ฉบับที่ 266 พาวเวอร์เจลให้พลังงาน : กินไม่เกิดโรค รู้บริโภคปลอดภัย

        Power Gel หรือ Energy Gel เป็นอาหารชนิดหนึ่งที่อยู่ในรูปของเจลคาร์โบไฮเดรต โดยแต่งเติมกลิ่นและรสชาติเข้าไปเพื่อให้สะดวกแก่การรับประทาน         Power Gel เป็นแหล่งให้พลังงานสูงทำให้ร่างกายฟื้นฟูสภาพได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว โดยสารอาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว เป็นแหล่งพลังงานของร่างกายและช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดโดยทั่วไป Power Gel จะไม่มีไขมัน มีโปรตีนไฟเบอร์เป็นส่วนประกอบเพื่อช่วยระบบย่อยและดูดซึมอาหารทำงานได้เร็วที่สุด         กลุ่มนักกีฬาประเภทที่ใช้พลังงานต่อเนื่องเป็นเวลานานอย่างวิ่งมาราธอน ว่ายน้ำ มักจะหา Power Gel ชนิดและยี่ห้อต่างๆ มาใช้และมีความนิยมกันเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีข้อที่ต้องระมัดระวังในการใช้อยู่ด้วย ดังนั้นผลิตภัณฑ์ต้องได้มาตรฐานต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดและประเภทที่เหมาะกับตนเอง         เมื่อปี 2019 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของประเทศหนึ่งได้ออกประกาศเตือนภัยให้แก่ผู้บริโภคในประเทศของตนให้หลีกเลี่ยงการซื้อและบริโภคผลิตภัณฑ์ Power Gel ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน หากจะเปรียบเทียบในประเทศเราก็คือประกาศแจ้งเตือนของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้หลีกเลี่ยงการใช้และบริโภคผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีเครื่องหมาย อย. ไม่มีข้อความแสดงในฉลากเป็นภาษาไทย เพราะเมื่อบริโภคจะมีความเสี่ยงสูงที่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายจากส่วนประกอบที่อาจมีอันตรายหรือไม่ได้มาตรฐานและอาจเกิดพิษสะสมเมื่อรับประทานต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งปัจจุบันพบผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นจำนวนไม่น้อยในงานวิ่งรายการต่างๆ ร้านค้าออนไลน์         นอกจากนี้ยังมี Power Gel อีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องระมัดระวังในการบริโภคคือ Power Gel ที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีน ที่ใส่เข้าเพิ่มมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการตื่นตัว รู้สึกตื่นตัว เชื่อว่าช่วยให้ร่างกายทนทานต่อความเมื่อยล้าเพิ่มมากแต่อาจไม่เหมาะกับบางคนรวมถึงเด็กเล็ก  เพราะผลข้างเคียงให้เกิดอาการปวดหัวหรือกระวนกระวายใจได้ในบางคน องค์กร European Food Safety Authority แนะนำว่าปริมาณการบริโภคคาเฟอีนของผู้ใหญ่แต่ละครั้งไม่ควรเกิน 200 mg. และต่อวันไม่ควรเกิน 400 mg (ต้องกิน Power Gel ถึง 8 ซอง) แต่ในบางคนที่ไวต่อการกระตุ้น เช่น เด็ก หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวข้องกับความดัน หัวใจ แม้การกินคาเฟอีนที่ปริมาณไม่เกินกำหนดก็อาจทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ ใจสั่นได้ง่ายขึ้นได้ทันทีหรือความดันอาจจะเพิ่มขึ้นได้บ้าง โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้กินเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมคาเฟอีนเป็นประจำ นอกจากนี้ก็มีฤทธิ์เป็นยาระบายและยาขับปัสสาวะผลต่อการขับปัสสาวะที่บ่อยขึ้นเกิดผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำ         นักกีฬาที่จะหา  Power Gel มาทานจึงควรใส่ใจ อ่านฉลากซองผลิตภัณฑ์ให้ละเอียด 1) มีเลข อย. และมีข้อความภาษาไทย ระบุแหล่งผลิต วันเดือนปีที่หมดอายุ 2) ตรวจสอบส่วนประกอบในฉลากว่า มีส่วนผสมของคาเฟอีนหรือไม่ โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับตัวเอง และ 3) เลือกชนิดและประเภทของ Power Gel ที่เหมาะกับสภาพร่างกายของตนเอง ซึ่งสามารถปรึกษากับเภสัชกรที่ร้านยาทุกแห่งหรือผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์ Power Gel

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 265 ก่อนเฝ้าระวังสินค้า อย่าลืมเฝ้าระวังตนเอง

        “เราเดินเข้าไปในซูเปอร์มาเก็ตโดยมีเป้าหมายจะไปซื้อผงซักฟอกมาใช้ แต่สุดท้ายเราอาจจะพบว่า ณ จุดจ่ายเงิน ในรถเข็นบรรจุสินค้าของเรามันไม่มีแค่ผงซักฟอก แต่กลับมีสินค้าอื่นๆ เพิ่มเข้ามาอีกมากมาย เกิดอะไรขึ้นกับพฤติกรรมการบริโภคของเรา?”          จริงๆ แล้วเราอาจถูกหลอกโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่ตอนเข้ามาในห้างแล้ว ซูเปอร์มาเก็ตเอารถเข็นมาจอดรอเราตรงประตูทางเข้า ทั้งๆที่ การซื้อผงซักฟอกก็แค่หยิบใส่ตระกร้าแล้วหิ้วไปจ่ายเงิน โดยไม่จำเป็นต้องใช้รถเข็นด้วยซ้ำ แต่ด้วยความคุ้นชิน ขี้เกียจ หนักไม่อยากหิ้ว หรือเหตุผลอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายรถเข็นก็มาอยู่ในมือเรา และผลที่เกิดขึ้นก็คือ เราจะเพลิดเพลินเดินเตร็ดเตร่ไปตามชั้นวางสินค้าอื่นๆ ต่อไปอีก เดินเลือกดู น้ำปลา เครื่องปรุงรส แป้งทำขนม รองเท้า กระดาษทิชชู ยาสีฟัน นม อาหารสด ฯลฯ ตามแต่ความสนใจของเราแต่ละคน สุดท้ายในรถเข็นของเราก็มีทั้งผงซักฟอก และสินค้าอื่นๆ เพิ่มเข้ามาอีกโดยไม่รู้ตัว         นักการตลาดเขาฉลาดกว่าเรามาก สิ่งที่พวกเขารู้ก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อสินค้าด้วยเหตุผล แต่ซื้อด้วยความรู้สึก ความเชื่อ ความตื่นเต้น ความคาดหวัง หรือแม้กระทั่งความกลัว (เช่น ซื้อประกันชีวิต) การโฆษณาจึงก้าวเข้ามาในพฤติกรรมการบริโภคของเรา พวกเขาเลือกตำแหน่งที่ตั้งของร้านค้า ออกแบบสถานที่ การจัดวางสินค้าเพื่อกระตุ้น“จิตใต้สำนึก” ของคน ดึงดูดให้ผู้บริโภคสนใจในร้านค้าและตัวสินค้าจนต้องเดินเข้าไปดูและเข้าไปหยิบ สุดท้ายผู้บริโภคอย่างเราก็ตกเป็นเหยื่อเผลอเสียเงินซื้อโดยลืมเหตุผลความจำเป็นที่แท้จริงของตนเอง         ชุมชนชนบทที่วิถีชีวิตไม่ได้เร่งรีบแบบชุมชนเมือง ที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปส่งลูกหลานที่โรงเรียน รีบไปทำงานให้ทันตามเวลา ฯลฯ เมื่อมีร้านสะดวกซื้อต่างๆ มาจำหน่ายสินค้าในชนบทเพิ่มมากขึ้น สังคมที่เร่งเร้าให้ทุกคนต้องเร่งทำมาหากิน ทำให้ผู้คนในชนบทหันมาใช้บริการซื้อสินค้าและอาหารต่างๆ ในร้านสะดวกซื้อเหล่านี้ ซื้อกระทั่งอาหารแช่แข็งเพราะมันตอบโจทย์ สะดวก ง่าย ถูก และรวดเร็ว เพื่อจะได้เอาเวลาที่เหลือไปทำงานหาเงินต่อไป         สุดท้ายวิถีเหล่านี้มันก็รุกคืบเข้ามาจนมีอิทธิพลในพฤติกรรมการบริโภคของเรามากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ผู้ป่วยยอมเสียเงินซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารราคาแพงโดยคาดหวังว่าจะช่วยให้หายจากโรค เด็กวัยรุ่นยอมซื้อผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนกิน ทั้งๆ ที่มีข่าวมากมายว่าอันตรายหรือแม้กระทั่งตัวเราเองที่กำลังอยู่บนแฟลตฟอร์มออนไลน์ขายสินค้านั่งดูไลฟ์สดขายของด้วยความสนุกและกำลังหยิบของลงตระกร้าแล้วจ่าย         สิ่งที่เราควรทำควบคู่ไปกับการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สินค้าอันตรายในชุมชนคือ ตั้งสติ นั่งทบทวน เพื่อเฝ้าระวังตนเองด้วยว่าเรากำลังเป็นเหยื่อการโฆษณาหรือเหยื่อในการบริโภคสินค้าที่เกินจำเป็นต่อชีวิต จนสิ้นเปลืองเงินทองหรือเสี่ยงต่ออันตรายด้วยหรือเปล่า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 264 กิน..กัญ...จน...มึน

        “แม้กัญชาจะปลดล็อคเสรี แต่ถ้าผลีผลามใช้แบบไม่ระมัดระวัง กัญชาที่เป็นพืชสมุนไพรก็อาจจะทำให้เราเสี่ยงภัยได้ง่ายๆ”         ตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งที่ทีมเราเจอในโรงพยาบาล หลังปลดล็อคกัญชาเสรี จำได้ว่าในช่วงเย็นของวันหนึ่ง เภสัชกรได้รับแจ้งจากพยาบาลห้องฉุกเฉินให้ไปสอบสวนเคสคนไข้รายหนึ่ง สอบถามข้อมูลคนไข้ พบว่าคนไข้ชายไทยวัยกลางคนถูกนำส่งมารับการรักษาที่ห้องฉุกเฉินด้วยภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ หายใจไม่สะดวก คนไข้มีอาการมึนชาตามร่างกาย วิงเวียน คลื่นไส้อาเจียนอย่างมาก         เมื่อสอบถามข้อมูลจากภรรยาที่นำคนไข้มาส่งได้ความว่า สามชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาลสามีเธอกินต้มไก่ ใส่กัญชา ซึ่งปกติก็ใส่แค่ใบกัญชา แต่ครั้งนี้ไม่รู้นึกครึ้มอะไรเลยใส่มันทั้งใบและช่อดอก แถมแอบกระซิบว่าที่บ้านมีต้นกัญชาปลูกไว้ใส่ในต้มไก่ในปริมาณเยอะพอสมควร ตอนกินยังพูดว่าอร่อยฟาดต้มไก่หมดเกลี้ยงไปสองถ้วย แถมอาหารมื้อนี้ยังมีดื่มเบียร์ร่วมวง ด้วยพออิ่มเรียบร้อยจึงเกิดเรื่องสามีเกิดอาการขึ้นมาซึ่งตนก็ไม่คาดมาก่อนว่าจะทำให้เกิดอาการเช่นนี้จึงรีบพาส่งโรงพยาบาล         เภสัชกรจึงอธิบายให้ภรรยาฟังว่า กัญชา เป็นพืชสมุนไพรและพืชท้องถิ่น ซึ่งประชาชนบางส่วนอาจนำมาประกอบอาหาร ในกรณีบริโภคกัญชาเป็นอาหารเพื่อส่งเสริมสุขภาพนั้น ควรพิจารณาชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์และความเสี่ยง ส่วนที่คนส่วนใหญ่นิยมนำมาปรุงใส่อาหารมากที่สุดคือ ใบ ใบสดที่เพิ่งเก็บจากต้นซึ่งส่วนนี้จะไม่มีสารเมาแต่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระลดการอักเสบ เราอาจนำมากินกับน้ำพริกหรือผสมกับผักอื่นๆ กินแบบสลัดได้         แต่สิ่งที่เราต้องระวังคือ เมื่อใบกัญชาผ่านความร้อนหรือเก็บไว้นานๆ จะมีสารเมาที่เรียกว่าสาร THC และสารต้านเมาที่เรียกย่อๆ ว่า CBD เกิดขึ้น โดยใบอ่อนจะมีปริมาณสารข้างต้นมากกว่าใบแก่ สารสองชนิดนี้ พบปริมาณสูงสุดเมื่อต้นกัญชามีอายุ 2 เดือน ดังนั้นหากจะนำใบแห้งมาปรุงอาหารผ่านความร้อนตามภูมิปัญญาดั้งเดิม เราอาจใช้ได้ประมาณวันละ 5- 8 ใบ และแนะนำให้เริ่มใช้ในขนาดน้อยๆ ก่อน คือประมาณครึ่งใบต่อวัน         นอกจากใบแล้วส่วนอื่นๆ ของกัญชาก็สามารถนำมาใช้ปรุงอาหารได้ ขึ้นอยู่กับประเภทของอาหาร เช่น ใช้ใบกัญชาปรุงรสของน้ำซุป เช่น ต้ม แกง ตุ๋น ใช้ยอดกัญชา ใส่ผัดเผ็ด แกงเผ็ด เหมือนใบกะเพรา ใบโหระพา ใช้ใบอ่อนกัญชาเป็นผักสด จิ้มน้ำพริก น้ำบูดู หั่นใส่ในข้าวยำ ใส่แกงส้ม แกงกะทิ แกงมัสมั่น หรือในเมนูผัด บางพื้นที่ใช้รากและกิ่งก้านกัญชา มาใส่ทำน้ำซุปแต่ในส่วนของช่อดอกต้องระวัง ไม่นำมาใช้ในการปรุงอาหารเพราะมีสารที่ทำให้มึนเมามากอาจเกิดอันตรายได้         นอกจากนี้ผู้ที่เพิ่งเริ่มกินอาหารที่มีส่วนผสมของกัญชา อาจมีอาการข้างเคียงเช่น ปากแห้ง คอแห้ง ง่วงนอน รู้สึกมึนงง ปวดหัว หัวใจเต้นเร็ว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเริ่มออกฤทธิ์แสดงผล หลังกินไปแล้วประมาณ 30-60 นาที และจะแสดงอาการเด่นชัดที่เวลาหนึ่งชั่วโมงและอยู่ได้นานถึงประมาณหกชั่วโมง ดังนั้นผู้ที่เพิ่งกินกัญชาหรือเริ่มกินเป็นครั้งแรก ควรเริ่มกินที่ครึ่งใบแล้วรอดูผลหลังการกิน 2 ชั่วโมง หากมีอาการปากแห้ง คอแห้ง ให้ดื่มน้ำมากๆ หากมีอาการมึนเมา ให้ดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำตาลหรือน้ำผึ้งหรือดื่มชารางจืดเพื่อบรรเทาอาการ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 263 ดวงตาเป็นหน้าต่างของกำไร

        ปัจจุบันผู้คนเข้าสู่ยุคสังคมก้มหน้า ไม่ว่าใครต่อใครก็มักจะก้มหน้าใช้สายตาจ้องหน้าจอมือถือหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบตลอดเวลา อาการเหนื่อยล้าทางสายตาย่อมเกิดขึ้นได้ง่ายๆ บางคนเกิดปัญหาทางตาตามมาอีก จึงเป็นช่องทางให้ผลิตภัณฑ์สุขภาพเกี่ยวกับสายตาผุดออกมาจำหน่ายมากมายและรุกโฆษณาเข้าถึงตัวเราได้ง่ายๆ         ผมลองสังเกตหน้าจอมือถือที่จู่ๆ ก็มีโฆษณาแนะนำผลิตภัณฑ์เหล่านี้มาถึง แค่ครึ่งวันก็จู่โจมมาเกือบ 10 ยี่ห้อแล้ว        “เห็นยักใย่ ดำๆลอยไปลอยมา 1 เม็ดก่อนนอน ตาใสปิ๊งเหมือนได้ตาใหม่ ซื้อตอนนี้ 590 บาท ลดเหลือ 390 บาท”         “ฟื้นฟูดวงตาด้วยสารสกัดหญ้าฝรั่น ให้ผลไวกว่าลูทีนทั่วไป 5 เท่า ดูดซึมเร็วกว่าเดิมถึง 25 เท่า”                 “ตาพร่าดวงตาล้า ดูซีรี่ย์นานใช้ดวงตาเยอะ ....(ชื่อดารา)....เลือกใช้”                 “ปวดตาเคืองตา น้ำตาไหล มองไม่ชัด ซื้อ 3 แถม 1”         “....(ชื่อดารารุ่นแม่)....แนะนำสูตรใหม่ เห็นผลไวกว่าลูทีน 8 เท่า การันตีด้วยรางวัลโนเบล”         “สายตาพร่ามัวมองไม่ชัด เป็นต้อ รู้สึกไม่สบายตา แสบตาเคืองตาอย่ารอช้า รีบทาน (โทรติดต่อ......)         “รวบรวมสารสกัดที่มีคุณภาพ ซึ่งประกอบไปด้วยสาร..... ซึ่งเป็นสารที่ช่วยปกป้องจอตาหรือเรตินาจากการถูก         ทำลายโดยแสงสีฟ้าและแสงยูวีจากดวงอาทิตย์ สาร... ช่วยให้กล้ามเนื้อยึดเลนส์คลายตัว การไหลเวียนของเลือดไปยังบริเวณรอบๆตาจึงไหลเวียนดีขึ้น ช่วยลดอาการอ่อนล้าของดวงตา ลดอาการตาแห้ง และเพิ่มการโฟกัสของตาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”         “บำรุงสายตาลดอาการตาแห้งตาล้า ช่วยให้การมองเห็นชัดขึ้น ป้องกันดวงตาจากแสงสีฟ้า บำรุง ฟื้นฟู สายตา ตาแห้ง ตาล้า จอประสาทตาเสื่อม ช่วยลดอาการตาแห้งจากลม เพิ่มการมองเห็นให้ชัดเจน ช่วยปรับโฟกัส ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม ป้องกันโรคที่เกี่ยวกับดวงตาของผู้สูงอายุ สามารถดูดซึมได้รวดเร็ว ภายใน 15 นาที”         ข้อความต่างๆ ที่ส่งเข้ามาจะหลากหลาย ตั้งแต่บอกว่ามีสารที่มีประโยชน์ มีสรรพคุณบำรุง ป้องกัน ไปจนกระทั่งถึงรักษาโรคทางตาได้ด้วยซ้ำ อันที่จริงแล้วกฎหมายอนุญาตให้ผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้าที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้ แต่ต้องมายื่นขอ อย.ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งข้อเท็จจริงคือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเหล่านี้อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหาร แต่ในส่วนประกอบอาจมีสารอาหารมากกว่าอาหารทั่วๆ ไปเพิ่มเข้ามา ดังนั้นเมื่อมันเป็นแค่ผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ประเภทยา มันจึงไม่มีสรรพคุณในการ บำบัด บรรเทา ป้องกันหรือรักษาโรคได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถล้ำเส้นอ้างสรรพคุณทางยาได้ ซึ่งทางหน่วยงานที่ดูแลก็พยายามไล่กวดจับกันอยู่ แต่ผู้ขายและเครือข่ายก็มักจะแอบไปเปิดช่องทางใหม่ๆ ในโซเชียลจนเจ้าหน้าที่ตามแทบไม่ทัน         สุดท้ายนี้ขอแนะนำวิธีการถนอมสายตา เพื่อช่วยช่วยป้องกันสายตาเมื่อต้องจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือใช้มือถือนานๆ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก เช่น (1) พักสายตาทุก 30 นาที (2) กะพริบตาให้ได้ 4-6 ครั้ง/นาที (3)ไม่ฝืนอ่านตัวอักษรที่มีขนาดเล็กมากจนเกินไป (4) เว้นระยะห่างจากหน้าจอประมาณ 30-40 เซนติเมตร (5) ปรับความสว่างของหน้าจอให้พอดีไม่มืดหรือสว่างเกินไป (6)ไม่ใช้งานมือถือหากอยู่บนพาหนะที่มีความสั่นไหวเพราะทำให้มองจอได้ยาก (7)ช่วงอากาศแห้งไม่ควรใช้สายตานานจนเกินไป เป็นต้น         มันไม่คุ้มค่าหากตาจะพังและกระเป๋าตังค์จะรั่ว ต้องระมัดระวังอย่าหลงเชื่อโฆษณาล้ำเส้นจนเกินจริง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 262 แกงส้มแป๊ะซะเปรี้ยวแซ่บ เมนูปาร์ตี้ปีใหม่ปลอดภัย?

        “เมนูเปรี้ยวแซ่บขนาดนี้ อยู่ในภาชนะอะลูมิเนียม เหล็กหรือสังกะสี  เมื่อถูกกระตุ้นด้วยความร้อนสูงต่อเนื่องเป็นเวลานานจะมีสารตะกั่วออกมาให้เรากินไปด้วยไหม ?”         แกงส้ม เป็นอาหารไทยที่มีรสชาติครบทั้งเปรี้ยว เค็ม เผ็ดและหวาน ร้านอาหารดังหรือแม้แต่ในครัวบ้านๆ ต้องมี ความอร่อยของเมนูนี้อยู่ที่ “ต้องรับประทานขณะร้อน” ดังนั้นภาชนะที่ใช้เวลาเสิร์ฟจึงต้องสามารถส่งผ่านความร้อนได้เป็นอย่างดี เช่น อะลูมิเนียม  เหล็ก  สังกะสี ทองเหลืองและสแตนเลส แต่ปัจจุบันภาชนะทองเหลืองและสแตนเลส มักไม่ค่อยเป็นที่นิยมเพราะราคาค่อนข้างสูง ที่นิยมและพบได้ทั่วๆ ไปในร้านอาหาร คือ ภาชนะชนิดอะลูมิเนียม  เหล็ก  สังกะสี แต่เราเคยสงสัยบ้างไหมว่า อาหารที่มีรสเปรี้ยวแซ่บขนาดนี้ เมื่ออยู่ในภาชนะดังกล่าวและยังถูกความร้อนสูงๆ อย่างต่อเนื่องจากเชื้อเพลิงเป็นเวลานานจะมีสารตะกั่วหรือโลหะหนักอื่นๆ ปนออกมาให้เรารับประทานโดยไม่รู้ตัวไปด้วยไหม?         ปัจจุบันอาจจะไม่ค่อยพบภาชนะที่ทำจากตะกั่วล้วนๆ แล้วแต่ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เพราะถ้าภาชนะมีการบัดกรี ตามรอยต่อต่างๆ ก็อาจจะมีการปนเปื้อนจากตะกั่วลงมาในอาหารได้ซึ่งเราก็ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า ดังนั้นทางเครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดหนองบัวลำภู จึงได้เก็บตัวอย่างอาหารจากร้านอาหาร จำนวน 2 ครั้ง (ครั้งที่1 และครั้งที่ 2 ห่างกันประมาณ 3 - 7 วัน) และเก็บตัวอย่างน้ำแกง 3 ลักษณะ (ทั้งน้ำแกงที่เย็น น้ำแกงที่เดือด และน้ำแกงหลังจากเดือดไปแล้ว 5 นาที) จากนั้นส่งตรวจยังห้องปฏิบัติการทดสอบโลหะหนัก ด้วยวิธีมาตรฐาน พบผลตรวจน่าสนใจ คือ          พบว่ามีสารตะกั่วปนเปื้อนอยู่ในอาหาร แต่...ยังมีความปลอดภัยเพราะมีปริมาณต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (ก. สาธารณสุข กำหนดให้สารตะกั่วต้องไม่เกิน 1 มก.ต่อ อาหาร 1 กก. และอาหารที่จำหน่ายในร้านอาหารนั้นจะต้องมีความปลอดภัยจากโลหะหนัก สารเคมี และเชื้อโรคด้วย)         อย่างไรก็ตาม เพื่อความมั่นใจ เครือข่ายฯ ได้วัดค่าความเป็นกรดของน้ำแกงส้ม พบว่ามีค่าอยู่ระหว่าง 3.67–5.95  (โดยร้อยละ 80 ของตัวอย่างมีค่าความเป็นกรดด่างระหว่าง 4.00–5.00) ซึ่งถือได้ว่าน้ำแกงส้มมีค่าเป็นกรด จึงมีความเสี่ยงมากถ้าใช้ภาชนะที่ไม่ได้มาตรฐานหรือมีการบัดกรีภาชนะที่เป็นโลหะผสมหรือภาชนะที่มีรอยต่อและการที่ยังพบสารตะกั่ว เพราะตะกั่วสามารถสะสมในร่างกายได้เป็นเวลานาน รวมทั้งอาจได้รับสารตะกั่วจากปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น สิ่งแวดล้อม การใช้เครื่องสำอางที่มีสารตะกั่ว ฯลฯ ซึ่งอาจส่งผลต่อร่างกายได้         การปนเปื้อนของโลหะหนักในอาหารทำให้เกิดอันตรายต่อ สมอง กระดูก  ไตและต่อมไทรอยด์  ถ้าเป็นเด็กเล็ก อาจส่งผลต่อ IQ ทำให้ต่ำกว่าเด็กทั่วไป อาการเป็นได้ทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง ดังนั้นการป้องกันความเสี่ยงจากการรับประทานอาหารได้ง่ายที่สุดคือ ในการรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว ต้องใช้ภาชนะที่มีความปลอดภัย ไร้สารตะกั่ว เพราะจะทำให้ลดปัจจัยเสี่ยง และทำให้เรามีความสุขในการรับประทานอาหารกับครอบครัว มิตรสหายในช่วงเวลาดีๆ นี้ได้อย่างสบายใจ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 261 ปลอมยา (จีน) โผล่ชายแดน ก่อนวกมา (ไทย)

        ด้วยความจำเป็นในชีวิตทำให้หญิงคนหนึ่งต้องทนตรากตรำทำงาน หาเงินส่งลูกชายคนเดียวของเธอเรียนหนังสือ จากคำแนะนำของเพื่อนทำให้เธอต้องหลุดเข้ามาสู่วังวนการใช้สเตียรอยด์ นานติดต่อกันถึง 6 ปี         เรื่องมีอยู่ว่า เธอซื้อสเตียรอยด์แบบเม็ดบรรจุในกระปุกสีขาวมีฉลากภาษาจีนมาจากพ่อค้าขายเครื่องเทศชาวเขาในตลาดนัดใกล้บ้าน เพียงกินวันละ 2 เม็ด มันก็ทำให้เธอมีเรี่ยวแรงรู้สึกกระชุ่มกระชวย จนสามารถทำงานได้ทุกวันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า นานวันเข้าคนรอบข้างเริ่มสังเกตเห็นว่า ร่างกายเธอเริ่มบวมขึ้น ผิวหนังบางจนเห็นเส้นเลือด จึงพยายามเตือนให้หยุดกิน แต่เธอก็ไม่เชื่อเพราะมันทำให้เธอมีแรงทำงานได้ทุกวัน เธอคิดว่ามันคุ้มกว่าการไปหาหมอหรือกินยาอย่างอื่นๆ ที่ได้ผลเพียงชั่วคราว แต่มีอีกเหตุผลที่เธอแอบเล่าให้ฟังคือ “เธอยอมรับว่าติดมันแล้ว หากหยุดก็กลัวว่าร่างกายจะทรุดลงและกลัวจะถูกชาวบ้านสมน้ำหน้าที่เตือนแล้วไม่ฟังอีกด้วย”         ผลจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทำให้เธอไม่สามารถเข้าถึงสเตียรอยด์จากพ่อค้าได้เหมือนเดิม เพราะตลาดนัดถูกสั่งปิด ทำให้เธอเริ่มมีการอาการผิดปกติจากอาการถอนสเตียรอยด์  เริ่มเมื่อยล้า ปวดข้อ มีไข้ กล้ามเนื้ออ่อนแรง จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพาน และถูกส่งต่อไปรักษาที่โรงพยาบาลเชียงรายฯ รวมเวลาที่เธอต้องนอนในโรงพยาบาลทั้งหมด 24 วัน โดยต้องเข้าไปอยู่ในห้อง ICU ถึง 7 วัน โชคดีที่เธอรอดชีวิตมาได้ แต่สเตียรอยด์ก็ทำลายชีวิตเธอไปไม่น้อยเช่นกัน เสียทั้งเวลาและเงินที่เก็บไว้ไปในการรักษาตัว และเพราะเหตุที่เธอใช้สเตียรอยด์นานติดต่อกันจนเกินไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตสเตียรอยด์ธรรมชาติในร่างกายได้เอง แพทย์ผู้ทำการรักษาจึงจำเป็นต้องให้เธอต้องกินสเตียรอยด์ขนาดต่ำไปตลอดชีวิตเพื่อชดเชย  สุดท้ายเธอบอกว่าสเตียรอยด์ส่งผลต่อชีวิตเธออย่างมาก “เป็นตายเท่ากัน แทบจะต้องเอาชีวิตเข้าแลก จะไม่ขอกลับไปใช้มันอีกแล้ว”         จากข้อมูลย้อนหลังผู้ป่วยโรคไตที่มารับบริการที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ในปี 2563 พบว่า มีผู้ป่วยจำนวน 24 ราย ที่มีภาวะบกพร่องของต่อมหมวกไตที่เกิดจากการใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานาน โดยพบในพื้นที่อำเภอพานมากที่สุด สอดคล้องกับข้อมูลจากรายงานยาปลอมโดยเครือข่ายผู้บริโภคภาคเหนือในหลายจังหวัด พบยาปลอมมี่มีลักษณะคล้ายกัน คือเป็นยาเม็ดในกระปุกสีขาวฉลากภาษาจีน ขายคู่กัน 2 กระปุก กระปุกหนึ่งเป็นยาต้านการอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) อีกกระปุกคือสเตียรอยด์ชนิดเด็กซาเม็ททาโซน โดยซื้อขายกันผ่านตลาดนัด มีเครือข่ายพ่อค้าบางกลุ่มนำเข้ามา         น่าแปลกใจว่าสารตั้งต้นในกระบวนการผลิตยาที่มีการปลอมปนสเตียรอยด์นั้นมาจากไหน เพราะตามกฎหมายแล้วสารเหล่านี้จะต้องถูกควบคุมและจำกัดให้อยู่เฉพาะในบริษัทยาที่ได้รับอนุญาตผลิตตามกฎหมายเท่านั้น! การวนเวียนของสารตั้งต้นจากในประเทศออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านและวกกลับเข้ามาในไทยเพื่อผลิตยาปลอมนั้นกลับเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในพื้นที่ภาคเหนือ ปัญหายาอันตรายตามชายแดนที่ค่อยๆ กัดกินชีวิตคนไปทีละน้อยแบบเงียบๆ นี้ควรจะต้องถูกยกเป็นปัญหาระดับชาติเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องหันมาให้ความสนใจ ก่อนที่จะมีคนพื้นที่สูญเสียด้านสุขภาพไปมากกว่านี้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 260 จะรักษาทั้งที อย่าให้ยา”ตีกัน”

        คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเมื่อเจ็บป่วยแล้วต้องไปหาแพทย์ เภสัชกรหรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพื่อรักษานั้น  ก็บอกแค่อาการป่วยและข้อมูลแพ้ยาอะไรก็เพียงพอแล้ว แต่ความจริงข้อมูลเท่านี้ยังไม่พอ เพราะยังมีเรื่องสำคัญมากอีกอย่างเช่นข้อมูลพฤติกรรมและการกินยาหรืออาหารอะไรอยู่ในช่วงเวลาที่เจ็บป่วย ก็เพื่อว่า “ป้องกันยาตีกัน” นั่นเอง         ไม่ใช่แค่บอกว่าแพ้ยาอะไร ผู้ป่วยควรจะต้องแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่าในช่วงนี้ตนใช้ยา ยาสมุนไพร หรืออาหารเสริมอะไรร่วมอยู่ด้วย เพราะยาบางตัวเมื่อนำไปใช้ร่วมกับยา ยาสมุนไพร หรืออาหารเสริมตัวอื่นๆ มักจะเกิดปฏิกิริยาทำให้ระดับยาในเลือดเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษา บางครั้งอาจเกิดอาการที่รุนแรงเพิ่มขึ้นไปหรือบางครั้งก็ไปทำให้ประสิทธิภาพของยาที่ใช้ลดต่ำลง ทำให้การรักษาไม่ได้ผลหรือเกิดโรคแทรกซ้อนที่อันตรายขึ้นในภายหลัง  ปฏิกิริยาแบบนี้ ภาษาชาวบ้านจะเรียกว่า “ยาตีกัน”         ตัวอย่าง คนไข้ เอ ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจได้รับยาฆ่าเชื้อคลาริโทรมัยซิน (Clarithromycin) จากแพทย์มารับประทาน  อีก 2 วันต่อมา คนไข้มีอาการปวดไมเกรน จึงกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่คนไข้ไม่ได้แจ้งว่า ตนเองกำลังใช้ยาคลาริโทรมัยซินอยู่  โรงพยาบาลจึงจ่ายยาเออร์โกตามีน (Ergotamine)  เพื่อรักษาไมเกรนมาให้  เมื่อคนไข้กลับบ้านจึงรับประทานยาทั้ง 2 ตัวร่วมกัน  ปรากฎว่ายาทั้ง 2 ตัว  “ตีกัน”  ทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจหดตัว  เลือดไปเลี้ยงหัวใจลดลง  กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันเสียชีวิต          กรณีนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น  ในโลกนี้ยังมียาจำนวนมากที่สามารถเกิด “ยาตีกัน” กับยาแผนปัจจุบัน ยาสมุนไพร ยาแผนโบราณและอาหารเสริมได้  การบอกข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้รักษา “ทราบชื่อ” ยาหรือ อาหารเสริมที่คนไข้ใช้อยู่  นอกจากป้องกันยาตีกันได้แล้วยังป้องกันการได้รับยาเกินขนาด  ยาซ้ำซ้อนกับยาเดิมที่มีอยู่อีกด้วย และยังช่วยให้ประเมินได้ว่าอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากโรคหรืออาการข้างเคียงจากยาที่ใช้อยู่หรือไม่  ยาหรืออาหารเสริมหลายตัวนอกจากจะรักษาโรคได้ ก็ยังทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้ด้วยเช่นกัน   หากทราบข้อมูลเหล่านี้แล้ว ผู้ที่รักษาก็จะเปลี่ยนยา ลดขนาดหรือปรับวิธีรับประทานยา  ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่สาเหตุ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาอื่นเพิ่มเติม         ท่องจำย้ำเตือนให้ขึ้นใจเลยครับ เวลาไปโรงพยาบาล ร้านขายยา คลินิกหรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หากในช่วงนั้นผู้ป่วยมีการใช้ ยา ยาสมุนไพรหรืออาหารเสริมอยู่ด้วย ขอให้นำติดตัวไปด้วยเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ แนะนำ หากมีฉลากหรือเอกสารต่างๆ ก็ขอให้นำติดไปด้วยจะยิ่งดี

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 259 เภสัชกรสาวตาใสกับคุณยายตามัว

        เสียงเคาะประตูห้องยาดังขึ้น เภสัชกรสาวตาใสวางมือจากกองยาหน้าเคาน์เตอร์ เมื่อเงยหน้าขึ้นภาพตรงหน้าคือคุณยายท่านหนึ่ง แกมาพร้อมอาการบวมที่ใบหน้า ในมือของแกถือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสารสกัดโกจิเบอรี่ยี่ห้อหนึ่ง จากการพูดคุยสอบถามพร้อมทั้งซักประวัติเพิ่มเติมทำให้ทราบว่าคุณยายมีโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูง อาการตอนนี้ นอกจากตัวบวมแล้ว ตายังพร่ามัวอีกด้วย         “ยายซื้อไอ้นี่จากรถเร่หมู่บ้านต่างอำเภอที่มาเร่ขายในหมู่บ้านของยายน่ะ คนขายเขาโฆษณาว่ากินแล้วจะช่วยให้ตามองเห็นชัดขึ้น ทีแรกยายก็ยังไม่ค่อยเชื่อนะ แต่เขาเอาเอกสารมาให้ดูเพิ่มเติม เห็นบอกว่าช่วยบำรุงดูแลดวงตาและรักษาโรคตาต้อต่างๆได้ แถมยังเน้นว่า ตามัวสั่งด่วน ตามองชัดแจ๋ว ต้อต่างๆ หาย ตาใสปิ้ง ดูแล้วก็น่าเชื่อถือดี”         “ยายอยากมองเห็นชัด เลยซื้อมากินหนึ่งกระปุก กระปุกละ 800 บาทยายก็ยอมนะ แต่พอยายกินไปได้ 7 วันเท่านั้นเอง ตัวยายก็เหมือนจะบวม หน้านี่บวมชัดเลย แถมยังผื่นขึ้นเต็มตัวอีก ตาก็ไม่ใสแต่กลับมัวมากขึ้น” คุณยายเล่าด้วยเสียงวิตก “ทำยังไงดี”         เภสัชกรสาวจึงรีบประเมินอาการพบว่า น่าจะเกิดจากการแพ้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จึงแนะนำคุณยายให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ทันทีและรีบแจ้งข้อมูลเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เพื่อช่วยกันเตือนภัยและเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อนี้ จากนั้นขอผลิตภัณฑ์ของคุณยายส่งตรวจวิเคราะห์ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อหาสารอันตรายที่อาจปลอมปนเข้ามาในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าว ซึ่งกำลังรอผลวิคราะห์อยู่         “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ใช่ยานะคะคุณยาย มันจึงไม่มีผลในการบำบัด บรรเทา หรือรักษาโรค และจากที่หนูตรวจสอบฉลากของผลิตภัณฑ์นี้ มันยังแสดงข้อมูลในฉลากไม่ครบถ้วนอีกด้วยค่ะ เพราะถ้าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กฎหมายกำหนดให้ต้องมีข้อความเตือนว่าไม่มีผลในการรักษาโรคด้วย นี่ถ้ามีผู้ป่วยหลงเชื่อซื้อมารับประทาน โดยหวังว่าจะรักษาโรคต่างๆ ของดวงตา นอกจากจะเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์แล้ว ยังจะเสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้องด้วยนะคะ  หนูคิดว่าหากใครมีอาการทางดวงตา ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาที่ถูกต้อง ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าวนะคะ”         “การโฆษณาสรรพคุณของอาหารเป็นยารักษาโรค ถือว่าเป็นการโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพหรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จหรือเป็นการหลอกลวงให้เกิดความหลงเชื่อโดยไม่สมควร มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาหารพ.ศ.2510 ผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินสามหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ... ยังไงฝากคุณยายช่วยกันเตือนคนอื่นๆ ในหมู่บ้านด้วยนะคะ”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 258 เรื่องสยองของสิวกับผงไม่พิเศษ

ก “เฮ้ยยย..ว่าไงวัยรุ่น นายเป็นสิวเหรอ?” ข “เออ..ว่ะ ทำไงดีวะ เป็นสิวไม่อยากไปเรียนเลย มียาดีแนะนำมั้ยเพื่อน” ก “จัดไปให้ไวเลยเพื่อน..ยาผงแบบซองผสมน้ำแต้มหัวสิว ไม่สยิว สิวหายแน่นอน” ข “แล้วมันดีในระยะยาวจริงเหรอ เห็นหลายคนใช้แล้วไม่หายแถมได้แผลเป็นด้วยน่ะสิ…เฮ้อ!!”         นานกว่า 40 ปีแล้วที่วัยรุ่นทุกยุคสมัยคุ้นเคยและผ่านตากับยาผงในซองสีส้มแดงที่ว่ากันว่ามันเสมือนผงพิเศษที่สามารถแผลงฤทธิ์พิชิตสิวบนใบหน้าได้ง่ายๆ จากคำร่ำลือผ่าน ปากต่อปาก พี่สู่น้อง ผู้ปกครองสู่ลูกหลาน แม้ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ยุคสมัย จนมีการพัฒนายารักษาสิวใหม่ๆ มากมาย แต่ยังคงพบว่าวัยรุ่นหลายคนก็ยังนิยมนำยาผงนี้มาทาหน้าแก้สิวกัน โดยแทบไม่รู้กันเลยว่ามันคือยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่งในกลุ่มยาซัลฟา มีตัวยาสำคัญคือ“Sulfanilamide”  สิวมาจากไหน?         มนุษย์เรามีผิวหนัง 3 ชั้น ชั้นแรกคือชั้นหนังกำพร้า คอยปกป้องสิ่งสกปรก เชื้อโรค ชั้นต่อไปคือชั้นหนังแท้ เป็นที่อยู่ของต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน เส้นขน ชั้นสุดท้ายคือชั้นที่อยู่ใต้ผิวหนังลงไป เป็นชั้นที่สะสมไขมันให้ความอบอุ่นร่างกาย ปกติเจ้าต่อมไขมันในชั้นหนังแท้ จะคอยหลั่งไขมันออกตามรูขุมขนเพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้น แต่เมื่อวันดีคืนดีมันเกิดการอุดตันจากการที่มีสิ่งสกปรกที่ผิวหนัง ไขมันมันก็จะสะสมจนอักเสบเกิดเป็นสิว นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆที่อาจทำให้เราเป็นสิวได้อีก เช่น การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่น เป็นต้น ดังนั้นการรักษาสิงที่ถูกต้องจึงต้องแก้ให้ตรงกับสาเหตุที่เกิด หากใช้ยาปฏิชีวนะแต้มสิวจะมีผลสยองอย่างไรบ้าง?         เนื่องจากยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ“Sulfanilamide”เป็นยาที่เคยนำมาใช้ในการรักษาแผลติดเชื้อด้วยการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในสมัยก่อนๆ และใช้กันอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการจดทะเบียนยา ให้มีสรรพคุณ เน้นเฉพาะรักษาสิวอักเสบที่มีสาเหตุจากเชื้อ Cutibacterium acnes แต่เนื่องจากมีการนำมาใช้พร่ำเพรื่อติดต่อกันนานหลายปี ปัจจุบันจึงพบว่าเชื้อตัวนี้“ดื้อยา Sulfanilamide”ไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังมีรายงานการแพ้ยาในกลุ่มซัลฟาในประชาชนชาวไทยมากขึ้น ซึ่งหากใครแพ้ยากลุ่มซัลฟาแล้วมาใช้ยา Sulfanilamide ก็จะมีโอกาสแพ้ด้วยเช่นกัน บางรายจะมีอาการรุนแรง เช่น ผิวหนังลอก หรือเป็นด่างดำตามผิวหนังถาวร จึงไม่มีการนำมาใช้รักษาสิวแล้ว เพราะมียาอื่นๆ ที่ดีกว่าและปลอดภัยกว่า         รู้อย่างนี้แล้ว ช่วยกันบอกต่อๆ และเตือนกันด้วย อย่านำยาผงดังกล่าวมาทาหน้าแก้สิวเลย เพราะนอกจากจะเสี่ยงอันตรายแล้ว มันไม่ใช่ผงที่จะรักษาสิวได้อย่างพิเศษแต่อย่างใด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 257 ยาสัตว์แอบขายออนไลน์ สัตว์เลยได้ใช้อย่างเสี่ยงๆ

        ยาสำหรับสัตว์ก็เหมือนกับยาสำหรับคน เพราะก่อนจะอนุญาตให้นำมาใช้ได้ผู้ผลิตจะต้องมาขอนุญาตขึ้นทะเบียนตำรับยาและเมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ก็จะต้องจัดทำฉลากให้มีข้อมูลสำคัญต่างๆ เช่นเดียวกับยาสำหรับคน เช่น เลขทะเบียนยา ชื่อตัวยาสำคัญ วันผลิต วันหมดอายุ  ชื่อ ที่อยู่ผู้ผลิต แต่จากการลงไปสำรวจในพื้นที่กลับพบยาสำหรับสัตว์ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน พูดง่ายๆ ก็ยาปลอม วางจำหน่ายตามร้านค้าหรือชายในออนไลน์มากมายหลายชนิด  เช่น         ยาที่ใช้ในการเลี้ยงปลา (พบยาปฏิชีวนะ  Amoxycillin ชนิดผง Chlormycin ชนิดผง)         ยารักษาไก่ ซึ่งมีการอ้างสรรพคุณหลายชนิด เช่น ยาฆ่าพยาธิ  หวัดหน้าบวม คอดัง ขี้ขาว ขี้เขียว  ท้องเสีย อหิวาต์  คลายกล้ามเนื้อ ข้อบวม กระตุ้นกำลังไก่ชน ขับเสมหะ  รักษาหวัด หลอดลมอักเสบ ขี้ขาว ช้ำใน ถ่ายเป็นน้ำ ไข้ เหงาซึม  ยาฉีดแก้หวัด ยาฉีดแก้ไข้ ยารักษาหวัดคอดัง ในไก่  ยาหยอดตาไก่           ยาฉีดฆ่าพยาธิ กำจัดเห็บ หมัด ในสุนัข (พบยาฆ่าพยาธิ Ivermectin 150 mg/10 ml ซึ่งหลายยี่ห้อที่ไม่มีทะเบียนยา)         ยาสูตรผสมในซองเดียว ทั้งยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวดและวิตามิน (Amoxycillin + Indomethacin + Vitamin B12) ใช้สำหรับรักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและระบบทางเดินอาหารของไก่ เป็ด นก หมู วัว         ตามกฎหมายยานั้นกำหนดว่าร้านขายยาสัตว์จะต้องมีสัตวแพทย์หรือเภสัชกรอยู่ประจำ เพื่อให้คำแนะนำการใช้ยา (เหมือนร้านขายยาแผนปัจจุบัน ที่ต้องมีเภสัชกรเป็นผู้แนะนำการใช้ยา)  แต่ปัจจุบันพบว่ามีการลักลอบจำหน่ายยาสัตว์อย่างผิดกฎหมายผ่านทางช่องทางออนไลน์อยู่มากมาย ผู้เลี้ยงสัตว์ที่สั่งยาจากช่องทางนี้อาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับยาปลอม ส่งผลทำให้สัตว์ได้รับยาที่ไม่มีทั้งคุณภาพและประสิทธิภาพในการรักษาและยังอาจได้รับผลข้างเคียงจากยาปลอมจนเสียชีวิตได้ หากเป็นยาปฏิชีวนะก็จะยิ่งเสี่ยงมากขึ้น เพราะหากใช้ยาไม่ถูกต้องไม่ครบขนาดการรักษา ใช้พร่ำเพรื่อเกินจำเป็นจะทำให้การรักษาไม่ได้ผลและอาจส่งผลจะทำให้เกิดเชื้อดื้อยาได้         จริงหรือปลอม : สองข้อง่ายๆ ในการตรวจสอบยาสำหรับสัตว์         1. ตรวจสอบเลขทะเบียนยาบนฉลาก  เลขทะเบียนยาสำหรับสัตว์ จะระบุเป็นตัวอักษร D หรือ E หรือ F (D เป็นยาสัตว์ที่ผลิตภายในประเทศ , E เป็นยาสัตว์ที่แบ่งบรรจุ , F เป็นยาสัตว์ที่นำหรือสั่งเข้าจากต่างประเทศ) ตัวอย่างเช่น 1D 10/30   คือ ยาสัตว์ผลิตภายในประเทศ ได้รับอนุญาตเลขทะเบียนยาเป็นลำดับที่ 10 ในปีพ.ศ.2530           2. ตรวจสอบฉลากยา นอกจากชื่อยาทางการค้าแล้ว จะต้องมีชื่อสามัญทางยา ระบุชื่อและปริมาณของยาที่เป็นส่วนประกอบ มีเลขแสดงครั้งที่ผลิต (หรือ Lot. Number) มีชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต มีวัน เดือน ปี ที่หมดอายุ (Exp)  มีข้อความระบุประเภทของยา (ยาอันตราย  ยาควบคุมพิเศษ ยาแผนโบราณ) รวมทั้งระบุด้วยว่าเป็นยาสำหรับสัตว์         ดังนั้นเพื่อความมั่นใจในคุณภาพของยาและเพื่อความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยง ควรเลือกซื้อยาสำหรับสัตว์จากร้านขายยาที่มีสัตวแพทย์หรือเภสัชกรเป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการเพื่อส่งมอบยาและให้คำแนะนำที่ถูกต้อง

อ่านเพิ่มเติม >