ฉบับที่ 237 กระชับรูขุมขน

        หลายคนพอส่องกระจกแบบชิดใกล้เห็นรูขุมขนบริเวณจมูก โหนกแก้ม หน้าผาก แล้วอาจเกิดความเครียดเอาได้ง่ายๆ เพราะกังวลใจในเรื่องของรูขุมขนที่ขยายกว้างทำให้ผิวดูไม่เรียบเนียน จริงๆ ถ้าไม่ได้มีปัญหาสิว สิวอักเสบ มันก็เป็นเรื่องปกติของผิวบริเวณนั้น เป็นเรื่องธรรมชาติที่เป็นกันทุกคน เห็นชัด ไม่ชัด ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งกรรมพันธุ์ เชื้อชาติ ประเภทของผิว การสัมผัสแดดหรืออายุ         แต่เชื่อไหมว่า รูขุมขนกว้างเป็นปัญหาลำดับต้นๆ ที่สาวไทยกังวล ทำให้มีผลิตภัณฑ์และรูปแบบการรักษานำมาเสนอขายกันไม่หวาดไหว ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ต้องรักษาเพราะไม่ได้เป็นภาวะผิดปกติ และรูขุมขนกว้างทำให้หายไปไม่ได้ มีแต่เพียงวิธีที่จะช่วยทำให้มันดูกระชับขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น         รูขุมชนที่ดูกว้างจนเห็นชัดเจนนั้นเกิดจากต่อมผลิตไขมันใต้ผิวหนังขยายขนาดใหญ่ขึ้นกว่าปกติ โดยผิวหนังบริเวณรอบๆ จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงหรืออักเสบ กล่าวคือไม่ได้เจ็บปวดอะไร ไม่พยายามไปยุ่งกับมันแค่ทำความสะอาดเพื่อลดปริมาณสิ่งสกปรกก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าอยากจะกระชับรูขุมขนบนผิวหน้าเพื่อให้แลดูเล็กลงสักนิด ต้องเริ่มที่การทำความสะอาดและลดปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง                 การทำความสะอาดผิวหน้า        ล้างหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ไม่ผสมสารที่อาจทำให้เกิดความระคายเคือง หรือมีค่ากรดด่างที่เข้มข้น และไม่ควรล้างหน้าบ่อยเกินไปเพราะผิวจะยิ่งแห้งและเร่งการผลิตไขมัน ยิ่งทำให้รูขุมขนขยายกว้างขึ้น         การบำรุงผิว         เลือกครีมบำรุงผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิว เลี่ยงครีมบำรุงที่ผสมน้ำมันหนักๆ เพราะเมื่อน้ำมันรวมกับเซลล์ผิวที่ตายอาจเกิดการอุดตันที่บริเวณรูขุมขน กลายเป็นสิวอักเสบได้ ซึ่งจะยิ่งทำให้รูขุมขนไม่กระชับ         การแต่งหน้า         ช่วยปกปิดรูขุมขนกว้างได้แน่ๆ แต่เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวและต้องล้างทำความสะอาดก่อนนอนไม่ปล่อยให้เกิดการตกค้างบนผิว         ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงยูวี         รังสียูวีเป็นสาเหตุหนึ่งที่มีส่วนทำให้รูขุมขนขยายกว้าง เพราะทำลายคอลลาเจน อีลาสติน บนผิวทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นไม่กระชับ         ไม่สัมผัสหน้าด้วยมือบ่อยๆ           เพราะอาจนำสิ่งสกปรกสู่ผิว ไม่บีบหรือเค้นสิว ควรรักษาให้ถูกวิธี         ทำให้ผิวแห้งและลดความมัน         การทำผิวให้แห้งจะทำให้ชั้นเคราตินหดตัวเล็กลง จึงดูเหมือนว่ารูขุมขนมีขนาดเล็กลงด้วย โดยอาจเลือกใช้คลีนเซอร์แบบ oil-control หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของซาลิไซลิค เอสิด ซึ่งจะช่วยป้องกันความมันบนใบหน้าได้         ลดความมันของผิวด้วยการมาสก์หน้าเฉพาะจุด         ผิวหน้าในแต่ละจุดอาจมีความมันไม่เท่ากัน ทำให้บางจุดดูรุขุมขนกว้างกว่าบริเวณอื่น ดังนั้นส่วนที่รูขุมขนกว้างผิวมันมาก อาจมาสก์เฉพาะจุดนั้นๆ เช่น จมูก หน้าผาก โดยทำตามวิธีที่ระบุบนฉลากผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานและล้างให้สะอาด         ลดความมันบนผิวหน้าระหว่างวัน         กลางวันอาจใช้กระดาษซับมันช่วยลดความมันบนใบหน้า และลดสิ่งสกปรกที่ค้างบนผิว         การใช้บริการคลินิกความงาม         ควรเลือกใช้วิธีที่ได้มาตรฐานมีการควบคุมด้วยผู้เชี่ยวชาญ ที่สำคัญต้องจำไว้ว่า ยังไม่มีวิธีการทางแพทย์วิธีใดที่จะทำให้รูขุมขนกว้างหายไปได้ และอาจจะยิ่งเสี่ยงก่อให้เกิดปัญหากับผิวมากยิ่งขึ้นหากเลือกวิธีการที่ไม่เหมาะสม จึงควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนเลือกใช้บริการ         แอปพลิเคชั่น         วิธีนี้ไม่ทำให้รูขุมชนกว้างหายไปจากใบหน้า แต่ช่วยให้เวลาถ่ายรูปออกมาแล้วสวยเนียนกริบได้แน่นอน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 236 รับมือกับปัญหาสิว

        สิวเกิดขึ้นเพราะผิวหนังมีการอุดตันอยู่ใต้รูขุมขน เมื่อต่อมไขมันผลิตไขมันมากและระบายออกไม่ดีจะเกิดการอุดกลั้นทางเดินของไขมันทำให้เป็นสิว ซึ่งแบ่งได้สองลักษณะใหญ่ คือ ยังไม่อักเสบจะแค่เป็นสิวหัวขาวหรือสิวหัวดำ แต่ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียจะทำให้เกิดการอักเสบของสิวกลายเป็นสิวอักเสบและสิวที่เป็นหนอง         สิวมักเป็นปัญหาใหญ่ของวัยรุ่น แต่ผู้ใหญ่ก็เป็นได้เนื่องจากสิวเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย สิวจะว่าเป็นปัญหาเล็กหรือใหญ่ก็ได้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา โดยเฉพาะปัญหารอยแดงหรือรอยแผล(หลุมยุบ)จากสิว ส่วนใหญ่เป็นแล้วหายอยาก บางคนดูแลไม่ดีกลายเป็นเรื่องให้เคืองใจกันตลอดชีวิต ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาต้องรักษาสิวให้ถูกวิธีตั้งแต่แรก  การรักษาสิว         วิธีที่ได้ผลดีและถูกต้องคือการใช้ยา ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องใช้ยาหลายตัวประกอบกันมีทั้งแบบรับประทานและยาทา ดังนั้นควรได้รับการดูแลโดยแพทย์ผิวหนัง เพื่อวินิจฉัยสาเหตุหรือต้นเหตุที่ทำให้เกิดสิว และเพื่อป้องกันอาการข้างเคียงไม่พึงประสงค์         อย่างไรก็ตามบางคนมีสิวแค่เม็ดสองเม็ดจะไปหาหมอก็ดูยุ่งยากเกินไป ปัจจุบันจึงมียาแต้มสิวออกมาเป็นผู้ช่วยสำหรับการรักษาเพื่อให้สิวยุบตัวอย่างรวดเร็ว การเลือกใช้ยาหรือเจลแต้มสิว ต้องเลือกให้ถูกกับชนิดของสิวที่เป็น ธรรมดาสิวแบบไม่อักเสบ (กดไม่เจ็บ) จะรักษาง่ายกว่าสิวอักเสบ เพราะเพียงกำจัดความมัน(ส่วนเกิน) และเลือกยาที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวให้ไวขึ้น เช่น Benzoyl Peroxide (เบนโซอิล เปอร์ออกไซด์) หรือยาในกลุ่มวิตามินเอ สิวก็ไม่กลับมากวนใจอีกเพียงแต่ต้องดูแลในภายหลังให้ถูกวิธี        ส่วนสิวที่รักษายากคือสิวอักเสบ ที่เกิดเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สิวมักจะมีลักษณะบวม แดง มือกดแล้วเจ็บ การรักษาทำได้โดยใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาภายนอกจะช่วยรักษาสิวอักเสบโดยเฉพาะ ที่นิยมคือ ตัวยา Clindamycin (คลินดามัยซิน)         เวลาจะทายาสิวควรทาเฉพาะจุดที่มีปัญหาสิวเท่านั้น ป้องกันการแพ้ยา และอ่านคู่มือการใช้ยาให้ละเอียดก่อนการใช้ ยาแต้มสิวประเภทยาปฏิชีวนะควรทาขณะผิวชื้น(หลังอาบน้ำหรือล้างหน้าทันที) เพราะจะช่วยให้ยาสามารถซึมถึงจุดที่อักเสบได้ดีที่สุด         กรณีรักษาสิวอักเสบ เมื่อใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาผู้ใช้ต้องคงระยะเวลาการใช้ยาให้ต่อเนื่องแม้สิวยุบแล้วเพื่อป้องกันการดื้อยาในอนาคต และอีกเรื่องหนึ่งคืออย่าใจร้อน บางครั้งการรักษาด้วยยาตัวแรกได้ผลไม่ทันใจ ก็รีบร้อนเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่น แบบนี้จะสร้างปัญหามากกว่าการแก้ไขปัญหาเพราะเสี่ยงทำให้เกิดการดื้อยาและเกิดอาการแพ้ยาได้เช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 235 หน้าฝนระวังอาการภูมิแพ้เชื้อรา

        ฝนตกหนักน้ำท่วมขังและบ้านที่อับชื้น ไม่เพียงทำให้อารมณ์ไม่สดชื่น มันอาจเสี่ยงกับอาการภูมิแพ้เชื้อราด้วย  ซึ่งคนที่รู้ตัวว่ามีอาการภูมิแพ้อากาศคงไหวตัวทัน เมื่อเริ่มหายใจอึดอัด น้ำตาไหล หรือเกิดหอบหืดกำเริบ แต่หลายคนอาจเพิ่งเริ่มหรือเพิ่งเคยมีอาการ ก็ขอให้ระมัดระวังและเร่งป้องกันก่อนกลายเป็นปัญหาใหญ่        ในสิ่งแวดล้อมมีเชื้อราลอยอยู่ในอากาศทั่วไป ซึ่งมีทั้งชนิดก่อให้เกิดโรคและไม่ก่อให้เกิดโรค แต่เชื้อราบางชนิดอาจทำให้เกิดโรคได้ถ้าร่างกายอ่อนแอ ปกติคนแข็งแรงมักไม่ก่ออาการ แต่ในคนที่มีอาการภูมิแพ้อาจจะมีอาการน้ำมูกไหล หายใจไม่ออก น้ำตาไหล หอบหืด มีผื่นผิวหนังอักเสบ และมักจะกำเริบในช่วงที่มีอากาศเย็นและชื้น เพราะมีเชื้อราเป็นตัวกระตุ้น โดยสปอร์ของเชื้อราสามารถกระจายไปได้ในอากาศ เราจึงควรทราบถึงแหล่งที่มาของเชื้อราเหล่านี้ และพยายามกำจัดให้หมดไปจากบริเวณบ้าน         เชื้อราชอบอยู่ตามที่ชื้นและอับทึบ         ห้องน้ำ ห้องครัวหรือในพื้นที่ส่วนที่ใช้ในการชำระล้าง ต้องหมั่นทำความสะอาดและทำให้แห้ง มีอากาศถ่ายเทสะดวก ไม่ปล่อยให้ชื้นแฉะตลอดเวลา        ห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศเป็นประจำจะเป็นที่ที่มีความชื้นมาก เชื้อราเกิดขึ้นได้ง่าย ควรหมั่นตรวจตราเปิดให้อากาศถ่ายเท ตัวเครื่องปรับอากาศต้องทำความสะอาดบ่อยๆ เพราะอาจมีเชื้อราสะสมอยู่ได้         ตู้เย็น หลายครั้งที่สะสมอาหารไว้เป็นจำนวนมากในตู้เย็นแล้วรับประทานไม่ทัน อาหารบางอย่างก่อให้เกิดเชื้อรา ถ้าพบทิ้งทันที ห้ามรับประทาน วิธีป้องกันง่ายๆ คือ ไม่สะสมอาหารจนรับประทานไม่ทัน        ต้นไม้ ปัจจุบันนิยมปลูกต้นไม้ในบ้านเพื่อช่วยฟอกอากาศ แต่รู้ไหมว่าดินที่ใช้ปลูกก็เป็นแหล่งที่ก่อเกิดเชื้อราได้ ควรวางไว้ในตำแหน่งที่แดดส่องถึง รดน้ำแต่พอชุ่มไม่บ่อยเกินไป แต่หากเป็นผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ไม่ควรนำต้นไม้วางไว้ในบ้าน อีกอย่างที่อาจคาดไม่ถึงคือ ดอกไม้ประดับ ดอกไม้บูชาพระ หากเหี่ยวเฉาแล้วควรรีบทิ้งไป ไม่ปล่อยไว้เพราะเป็นแหล่งเพาะเชื้อราได้เช่นกัน         สํารวจเชื้อราหลังน้ำท่วม         หน้าฝนหลายบ้านระบายน้ำไม่ทัน น้ำท่วม หลังคารั่ว ควรต้องสังเกตว่ากลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อราหรือไม่ อาจทําได้ง่ายมองหาว่า ผนังมีรอยเปื้อนหรือมีลักษณะเชื้อราขึ้นหรือไม่ และวิธีดมกลิ่น กลิ่นเชื้อราเป็นกลิ่นเหม็นอับทึบหรือเหม็นคล้ายกลิ่นดิน ทั้งนี้หากสงสัยว่ามีเชื้อราควรให้ใช้หลักว่า สิ่งของใดที่ไม่สามารถกําจัดเชื้อราได้หมดจดให้ทิ้ง โดยเฉพาะวัสดุที่มีรูพรุน ซึ่งไม่สามารถชะล้างและทําให้แห้งได้จะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อรา ส่วนผ้าที่เกิดเชื้อราฝังอยู่ หากยังเสียดายต้องฆ่าเชื้อด้วยการต้มด้วยน้ำร้อนก่อนจึงจะนํามาใช้อีก         หลังน้ำลดต้องรีบทําความสะอาดพื้นและผนังโดยการขัดล้างให้เร็วที่สุดภายใน 24 - 48 ชั่วโมง อย่าทิ้งไว้จนเกิดคราบรา กรณีเกิดคราบราขึ้นแล้ว ต้องเร่งกำจัด ควรล้างด้วยน้ำและสบู่หรือผงซักฟอกเพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกก่อนแล้วตามด้วยการขัดล้างด้วยน้ำยา ถ้าเป็นการขัดผนังปูนหรือพื้นผิวที่หยาบควรขัดด้วยแปรงชนิดแข็ง น้ำยาฆ่าเชื้อรามีจำหน่ายในท้องตลาดหลายชนิด ชนิดที่หาซื้อง่ายและราคาไม่แพง คือน้ำยาดับกลิ่นไลโซล หรือน้ำยาฟอกฝ้าขาวเช่น คลอร็อกซ์ เป็นต้น ระหว่างทําความสะอาดให้เปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ และเปิดพัดลมเพื่อช่วยให้แห้งโดยเร็ว กรณีกำจัดเชื้อราไม่ออกเป็นคราบฝังแน่นตามผนังควรเปลี่ยนใหม่ ไม่ทาสีทับ         เชื้อรานอกบ้าน        หลีกเลี่ยงการสูดดมสปอร์ของเชื้อรา ง่ายๆ โดยใช้ผ้าปิดปากหรือจมูก แนะนำเป็นการสวมหน้ากากอนามัย (จะป้องกันได้ดีกว่าชนิดที่ทำจากผ้า)        ตรวจร่างกาย         บางคนไม่เคยมีประวัติของโรคภูมิแพ้แต่มีอาการหอบ ไอและเหนื่อยเมื่อถึงฤดูฝน หากสงสัยตัวเอง แนะนำว่าควรไปพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยว่าเป็นเพียงไข้หวัดหรือเป็นโรคภูมิแพ้ ถ้าเป็นภูมิแพ้ควรไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านโรคภูมิแพ้เพื่อตรวจว่าแพ้อะไรบ้าง จากนั้นก็ต้องคอยหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นซึ่งจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการใช้ยามาตามแก้เมื่อมีอาการแพ้เกิดขึ้น         เราสามารถควบคุมความชื้นได้ โดยอาจจะใช้อุปกรณ์วัดระดับความชื้น เครื่องดูดความชื้น ซึ่งสามารถหาซื้อมาใช้ได้ทั่วๆ ไป แต่ในการเลือกซื้อและนำมาใช้งานก็ควรศึกษาผลให้ดี เพราะในระดับความชื้นที่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป ก็สามารถส่งผลเสียให้กับร่างกายได้ทั้งนั้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 234 สิวและผื่นแพ้ที่มาจากการสวมหน้ากากอนามัย

        เมื่อหน้ากากอนามัยกลายเป็นของจำเป็นที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน สิ่งที่กลายมาเป็นเรื่องกวนใจอาจไม่ใช่แค่รู้สึกอึดอัด  แต่มันคือ อาการผื่นแพ้หน้ากากและบางคนเกิดปัญหาสิวขึ้นมาอย่างมิอาจเลี่ยง เรามาหาวิธีรับมือกันเถอะ         การสวมหน้ากากตลอดวันและต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจก่อให้เกิดผื่นหรือตุ่มแดง มีอาการคันบริเวณที่สวมหน้ากาก​ หรือบริเวณใบหูได้ แบบนี้คืออาการผื่นแพ้ ถ้ารุนแรงถึงขั้นมีตุ่มน้ำ น้ำเหลืองซึมรีบพบแพทย์ทันที ในรายที่อาการเบาๆ แค่ผื่นแดง คันยิบๆ  อาจต้องเปลี่ยนหน้ากากอนามัย เลือกประเภทและขนาดที่เหมาะสม และสำคัญต้องรักษาความสะอาด อย่าประหยัดเกินไป หน้ากากอนามัยราคาลดลงแล้ว ชนิดใช้ครั้งเดียวทิ้ง ก็ควรเป็นครั้งเดียวทิ้ง ชนิดผ้าซักได้ ต้องหมั่นทำความสะอาด        การระคายเคืองหรือแพ้ สาเหตุที่พบบ่อยเกิดจากการเสียดสี​ การสวมใส่ที่แน่นเกินไป เพราะขนาดหน้ากากไม่เหมาะกับใบหน้า หรือสายคล้องตึงเกินไปทำให้บริเวณใบหูถูกเสียดสี ตลอดจนความอับชื้นจากเหงื่อ ครีมและเครื่องสำอางที่ทาบนใบหน้า การแพ้สารที่เป็นส่วนประกอบของหน้ากาก​ เช่น กาวผ้า สีย้อมผ้า พลาสติก​ ยาง ดังนั้นต้องทดลองหาให้พบหน้ากากที่เหมาะกับตนเอง          สิวจากการสวมหน้ากาก        สาเหตุของการเกิดสิวเมื่อใช้หน้ากากอนามัยพบได้บ่อยสองลักษณะ คือ การเสียดสีของหน้ากากกับผิวหน้า ซึ่งอาจรบกวนการผลัดเซลล์ผิว บริเวณที่ถูกเสียดสีจึงปรากฎสิว และอีกสาเหตุที่พบบ่อย คือ ความอบอ้าวที่เกิดจากการใส่หน้ากากทำให้น้ำมันถูกขับจากผิวมากขึ้น เมื่อรวมกับเครื่องสำอางหรือครีมที่เคลือบผิวหน้าอาจก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนจนกลายเป็นสิว          วิธีป้องกันและแก้ไขปัญหาสิวจากการใส่หน้ากากอนามัย         1.ควรงดแต่งหน้าในช่วงที่สิวเห่อ เพื่อลดปัญหาการอุดตัน ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เจลแต้มสิวที่ช่วยให้สิวยุบไว อาจเลือกมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า อ่านฉลากและคู่มือการใช้ให้ถูกต้องเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนจากการแพ้สารในเจล         2.หากสิวหายแล้วควรเลือกเครื่องสำอางที่เนื้อเบาๆ (ถ้าเป็นได้ก็งดแต่งหน้าสักพักสำหรับคนที่เป็นสิวง่าย)         3.รักษาความสะอาดของผิว เมื่อกลับถึงบ้านควรรีบล้างหน้า         4.ลดเวลาการสวมใส่หน้ากากลง สวมเฉพาะเมื่อจำเป็นหรืออยู่ในสถานที่สาธารณะ         5.เปลี่ยนหน้ากากให้บ่อย อย่าใช้ซ้ำ กรณีหน้ากากผ้าซักใช้ใหม่ทุกวัน 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 233 ขาลาย เพราะน้ำเหลืองไม่ดีจริงหรือ

        ผู้ใหญ่หลายคนมักทักเด็กน้อย หรือคนที่ขาเป็นแผลถลอกพุพอง มีน้ำเหลืองเยิ้ม หรือมีรอยแผลเป็นที่ลายพร้อยไปทั้งแขน ขาว่า เป็นโรคน้ำเหลืองไม่ดี ซึ่งก็งงกันไปว่า มันไม่ดียังไง เกิดจากอะไร เป็นกรรมพันธุ์หรือเปล่า เพราะอันที่จริงโรคน้ำเหลืองไม่ดีนั้น ไม่มี มีแต่สิ่งที่เรียกว่า ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง         บ้านเรานั้นอากาศร้อนชื้น มีแมลงรำคาญก็มาก ดิน น้ำ พงหญ้าชื้นแฉะ แมลงชุม เวลาที่ผิวหนังของเรา โดนแมลงต่างๆ กัด หรือระคายเคืองจากพืชบางชนิด หากมีอาการแพ้เกิดผื่นหรือตุ่มคัน บางคนเกาเบาๆ อาการก็ดีขึ้นหรือแค่ป้ายยาหม่องก็หาย แต่หลายคนคันมากก็เกามาก บางคนห้ามใจไม่อยู่เกากันจนเกิดแผลถลอกและติดเชื้อจนกลายเป็นตุ่มหนอง เมื่อแผลหายแล้วก็ยังเกิดเป็นรอยแผลเป็นทิ้งไว้ให้คิดถึงอีก อาการแบบนี้คนสมัยก่อนจะบอกว่า เป็นโรคน้ำเหลืองไม่ดี ต้องกินยานี้ ไม่กินอาหารนี้เพราะมันแสลงโรค รวมทั้งมีสื่อที่โฆษณาขายยาหรืออาหารเสริมหลายชนิดที่มักอวดอ้างสรรพคุณว่า กินแล้วช่วยให้หายจากโรคน้ำเหลืองไม่ดี มาขายในราคาแสนแพงอีกด้วย  สวยอย่างฉลาดคราวนี้จึงขอนำเสนอข้อมูลที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้เข้าใจผิดอีกต่อไป และเรียนรู้วิธีที่ถูกต้องในการรักษา            โรคน้ำเหลืองไม่ดี ไม่มีอยู่จริงในวงการแพทย์ ภาวะที่กล่าวข้างต้นเป็นเพียงแค่ ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง หรือโรคที่มีแผลเรื้อรังที่ขา แขน หรือผิวหนังของร่างกาย บางที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Impetigo ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคที่เรียที่ชื่อว่า Staphylococcus aureus และ Streptococcus pyogenes ที่สามารถเกิดขึ้นกับทุกคนได้ทั้งนั้น เพียงแค่การลุกลามและเรื้อรังของแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการดูแลและรักษาอาการนั้นมากน้อยแค่ไหน                    การรักษาความสะอาดสำคัญที่สุด        ภาวะนี้หากเกิดกับเด็ก จะดูแลยากหน่อย เพราะห้ามเด็กไม่ให้เกาเมื่อคันนั้นยาก บางทีหลับแล้วก็ยังเผลอเกาจนน้ำเหลืองเยิ้มกลายเป็นแผลติดเชื้อ ดังนั้นต้องเริ่มจากการป้องกัน กล่าวคือ ไม่ควรให้เด็กเล่นดิน ทราย หรือน้ำที่สกปรก ไม่เข้าพงหญ้าที่มีแมลง แต่หากสัมผัสกับสิ่งสกปรกเหล่านี้ต้องรีบล้างทำความสะอาดทันที และควรต้องตัดเล็บเด็กให้สั้นเสมอ เพื่อป้องกันเชื้อที่ซ่อนอยู่ในเล็บและการเกาจนเกิดบาดแผล         การรักษา หากเกิดตุ่มคัน ผื่นแพ้ บวม แดง ให้รีบล้างแผลให้สะอาด รักษาแผลโดยอาจฟอกด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่น chlorhexide หรือทายาฆ่าเชื้อกลุ่ม cloxacillin dioxacillin หรือ Cephalexin แต่หากอาการรุนแรง แผลลุกลาม มีไข้ ต้องรีบไปพบแพทย์ ซึ่งอาจต้องใช้ยาฆ่าเชื้อแบบกินหรือฉีด และอาจต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล         ในผู้ใหญ่ก็คล้ายกัน ป้องกันก่อนดีที่สุด หากเกิดผื่นแพ้หรือตุ่มคัน ควรหายาทาบรรเทาอาการ หรือรับประทานยาแก้แพ้ สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาโรคนี้คือ การรักษาความสะอาด ตัดเล็บให้สั้น อาบน้ำล้างแผลให้สะอาด ไม่แกะ ไม่เกาแผล เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบที่แผล เพราะจะทำให้แผลหายช้า         เรื่องจริงของแผลติดเชื้อ        ·  ไม่มีของแสลง อาหารกินได้ทุกชนิด ไม่ต้องงด เนื้อ นม ไข่        ·  พ่นยา พ่นเหล้า พ่นสมุนไพร อาจจะยิ่งติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น        ·  ไม่มีอาหารเสริมเพื่อมารักษา ดีสุดกินอาหารครบ 5 หมู่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 232 มาลองแปรงแห้งกันไหม

        เคยได้ยินคำว่าแปรงแห้งไหม การแปรงแห้งหรือการแปรงฟันแบบไม่บ้วนน้ำทิ้ง เป็นคำแนะนำที่ทันตแพทย์และองค์กรที่ส่งเสริมสุขภาพปากและฟัน พยายามรณรงค์ให้ทุกคนปฏิบัติ คำฝรั่งที่ใช้คือ Spit don’t rinse โดยที่มาของการแปรงแห้งเกิดจากข้อสงสัยที่นักวิจัยเขาพบว่า เด็กที่แปรงฟันแบบน้ำไม่ค่อยเข้าปาก(ใช้ก๊อกแทนการใช้แก้ว) ฟันผุน้อยกว่าเด็กที่ใช้แก้วน้ำในการแปรงฟัน         พอศึกษากันไปก็พบคำตอบว่า ยิ่งบ้วนน้ำน้อยเท่าไหร่ ฟันยิ่งผุน้อย         เหตุที่แปรงฟันแบบบ้วนน้ำทิ้งทำให้ฟันผุ คือ น้ำทำให้ฟลูออไรด์ของดีในยาสีฟันเจือจางไปนั่นเอง         เราเคยชินกันมานาน คือ ทำให้แปรงสีฟันเปียกแล้วบีบยาสีฟันมากๆ ลงไปบนแปรง เหตุผลคือ เราต้องการฟองล้นๆ ในปากเพื่อให้แปรงได้ลื่นขึ้น (บางคนเชื่อว่าทำให้สะอาดขึ้น แบบเดียวกับที่ชอบให้มีฟองในการซักผ้ามากๆ) แต่การมีฟองเยอะในปากจะทำให้เราแปรงฟันได้ไม่นาน เพราะมันเลอะเทอะ บางคนเลยแปรงฟันแค่ 10-20 วินาที ซึ่งไม่เพียงพอ การแปรงฟันที่ถูกต้องคือ อย่างน้อย 2 นาที เพราะอะไร เพราะต้องการให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันได้มีเวลาในการไปเคลือบบนผิวฟันได้ทั่วถึง          แปรงฟันเร็วเกินไปไม่พอ เรายังชินกับการต้องบ้วนปากด้วยน้ำเพื่อกำจัดคราบฟองอีก ซึ่งบางคนก็บ้วนมากกว่าหนึ่งครั้ง เพราะรู้สึกไม่สะอาด(จากฟองที่มากเกินไป เพราะใช้ยาสีฟันมากไป) ฟลูออไรด์ก็ไปหมดแล้วจ้า ไม่เหลือพอให้ทำงานเพื่อปกป้องฟันได้ ยิ่งแปรงฟันบ้วนน้ำมากเท่าไหร่ ฟันจึงผุมากเท่านั้น         จึงขอเชิญชวนให้เปลี่ยนมาแปรงฟันแบบแห้งกันเถอะ โดยเฉพาะกับเด็กๆ ที่ยังไม่สั่งสมความเคยชินเรื่องการใช้น้ำมากๆ แปรงฟัน         วิธีการแปรงแห้ง        1.บางคนกังวลเรื่องเศษอาหาร ธรรมดาแล้วถ้าฟันมีการสบกันที่ดี ไม่ซ้อน เก เศษอาหารจะไม่ติดฟันมาก อาจบ้วนน้ำทิ้งสักครั้งก่อนแปรงเพื่อกำจัดความกังวลเรื่องนี้        2.หากใช้ไหมขัดฟัน ควรใช้ไหมขัดฟันก่อนเริ่มแปรงฟันแบบแห้ง        3.บีบยาสีฟัน ซึ่งควรใช้แบบผสมฟลูออไรด์ (ไม่งั้นจะแปรงแห้งทำไม) เพียงจำนวนน้อย แค่เม็ดถั่วเขียวก็เพียงพอแล้ว        4.แปรงฟันให้นานสัก 2 นาที เพื่อให้เนื้อยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ผสมได้เคลือบไปบนผิวฟันอย่างทั่วถึง        5.เมื่อแปรงเสร็จแล้ว ในช่องปากจะมีน้ำลายออกมา ซึ่งมากพอที่เราจะบ้วนฟองทิ้งออกไปได้เกือบหมด ถ้ายังรู้สึกฟองยังค้างอยู่มาก ก็เพิ่มน้ำลายด้วยการบีบกระพุ้งแก้มและถ่มฟองทิ้งไป         หลังการแปรงฟันแบบแห้งนี้แล้ว ไม่ควรดื่มน้ำหรือกินอาหารอย่างน้อยสัก 30 นาที ทั้งนี้เพื่อให้ฟลูออไรด์อยู่ทำงานบนผิวฟันได้นานขึ้นนั่นเองทดลองกันดูนะคะ แล้วจะรู้ว่า ยิ่งบ้วนน้ำน้อย ฟันยิ่งผุน้อย ค่ะ         ·   รู้ไหม ฟลูออไรด์ในยาสีฟันหลังการแปรงแห้ง(ฟองที่เหลือจากการบ้วนทิ้ง) คือน้ำยาบ้วนปากที่ดีที่สุด        ·  ปลอดภัยไหม ไม่ต้องกังวล ยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์มีกฎหมายควบคุมมาตรฐานการผลิต โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องกังวลใจเรื่องนี้        ·  แปรงฟันตอนไหนดี  หลังอาหารเช้า และ ก่อนเข้านอน คือเวลาที่ดีที่สุด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 231 ฝนกับเรื่องต้องระวังเพื่อผิวสวย

        ฤดูฝนมาเยือนแล้ว บางพื้นที่ฝนกระหน่ำให้ชุ่มเย็น แต่เวลาฝนไม่ตก อากาศก็ร้อนแทบบ้าเช่นกัน อาการที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝนนี้ ถ้าดูแลผิวไม่ดีหรือชะล่าใจผลเสียก็เกิดกับผิวได้ แล้วเรื่องอะไรบ้างนะที่เราต้องระวังในฤดูฝน         สิ่งที่คิด(แต่)ไม่ถึงหรือทำให้คุณพลาด         1.น้ำฝนใสๆ เห็นว่าใสแต่จริงๆ แล้วด้วยสภาวะแวดล้อมปัจจุบัน น้ำฝนจะมีสิ่งปนเปื้อนอยู่มาก ทั้งฝุ่นละออง เชื้อโรค สารเคมี ควรเลี่ยงการโดนน้ำฝนแต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องล้างตัวล้างหน้าทันที ผมควรสระให้สะอาดและเป่าให้แห้ง อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้ชื้น อาจเกิดปัญหาเชื้อราที่ผมและจุดอับบนร่างกายได้         2.ฟ้าครึ้มๆ เห็นฟ้าครึ้มเมฆ ก็คิดไปว่าไม่มีแดด ครีมกันแดดก็ไม่ต้องแล้ว อันนี้ผิด เพราะรังสียูวีทะลุทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศ ชั้นเมฆได้ชิลๆ การออกไปกลางแจ้งและต้องอยู่ในแสงแดดระยะเวลามากกว่า 10 นาที ควรใช้ครีมกันแดดทาผิวหน้า ผิวกาย อาจเลือกใช้ชนิดกันน้ำด้วย เผื่อเจอฝน หรือใช้ร่ม หมวกเพื่อกันผิวจากแสงอาทิตย์        3.ความชื้นในอากาศสูงฝุ่นย่อมน้อย ความจริงฝุ่นไม่เคยน้อยลง ยิ่งในเมืองที่ผู้คนและการจราจรแออัด ฝุ่นจะเยอะเป็นพิเศษ และยิ่งอากาศอบอ้าวเหงื่อยิ่งออกมากหน้าจะมันและจับฝุ่นได้ดี จึงต้องทำความสะอาดให้ถูกวิธี และระวังเรื่องหน้ามัน การล้างหน้าบ่อยยิ่งทำให้หน้ามัน ควรเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสภาพผิว        4.น้ำฝนนั้นก็มีความเป็นกรดเล็กน้อยแต่ถ้าในอากาศมีมลพิษปริมาณสูงก็จะทำให้น้ำฝนมีความเป็นกรดมากขึ้น คนที่ผิวไวสัมผัส ก็มีโอกาสเกิดปัญหาผิวอักเสบ สิวอักเสบได้        5.อากาศเปลี่ยนแปลงไว ร่างกายอาจได้รับผลกระทบและเกิดอาการไข้ ไม่สบาย เวลาไม่สบายก็ย่อมส่งผลต่อสุขภาพผิวพรรณแน่นอน         จากปัจจัยต่างๆ ที่ได้กล่าวไปเราควรรับมือกับปัญหาที่คาดไม่ถึงด้วยวิธีต่อไปนี้         1.การทำความสะอาด ควรสระผม อาบน้ำ ล้างหน้าอย่างถูกวิธี และควรทำทันทีหากต้องเปียกปอนจากฝน         2.เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิว คนผิวมัน ผิวแพ้ง่ายให้เพิ่มความระมัดระวัง         3.อย่าปล่อยให้ร่างกายเปียกชื้น หรือปล่อยให้ผมหรือเท้าเปียกชื้น เพราะความอับชื้นเป็นของชอบของเชื้อรา ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์และกระทบกับสุขภาพผิวได้ ทั้งรังแค โรคน้ำกัดเท้า กลิ่นเท้า         4.อย่าลืมทาครีมกันแดดแม้ในวันที่ฟ้าครึ้ม หรือใช้ร่ม หมวกเพื่อป้องกันแสงแดด         5.ฤดูฝนผู้ที่ผิวแพ้ง่ายไม่ควรใส่เครื่องประดับโลหะหรือโลหะผสม เพราะน้ำฝนและความชื้นจะทำปฏิกิริยากับโลหะทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบได้         6.กินอาหารดี ดื่มน้ำสะอาดและพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงไม่ป่วยไข้         7.ชีวิตกับโควิด 19 ไม่ควรสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยที่เปียกชื้น เพราะเป็นแหล่งก่อเชื้อโรค สำหรับหน้ากากผ้าควรเปลี่ยนทันทีที่โดนฝน และซักทำความสะอาดอย่างถูกต้องก่อนนำมาใช้ครั้งต่อไป หน้ากากอนามัยควรใช้ครั้งเดียวทิ้งและหากเปียกชื้นควรเปลี่ยนทันที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 230 แก้ปัญหาขอบตาดำคล้ำด้วยวิธีง่ายๆ

        ช่วงนี้หลายๆ คนอาจมีภาวะขอบตาดำคล้ำเนื่องจากพักผ่อนน้อยหรือร้องไห้หนักเพราะติดซีรีย์ จากเหตุต้องกักตัวอยู่บ้านนานๆ แต่บางคนก็เถียงว่าไม่จริงเพราะขอบตาของตนนั้นดำคล้ำมาแต่ไหนแต่ไร แม้จะนอนมากสักแค่ไหนก็แก้ไม่หายเสียที จริงๆ แล้วภาวะขอบตาดำเกิดได้จากหลายสาเหตุ วิธีบรรเทาหรือแก้ไขจึงต้องทำให้ถูกต้อง คือการแก้ที่ต้นเหตุถึงจะได้ผล          สาเหตุของขอบตาที่คล้ำเกิดจากอะไรได้บ้าง        1.ภูมิแพ้  เมื่อร่างกายเผชิญกับสิ่งกระตุ้นอาจจะทำให้ระคายเคืองดวงตาและเผลอขยี้ตาย่อมส่งผลให้ขอบตาดำ หรือแม้แต่อาการคัดจมูก อาจทำให้เส้นเลือดบริเวณดวงตาและจมูกบวมขึ้นจนทำให้ผิวบริเวณใต้ดวงตาดำคล้ำขึ้นได้เช่นกัน        2.อายุที่มากขึ้น เมื่อเกิดถุงใต้ตาเนื่องจากผิวที่หย่อนคล้อยตามธรรมชาติ จะทำให้เกิดเงาที่สะท้อนว่าผิวหมองคล้ำ หรือภาวะที่ผิวหนังบางลงจากคอลลาเจนในชั้นผิวหนังที่ลดลง อาจทำให้เห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนังได้ชัดเจนขึ้นเช่นกัน        3.เครียดและพักผ่อนน้อย ไม่ว่าจะเครียดจนนอนไม่หลับหรือนอนน้อยเพราะสาเหตุอื่นๆ ร่างกายที่อ่อนล้าจะทำให้ผิวซีดจางและดวงตาบุ๋มลึกมากขึ้นจนสามารถสังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ตาได้ชัดเจน        4.ดื่มน้ำน้อย อย่าประมาทว่าดื่มน้ำน้อยทำให้รอบตาคล้ำได้อย่างไร ภาวะที่ร่างกายขาดน้ำเซลล์ผิวจะเครียดส่งผลให้ผิวพรรณไม่สดใส ซึ่งจุดหนึ่งที่แสดงออกอย่างชัดเจนคือบริเวณรอบดวงตา         5.ตั้งครรภ์ ช่วงตั้งครรภ์ฮอร์โมนในร่างกายจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจส่งผลให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังขยายตัวจนเห็นเป็นรอยคล้ำใต้ตา         6.ฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ อาจเกิดจากการรับประทานยาหรืออาหารบางอย่าง หรือภาวะของโรค ก็ส่งผลทำให้เกิดรอยคล้ำรอบดวงตาได้เช่นกัน         7.แสงแดด ไม่เพียงทำร้ายดวงตาให้ผิดปกติได้ ผิวรอบดวงตาก็ดำคล้ำได้เมื่อโดนแสงแดดที่ร้อนแรง         8.เหล้า บุหรี่ หากเสพจนเกิดภาวะเลือดสูบฉีดไม่ดี ย่อมแสดงออกด้วยอาการคล้ำที่ดวงตาได้         การแก้ไขจึงต้องทำให้ถูกต้อง โดยแก้ที่สาเหตุซึ่งจะเป็นการแก้อย่างถาวร ไม่เครียด นอนพักผ่อนให้มากขึ้น หากขาดน้ำก็ดื่มน้ำให้มาก งดเหล้า บุหรี่ ป้องกันรอบดวงตาจากแสงแดดด้วยหมวกหรือการสวมแว่นกันแดด ฯลฯ อย่างไรก็ตามฉลาดซื้อรวบรวมวิธีที่พอจะ “บรรเทา” ไม่ให้รอบตาดำคล้ำจนหมดสวยอย่างง่ายๆ มาฝากหลายวิธี เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายด้วยตัวเอง         1.ประคบเย็น ทำได้หลายวิธี ส่วนใหญ่ที่บอกต่อกัน คือการใช้พืชผักในครัวอย่างแตงกวาแช่เย็น ฝานเป็นแว่นๆ ประคบดวงตา (5-10 นาที) ซึ่งความเย็นอาจช่วยแก้ปัญหาขอบตาดำได้ แต่แตงกวาถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มความเย็นแก่ผิวรอบดวงตาเท่านั้น ส่วนสารประกอบอื่นๆ ในแตงกวาไม่ได้มีผลทำให้ขอบตาหายดำคล้ำได้แต่อย่างใด ดังนั้นไม่มีแตงกวาเราก็ใช้ผ้าสะอาดหรือสำลีชุบน้ำเย็นหรือแช่ในช่องเย็น ก่อนนำมาประคบรอบดวงตา บางคนใช้ถุงชาตากแห้งแล้วแช่เย็นนำมาประคบก็ได้เหมือนกันขอให้สะอาดเท่านั้น         2.ประคบร้อน เพื่อกระตุ้นให้หลอดเลือดรอบดวงตาไหลเวียนดีขึ้น ง่ายสุดคือการถูฝ่ามือสองข้างให้ร้อนแล้วประคบหลวมๆ ที่รอบดวงตา 5-10 นาที บางสูตรก็บอกให้ใช้ไข่ต้มเพราะเก็บความร้อนได้นานพอสมควร ด้วยการคลึงนวดบริเวณรอบดวงตาเบาๆ ถุงชาถ้าประคบร้อนก็คือหลังจากชงดื่มแล้ว ขณะยังอุ่นนำมาประคบร้อนได้เช่นกัน         3.การแต่งหน้า ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ปกปิดริ้วรอยเฉพาะจุด หากวิธี DIY เอาไม่อยู่แต่ไม่อยากหมดสวย เครื่องสำอางปกปิดช่วยคุณได้         รักษาขอบตาดำด้วยวิธีทางการแพทย์         หากลองหลายวิธีข้างต้นแล้วไม่ได้ผล แต่อยากหายคงต้องปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเกิดจากภาวะของความเจ็บป่วย เช่น หวัดหรือภูมิแพ้ แต่หากขอบตาดำเพราะอายุมากขึ้น ถ้าปลงไม่ตก สาเหตุนี้อาจจัดการได้ค่อนข้างยากคงต้องพึ่งอายครีมหรือผลิตภัณฑ์ที่ลดภาวะผิวพรรณหย่อนคล้อย ลดรอยหมองคล้ำรอบดวงตาที่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือพบแพทย์ผิวหนังรักษาด้วยการฉีดฟิลเลอร์หรือศัลยกรรม อย่างไรก็ตามอาการขอบตาดำส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงแต่อย่างใด เกิดขึ้นได้กับทุกคน พยายามมองหาสาเหตุและแก้ไขให้ตรงจุด อาการก็จะบรรเทาหรือหายได้ อย่ากังวลใจ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 229 วิธีกำจัดกลิ่นเท้าที่ได้ผล

        กลิ่นเท้า คือกลิ่นที่รบกวนใจทั้งคนที่เป็นต้นตอและคนรอบข้าง ลองนึกถึงเวลาที่อยู่ในสถานที่ค่อนข้างปิดแล้วใครสักคนถอดรองเท้าที่แสนอับชื้นพร้อมปล่อยกลิ่นอันไม่พึงประสงค์แล้ว ช่างชวนกระอักกระอ่วนจริงๆ         หลายคนรู้ดีว่าตนเองมีปัญหาเรื่องกลิ่นเท้า เพราะความที่เป็นคนเหงื่อออกมากโดยเฉพาะบริเวณเท้าแต่ไม่อาจเลี่ยงการสวมใส่รองเท้าแบบปิดมิดชิดได้ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องงานหรือวิธีการใช้งาน เช่น ท่องเที่ยว เล่นกีฬา เดินป่าหรือเดินทางติดต่อธุระกิจ บางคนพยายามดูแลเท้าเป็นอย่างดีแต่ก็ยังไม่อาจแก้ไขปัญหาได้ เราลองมาค้นหาสาเหตุและวิธีการแก้ไขที่ถูกต้องกันเถอะ อาจไม่หายขาดแต่ก็น่าจะพอช่วยให้ชีวิตดีขึ้นได้จริง  สาเหตุของกลิ่นเท้า         สาเหตุของเท้าเหม็นเกิดได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน แต่สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดกลิ่นเท้ามักจะมาจากแบคทีเรียและเหงื่อที่ออกบริเวณเท้าของเรา คล้ายกันกับการเกิดกลิ่นตัว ทั้งนี้อาจมีสาเหตุอื่นร่วมด้วยเช่นแผลที่บริเวณเท้าหรือเชื้อราจากโรคน้ำกัดเท้า  การกำจัดกลิ่นเท้า          การกำจัดกลิ่นเท้าก็ต้องกำจัดที่สาเหตุ คือเน้นที่ความสะอาดก่อนอื่นเลย ทั้งในส่วนของเท้า รองเท้าและถุงเท้า จะทำแค่อย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ต้องทำไปพร้อมกัน            -  การดูแลเท้าให้สะอาด ถ้าเป็นโรคต้องรักษาให้หายขาด (หากยังรักษาไม่หายคงต้องเลี่ยงการสวมใส่รองเท้าที่ปิดมิดชิด)  การดูแลเท้าให้สะอาดมีการแนะนำไว้หลายวิธี เช่น การแช่เท้าในน้ำอุ่นผสมเบคกิ้งโซดาหรือด่างทับทิม หรือน้ำยาที่ใช้ฆ่าแบคทีเรีย หรือที่นิยมกันมากคือการแช่น้ำผสมสารส้ม หมั่นทำบ่อยๆ สัปดาห์ละสองถึงสามครั้ง ระหว่างแช่เท้าอาจขัดถูทำความสะอาดตามซอกเล็บซอกเท้า สำคัญต้องเช็ดให้แห้งสนิทหลังจากล้างทำความสะอาด            - ทำความสะอาดรองเท้าสม่ำเสมอ ควรให้ความสำคัญอย่าปล่อยไว้เพราะถึงแม้เท้าของคุณสะอาดแต่รองเท้าสกปรก ก็อาจไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา รองเท้าที่สามารถซักล้างได้ควรซักล้างและแช่น้ำยาเช่นเดียวกับการทำความสะอาดเท้า ส่วนรองเท้าที่ซักล้างไม่ได้ควรเช็ดถูและตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อหรือพ่นแอลกอฮอล์ลดปริมาณแบคทีเรียลง            - ทำความสะอาดถุงเท้า อย่าบอกนะว่าคุณก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบม้วนถุงเท้าใส่ไว้ในรองเท้าเพราะไม่อยากซักบ่อย เชื่อเถอะถุงเท้าควรหมั่นซักทำความสะอาดเช่นกัน และเปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน นอกจากนี้ควรเลือกใช้ถุงเท้าที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติอย่างฝ้าย จะช่วยระบายความอับชื้นได้ดีกว่าถุงเท้าราคาถูกที่ผสมเส้นใยจากพลาสติก วิธีอื่นๆ ที่ช่วยเสริมความมั่นใจ         1.อย่าใส่รองเท้าที่คับเกินไป จะยิ่งเพิ่มความอับชื้นหรือเกิดแผล          2.ในวันที่อากาศร้อนมาก ควรเลือกสวมใส่รองเท้าที่ระบายเหงื่อได้ดี         3.ก่อนสวมรองเท้าอาจใช้สเปรย์ระงับกลิ่นกายหรือโรลออน ทาบริเวณเท้า ซอกนิ้ว เพื่อป้องกันเหงื่อออกมามากเกินไป         4.อาจใช้สเปรย์ระงับกลิ่นสำหรับใช้ฉีดลงไปในรองเท้า ซึ่งมีวางจำหน่ายหลายยี่ห้อ อาจเลือกใช้เพื่อเพิ่มความมั่นใจโดยสเปรย์ทิ้งไว้ให้แห้งก่อนนำมาสวมใส่ หรือการโรยแป้งฝุ่นที่รองเท้าเพื่อช่วยดูดซับเหงื่อ         5.ขจัดกลิ่นในรองเท้าด้วยเบกกิ้งโซดา เบกกิ้งโซดาเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง รวมไปถึงการดูดซับกลิ่นเหม็นในรองเท้า     กลิ่นเท้าเป็นเรื่องธรรมชาติที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการค้นหาสาเหตุและแก้ไขให้ถูกจุด แต่ในบางคนวิธีการข้างต้นอาจยังไม่ตอบโจทย์ แนะนำว่าอาจต้องพบแพทย์ เพราะอาจมาจากภาวะหลั่งเหงื่อมากที่นำสู่ความอับชื้นจนเกิดกลิ่นขึ้น หรือสภาวะบางอย่างที่เป็นสัญญาณของการเกิดโรคได้ เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 228 สวยและสะอาด

        โรคโควิด 19 ไม่สนใจไม่ได้แล้ว ถึงไม่ต้องตระหนกมาก แต่เราควรตื่นรู้และป้องกันไว้ก่อน ด้วยการทำให้สะอาด โดยเฉพาะอุปกรณ์ติดกาย มือของเรา และต้องระวังสิ่งที่ใช้ร่วมกับผู้อื่น        นอกจากหน้ากากอนามัย ที่อาจจำเป็นต้องพกไว้และใส่ให้ตัวเองเมื่ออยู่ในสถานที่ที่อากาศปิดและแวดล้อมด้วยผู้คนจำนวนมาก อาจรวมถึงเผื่อหยิบยื่นให้คนที่ไอ จามโดยไม่สวมหน้ากาก (หน้ากากอนามัยจะป้องกันการแพร่เชื้อสำหรับคนป่วยได้ถึง 90% แต่หากเราแข็งแรงดีและไม่ได้ใกล้ชิดผู้ที่ไอ จามในระยะ 1 เมตร อาจไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากาก ยิ่งเป็นที่รโหฐานใส่ในบ้าน ใส่นอน อันนี้ไม่มีประโยชน์)         สิ่งที่จำเป็นต้องระวังมากกว่าคือ สิ่งของที่อาจต้องจับต้องร่วมกับผู้อื่น เช่น ตัวจับประตูปิดเปิด ร้านค้า ห้าง ห้องน้ำสาธารณะ ปุ่มลิฟต์ ประตูรถแท็กซี่ ห่วง เสา บนรถประจำทาง ซึ่งแน่นอนละว่า ไม่จับก็ไม่ได้ วิธีการที่ต้องฝึกทำให้บ่อยขึ้น คือ          ล้างมือให้บ่อยและล้างให้ถูกวิธี        1. ล้างด้วยสบู่และน้ำ หลักการคือ ล้างด้วยระยะเวลาอย่างน้อย 20-30 วินาที เคยมีคนบอกว่าเท่ากับร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์สักสองรอบ วิธีนี้ประหยัดและง่าย แต่อาจไม่สะดวกจำเป็นต้องมีสถานที่ ดังนั้นควรทำเมื่อกลับถึงบ้าน ก่อนรับประทานอาหารหรือเตรียมอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ เล่นกับสัตว์เลี้ยง หรือล้างทุกครั้งเมื่อคิดว่ามือสกปรก         2. ล้างด้วยเจลล้างมือ วิธีนี้ค่อนข้างสะดวก แต่ก็ต้องทำให้ถูกวิธีด้วยเช่นกัน คือใช้ในปริมาณที่พอเหมาะและระยะเวลาที่พอดี อย่างน้อย 20 วินาทีต่อการล้างหนึ่งครั้ง หากระหว่างการใช้เจลล้างมือแล้วพบว่าเนื้อเจลแห้งในเวลาไม่ถึง 15 วินาที หมายความว่า เจลล้างมือที่ใช้มีปริมาณน้อยเกินไป และอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรค          ทำความสะอาดเครื่องใช้ส่วนตัว         ข้าวของบางอย่างแม้เป็นของใช้ส่วนตัว แต่ก็อาจมีการสัมผัสกับเชื้อโรคได้เพราะใช้ในที่ชุมชน เช่น โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสะพาย เป้สะพาย และเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ สำหรับเครื่องใช้ควรทำความสะอาดเมื่อกลับเข้าบ้าน วิธีง่ายๆ คือ การตากแดด เนื่องจากบ้านเราแดดร้อนและเชื้อไวรัสจะไม่ชอบพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง หรือเช็ด พ่นด้วยแอลกอฮอลล์ เสื้อผ้าควรหมั่นซักให้บ่อยขึ้นไม่หมักหมมไว้เป็นที่เพาะเชื้อ        การป้องกันตัวเองจากการสัมผัสเชื้อโรคด้วยการทำความสะอาด เป็นหัวใจสำคัญที่ควรคำนึง เพราะไม่เพียงช่วงป้องกันเราจากไวรัสโคโรนาเท่านั้น แต่ยังป้องกันเราจากเชื้อโรคอื่นๆ อีกด้วย ดังนั้นควรทำให้เป็นนิสัยไม่จำเป็นต้องรอให้มีการระบาดของโรคเกิดขึ้นก่อนจึงค่อยทำ          

อ่านเพิ่มเติม >