้ำหวาน (nectar) จากดอกไม้ และจากแหล่งน้ำหวานอื่นๆ เช่น น้ำหวานจากเพลี้ย ที่ผึ้งไปเก็บมา ผ่านขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทางเคมี และกายภาพบางประการ แล้วสะสมไว้ในรังผึ้ง  โดยน้ำผึ้งจะประกอบด้วย 1. น้ำ เป็นส่วนประกอบไม่เกิน 20% 2. คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารที่มากที่สุด คือ มีปริมาณ 79% ในรูปของน้ำตาลฟรุกโทส และกลูโคส โดยมีปริมาณน้ำตาลฟรุกโทส มากกว่าน้ำตาลกลูโคสเล็กน้อย ทำให้น้ำผึ้งไม่ตกผลึก และมีรสหวานกว่าน้ำตาลชนิดอื่น 3. กรด มีประมาณ 0.5% ทำให้น้ำผึ้งมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย โดยกรดที่พบมากคือ กรดกลูโคนิก   4.แร่ธาตุ มีประมาณ 0.5%  ได้แก่ แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม โซเดียม สังกะสี เหล็ก แมงกานีส ทองแดง โดยน้ำผึ้งที่มีสีเข้มจะมีปริมาณแร่ธาตุสูงกว่าน้ำผึ้งที่มีสีอ่อน 5. วิตามิน เช่น วิตามินบี 1,2 และ 6 วิตามินซี เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามส่วนประกอบของน้ำผึ้งอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับวัตถุดิบหรือชนิดของเกสรดอกไม้ที่ผึ้งได้ไป รวมถึงแหล่งของพืชและพื้นดินนั้น ๆ ที่ผึ้งเจริญเติบโตอยู่ด้วย   น้ำผึ้งถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านความงาม ด้วยคุณสมบัติตามธรรมชาติ ดังนี้ 1.  น้ำผึ้งเป็นสารให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ (Humectant) เนื่องจาก ในน้ำผึ้งมี เดกซทริน ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีโมเลกุลของกลูโคสต่อกันเป็นโซ่ยาวเป็นส่วนประกอบ ทำให้น้ำผึ้งมีคุณสมบัติในการดึงและเก็บความชื้นไว้ได้ เมื่อนำมาทาผิวหนังจะทำให้ผิวหนังมีความอ่อนนุ่มและยืดหยุ่น จึงเหมาะที่จะเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นต่างๆ 2. น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีบทบาทในดูดซับอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากรังสี UV และ มลพิษจากสิ่งแวดล้อม  ทำให้การทำลายเซลล์ร่างกาย  ถูกยับยั้ง หรือเกิดขึ้นน้อยลง 3. น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านจุลินทรีย์และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เนื่องจากในน้ำผึ้งมีปริมาณน้ำตาลสูง  ทำให้มีแรงดูดซึม (osmotic pressure)ที่มาก ดังนั้นจึงดูดซึมน้ำจากเซลล์จุลินทรีย์ต่างๆ ออกมาหมด ทำให้เชื้อจุลินทรีย์ไม่สามารถเติบโตได้หรือตายได้ นอกจากนั้นแล้วความเป็นกรดของน้ำผึ้งและสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ในน้ำผึ้ง ยังช่วยป้องกัน และ ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบางชนิด อีกด้วย "พรอพอลิส" (Propolis) คืออะไร ? นอกจากน้ำผึ้งแล้ว ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินคำว่า "พรอพอลิส" กันมาบ้าง โดยเฉพาะในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย พรอพอลิส คือ สารเหนียวหรือยางเหนียวๆ ที่ผึ้งงานเก็บมาจากตาหรือเปลือกของต้นไม้เพื่อใช้ปิดรอยโหว่ของรัง และห่อหุ้มศัตรูที่ถูกฆ่าตายในรังแต่ไม่สามารถนำออกไปทิ้งนอกรังได้ และเพื่อไม่ให้เกิดการเน่าเหม็นในรังผึ้ง ชาวกรีกตั้งชื่อสารนี้ว่า "propolis"  ซึ่งมาจากคำว่า "pro" หมายถึง "ก่อน" และ "polis" หมายถึง "เมือง" ซึ่งในสมัยนั้นกรีกเองก็สันนิษฐานว่า ผึ้งคงจะใช้พรอพอลิสสำหรับป้องกัน "เมือง" หรือรังของตนเองให้พ้นจากเชื้อโรคและศัตรูต่างๆ ไม่ให้บุกรุกเข้ามา พรอพอลิสประกอบด้วย ยางไม้ร้อยละ 45 ไขมันร้อยละ  30 น้ำมันร้อยละ 10 และเกสรดอกไม้ร้อยละ 5 นอกจากนี้ยังประกอบด้วยวิตามินบี  จากผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์พบว่า พรอพอลิส มีคุณสมบัติที่ดีในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อรา และเมื่อเป็นส่วนผสมในสบู่จะช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียที่ผิวกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นกายนั่นเอง แม้ว่าคุณสมบัติของน้ำผึ้งและพรอพอลิส จะได้รับการยอมรับในทางวิทยาศาสตร์  แต่อย่างไรก็ตามการเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีน้ำผึ้งเป็นส่วนประกอบนั้น ผู้บริโภคควรคำนึง ปริมาณ หรือความเข้มข้น และ ความคงตัวของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งแหล่งที่มาของน้ำผึ้ง และ พรอพอริสที่ใช้เพื่อให้ได้รับคุณประโยชน์ตามต้องการได้. เอกสารอ้างอิง 1. สิริวัฒน์ วงษ์สิริ. ผึ้ง. สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่มที่ 15. 2534 2. Majiene D, Trumbeckaite S, Pavilonis  A, Savickas  A, Martirosyan DM. Antifungal and Antibacterial Activity of Propolis. Current Nutrition & Food Science. 2007;3:304-308.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 138 เคล็ดลับการนอนเพื่อสุขภาพและชะลอวัย

ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการเรียน การทำงาน หรือการทำกิจกรรมต่างๆ จนลืมการพักผ่อนที่เพียงพอ และมักไม่คำนึงถึงความสำคัญของการนอนหลับ เพราะคิดว่าเป็นเพียงแค่กิจกรรมหนึ่งที่ต้องทำในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ในทางกลับกันการนอนหลับที่ไม่เพียงพออาจส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมานอกจากนั้นยังมีผลทำให้อารมณ์ไม่คงที่ และมีสมาธิในการทำงานที่สั้นลง อีกทั้งยังส่งผลเสียต่อผิวพรรณและทำให้แก่ก่อนวัยอีกด้วย การนอนหลับมีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกายและผิวพรรณอย่างไร? การนอนหลับหมายถึง สภาวะที่ร่างกายตัดการรับรู้ต่อของสิ่งแวดล้อมและโดยปกติระหว่างการนอนหลับร่างกายจะไม่มีการเคลื่อนที่ คนเราใช้เวลาถึงหนึ่งในสามของแต่ละวันไปกับการนอนหลับ ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่ดีที่สุด อีกทั้งยังช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังหรืออวัยวะที่สึกหรอของเราและยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกายด้วย นอกจากนี้ยังมีสาระสำคัญต่างๆ  ที่ร่างกายหลั่งออกมาในช่วงระยะเวลาดังกล่าว เช่น สารเมลาโทนิน(Melatonin) ซึ่งเป็นสารที่มีบทบาทสำคัญหลายอย่างเช่น ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตและที่สำคัญสารนี้ยังมีหน้าที่ควบคุมการนอนหลับอีกด้วย ถ้าคนเราอดนอนหรือนอนหลับไม่เพียงพอก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายรวมทั้งผิวพรรณด้อยลง ทั้งนี้มีสาเหตุจาก   ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง โดยการอดนอนจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานหนักขึ้นซึ่งเลือดจะมีเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นและเม็ดเลือดขาวเหล่านี้จะสลายตัวในเวลาต่อมาจึงทำให้ความสามารถของร่างกายในการต้านทานต่อเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสเสียไป ระบบจัดเก็บความทรงจำหรือระบบประสาทจะมีประสิทธิภาพลดลง โดยอวัยวะที่สำคัญคือ ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) จะทำหน้าที่ถ่ายโอนข้อมูลที่เรียนรู้ในระหว่างวันเข้าสู่ความทรงจำระยะยาวซึ่งอวัยวะชิ้นนี้จะทำงานตอนที่เรานอนหลับเท่านั้นและจะทำงานได้ดีหากร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ อารมณ์เครียด และเปลี่ยนแปลงได้ง่ายโดยไม่มีเหตุผล มีอาการง่วงนอนหรือรู้สึกไม่สดชื่นตลอดทั้งวัน ระบบการย่อยอาหารผิดปกติ โดยร่างกายจะต้องใช้เวลามากขึ้นถึง 40 เปอร์เซนต์เพื่อจัดการกับระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต และการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงนานๆ จะทำให้แก่เร็ว หากเราอดนอนนาน 1 สัปดาห์ หรือนอนวันละ 4 ชั่วโมงโดยประมาณร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นในการควบคุมปริมาณกล้ามเนื้อและไขมันน้อยลงทำให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น หากคนเรานอนไม่ถึงวันละ 8 ชั่วโมง ร่างกายก็จะผลิตสารเลปติน (Leptin) น้อยลงซึ่งเลปตินมีบทบาทในการควบคุมความอยากอาหาร เพราะฉะนั้นยิ่งเราอดนอน เลปตินก็จะถูกผลิตออกมาน้อยลงทำให้เรามีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น เช่นอยากทานขนมหวาน และอาหารมันๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการควบคุมและลดน้ำหนักได้ สูญเสียโอกาสที่ร่างกายจะหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth hormone) ในขณะหลับ ซึ่งโกรทฮอร์โมนจะช่วยให้คุณดูอ่อนเยาว์ โดยการสร้างสมดุลระบบการเผาผลาญอาหาร และช่วยซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ดังนั้น หากขาดฮอร์โมนชนิดนี้ผิวหนังก็จะหย่อนคล้อยและเหี่ยวย่นได้ ในด้านของผิวหนัง สารเมลาโทนินเป็นสารที่มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเซลล์ผิวหนังจากสารอนุมูลอิสระต่างๆ และสารเมลาโทนินจะถูกสร้างมากที่สุดในเวลากลางคืนขณะที่เรานอนหลับ ถ้าเราอดนอนหรือนอนน้อยก็จะทำให้มีการสร้างสารนี้ลดลง ส่งผลให้เกิดการอักเสบหรือภูมิแพ้ของผิวหนังได้ง่ายขึ้น เทคนิคในการช่วยให้นอนหลับสบายเพื่อสุขภาพร่างกายและผิวพรรณที่ดี จัดตารางเวลาการนอนให้เหมาะสมและเป็นเวลา ซึ่งความต้องการในการนอนหลับของคนเราขึ้นอยู่กับช่วงอายุหรือวัย ยิ่งอายุน้อยยิ่งต้องการนอนมากและความต้องการนอนหลับสำหรับผู้ใหญ่โดยทั่วไปแล้วประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ช่วงเวลาเข้านอนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฮอร์โมนและสารต่างๆ ที่จำเป็นในการก่อให้เกิดสุขภาพร่างกายและผิวพรรณที่ดีจะผลิตเป็นเวลาตามที่ร่างกายกำหนด เวลาที่แนะนำให้ควรเข้านอนไม่ควรจะเกิน 4 ทุ่มของแต่ละคืน สร้างบรรยากาศในห้องนอนให้เหมาะสม เช่น ห้องนอนควรจะเงียบ ไม่มีเสียงรบกวน อุณหภูมิในห้องต้องเย็นพอดีและควรจะปิดไฟให้มืด นอกจากนี้ไม่ควรนำอุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เข้าไปไว้ในห้องนอนเช่น คอมพิวเตอร์ หรือโต๊ะทำงานจะทำให้เรารู้สึกกังวลตลอดเวลาจนเกิดอาการนอนไม่หลับ ควรเลือกหมอนและเตียงนอนให้เหมาะสมกับสรีระของร่างกาย รวมทั้งหมั่นเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนหรือนำมาซักทุกอาทิตย์เพื่อจะได้ช่วยลดการสะสมของฝุ่นและไรซึ่งอาจทำให้ผิวหน้าอ่อนแอ เกิดสิว และอาจเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้น หากิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายร่างกายก่อนนอน เช่น การอาบน้ำอุ่น ฟังเพลงจังหวะสบายๆ หรือการนั่งสมาธิซึ่งช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดรฟีน(Endorphine) ออกมา ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและช่วยให้นอนหลับได้สบายยิ่งขึ้น 5. ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ดีต่อสุขภาพเพราะเป็นท่านอนที่ไม่มีอะไรมากดทับหน้าอกช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้อย่างคล่องตัวที่สุด เมื่อนอนหงายกระดูกสันหลังจะได้รับการรองรับจากที่นอนทำให้สามารถวางตัวอยู่ในแนวธรรมชาติได้ดีที่สุด (ยกเว้นผู้ป่วยหรือสตรีมีครรภ์) นอกจากนี้ท่านอนหงายจะช่วยให้หลีกเลี่ยงการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ดีที่สุดเพราะการนอนตะแคงหรือการนอนคว่ำนานๆ จะทำให้เกิดแรงกดทับซึ่งก่อให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า กดจุดบริเวณใบหน้าก่อนนอนด้วยการใช้ปลายนิ้วนวดวนเป็นวงกลมไปเรื่อยๆ ตามหัวคิ้ว ขมับ ร่องจมูก คาง และมุมปาก ช่วยให้การนอนหลับสบายและหลับสนิทขึ้น กลิ่นของน้ำมันหอมระเหย ได้แก่ น้ำมันหอมระเหยจากลาเวนเดอร์ จะช่วยให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายและช่วยให้การนอนหลับสบายยิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ หรือน้ำอัดลม เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว ทำให้นอนหลับได้ยาก จึงแนะนำให้ดื่มชาคาโมมายด์อุ่นๆ หรือนมอุ่นๆ ก่อนนอน เพื่อช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น แต่ไม่ควรดื่มน้ำมากก่อนเข้านอนเพราะอาจทำให้ต้องตื่นกลางดึกบ่อยๆ เพื่อมาเข้าห้องน้ำ นอกจากนี้อาหารจำพวกมันเทศ เผือก กลอย ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต และผลิตภัณฑ์โฮลเกรนต่างๆ ช่วยให้ร่างกายผลิตสารเซโรโทนิน (serotonin) ทำให้นอนหลับสบาย เอกสารอ้างอิง สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาชีววิทยา. สาระน่ารู้เกี่ยวกับการนอนหลับ. ตุลาคม 2553.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 137 แฟชั่นคอนแทคเลนส์ บิ๊กอายส์ : อันตรายและข้อควรระวังในการใช้

การสวมใส่คอนแทคเลนส์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะใส่เพื่อแก้ไขความผิดปกติของสายตา ใส่เพื่อรักษาโรคกระจกตาบางชนิด หรือเพื่อความสวยงาม หากใช้ไม่ถูกวิธี และไม่ดูแลรักษาความสะอาด อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้ใช้คอนแทคเลนส์จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการรักษาความสะอาดเลนส์อย่างเคร่งครัด ปัจจุบันนี้มีน้ำยาที่ใช้ทำความสะอาดเลนส์ และแช่เลนส์เพื่อฆ่าเชื้อโรคหลายชนิด วิธีการใช้อาจแตกต่างกันไปบ้าง สิ่งสำคัญคือ ควรดูวันหมดอายุของน้ำยาและควรใช้ให้หมดขวดภายในระยะเวลา 2 เดือน แม้ว่าน้ำยาที่ใช้ทำความสะอาดเลนส์เหล่านี้จะมีสรรพคุณในการฆ่าเชื้อโรคส่วนใหญ่ได้แต่ก็ยังมีเชื้อโรคบางชนิดที่ไม่สามารถกำจัดได้ จึงควรศึกษารายละเอียดก่อนใช้ มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหาแทรกซ้อนจากการใส่คอนแทคเลนส์ได้ เช่น 1. การเกิดตุ่มอักเสบบนหนังตาด้านใน พบมากในผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่ม สาเหตุเกิดจากการระคายเคืองเนื่องมาจากเลนส์ถูกดึงขึ้นข้างบน ส่วนอาการอื่นที่เกิดต่อเนื่องมา คือ ภาวะหนังตาตก ตาแดง ระคายเคือง มองภาพไม่ชัด มีน้ำตาไหล และสายตาไม่สู้แสง   2. เกิดการอักเสบของกระจกตาและเยื่อตาขาวในส่วนที่สัมผัสกับคอนแทคเลนส์ อาการนี้ หากเกิดจากการแพ้หรือจากพิษข้างเคียงของวัตถุกันเสียหรือสารเคมีที่ใช้ฆ่าเชื้อ เยื่อตาขาวส่วนล่างจะแสดงอาการอักเสบ เนื่องจากน้ำยาที่ใช้ทำความสะอาดเลนส์จะไหลลงมาด้านล่าง เป็นอาการแพ้ที่ค่อยๆ เกิดขึ้น ซึ่งอาจใช้เวลา 2-3 ปี นอกจากนี้ การเกิดสิ่งสะสมบนเลนส์หรืออาการตาแห้งจะทำให้อาการอักเสบเกิดมากขึ้น 3. อาการตาแห้ง พบในผู้ที่ใช้คอนแทคเลนส์มานาน 2-3 ปี การใช้ยารักษาโรคบางชนิด เช่น การใช้ยาขับปัสสาวะหรือยารักษาโรคหัวใจบางประเภท เส้นประสาทตาอักเสบ ตาโปนผิดปกติ ผิวของลูกตาผิดปกติ เนื่องจากมีจุดเหลืองๆ บนกระจกตา หรือต้อลม หรือต้อเนื้อ และผิวคอนแทคเลนส์ไม่เรียบ 4. การอักเสบที่เยื่อบุผิวของกระจกตา ลักษณะเป็นจุดเล็กๆ ที่เยื่อบุผิวของกระจกตา เนื่องจากเกิดบาดแผลหรือการช้ำที่เยื่อตา ตาแห้ง มีอาการแพ้ หรือขาดออกซิเจน ซึ่งแผลจุดเล็กๆ อาจมารวมกันเข้าเป็นบริเวณใหญ่และเกิดการติดเชื้อซึ่งเป็นอันตรายได้ จึงจำเป็นต้องให้ผู้ป่วยหยุดการใช้คอนแทคเลนส์จนกว่าแผลจะหายเสียก่อน 5. การติดเชื้อที่กระจกตา เป็นอาการของโรคที่เกิดจากการใช้คอนแทคเลนส์ที่เป็นอันตรายที่สุด อาจส่งผลให้ตาบอดถาวรได้ พบในผู้ที่ใช้เลนส์ชนิดที่ใส่ติดต่อกันได้นานๆ หรือจากการเกิดรอยถลอกเนื่องจากการเคลื่อนไหวของเลนส์ที่ใส่อยู่เป็นประจำจนทำให้เกิดแผลขึ้น โดยเฉพาะในกรณีผู้ป่วยโรคเบาหวานก็จะเกิดแผลที่กระจกตาได้ง่ายกว่าปกติ จากการวิจัยทางการแพทย์พบว่า 67% ของผู้ใช้คอนแทคเลนส์ที่มีอาการติดเชื้อที่กระจกตา มีประวัติการใส่เลนส์ขณะนอนหลับในตอนกลางคืน และ 33% เกิดจากขั้นตอนในการดูแลรักษาคอนแทคเลนส์ไม่ได้มาตรฐาน ชนิดของคอนแทคเลนส์ที่พบว่ามีการใช้มากที่สุดเป็นคอนแทคเลนส์แบบนิ่ม   คำเตือน ข้อควรระวัง และข้อห้ามใช้สำหรับคอนแทคเลนส์ คำเตือน การใช้คอนแทคเลนส์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ที่ผิดวิธี มีความเสี่ยงต่อการอักเสบหรือการติดเชื้อของดวงตา อาจรุนแรงถึงขั้นสูญเสียสายตาอย่างถาวรได้ ข้อควรระวังในการใช้ l. การเริ่มต้นใช้คอนแทคเลนส์ ควรได้รับจากใบสั่งแพทย์เท่านั้น ไม่ควรไปซื้อเอง เพราะการใช้คอนแทคเลนส์ที่ไม่พอดีกับดวงตา อาจทำให้กระจกตาเป็นแผล ติดเชื้อหรือตาบอดได้ ผู้สวมใส่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และคู่มือ หรือฉลากอย่างเคร่งครัด 2. ผู้ที่มีสภาวะของดวงตาผิดปกติ เช่น ต้อเนื้อ ต้อลม ตาแดง กระจกตาไวต่อความรู้สึกลดลง ตาแห้ง กระพริบตาไม่เต็มที่ ไม่ควรใช้คอนแทคเลนส์ 3.  ควรใช้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ที่ใหม่ และเปลี่ยนน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทุกครั้งที่แช่คอนแทคเลนส์ และแม้ไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์ ควรเปลี่ยนน้ำยาใหม่ในตลับทุกวัน 4.   ควรเปลี่ยนตลับใส่คอนแทคเลนส์ทุกสามเดือน 5. ไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ขณะว่ายน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตาได้และไม่ควรใส่คอนแทคเลนส์ทุกชนิดเวลานอน ถึงแม้จะเป็นชนิดใส่นอนได้ก็ตาม 6. ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดทุกครั้งก่อนสัมผัสเลนส์ 7. หากเกิดอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหรือปวดตาเป็นอย่างมาก ร่วมกับอาการแพ้แสง ตามัวลง น้ำตาไหลมาก ตาแดง ให้หยุดใช้คอนแทคเลนส์ทันที และรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็ว 8. ผู้สวมใส่คอนแทคเลนส์ต้องมีเวลาให้ดวงตาได้พักหรือปลอดจากการใส่เลนส์ ถ้าเป็นผู้มีความผิดปกติของสายตา ควรมีแว่นสายตาไว้ใช้ในระยะเวลาพักของดวงตา ข้อห้ามใช้ 1. ห้ามใช้คอนแทคเลนส์ร่วมกับบุคคลอื่น 2. ห้ามสวมใส่คอนแทคเลนส์เกินระยะเวลาใช้งานที่กำหนด 3. ห้ามใช้คอนแทคเลนส์ถ้าภาชนะบรรจุอยู่ในสภาพชำรุดหรือถูกเปิดก่อนใช้งาน   อย่างไรก็ตาม คอนแทคเลนส์ถึงแม้ว่าเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาทางสายตาแต่ไม่อยากสวมแว่น ปัจจุบันมีการดัดแปลงเพื่อใช้เพิ่มความสวยงามของดวงตาโดยการเปลี่ยนสีหรือรูปแบบของดวงตา แต่ไม่ว่าจะใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม เนื่องจากเลนส์ที่ใช้ต้องสัมผัสผิวของดวงตาที่บอบบาง การติดเชื้อหรือฉีกขาดอาจเกิดได้ง่าย ดังนั้น ถ้าผู้ใช้คอนแทคเลนส์ปฏิบัติตามคำเตือน ข้อควรระวังและข้อห้ามใช้ดังกล่าวข้างต้นก็จะมีความปลอดภัยและสามารถลดความเสี่ยงจากการใช้คอนแทคเลนส์ได้   เอกสารอ้างอิง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา. สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับคอนแทคเลนส์หรือเลนส์สัมผัส. กรกฎาคม 2552. Preechawat P, Ratananikorn U, Lerdvitayasakul R, Kunavisarut S. Contact Lenses -Related Microbial Keratitis. Journal of the Medical Association of Thailand. 2007; 90(4): 737-43.

อ่านเพิ่มเติม >