ฉบับที่ 227 ทำไมยิ่งขัดผิว ผิวยิ่งหมอง

        ผิวโดยเฉพาะผิวหน้า หากได้ขัดหรือสครับอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ผิวดูสดใส เปล่งปลั่ง แต่หากทำผิดวิธี และละเลยข้อจำกัดบางอย่าง แทนที่จะได้ผิวสวยก็จะได้ผิวหมองมาแทน          ทำไมจึงต้องสครับผิว         ธรรมดาผิวพรรณคนเราจะมีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเป็นปกติ ช่วงขณะเปลี่ยนผ่านหากมีการช่วยจากภายนอก เช่น การขัดผิวหรือสครับผิวเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปผิวจะดูขาวใสขึ้น สะอาดตาขึ้น  แต่ต้องไม่ไปรบกวนผิวจนเกินไป เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเข้าใจหลักการเสียก่อน ด้วยว่าถ้าทำผิดวิธี จากผิวสวยๆ จะกลายเป็นผิวเสียแทน         การสครับผิวต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง         1.รู้จักผิวตัวเอง และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิว ลักษณะของผิวหน้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน แบ่งได้เป็นสี่แบบ คือ ผิวธรรมดา จริงๆ คือผิวที่มีสุขภาพดีเพราะมีความสมดุลไม่แห้งหรือมันจนเกินไป มีความเรียบเนียนไม่แพ้ง่าย นับว่าเป็นผิวในอุดมคติ ผิวแห้ง อธิบายถึงสภาพผิวที่ขาดความชุ่มชื้นจากน้ำมันธรรมชาติบนผิว ผิวจึงหยาบกร้านและแตกลอกง่าย ผิวมัน คือสภาพผิวที่มีการผลิตความมันในปริมาณที่มากเกินไป สังเกตได้ถึงรูขุมขนที่กว้างผิวดูมัน เงา และสุดท้ายคือ ผิวผสม บ่งบอกถึงผิวที่ประกอบด้วยประเภทของผิวมากกว่าหนึ่งประเภทอยู่ด้วยกัน เมื่อจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับการขัดหรือสครับหน้า ต้องอ่านฉลากให้ดี และไม่เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารประกอบที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวตัวเอง อย่าคิดเองว่าใช้อะไรก็ได้         2.สภาพผิวไม่พร้อม อย่าสครับ โดยเฉพาะถ้ามีสิวอักเสบ ควรรักษาสิวให้หายเสียก่อน เพราะหากฝืนขัดผิวหน้าทั้งที่สิวยังอักเสบ จะยิ่งเกิดสิวอักเสบลุกลามมากขึ้น         3.อย่าขัดอย่างรุนแรง หลายครั้งที่เราเลือกผลิตภัณฑ์ขัดผิวแบบที่ขายทั่วไป ต้องอ่านฉลากให้ดี หลายผลิตภัณฑ์ผสมเม็ดบีด (bead)  ซึ่งเป็นเม็ดพลาสติก หรือเป็นสารสังเคราะห์ที่มีชื่อบนฉลากว่า Polyethylene นั่นเอง เจ้าสารเคมีตัวนี้ จะลื่นมัน ยืดหยุ่นดี จึงใช้สครับผิวได้ แต่เปลี่ยนมาเป็นวัสดุจากธรรมชาติจะอ่อนโยนมากกว่า         4.ไม่ขัดผิวบ่อยเกินไป ควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็พอ หากขัดมากเกินไปก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่น ๆ ได้ง่าย         5.หลีกเลี่ยงการสครับผิวขณะผิวแห้ง การใช้ผลิตภัณฑ์สครับหน้าควรใช้น้ำเป็นตัวหล่อลื่น และควรทำความสะอาดผิวก่อนที่จะลงมือสครับผิว         ขั้นตอนสครับผิวหน้า         ควรเริ่มต้นด้วยการล้างหน้าหรือร่างกายให้สะอาด เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกบนผิวมีโอกาสแทรกเข้าไปในผิว จากนั้นนำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบา ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียนใช้น้ำล้างออกให้สะอาดซับให้แห้งแล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 226 ข้อคิดจากการสวยตามเทรนด์

                รูปแบบของความสวยงามนั้น อันที่จริงแล้วมันไม่มีนิยามตายตัว ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับค่านิยมของสังคมและยุคสมัย ดังนั้นแต่ละปีก็จะมีคนมาบอกเราว่า ปีหน้าเขาจะนิยมรูปแบบความงามแบบไหน เราต้องดูแลหรือเตรียมการอย่างไร เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย ซึ่งปีหน้า 2563 นี้หลายกูรูยังฟันธงว่า เทรนด์สวยธรรมชาติและเครื่องสำอางจากส่วนผสมธรรมชาติยังคงความแรงต่อเนื่อง         ผิวพรรณแบบกระจ่างใสดังกระจกหรือ Glass Skin ยังคงได้รับความนิยม         ผิวแบบ Glass Skin  คือผิวพรรณที่ผุดผ่องมีน้ำมีนวล บ่งบอกถึงสุขภาพดีจากภายใน ผิวแบบ Glass Skin นั้น  ขอให้ลองคิดถึงซีรีย์เกาหลี ที่สาวๆ ในเรื่องจะมีผิวใสๆ ดูอิ่มเอิบฉ่ำวาวดังแก้ว แบบนั้นแหละที่เรียกว่า Glass Skin ซึ่งผู้ก่อกระแสนี้คือ บิวตี้บล็อกเกอร์ชื่อดังชาวเกาหลีนั่นเอง เมื่อฮิตขึ้นมาแล้วก็ฮิตต่อกันไปยาวๆ ข้ามปี หลักๆ ของเทรนด์ผิวใสดั่งแก้วนี้ คือ เน้นที่การทำความสะอาดให้หมดจด บำรุงผิวทั้งจากภายนอกและภายในเพื่อให้ผิวเปล่งประกายอย่างคนที่สุขภาพดี และเสริมด้วยการแต่งหน้าให้ดูกระจ่างใสโชว์ความเปล่งปลั่งสดใสของผิว         อย่างไรก็ตามเมืองไทยนั้นสภาพอากาศต่างจากเกาหลีจะให้ทันกับเทรนด์นี้ ก็ต้องปรับให้เหมาะสมจะสำเนามาทั้งหมดคงไม่เหมาะ ส่วนที่สามารถทำได้เลยและดีมากเสียด้วย คือ หลักของการทำความสะอาดและการบำรุง         ขั้นตอนที่แนะนำหลักๆ คือ เมื่อแต่งหน้าแล้วต้องไม่ละเลยการทำความสะอาดอย่างหมดจด ให้เกิดการตกค้างของสารเคมีบนผิวน้อยที่สุด ดื่มน้ำให้มาก รับประทานอาหารที่ดี และบำรุงผิวด้วยครีมบำรุงที่เหมาะกับสภาพผิว ซึ่งผู้นำเทรนด์เสนอว่าควรสครับ(ขัดถูหน้าเพื่อให้เกิดการผลัดผิวที่เร็วขึ้น) และมาสก์หน้าเมื่อว่างจากกิจกรรมปกติ   และหากจะให้เป๊ะสำหรับอากาศร้อนและแดดแรงๆ แบบเมืองไทย การปกป้องผิวด้วยครีมกันแดดคือสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน                เทรนด์ความเป็นธรรมชาติที่ช่วยให้ผู้บริโภคมีสุขภาพผิวที่ดี        เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในลุคธรรมชาติและเครื่องสำอางที่ปกป้องคุณจากมลภาวะ คือสิ่งที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2563 สารสกัดจากธรรมชาติที่ถูกผสมในเครื่องสำอางหรือนำมาเป็นอาหารเสริมนั้น ยังคงจะได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ต้องเพิ่มขึ้นคือ ความต้องการสินค้าแบบเฉพาะกลุ่มและตอบโจทย์เรื่องมลภาวะ         สิ่งที่ต้องระวังในกรณีของสินค้าที่เคลมเรื่องสุขภาพผิวสวยคือ กรณีของเครื่องสำอาง ทางหน่วยงานที่กำกับดูแลจะไม่ได้มีการทดสอบเรื่องความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพียงรับจดแจ้งเพื่อเป็นข้อมูลทั่วไปสำหรับผู้บริโภคเท่านั้น ดังนั้นการเสี่ยงกับอาการแพ้ยังคงต้องได้รับความสนใจเป็นอันดับแรกๆ โดยควรทดสอบกับผิวในบริเวณที่ไม่ใช่เป้าหมายหลักก่อนใช้ และอย่าคาดหวังกับสินค้าจนเกินไป นอกจากนี้การช่วยกันเฝ้าระวังสินค้าที่ไม่ปลอดภัยโดยการแจ้งต่อหน่วยงานที่กำกับดูแลจะช่วยให้เกิดความปลอดภัยในวงกว้าง         ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางในหลักการคือ การทำความสะอาดและปกปิดเสริมแต่ง ดังนั้นไม่ควรคาดหวังถึงขนาดแก้ไขหรือฟื้นฟูสภาพผิว        กรณีของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาจมีการโฆษณาจนเกินเลย ให้สรรพคุณที่มากกว่าการบำรุง แต่เป็นโชว์สรรพคุณรักษาโรค ซึ่งถือว่าผิด และเราไม่ควรตกเป็นเหยื่อของสินค้าเหล่านี้ ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางผลิตภัณฑ์ผลิตขึ้นมาเพื่อสร้างการตลาดแบบ แชร์ลูกโซ่ ไม่ได้มีสรรพคุณอะไรมากไปกว่าอาหารธรรมดา ผู้บริโภคต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ให้ความโลภชักนำให้ขาดความรอบคอบในการใช้สินค้า         การพยายามสวยตามแฟชั่นหรือเทรนด์ไม่ได้เป็นสิ่งผิดปกติ ใครๆ ก็อยากจะได้ชื่อว่าทันสมัย แต่เราควรรอบคอบไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ผลิต ผู้ประกอบการที่ไม่มีความรับผิดชอบ ทำสินค้าที่ไม่ปลอดภัยหรือฉาบฉวยเพียงเพื่อจะหาผลประโยชน์ทางการเงิน สวยตามเทรนด์ได้แต่ต้องเท่าทันข้อมูลด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 225 วิธีลดปัญหาผิวเปลือกส้ม

        นึกภาพผิวเปลือกส้มออกไหม ถ้ามาปรากฎบนผิวกายเรา มันจะดูไม่สวยเพราะมีสภาพเหมือนเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำ นูนๆ หรือลอนคลื่นบนผิว ไม่เรียบเนียนสวยงาม ผิวเปลือกส้มนี้ เรียกอีกอย่างว่า เซลลูไลท์(Cellulite)  ซึ่งใครมีโอกาสเป็นได้บ้าง ถ้าเป็นแล้วจะดูแลอย่างไร มาดูกัน         สาเหตุที่ทำให้เกิดผิวเปลือกส้ม ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แต่เชื่อว่าเกิดจากการสะสมของไขมันที่มากเกินไปใต้ชั้นผิวหนังตื้นๆ ในบริเวณที่เลือดไหลเวียนไม่ดี จนทำให้ผนังชั้นหุ้มเซลล์เกิดผิวที่ขรุขระแตกลาย ดูไม่สวยงามคล้ายกับผิวเปลือกส้ม          อย่างไรก็ตามหากประมวลจากปัจจัยหลายอย่างที่พบบ่อยว่า น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผิวเปลือกส้ม พอสรุปได้ดังนี้          1.ไม่ค่อยขยับร่างกาย อยู่ในท่าเดียวนานๆ ทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดขัดข้อง         2.ขาดการออกกำลังกาย        3.การรับประทานอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง        4.การอดอาหารอย่างหนักเพื่อให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว        5.การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน        6.ดื่มน้ำน้อยกว่าปกติ        7.ดื่มแอลกอฮอล์ เซลล์จะสูญเสียน้ำ และยังลดประสิทธิภาพของตับ ทำให้ตับขจัดสารพิษได้ไม่ดี        8.ความเครียด ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัว        9.ท้องผูก        10.พันธุกรรมและเชื้อชาติ คนยุโรปจะมีเซลลูไลท์มากกว่าคนเอเชีย        ดูแบบนี้เหมือนผิวเปลือกส้มจะเกิดกับคนอ้วนใช่ไหม ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่เลย เซลลูไลท์หรือผิวเปลือกส้มไม่ได้เกิดเฉพาะในคนที่มีน้ำหนักตัวมากเท่านั้น คนผอมก็สามารถมีได้เช่นกัน และเกิดขึ้นในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะกับผู้ชายที่อ้วนมาก ๆ         วิธีรักษาเซลลูไลท์ ไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่ดูแลได้ด้วยการทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การลดน้ำหนักในคนที่อ้วน(แต่ต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป) การออกกำลังกาย(การออกกำลังกายแบบแอโรบิกและการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อการเคลื่อนไหวเพื่อกระชับผิว) ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน ควบคุมอาหารหวาน มัน และการนวดผิวหนังเพื่อกระชับกล้ามเนื้อ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 224 เครียดทำหมดสวย

        ขณะกำลังเค้นสมองคิดว่า “สวยอย่างฉลาด” ฉบับนี้จะนำเสนอเรื่องอะไรดี ก็เริ่มรู้สึกตัวว่าหัวคิ้วชนกันแน่น และกล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งนิดๆ ใช่แล้ว อาการเครียดนั่นเอง นี่แหละศัตรูตัวร้ายอันดับต้นๆ ที่ทำให้เราหมดสวย         ไปค้นนิยามเรื่องความเครียดจากกรมสุขภาพจิต ได้ความว่า  ความเครียดนั้นเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบโต้ต่อสภาพแวดล้อม  ความเครียดเป็นประสบการณ์เฉพาะตัวของแต่ละบุคคลในสภาวการณ์อย่างเดียวกันร่างกายจะแสดงออกเวลามีความเครียดโดยมีความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าปกติชีพจรเต็นเร็วขึ้น หายใจถี่ขึ้น  หัวใจจะทำงานมากขึ้น  และกล้ามเนื้อจะเกร็ง ปฏิกิรยาเหล่านี้เรียกโดยรวมว่าเป็นปฏิกิรยาของการ “จะสู้หรือจะถอยหนี ”         ความจริงเมื่อเกิดความเครียดมันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งกายและใจ แน่นอนว่าผิวพรรณย่อมได้รับผลตามไปด้วย ลองมาสังเกตชัดๆ ว่ามีอะไรบ้าง         กลิ่นตัวแรง เวลาวิตกกังวลร่างกายจะหลั่งเหงื่อออกมามาก ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของกลิ่นตัว         แผลอักเสบ บางคนเวลาเครียดอาจเผลอแกะสิว เกาเนื้อตัวอย่างรุนแรงจนเกิดแผลและกลายเป็นผิวอักเสบ        บางคนความเครียดจะแสดงทางร่างกายด้วยอาการผมร่วง รังแคที่ผิวหน้า(เซ็บเดิร์ม)        ริ้วรอยเหี่ยวย่น เมื่อเครียดหัวคิ้วที่ย่นเข้าหากันจนเกิดร่องรอยลึก บางคนก็นอนไม่พอส่งผลให้ขอบตาดำคล้ำ        ที่กล่าวถึงนี้มีสาเหตุจากความเครียด และพอรู้สึกตัวว่าร่างกายไม่ปกติ ผิวพรรณไม่สดใส แก่ก่อนวัย ก็ยิ่งทำให้พลอยเครียดมากไปกว่าเดิม          การบำรุงผิวเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความเครียด        แน่นอนว่าต้องไปกำจัดที่ต้นตอ คือ กำจัดความเครียดให้พ้นไป เมื่อร่างกายผ่อนคลาย จิตใจไม่วิตกกังวล การฟื้นฟูสภาพของผิวก็ไม่ยาก แต่ใช่ว่าจะกำจัดความเครียดกันได้ง่ายๆ บางคนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า กำลังอยู่ในสภาวะเครียด ฉะนั้นเราก็ต้องดูแลป้องกันผิวพรรณในระหว่างที่ค้นหาทางจัดการกับความเครียดเสียก่อน         สิว อาจเกิดจากอาการท้องผูก หรือฮอร์โมนที่ร่างกายหลั่งออกมาในช่วงเครียด ทางแก้คือรับประทานอาการที่มีกากใยสูง อาหารที่มีโพรไบโอติกช่วยเรื่องการระบาย ในส่วนผิวหน้าอย่าแกะเกาหรือใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง อาจงดแต่งหน้าเพื่อให้ผิวได้ผ่อนคลายบ้าง         ผิวแพ้ง่าย เกิดผด ผื่นแดง อาการลมพิษอ่อน เนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลง ควรรักษาตามอาการ ใช้ยาให้เหมาะสม อย่าปล่อยให้เกิดแผลอักเสบ         ถุงใต้ตาหรือขอบตาคล้ำ เพราะนอนไม่หลับ ดูแลด้วยผลิตถนอมผิวรอบดวงตา(อายครีม) หรือวิธีธรรมชาติอย่างการใช้แตงกวา ถุงชาวางบนผิวเปลือกตา (ควรศึกษาวิธีก่อนใช้) ผมลีบแบนหรือแตกปลาย เพราะอาจไม่มีเวลาหรือจิตใจจะดูแลเส้นผม ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงและหาเวลาดูแลเส้นผมมากขึ้น         ผมหลุดร่วง อาจเกิดจากการขาดสารอาหาร เนื่องจากเครียดจนไม่ได้กินอาหารที่มีประโยชน์ ต้องใช้การบำรุงทั้งจากภายใน รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ เพิ่มพวกโปรตีนมากขึ้น และดูแลภายนอกด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่รุนแรงต่อเส้นผม          หลักๆ คือสังเกตและให้เวลากับการดูแลตัวเอง อย่าปล่อยให้ความเครียดทำให้หมดสวยนะคะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 223 ผู้สูงวัยดูแลผิวแห้งลอกเป็นขุยอย่างไรดี

        พอเลขอายุเริ่มสูงขึ้น สุขภาพผิวก็เสื่อมลงเป็นธรรมชาติอันยากจะเอาชนะ ผิวที่แห้งแตกลอกเป็นขุยในผู้สูงวัยเกิดจากการผลัดผิวของชั้นหนังกำพร้าที่ช้าลงไปเรื่อยๆ (ปกติผิวชั้นหนังกำพร้าจะเปลี่ยนเซลล์ใหม่ในเวลา 4 สัปดาห์)  ทำให้ผิวแตก เกิดขุยและคัน บางคนเกาจนกลายเป็นแผลอักเสบติดเชื้อ  ฉลาดซื้อจึงขอนำแนวทางการดูแลผิวแห้งมาฝากเพื่อช่วยให้อาการคันและอักเสบต่างๆ บรรเทาลง         ผลิตภัณฑ์ชำระล้าง        ถ้าสภาพผิวแห้งมากควรอาบน้ำโดยงดเว้นการใช้สบู่ ทั้งสบู่ก้อนและสบู่เหลว เพราะสบู่ส่วนใหญ่โดยเฉพาะสบู่เหลวมีสารชำระล้างที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิว หากจะเลือกใช้ควรเปลี่ยนเป็นสบู่เด็กหรือสบู่ที่ผลิตแบบธรรมชาติไม่ได้ใช้ไขมันสัตว์ ไม่ใส่สารชำระล้างที่แรง(สังเกตจากฟอง ฟองมากมักเกิดจากสารชำระล้าง) ไม่มีวัตถุกันเสียหรือแอลกอฮอล์         ครีมบำรุงผิว/โลชั่น        หลังอาบน้ำ ควรทาครีมบำรุงผิว โดยเลือกที่เนื้อครีมหนักเน้นให้ความชุ่มชื้น เลือกที่ไม่มีส่วนผสมของสารกันเสียอย่างพาราเบน แอลกอฮอล์ หรือเลือกใช้เป็นเบบี้ออยล์ชโลมผิว อาจรู้สึกเหนอะหนะแต่จะช่วยลดอาการผิวลอกเป็นขุยได้         เลี่ยงการอาบน้ำอุ่น        หลายท่านชอบอาบน้ำอุ่นหรือแช่น้ำอุ่นเพราะรู้สึกผ่อนคลาย แต่น้ำอุ่นสร้างความแห้งให้แก่ผิวโดยตรง ยิ่งสัมผัสนานผิวยิ่งแห้งดังนั้นควรเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น หรือหากต้องการผ่อนคลายควรแช่เฉพาะบางส่วนเช่น มือ เท้า         ใช้ครีมกันแดด        เมื่อต้องออกไปเผชิญแดดจัดจ้าควรปกป้องผิวจากแสงแดดด้วยครีมกันแดด หรือสวมใส่เสื้อผ้าปิดบังผิวบริเวณที่มักลอกเป็นขุยเช่น แขน หน้าแข้ง หรือใช้ร่ม หมวกเพื่อลดความเสี่ยงจากแสงแดดแรงที่ส่งผลต่อผิวหนัง         ดูแลเรื่องอาหาร         ดื่มน้ำให้มาก งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่                 ไม่ใช้ยาประเภทคาลาไมน์                      เวลาเกิดผดผื่น บางคนนิยมใช้ยาคาลาไมน์หวังทาลดอาการคัน แต่รู้ไหมว่าผลข้างเคียงคือทำให้ผิวยิ่งแห้งตึง         สังเกตความผิวปกติของไฝหรือก้อนเนื้อบนผิว         หากไฝหรือตุ่มนูนบนผิวมีการขยายใหญ่ขึ้น หรือเกิดการอักเสบมีเลือดออก สีเปลี่ยนไป ควรพบแพทย์ผิวหนังเพื่อหาสาเหตุและรักษาทันที         ผิวแห้งกร้านในผู้สูงอายุ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เพราะเป็นเรื่องของผิวที่เสื่อมลงไปตามกลไกธรรมชาติ แต่สามารถดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดอาการที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันได้ ผู้สูงอายุบางท่านอาจไม่สามารถจดจำหรือดูแลตัวเองได้ ลูกหลานควรใส่ใจและช่วยดูแลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของท่าน   

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 222 รับมือกับแผลน้ำร้อนลวก

        โอกาสโดนน้ำร้อนลวกหรือน้ำมันร้อนกระเด็นใส่นั้น ทุกคนมีความเสี่ยงพบเจอได้ ยิ่งเป็นคนที่ชอบทำอาหารโดนกันประจำ การจะดูแลปฐมพยาบาลแผลน้ำร้อนลวกนั้น ต้องประเมินจากขนาดของแผลและบริเวณที่สัมผัสความร้อน เพื่อที่จะประเมินได้ว่า ต้องจัดการอย่างไร ที่แน่ๆ พอโดนลวกแล้วปวดแสบปวดร้อนจนสุดทน จนบางคนต้องหาของที่เอ่ยอ้างต่อๆ กันมากันว่าบรรเทาได้ อย่างยาสีฟัน น้ำปลา น้ำแข็ง มาทา ประคบ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผสมความเข้าใจผิด และอาจทำให้แผลยิ่งอักเสบจนกลายเป็นแผลติดเชื้อได้ คราวนี้จึงจะนำวิธีการรับมือแบบถูกต้องมาฝากกัน ประเมินบาดแผลและการรักษา         1. แผลระดับแรก เป็นแผลกินบริเวณไม่กว้าง ความร้อนทำลายแค่ผิวหนังกำพร้าชั้นนอกเท่านั้น โดยแผลนั้นจะไม่มีตุ่มพองใส แต่จะแค่ผิวหนังบริเวณนั้นมีสีแดงกว่าปกติ มีความรู้สึกว่าปวดแสบและร้อนแบบพอทนได้ ซึ่งจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้เมื่อหายปวด โดยทั่วไปแผลระดับแรกนี้จะหายไปในระยะเวลา 7 วัน วิธีการรักษา แค่ใช้น้ำอุณหภูมิปกติไหลผ่านแผล แล้วจึงใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบไว้สักครู่หนึ่ง อาการปวดก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ หรือถ้าใครมีคูลฟีเวอร์ ( แปะหน้าผากลดไข้เด็ก ) ก็สามารถนำมาแปะที่แผลไว้ นอกจากนี้การใช้สมุนไพรบางตัว อย่าง ว่านหางจระเข้ ใบบัวบก หรือบัวหิมะ พอกทาที่แผล ช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้ดี พออาการปวดดีขึ้นก็ให้ทายารักษาอาการ ยาทานั้นมีขายทั่วไปตามร้านขายยา สอบถามได้จากเภสัชกรในร้าน         2. แผลระดับสอง คือแผลที่โดนลึกขึ้น และกินบริเวณกว้างกว่าแผลในระดับแรก เข้าไปถึงชั้นหนังกำพร้า แล้วลึกลงไปถึงชั้นหนังแท้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังหลงเหลือเซลล์ที่สามารถเจริญเติบโตมาทดแทนชั้นหนังที่ตายแล้วได้อยู่ แผลนั้นจะมี 2 แบบ คือทั้งแบบเป็นตุ่มพองมีน้ำใสๆ ข้างใน พอแกะน้ำออกมาผิวบริเวณนั้นจะมีสีชมพู และมีน้ำเหลืองไหลออกมาเล็กน้อย แผลระดับนี้จะเริ่มมีอาการปวดแสบมากขึ้น เพราะเส้นประสาทถูกทำลายไปด้วย แต่ไม่เยอะมากนักและแผลจะหายภายใน 2-3 สัปดาห์ และจะไม่เกิดแผลเป็น ส่วนอีกแบบนึงจะเป็นแผลที่ไม่มีตุ่มพองแผลจะแห้ง มีสีเหลืองขาวและไม่ค่อยปวด แต่จะทำให้เกิดแผลเป็นได้วิธีการรักษา ใช้วิธีการเดียวกับแผลระดับแรก เพียงแต่อาการแสบร้อนอาจมีมากกว่ากินระยะเวลาการรักษานานกว่า หากมีอาการตุ่มพองน้ำใส อย่าแกะหรือสะกิดให้น้ำออก น้ำด้านในจะค่อยๆ แห้งลงเอง แต่ถ้าแผลเปิดออก ต้องทายาเพื่อรักษาและป้องกันการติดเชื้อ และบางครั้งอาจต้องมีการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อลดการติดเชื้อ            3. แผลระดับสาม แผลลึก รุนแรงกินลึกลงไปถึง หนังแท้ รูขุมขน ต่อมเหงื่อ และเซลล์ประสาทจนหมด ซึ่งแผลระดับนี้ถือว่ารุนแรงมาก เพราะอาจกินลึกไปถึงชั้นกล้ามเนื้อและกระดูก แต่จะไม่มีอาการปวดจากแผล เพราะเซลล์ประสาทโดนทำลายไปทั้งหมด ทำให้ไม่รับรู้ถึงอาการปวด ระดับนี้รักษาเองไม่ได้ต้องไปโรงพยาบาลเท่านั้น สมุนไพร ที่ช่วยในการรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก บรรเทาอาการแสบร้อน        1. ว่านหางจระเข้ วุ้นของว่านหางจระเข้นั้นมีสาร ไกลโคโปรตีน มีสรรพคุณในการลดการอักเสบของผิวหนัง ฆ่าเชื้อในแผลและห้ามเลือด เหมาะกับการรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกได้เป็นอย่างดี วิธีการใช้ ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ว่านหางจระเข้ ทั้งแบบครีมและเจลเพื่อให้ใช้ได้สะดวกยิ่งขึ้น หรือถ้าไม่อยากซื้อใช้ ก็แค่เพียงนำว่านหางจระเข้สดๆ ล้างน้ำเอายางออกปอกเปลือกให้หมด แล้วจึงขูดเอาเนื้อวุ้นมาปิดที่บริเวณแผล ระยะแรกอาจต้องเปลี่ยนบ่อยเพื่อบรรเทาอาการแสบร้อนจนอาการดีขึ้น จากนั้นพอกทาวันละ 2 ครั้ง เช้า - เย็น จนกว่าแผลจะหาย         2. ใบบัวบก มีสรรพคุณในรักษาแผลอักเสบ และสมานแผลทำให้แผลหายเร็ว ลดอาการปวดแสบร้อนได้ดีเช่นกัน วิธีการใช้ ให้นำใบบัวบกสดล้างให้สะอาด แล้วนำไปตำจนละเอียด กรองเอาน้ำแต่ติดกากใบมาด้วยเล็กน้อย แล้วเอามาชโลมที่แผลเรื่อยๆ จนกว่าอาการปวดจะดีขึ้น หรือใช้ครีมบัวบกซึ่งพัฒนาเป็นยาเพื่อใช้บรรเทาอาการแสบร้อนและสมานแผลน้ำร้อนลวก         3. นมสด หรือโยเกิร์ตแช่เย็น ทั้ง 2 อย่างนี้ มีปริมาณไขมันและโปรตีน ที่ช่วยในการสมานแผล และลดอาการปวดแสบร้อนได้ดี วิธีการใช้ แช่แผลลงในนมสดหรือโยเกิร์ต ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก วิธีนี้นอกจากจะลดอาการปวดได้แล้ว ยังทำให้ไม่เป็นแผลเป็นอีกด้วย         4. เกลือ มีสรรพคุณในการสมานแผล และลดอาการปวดแสบปวดร้อนได้ดี อย่างไม่น่าเชื่อ วิธีการใช้ เมื่อเกิดแผลให้รีบนำเกลือป่นมาพอกไว้ที่บริเวณแผล  แล้วหยดน้ำลงไปเล็กน้อย จะทำให้แผลที่ปวดแสบปวดร้อนดีขึ้น        5. บัวหิมะ สมุนไพรจากจีนที่ค่อนข้างหาซื้อยาก แต่มีสรรพคุณแก้พิษจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ลดอาการอักเสบปวดแสบร้อนอย่างรุนแรงได้ดี เพราะเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น แล้วยังทำให้ผิวบริเวณที่โดนลวกหรือไหม้นั้นไม่เป็นแผลเป็นอีกด้วย วิธีการใช้ ปัจจุบันมีการนำมาทำในรูปแบบของ ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อใช้ได้ง่ายขึ้น แต่อาจมีราคาที่ค่อนข้างสูง บรรเทาอาการและช่วยสมานแผล 1. น้ำส้มสายชู ด้วยกรดอะซีตริกที่อยู่ในน้ำส้ม ช่วยบรรเทาอาการ อักเสบ ปวด และการคันจากการโดนของร้อน และการเผาไหม้ นอกจากนี้ยังช่วยฆ่าเชื้อและป้องกันไม่ให้แผลติดเชื้ออีกด้วย วิธีการใช้ ล้างแผลให้สะอาด แล้วใช้สำลีจุ่มลงไปในน้ำส้มสายชู บีบน้ำออกเล็กน้อยแล้วนำมาวางโปะไว้บนแผลสักครู่ รอจนแผลหายปวดแล้วจึงเอาออก สามารถทำได้ทุกวันจนกว่าแผลจะหาย2. น้ำมันมะพร้าว สามารถป้องกันแผลจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ที่มาของการอักเสบ และเกิดรอยแผลเป็นได้ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินอีและกรดไขมัน เหมาะสำหรับแผลที่หายแล้ว วิธีการใช้ นำน้ำมันมะพร้าวมาชโลม แล้วนวดตรงบริเวณที่เป็นแผลเป็น จนผิวและแผลบริเวณนนั้นนุ่มและอ่อนลง สามารถทาได้ทุกวัน 3. น้ำผึ้งจากธรรมชาติ มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคและลดอาการเจ็บปวดของแผลได้เป็นอย่างดี วิธีการใช้ ล้างแผลให้สะอาดแล้วนำน้ำผึ้งมาหยด จากนั้นนวดตรงบริเวณแผล สามารถทำได้เรื่อยๆ จนกว่าแผลจะหายปวด ข้อมูลจาก  https://www.honestdocs.co/burn-wound-treatment

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 221 ทำอย่างไรให้ร่างกายหอมสดชื่นทั้งวัน

                อยู่เมืองไทยไม่มีเหงื่อคงเป็นเรื่องแปลก เหงื่อไม่เพียงทำให้เนื้อตัวเหนอะหนะ ยังทำให้เกิดปัญหากลิ่นกายไม่หอมสดชื่นด้วย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ “ตัวไม่หอม” จนบางครั้งเราก็คงนึกสงสัยว่าทำไมนะ บางคนถึงตัวหอมสดชื่นทั้งวัน เราจะเป็นแบบนั้นบ้างได้ไหม         สิ่งสำคัญที่ควรใส่ใจ        1.สะอาดเสมอ        ·  อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับกิจกรรม เช่น หลังออกกำลังกายก็ควรอาบน้ำชำระเหงื่อไคล และควรใช้สบู่ชำระล้างในส่วนที่เป็นจุดอับของร่างกาย เช่น รักแร้ ซอกคอ ข้อพับ มือเท้า สาวๆ ที่มีรูปร่างอวบอัด อาจรวมถึงหน้าท้องที่ยื่นจนเกิดเป็นซอกหลืบ เพราะบริเวณดังกล่าวจะเป็นจุดที่เกิดการหมักหมมของเหงื่อไคล        ·  สระผมให้สะอาด หากสระผมกลางคืนไม่ควรนอนไปทั้งที่ผมยังชื้นอยู่ หรือบางคนไม่ชอบสระผมทุกวัน อาจใช้การสระแบบแห้งซึ่งมีน้ำยาทำความสะอาดผมแบบเป็นสเปรย์ฉีดผมที่ช่วยแก้ปัญหาได้        ·  ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด เสื้อผ้าที่ซักและตากไม่แห้งหรือโดนน้ำฝนมักมีกลิ่นซึ่งเกิดจากการขยายตัวของเชื้อโรค ซึ่งไม่เพียงมีกลิ่นอับที่ชวนให้ชวนอึดอัด ยังอาจก่อให้เกิดปัญหากับสุขภาพด้วย การใช้เสื้อผ้าซ้ำๆ หลายๆ วันก็จะทำให้คุณมีกลิ่นเช่นกัน        ·  อย่าให้เท้ามีกลิ่น หากคุณกังวลว่าเท้าจะมีกลิ่น ก็ควรขัดถูเท้าตอนอาบน้ำ เช็ดให้แห้ง และทาแป้งก่อนที่จะใส่ถุงเท้าและรองเท้า พกถุงเท้าคู่ใหม่ไปเปลี่ยนระหว่างวัน ต้องมั่นใจด้วยว่ารองเท้าของคุณก็สะอาด รองเท้าเก่าๆ มักจะมีกลิ่นเสมอ        ·  ดูแลสุขภาพช่องปาก อย่าปล่อยให้เกิดปัญหาสะสมเพราะจะทำให้เกิดกลิ่นปาก หรือหลังรับประทานอาหารกลิ่นแรงควรบ้วนปากหรือแปรงฟัน หรือเคี้ยวหมากฝรั่งก็พอช่วยแก้ไขปัญหาชั่วคราวได้         2.เลี่ยงอาหารกลิ่นแรงและบุหรี่        ·  พยายามหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หัวหอม เนื้อสัตว์ และอาหารรสจัด รวมไปถึงผักจำพวกกะหล่ำ เช่น บรอกโคลี เพราะอาหารเหล่านี้เมื่อถูกย่อยจะทำให้เกิดกลิ่นตัวและกลิ่นปากได้ง่าย        ·  ไม่สูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพมากมาย รวมไปถึงปัญหาเรื่องกลิ่นตัวอีกด้วย คนที่สูบบุหรี่จัด ๆ จะมีกลิ่นบุหรี่ติดตัวทั้งในปากและตามรูขุมขน ถึงแม้ว่าตอนนั้นจะยังไม่ได้สูบบุหรี่อยู่ก็ตาม        ·  รับประทานอาหารดีมีประโยชน์ ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายสดชื่น อีกอย่างที่สามารถช่วยได้ดีคือการอบซาวน่า ซึ่งช่วยให้ขับเหงื่อได้ดี         3.ใช้ตัวช่วย        ·   โรลออน ที่ช่วยระงับกลิ่นตัว        ·  น้ำหอม เลือกกลิ่นเฉพาะตัวและไม่ควรใช้หลายกลิ่นในครั้งเดียว จุดที่นิยมให้การฉีดหรือแตะน้ำหอมบนร่างกายคือ ข้อพับแขน ข้อมือ ซอกคอ หรือบริเวณกลางหน้าอก จะช่วยให้กลิ่นหอมฟุ้งทั่วทั้งตัว        ·  ทาแป้ง ก็อาจช่วยได้หากคุณเป็นควรเหงื่อออกง่าย        ·  โลชั่น สบู่ที่มีกลิ่นหอม แต่หากโลชั่นมีกลิ่นแรง คุณไม่ควรใช้น้ำหอมเพิ่ม         4.ดูแลสิ่งแวดล้อมรอบตัว        ·  รักษาความสะอาดของสิ่งรอบตัว เตียง หมอน ชุดเครื่องนอน ฯลฯ ของคุณสะอาดไหม อย่าปล่อยให้มีกลิ่นอับ        ·  รถของคุณและที่อื่นๆ ที่คุณใช้เวลาอยู่ที่นั้นนานๆ เช่น ร้านสุกี้ ร้านชาบู  หรือที่ๆ มีคนสูบบุหรี่ กลิ่นเหล่านี้ติดทนบนตัวคุณได้ดีทีเดียว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 220 สิวเสี้ยนกับการดูแลรักษา

            สิวเสี้ยนที่เรารู้จัก คือจุดดำๆ เล็กๆ บนใบหน้า พบมากตามจมูก ข้างแก้ม หน้าผาก และปลายคาง จริงๆ สิวเสี้ยนมีสองลักษณะ คือ        1.สิวเสี้ยนแบบไขมันอุดตัน เนื่องจากต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตไขมันมากเกินไป (ไขมันนี้มีเพื่อช่วยให้ผิวไม่แห้งกร้าน) จนอุดตันบริเวณรูขุมขนเกิดเป็นเม็ดสิวฝังอยู่ในผิวหนัง บางครั้งก็กลายเป็นสิวอักเสบเนื่องจากเชื้อโรคบริเวณผิวหนังใช้ไขมันเป็นอาหารและปล่อยกรดที่มีฤทธิ์ระคายเคืองออกมา         2.สิวเสี้ยนแบบที่เป็นกระจุกของเส้นขนเล็กๆ หลายสิบเส้นอุดตันในรูขุมขน คือแทนที่รูขุมขนหนึ่งจะมีเส้นขนหนึ่งเส้น แต่กลับมีเส้นขนรวมเป็นกระจุกเดียว สิวเสี้ยนลักษณะนี้มักพบตามปลายจมูก ข้างแก้ม        สิวเสี้ยนนั้นโดยทั่วไป ไม่จำเป็นต้องรักษาเพราะไม่ก่อให้เกิดปัญหาอะไร แต่สำหรับคนที่รักสวยรักงามอยากมีใบหน้าเกลี้ยงเกลาอาจรำคาญตา ที่มีจุดดำๆ อยู่บนใบหน้า จึงพยายามสรรหาวิธีรักษาหรือกำจัดสิวเสี้ยน ซึ่งการกำจัดแบบถาวรนั้นยังไม่มี แต่สามารถทำให้น้อยลงหรือดีขึ้นได้วิธีลดสิวเสี้ยน        1.จัดการหรือลดปัญหาไขมันที่ผลิตออกมามากเกินไป            ·  ใช้ยากลุ่มที่สลายก้อนไขมันอุดตัน(comedone) เช่น เบนซอยล์ เพอร์ออกไซด์(benzoyl peroxide) กรดอะเซเลอิก(azelaic acid) กรดซาลิไซลิก(salicylic acid) หรือ กรดผลไม้ ที่รู้จักกันทั่วไปคือ กรดไกลคอลิก(glycolic acid) ทาบริเวณใบหน้า ซึ่งควรใช้อย่างระมัดระวัง                 ·  การใช้ยา เบนซอยล์ เพอร์ออกไซด์ ควรเริ่มต้นด้วยความเข้มข้นต่ำๆ ที่ 2.5% ก่อน ทาให้ทั่วใบหน้าประมาณ 5 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ช่วยลดปริมาณไขมันที่ผิวหนังและละลายสิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขนออกมา ใช้วันละสองครั้ง เช้า เย็น            ·   กรดซาลิไซลิก หรือ(ยาละลายสิวเสี้ยน) กรดจะช่วยทำให้ไขมันอ่อนตัวลง ทำให้สามารถเอาสิวเสี้ยนออกมาได้โดยง่าย เมื่อเรานำเอาสิวเสี้ยนออกจากรูขุมขนของเราได้แล้ว ควรกระชับรูขุมขนด้วยโทนเนอร์ทันที        2.การลอกสิวเสี้ยน มีหลายวิธีส่วนใหญ่ราคาไม่แพงและวิธีทำง่าย แต่มักกำจัดได้ไม่หมด และไม่สามารถกำจัดสิวเสี้ยนได้ทุกที่            ·  การใช้ไข่ขาว วิธีนี้รู้จักกันมานาน คือทาใบหน้าหรือบริเวณที่ต้องการลอกสิวเสี้ยนใช้ทิชชู่ซับแล้วทาไข่ขาวซ้ำ ทิ้งไว้ให้แห้งจะรู้สึกตึงๆ ผิว จากนั้นลอกแผ่นทิชชู่ออก สิวเสี้ยนบางส่วนจะหลุดออกมา            · แผ่นลอกสิวเสี้ยน ครีมลอกสิวเสี้ยนหรือมาร์คลอกสิวเสี้ยน ที่มีจำหน่ายทั่วไป ควรปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากและไม่ควรทำเกินสัปดาห์ละครั้ง        3.การใช้เครื่องมือกดสิว เป็นการดึงสิวเสี้ยนดำๆ ออกจากผิว วิธีนี้ต้องทำอย่างระมัดระวัง เพราะหากทำไม่ดี กดไม่ถูกวิธี อาจยิ่งทำให้กลายเป็นสิวอักเสบได้ กรณีสิวเสี้ยนที่เป็นแบบเส้นขนอุดตันเป็นกระจุกนั้น การใช้เลเซอร์ขจัดขนสามารถช่วยได้        อย่างที่ได้กล่าวไป สิวเสี้ยนไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรกับมันก็ได้ เว้นแต่จะรำคาญใจ แต่เราสามารถทำให้มันน้อยลงได้ ด้วยการดูแลความสะอาดผิวหน้า ไม่ปล่อยให้หน้ามันเกินไป และไม่ล้างหน้าบ่อยเกินไปเพราะจะไปสร้างความระคายเคืองให้ผิว ส่วนคนที่ชอบกดหรือบีบสิวเสี้ยนเอง ต้องบอกว่าเลิกทำดีกว่าเพราะจะยิ่งทำให้เกิดสิวอักเสบไม่สวยงามยิ่งไปกว่าเดิม   

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 219 ผื่นแพ้เสื้อผ้า แก้อย่างไรดี

                ช่วงที่ผ่านมาอากาศร้อนจนร่างแทบละลาย แถมบางคนยังเกิดผื่นแพ้จากเหงื่อและเสื้อผ้า จนคันคะเยอเสียอาการ ครั้งนี้เรามาหาสาเหตุและการแก้ไขเพื่อให้สามารถผ่านช่วงเวลาแสบๆ คันๆ นี้ไปได้         สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดผื่นแพ้เสื้อผ้า        1.ผ้า ปกติผ้าใยธรรมชาติจะไม่ค่อยก่ออาการแพ้ อย่างฝ้าย ลินินหรือผ้าไหม ถ้าแพ้อาจเกิดจากสารเคมีที่เติมเข้าไป เช่น สีย้อม การกันเชื้อรา ฯลฯ ผ้าขนสัตว์ มักทำให้ผิวหนังระคายเคือง และเกิดลมพิษจากการสัมผัสได้ ผ้าไนลอน อาจก่อให้เกิดผดได้ เพราะเนื้อผ้าไม่ให้เหงื่อซึมผ่านออกมาทำให้เกิดการอับชื้น         2.สิ่งประดับในเสื้อผ้า  ซิป กระดุม ตะขอ ที่มีส่วนผสมของนิกเกิล อาจก่อให้เกิดการแพ้ได้ ยิ่งอยู่ในส่วนที่สัมผัสกับผิวโดยตรง         3.แพ้สารเคมี เช่น ผงซักฟอกเนื่องจากล้างออกไม่หมดแล้วตกค้างบนเสื้อผ้า หรือน้ำยาทำให้ผ้าเรียบ หรือแพ้สีย้อมผ้า         4.แพ้สารเคมีจากขอบยางยืด โดยเฉพาะยางยืดกางเกงชั้นใน เนื่องจากยางยืดส่วนใหญ่ใช้ยางพาราในการผลิต แม้มีคุณสมบัติทนทานแต่ในน้ำยางมีโปรตีนธรรมชาติที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ (เชื่อว่าคุณผู้ชายหลายคนน่าจะมีประสบการณ์ผื่นแพ้จากขอบกางเกงในกันมาบ้าง) อาจพบผื่นผิวหนังอักเสบด้านในและด้านหน้าของต้นขา เป็นต้น         5.แพ้เนื่องจากมีแมลงที่อาศัยในเสื้อผ้า เช่น เหา หิด ซึ่งชอบอาศัยตามเสื้อผ้าที่ทำจากขนสัตว์หรือเสื้อผ้าหนาๆ         6.แพ้จากเชื้อรา ที่แฝงในเสื้อผ้าที่เปียกชื้น         7.แพ้เนื่องจากอ้วนขึ้น การแพ้เสื้อผ้าอาการแพ้จะมากน้อยขึ้นอยู่กับบริเวณที่สัมผัสกับผ้า หากใส่เสื้อผ้าที่รัดรึงเกินไปจะทำให้ผิวจมอยู่กับสิ่งที่ก่ออาการแพ้ได้มากขึ้น เช่น ขอบยางยืด ซิป         วิธีป้องกันการแพ้เสื้อผ้า         ก่อนอื่นต้องหาสาเหตุให้พบเสียก่อน แล้วค่อยตัดสิ่งสงสัยไปเรื่อยๆ โดยขอเสนอเป็นแนวทางป้องกันกว้างๆ ดังนี้         1.ต้องมั่นใจว่าซักล้างผงซักฟอกจนสะอาดไม่ตกค้างบนเสื้อผ้า         2.ไม่ใส่เสื้อผ้าที่เปียกชื้นโดยเฉพาะเสื้อชั้นใน กางเกงใน เพราะจะก่อให้เกิดการหมักหมมของเชื้อโรค เชื้อรา         3.ไม่ใส่เสื้อผ้าที่รัดรึงเกินไป ควรใส่เสื้อผ้าให้พอดี ยิ่งระยะที่มีอาการแพ้ควรใส่เสื้อผ้าให้หลวมเพื่อไม่ให้สัมผัสกับผิวมากเกินไป         4.เมื่อเสื้อผ้าเปียกเหงื่อมากๆ ควรเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่เพื่อความสบายตัวและไม่เกิดการหมักหมม         5.หากแพ้เสื้อผ้าบางชนิดเช่น ผ้าขนสัตว์ ควรหลีกเลี่ยงหรืออาจป้องกันด้วยการสวมใส่เสื้อด้านในเพื่อกันไม่ให้เสื้อขนสัตว์สัมผัสผิวโดยตรง         6.ขอบยางยืด หากแพ้สารประเภทยางพารา ควรเลือกที่ยางยืดมีส่วนผสมของ Spandex หรือใช้วิธีกำจัดสารโปรตีนที่มากับยางพาราที่ใช้ทำยางยืด โดยใช้ยางมะละกอจากผลมะละกอดิบ/ จากใบมะละกอสัก 1 ช้อนโต๊ะ ละลายกับน้ำสัก 1 กาละมัง / หรืออาจจะใช้น้ำสับปะรดสดคั้นประมาณ 1 ถ้วย พร้อมกับใส่น้ำยาล้างจานลงไปเล็กน้อย แล้วแช่กางเกงในเจ้าปัญหาลงไปแช่ค้างคืน ก่อนที่จะนำมาซักปกติ (ที่มาเพจ เคมีฟิสิกส์ของสิ่งทอ อาหาร และของรอบตัว ) 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 218 แชมพูสมุนไพรแท้ๆ แบบไม่มีสารชำระล้าง

               เล่มที่แล้วเล่าถึงแชมพูสมุนไพร ที่ไม่ได้ห้ามการใส่สารชำระล้างหรือเรียกง่ายๆ ว่าหัวแชมพู ดังนั้นหลายคนเจอสารชำระล้างแรงๆ เข้าผมก็ฟูฟ่อง สากกระด้างได้ คราวนี้จะนำเสนอแชมพูสมุนไพรสูตรไร้สารชำระล้าง แบบทำเองได้ง่ายๆ สำหรับใช้กันในครอบครัว ซึ่งควรทำคราวละน้อยๆ เพราะสูตรแชมพูแบบไร้สารนั้น ตัวพฤกษเคมีจะไม่ค่อยคงตัว เก็บไว้นานประโยชน์จะน้อยลง ขณะเดียวกันอากาศร้อนๆ แบบเมืองไทย โอกาสบูดเสียเกิดได้ง่าย การทำแชมพูสมุนไพรแชมพูสมุนไพรจากมะกรูดช่วยให้ผมสะอาด แก้คันศีรษะ         สูตรที่ 1 วัตถุดิบมะกรูด 1 กิโลกรัม น้ำสะอาด 1 ลิตร         วิธีทำ ล้างมะกรูดให้สะอาด ผ่าเอาเมล็ดออกและฝานเป็นชิ้นเล็กๆ ต้มกับน้ำด้วยไฟอ่อนสัก 1 ชั่วโมง ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วปั่นด้วยเครื่องปั่นให้ละเอียดกรองเอาแต่น้ำ นำไปเคี่ยวไฟซ้ำจนเดือด เมื่อเย็นแล้วบรรจุลงในขวดที่มีฝาปิดสนิท ใช้ได้นานประมาณสองสัปดาห์         สูตรที่ 2 มะกรูด 3-4 ลูก ย่างด้วยเตาถ่านจนมีน้ำมันออกมาที่เปลือก จากนั้นหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และปั่นด้วยเครื่องปั่น กรองเอาแต่น้ำนำมาสระผม ทำครั้งต่อครั้ง แชมพูสมุนไพรจากมะกรูด อัญชัน ขิงช่วยแก้ปัญหาผมร่วง         วัตถุดิบยังคงใช้มะกรูดเป็นหลัก เพิ่มด้วยอัญชันและขิง ในสัดส่วน 3:1:1 ต้มกับน้ำสะอาดจนเปื่อยยุ่ย(ประมาณ 3 ชั่วโมง) จากนั้นทิ้งให้เย็น กรองด้วยผ้าขาวบางหรือตะแกรง และกรอกแชมพูลงในขวดปิดสนิท เก็บรักษาได้ประมาณ 2 สัปดาห์         สูตรนี้สามารถปรับจากอัญชัน ขิง เป็นขมิ้นชันแทนได้ ในสัดส่วน มะกรูด 5 ขมิ้นชัน 1 และถ้าต้องการเก็บรักษาให้นานขึ้น ในขั้นตอนที่ต้มกับน้ำ เติมเกลือเข้าไปด้วยจะช่วยให้เก็บได้นานขึ้นประมาณ 2-3 เดือน เคล็ดลับในการทำแชมพูสมุนไพร        1.ไม่ใช้ไฟแรง ควรค่อยๆ เคี่ยวด้วยไฟอ่อน        2.วัตถุดิบต้องล้างให้สะอาด        3.หาขวดที่เป็นหัวปั๊มมาใส่แชมพูจะช่วยให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น        4.ในตอนที่จะสระผม บางคนมีเคล็ดลับ นำแชมพูสมุนไพรผสมกับเบคกิ้งโซดาประมาณ 1 ช้อนชา ช่วยให้สระผมได้ง่ายขึ้น บางคนก็หมักแชมพูกับผมประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด ซึ่งการปรับใช้ขึ้นอยู่กับแต่ละคน และผลที่ได้ส่วนใหญ่น่าพอใจ เว้นแต่ระยะแรกอาจไม่ค่อยชินเพราะแชมพูสมุนไพรแบบนี้จะไม่มีฟอง และเวลาล้างออกต้องล้างออกให้หมดไม่เหลือพวกกากสมุนไพรทิ้งไว้        5.ถ้าเก็บไว้ได้ระยะหนึ่งแล้วพบว่า แชมพูมีการเปลี่ยนแปลงของสี กลิ่นก็ไม่ควรใช้แชมพูผสมสมุนไพร หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นของเหลวประกอบด้วยสารลดแรงตึงผิวใช้กับเส้นผมเพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกจากเส้นผมและหนังศีรษะผสมสารสกัดจากสมุนไพรหรือชิ้นส่วนสมุนไพร เช่น ดอกอัญชัน มะคำดีควาย ว่านหางจระเข้

อ่านเพิ่มเติม >