ฉบับที่ 126 ครีมกำจัดขน ใช้เป็นประจำมีอันตรายหรือไม่?

  ความสวยงามบนเรือนร่างของหญิงและชาย เป็นจุดสนใจของเจ้าของโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงมักให้ความสนใจกับความเกลี้ยงเกลาของเรือนร่าง จึงไม่ต้องการให้มีเส้นขนโผล่ตามผิวหนังไม่ว่าจะเป็น แขน ขา ใต้วงแขน หรือแม้แต่ในร่มผ้า ดังนั้นจึงต้องมีวิธีกำจัดเส้นขนตามร่างกายที่ไม่ต้องการออกไป ซึ่งวิธีทั่วไปที่ใช้กันในปัจจุบัน มี 3 วิธีคือ  1. ใช้ครีมกำจัดเส้นขน (Dipilatories)2. ใช้วิธีถอนเส้นขนออกทั้งราก (Epilation) โดยใช้อุปกรณ์ช่วย หรือใช้แวกซ์ถอนขน 3.ใช้อุปกรณ์การแพทย์ เช่น แสงเลเซอร์  สองวิธีแรกมีใช้กันมาตั้งแต่อดีตเพราะง่ายและประหยัด ส่วนวิธีที่ 3 เป็นการใช้อุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งต้องให้แพทย์เป็นผู้ลงมือทำให้ ค่าใช้จ่ายก็ต้องแพงเป็นธรรมดา ดังนั้นผลิตภัณฑ์ประเภทครีมกำจัดเส้นขนจึงเป็นที่นิยมมากที่สุด รูปแบบที่มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาดมีทั้ง เจล ครีม โลชั่น แอโรโซลชนิดสเปรย์ โรลออน และรูปแบบแป้งฝุ่นโรยผิว นับเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีใช้มานานตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจุบัน เพียงแต่สูตรครีมชนิดนี้ในอดีตอาจมีกลิ่นฉุนรุนแรงของทั้งกรดและด่าง แต่ในปัจจุบันได้พัฒนาให้มีกลิ่นฉุนลดลง  องค์ประกอบทางเคมีของผลิตภัณฑ์ครีมกำจัดเส้นขน มีส่วนประกอบของสารเคมีที่มีความเป็นด่างสูง คือ แคลเซียมไฮดรอกไซด์ ซึ่งมีอยู่ในเนื้อครีมปริมาณมาก และตัวยาแคลเซียม ไทโอไกลโคเลท (Calcium thioglycolate) หรือ (sodium thioglycolate) ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับโปรตีนของเส้นขน ทำให้เส้นขนนุ่มลงและถูกตัดขาดจากรากขนหรือส่วนที่อยู่ใต้ผิวหนังได้ง่าย   ข้อดี • เป็นวิธีที่ประหยัด ทำได้ง่ายและรวดเร็ว เพียงทาครีมบนผิวหนังทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วเช็ดออก และเป็นวิธีที่ไม่เจ็บปวดเลย • ทำเองได้ ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ หรือไม่จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญอยู่ด้วย • ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาด มีหลายความเข้มข้นให้เลือกซื้อสำหรับเส้นขนที่หนาและแข็ง อาจต้องใช้ชนิดความเข้มข้นสูง  สำหรับผู้ที่มีเส้นขนไม่หนาและอ่อนควรเริ่มต้นเลือกทดลองใช้ความเข้มข้นที่น้อยที่สุดก่อน • หาซื้อได้ง่ายทั่วไป  ข้อเสีย • ได้ผลในระยะสั้นๆ เท่านั้น เส้นขนจะกลับเจริญเติบโตขึ้นใหม่อย่างรวดเร็วภายใน 2-5 วัน • ผู้ที่มีเส้นขนสีดำ อาจจะมองเห็นเป็นรอยดำๆ บนผิวหนัง ซึ่งเป็นสีดำของเส้นขนที่ตกค้างอยู่ใต้ผิวหนังที่ยังคงอยู่ • ผลิตภัณฑ์มักมีกลิ่นฉุนและเลอะเทอะเวลาใช้ แม้ว่าหลายยี่ห้อได้พัฒนาสูตร แต่ยังมีกลิ่นเคมีหลงเหลืออยู่ไม่มากก็น้อย • ระคายเคืองผิวหนังได้ง่าย เนื่องจากมีความเป็นด่างสูง   ข้อแนะนำและข้อควรระวังเนื่องจากชั้นของผิวหนัง มีองค์ประกอบของโปรตีนคีราตินเช่นเดียวกับโปรตีนของเส้นขน ดังนั้นเคมีในเนื้อครีมจะทำลายโปรตีนชั้นผิวหนังที่สัมผัสตัวยาเช่นกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเนื้อครีมกำจัดเส้นขนถูกพอกทิ้งไว้นานเกินไป ผิวหนังจะระคายเคืองและอักเสบได้  ก่อนการใช้งาน ควรทดสอบอาการแพ้หรือไม่แพ้ด้วยตนเองบนผิวหนังบริเวณเล็กๆ โดยทาเนื้อครีมในบริเวณที่ต้องการกำจัดขน ทิ้งไว้สัก 10-15 นาที หรือตามที่ระบุไว้บนฉลาก จากนั้นเช็ดเนื้อครีมออกด้วยกระดาษหรือผ้าชื้น และสังเกตอาการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง หากไม่มีอาการไหม้ แต่อาจมีเพียงอาการแดงเล็กน้อย แสดงว่าสามารถใช้ครีมสำหรับกำจัดเส้นขนได้โดยไม่เกิดอันตราย แต่หากมีอาการไหม้ และปวดแสบปวดร้อน ไม่ควรใช้ต่อ อย่างไรก็ดี สถาบันประเมินความเสี่ยงจากการใช้สินค้าของผู้บริโภค ประเทศเยอรมนี (BfR) ได้ออกมาเตือนการใช้ครีมกำจัดขนชนิดนี้ว่า ถ้าใช้ไม่ถูกวิธี อาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองไม่มากก็น้อยต่อผิวหนังบริเวณที่ใช้ได้ และหากมีการใช้เป็นประจำ และใช้ซ้ำบ่อยๆ ในบริเวณเดียวกัน อาจระคายเคืองมากได้ จึงไม่แนะนำให้ใช้ซ้ำบ่อยๆ ในบริเวณเดียวกัน เช่น มีการพอกบนผิวหนังทุก 2-5 วันซ้ำๆ เพราะอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงรุนแรงขึ้น อาการระคายเคืองที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากความเป็นด่างสูงหรืออาจเกิดจากสารเคมีไทโอไกลโคเลท ซึ่งยังไม่มีข้อสรุป  นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้มีข้อบ่งใช้เฉพาะกำจัดเส้นขนตามแขนและขาเท่านั้น ไม่ควรใช้กับใบหน้าเพื่อกำจัดหนวด เครา หรือขนคิ้วเด็ดขาด รวมถึงบริเวณที่ลับใต้ร่มผ้าหรือผิวหนังบริเวณใกล้อวัยวะเพศ  หรือเส้นขนในรูจมูก ซึ่งเป็นบริเวณผิวหนังที่อ่อนไหวและชั้นหนังกำพร้าบาง จะเป็นอันตรายได้ง่าย ผู้บริโภคควรอ่านฉลากกำกับ และใช้ตามข้อแนะนำในฉลากเท่านั้น   เอกสารอ้างอิง 1. http://depilatories.info/ 2. http://www.cosmeticsdesign-europe.com/Regulation-Safety/

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 125 เติมความรู้เรื่อง สารลบริ้วรอย

  กลายเป็นเรื่องค่อนข้างปกติแล้วสำหรับการเห็นดารานักร้องและบุคคลสำคัญที่ปรากฏในจอทีวีล้วนแต่มีใบหน้าเต่งตึง ไม่พบริ้วรอยแม้เพียงน้อยนิด คนอายุร่วม 60 กลับดูเหมือนเพียง 30 ปลาย ดารา นักร้องวัยรุ่นที่ไม่มีดั้ง คางสั้น กลับกลายเป็นมีดั้ง จมูกโด่ง คางแหลม คิ้วโก่ง ส่วนดาราสูงวัยกลับดูเด็กลงอย่างมากมาย ด้วยใบหน้าเรียบตึงปราศจากริ้วรอยตีนกาหรือร่องแก้มลึก  ภาพความสวยความสาวราวปั้นแต่งนี้ ย่อมยั่วยวนให้ผู้หญิงทั้งหลาย อยากเข้ารับบริการจากคลินิกเสริมความงามทั้งหลายเพื่อเสริมแต่งใบหน้าให้ได้รูปตามที่ปรารถนา บทความนี้จึงอยากแนะนำข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ก่อนเข้ารับบริการเสริมความงามจากแพทย์  สารเติมเต็มคืออะไรสารเติมเต็ม ถูกจัดหมวดหมู่ให้เป็น ‘อุปกรณ์การแพทย์’ ชนิดหนึ่ง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) รับรองและอนุญาตให้ใช้เพื่อฉีดเข้าใต้ผิวหน้า ช่วยลบเลือนริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เพื่อเติมเต็มร่องลึกข้างจมูกและรอบริมฝีปาก เติมเต็มวงลึกใต้ตา ใช้ฉีดเข้าหางตาเพื่อยกหางตาและหางคิ้วไม่ให้ตก นอกจากนี้ยังนิยมใช้ฉีดเข้าปลายจมูกให้มีติ่งเป็นหยดน้ำ หรือฉีดเข้าปลายคางให้แหลม หรือฉีดเพื่อเสริมดั้งจมูกให้โด่งขึ้น บางคนฉีดเพื่อให้ริมฝีปากนูน เทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เหล่านี้ ช่วยทำให้หญิงชายในยุคปัจจุบันสวยได้ทันใจ โดยไม่ต้องทำศัลยกรรมผ่าตัดเพื่อดึงหน้าหรือยกกระชับเหมือนสมัยก่อน   วัสดุวิทยาศาสตร์ที่ใช้เป็นสารเติมเต็มมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ ชนิดให้ผลถาวร และชนิดให้ผลชั่วคราว   ชนิดถาวร ได้แก่  โพลีเมทธิลเมทาไคลเลต (Polymethylmethacrylate, PMMA) มีลักษณะเป็นเม็ดบีดส์หรือลูกบอลขนาดละเอียดและเรียบ สามารถเข้ากับเนื้อเยื่อของคนเราได้ดีและไม่ถูกดูดซับหรือดูดซึมโดยร่างกาย นิยมใช้ฉีดเพื่อเติมเต็มร่องแก้มรอบปากและข้างจมูก ข้อเสียคือเมื่อฉีดแล้ว หากไม่พอใจต้องให้แพทย์ผ่าเอาออก ชนิดชั่วคราว จะให้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับวัสดุธรรมชาติที่ร่างกายคนเรามีอยู่ เมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนัง เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งก็จะสลายไป ตัวอย่างของสารเติมเต็มที่ใช้ทั่วไป มี 4 ชนิดที่นิยม คือ 1. คอลลาเจน (Collagen) โปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของผิวหนังและเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ส่วนใหญ่มักจะสกัดจากวัวหรือเซลล์ของคน ให้ผลระยะสั้นเพียง 3-4 เดือน 2. ไฮยารูโลนิค แอซิด (Hyaluronic acid) หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘เรสไตเลน’ (Restylane) จัดเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติที่ร่างกายคนเรามีอยู่ในเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ เช่น กระดูกอ่อน และผิวหนัง วัสดุชนิดนี้สามารถรวมกับน้ำหรือความชื้นได้ดีและบวมน้ำกลายเป็นเจลนุ่มๆ เมื่อนำมาฉีดเข้าใต้ผิวหนังที่มีริ้วรอยหรือร่องลึกข้างจมูก ทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นเลือนหายไปทันตา ผิวหนังบริเวณนั้นจะเรียบขึ้น ร่องลึกจะถูกลบเลือนจนหมดหรือเกือบหมดทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณของสารเติมเต็มที่ถูกฉีดเข้าใต้ผิวหนัง วัสดุชนิดนี้มักจะถูกสกัดและเตรียมขึ้นจากไบโอเทคโนโลยีหรือใช้เชื้อแบคทีเรียเป็นสารตั้งต้นในการเตรียม ในปัจจุบันมีการดัดแปลงโครงสร้างโมเลกุลของสารกลุ่มนี้ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้สามารถมีอายุได้นานขึ้นใต้ผิวหนังประมาณ 6-12 เดือน 3. แคลเซียม ไฮดรอกซี่อปาไทด์ (Calcium hydroxylapatite) จัดเป็นวัสดุแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่พบทั่วไปในฟันและกระดูก การใช้เป็นสารเติมเต็ม สารชนิดนี้จะถูกเตรียมโดยแขวนกระจายในน้ำยาคล้ายเจล และนำมาฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการ ระยะเวลาที่ให้ผลประมาณ 1 ปีหรือ 1 ปีครึ่ง  4. โพลี แอล แลคติด แอซิด (Poly-L-lactic acid, PLLA) จัดเป็นวัสดุโพลีเมอร์ที่ย่อยสลายเองได้ในร่างกาย นับเป็นวัสดุวิทยาศาสตร์ที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นเพื่อให้เข้ากับร่างกายคนเราได้ดี ใช้มากในการช่วยละลายไหมเย็บแผลและสกรูกระดูกในศัลยกรรมกระดูก สารเติมเต็มชนิดนี้นิยมใช้กันมากในยุโรปและอเมริกา กลไกการทำงานของวัสดุชนิดนี้คือช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังขึ้นใหม่ เพื่อเติมเต็มล่องลึกและริ้วรอยเหี่ยวย่น มีอายุประมาณ 2 ปี  ความเสี่ยงของการฉีดสารเติมเต็มอาการข้างเคียงส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นทันทีภายหลังจากการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง และมักจะเลือนหายไปเองภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน ในบางกรณีอาจมีอาการข้างเคียงประมาณ 1-2 สัปดาห์ หรือเป็นปีได้ สารเติมเต็มทุกชนิดสามารถทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ในระยะยาว หรืออาการข้างเคียงถาวร หรือทั้งสองชนิดได้ อาการข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป เช่น บวม แดง เป็นผื่น คัน เจ็บ ฟกช้ำ ส่วนอาการข้างเคียงที่พบได้ไม่บ่อยนัก เช่น ผิวหนังมีลักษณะเป็นเนื้อนูน ซึ่งต้องให้แพทย์ผ่าตัดออก ความเสี่ยงในการติดเชื้อ มีแผลเปิด มีอาการแพ้ หรือเกิดเนื้อตายบริเวณที่ฉีดสารเติมเต็ม เป็นต้น นอกจากนี้ยังปรากฏพบอาการข้างเคียงที่มีรายงาน เช่น การเคลื่อนที่ของสารเติมเต็มจากตำแหน่งเดิม การรั่วไหลของสารเติมเต็มออกสู่ผิวหนังชั้นบน ซึ่งกรณีนี้มักจะเกิดจากการอักเสบจากการติดเชื้อหรือเกิดจากปฏิกิริยาของสารเติมเต็มต่อผิวหนังบริเวณที่ฉีด หรือบางคนอาจมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่หรือมีสายตาพร่าฟาง ก่อนเข้ารับบริการควรตัดสินใจให้รอบคอบ เพราะข้อจำกัดและร่างกายแต่ละคนมีความอ่อนไหวและละเอียดอ่อนต่อสารเคมีหรือวัสดุวิทยาศาสตร์ไม่เท่ากัน คนส่วนใหญ่อาจจะไม่แพ้ ฉีดหลายๆ ครั้งก็ไม่เป็นไร แต่บางคนฉีดเพียงเล็กน้อยก็อาจสร้างปัญหาใหญ่หลวงได้   สวยอย่างฉลาด - รับบริการจากแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังโดยตรง- ควรจะรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่แพทย์เลือกฉีดให้คืออะไร ชื่ออะไร และมีอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับเราเป็นอย่างไร- ควรจะข้อดูฉลากที่ขวดยาว่า เป็นชนิดที่ผ่านการรับรองจากอย.หรือไม่- ควรจะปรึกษาแพทย์ที่ให้บริการถึงผลคาดหวังที่จะได้รับ ว่าเราคาดหวังอย่างไร และแพทย์ผู้ให้บริการคาดหวังอย่างไร ตรงกันหรือไม่ เช่น ร่องแก้มที่ลึกมาก ควรฉีดสารมากน้อยเท่าไหร่ หรือให้ผลนานกี่เดือน รวมถึงราคาที่ตกลงกันในปริมาณของสารเติมเต็มที่ฉีด- ควรรู้ว่า สารเติมเต็มที่อย.รับรองให้ใช้นี้ เป็นผลที่ได้จากการศึกษาทดลองจากการศึกษาทางคลินิกบนผิวหน้า ส่วนการฉีดซ้ำหลายๆ ครั้งหรือบ่อยๆ ทุกๆ ระยะเวลาเมื่อสารเสื่อมสภาพนั้น ยังไม่ได้ผ่านการประเมินความปลอดภัย- ปัญหาที่เกิดขึ้นจากขั้นตอนการใช้สารเติมเต็มจะไม่ได้อยู่ครอบคลุมอยู่ในเงื่อนไขของการประกันสุขภาพ- ความปลอดภัยที่จะใช้ในคนท้องหรือหญิงที่อยู่ระหว่างให้นมบุตร และผู้รับบริการที่มีอายุต่ำกว่า 18 ยังไม่มีข้อมูล   เอกสารอ้างอิง1. http://www.fda.gov/MedicalDevices/ProductsandMedicalProcedures/CosmeticDevices/WrinkleFillers/default.htm2. http://www.wisegeek.com/what-is-a-wrinkle-filller.htm

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 124 วิธีเลือกเครื่องสำอางสำหรับผู้สูงวัย

  ผิวหนังของผู้สูงวัย มักจะแห้ง มีริ้วรอย ความชุ่มชื้นน้อย ผิงหนังมักจะบาง เพราะเซลล์ผิวหนังมีการเจริญเติบโตลดน้อยลง และมักจะซีดลง อันเนื่องมาจากการสร้างเม็ดสีของผิวหนังทำงานลดลง และบ่อยครั้งที่พบว่าสีผิวมักจะไม่สม่ำเสมอ   คำแนะนำในการเลือกใช้เครื่องสำอาง1) เริ่มต้นจากพื้นฐานสิ่งสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับผิวหนังผู้สูงวัยคือ ต้องมีองค์ประกอบของสารมอยส์เจอร์หรือสารให้ความชุ่มชื้นผิวในปริมาณสูง และควรจะใช้ควบคู่กับครีมกันแดดด้วยทุกครั้ง สารมอยส์เจอร์สำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังโดยทันที จำเป็นต้องบำรุงผิวหน้าเป็นลำดับแรก ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามักจะแห้งมากกว่าส่วนอื่น ริ้วรอยรอบดวงตาจะเป็นเครื่องชี้บ่งถึงความชราของผิวหนังเจ้าของ ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาจะมีองค์ประกอบที่ปกป้องผิวหนังรอบตาได้ดีกว่าผิวหน้าทั่วไป มักจะมีองค์ประกอบที่มีมอยส์เจอร์สูงกว่าและมีสารอีมูเลียน (Emollients) ที่มันกว่าเพื่อเคลือบปกป้องไม่ให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นนั่นเอง ทุกครั้งที่อาบน้ำล้างหน้า แนะนำให้บำรุงด้วยครีมมอยส์เจอร์รอบผิวหน้าและดวงตาทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนนอน แนะนำให้ทาครีมบำรุงทุกครั้ง   ภายหลังจากบำรุงผิวหน้าและรอบดวงตาด้วยมอยส์เจอร์แล้ว ควรปกป้องผิวหน้าด้วยครีมกันแดดให้ทั่วผิวหน้าก่อนที่จะแต่งแต้มด้วยครีมรองพื้น ครีมกันแดดจะประกอบไปด้วยสารกรองรังสียูวีเอและยูวีบี       รังสียูวีเอจะสามารถทะลุผิวหนังชั้นล่างได้ ทำให้ผิวหนังคนเราเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ส่วนรังสียูวีบีมีผลทำให้ผิวหนังไหม้เกรียมและดำคล้ำ ในวัยสูงอายุจึงแนะนำให้ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านในระหว่างวัน เพื่อปกป้องผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายจากรังสีดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเร็วก่อนวัย   2) การเลือกครีมรองพื้น ครีมรองพื้นมีองค์ประกอบของแป้งที่เป็นเม็ดสีละเอียด ทำหน้าที่เคลือบผิวหน้าเพื่อช่วยให้ผิวหน้าแลดูเนียนละเอียด ช่วยปกปิดริ้วรอยและแผลเป็นหรือหลุมลึกของสิวได้ดี การเลือกชนิดของครีมรองพื้น แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ชนิดครีมหรือโลชั่นชนิดน้ำมัน ไม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ชนิดที่เป็นน้ำ เพราะเมืองไทยอากาศร้อนชื้น เวลาเหงื่อออก จะทำให้รองพื้นชนิดน้ำแตก ดูคล้ายผิวหน้าแตกลาย ไม่น่าดู และหมดสวย ควรเลือกสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวหน้าของเรามากที่สุด ที่สำคัญคือควรทารองพื้นเพียงบางเบาและเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า ไม่ควรทาหนา เพราะจะยิ่งไปเน้นริ้วรอยให้เห็นชัดเจนมากขึ้น   3) การแต่งแต้มแก้มให้เป็นสีชมพู ผิวหน้าวัยสูงอายุมักจะแลดูซีดเซียว แห้ง และไม่สดใส ดังนั้นการเติมสีสันให้ผิวแก้มเป็นสีชมพู จะช่วยได้มาก เพิ่มชีวิตชีวา แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ชนิดที่เป็นครีมเพราะมีองค์ประกอบของอีมูเลียน (Emollients) หรือน้ำมันบำรุงผิวอีกด้วย ช่วยให้ผิวแก้มชุ่มชื้นและติดทนนานมากขึ้น อย่าลืมว่าควรเลือกสีให้บางเบาเพื่อให้แลดูเป็นธรรมชาติ   4) การเลือกสีอายเชโด้ควรเลือกสีอายเชโด้ให้เข้ากับบุคลิกของเจ้าของ แต่ที่สำคัญคือบางเบา เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แต่งเป็นงิ้ว เพราะจะค้านกับวัยและแลดูแก่กว่าวัยทันที ก่อนทาสีอายเชโด้ แนะนำให้ใช้ครีมรองพื้นเฉพาะของเปลือกตาป้ายบางๆ นอกจากจะบำรุงให้ชุ่มชื้นแล้ว ยังช่วยให้สีอายเชโด้ติดทนนานได้ตลอดวันอีกด้วย   5) การเลือกลิปสติก ผิวหนังริมฝีปากของผู้สูงอายุ มักจะแห้งและบางครั้งมีหนังลอก การทาลิปสติกมักไม่ค่อยติดหรือหลุดลอกได้ง่าย วิธีแก้ปัญหา ควรหมั่นบำรุงผิวริมฝีปากด้วยครีมบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอไม่เว้นแม้แต่เวลาหลับ สารมอยส์เจอร์ในครีมบำรุงจะช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากไม่แห้งและไม่มีหนังลอก ลิปสติกที่ทาไว้จะติดโดยไม่หลุดลอกง่าย สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้เมื่อทาลิปสติก แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอม เนื่องจากน้ำหอมมีองค์ประกอบของน้ำมันหอมระเหยมากมาย ที่อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ในคนที่มีผิวบอบบางและแพ้สารเคมีง่าย การใช้ลิปสติกไม่ควรใช้นานเกิน 1-2 ปี เพราะองค์ประกอบในลิปสติกส่วนใหญ่เป็นไขมัน เมื่อเก็บไว้นานจะเหม็นหืน หากมีกลิ่นหืน ควรทิ้งทันทีโดยไม่ต้องเสียดาย เพราะถ้าใช้ต่อ จะทำให้แพ้และริมฝีปากลอกได้ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้หญิงควรจำไว้คือ ลิปสติคส์ควรใช้เฉพาะคน ไม่ควรแบ่งเพื่อนใช้หรือใช้ร่วมกับคนอื่น เพราะอาจปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์จากคนหนึ่งสู่อีกคนได้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 123 เคลนเซอร์กับโทนเนอร์

  หลายคนอาจจะสับสนเรื่องเคลนเซอร์กับโทนเนอร์ ว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ยิ่งปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเคลนเซอร์กับโทนเนอร์ออกมาวางจำหน่ายมากมายยิ่งทำให้เกิดความสับสนไม่รู้จะเลือกใช้อะไรดี หรือจะไม่ใช้ได้ไหม เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นว่า “ตกยุค” ฉบับนี้จึงมีคำอธิบายเพื่อคลายข้อสงสัยค่ะ   ผิวสะอาดคือเรื่องสำคัญที่สุด การจะมีผิวพรรณสดใส ปราศจากความหมองคล้ำ ความมันหรือสิว ขั้นตอนในการทำความสะอาดผิวหน้าเป็นเรื่องสำคัญ การจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะก็ต้องดูลักษณะผิวหน้าของตัวเองว่าอยู่ในประเภทใด ผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม หรือผิวแพ้ง่าย ซึ่งฉลาดซื้อได้นำเสนอไปในฉบับก่อนหน้านี้   ในขั้นตอนการทำความสะอาดผิวหน้าโดยทั่วไปจะมีขั้นตอนสำคัญ 2 ขั้นตอนคือ   1.การทำความสะอาดผิวหน้า 2.การปรับสภาพผิวหน้าหลังทำความสะอาด   การทำความสะอาดผิวหน้า Cleanser หมายถึงการทำความสะอาด ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มที่ทำความสะอาดผิวหน้า หลายคนจึงเรียกให้ง่ายว่า เคลนเซอร์  ซึ่งโดยทั่วไปที่วางขายในท้องตลาดจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มที่เป็นผลิตภัณฑ์ล้างหน้าแบบที่ต้องอาศัยน้ำ อาจมาในรูปของโฟมหรือเจล เพื่อการล้างหน้า กลุ่มนี้จะมีส่วนผสมของตัวชะล้างหรือ detergent เป็นส่วนประกอบหลัก  อีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์หรือเคลนเซอร์ที่ช่วยในการเช็ดคราบเครื่องสำอาง กลุ่มนี้จะไม่อาศัยน้ำในการทำความสะอาดแต่จะมีน้ำมันหรือส่วนผสมอื่นที่สามารถละลายเครื่องสำอางให้ออกไปได้ง่าย เพราะปกติส่วนผสมในเครื่องสำอางสำหรับการแต่งหน้าจะเป็นน้ำมันหรือสารเคมีที่ไม่ละลายน้ำ ดังนั้นจึงต้องใช้สารเคมีเฉพาะสำหรับการเช็ดคราบเครื่องสำอางออกไปก่อนจะล้างหน้าด้วยน้ำและผลิตภัณฑ์ล้างหน้าอีกครั้ง  ดังนั้นถ้าเห็นคำว่า Cleanser บนฉลากเครื่องสำอาง ให้พิจารณาดูว่าสำหรับขจัดคราบเครื่องสำอางเป็นหลัก หรือว่าเป็นพวกที่อาศัยน้ำเพื่อชำระล้างคราบฝุ่นละอองทั่วไป  ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ล้างหน้าประเภทหนึ่งเช่นเดียวกับสบู่   การปรับสภาพผิวหลังทำความสะอาด เมื่อเช็ดเครื่องสำอางด้วยเคลนเซอร์และล้างหน้าตามปกติแล้ว คำแนะนำสำหรับการทำความสะอาดผิวหน้าในขั้นตอนถัดมาก็คือ การใช้โทนเนอร์ ซึ่งมาในรูปของโลชั่นหรือน้ำที่จะหยดลงบนสำลีเพื่อเช็ดผิวหน้าเป็นการกำจัดสิ่งสกปรกที่ยังอาจตกค้างอยู่หลังการล้างหน้า ในเวลาเดียวกันก็มีส่วนในการช่วยปรับสภาพผิวหน้าก่อนบำรุงผิวต่อไป   สมัยก่อนโทนเนอร์จะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์สูงมาก เพราะผลิตขึ้นเพื่อช่วยในการกำจัดสิ่งสกปรกและความมันให้หมดไป ดังนั้นโทนเนอร์สมัยก่อนจึงมีส่วนทำให้ผิวแห้งตึง แต่ปัจจุบันโทนเนอร์ถูกพัฒนามากขึ้น จุดเด่นไม่ใช่เพียงแค่เรื่องทำความสะอาดแต่ช่วยปรับสภาพผิวให้สมดุลชุ่มชื้น โทนเนอร์ในปัจจุบันจึงแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม ได้แก่ 1.เฟชรเชนเนอร์ เป็นโทนเนอร์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์  จะอ่อนโยนและดีสำหรับผิวแห้งมักมีส่วนผสมที่ช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้ผิวเป็นสำคัญ 2. แคลิฟายอิ้งโลชั่นโทนเนอร์โทนเนอร์ที่มีความเข้มข้น(แอลกอฮอล์)ปานกลาง จะช่วยขจัดความมันและสิ่งสกปรก รวมทั้งช่วยสร้างความชุ่มชื้นให้ผิว เหมาะสำหรับผิวธรรมดาถึงผิวผสม  3. แอสตรินเจนท์เป็นโทนเนอร์ชนิดเข้มข้น  จะมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ค่อนข้างสูง จึงเหมาะสำหรับคนผิวมัน  เนื่องจากสามารถเช็ดคราบมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ดี  และยังช่วยลดความมันบนผิวหน้าอีกด้วย   ถ้าถามว่าผิวหน้าจำเป็นต้องใช้โทนเนอร์หรือไม่ สำหรับบางคนอาจจำเป็นโดยเฉพาะสาวๆ ที่แต่งหน้า การใช้โทนเนอร์จะช่วยให้ผิวหน้าสะอาดยิ่งขึ้นและช่วยปรับสภาพผิว แต่สำหรับคนที่ไม่ได้แต่งหน้าและไม่ใช่คนผิวมันมาก ไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้   และสำหรับสาวๆ ที่อยากได้โทนเนอร์แบบธรรมชาติปราศจากสารเคมี เรามีสูตรโทนเนอร์ธรรมชาติมาฝากด้วยค่ะ  สร้างความชุ่มชื้นให้ผิวแบบธรรมชาติ โลชั่นน้ำผลไม้   ใช้น้ำแตงกวา มะเขือเทศ มะนาว และแตงโม อย่างละ 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน ใช้สำลีแต้มส่วนผสมเช็ดเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า น้ำผลไม้ผสมสูตรนี้จะช่วย สมานผิวและกระชับรูขุมขนเหมือนกับการใช้แอสตรินเจนท์และโทนเนอร์ มอยส์เจอไรเซอร์น้ำผึ้ง  น้ำผึ้ง เป็นสารให้ความชุ่มชื้นจากธรรมชาติ ที่ช่วยให้ผิวเรียบเนียน วิธีการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ตัวนี้ไม่ยาก ใช้น้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา อุ่นด้วยไฟอ่อน ๆ ประมาณ ครึ่งนาที จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็นแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงเช็ดออกด้วยสำลีแล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น คุณจะรู้สึกว่าผิวหน้านุ่มเนียนขึ้น วิธีนี้ช่วยกำจัดสิวหัวดำและจุลินทรีย์ที่หมักหมมอยู่ตามขุมขนได้หมดจด ช่วยให้เลือดลมเดินดีขึ้นด้วย โลชั่นน้ำนมผสมเปลือกกล้วยหอม   ล้างเปลือกกล้วยหอมสุก 1 ผลให้สะอาดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำนมสดลงไปประมาณครึ่งถ้วย บดให้ละเอียดเข้ากัน ใช้แทนโลชั่นสำหรับผิวแห้งหรือเกรียมแดด ทั้งยังช่วยขจัดฝุ่นละอองที่คั่งค้างอยู่ตามผิวหน้าด้วย โลชั่นน้ำนมเปลือกกล้วยนี้สามารถใส่ขวดเข้าตู้เย็นเก็บไว้ได้นานอีกด้วย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 122 การดูแลผิวมันและผิวผสม

  ขั้นแรกสุดในการทำให้ผิวตัวเราเองสวยคือการต้องเรียนรู้ว่าผิวเราเองเป็นผิวแบบไหน ความรู้เกี่ยวกับผิวตัวเราเองจะช่วยให้เราเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและวิธีการดูแลผิวพรรณเฉพาะแบบของเราเองได้ดีที่สุด  สิ่งสำคัญที่เป็นกิจวัตรประจำวันของผู้หญิงทั่วโลกคือการดูแลความสวยงามของตนเองและบำรุงรักษาผิวหนังนั่นเอง ผู้หญิงทุกคนพยายามที่จะค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ดังนั้นการรู้ว่าผิวตัวเราเองจัดเป็นผิวแบบไหนจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญในสองฉบับก่อนเรานำเสนอ ผิวธรรมดา ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่ายไปแล้ว คราวนี้ปิดท้ายด้วยผิวมันและผิวผสมค่ะ  ผิวมัน (OILY SKIN)คนที่มีผิวมัน มักจะเป็นสิวได้ง่าย สามารถล้างหน้าด้วยน้ำสบู่หรือสบู่เหลวได้โดยไม่ค่อยรู้สึกระคายเคือง แสดงว่าผิวของคุณเป็นผิวมันค่อนข้างชัดเจน หลังล้างหน้า จะรู้สึกได้ถึงความสดชื่น แต่พอตกบ่ายจะพบว่าผิวหน้ามันเยิ้มอีกแล้ว ผิวหน้าจะแลดูหยาบเพราะมีรูขุมขนใหญ่และมีผิวหนากว่าผิวแบบอื่นๆ  การดูแลผิวมันผิวมันมักจะมีสิวเสี้ยนหัวดำแทรกอยู่ตามรูขุมขนได้มาก น้ำมันหรือซีบุ้มธรรมชาติเหล่านี้จะค่อยน้อยลงด้วยปัจจัยหลายประการ เช่น ความเครียด ปัจจัยทางพันธุกรรม ฮอร์โมนในร่างกายที่แปรเปลี่ยนไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น ผู้ที่มีสิวเสี้ยนมาก อาจล้างหน้าด้วยน้ำสบู่หรือสบู่เหลวที่มีส่วนผสมของสารต้านเชื้อแบคทีเรียหลายๆ ครั้งต่อวัน และเช็คตามด้วยโลชั่นชนิดแอสตรินเจนท์เพื่อลดความมัน และช่วยปิดรูขุมขนให้เล็กลง นอกจากการล้างหน้าด้วยสารทำความสะอาดแล้ว แนะนำให้พอกหน้าด้วยดินหรือโคลนพอกหน้า ซึ่งคุณสมบัติของโคลนจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกและน้ำมันออกจากผิวหน้าส่วนที่ลึกลงไปได้ดีเยี่ยม ควรทำทุก 2 อาทิตย์ จะเป็นตัวช่วยให้ผิวหน้าสะอาดห่างไกลจากสิวเสี้ยนและสิวหัวดำ คนที่มีผิวมัน มักประสพกับปัญหาผิวแห้งเร็วได้ เนื่องจากความพยายามที่จะล้างหน้าบ่อยๆ หรือบ่อยเกินไปในแต่ละวัน และหลายคนคิดว่าผิวมันแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ครีมบำรุงผิวอีกต่อไป อันนี้คงไม่จริงและความเข้าใจผิดนี้เองทำให้คนผิวมัน กลายเป็นคนผิวแห้งและแก่ได้ง่าย ดังนั้นภายหลังจากล้างหน้า ควรบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวที่มีสารให้ความชุ่มชื้นแต่มีน้ำมันน้อยหรือเบาบาง ทาเคลือบผิวเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง ควรนวดคลึงเนื้อครีมเบาๆ ให้ดูดซึม และใช้กระดาษทิชชูเช็ดส่วนเกินของครีมบำรุงออกไปเพื่อไม่ให้ผิวหน้ามันเยิ้ม  ผู้ที่มีผิวมัน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง แต่รับประทานผลไม้และผักสดมากๆ  สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำสำหรับคนผิวมันสิ่งที่ควรทำ:1. ให้มั่นใจว่ามือสะอาดหรือล้างมือทุกครั้งก่อนสัมผัสผิวหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่เป็นสิว 2. ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมันหรือผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ล้างออกด้วยน้ำในการทำความสะอาดผิวหน้า ไม่แนะนำให้ใช้ครีมเช็ดเครื่องสำอาง เพราะมีน้ำมันมากเกินไป3. ควรพอกหน้าด้วยโคลนเป็นประจำเพื่อดูดซับน้ำมันส่วนเกินออกไป ช่วยให้หน้าสะอาดและนุ่มนวล 4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พยายามหลีกเลี่ยงหรือลดความเครียดในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ไม่ควรทำ:1. ไม่ควรบีบสิว ทำให้เกิดริ้วรอยและแผลเป็น2.  ไม่ควรเข้านอนโดยมีเครื่องสำอางอยู่บนผิวหน้า ผิวผสม (COMBINATION SKIN)คนที่มีผิวผสม จะมีน้ำมันเยิ้มบริเวณที-โซน และผิวแห้งบริเวณแก้ม มักเกิดจากตอนเป็นวัยรุ่นเป็นคนผิวมัน เมื่ออายุถึง 20 ปี ปริมาณน้ำมันที่ผลิตจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังจะค่อยๆ ลดลงตามการเปลี่ยนแปลงของปริมาณฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้บางส่วนของผิวหน้ามีน้ำมันเยิ้ม แต่บางบริเวณเป็นผิวแห้ง วัยที่เปลี่ยนแปลงไปจึงควรตรวจเช็คสภาพผิว เพราะผิวผสมจะแปรเปลี่ยนตามวัย ฮอร์โมน และสภาวะสิ่งแวดล้อม  การดูแลผิวผสมใช้วิธีดูแลแบบคนที่มีผิวแห้งและผิวมันผสมกัน ควรดูแลให้บริเวณทีโซนแห้งไม่มันเยิ้ม ไม่ให้รูขุมขนอุดตัน และดูแลให้ผิวบริเวณแก้มชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ  ในแต่ละวัน ควรล้างหน้าด้วยครีมโฟม เพื่อขจัดความมันบริเวณทีโซน และในตอนเย็นควรใช้ครีมหรือโลชั่นเช็ดหน้า ทำความสะอาดเพื่อบำรุงให้ผิวหน้าไม่แห้งกร้าน เป็นการปรับสมดุลของผิวผสม แม้ว่าจะดูแลผิวทั้งสองแบบในขณะเดียวกันลำบาก แต่ควรจะทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ผิวหน้าดูอ่อนวัยเสมอ ภายหลังจากล้างหน้า ควรเช็ดหน้าบริเวณทีโซนด้วยโลชั่นแอสตรินเจนท์ที่อาจมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เล็กน้อยเพื่อเช็ดเอาความมันออกไป แต่ควรใช้โทนเนอร์ที่อ่อนละมุนสำหรับแก้ม ลำคอและส่วนอื่นที่มีผิวแห้ง และควรบำรุงผิวทั่วทั้งหน้าด้วยครีมมอยส์เจอร์ที่อุดมด้วยสารอาหารและวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ   วิธีการหาชนิดของผิวตัวเราเองผิวหนังแบ่งออกได้เป็น 5 แบบ คือ ผิวแห้ง ผิวธรรมดา ผิวมัน ผิวผสม และผิวแพ้ง่าย วิธีการง่ายๆ ในการจะรู้ว่าผิวเราเองเป็นแบบไหน โดยนำกระดาษทิชชูที่สะอาดเช็ดและซับผิวหน้าตัวเองในตอนเช้าทันทีที่เพิ่งตื่นนอนและสังเกตดู คนที่มีผิวธรรมดา จะไม่มีน้ำมันถูกดูดซับอยู่บนกระดาษทิชชู และผิวหน้าจะไม่ตึงหรือมีสะเก็ดคล้ายผิวลอกหรือเป็นขุย และเมื่อซับหน้าเสร็จ จะรู้สึกผิวหน้านุ่มลื่น สบายผิวรวมทั้งมีความยืดหยุ่นของผิวหนังดี ไม่รู้สึกระคายเคืองหรือตึงเกินไป คนที่มีผิวมัน จะสังเกตเห็นน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชูอย่างชัดเจนเป็นดวงๆ ส่วนใหญ่น้ำมันจะมาจากบริเวณจมูก หน้าผากและโหนกแก้ม คนที่มีผิวผสม น้ำมันมักจะพบบริเวณหน้าผากและจมูก จะไม่พบบริเวณแก้ม คนที่มีผิวแห้ง จะไม่พบน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชูเช่นเดียวกับผิวธรรมดา และเมื่อซับหน้าด้วยกระดาษทิชชู หากพบว่าผิวหน้าตึงมากหรือแห้งไม่สบายผิว เป็นตัวชี้วัดว่าเราเป็นคนผิวแห้งอย่างชัดเจน คนที่มีผิวแพ้ง่าย บอบบาง ผิวหน้าจะตึงและระคายเคืองง่ายมากแม้บนกระดาษทิชชูที่นุ่มนวล มีปัญหาแพ้ง่าย แดง ระคายเคืองง่ายต่อผลิตภัณฑ์ทั่วๆไปในท้องตลาด หาที่ถูกใจและไม่แพ้ยากมาก  อ่านวิธีการดูแลผิวธรรมดา (ฉลาดซื้อ ฉบับ 120) การดูแลผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย (ฉลาดซื้อ ฉบับ 121)  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 121 วิธีดูแลผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย

ขั้นแรกสุดในการทำให้ผิวตัวเราเองสวยคือการต้องเรียนรู้ว่าผิวเราเองเป็นผิวแบบไหน ความรู้เกี่ยวกับผิวตัวเราเองจะช่วยให้เราเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและวิธีการดูแลผิวพรรณเฉพาะแบบของเราเองได้ดีที่สุด ฉบับก่อนเราลงรายละเอียดการดูแลผิวธรรมดาไป คราวนี้มาต่อกันด้วยผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายนะคะ ------------------------------------------------------------------------------ ลักษณะของผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายคนที่มีผิวแห้ง เมื่อใช้กระดาษเช็ดหน้า(ทิชชู) เช็ดทำความสะอาดหน้าในตอนเช้าทันทีที่เพิ่งตื่นนอนจะไม่พบว่ามีน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชู และมักจะพบว่าผิวหน้าตึงมากหรือแห้งไม่สบายผิว เป็นตัวชี้วัดว่าเราเป็นคนผิวแห้งอย่างชัดเจน คนที่มีผิวแพ้ง่ายผิวบอบบาง ผิวหน้าจะตึงและระคายเคืองง่ายมากแม้บนกระดาษทิชชูที่นุ่มนวล มีปัญหาแพ้ง่าย แดง ระคายเคืองง่ายต่อผลิตภัณฑ์ทั่วๆ ไปในท้องตลาด หาที่ถูกใจและไม่แพ้ยากมาก ------------------------------------------------------------------------------ ผิวแห้ง (DRY SKIN)คนที่มีผิวแห้ง ผิวมักจะบางแลดูคล้ายกระดาษ เนื่องจากมีรูขุมขนเล็กละเอียด ผิวหน้าแลดูไม่สดใส แห้งมีขุยไม่มากก็น้อย ผิวมักจะระคายเคืองง่าย และเกิดริ้วรอยแห่งวัยเร็วกว่าอายุจริง ผิวชนิดนี้เหมาะกับการเลือกใช้ไนท์ครีมที่เข้มข้น ควรจะอุดมด้วยสารชุ่มชื้นผิวและมีสารไขมันหรืออีมูเลี่ยน (Emollients)  การทำความสะอาดผิวหน้า ควรใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดครีมโฟมหรือครีมเช็ดหน้า ไม่ควรใช้สบู่ก้อนหรือสบู่เหลวเป็นอันขาด จะทำให้ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น ควรทาครีมโฟมล้างหน้าหรือครีมทำความสะอาดผิวหน้าทิ้งไว้สักครู่ใหญ่ก่อนที่จะล้างหรือเช็ดออก และควรบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวทันทีเพื่อปกป้องไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น   ในฤดูหนาว คนที่มีผิวแห้งจะยิ่งแห้งมากขึ้น ผิวจะลอกเป็นขุยและแตกเนื่องจากสูญเสียความชุ่มชื้นไปในอากาศมาก ผิวชนิดนี้นอกจากจะแห้งแล้วยังขาดน้ำมันหล่อลื่นจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังอีกด้วยอาจเนื่องจากธรรมชาติของคนผิวแห้งจะมีต่อมไขมันใต้ผิวหนังน้อยหรือสร้างน้ำมันซีบุ้มออกมาน้อย ผิวจะอ่อนไหวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศและเกิดริ้วรอยง่ายมาก ไม่ควรใช้โทนเนอร์ (Toner) เช็ดหน้าหลังล้างหน้า  การดูแลผิวหน้าในระหว่างวัน และควรเลือกใช้มอยสเจอร์ครีมที่มีส่วนผสมของสารกันแดดด้วย เพื่อป้องกันรังสียูวี การทาครีมบำรุงผิวสำหรับคนผิวแห้ง ควรทาทิ้งไว้สักครู่ใหญ่ เพื่อให้สารอาหารและเนื้อครีมซึมซับลงสู่ผิวหนังชั้นล่างให้มากที่สุดก่อนที่จะแต่งหน้าขั้นต่อไป  ควรให้ความเอาใจใส่เป็นพิเศษในตอนกลางคืนสำหรับคนผิวแห้ง การเช็ดเครื่องสำอางออกจากผิวหน้า ให้เริ่มต้นที่รอบดวงตาด้วยครีมเช็ดเมคอัพสำหรับรอบดวงตาโดยเฉพาะ และล้างด้วยน้ำเปล่าให้ผิวชุ่มชื้นและสดชื่น และบำรุงตามด้วยไนท์ครีมที่เข้มข้น อาจจะเหนียวเหนอะหนะบ้างก็จะดี แสดงว่าครีมมีความเข้มข้นด้วยน้ำมันอีมูเลี่ยน ซึ่งจะทำหน้าทีปกป้องผิวในตอนกลางคืนได้ดี หากไนท์ครีมทาแล้ว รู้สึกเบาบาง จะไม่เหมาะกับคนผิวแห้งเลย เพราะประสิทธิภาพการปกป้องผิวจะน้อยเกินไป  อีกประการที่ควรรู้ คือคนที่มีผิวแห้ง การอาบน้ำร้อนหรือแช่น้ำร้อนบ่อยๆไม่เป็นผลดีนัก จะทำให้ผิวแห้งมากขึ้น หากต้องการแช่น้ำอุ่น แนะนำให้ผสมน้ำมันหอมธรรมชาติลงไปในอ่างอาบน้ำด้วย เพื่อให้น้ำมันหอมไปเคลือบผิวให้นุ่มนวล ป้องกันผิวแห้งได้ดี  สิ่งที่ควรทำ1. ควรเติมครีมบำรุงผิวระหว่างวันด้วยนอกเหนือจากการบำรุงตอนเช้าและก่อนนอน จะช่วยได้มาก 2. ควรทาครีมกันแดด และควรใช้ไนท์ครีมที่เข้มข้นและเหนอะหนะหน่อยก็จะดีกว่าชนิดเบาบาง 3. ควรกินผลไม้มากๆ โยเกิร์ตและผักสด และดื่มน้ำมากๆในแต่ละวัน4. ควรให้ความสนใจกับผิวหนังรอบดวงตาที่แห้งมากกว่าส่วนอื่น สิ่งที่ไม่ควรทำ1. ไม่ควรตากแดดมากเกินไป2. ไม่ควรเช็ดถูผิวหน้าแรงๆ ไม่ควรใช้กระดาษหรือผ้าเช็ดหน้าที่หยาบระคายเคืองผิวหน้า เพราะผิวที่แห้งมักจะเปราะบางและระคายเคืองง่ายมาก  ผิวแพ้ง่าย (SENSITIVE SKIN)ผิวแพ้ง่ายพบในคนจำนวนมาก ผิวจะเปราะบางกว่าผิวชนิดอื่นที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ระคายเคืองง่าย ภายหลังการล้างหน้า ผิวชนิดนี้มักจะคันหรือระคายเคืองไม่มากก็น้อย บางครั้งจะพบรอยแดงๆ ได้บ่อย คนที่มีผิวแพ้ง่ายจะเลือกซื้อเครื่องสำอางทั่วไปในทองตลาดได้ยาก ควรทดสอบก่อนการตัดสินใจซื้อทุกครั้ง  การดูแลผิวที่แพ้ง่ายไม่ควรใช้สบู่ก้อนหรือสบู่เหลวล้างหน้า ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าเหมาะสำหรับผิวที่แพ้ง่าย  และบำรุงด้วยครีมบำรุงผิวที่ผ่านการทดสอบว่าเหมาะสำหรับผิวของคนกลุ่มนี้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอมเพื่อจะได้ไม่ระคายเคืองผิวหน้า  สิ่งที่ควรทำ1. ควรทดสอบอาการแพ้โดยใช้ผิวด้านในของท้องแขนทุกครั้งก่อนการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ หากมีอาการร้อนและแสบแดงและคันทันทีภายในระยะเวลาไม่กี่นาที ให้ล้างออกโดยทันที 2. ทุก 6 เดือน ควรโล้ะทิ้งเครื่องสำอางที่ใช้ไม่หมดที่อาจเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย เช่น ดินสอเขียนคิ้ว เขียนขอบตา และมาสคาร่า เป็นต้น  3. ไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่เห็นการแยกชั้นชัดเจนของน้ำมันและน้ำในสินค้าประเภทครีมหรือโลชั่น  สิ่งที่ไม่ควรทำไม่ควรเริ่มต้นใช้ครีมบำรุงผิวบนใบหน้า นอกจากมั่นใจว่าเป็นยี่ห้อที่เคยใช้และไม่มีอาการแพ้มาก่อน ไม่ควรไปตากแดดโดยปราศจากครีมกันแดด  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 120 คุณมีผิวแบบไหน?

  ขั้นแรกสุดในการทำให้ผิวตัวเราเองสวยคือการต้องเรียนรู้ว่าผิวเราเองเป็นผิวแบบไหน ความรู้เกี่ยวกับผิวตัวเราเองจะช่วยให้เราเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและวิธีการดูแลผิวพรรณเฉพาะแบบของเราเองได้ดีที่สุด  ในอดีต ผิวหนังคนเราไม่ได้มีการแยกแยะแต่ถูกจัดเป็นแบบเดียวกันหมด แต่ความรู้มากมายของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ในปัจจุบันได้มีการจัดแบ่งผิวหนังออกเป็นรูปแบบต่างๆ ตามกำเนิดของแต่ละคน และการบำรุงรักษาหรือดูแลผิวพรรณของแต่ละรูปแบบก็แตกต่างกัน งานวิจัยมากมายพบว่าความสวยและสมบูรณ์ของผิวหนังอยู่ที่คุณภาพผิวหนังชั้นล่างที่ลึกลงไปและที่สำคัญยังขึ้นอยู่กับคุณภาพตามกำเนิดของผิวหนังดั้งเดิมของแต่ละคนอีกด้วย คุณภาพผิวหนังที่ว่านี้จะเป็นตัวชี้วัดถึงอายุเจ้าของและบ่อยครั้งคุณภาพผิวหนังที่ดีจะช่วยชี้วัดให้เจ้าของแลดูอ่อนวัยกว่าอายุจริงได้มากถึง 10 ปีหรือกว่าก็ได้ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 เป็นต้นมาพบว่าสิ่งสำคัญที่เป็นกิจวัตรประจำวันของผู้หญิงทั่วโลกคือการดูแลความสวยงามของตนเองและบำรุงรักษาผิวหนังนั่นเอง ผู้หญิงทุกคนพยายามที่จะค้นหาผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง ดังนั้นการรู้ว่าผิวตัวเราเองจัดเป็นผิวแบบไหนจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญทีเดียว  วิธีการหาชนิดของผิวตัวเราเองผิวหนังแบ่งออกได้เป็น 5 แบบ คือ ผิวแห้ง ผิวธรรมดา ผิวมัน ผิวผสม และผิวแพ้ง่าย วิธีการง่ายๆ ในการจะรู้ว่าผิวเราเองเป็นแบบไหน โดยนำกระดาษทิชชูที่สะอาดเช็ดและซับผิวหน้าตัวเองในตอนเช้าทันทีที่เพิ่งตื่นนอนและสังเกตดู  - คนที่มีผิวธรรมดา จะไม่มีน้ำมันถูกดูดซับอยู่บนกระดาษทิชชู และผิวหน้าจะไม่ตึงหรือมีสะเก็ดคล้ายผิวลอกหรือเป็นขุย และเมื่อซับหน้าเสร็จ จะรู้สึกผิวหน้านุ่มลื่น สบายผิวรวมทั้งมีความยืดหยุ่นของผิวหนังดี ไม่รู้สึกระคายเคืองหรือตึงเกินไป  - คนที่มีผิวมัน จะสังเกตเห็นน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชูอย่างชัดเจนเป็นดวงๆ ส่วนใหญ่น้ำมันจะมาจากบริเวณจมูก หน้าผากและโหนกแก้ม - คนที่มีผิวผสม น้ำมันมักจะพบบริเวณหน้าผากและจมูก จะไม่พบบริเวณแก้ม - คนที่มีผิวแห้ง จะไม่พบน้ำมันถูกดูดซับบนกระดาษทิชชูเช่นเดียวกับผิวธรรมดา และเมื่อซับหน้าด้วยกระดาษทิชชู หากพบว่าผิวหน้าตึงมากหรือแห้งไม่สบายผิว เป็นตัวชี้วัดว่าเราเป็นคนผิวแห้งอย่างชัดเจน  - คนที่มีผิวแพ้ง่าย บอบบาง ผิวหน้าจะตึงและระคายเคืองง่ายมากแม้บนกระดาษทิชชูที่นุ่มนวล มีปัญหาแพ้ง่าย แดง ระคายเคืองง่ายต่อผลิตภัณฑ์ทั่วๆ ไปในท้องตลาด หาที่ถูกใจและไม่แพ้ยากมาก   วิธีดูแลผิวแต่ละแบบ เนื่องจากมีขั้นตอนและวิธีการที่ละเอียดในการดูแลผิวแต่ละชนิด จึงขอทยอยนำเสนอ ซึ่งจะเริ่มที่ผิวธรรมดาก่อนนะคะ   ผิวธรรมดา (NORMAL SKIN)ผิวแลดูสะอาดเกลี้ยงเกลา แสดงถึงความแข็งแรงของสุขภาพภายในร่างกาย บ่งบอกถึงการหมุนเวียนของระบบเลือดที่ดี ผู้หญิงบางคนอาจมีสิวได้ก่อนการมีรอบเดือน เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายที่มากขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันใต้ผิวหนังให้หลั่งน้ำมันออกมามากขึ้นที่ผิวหนัง แต่สิวสาวที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผิวชนิดธรรมดา ควรหมั่นดูแลบำรุงให้ผิวแข็งแรงอย่างสม่ำเสมอเพื่อยืดอายุผิวให้ยาวนานที่สุด วิธีดูแลผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ นุ่ม ลื่นเปล่งปลั่งและแข็งแรงสำหรับคนมีผิวธรรมดา 1. ทำความสะอาดผิวเป็นประจำ วันละ 2 ครั้งโดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ฟองน้อยๆ หรือชนิดไม่มีฟองยิ่งดี อาจเป็นชนิดล้างออกด้วยน้ำเปล่าหรือเช็ดออกก็ได้เช่นกัน  2. ทาบำรุงด้วยโลชั่นหรือครีมบำรุงผิวหน้าก่อนนอนทุกครั้งเพื่อปรับสมดุลของความชุ่มชื้นในผิวหนังกับสภาวะอากาศรอบตัว ไม่ควรเข้านอนโดยปราศจากครีมบำรุงผิวหน้า  3. การทำความสะอาดผิวหน้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผิวทุกแบบ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนที่สุด จะเป็นตัวช่วยให้รูขุมขนเล็ก และการใช้โลชั่นใสเช็ดหน้าชนิด แอสตรินเจนท์ (astringent) จะช่วยขจัดส่วนเกินของสารทำความสะอาดที่อาจหลงเหลืออยู่บนผิวหน้าได้ แต่ควรเลือกชนิดที่ปราศจากแอลกอฮอล แต่หากเช็ดหน้าแล้วเย็นวูบ แสดงว่ามีแอลกอฮอลเป็นส่วนประกอบ  4. การใช้เครื่องเป่าผม ควรหลีกเลี่ยงให้ลมร้อนพ้นจากผิวหน้า จะได้ไม่ทำให้ผิวแห้ง  5. การรักษาความชุ่มชื้นของผิวหน้า ควรเลือกใช้โลชั่นหรือครีมบำรุงที่มีน้ำมันหรือไขมันพอสมควรก่อนการแต่งหน้า เพื่อปกป้องผิวหน้าไม่ให้สูญเสียความชุ่มชื้นไปในอากาศ หากกลัวความมัน ให้ทาบางๆจะได้ประโยชน์กว่าการเลือกใช้ครีมบำรุงที่ไม่มัน เพราะในระยะยาว ผิวจะแห้งง่าย แก่เร็ว  6. ผลิตภัณฑ์กันแดดสำคัญมากในโลกปัจจุบันที่มีภาวะโลกร้อน ควรทาครีมกันแดดรองพื้นก่อนออกแดด เช่น ไปทะเลหรือสถานที่มีรังสีโดยตรง เพื่อป้องกันผิวแห้งและเหี่ยวย่น  7. การใช้ครีมพอกหน้าชนิดที่ปราศจากองค์ประกอบที่ทำให้ผิวแห้ง จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของระบบเลือดใต้ผิวหนัง และช่วยรักษาผิวหน้าให้นุ่ม ลื่นมีน้ำมีนวล เปล่งปลั่ง ควรทำอย่างน้อย 2 อาทิตย์ต่อครั้ง จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง  การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับผู้ที่มีผิวแบบธรรมดานี้จะเป็นตัวช่วยที่สำคัญที่จะช่วยให้ผิวดูเต่งตึง เนียนนุ่ม และป้องกันผิวแก่ก่อนวัยได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผิวใต้ตาเนื่องจากผิวหนังใต้ตาจะปราศจากต่อมไขมัน ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาแห้งง่ายที่สุด เหี่ยวย่นเห็นชัดเร็วที่สุด  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 119 ทองคำบริสุทธิ์ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้เต่งตึงได้ จริงหรือ?

  ทองคำ นับเป็นอัญมณีล้ำค่าตลอดกาล มนุษย์มักจะให้ความสำคัญกับอัญมณีที่มีค่าและหายากมาสัมพันธ์กับสุขภาพกายและความงามเสมอ มีประวัติการนำทองคำบริสุทธิ์มาดัดแปลงใช้กับส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้า โดยเชื่อว่าจะช่วยชะลออายุผิวพรรณตั้งแต่ครั้งยุคของพระนางคลีโอพัตรา และมีใช้ในระดับผู้นำสูงสุดอีกหลายทวีป เช่น จีน อัฟริกา รวมทั้งยุโรป  แม้จะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ว่าทองคำจะช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของผิวหนังได้อย่างไร แต่ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของทองคำได้ออกสู่ตลาดในหลายรูปแบบ ทั้งครีมทาผิว ครีมพอกหน้า รวมทั้งแผ่นทองคำเปลวบริสุทธิ์ 24 เค สำหรับพอกหน้า เราจะมาดูว่ามีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อะไรบ้างที่พอจะเชื่อถือได้ว่าทองคำมีส่วนดีต่อสุขภาพทางกายและความสวยงาม และก่อให้เกิดอาการข้างเคียงได้หรือไม่ การนำทองคำมาใช้ประกอบอาหารและเครื่องดื่มจากหลักฐานทางการวิทยาศาสตร์ พบว่าโลหะทองคำบริสุทธิ์ จะไม่มีปฏิกิริยากับสารเคมีใดๆ หรือต่อเซลล์ของร่างกายเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรืออาการข้างเคียง สหภาพยุโรป หรือ อียู ได้รับรองและอนุญาตให้ทองคำจัดอยู่ในกลุ่มสารเติมแต่งผสมในอาหารได้ (Food Additives) ในประเทศเยอรมนีและยุโรปหลายประเทศ มีการนำแผ่นทองคำเปลวหรือในรูปผงบดละเอียดมาประยุกต์ใช้ตกแต่งอาหาร รวมทั้งการผสมในเครื่องดื่มยี่ห้อเก่าแก่   เช่น  Goldschläger, Gold Strike, and Goldwasser. ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเครื่องดื่มสุขภาพที่แพงจัด ในประเทศทางแถบเอเชีย เช่น บาหลี มีการนำทองคำมาผสมในการทำขนมหวาน อย่างไรก็ตามเนื่องจากโลหะทองคำมีคุณสมบัติเฉื่อย จึงไม่มีปฏิกิริยากับสิ่งแวดล้อมในร่างกาย  ดังนั้นจึงไม่มีรสชาติ และไม่มีคุณค่าทางอาหาร และจะถูกขับออกจากร่างกายได้โดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลงใดๆ   ทองคำกับการรักษาโรค เป็นความเชื่อของคนยุคโบราณว่าทองคำมีศักยภาพของการสมานโรค (Healing power) ช่วยให้สุขภาพที่แย่ดีขึ้น ทางการแพทย์ได้มีการทดลองนำแร่ทองคำมาเตรียมให้อยู่ในรูปของเกลือ (Goldsalts) พบว่าอนุพันธ์ดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบและบวมช้ำของโรคเก๊า (Rheumatoid arthritis) ซึ่งได้มีการทดลองนำมารักษาโรคดังกล่าวไม่น้อยกว่า 80 ปีที่ผ่านไป กลไกยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่าแร่ทองคำสามารถต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากข้อกระดูกที่อักเสบ ทำให้บรรเทาความเจ็บปวดและบวมช้ำได้ผล อย่างไรก็ตาม การฉีดแร่ทองคำในรูปแบบของเกลือหรือโกลด์ซอล์ท จะก่อให้เกิดอันตรายข้างเคียงในการยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวได้ และยังมีผลสะสมในตับและไตอีกด้วย ผู้ที่ได้รับการรักษาจึงควรจะคอยตรวจเช็คเลือดอย่างสม่ำเสมอ   ทองคำกับการลดเลือนริ้วรอยจากการค้นพบทางการแพทย์ที่ว่า ทองคำสามารถต้านอนุมูลอิสระได้และส่งผลให้เกิดกลไกในการต้านอาการอักเสบของข้อกระดูกในโรคเก๊าได้ผลดี ทำให้นักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางเชื่อว่า “ด้วยกลไกเดียวกันนี้โลหะทองคำน่าจะมีประสิทธิภาพต้านอนุมูลอิสสระของผิวหนังและต้านอาการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากรังสียูวีได้” จึงมีการนำทองคำมาประยุกต์ใช้ผสมในเครื่องสำอางที่มีราคาแพงในรูปแบบต่างๆ เพื่อประโยชน์ของการยืดอายุผิวพรรณและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์ที่แน่ชัดทางวิทยาศาสตร์ว่าประสิทธิภาพการชะลออายุผิวพรรณเมื่อใช้ทองคำเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆว่าจะคุ้มราคาหรือไม่   ความเป็นพิษและอาการข้างเคียงแม้ว่าแร่ทองคำบริสุทธิ์ไม่เป็นพิษหรือไม่ระคายเคืองต่อเซลล์ร่างกาย แต่ถ้าแร่ทองคำได้ถูกเปลี่ยนแปลงโดยกระบวนการทางเคมีให้อยู่ในรูปของเกลือหรือโกล์ดซอล์ท จะมีอันตรายต่อไต ต่อตับ และยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดหากได้รับเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนั้นยังพบว่าแร่ทองคำมีผลทำให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองผิวหนังได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลข้างเคียงดังกล่าวมักพบในผู้หญิง จนได้รับการโหวตให้เป็นสารก่อภูมิแพ้ในปี 2001 โดยสมาคมโรคผิวหนังของสหรัฐอเมริกา   เอกสารอ้างอิง1. Gold: From Wikipedia, the free encyclopedia2. Rheumatoid arthritis and metal compounds—perspectives on the role of oxygen radical detoxification Analyst, January 1998, Vol. 123 (3–6).

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 118 เลเซอร์กับรอยเหี่ยวย่น

เลเซอร์กับรอยเหี่ยวย่น การลดริ้วรอยเหี่ยวย่นด้วยแสงเลเซอร์ เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์โดยใช้พลังแสงเลเซอร์ในการลอกเซลล์ผิวหนังชั้นบนสุดที่มีปัญหาออกไป เพื่อต้องการเผยให้เห็นชั้นผิวใหม่ที่ขาวและสดใส ในขณะเดียวกันพลังแสงเลเซอร์สามารถให้ความร้อนแทรกลึกลงไปในผิวหนังชั้นล่างเพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจนใหม่ให้มากขึ้นทำให้ผิวหนังเต่งตึงภายหลังจากการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ช่วงคลื่นที่แตกต่างกันของแสงเลเซอร์จะถูกดูดซับโดยเซลล์เป้าหมายต่างชนิดกันของผิวหนังช่วงคลื่นที่จำเพาะต่อเซลล์เป้าหมาย จึงไม่มีผลต่อเซลล์ข้างเคียงหรือมีน้อยมาก แสงเลเซอร์สามารถเผาให้น้ำร้อน เผาเม็ดสีของผิวหนังให้ไหม้และหลุดลอกออกไป ศัลยกรรมที่ใช้เลเซอร์ก็เช่นกัน สามารถใช้ลำแสงผ่าตัดเนื้อเยื่อได้ ดังนั้นแสงเลเซอร์จึงใช้ในการรักษาปัญหาผิวหนังมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับเป็นการทำเบบี้เฟซ ที่นิยมกันมากในปัจจุบันเลเซอร์ ที่นำมาใช้ในการรักษาโรคทางผิวหนังมีหลายชนิด   ชนิดที่นำมาใช้ในการลอกผิวหน้าลดริ้วรอยเหี่ยวย่นที่ไม่ลึกมากนัก เช่น คาร์บอนด์ไดออกไซด์เลเซอร์ (carbondioxide laser) เมื่อ แสงเลเซอร์กระทบเซลล์ผิวหนัง น้ำซึ่งอยู่ภายในเซลล์จะเป็นเป้าหมายที่รับพลังงานแสงไว้ และจะมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานที่ได้รับเป็นความร้อน พลังงานที่เหมาะสมจะทำให้น้ำในเซลล์ระเหย และทำให้มีการหลุดลอกของเซลล์ออกไป โดยไม่มีผลต่อเซลล์ข้างเคียง หรือมีน้อยมาก     การใช้ เลเซอร์ ในการลอกผิวหน้า มีข้อดี "กว่า" การลอกหน้าโดยใช้วิธีอื่น คือ สามารถควบคุมความลึกของ การลอกผิว ได้ดี เนื่องจากมีการพัฒนาเครื่องเลเซอร์ ให้สามารถปล่อย พลังงานสูงๆ ในระยะเวลาสั้นๆ (Ultrapulse) และยังมีการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสแกนเนอร์ในการควบคุมการปล่อยลำแสงเลเซอร์ทำให้เซลล์ผิวหนังหลุดลอกเพียงชั้นตื้นๆ   นอกจากนี้ยังพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในชั้นหนังแท้ คือเนื้อเยื่อคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพิ่มปริมาณขึ้น และมีการเรียงตัวที่เป็นระเบียบมากขึ้น มีผลทำให้ผิวหนังเต่งตึงและกระชับการลอกผิวหน้าโดยใช้ แสงเลเซอร์ ใช้รักษาอะไรได้บ้าง   - รักษา ริ้วรอยย่น บนใบหน้า (wrinkle) -รักษาผิวหนังย่นบริเวณใต้ตา ช่วยให้กระชับขึ้น - ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง ผิวใหม่ที่สร้างขึ้นมาทดแทน จะแน่นกระชับขึ้น สีผิวสม่ำเสมอ - ตบแต่ง แผลเป็น จากสิว  และ จากสาเหตุอื่น อาการข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้   1. อาการร่วมทั่วไประยะแรกเริ่ม : ทันทีภายหลังจากการทำเลเซอร์ จะรู้สึกคล้ายแดดเผาอ่อนๆ ที่ผิวหนัง อาจมีอาการคัน แสบร้อนในระยะ 72 ชั่วโมงแรก แพทย์ผู้ทำการรักษามักจะแนะนำให้ปกป้องผิวหนังให้ชุ่มชื้นด้วยครีมบำรุงผิวหรือขี้ผึ้ง อย่างน้อย 10 วัน  2. อาการบวมบริเวณผิวหนังที่ทำการรักษา พบได้เป็นภาวะปกติประมาณ 2-3 เดือน   3. ผิวแดงบริเวณที่ทำการรักษา ซึ่งมักจะค่อยๆ จางหายไปในระยะเวลา 2-3 เดือน สามารถปกปิดได้ด้วยการทาครีมรองพื้นแต่งหน้าได้ 4. สีผิวคล้ำขึ้น (hyperpigmentation) พบได้บ่อยมากในคนที่มีสีผิวคล้ำอยู่แล้ว แต่ในคนที่สีผิวขาวบางรายก็พบว่ามีสีผิวคล้ำได้เช่นกัน โดยทั่วไปสีที่คล้ำขึ้นจะจางลงได้ อาจใช้เวลาหลายเดือน แต่แพทย์สามารถให้ยาทาบางชนิดเพื่อช่วยลดการทำงานของเม็ดสี การเลี่ยงแสงแดด และใช้ ครีมกันแดดในวันที่ต้องออกไปกลางแดด จะช่วยให้ปัญหาของสีผิวคล้ำลดลง  5. การกำเริบของเชื้อเริม บริเวณแผล พบได้ในรายที่มีประวัติเคยมีการติดเชื้อเริมมาก่อน ถ้าบริเวณแผลมีอาการแดง หรือเป็นแผลถลอก ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อเริมได้  6. การอักเสบของแผลจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา ถ้าดูแลแผลถูกต้องจะพบปัญหานี้น้อยมาก แต่ถ้าเกิดขึ้น อาจทำให้มีแผลเป็นตามมาในภายหลัง  ถ้าพบว่าบริเวณแผลมีอาการแดง หรือคันผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์  7. การเกิดแผลเป็น มักพบในรายที่มีการอักเสบติดเชื้อของแผล จากการดูแลแผลไม่ถูกต้อง หรือในรายที่ได้ยารับประทานในกลุ่มกรดวิตามินเอมาก่อน ภายในเวลา 1 ปีก่อนการรักษา หรือในผู้รับการรักษาบางรายที่เกิดแผลเป็น หรือคีลอยด์ได้ง่าย   เอกสารอ้างอิงwww.livestrong.com

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 117 โบทอกซ์กับการลบเลือนริ้วรอย

  ศาสตร์และศิลป์ถูกนำมาใช้เพื่อชะลอความเหี่ยวย่นของผิวหนังบนใบหน้ามานานนับพันปี ใน 10 ปีที่ผ่านไป โบทอกซ์และสารเติมเต็มหรือฟิลเลอร์ทั้งหลายได้รับความนิยมในธุรกิจความงามอย่างชนิดก้าวกระโดดเพื่อให้ผิวหน้าแลดูอ่อนวัย ลบเลือนริ้วรอยบนใบหน้าออกไปได้ทันใจเมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง   รู้จักกับโบทอกซ์โบทอกซ์ (Botox) เป็นยาที่ผลิตจากโปรตีนที่สกัดจากแบคทีเรียมาทำให้บริสุทธิ์  มีฤทธิ์ยับยั้งการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ริ้วรอยย่นของผิวหนังจึงลดลง ทางการแพทย์มีการนำมาใช้ตั้งแต่ปี 1970 เพื่อรักษาโรคกล้ามเนื้อหดเกร็ง ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ใช้เป็นยารักษาโรคในปี 1989 และใช้สำหรับลบริ้วรอยบนใบหน้าตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 โดยบริษัท Allergan Inc สหรัฐอเมริกา ในปัจจุบันมีหลายยี่ห้อผลิตออกมาจากประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศจีนซึ่งมีราคาถูก   ตัวยาจะอยู่ในรูปผงแห้ง บรรจุอยู่ในขวดสุญญากาศปราศจากเชื้อ เวลาใช้ แพทย์จะต้องละลายด้วยน้ำเกลือ 0.9%ก่อนฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการ ขนาดของยาจะถูกกำหนดตามความเหมาะสมของจำนวนริ้วรอยโดยแพทย์ที่ทำการรักษา แน่นอนจะต้องเจ็บเมื่อโดนเข็มฉีดยา โดยทั่วไปแพทย์จะทำการทายาชาทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีก่อนฉีด สามารถกลับบ้านได้ทันทีภายหลังจากพักเพียง 30 ถึง 60 นาที ผู้ที่ผิวบอบบาง อาจเห็นจ้ำเขียวของเข็มฉีดยาได้บ้างแต่มักหายไปในไม่ช้า ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับฝีมือแพทย์   ระยะเวลาที่เริ่มเห็นผลของการลดเลือนริ้วรอย ประมาณ 2-7 วัน และฤทธิ์ยามักจะอยู่ได้ประมาณ 3-8 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของแต่ละบุคคลที่ชอบแสดงออกทางสีหน้า ริ้วรอยบนหน้าผาก รอยตีนการอบดวงตาและหัวคิ้ว มักจะเป็นผิวหนังบริเวณที่แพทย์มักจะฉีดให้มากที่สุด ฤทธิ์ยาจะค่อยๆ หมดไปเอง และเมื่อต้องการก็ไปให้แพทย์ฉีดซ้ำ ซึ่งพบว่าผู้บริโภคที่เคยฉีดโบทอกซ์มักจะนิยมฉีดซ้ำ เพราะกลัวริ้วรอยแห่งวัย กลายเป็นเสพติดอย่างหนึ่งของสังคมไฮโซของทั้งหญิงและชาย   ราคาประมาณ 5000 ถึง 10000 บาทต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของยาที่ต้องใช้ฉีด  อาการข้างเคียงและอันตราย ไม่มีอันตรายถึงชีวิต  เมื่อใช้โดยผู้เชี่ยวชาญ ผลข้างเคียงส่วนมากที่เกิดขึ้นมักเป็นแบบเฉพาะที่ เช่น หนังตาตก  กลืนอาหารลำบาก  หน้าไม่สมมาตร  หรือจุดเลือดออกในบริเวณที่ฉีด  ซึ่งเกิดได้แม้ในมือผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นแพทย์ และผู้ทำการรักษาจึงควรคุยกันโดยละเอียดก่อนการฉีดทุกครั้ง   สารเติมเต็ม หรือ “ฟิลเลอร์  คืออะไร อายุที่มากขึ้นทุกปี ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นลดลง กล้ามเนื้อขาดความหนาแน่นรวมถึงสภาพชั้นไขมันใต้ผิวหนังเปลี่ยนไป ริ้วรอยจากรอยตื้นๆ กลายเป็นร่องหรือถุง เช่น แก้มหย่อนคล้อยหรือแก้มตก ร่องลึกใต้ขอบตาล่าง รอยบริเวณเหนือริมฝีปากและช่วงล่าง จมูกไม่ได้สัดส่วนตามที่เจ้าของต้องการ ร่องรอยที่กล่าวไปนั้นแพทย์สามารถช่วยโดยการฉีดสารที่เรียกกันทั่วไปว่า สารเติมเต็ม หรือ ฟิลเลอร์ (Filler) เข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังเพื่อลดเลือนร่องรอยแห่งวัยให้เบาบางลง สารเติมเต็มได้เริ่มต้นพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 โดยใช้คอลลาเจนสกัดจากวัว ต่อมามีการพัฒนาโดยใช้คอลลาเจนสกัดจากคนและจากหมูเพื่อลดปัญหาภูมิแพ้จากวัว ปัจจุบัน 85% ของสารเติมเต็มในท้องตลาดจะพัฒนาโดยใช้สาร ไฮยาลูโรนิคแอซิด หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า ไฮยาลูโรแนน มีทั้งพัฒนาจากเนื้อเยื่อของสัตว์และจากสารสังเคราะห์ มีคุณสมบัติที่คงตัว ไม่ทำปฏิกิริยาต่อเซลล์ผิวหนัง มีอายุยาว และมีประสิทธิภาพเต็มเติมได้ดี ผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดที่ใช้ฉีดมีมากมาย แตกต่างกันที่เปอร์เซ็นต์ความเข้มข้น ขนาดอนุภาคและน้ำหนักโมเลกุลของสาร หากฉีดที่ความเข้มข้นสูง อนุภาคใหญ่ จะเติมเต็มร่องลึกได้ดี สามารถต้านการย่อยสลายได้ดี ทำให้อยู่ทนนานขึ้น อย่างไรก็ตามพบว่า สารเติมเต็มที่มีประสิทธิภาพอยู่ได้นานหรือชนิดถาวร  มักจะก่อให้เกิดปัญหาไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเวลาผ่านไป ผิวหนังเริ่มหย่อนคล้อย สารเติมเต็มใต้ผิวหนังชนิดถาวรมักจะปรากฏเป็นก้อนนูนให้เห็นชัดคล้ายเนื้อนูนแข็งๆ ไม่น่าดูยิ่งนัก หลายคนอาจต้องไปพบแพทย์เพื่อผ่าออก   ระยะเวลาการออกฤทธิ์  คอลลาเจนจากวัว หมู หรือจากคน จะมีฤทธิ์ 2-6 เดือน ไฮยาลูโรแนน ที่มีอนุภาคเล็ก มักจะมีประสิทธิภาพอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ส่วนอนุภาคใหญ่จะอยู่ได้นานขึ้นเป็น 18-24 เดือน ราคาประมาณ 10000 ถึง 30000 บาทขึ้นอยู่กับชนิดของสารเติมเต็มที่เลือกใช้   ข้อควรรู้เพื่อใช้ในการตัดสินใจ ในการเข้ารับบริการ1. ผู้ให้บริการ ขั้นต่ำต้องเป็นแพทย์ (Medical Doctor) และควรเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง หรือ อาจเรียกสั้นๆ ว่าแพทย์ผิวหนัง 2. เครื่องมือ วิธีการ หรือสารที่ใช้ร่วมกับหัตถการ ผ่านมาตรฐานทางวิชาการและความปลอดภัยของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จากกระทรวงสาธารณสุข3. ผู้รับบริการ ควรศึกษาหาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวแพทย์ผู้ทำหัตถการและเครื่องมือหรือสารที่จะฉีดดังกล่าวว่ามีผลข้างเคียงมากน้อยเพียงไร รับคำปรึกษาและแนะนำก่อนเข้ารับการรักษาจากแพทย์ เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นขณะรักษาและหลังรักษาได้4. ควรทำการถ่ายรูปใบหน้าก่อนทำการรักษาและภายหลังจากที่ได้ให้แพทย์ฉีดสารแล้ว เพื่อเป็นหลักฐานในการรักษา เอกสารอ้างอิง Zachary J. Berbos and William J. Lipham. Update on botulinum toxin and dermal fillers. Current Opinion in Opgthalmology 2010, 21: 387-395.  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point