ฉลาดซื้อ ฉบับนี้จะพาไปพบกับนักกิจกรรมทางสังคมด้านการเกษตร แถวหน้าของประเทศไทย วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี ( BioThai ) ที่มีความฝันว่าวันหนึ่งเกษตรกรรมยั่งยืนรูปแบบต่างๆ จะเกิดขึ้นในสังคมบ้านเรา ประเทศที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอันดับต้น ๆ ของโลก แต่มีปัญหามากมายเหลือเกินที่ยังไม่มีการแก้ไข และทำให้ผู้ชายคนนี้ตัดสินใจเลือกจะเดินทางเพื่อเป็นนักกิจกรรมทางสังคมตั้งแต่ยังเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัยจนเมื่อเรียนจบจึงตัดสินใจทำงานรณรงค์เป็นอาชีพ และทำงานรณรงค์เรื่อยมาจนกระทั่งมีผลงานเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ต่อเนื่อง ยาวนาน ผลงานที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง คือ เกาะติดการเจรจาเขตการค้าเสรี หรือ FTA , การรณรงค์ไม่ใช้สารเคมีในพืชผัก และที่เป็นข่าวฮือฮาเมื่อกลางปี 2556 ที่ผ่านมาคือ การตรวจข้าวหอมมะลิ ในปีนี้มูลนิธิชีววิถีทำกิจกรรมหลักอะไรบ้าง ก็มี 3 เรื่องใหญ่ๆ เรื่องแรกสุดคือ ฟื้นฟูทรัพยากรอาหาร เช่น พวกเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ เราใช้คำว่า ทรัพยากรชีวภาพ ซึ่งถือว่าเป็นรากฐานของเรื่องอาหาร คือระบบอาหารสมัยใหม่นั้น ถ้าใครสามารถยึดตัวพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ในทางชีวะได้ เขาจะสามารถกำหนดระบบการผลิตอาหารได้เลย เราเคยได้ยินเรื่องการตัดแต่งพันธุ์พืช ตัดแต่งพันธุกรรมใช่ไหม มันกำหนดได้ว่าจะต้องใช้สารเคมีปราบศัตรูพืชยี่ห้ออะไร เป็นต้น เช่นเดียวกัน เราเปลี่ยนมาเป็นพันธุ์สัตว์ หรือพันธุ์ไก่สมัยใหม่ นอกเหนือจากซื้อพันธุ์มาแล้วเราต้องซื้ออาหาร อย่างเรื่องอาหาร มูลนิธิฯ จะเน้นทรัพยากรชีวภาพ พวกเราก็พยายามสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่นให้ฟื้นฟูและพัฒนาพวกสายพันธุ์พืช สายพันธุ์สัตว์ต่างๆ ก็ทำครอบคลุมหลายพืช ตั้งแต่ข้าวไปจนถึงไก่พื้นเมือง แม้กระทั่งข้าวโพดที่ใช้เป็นอาหารสัตว์ด้วย เราก็ไปสนับสนุนให้เกษตรกรรายย่อยนั้นสามารถปรับปรุงพัฒนา และผลิตพันธุ์พืชเหล่านี้ได้เอง ก็ทำร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรในท้องถิ่นนะ อันนี้เป็นงานพื้นฐานสำคัญ งานที่สองนั้น เป็นงานที่ว่าด้วยเรื่อง การผลิตที่ยั่งยืน หมายความว่าเกษตรกรรมที่ใช้ในปัจจุบันนั้นเป็นการเกษตรที่ใช้สารเคมีเยอะ การผลิตที่เกษตรกรรายย่อยในชุมชนนั้นไม่ได้ประโยชน์ และมีแนวโน้มจะถูกแทนที่โดยระบบเกษตรอุตสาหกรรม เกษตรกรรมแบบนี้นั้นต้องใช้ปัจจัยการผลิตจากภายนอก ประเด็นนี้เราก็พยายามเสนอแนวทางในการปรับเปลี่ยนการผลิตที่ไม่ยั่งยืน อย่างเช่น เกษตรกรรมยั่งยืนรูปแบบต่างๆ เกษตรอินทรีย์เป็นต้น ก็ทำมาตั้งแต่ปี 2530 จุดเริ่มต้นคือปี 2527 ก็เกือบ 30 ปีแล้วที่ทำงานพวกนี้มาตลอด ปัจจุบันก็เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเกษตรยั่งยืน แต่เดี๋ยวนี้คนเขาอาจจะฮิตเกษตรอินทรีย์กันซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของเกษตรยั่งยืนที่เป็นงานของเรานะ ส่วนอันที่สามนั้น คือเกี่ยวข้องกับ วิธีการจัดการอาหารเพื่อสุขภาพวิถีไทย งานที่ว่าด้วยเรื่องของการส่งเสริมการบริโภค การตลาดที่เกื้อกูล เอื้ออำนวยให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อชุมชนและสุขภาพของผู้บริโภค ก็เป็นแนวความคิดว่าเรื่อง กินเปลี่ยนโลก ส่งเสริมวิถีการบริโภคที่ดี เกื้อกูลต่อความยั่งยืน คำนึงถึงความเป็นธรรมทางสังคม และงานบริโภคนั้นมันจะเกี่ยวข้องกับการตลาด การตลาดเป็นกลไกสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคเข้าด้วยกัน เราเองก็พยายามส่งเสริมตลาดท้องถิ่น หรือตลาดเกษตรกรนะ (Farmer Market) เพราะเล็งเห็นว่าระบบตลาดสมัยใหม่นั้นมีแนวโน้มที่อาหารการกินจะมาจากระบบอุตสาหกรรม เน้นการผลิตที่ใช้สารเคมีจำนวนมาก รวมไปถึงระบบอาหารมันจะไม่หลากหลายอีกต่อไป ซึ่งปัญหาแบบนี้ในตะวันตกก็มี แต่จริงๆ มีงานส่วนที่สี่ด้วยนะ ว่าด้วยเรื่องนโยบาย ติดตามนโยบายที่เกี่ยวข้องกับเกษตรและอาหารต่อเนื่องตั้งแต่ประมาณปี 2540 ประมาณ 17 ปี ที่ทำงานด้านนโยบายมาต่อเนื่อง เช่นเราก็ติดตามประเด็นเรื่องจำนำข้าว เป็นต้นนะ ก็ร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคตามดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อข้าวถูกสต๊อกไว้จนมันเน่า ประเด็นเรื่องสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เรามีเครือข่ายชื่อว่าไทยแพน ( Thai-Pan) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคก็เป็นพาร์ทเนอร์ที่สำคัญในส่วนที่เป็นการเฝ้าระวัง การตรวจสอบข้าวสาร เรื่องผัก ไปจนถึงเรื่อง FTA ที่เราทำไปกับ EU นั้นประเด็นที่มีผลกระทบกับเกษตรและอาหาร หรือทรัพยากรชีวภาพ ก็มีการทำงานร่วมกับนักวิชาการ เครือข่ายเกษตรกร และรวบรวมปัจจัยต่างๆ ในการเคลื่อนไหวเรื่องนี้เพื่อให้รัฐบาลมีจุดยืนที่ถูกต้องในการเจรจา FTA ในภาพรวม งานก็ค่อนข้างเยอะแต่คนทำงานเราก็ไม่ได้มากมายนะ อาศัยที่ว่าเครือข่ายที่ทำง่านกับพวกเรานั้นมันมีมิตร มีเพื่อนที่เป็นเครือข่ายกัน งานมันก็เลยทำออกไปร่วมกันได้ อีกเรื่องเราพบความจริงว่าผักและผลไม้ที่ขายอยู่ในตลาดทุกระดับ ที่โฆษณาว่าเป็นผักผลไม้ปลอดสารได้มาตรฐาน GAP มันไม่ได้ปลอดภัยมากไปกว่าผักผลไม้ที่ขายอยู่ในตลาดสด ในหลายกรณีเราพบว่ามันแย่กว่าด้วยซ้ำ ขณะนี้ สาธารณการณ์ด้าน FTA , สารเคมีในผัก อยู่ ณ จุดไหน ประเด็นเรื่อง FTA นั้นเป็นนโยบายระดับประเทศ ซึ่งคนคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว การที่รัฐบาลจะไปเจรจากับ FTA กับใครอย่างไง คนคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของประชาชน ไม่ใช่หน้าที่ของผู้บริโภคที่จะไปให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ หลังจากที่เราติดตามเรื่อง FTA เราพบว่ากระทบโดยตรงกับเกษตรกรและผู้บริโภค ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด คือว่า กรณีการเจรจา FTA แรกๆ ที่ประเทศไทยมีการเจรจา เช่น ในปี 2546 เราเจรจากับไทยและจีน ซึ่งมีการตกลงให้มีการเปิดเสรีผักและผลไม้ ปรากฏว่าเมื่อมีการลดภาษีเป็นศูนย์ ผักและผลไม้ที่มาจากจีนก็จะทะลักเข้ามาในประเทศ เกษตรกรที่ปลูกกระเทียม เป็นต้น ที่ได้รับผลกระทบ พื้นที่การผลิตลดลงฮวบฮาบ เหลือประมาณ 60 % เพราะกระเทียมจีนราคาถูกกว่า แต่ว่าเมื่อผ่านไประยะหนึ่งเมื่อเกษตรกรเลิกผลิตและไม่หวนกลับมาผลิตแล้ว กระเทียมจีนก็ราคาสูงพอๆ กับกระเทียมไทย ซึ่งจะว่าไปแล้วกระเทียมไทยมีคุณภาพมากกว่าด้วยซ้ำ ที่เราเคยคิดว่าการทำ FTA มีผลกระทบใบเชิงบวกต่อผู้บริโภคได้ในราคาที่ถูกลงก็ไม่ใช่ อีกกรณีที่เห็นชัดเจนตอนนี้ คือเรื่องส้ม เมื่อก่อนเรามีส้มไทยเป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันส้มจีนทะลักเข้ามา แต่มันมีสาเหตุอื่นด้วยนะ คือ มีการเปลี่ยนพื้นที่การปลูกผลไม้ไปเป็นยางพาราก็มีผลต่อราคาผลไม้ แต่ว่าสาเหตุอีกอันก็คือเรื่อง FTA ส้มจีนราคาถูกกว่า ที่นี่ส้มไทยก็กลับมีราคาแพง แล้วถ้าไปดูการบริโภคผลไม้ท้องถิ่นของคนไทยนั้นเริ่มลดลงไปบริโภคผัก และผลไม้เมืองหนาวมากขึ้น ยกตัวอย่าง ตอนนี้ในขณะที่เราส่งออกทุเรียนหรือมังคุดนั้นได้ตัวเลขไปดูข้อมูลจากเฟซบุค ของมูลนิธิชีววิถี ไบโอไทย ( BioThai ) แต่เรานำเข้าส้ม แอปเปิ้ล องุ่น จากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งที่เรานำเข้ามานั้นก็ผ่านเรื่อง FTA ด้วย ไม่ว่าจะเป็นส้มมาจากจีน แอปเปิ้ลจากจีนบ้าง จากออสเตรเลียบ้าง คนไทยแทนที่จะกินผลไม้ได้หลากหลายก็ต้องกินผลไม้ที่ไม่หลากหลาย มิหนำซ้ำยังไม่ถูกอย่างที่เราเคยตั้งใจ แล้วผักและผลไม้พวกนี้เราพบว่ามันมีปัญหาเรื่องมาตรฐานความไม่ปลอดภัยด้วย เพราะว่ากลไกการนำเข้ามานั้นมันมีการผลิตอยู่ในต่างประเทศ เรายิ่งไม่สามารถไปควบคุมได้ นี่เป็นปัญหาที่ยกตัวอย่างให้ฟังเรื่องการเจรจา FTA แต่ที่จริงมีอีกหลายเรื่องที่น่าห่วงใยมากกว่านี้ เช่น ไก่ รัฐบาลที่ผ่านมาเริ่มเจรจากับทาง EU ซึ่งมีการเจรจาเป็นรอบที่ 3 ทาง EU เรียกร้องให้ไทยยอมรับกฎหมายสิทธิบัตรพันธุ์พืช การใช้ระบบกฎหมายที่เรียกว่า ยูปอฟ (UPOV) 1991เข้ามาบังคับใช้ ซึ่งในระยะยาวจะมีผลทำให้ไม่สามารถเก็บพันธุ์ไปปลูกต่อได้ ต่างประเทศสามารถเข้ามาใช้ทรัพยากรชีวภาพในประเทศ และในที่สุดจะส่งผลให้ผักนั้นราคาแพง ถูกผูกขาดยิ่งขึ้น อันนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ก็เบาใจที่ว่าการเจรจานี้เดินหน้าต่อไปไม่ได้เพราะปัญหาทางการเมือง ก็น่าเป็นห่วงว่าการเจรจาต่อจากนี้จะไปในทิศทางไหน ทีนี้เรื่องที่เราตามเรื่องสถานการณ์การใช้สารเคมีเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องมาจากนโยบายของรัฐบาล เกี่ยวเนื่องกับบทบาทของบริษัทสารเคมี เกี่ยวเนื่องกับกลไกของระบบราชการที่ว่าด้วยการจัดการสารเคมี เกี่ยวเนื่องกับผู้ประกอบการที่จำหน่ายผลผลิตอาหาร และแน่นอนเกี่ยวข้องกับเกษตรกรด้วย สารเคมีเป็นเรื่องใหญ่ที่พบว่าหลังจากที่เราทำเรื่องนี้อย่างจริงจังเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้วนั้น สถานการณ์ในประเทศเราย่ำแย่มากๆ เราติดตามเฝ้าระวัง 2 ระดับ ระดับ 1 นี่คือดูปัญหาผัก ผลไม้ที่เราส่งออกว่ามันมีปัญหาอย่างไร คือประเทศไทยนั้นส่งออกผลไม้ซึ่งถือว่าเยอะพอสมควร แต่ว่าน้อยกว่าหลายประเทศ อย่างเช่น ตุรกี จีน แต่เรากลับพบว่าในหลายปีทางฝั่งยุโรปพบว่าสารตกค้างของไทยนั้นมันมากกว่าของประเทศที่เขาส่งออกมากกว่าเราหลายสิบเท่าตัว อันที่ 2 คือเรามาดูเรื่องของการตรวจสอบเฝ้าระวังตลาดในประเทศ ซึ่งทำงานร่วมกับฉลาดซื้อ สถานการณ์นี้ก็น่าสนใจมาก เราพยายามทำข้อมูลให้ต่อเนื่องเพื่อที่เราจะสามารถเปรียบเทียบได้ว่า ผักและผลไม้ที่ขายอยู่ในประเทศที่เราซื้ออยู่ในปัจจุบันนั้นประมาณ 30 % ขึ้นไปที่มีสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน อีกเรื่องเราพบความจริงว่าผักและผลไม้ที่ขายอยู่ในตลาดทุกระดับ ที่โฆษณาว่าเป็นผักผลไม้ปลอดสารได้มาตรฐาน GAP มันไม่ได้ปลอดภัยมากไปกว่าผักผลไม้ที่ขายอยู่ในตลาดสด ในหลายกรณีเราพบว่ามันแย่กว่าด้วยซ้ำ ที่ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าการไปซื้อผักผลไม้ในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ผักที่ติดตรา GAP จะได้รับความปลอดภัยมากกว่าแต่ผลการตรวจสอบมันไม่ใช่ นี่คือความจริงที่โหดร้ายนะที่สาธารณูปโภคทุกระดับมีความเสี่ยงภัยพอๆ กัน มันน่าจะเป็นสัญญาณให้เราจัดการกับการใช้เรื่องสารเคมีกันได้เสียที เพราะฉะนั้นนอกจากการตรวจสอบเฝ้าระวังเรายังทำงานอีก 2 อย่างควบคู่ไปด้วย อันที่ 1 คือ การควบคุมต้นทาง คือ รณรงค์ยกเลิกการใช้สารเคมี 4 ชนิด ซึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้วประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง เมื่อรัฐบาลมีมติให้ยกเลิกสารเคมี 2 ชนิด คือ อีพีเอ็นและ ไดโครโตฟอส ส่วนอีก 2 ชนิดนั้นยังไม่มีการยกเลิกแต่กรมวิชาการเกษตรไม่อนุญาตให้ขึ้นทะเบียน คือคาร์โบฟูรานและ เมโทมิล ถือว่าการทำงานของพวกเราก็บรรลุเป้าหมายระดับหนึ่ง แต่แน่นอนมันยังไม่พอแน่ๆ เพราะเราเคยประมวลว่าถ้าต้องมีการปฏิรูประบบการจัดการสารเคมีมันควรจะต้องแบสารเคมีมากกว่านี้ เพราะว่าทั้งในอเมริกาและยุโรปบางประเทศหลังจากปฏิรูประบบนั้น เขากวาดล้างสารเคมีที่เป็นอันตรายออกไปประมาณ 40 – 60 ชนิด ทางไทยแพนก็เลยทำงานร่วมกับนักวิชาการในหน่วยงานราชการ เช่น กรมการข้าว ,กรมควบคุมมลพิษ ,อย. และสำนักโรคจากการประกอบอาชีพ เราพยายามดึงนักวิชาการการเกษตรให้เข้ามาทำงานตรงนี้ ล่าสุดคณะทำงานมีข้อเสนอให้มีการแบนสารเคมีเพิ่มเติม ซึ่งภายใน 2 – 3 ปีนี้เราจะเสนอการยกเลิกอีก 15 ตัว แต่ว่าในช่วง 7 – 10 ปี ข้างหน้านั้นเราจะเสนอให้ยกเลิก 70 – 90 ตัว ซึ่งจะมีการศึกษาข้อมูลโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง พลังของผู้บริโภคสำคัญกับการขับเคลื่อนงานอย่างไร พลังผู้บริโภคนั้นสำคัญมาก อาจจะสำคัญที่สุดก็ว่าได้ที่จะทำให้ระบบอาหารของเรามีความยั่งยืน ปลอดภัย และมีความเป็นธรรม เราพบว่าการทำงานร่วมกับที่สำนักงานเชิงนโยบายนั้นมันได้ผลส่วนหนึ่งแต่ว่าในปัจจุบันถ้าผู้บริโภคซึ่ง จะว่าไปแล้วผู้บริโภคทุกคนแม้กระทั่งผู้กำหนดนโยบาย เกษตรกรต่าง แม้แต่ผู้ประกอบการต่างๆ ก็ต่างใช้สารเคมีนะ คนเหล่านี้คือผู้บริโภค เราเล็งเห็นว่าถ้าผู้บริโภคได้รับรู้ว่ามีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น แล้วมันจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพต่อตัวเอง ต่อคนในครอบครัว เราเชื่อว่าผู้บริโภคนั้นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ ข้อจำกัดของผู้บริโภคที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าผู้บริโภคอาจจะไม่ได้ข้อมูลที่เป็นจริงว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น การเลือกบริโภคของตัวผู้บริโภคเองนั้นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในกรณีที่ผักและผลไม้ แม้กระทั่งข้าวที่เห็นว่ามันไม่ปลอดภัยนั้น เราก็ไปเลือกซื้อไอ้ที่มันปลอดภัย อย่างที่เรารู้แล้วว่า GAP ที่เราคิดว่ามันปลอดภัยนั้นมันไม่ปลอดภัย สิ่งที่เราทำได้คือ ไปเลือกซื้อเกษตรระบบอินทรีย์เสีย ซึ่งตอนนี้ตลาดพวกนี้กำลังเติบโตมากขึ้นๆ ทุกที และการเติบโตนั้นก็มาจากการเลือกซื้อของเราด้วย การเลือกพวกนี้อาจจะไม่ง่ายเหมือนเลือกซื้อผลผลิตทั่วไป แต่ว่ามันก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อันที่ 2 คือว่าเราเองสามารถผลักดันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวระบบ เช่น เราพบว่าผักชี พริก ถั่วฝักยาว มะเขือที่เราซื้อจากห้างขนาดใหญ่ ราคามันแพงมากแต่คุณภาพเลวกว่า เรามีสิทธิที่จะไปเรียกร้องให้ห้างเหล่านี้เขาปรับปรุงต่อการผลิต การตรวจสอบคุณภาพได้ ยกตัวอย่างล่าสุดเราตรวจผักแต่ยังไม่แถลงข่าว แต่ก็ได้เชิญห้างค้าปลีก ตลาดสดมาคุยกันให้แก้ปัญหาตรงนี้ ซึ่งเขาก็รับรองกับเราว่าจะมีการปรับปรุง จะเห็นว่าถ้าผู้บริโภคมารวมตัวกันเคลื่อนไหวรณรงค์เรื่องนี้ร่วมกัน เราก็จะมีระบบที่ดีได้ ซึ่งเรามองการบริโภคคือความปลอดภัย แต่ที่เราเห็นทุกวันนี้มันไม่ใช่แค่ความปลอดภัยอย่างเดียวมันมีความมั่นคงด้านอาหาร ระบบอาหารที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจนี้มันยั่งยืน มีความเป็นธรรมเกื้อกูลกับสิ่งแวดล้อมมันมีอีกหลายประเด็น เช่น ความไม่หลากหลายของอาหาร บางทีเราอาจลืมนึกไป เห็นว่าสะดวกสบายเข้าไปซื้อในห้าง แต่จะเห็นว่าอาหารพวกนี้มันไม่หลากหลายนะ เพราะฉะนั้นเราต้องผลักดันไปมากกว่านี้ คือมองไปที่ว่าทำอย่างไรจะสร้างระบบที่มันสามารถมีการผลิตที่หลากหลายขึ้นมาได้ ในต่างประเทศมันมีการขับเคลื่อนโดยผู้บริโภคและเกษตรกรบางราย บางกลุ่มร่วมกันทำตลาดที่เป็น Farmer Market ขึ้นมา โดยการเอาผลผลิตจากเกษตรกรที่มีความหลากหลาย มีความสด เอามาจัดจำหน่าย แล้วเกิดกระจายขึ้นมาหัวเมือง ชุมชนต่างๆ ระยะทางการขนส่งอาหารก็ใกล้ขึ้น มันก็จะสด เกษตรกรได้สัมพันธ์กับผู้บริโภคโดยตรง บางอย่างเราไม่เคยกิน เกษตรกรจะแนะนำได้ว่าผักเหลียงนั้นมันต้องปรุงอย่างไร คนในเมืองไม่เคยกิน กินแต่ผักบุ้งก็ได้กินผักเหลียงต้มกะทิ ผักเหลียงผัดไข่ มันเป็นอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการด้วย และยังปลอดภัยเพราะไม่มีการใช้สารเคมีเลย เป็นต้น เพราะฉะนั้นการที่ผู้บริโภคมาอุดหนุนตรงนี้นั้นมันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง นี่คือจะทำให้เห็นว่าการกินเปลี่ยนโลก การกินของเรามันคือการตัดสินใจของเรา การเปลี่ยนแปลงของเรา
สำหรับสมาชิก >ข้าวที่ชาวบ้านปลูกนั้น เขาไม่กล้ากินเองเพราะกังวลเรื่องการปนเปื้อนสารเคมีที่ปนมาจากเหมืองอะไรพวกนี้ น้ำดื่มก็ไม่กล้าดื่มน้ำบ่อ น้ำประปาในชุมชนของเขาเอง เพราะเขาก็เกรงว่าน้ำนั้นมันถูกปนเปื้อนด้วย เลยกลายเป็นว่าต้องไปซื้อน้ำขวดมากิน นี่คือสิทธิขั้นพื้นฐานของชาวบ้านนะที่จะดำรงชีวิตได้ จะเห็นว่าพอมันมีเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้ามามันก็กระทบการเป็นอยู่ของประชาชน เภสัชกรบุคลิกสุภาพ อ่อนโยน ใจดียิ้มแย้ม พร้อมท่าทีเกรงอกเกรงใจแม้กระทั่งกับผู้อ่อนวัยกว่า คือลักษณะเด่น ของผู้ชายวัยห้าสิบกว่า มองผ่านๆ อาจไม่เชื่อว่า หมอยาท่านนี้คือ ผู้ผลักดันและขับเคลื่อนกระบวนการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสาธารณสุขคนสำคัญของไทย ท่านเป็นหนึ่งในทีมงานที่โค่นระบบทุจริตยา(คดีคอร์รัปชั่นในตำนาน ปี 2540) เป็นผู้นำที่ลุกขึ้นมาปฏิวัติเรื่องสารตะกั่วในตู้น้ำเย็นโรงเรียนจนขยับไปสู่การปลดแอกสารตะกั่วจากหม้อก๋วยเตี๋ยว ทั้งยังผลักดันให้เกิดสารทดสอบค่าโพลาร์ในน้ำมันทอดซ้ำที่ได้ผลค่อนข้างดีในราคาไม่แพง ซึ่งช่วยให้การรณรงค์เรื่องน้ำมันทอดซ้ำง่ายขึ้นมาก นอกจากนี้ยังเฝ้าระวัง ดูแลความปลอดภัย ตลอดจนให้ความรู้ ในเรื่องปากท้องของชาวบ้าน อย่าง อาหารการกินประจำท้องถิ่น เช่น น้ำปลา หน่อไม้ปี๊บ จนล่วงเลยไปถึงถึงสินค้าข้ามพรมแดนจากประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของเราที่ผ่านเข้ามาทางด่านชายแดนต้อนรับ AEC พื้นที่การทำงานในบทบาทของผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ อุดรธานี ที่ท่านเพิ่งจะมารับตำแหน่ง หลังจากที่ทำงานในจังหวัดอุบลราชธานีและพื้นที่ใกล้เคียงมากกว่า 1 ทศวรรษ “ ฉลาดซื้อ “ ฉบับนี้จึงขอนำแนวคิดที่น่าสนใจและมุมมองในการทำงานของ ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาตร์การแพทย์ที่ 8 อุดรธานี มาเล่าสู่กันฟัง พอย้ายที่ทำงานใหม่มีปัญหาเหมือนที่เดิมไหมคะ ปัญหาที่พบแตกต่างนะพอย้ายจากอุบลฯ มาอุดรฯ ที่นี่มีการทำเหมืองแร่ทองคำ มีเรื่องแก๊ส ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมก็จะมากกว่าตอนอยู่อุบลฯ เพราะอุบลฯ นั้นไม่มีนิคมอุตสาหกรรม ไม่มีกิจการพวกนี้ ปัญหาเกี่ยวกับผู้บริโภคที่พบมีเรื่องอะไรบ้าง ดูแล้วมีปัญหากว่าภาคอีสานตอนใต้นะ เพราะว่าทางอุดรฯ มันต่อเชื่อมกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีการเข้า-ออกกันเยอะ สามารถเชื่อมไปถึงเวียดนามได้โดยสะดวก เพราะฉะนั้นเรื่องผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับผู้บริโภค โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพนั้นมีแนวโน้มอะไรที่ซับซ้อน นี่เป็น 1 เรื่อง เรื่องที่ 2 คือสิทธิของผู้บริโภคที่เขาควรจะมีหลักประกันว่าปัจจัย 4 ที่ประชาชนควรจะได้รับความปลอดภัย เนื่องจากเมื่อสักครู่พูดถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม ก็จะพบว่าข้าวที่ชาวบ้านปลูกนั้น เขาไม่กล้ากินเองเพราะกังวลเรื่องการปนเปื้อนสารเคมีที่ปนมาจากเหมืองอะไรพวกนี้ น้ำดื่มก็ไม่กล้าดื่มน้ำบ่อ น้ำประปาในชุมชนของเขาเอง เพราะเขาก็เกรงว่าน้ำนั้นมันถูกปนเปื้อนด้วย เลยกลายเป็นว่าต้องไปซื้อน้ำขวดมากิน นี่คือสิทธิขั้นพื้นฐานของชาวบ้านนะที่จะดำรงชีวิตได้ จะเห็นว่าพอมันมีเรื่องสิ่งแวดล้อมเข้ามามันก็กระทบการเป็นอยู่ของประชาชน นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องอากาศนะ แต่ที่แน่ๆ มันมีปรากฏการณ์แล้วว่าชาวบ้านปลูกข้าวแล้วไม่กล้ากินข้าวที่ตัวเองปลูก น้ำดื่มต้องไปซื้อเขากินจากเมือง ซื้อเป็นน้ำขวดมาดื่ม จากการที่เจอปัญหาในพื้นที่มามากนั้น การทำงานในเชิงนโยบาย เช่นการบริหารในส่วนกลางจะช่วยแก้ปัญหาได้ดีกว่าหรือไม่ เป็นเรื่องความรู้สึกส่วนตัวและโดยความเชื่อด้วย ความรู้สึกส่วนตัวคือ ไม่ชอบกรุงเทพฯ รู้สึกว่าเป็นเมืองที่คุณภาพชีวิตมันแย่ และคิดว่าการที่เรามีฐานชนบทนั้นคิดว่าลักษณะที่ชาวบ้านอยู่จริงนั้น คิดว่าการที่เราอยู่ตรงโน้นนั้นมันช่วยให้เกิดนโยบายสาธารณะที่ดีทั้งในระดับพื้นที่ และในระดับประเทศได้ เลยคิดว่าอยู่ตรงโน้นถูกจริตตัวเองมากกว่านะ อันที่ 2 คิดว่าการที่เราอยู่กับฐานล่างนั้นที่มันจะส่งผลกับนโยบายสาธารณะในระดับประเทศ เลยไม่ได้สนใจที่จะอยู่ส่วนกลาง หรือกระทรวง ปัจจุบันก็เข้าสู่ยุคทีวีดิจิตอลแล้ว สื่อมันมีช่องทางมากขึ้น ตรงนี้คิดว่าเราจะทำอย่างไรให้ชาวบ้านมีภูมิป้องกันจากเรื่องที่เข้ามาจากสื่อเหล่านี้ โดยส่วนตัวคิดว่าฐานชุมชนน่าจะเป็นคำตอบ เนื่องจากว่าสังคมทางอีสานนั้นถ้าเกิดระดับหมู่บ้านมันก็ยังมีความเป็นชนบทอยู่นะ แม้ว่าจะถูกพฤติกรรมการบริโภค การเข้าถึงสื่อ การคมนาคมที่คนจะเข้ามาปรึกษาหารืออะไรพวกนี้มันยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำให้ชุมชนเข้มแข็งรู้เท่าทัน ตระหนักว่ามันคือปัญหา และลุกขึ้นมาปรึกษาหารือกันได้ว่าจะจัดการอย่างไรไม่ให้คนในชุมชนถูกหลอกลวง คนในชุมชนนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นคนที่ไปเอาของมาขาย มาบอกกล่าวในเรื่องที่ตัวเองก็อาจจะไม่รู้ว่ามันเป็นเท็จเพื่อจะขายของอะไรแบบนี้ โดยส่วนตัวก็คิดว่าฐานชุมชนเป็นจุดที่น่าสนใจ และชุมชนสมัยนี้ก็ไม่เหมือนสมัยก่อน คือทรัพยากรทั้งหลายก็ไปพอสมควร เช่นไปทางองค์กรปกครองท้องถิ่น และทางกระทรวงสาธารณสุขเราก็มีมีฐาน รพสต. อสม. เพราะฉะนั้นถ้าเราจะผสมผสานอะไรเหล่านี้ในชุมชนมันก็จะยั่งยืนในระยะยาว รัฐกลางนั้นเราก็สนับสนุนให้เขาทำในสิ่งดีนะแต่ว่าดูแล้วเงื่อนไขเขาเยอะมาก สถานีโทรทัศน์ 1,000 ช่อง วิทยุชุมชนอีก 1,000 กว่านั้น ถ้ามีปัญหาแค่ 10 % เขาก็แก้ไม่ไหวแล้ว ที่เราเห็นๆ กันอยู่ นี่ยังไม่ได้พูดถึงเรื่องอินเตอร์เน็ต เรื่องอะไรต่อมิอะไรอีก ก็คิดว่ารัฐกลางคงไม่สามารถทำอะไรได้รวดเร็วนะ ส่วนใหญ่ก็ทำในหน้าที่ของเขาให้ดี เพราะว่าถ้าเขาทำได้ดีมันจะส่งผลในวงกว้าง อย่างนี้การให้ความรู้ในชุมชนก็เป็นส่วนหนึ่งด้วยใช่ไหม ครับ คือถ้าเรากระตุ้นให้ชุมชนเขารู้ก่อนว่าปัญหาอะไรบ้างที่เขาเจอมันคือปัญหา เพราะบางทีเขาก็ไม่รู้ที่ไปหลอกขายยา อาหารเสริมอะไรพวกนี้ ถ้าเราอาศัยพลังคือท้องถิ่น องค์กรท้องถิ่น รพสต. พี่น้อง อสม. และอาจจะมีปราชญ์ชาวบ้านมาเป็นแกนในการทำให้คนในชุมชนมาปรึกษาหารือกัน และตระหนักว่าเรื่องพวกนี้เราโดนหลอกนะ แล้วเราจะมีทางเลือกทางออกว่าจะจัดการอย่างไร น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และถ้าถามว่าถ้าเขาจะดูแลกันเองนั้นมันก็ต้องมีรัฐกลางที่มีหน้าที่บอกข้อมูลว่า ของพวกนี้ไม่ดี ชุมชนเรามีไหม ก็ไม่ต้องไปเสียเวลาไปหาไปค้น เขาก็เข้าใจได้ง่าย เพราะร้านในชุมชนก็ญาติพี่น้องกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นของพวกนี้เราต้องไม่เอามาขาย ครีมยี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี่นะ ก็เรียกว่าเป็นเรื่องความพร้อมใจกันที่จะทำดีให้กับสังคมตัวเอง มันก็ยากนะเพราะเหมือนเราฝืนกระแสโลก เพราะกระแสโลกคือ กระตุ้นให้มีการบริโภค แต่เราให้เลือกบริโภคที่ดี และอะไรที่เราจะไม่บริโภค มันก็เป็นเรื่องที่ยากเป็นธรรมดา ถ้าเสนอก็มีว่า ได้มีโอกาสไปทำในหลายๆ ชุมชนนั้น มันมีตัวอย่างที่เป็นไปได้ และเขาลุกขึ้นมาจัดการกันเอง รถเร่ หนังขายยาไม่มีสิทธิได้เข้ามาพื้นที่เขาเลย เพราะฉะนั้นถ้าเขารู้ว่ามีเขาจะมีระบบของเขาเอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านรู้ก็จะบอกตำรวจ หรือไปคุยกับเขาดีๆ ว่าพื้นที่นี้ไม่ได้นะ ถ้ามันแข็งแรงเฉพาะบางพื้นที่ บางพื้นที่ไม่แข็งแรงนั้น ไอ้พวกที่จะหากินแบบนี้มันก็จะไปพื้นที่ที่ไม่แข็งแรง ซึ่งมันก็ไม่ดีหรอก ก็ไปสร้างภาระให้ประชาชนคนอื่นอีก แล้วการเป็นพลเมืองธรรมดา ก็สามารถช่วยกันสร้างความเข้มแข็งให้การคุ้มครองผู้บริโภคแข็งแรงได้เหมือนกันใช่ไหมคะ ที่เราพูดถึงเรื่องชุมชน บางชุมชนที่ยกตัวอย่างซึ่งไม่ใช่ระดับสิบนะ หลักร้อยขึ้นเท่าที่เรารู้จักนะ แต่มันอาจจะมากกว่านี้ แต่เราไม่มีโอกาสได้เจอ จะเห็นว่าที่เขาดูแลกันเองได้นั้นก็ด้วยพลังของคนของเขาเอง ที่เราเรียกว่าพลเมืองเพราะหน้าที่ของพลเมืองนอกจากจะดูแลสิทธิตัวเอง ยังต้องดูแลสังคมที่ตัวเองอยู่ด้วย //
สำหรับสมาชิก >ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มีคนไทยมีพุงเยอะรวมทั้งกองบรรณาธิการฉลาดซื้อด้วย เกิดอยากจะเป็นคนไทยไร้พุงบ้าง จึงไปรบกวนสัมภาษณ์ อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ /ที่ปรึกษาสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย/กรรมการเครือข่ายคนไทยไร้พุง ซึ่งถ้าเห็นรูปร่างหน้าตาท่านแล้วจะดูไม่ออกเลยว่าอาจารย์อายุเลยวัยเกษียณมาหลายปีแล้ว “ กินเกิน ( อาหาร) เพลินไม่ขยับ (ออกกำลัง ) บังคับสติตัวเองไม่ได้ ( อารมณ์ ) ” ฉลาดซื้อ : ช่วงนี้คนสนใจดูแลสุขภาพมากขึ้น อย่างห้องพันทิปก็มีห้องรักสวยรักงาม มีคนโพสต์ว่าลดความอ้วนสำเร็จ ใช้วิธีกินอาหารคลีน ใช้การออกกำลังกายคาร์ดิโอ แต่บางคนก็มาแบบจำกัดแคลอรี่ อย่างดาราท่านหนึ่ง เขาแนะนำว่าเขากินวันละ 500 แคลลอรี่ ซึ่งบางคนเขาก็เชื่อ แต่บางคนที่เขาคิดว่ามันไม่เป็นจริงนะ ถ้ากินแค่ 500 แคลอรี่มันจะเกิดผลกระทบ แต่ก็มีคนเชื่อเยอะเพราะเป็นวิธีที่ง่าย กินน้อยลงแต่ไม่ได้ดูว่าเรากินอะไรบ้าง อ.สง่า : จะมีอยู่ 3 ประเด็นนะ อันที่ 1 หลักการลดน้ำหนักที่ถูกวิธี อันที่ 2 การลดน้ำหนักให้อยู่ในวิถีชีวิตคนเมือง คนที่เร่งรีบ อันที่ 3 ต้องยกตัวอย่างให้เห็นว่าวิถีชีวิตของคนแบบนี้ถ้าจะลดน้ำหนักจะลดอย่างไร พูดถึงประเด็นแรกจนถึงประเด็นสุดท้าย ไม่จำเป็นต้องเป็นคนเมืองหรือใครก็แล้วแต่ที่อ้วนแล้วต้องการลดน้ำหนักนั้นมันมีหลักการอยู่ว่า ข้อที่ 1 การลดน้ำหนักต้องไปหาต้นเหตุแห่งความอ้วนให้เจอแล้วไปแก้ไขที่ต้นเหตุ ข้อที่ 2 เมื่อหาเหตุได้แล้วการลดน้ำหนักจะต้องถาวรและยั่งยืน ไม่กลับไปอ้วนใหม่ ไม่ใช่ลดน้ำหนักแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ข้อที่ 3 การลดน้ำหนักนั้นต้องอยู่ในวิถีชีวิตของทุกคน ไม่ใช่หักดิบไปลดน้ำหนักแบบที่แปลกๆ อดอาหาร กินข้าวน้อยลง ไปกินอะไรที่มันไม่อยู่ในวิถีชีวิต กินพวกกาแฟลดน้ำหนัก อาหารเสริม ถ้าลดน้ำหนักต้องอยู่ในวิถีชีวิต ข้อที่ 4 การลดน้ำหนักต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าลดมากจนเกินไปมันจะกลับมาโยโย่ใหม่ การลดน้ำหนักมันต้องทำให้พฤติกรรมคุณเปลี่ยน จากเมื่อก่อนเคยกินอาหารหวานมัน กินข้าวเยอะกินผักน้อย ต้องเปลี่ยนนิสัยการกินของคุณให้ได้ เมื่อก่อนขี้เกียจออกกำลังกาย คราวนี้คุณกลายเป็นคนออกกำลังกายอยู่ในวิถีชีวิต บางคนที่ลดน้ำหนักได้ 17 กิโลกรัมแล้ว แต่พฤติกรรมเหล่านี้ยังไม่อยู่ในวิถีชีวิตจะกลับมาอ้วนใหม่หมดเลย เพราะฉะนั้นเป้าหมายในการลดน้ำหนัก คือ พฤติกรรม 3 อ. (อาหาร , ออกกำลังกาย , อารมณ์ ) ย้อนไปดูที่ต้นเหตุแห่งความอ้วน ก็คือ กินเกิน ( อาหาร) เพลินไม่ขยับ (ออกกำลัง ) บังคับสติตัวเองไม่ได้ ( อารมณ์ ) ไขมันในช่องท้องจึงเกิน สาธารณสุขจากเมื่อ 5 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันก็ยังยึดหลัก 3 อ. ในการลดน้ำหนักอยู่ เพราะมันเป็นต้นเหตุแห่งการทำให้อ้วน พอเราคุมอาหารได้ ออกกำลังกายได้ คุมอารมณ์ได้ แน่นอนลดได้ 100 % แต่ทุกวันนี้คนคิดว่าการลดน้ำหนักต้องหาทางลัด ไปกินยา แล้วอดอาหาร การลดน้ำหนักผิดๆ ที่เห็นชัดตอนนี้ มี 4 เรื่อง คือ กินยา อาหารเสริม อันนี้จัดเป็นประเภทที่ 1 ประเภทที่ 2 การอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง หรือ 2 มื้อ ประเภทที่ 3 ที่เจอมากๆ เลยก็คือ กาแฟลดน้ำหนักซึ่งขอเอามากล่าวในข้อนี้ เพราะยาลดน้ำหนัก หรืออาหารเสริมมันเป็นการลดน้ำหนักที่จะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะยาบางอย่างมันมีผลข้างเคียง ยาลดน้ำหนักที่กินเข้าไปมันมีกลไกทำให้ประสาทส่วนกลางไม่ทำงาน ทำให้ไม่เกิดความหิว พอไม่หิวก็ไม่กิน ไม่กินก็เลยผอม ทีนี้พอกินยาทุกวันๆ การทำงานประสาทส่วนกลางก็เพี้ยนไป เบลอ ปวดหัว ไม่มีแรง หัวใจเต้นเร็ว หน้ามืด เป็นลม ในที่สุดเสียชีวิต เยอะมาก นี่คือผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น แล้วพอหยุดกินประสาทส่วนกลางทำงานใหม่มากกว่าเดิม หิวมากกว่าเดิม กินมากกว่าเดิม อ้วนมากกว่าเดิม โยโย่เอ็ฟเฟ็กต์ แล้วน้ำหนักที่มันขึ้นมาหลังจากเลิกกินยามันเป็นไขมัน ลดยากมาก พอเกิดโยโย่แล้วร่างกายต้องใช้เวลานานมากในการปรับตัวที่จะกลับมาลดอีกรอบหนึ่ง พูดถึงกาแฟ ลำพังตัวกาแฟเองกล่าวอ้างว่าลดน้ำหนักได้นั้น ส่วนมาก อย.ไปไล่จับเจอสารไซบูทามีน สารตัวนี้เป็นสารที่ใช้ในการแพทย์ ซึ่งก่อนที่คุณจะใส่ลงไปในอาหารใดๆ นั้น คุณต้องขออนุญาต อย. ก่อน เพราะมันเป็นสารอันตราย พอใส่ในกาแฟ หรืออาหารลดน้ำหนัก มันจะทำให้คนเกิดความหิวน้อยลง ถ้ากินสารพวกนี้นานๆ เข้า มันก็เหมือนกับที่อธิบายเรื่องยาลดน้ำหนัก พอหยุดกินกาแฟก็กลับมาอ้วนใหม่ โยโย่ก็ตามมา ยาลดน้ำหนักกับกาแฟกลไกคล้ายกัน ตัวกาแฟจริงๆ แล้วมีคาเฟอีน ตัวคาเฟอีนช่วยลดน้ำหนักได้แต่ต้องกินกาแฟในปริมาณที่เยอะมากถึงจะลดน้ำหนักได้ด้วยคาเฟอีน วันหนึ่งต้องกินหลายสิบแก้ว ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ คนก็เลยแอบเอาสารสารไซบูทามีน ใส่เข้าไป อย. ก็ไล่จับ เจอเยอะไปหมดเลย เพราะฉะนั้นอย่าไปเชื่อว่ากาแฟลดน้ำหนักได้ ยกเว้นกาแฟที่ใส่สารลดน้ำหนักเข้าไป มันจึงลดได้แต่อันตราย ข้อสุดท้ายที่นิยมมากคือ อดอาหาร การอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักมื้อใดมื้อหนึ่งนั้นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง การลดที่ถูกต้องคือ ต้องกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ จะไม่ทำอะไรที่เพี้ยนไปจากวิถีชีวิต ฉลาดซื้อ : บางคนทานอาหารไม่ครบ 3 มื้อ เช่น งดมื้อเช้าหรือมื้อเย็น อาหารแต่ละมื้อมีความสำคัญอย่างไรคะ อ.สง่า : คนที่ไม่กินมื้อเช้ามักจะอ้วนด้วย 3 เหตุผล ข้อ 1 พลังงานที่สะสมไว้ตั้งแต่ตอนเย็นจนถึง 10 โมงหมด พอหมดก็โหย ตาลาย แล้วหากาแฟ ขนมหวานมากิน มันคือน้ำหวาน แป้ง น้ำตาล ที่เราเติมเข้าไปให้ร่างกายตอน 10 โมง – 11 โมง แต่ถ้าคุณกินข้าวราดแกงหรือก๋วยเตี๋ยว โจ๊ก ข้าวต้มตอน 7 โมง – 8 โมง ก่อนเข้าทำงาน คุณจะไม่หิวเลยตอน 10 โมง เพราะฉะนั้นคนที่ไม่กินมื้อเช้าจะไปกินจุบจิบเลยทำให้อ้วน ข้อที่ 2 ไม่กินมื้อเช้าแล้วกินชดเชยตอนมื้อเที่ยงและมื้อเย็น โดยเฉพาะมื้อเย็น กินแล้วนอนพลังงานไม่ได้ใช้เลยทำให้อ้วน ข้อสุดท้าย คนที่ไม่กินมื้อเช้าระบบการเผาผลาญในร่างกายจะลดลง 30 % เพราะฉะนั้นการอดมื้อเช้าไม่ใช่การลดน้ำหนักที่ถูกต้องลดได้ช่วงระหว่างคุณอด แต่คุณจะกลับมาโยโย่ใหม่ การลดน้ำหนักคือ ลดอาหารที่มีพลังงานสูง กินให้น้อยลง แล้วควบคุมปริมาณ และชนิดอาหาร ชนิดอาหารที่ต้องควบคุมคืออาหารประเภททอด ผัด อาหารที่มีไขมันสูง มีน้ำตาลมาก แป้งเยอะ เพราะฉะนั้นเราต้องควบคุม กินให้น้อยลง โปรตีนให้กินเท่าเดิม แต่ต้องเป็นเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และถั่วเมล็ดแห้ง ผัก ผลไม้ต้องกินมากขึ้น แต่สิ่งที่ต้องกินลดลง คือคาร์โบไฮเดรต กินแป้งให้น้อยลง คนที่ลดน้ำหนักต้อง Low Carb ( Low-carbohydrate ) แต่ต้องกินเพราะมันให้พลังงาน ไม่กินไม่ได้ คุณจะไปเอาพลังงานจากโปรตีนที่เป็นเนื้อสัตว์ไม่ได้ เอาพลังงานจากผักมันไม่พอ เมื่อก่อนเคยกินข้าวเย็น 3 ทัพพี ค่อยๆ ลดเหลือ 2 จาก 2 เหลือทัพพีครึ่ง ค่อยๆ ลดจนเหลือทัพพีเดียว ผู้หญิงมื้อเย็นกินทัพพีเดียวก็พอ เน้นกินผัก ฉลาดซื้อ : โครงการคนไทยไร้พุงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างคะ อ.สง่า : ตอนนี้โครงการฯ กำลังจะทำให้องค์กรต่าง ๆ มาร่วมลดน้ำหนัก ลดอ้วน ลดพุง คำว่าองค์กรคือ หน่วยงานราชการ บริษัท ห้างร้าน โรงเรียน คือให้มีการลดน้ำหนักผ่านองค์กร เป็นโครงการร่วมกับ สสส. การลดน้ำหนักผ่านองค์กร คือ ให้คนในองค์กรมาปฎิบัติตามหลัก 3 อ. คือ....อาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์ “ กินเกิน ( อาหาร) เพลินไม่ขยับ (ออกกำลัง ) บังคับสติตัวเองไม่ได้ ( อารมณ์ ) ” โดยเราจะไปให้ความรู้เรื่องการลดน้ำหนัก นอกจากเราจะไปให้ความรู้เรื่องการลดน้ำหนักแล้ว เราจะไปช่วยในการปรับพฤติกรรม หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น ให้โรงอาหารมีเมนูลดน้ำหนัก เราไปอบรมแม่ครัว และที่สำคัญอีกอย่างคือ เราพยายามให้ทุกองค์กรเปลี่ยนการจัดเบรก หรือ อาหารว่างเวลาประชุม ให้เป็น เฮลท์ตี้ เบรก เป็นเบรกที่ดีต่อสุขภาพ เช่น เรามีผลไม้ พวกขนมหวานต้องพยายามให้มีน้อยมาก ๆ แล้วก็ใช้น้ำเป่าแทนน้ำหวาน อะไรอย่างนี้เป็นต้น และนี่เป็นสิ่งที่เราทำร่วมกับ สสส. อยู่ในขณะนี้ นอกจากนี้ โครงการคนไทยไร้พุง กำลังออกมารณรงค์กับสื่อแนวกว้าง คือ ให้คนทั่วประเทศออกมาตื่นตัวกันอีกครั้ง โดยการทำรายการผ่านทางช่อง ไทยพีบีเอส ช่อง 9 และช่อง 11 เป็นรายการเรียลลิตี้ ชื่อ องค์กรซ่อนอ้วน 2 จะเริ่มออนแอร์ประมาณเดือนเมษายนนี้ จนกระทั่งถึงสิ้นปีเลย ส่วนองค์กรใดที่มีความสนใจโปรเจ็กนี้สามารถติดต่อสอบถาม ขอข้อมูลได้ที่ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข , สสส.หรือ ที่เครือข่ายคนไทยไร้พุง http://www.raipoong.com //
สำหรับสมาชิก >เรื่องราวของทุกคนมีสิทธิที่ ฉลาดซื้อ นำมาฝากเพื่อเป็นบทเรียนอันล้ำค่าคราวนี้ คือ เรื่องราวของคุณธาวิน หมี่เต หนุ่มอาข่า ชาวเชียงใหม่ ทำงานเป็นหัวหน้าช่างที่บริษัทเกี่ยวกับเครื่องประดับในกรุงเทพฯ กับคุณกิติยา จุพิพันธ์ทอง หรือกุ้ง สาวนครสวรรค์ ภรรยาสาว ซึ่งเป็นผู้จัดการร้านทำฟัน ทั้งสองจะเล่าเรื่องราวการต่อสู้กับความเฉยชาของบริษัทประกันภัยที่ปฏิบัติราวกับคนใจหิน เมื่อคุณธาวิน คือ 1 ในผู้ประสบอุบัติเหตุจากรถกรณีรถทัวร์ตกเหวลึกที่ลำปาง ธาวิน : ผมเดินทางไปเยี่ยมแม่ ไปอยู่กับแม่ได้สักพักก็กลับกรุงเทพฯ พอมาถึงลำปาง อ.เถิน ก็ประสบอุบัติเหตุรถโดยสาร ผมนั่งรถทัวร์ของบริษัทนิววิริยะฯ คนนั่งมาเต็มคันรถ ช่วงเวลาที่เกิดเหตุประมาณเกือบเที่ยงคืน ตอนแรกหลับตาอยู่แต่ไม่ได้หลับนะพอรู้สึกตัวว่ารถเอียงเลยลืมตาขึ้นมา เห็นเลยว่ารถเอียงแล้วก็ล้มฝั่งที่ผมนั่งพอดี พอตั้งสติได้ก็เรียกให้คนช่วย คนที่อยู่ข้างนอกเข้ามาช่วยผมออกไปได้ แล้วรอบๆ ก็มีคนถูกคลุมผ้าขาว มีแต่เลือด ตอนแรกเขาพาไปโรงพยาบาลเถิน พอเอ็กซเรย์เสร็จก็ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลลำปางต่อ ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าผมเป็นอะไร เจ็บหนักขนาดไหน รู้แค่มีผู้เสียชีวิตเยอะ ก่อนที่แฟนผมจะมาถึงโรงพยาบาล วันแรกเขาไม่ให้ผมกินอะไร ผมต้องนอนอยู่เหมือนคนป่วยไร้ญาติ ไม่มีใครมาดูแลอะไรเท่าไหร่ อาจจะเพราะคนป่วยเยอะด้วย เลือดเกรอะกรังเต็มตัวเลย ยังอยู่สภาพเดิมจากที่เกิดเหตุมา พออีกวันเขาก็ย้ายให้ไปนอนหน้าระเบียง แจ้งว่ามีคนเจ็บหนักกว่าต้องย้ายไปนอนข้างนอกนะ ตอนนั้นไม่มีใครเหลียวแลผมเลย นอนรออย่างเดียว พออีกวันก็ต้องผ่าตัด ไม่มีญาติก็ไม่มีใครเซ็นต์อนุญาต ต่อมาทราบภายหลังว่ามีผู้เสียชีวิต 8 คน คนเจ็บ คนตายส่วนใหญ่เป็นพวกชนเผ่าที่ถือบัตรเหมือนกัน แต่หลายคนผมคิดว่า คงได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี ไม่เป็นธรรม เพราะพวกเขาไม่ประสีประสาเรื่องกฎหมายกัน(ผมก็เกือบไปเหมือนกันโชคดีได้แฟน พี่ชายแฟนช่วย) อาการผมสาหัส ต้องนอนโรงพยาบาล 4 วัน และออกมาพักอยู่ข้างนอกอีก 2 – 3 วัน กุ้ง : อยู่ รพ. 3 วันนี่เขา(รพ.)ให้เราออกเลย หนังหัวของธาวินเปิดมากนะต้องเย็บประมาณ 20 เข็ม ตอนนั้นธาวินก็ยังเบลอๆ อยู่ ทางแผนกการเงินเรียกเราไปคุยว่ามันหมดงบที่เขา(ประกันบุคคลที่ 3) คุ้มครองเราแล้วนะ เขาจะลองยื่นของบไปอีกแล้วจะแจ้งเราอีกที พอถัดมาวันเดียวหมอบอกว่าออกได้แล้ว แต่ธาวินยังไม่ดีขึ้นเลย ขนาดเดินยังเดินไม่ค่อยตรงเลย หมอบอกว่าไม่เป็นไรออกได้ แต่ใบรับรองแพทย์ยังไม่ได้ เราเลยต้องไปเช่าห้องพักอยู่ตรงข้ามกับโรงพยาบาลเพื่อรอหมอให้ออกใบรับรองแพทย์ให้ จากนั้นก็ไปที่สถานีตำรวจ อ.เถิน เพื่อตกลงกับตัวแทนประกันที่นั่น ตัวแทนประกันบอกว่าให้เราเต็มที่ไม่เกิน 15,000 บาท ให้ตามใบรับรองแพทย์เลย (ใบรับรองแพทย์คือให้ลาได้ 6 สัปดาห์) แล้วไปรักษาตัวต่อที่กรุงเทพฯ ส่วนเงินเดือนต้องให้ทางบริษัทส่งแฟ็กซ์มา เงินเดือน 13,500 บาท เขาให้เราได้เต็มที่แค่เดือนครึ่ง คือ 15,000 บาท พี่ชายของกุ้งเลยบอกว่า เขาเป็นคนมาส่งธาวินไม่รู้ตอนนี้สมองเขาเป็นอย่างไรบ้าง ทางประกันเลยบอกว่าจะขอเพิ่มให้อีก 5,000 บาท พี่ชายจึงบอกไม่ให้ยอม อย่าเซ็นต์อะไรทั้งนั้น ตอนนั้นมีอีกคนหนึ่งที่เกิดอุบัติเหตุจากรถคันเดียวกัน เขามาไกล่เกลี่ยเหมือนกัน เป็นชาวเผ่าอะไรจำไม่ได้แล้ว ซึ่งเขาท้องอยู่แต่ลูกไม่ดิ้นแล้ว แล้วเงินเดือน 7,000 บาท ตัวแทนประกันก็บอกให้แค่ 7,000 เพราะในใบรับรองแพทย์เขียนไว้ว่าลาได้ 2 สัปดาห์ แต่ตัวแทนประกันจะจ่ายให้เต็มเดือนคือ 7,000 บาท ถ้าไม่เอาก็ไม่ต้องเอา เขาคุยกันอีกสักพักตัวแทนประกันบอกว่าจะคุยกับหัวหน้าให้เพิ่มเป็น 9,000 บาท เขาพูดว่า “ผมจะบอกไว้เลยไม่มีใครชนะประกันได้หรอก” ตอนนั้นพอกุ้งได้ยินก็รู้สึกว่าอยากรู้เหมือนกันนะว่าการได้ชนะประกันนั้นมันเป็นอย่างไร แล้วตัวแทนประกันคนนี้ก็เดินไปคุยกับหัวหน้าของเขา ซึ่งพี่ชายของกุ้งนั่งอยู่โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่าเรามาด้วยกัน พี่ชายกุ้งได้ยินที่ตัวแทนประกันคนนั้นคุยกับหัวหน้าว่า เคสนี้จบแล้วที่ 9,000 บาท แต่ที่เราได้ยินเขาพูดคือบอกจะช่วยคุยกับหัวหน้าให้ ทำให้เรารู้เลยว่าเขาก็คงไม่ได้ช่วยเราอย่างที่เขาพูดหรอก พอกลับมาถึงกรุงเทพฯ ก็มีจดหมายของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคส่งมาว่าจะช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุจากรถโดยสาร แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจเพราะพี่ชายบอกว่าจะวิ่งเรื่องให้ ตอนหลังมีตัวแทนของนิววิริยะ(รถคันที่เกิดอุบัติเหตุ ) และตัวแทนประกันมาคุยว่า อย่าให้มีเรื่องฟ้องร้องกันเลย ให้ไกล่เกลี่ยกัน ก็คุยกันว่าขอ 40,000 บาท แล้วจะไม่มีการฟ้อง ไม่ต้องเดินเรื่องอะไรแล้ว 40,000 บาทนี่คือเราพอใจแล้ว ทีนี้รอมาเรื่อยๆ จนเกือบปี อยู่ๆ ก็มีเงินมาให้ 15,000 บาท เงินตรงนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่ามาจากประกันหรือขนส่ง แต่พี่ชายบอกว่าให้รับไว้ก่อน แต่ไม่มีการเซ็นต์รับอะไรเพราะเรายังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่ามาจากประกันหรือเปล่า พอหลังจากนั้นอีก 1 เดือนพี่ชายก็เริ่มวิ่งเรื่องแล้ว เพราะมันนานแล้วยังไม่ได้อะไรสักที ก็มีคนในขนส่งแนะนำว่าให้มาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค คนๆ นี้เขาพาพี่ชายมาที่มูลนิธิฯ เลย เราก็มารู้ทีหลังว่าอีกเดือนเดียวจะหมดอายุความ แล้วเราจะเรียกร้องอะไรจากบริษัทประกันภัยไม่ได้อีกเลย ที่บริษัทฯ เงียบไปเป็นเหมือนการดึงเวลา ซึ่งเราไม่รู้ว่าคดีมันหมดอายุความ แค่ 1 ปี เรารอมา 11 เดือน กับอีกไม่กี่วันก็จะครบปีแล้ว พอพี่ชายทราบจึงเดินเรื่องให้ ยื่นขอเป็น 10 ปี แล้วก็ให้เราเก็บหลักฐานทั้งหมด พูดถึงหลักฐานก็ทิ้งไปเยอะมาก เหลือแค่เอกสารของโรงพักและโรงพยาบาล โชคดีที่มีพี่คนหนึ่งถ่ายรูปบาดแผลเก็บไว้ให้เป็นอนุสรณ์ว่าเคยปางตาย พวกใบเสร็จก็ไม่มีเลย มีแต่ใบเสร็จที่กลับมารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ซึ่งตอนแรกคุณธาวินจะไม่ยอมรักษาต่อ กุ้งรู้สึกว่าอารมณ์เขาไม่ค่อยปกติ จนคนรอบๆ ข้างก็พูด เพราะปกติเขาเป็นคนเรียบร้อย นิ่งๆ เดี๋ยวนี้นึกจะโกรธก็โกรธ เลยช่วยกันคุยว่าต้องไปหาหมอนะเพราะมันเกี่ยวกับรูปคดี เขาเลยยอม หมอก็บอกว่ามันเกี่ยวกับสมองกระทบกระเทือน เขาใช้หลักจิตวิทยาคุยจนรู้ปม ตอนนี้อารมณ์ก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่จะมีเรื่องอาการขี้ลืม เบลอๆ ความจำแย่ลงแต่ว่าอารมณ์ดีขึ้น หมอบอกว่ามันเกี่ยวกันนะจะทำให้เขาลืมมันยาก เพราะตอนเกิดอุบัติเหตุเขามีสติสมบูรณ์ เห็นคนตาย เห็นทุกอย่าง บางทีเขาขับรถไปอยู่ดีๆ ก็หยุด เขาบอกว่ากลัวโดนรถชน ก็เลยบอกว่าเราต้องสู้นะ ต้องสู้ไปด้วยกัน ตอนพากันมาที่มูลนิธิฯ ตอนแรกก็กลัวนะคิดไปว่า “ใครจะมาช่วยเฉยๆ โดยที่ไม่ได้อะไร” แต่จำได้ว่าหลังเกิดอุบัติเหตุไม่นานมีซองเอกสารจากมูลนิธิฯ ส่งมาซึ่งเราได้ทิ้งไปแล้ว นี่ถ้าคุยตั้งแต่ต้น เรื่องอาจจบไปนานแล้วนะ มีคนบอกว่าตอนเกิดเรื่องใหม่เราจะได้เปรียบแต่นี่ปล่อยไว้นาน สรุปสุดท้ายคือเขายอมจ่ายที่ 170,000 บาท คือทางมูลนิธิฯ เขียนเรียกค่าเสียหายให้ใหม่เป็น 500,000 บาท ซึ่งทางมูลนิธิฯ บอกว่าอย่าไปคาดหวังนะ ซึ่งเขาก็ยอมที่ 170,000 บาท วันนี้ก็นัดรับเช็คแล้วก็ไม่ได้เลื่อนไปอีก ซึ่งเราต้องเป็นคนโทรตามเอง บทเรียนราคาแพง สิ่งที่ต้องทำ 1.เก็บทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรา ใบเสร็จทุกอย่าง ข่าวที่เกี่ยวกับเรา อันนี้เป็นบทเรียนเลยเพราะตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดที่จะฟ้อง เลยไม่ได้เก็บ พอตอนหลังมีคดีความต้องใช้หลักฐานทุกอย่าง ถ้าไม่เกิดกับเราจะไม่รู้เลยว่ามันยุ่งยากขนาดนี้ แล้วการปฏิบัติกับเราทั้งคำพูด การดูถูก ทำเหมือนเราไม่ใช่คน คือการเปิดใจยอมรับมีน้อย แค่บอกว่าเป็นชาวเขาก็ดูถูกแล้ว เขาไม่สนใจว่าคุณเก่งแค่ไหน แค่ช่วงแรกที่เกิดอุบัติเหตุก็นั่งเจรจากัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขาที่มีบัตรประชาชน อย่างผมก็มีบัตร แต่ว่าเขาไม่ประสีประสาเรื่องกฎหมาย เหมือนผมตอนแรกก็ไม่รู้ มันทำให้โดนเอาเปรียบ คนอื่นเขาได้เงินแล้วก็เซ็นต์รับไป 2.อย่าลงลายมือรับข้อเสนอแรก ดีที่พี่ชายบอกว่าห้ามยอมความง่ายๆ พอตัวแทนประกันบอกว่าไม่มีใครชนะประกันได้ พวกเราก็พยายามตามเรื่องกัน พอติดต่อไปทางประกันก็ทำเฉย บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ที่เขาจะต้องมาติดต่อ หลังจากที่ไกล่เกลี่ยที่โรงพักแล้วสรุปว่าเราไม่ยอมความกัน เขาบอกว่าถ้าคุณไม่ยอมก็ต้องไปฟ้องเอา ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว พอลงมากรุงเทพก็มารักษาตัวต่อ เจรจาทีแรกไปขนส่งก็ตกลงกันได้ที่ 4 หมื่น รอมาครึ่งปีก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไร รอมาเกือบปีก็ได้เงินหมื่นห้าโผล่มา ก็เห็นว่าไม่ได้เรื่องแล้ว โชคดีมีคนที่รู้จักกับพี่ชายเขาพามาที่มูลนิธิฯ 3.ห้ามท้อ บางทีมันก็ท้อนะ เพราะเขา(ประกัน) เห็นเราไม่ประสีประสาเขาก็มองข้ามไป เอาเปรียบได้ก็เอาเปรียบ ตอนแรกเขาให้ 25,000 บาท ผมไม่ยอม พอเจรจายอมที่ 4 หมื่น แต่ก็แล้วก็กลับมาให้หมื่นห้า อย่างนี้มันถูกแล้วหรือ จนต้องเป็นคดีความ ฟ้องร้องกันอีกเยอะแยะ เสียเวลาทั้งของเราและของเขา ซึ่งค่าเดินทาง ค่าโดนหักที่ต้องลางานนั้นมันออกใบเสร็จไม่ได้ เงิน 170,000 มันไม่คุ้มหรอก จริงๆ แล้วเราไม่ได้อยากให้เป็นคดีความ ไม่ได้อยากได้เงินเขาขนาดนั้น แต่อยากให้ประกันเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง รู้เลยว่า เกิดเรื่องอย่างนี้มันพูดถึงจิตใจไม่ได้นะ เขายึดที่หลักฐานอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นโดนเอาเปรียบแน่ ผมเข้าใจว่าพวกเขาต้องปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทฯ เขาเป็นเรื่องธรรมดา แต่ควรมองอีกมุมหนึ่งด้วยว่าเรื่องอย่างนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด ไม่มีใครอยากเจ็บ อยากตาย แต่ถ้าเกิดแล้วเขาต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย เขาเห็นเป็นชนเผ่า คงไม่คิดว่าจะสู้ขนาดนี้ //
สำหรับสมาชิก >ฉลาดซื้อฉบับต้นปีนี้จะพาไปสัมผัสว่าความเงียบดีอย่างไร ลดเสียงลงสักหน่อย สังคมจะมีความสุขเพียงไหน เราจะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ไปพร้อมๆ กับ รู้จัก ดร.อรยา สูตะบุตร หรือ อ.ปุ้ม ผู้ประสานงานชมรมหรี่เสียงกรุงเทพฯ ที่นอกจากท่านจะเป็นอาจารย์พิเศษวิชาพลเมืองและความรับผิดชอบต่อสังคม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรรมการสถาบันธรรมศักดิ์เพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือทำงานแปล ไทย-อังกฤษ แล้ว ยังเป็นสมาชิกกลุ่มบิ๊กทรี( กลุ่มอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ในเมือง ) ค่อยๆ หรี่เสียงตัวเราเอง สิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว แล้วมาล้อมวงฟังเรื่องราวของชมรมหรี่เสียงกรุงเทพกันนะคะ เกี่ยวกับชมรมหรี่เสียงกรุงเทพฯ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร จริงๆ ชมรมนี้อยู่มาใกล้จะ 10 ปีแล้วแต่ก็เป็นชมรมเล็กๆ ตอนเริ่มต้นในกรุงเทพฯ ก็มีเสียงรบกวนอยู่หลายรูปแบบ แต่อันที่สะกิดใจก็คือ เสียงทีวีในรถไฟฟ้า เพราะว่ามันเป็นเสียงที่เราหนีไม่ได้ ไปหรี่เสียงมันก็ไม่ได้ ไปยืนตรงที่มันไม่มีเสียงก็ไม่มี เกิดคล้ายๆ ว่าแรงผลักดันที่จะทำอะไรสักอย่างก็เลยเป็นที่มาของชมรม ชมรมว่าทำงานในส่วนใดบ้าง มีขอบข่ายอย่างไร เนื่องจากเป็นชมรมเล็กๆ นะคะ การใช้บทบาทในเรื่องที่เผยแพร่ข้อมูลไปถึงสาธารณะก็คือ ผ่านสื่อหลายๆ ช่องทาง โดยเน้นเรื่องอันตรายของเสียงดัง มีการตีพิมพ์บทความ ข้อมูลให้คนรู้ว่าจะต้องระวังภัยเสียงดังในพื้นที่ไหนบ้าง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ จะมีบางช่วงเวลาที่ระดมอาสาสมัครออกไปวัดเสียง ก็วัดกันเองด้วยเครื่องมือที่มีคนให้ยืม แล้วเราก็ตีพิมพ์ออกมาเป็นบทความว่าที่ไหนเสียงดังอย่างไร พร้อมกับให้ข้อมูลว่าค่าระดับเท่านี้ๆ มันทำอันตรายกับหูได้ในระยะเวลานานเท่าไร จะเป็นลักษณะใช้สื่อในการให้ข้อมูล และถ้าเป็นไปได้ก็เข้าไปตามสถานศึกษาบ้าง ก็มีการจัดคล้ายๆ เหมือนกับพาคนไปเที่ยวที่ที่มันเงียบสงบในกรุงเทพฯ แล้วบรรยายให้ความรู้ไปในกิจกรรมพร้อมกันว่าการอยู่ในที่ที่มันสงบและไม่มีเสียงดังนั้นมันมีประโยชน์อย่างไร นอกจากเสียงบนรถไฟฟ้า คิดว่าเสียงที่ไหนที่มันเป็นมลพิษอีกบ้าง ถ้าพูดถึงกลุ่มเฉพาะขนส่งมวลชนทั้งหลาย ก็จะมีทั้งรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน และพวกรถทัวร์ รถที่มันติดทีวีข้างในตัวรถ ซึ่งพวกนี้มันเป็นเสียงกลุ่มเดียวกัน ทำให้รู้สึกว่าจะหนีไม่ได้ ต่อให้อุดหูมันก็ยังช่วยไม่ได้ เพราะว่าโดยมากจะเปิดดังมาก และเป็นที่แคบมันก็ยังมีโอกาสสะท้อนมากเข้าไปอีก พอเป็นลักษณะที่ต้องทนอยู่ในที่หนีไม่ได้ ลดเสียงไม่ได้นี่ก็เป็นประเภทหนึ่ง อีก 2 ประเภทที่เจอคนร้องเรียนเข้ามาเยอะ คือเสียงจากที่ก่อสร้าง ซึ่งบางทีก็ทำแบบไม่เต็มเวลา ไหลไป 24 ชม.ก็มี แล้วเสียงก่อสร้างต่อให้เราไม่ต้องอยู่ใกล้มาก มันก็มีทั้งแรงสั่นสะเทือน มีทั้งเสียง นี่ไม่นับมลภาวะอื่นทางอากาศนะคะ อีกเรื่องคือพวกที่มีลักษณะเปิดดนตรีในที่สาธารณะในระดับที่เกินความจำเป็น ตั้งแต่คอนเสิร์ต ห้างสรรพสินค้า พวกคาราโอเกะแบบที่ไม่ปิดมิดชิด ตั้งเป็นเพิงขึ้นมาได้ก็ร้องแล้ว พวกนี้จะมีปัญหามากเพราะว่าเปิดกันดึกดื่น พอไม่มีการควบคุม ไม่ได้ขออนุญาต เป็นเพิงไม้เล็กๆ ตามข้างทางแล้วใช้เครื่องเสียงขนาดใหญ่ เลิกกันตอนเช้ามืดนั้น เป็นการใช้เสียงที่ไม่รับผิดชอบต่อคนที่อยู่รอบๆ อีกอย่างคือใช้เสียงในระดับที่สูงเกินไป ก็เลยจะกระทบคนเป็นจำนวนมาก แต่ปัญหาอันหลังสุดนี้มันกลายเป็นปัญหาที่ในต่างจังหวัดรุนแรงกว่ากรุงเทพฯ เสียอีก เพราะมันเหมือนเป็นธรรมเนียมที่ถ้าอยู่ในชุมชนเมือง มันมีโอกาสน้อยกว่าที่คาราโอเกะแบบนี้จะอยู่ได้โดยไม่มีใครไปว่าอะไรเขา แต่ว่าชานเมืองหรือต่างจังหวัด ต่อให้หนีไปโรงแรมที่ห่างไกล หรือสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ลี้ลับสุดๆ จะต้องมีบ้านชาวบ้านก็ต้องงานเลี้ยงอะไรของหมู่บ้านที่มีเครื่องเสียงเต็มเหนี่ยว แล้วมันไม่ใช่เพลงรื่นรมย์ เป็นเพลงแบบคนเมาจนถึงดึกดื่น ถึงเช้า ซึ่งมันสะท้อน 2 อย่าง คือ การไม่รู้อันตรายของระดับเสียงที่ดังเกินไป อันตรายทั้งในแง่ร่างกายและจิตใจ อันที่ 2 คือการที่เราละเลยความรับผิดชอบต่อผู้อื่นจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเรา คิดว่านี่คือการทำอะไรชิลๆ แต่เราลืมดูว่าทำให้คนอื่นไม่ได้พักผ่อนหรือถูกรบกวนด้วยเสียงดัง อาจต้องใช้การรณรงค์เรื่องจิตสำนึกหรือเปล่า เท่าที่ในประสบการณ์มีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องเสริม คือ คนกรุงเทพฯ เริ่มมีปัญหา และมีการแจ้งมาที่ชมรมบ่อย คือ การเป่านกหวีด (หัวเราะ) จะหมายถึงการเป่านกหวีดจราจร จริงๆ ตำรวจเป่าน้อยมาก ที่เป่าคือพวกดูแลจราจรตามหน้าอาคารต่างๆ ซึ่งถ้ามองจริงๆ แล้วจะพบว่ามันมีประโยชน์น้อยมาก คือเป็นสิ่งที่เข้าใจยากมากที่คนขับรถนั้นไม่ว่าจะเป็นที่ออกมาจากตึก หรือกำลังจะผ่านหน้าตึกจะแยกแยะไม่ได้หรอกว่าเป่านกหวีดอันนี้คือให้ไปหรือให้หยุด แล้วหมายถึงคันที่กำลังจะออกหรือคันที่กำลังจะผ่าน มันเหมือนกับเป็นเสียงปี๊ดๆ ไปไม่มีความหมายชัดเจน แค่ทำให้เกิดความสนใจแต่ไม่ได้แปลออกมาว่าให้ทำอะไร จะเห็นว่าหลายๆ ที่นั้น โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า หรือโรงแรมหลายแห่งที่เขามีรถเข้าออกเยอะๆ เขาไม่ได้ใช้นกหวีดก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากไปกว่าหน่วยงานที่ใช้ ซึ่งนี่เป็นความเข้าใจว่านกหวีดเป็นเสียงก่อให้เกิดความรำคาญนั้นแต่ละเจ้าของก็จะไม่เหมือนกัน อย่างเซ็นทรัลชิดลมมีรถเลี้ยวเข้าเลี้ยวออกเยอะมากแต่ไม่มีนกหวีดและเขาก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรในขณะที่ห้างอื่น โรงพยาบาล อาคารทั้งหลายจะบอกว่าไม่ได้ต้องใช้ ซึ่งเซ็นทรัลชิดลมเป็นหลักฐานที่ดีว่าไม่เห็นต้องใช้เลย ใช้อย่างอื่นแทนได้ ใช้ธง ใช้สัญญาณสีต่างๆ หรือใช้เครื่องมือเป็นแท่งที่มีแสงตอนกลางคืนแทนได้ ซึ่งจากที่ได้รับการร้องเรียนหลายๆ เรื่อง วิธีที่ดีที่สุดคือการเจรจากับคนที่เป็นฝ่ายทำเสียงโดยตรง หมายความว่าในการเจรจานั้นไม่ใช่แค่โทรไปด่าแล้วจบไป สมมติว่าหน่วยงานหรือตึกหนึ่ง ฝั่งคนที่ร้องเรียนถ้าจะให้ดีคือรวมๆ ตัวกัน แล้วคุยกันดี ชี้แจงเหตุผลกัน พบว่าได้ผลมากที่สุด ล่าสุดมีอีเมล์เข้ามาถามว่าเขาจะทำอย่างไรดีกับคอนโดฯ ฝั่งตรงข้ามบ้านเขาเป่านกหวีดตลอด ซึ่งเขาปิดหน้าต่างแล้วก็ยังช่วยไม่ได้ เป่าทั้งวันเลย ก็บอกเขาว่าคุณอยู่คอนโดฯ เหมือนกัน ฝั่งของคุณไม่เป่านกหวีดเลย แล้วสิทธิมันก็พอๆ กันเพราะว่าถนนเดียวกัน ขอแนะนำให้รวมตัวกันแล้วขอนัดผู้จัดการทั้ง 2 ตึกเลยมาคุยกัน ใช้เหตุผลพูดคุยกันว่าทำไมตึกหนึ่งใช้ อีกตึกหนึ่งไม่ต้องใช้ ทดลองดูไหมว่าถ้าไม่ใช้แล้วมันดีอย่างไร ผลเสียอย่างไร เขาก็ไปลองดูนะ ปรากฏว่ายังไม่ทันได้รวมตัว แค่เดินเข้าไปคุยกับผู้จัดการคอนโดฯ ฝั่งที่เป่านกหวีด ได้ผลเรียบร้อยดี คือเหมือนกับว่าไม่มีใครไปบอกเขาว่าเป่าแล้วมันไม่มีประโยชน์ ถ้าเราเป็นคนที่ใส่ใจสุขภาพของคนอื่น นกหวีดเป็นอันตรายกับผู้เป่ามากที่สุด และความดังของเสียงนกหวีด ถ้าไม่อุดหูแล้วเป่าเต็มแรง เสียงพอๆ กับเครื่องบินไอพ่นเลย เกิน 90 เดซิเบลนะ เคยให้ยามคนหนึ่งเป่าแล้วใช้เครื่องวัดเสียงจ่อเลย เกิน 90 เดซิเบล ปกติคนเราฟังระดับ 70 เดซิเบลเป็นระดับที่ได้ยินพอดี ต้องไม่รู้สึกรำคาญ และถ้าเกิน 80 เดซิเบลเป็นเวลา 1 ชม.จะเริ่มทำให้หูเสื่อมได้ เรื่องกฎหมายในบ้านเราควบคุมได้ระดับไหน คิดว่าพอไหม หรือต้องรณรงค์อย่างไร ใช้กฎหมายไม่เวิร์ค มีกฎหมายเรื่องระดับเสียงซึ่งกรมควบคุมมลพิษประกาศใช้ แต่มันเป็นกฎหมายที่ใช้การไม่ได้ เพราะบอกว่าห้ามทำเสียงดังเกิน 80 เดซิเบลต่อ 24 ชม. หรือ ถ้าค่าเฉลี่ย 24 ชม.ไม่เกิน 80 เดซิเบลนั้นไม่เป็นไร แล้วเมื่อไรมันจะเกิน เพราะตอนตี 3 ตี 5 มันก็ไม่ค่อยดังแล้ว หรือถ้าดังไปถึง 100 เดซิเบลก็คงแป๊บเดียว ถ้าไปหาร 24 ชม.ค่าเฉลี่ยต่อชม.มันก็ไม่เกิน 80 เดซิเบล อย่างที่บอกว่าการเจรจาไกล่เกลี่ยหาข้อตกลงกันได้ผลกว่ากฎหมาย กฎหมายถ้ารอไปแก้คงไม่ทันได้ใช้นะคะ จุดมุ่งหมายต้องไปขนาดนั้นเลยไหม ปัจจุบันจะทำควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาด้านอื่น แต่เรื่องกฎหมายนี้ต้องไปขนาดนั้นไหม ประเทศอื่นเขาจำกัดอยู่แค่ไหน คือกฎหมายเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับประเทศไทยในทุกเรื่อง คือกฎหมายถ้ามีการบังคับใช้นั้นก็จะดี จะเห็นผลนะ แต่เรามีปัญหาเรื่องการบังคับใช้ เพราะฉะนั้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับชมรม ขอเน้นเรื่องที่ 1 คือการสร้างความรู้ สร้างความตะหนัก เรื่องที่ 2 คือ เน้นการหันหน้าเข้าคุยกัน หาทางออกร่วมกันด้วยสันติวิธี ไม่ใช่ฝ่ายบ่นก็บ่นไปแต่ว่าไม่เคยได้เข้าไปทำความรู้จักมุมมองของคนที่เขาทำให้เกิดเสียง แล้วหาข้อยุติร่วมกัน ซึ่งวิธีหลังมันได้ผล แต่ในหลายกรณีมันก็ไม่ประสบความสำเร็จ รถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดินก็ใช้วิธีเขียนจดหมายไปทั้ง 2 หน่วยงาน ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ อย่าง BTS เขาตอบนะแต่บอกว่าเขาวัดแล้วเสียงเขาไม่ดัง มีการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ใช้ BTS เขาบอกว่าชอบโฆษณาในรถ ส่วน MRT เราก็ไปตรวจเสียงให้เขาเห็นเลย เขาเห็นรู้เลยว่านี่คือเครื่องตรวจเสียง พนักงานเขาเดินมาหาบอกว่าคุณมาวัดเสียงคุณได้รับอนุญาตหรือยัง ไม่อย่างนั้นต้องเชิญคุณออกไปจากบริเวณ MRT ถ้าทางฉลาดซื้อสำรวจข้อมูลพวกนี้ วัดเสียงได้ ทำได้ทั้งในแง่สำรวจความคิดเห็นด้วย ถ้าช่วยกันก็จะเป็นประโยชน์มากๆ จะได้เป็นหน่วยงานคนกลาง อย่างกลุ่มหรี่เสียงฯ คนจะมองว่าอยู่ฝ่ายคนที่ร้องเรียน ถ้าเป็นมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจะเป็นลักษณะช่วยดูแลหลายๆ ในประเด็นของผู้บริโภคมากกว่า
สำหรับสมาชิก >คุณสุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ 1 ในผู้นำเรื่องสิทธิของคนพิการแถวหน้าของเมืองไทย ประเด็นล่าสุด “ รถเมล์..ทุกคนต้องขึ้นได้ทุกคัน ” ที่มีภาพผู้ชายหลายๆ คน กำลังแบกคนพิการที่นั่ง Wheelchair ขึ้นบนรถเมล์ ปรากฏในหลายสื่อ จนเป็นข่าวดัง เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา คุณสุภรธรรม หรือ อ.ตั๋น เลขามูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ เริ่มเล่าประวัติส่วนตัวให้เราฟังว่า “ผมพิการมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็เรียนโรงเรียนคนพิการ เป็นคนหนองคาย แต่เนื่องจากต่างจังหวัดมันไม่มีโรงเรียนคนพิการ ผมเลยต้องเข้ามาเรียนโรงเรียนคนพิการศรีสังวาลย์ที่ปากเกร็ด ตั้งแต่ ป.1จนจบ ม.3 จบแล้วผมก็ไม่ได้เรียนต่อภาคปกติ เพราะว่ามันไม่มีที่ให้ไป ก็ได้ไปเรียนภาคค่ำ สุดท้ายได้เรียนโปรแกรมเมอร์ที่อาชีวะพระมหาไถ่ ที่เป็นฝึกอาชีพเพื่อคนพิการโดยคณะพระมหาไถ่ เป็นการฝึกอาชีพเพื่อคนพิการรุ่นแรก ผมฝึกอาชีพที่นั้นพอจบก็ทำงานที่นั่นเลย เป็นครูที่นั่นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2530 ตอนนี้ก็ 26 ปีโดยประมาณที่อยู่ที่นั่น ตั้งแต่เป็นครูน้อย เป็นหัวหน้าแผนกคอมพิวเตอร์ เป็นครูใหญ่ แล้วก็มาทำจัดหางาน และทำมูลนิธิฯ มูลนิธิก็ดูแลภาพรวมของงานด้านคนพิการของคณะมหาไถ่ที่มีงานอยู่ที่พัทยา และหนองคาย ก็คลุกคลีงานด้านคนพิการตั้งแต่ต้น เพราะว่าคนที่ก่อตั้งคือบาทหลวง พอเราทำโรงเรียนเสร็จก็ถามว่า คือโรงเรียนนั้นต้องถือว่าประสบความสำเร็จนะ เพราะคนที่จบการศึกษาทุกคนต้องมีงานทำ เพราะฉะนั้นในวงการคนพิการถือว่าโอเค” แรงบันดาลใจของอาจารย์ที่อยากเห็นการพัฒนาคืออะไร ก็เผชิญปัญหาด้วยตัวเอง ที่เราเห็นปัญหา คลุกคลีกับมันเราก็รู้สึกว่ามันน่าจะมีหนทางที่ดีกว่านี้ น่าจะมีโอกาสที่ดีกว่านี้บวกกับสภาพแวดล้อมมันหล่อหลอม สภาพแวดล้อมในครอบครัวก็ดี ที่โรงเรียนศรีสังวาลย์ ที่อาชีวะพระมหาไถ่ สภาพแวดล้อมที่ไม่ให้เราคิดถึงตัวเราเอง ให้คิดถึงคนอื่น อย่างพ่อก็เป็นแบบอย่างของคนที่ทุ่มเทกับการทำงานเพื่อพัฒนางาน เพื่อช่วยเหลือคนอื่น อย่างการที่โรงเรียนของเราอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของสมเด็จย่า พระจริยวัตรของพระองค์ท่าน คำสอนของท่านมันถูกแทรกซึมเข้ามาในชีวิตโดยที่เราไม่รู้ตัวบวกกับสิ่งที่เราเห็นในความไม่เป็นธรรม แม้แต่เราอยู่ในโรงเรียนบางทีมันก็มีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น ซึ่งความไม่เป็นธรรมนั้นมันไม่ใช่เพราะใครอยากจะสร้างความไม่เป็นธรรม แต่มันเกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ หรือมันเป็นข้อจำกัด อย่างเช่น คนพิการก็จะมีคนที่นั่งรถเข็นเหมือนผม คนที่เดินได้ แน่นอนคนที่เดินได้ก็มีโอกาสมากกว่าคนที่นั่งรถเข็น เช่นถ้ามีกิจกรรม จะเอาให้ง่ายก็เอาคนที่เดินได้ไป ให้คนที่นั่งรถเข็นไว้ทีหลังอย่างนี้เป็นต้น ก็คือความไม่เป็นธรรม แต่ถ้าถามผมนั่งรถเข็นพอช่วยเหลือตัวเองได้กับอีกคนหนึ่งนั่งรถเข็นแต่ต้องมีคนช่วยเข็น ช่วยป้อนข้าว คนกลุ่มนั้นก็ยิ่งแย่กว่าเรา ถามว่าใครจะดูแล ใครจะเป็นปากเป็นเสียงให้กับเขา เพราะฉะนั้นถามว่าทำไมถึงทำ ก็เพราะสภาพแวดล้อม และสิ่งที่เราเห็นมากกว่า ปัจจุบันของประเทศไทยมีเส้นทางที่เอื้อให้คนพิการมากน้อยแค่ไหน ถ้าพูดถึงการคมนาคม คงต้องมองเรื่องของคนพิการเป็นกลุ่มๆ คนพิการตามสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติคนพิการทั้งหมดประมาณล้านแปดล้านเก้า แต่ที่มีบัตรคนพิการนั้นมีประมาณล้านสี่เกือบล้านห้า ครึ่งหนึ่งเป็นคนพิการด้านร่างกาย หมายความว่าใช้ Wheelchair แขนขาดขาขาด นอกนั้นก็จะเป็นคนพิการหูหนวกประมาณสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ ตาบอดประมาณ 12 – 15 เปอร์เซ็นต์และคนพิการอื่นๆ ในเรื่องการเดินทางนั้นที่ลำบากที่สุดคือคนที่พิการทางด้านร่างกาย เพราะว่าไม่สามารถใช้บริการสาธารณะได้โดยสะดวกโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ใช้ Wheelchair ต้องบอกว่าไม่สะดวกเลย จริงๆ ที่เห็นว่ามีหลายฝ่ายเริ่มให้ความสนใจคือปี 2538-2539 เป็นการให้ความสนใจเพราะถูกบังคับให้สนใจ ก็เมื่อกรุงเทพจะมีรถไฟลอยฟ้า ตอนนั้นมี 23 สถานี แต่ไม่มีการอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการเลย เราก็ได้ออกมารณรงค์ในเรื่องนี้ ในช่วงที่มีการณรงค์เราพบว่าสังคม และหน่วยงานอื่นก็ให้ความสนใจ ยกตัวอย่างเช่น ตอนนั้นทำรถลอยฟ้าก็ทำรถใต้ดินด้วย ทางใต้ดินก็สนใจ และตระหนักถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการ แต่ถามว่าทำแล้วใช้งานได้จริงไหม ในเชิงระบบไม่สามารถใช้งานได้จริง อย่างเช่น รถไฟลอยฟ้ามีทั้งหมด 23 สถานี แต่มีลิฟต์สำหรับคนพิการแค่ 5 สถานี และ 5 สถานีนี้อย่างอ่อนนุชนั้นมีขาเดียว คือมีฝั่งเดียวปกติมันต้องมี 2 ฝั่งนะขาไปกับขากลับ ก็ยังไม่สมบูรณ์ หรือรถไฟใต้ดินอย่างที่บอกว่าสนใจ แต่เวลาทำจริงๆ นั้นก็เรียกว่าไม่สมบูรณ์ รถไฟฟ้าใต้ดินมีทั้งหมด 18 สถานี บางสถานีก็มี 2 มี 3 Exit มากสุดก็ 5 แต่รวมทั้ง 18 สถานีมีทั้งหมด 60 Exit มี Wheelchair ไปได้แค่ 31 Exit ยกตัวอย่างเช่น สถานีลาดพร้าวมี 4 ทางเข้าออก แต่ Wheelchair ไปได้แค่ทางเดียว เพราะฉะนั้นพูดถึงการใช้ระบบขนส่งรถไฟฟ้าใต้ดินในชีวิตประจำวัน มันเป็นไปไม่ได้ สมมติพักอาศัยอยู่ในฝั่งที่มีลิฟต์ เราก็ขึ้นลิฟต์ไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินไปทำงาน ขากลับก็กลับมาไม่ได้ ขากลับต้องไปโบกแท็กซี่เพื่อจะฝ่าจราจรกลับรถไปอีกฝั่งหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพ รถไฟลอยฟ้ายังมีปัญหา รถใต้ดินมีปัญหา ส่วนต่อขยายของ BTS อันนี้โอเค ส่วนต่อขยายทั้งหมดมีการติดตั้งลิฟต์ทั้ง 2 ฝั่ง แต่อาจมีปัญหาบ้างเรื่องของสภาพแวดล้อม เรื่องฟุตบาท ทางเท้า แต่ กทม.เองก็มีนโยบายที่จะติดตั้งลิฟต์ครบทุกสถานี บอกว่าจะทำครบตั้งแต่ปี 55 เราก็ตามแล้วตามอีกก็ยังไม่ครบ ทราบว่ากำลังดำเนินการ ส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าใต้ดินมีปัญหาอยู่บ้างบางสถานีที่ยังใช้คอนเซ็ปต์การออกแบบเหมือนเดิม เราก็พยายามเจรจา มีการปรับแก้ไปบ้างแต่ก็ยังไม่ครบถ้วน มี Airport Link (Airport Rail Link) ในเชิงระบบถือว่าโอเคแต่ว่าในการให้บริการนั้นยังมีปัญหา เช่น ระดับระหว่างแพลตฟอร์มมันห่างกันมาก มันอันตราย จะต้องมีระบบในการให้บริการที่เสริมเข้าไป อย่างมี Fiber เป็นสะพานเชื่อมระหว่างแพลตฟอร์มกับตัวรถเวลาคนพิการหรือคนที่ใช้ Wheelchair ไฟฟ้าใช้บริการจะต้องมีสะพานเชื่อมจะได้ไม่เกิดอันตราย เป็นต้น รถเมล์ไม่มีทาง ศูนย์เลย ใช้ไม่ได้ เรือก็ศูนย์ รถไฟระหว่างเมืองเพิ่งจะมีเป็นโบกี้นำร่อง แต่ให้บริการไม่ได้จริง เพราะว่าเป็นขบวนระหว่างกรุงเทพฯ – หนองคาย, กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ อยู่ในขบวนรถด่วนปรับอากาศชั้น 2 ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูง ถ้าจะไปเลือกชั้น 3 หรือขบวนอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามเวลาอีกก็ยังไม่สะดวก แต่เนื่องจากช่วงนี้ตกรางบ่อย ก็รอให้หายตกรางก่อนแล้วค่อยว่ากัน (555) อันนี้รถไฟ ยังมีปัญหา รถ บขส. ก็เป็นทางเลือกที่ดีอีกทางเลือกหนึ่งแต่ไม่มีระบบบริการ มีเพียงการช่วยด้วยความเป็นคนไทย ด้วยความมีมนุษยธรรม ก็มีการช่วยตามสมควร แต่โดยระบบแล้วนั้นยังไม่เอื้อทั้งระบบ เครื่องบินถือว่าดีที่สุดแต่มันแพงยกเว้น Low Cost นะ ก็ยังไม่สามารถจะเอื้ออำนวยความสะดวกได้ และเวลาจองตั๋วมีการถูกปฏิเสธ เวลาไปใช้บริการ ไปเช็คอินมีการถูกปฏิเสธให้ความช่วยเหลือถามว่าเส้นทางหรือการเดินทางของคนพิการไม่ว่าจะเป็นทางถนน ทางน้ำ ทางอากาศ ทางรางยังมีปัญหา คนพิการจึงเดินทางไปตามสภาพ คือเจอปัญหาอะไรก็แก้ไปตามสภาพ ไม่ได้ขึ้นเครื่องก็โวยวายไป ไปขึ้นรถไฟจำเป็นต้องคลานขึ้นก็คลานขึ้น มีเพื่อนอุ้มขึ้นก็อุ้มขึ้น เป็นแบบนี้ชีวิตก็ลำบาก เพราะฉะนั้นชีวิตที่ลำบากนั้นหลายๆ คนก็เลือกที่จะไม่ออกมาสู่สังคม ไม่สามารถออกไปทำงานได้ ไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้ สุดท้ายก็ต้องกลับไปอยู่บ้านที่ชุมชน ที่ผ่านมารัฐมีนโยบายที่เอื้อประโยชน์ในเรื่องคมนาคมต่อคนพิการแค่ไหน ถามว่ารัฐบาลสนใจไหม ก็ดูเหมือนจะสนใจนะตั้งแต่ปี 38 มีคนเริ่มให้ความสนใจ หลังจากนั้นก็มีตั้งคณะกรรมการอะไรขึ้นมาต่างๆ นานา แต่ภาคปฏิบัติจริงๆ นั้นน้อยมากๆ มีเฉพาะการปรับปรุงพวกอาคาร สถานที่ของสถานีขนส่ง สถานีรถไฟ บขส. ปรับปรุงไปทำไมเดินทางไม่ได้ แต่ที่ต้องทำเพราะมันมีกฎหมายว่าด้วยเรื่องอาคาร สถานที่ อันนั้นก็ถูกไฟลท์บังคับตรงนั้น แต่ถามว่ารัฐบาลให้ความสนใจเป็นจริงเป็นจังไหม ไม่มีเลย เพิ่งมีสมัยรัฐบาลนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่มีการทำรถไฟเป็นโบกี้นำร่อง ก็ทำเสร็จแล้ว ทดลองวิ่งแล้ว แต่ยังไม่ได้เดินรถเป็นประจำ พอท่านดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ มาเป็นว่าการก็เลยเกิดโครงการนำร่องขึ้นมาเป็น “สะดวก ปลอดภัย คมนาคมยุคใหม่ ใส่ใจคนพิการ” แต่ที่มันเกิดดอกออกผลเยอะนั้นต้องยกให้เป็นเครดิตของเลขารัฐมนตรี คือท่านฐิติมา ฉายแสง ที่ดำเนินเรื่องนี้ตามนโยบายของรัฐมนตรีอย่างจริงจัง แต่มันก็เป็นเพียงโครงการนำร่องนะ ระยะเวลาสั้นๆ โดยเลือกปรับปรุงบริการในเรื่อง 4 หมวด คือ รถทางบก คือทางถนน ไปปรับปรุง บขส. เลือกที่สถานีจตุจักรหรือว่าหมอชิต 2 และเลือก ขสมก. ไปปรับปรุงเขตการเดินรถที่ 8 ก็ปรับสภาพแวดล้อมภายใน อาคาร สถานที่ เอารถต้นแบบในแต่ละแบบนั้นมาดูว่าถ้ามีการใช้ปรับปรุงรถเมล์จะมีต้นแบบอะไรบ้าง ระบบทางน้ำก็ไปปรับปรุงท่าเรือสาทร ซึ่งเป็นท่าเรือท่องเที่ยวและจะมีการคุยกับผู้เดินเรือในการที่จะอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการ ทางอากาศเลือกสนามบินดอนเมืองเป็นโครงการนำร่อง ส่วนทางรางเลือกหัวลำโพงและรถไฟฟ้าใต้ดินที่สถานีลาดพร้าว ซึ่งโครงการนำร่องมันสะท้อนออกมาว่าการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทำอย่างไร ปัญหาอุปสรรคคืออะไร วิธีการให้บริการคนพิการในระบบขนส่งมวลชน บขส. เองก็มีนโยบายการปรับปรุงสถานีรถโดยสารอีก 8 แห่งทั่วประเทศและจะปรับปรุงบริการ คือวิธีการในการช่วยคนพิการ จริงๆ เราเสนอไปหลายอย่างนะ เช่น การจองตั๋ว การล็อกที่นั่งเอาไว้ให้คนพิการได้นั่งโดยไม่ต้องลากถูกันไปกลางรถ ท้ายรถ เพราะที่ผ่านมานั้นการจองตั๋วนั้นถ้าเราไม่ได้ที่นั่งด้านหน้า เวลาขึ้นไปจริงๆ เราก็ต้องไปขอผู้โดยสาร เขาก็ต้องย้ายให้ ซึ่งมันก็ได้ แต่ความรู้สึกเราก็ไม่ได้อยากเป็นภาระคนที่เขาชอบนั่งหน้าด้วยวิถีการเดินทางของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เขาก็จำเป็นต้องย้าย ซึ่งเวลาย้ายบางทีก็ย้ายไปไกล หรือถูกแยกกัน เขาจองมาเป็นคู่แต่เราไปคนเดียวก็ถูกแยกกันคนหนึ่งซึ่งมันเป็นปัญหา เลยเสนอว่ามันน่าจะมีระบบการจองตั๋ว การล็อกที่นั่ง สถานีสนามบินก็มีการขยายผลซึ่งก็มี สนามบินภูเก็ต เชียงใหม่ สงขลา นี่ก็ทำต่อเนื่องนะ มีการอบรมให้กับพนักงานการท่าให้กับแอร์เอเชีย การรณรงค์เรื่องบริการรถเมล์ทำอย่างไรบ้าง เราตามตั้งแต่รัฐบาลมีนโยบายที่จะออกรถเมล์ใหม่ เราก็ตามตลอดว่ารถใหม่จะต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการสามารถจะเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ทุกคัน ทุกคนต้องสามารถใช้ประโยชน์ได้ ไม่เอาสัดส่วน ไม่เอา 70 – 80 เปอร์เซ็นต์หรือแม้แต่ 50 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่ใช่ รถโดยสารในกรุงเทพฯนั้นมีประมาณ 16,000 คัน ของ ขสมก. ก็ประมาณเกือบ 4,000 คัน นอกนั้นจะเป็นรถร่วม รถตู้ ถ้าสมมติ ขสมก. บอกว่าเอาไปครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่งแสดงว่ามีไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของทั้งระบบ สมมติว่าเขาออกรถทุก 15 นาที คนพิการต้องรอ 150 นาทีรถคันต่อมาถึงจะมา เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันมันใช้ไม่ได้ แล้ว ขสมก.เป็นบริการของรัฐฯ ถ้าบริการของรัฐไม่เริ่ม ไม่ทำ คุณจะไปบอกให้รถร่วมทำได้อย่างไร เลยต้องบอกว่า ขสมก.ต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้า 100 เปอร์เซ็นต์เมื่อไรค่อยเคลื่อนไปรถร่วม โอเคเราไม่แตะรถเก่า แต่รถใหม่ที่ออกมาคุณจะต้องให้ความสะดวกสำหรับคนพิการ เราก็ติดตามโดยการทำหนังสือ พบรัฐมนตรี เข้าพบ ผอ.ขสมก.ตามลำดับแล้วก็ทำงานเชื่อมโยงกับสมาคมคนพิการและหน่วยงานต่างที่เขาสนใจในประเด็นนี้ เพราะฉะนั้นการขับเคลื่อนนั้นเราไม่ได้ขับเคลื่อนในนามมหาไถ่หรือหน่วยใดหน่วยหนึ่ง แต่เราขับเคลื่อนร่วมกัน ใครที่มีอุดมการณ์ มีแนวทางตรงกัน เพราะบางคนบางหน่วยงานเขาก็ขับเคลื่อนโดยใช้นโยบาย ใช้งานวิชาการ ประเด็นสำคัญก็คือรถเมล์ทุกคนต้องขึ้นได้ทุกคัน เราก็เอาประเด็นนี้เป็นตัวชูโรง เราก็รณรงค์มา ซึ่ง ณ นาทีนี้ทั้งรัฐบาลและ ขสมก.นั้นยอมที่จะให้รถเมล์ทุกคัน ทุกคนสามารถขึ้นได้ แต่ยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ งานของเราจะจบก็ต่อเมื่อรถเมล์คันสุดท้ายตามโครงการนี้ออกสู่ท้องถนนอันนี้ถึงจะจบ จบโครงการนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจบแล้วเรื่องของรถเมล์ นั่นหมายความว่า Next Step เราจะทำอย่างไรกับรถร่วม เรื่องฟุตบาท ทางเท้า เรื่องโครงข่ายที่จะโยงใยกันต่อ ซึ่งเราต้องทำงานต่อในเรื่องเหล่านี้ //
สำหรับสมาชิก >ลมหนาวพัดมาแบบนี้ เช้าๆ แดดอาจจะพออุ่น แต่สายๆ เมื่อลมหนาวจางมีแสงแดดเข้าแทนที่ แดดแรงแบบนี้ทำให้คิดถึงพลังงานโซล่าร์เซลล์ พลังงานแสงอาทิตย์ที่เป็นมิตรทั้งกับสิ่งแวดล้อมเพราะเป็นพลังงานสะอาด แถมบ้านเราก็มีแดดมากมายเหลือเฟือ ล่าสุดกระทรวงพลังงาน ส่งเสริมให้มีการติดตั้งโซล่าร์เซลล์และเปิดรับซื้อไฟฟ้า ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคไฟฟ้าที่คิดจะผันตัวเองไปเป็นผู้ขายไฟฟ้ากันอย่างมากมาย ภาพฝันกับความเป็นจริงของเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์จะเป็นอย่างไร ฉลาดซื้อจึงอาสาพาไปหาความรู้ต่อกับ ดร.เดชรัต สุขกำเนิด ภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำอย่างไรเราจึงจะลดค่าไฟฟ้าโดยหันมาพึ่งพาพลังงานทดแทนอย่างโซล่าร์เซลล์ ไม่ คือทำอย่างไรเราจึงจะลดการพึ่งพาค่าใช้จ่ายของเราจากที่มันพึ่งพาหลวงนะใช้คำกว้างๆ แบบนี้ หรือเราต้องจ่ายให้การไฟฟ้าเราจะลดลงได้อย่างไร อันนี้คือแนวคำถามมันมาแนวนี้ แต่แนวที่หลวงให้การสนับสนุนอยู่นั้นเป็นคนละคำถามเลยมันกลายเป็นว่าจะขายไฟให้หลวงไหม เพราะฉะนั้นระบบ Solar cell ปัจจุบันนั้น มันคือระบบที่ผลิตได้เท่าไรก็ขายให้หลวงไปหมด ขายให้หลวงไปหมดแล้วได้เท่าไรก็เป็นเงินกลับมาที่เราแล้วเราจะซื้อไฟเท่าไรก็เป็นเรื่องของเรามันไม่ได้สัมพันธ์กันโดยตรงกับไฟที่เราขายให้หลวงนึกอออกไหมครับ เพราะฉะนั้นสมมติบ้านผมไม่มีใครใช้ไฟเลย ผมจะติด Solar cell ได้ไหม ผมก็ติดได้เพราะผมติดเพื่อหารายได้ มันเป็นระบบ Solar cell เพื่อหารายได้ ไม่ใช่ Solar cell เพื่อลดรายจ่ายเพราะฉะนั้นมันเลยกลายเป็นคนละโจทย์กันเลย สมมติว่าเราไม่มีแอร์สักเครื่อง เราใช้ไฟน้อยมากแต่ถ้าเราอยากลงทุน อันที่จริงมันเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าหรือไม่ มันเลยไม่ได้ตั้งคำถามที่ว่าเป็นการประหยัดที่คุ้มค่าหรือไม่ มันเลยกลายเป็นคนละโจทย์กัน เพราะรัฐบาลไม่ให้การสนับสนุนผู้ที่ซื้อ Solar cell เพื่อที่จะลดค่าใช้จ่าย เขาสนใจคนขายให้เขามากกว่า สมมติคุณไปซื้อ Solar cell มาติดนะ แล้วปรากฏว่าคุณไม่ต้องใช้ไฟหลวงเลยสักหน่วยเดียว โอเคมันเป็นเรื่องของคุณ แต่ที่เขาช่วยอยู่นั้นคือคุณได้มาเท่าไรคุณขายให้หลวงคุณได้ 7 บาทต่อหน่วย เสร็จเรียบร้อยเวลาคุณซื้อไฟหลวงก็แล้วแต่ว่าค่าไฟของการไฟฟ้าในขณะนั้นมันราคาเท่าไร ปัจจุบันก็ 3.7 บาทต่อหน่วย เพราะฉะนั้นมันกลายเป็นคนละระบบความคิด มันเลยกลายเป็นว่าบ้านนี้มีคนอยู่เท่านี้ๆ มันไม่เกี่ยวนะ คุณมีเงินสัก 2 แสนไหมแล้วคุณอาจจะได้เงินสักประมาณ 6 หมื่นคุณจะขายไหม รัฐบาลเขาอยากจะได้รูปแบบหน่อย เขาต้องการติดบนหลังคา ความจริงคือตามคอนเซ็ปวางบนพื้นก็ได้ แต่รัฐบาลอยากได้ภาพเขาก็เลยบอกว่าต้องติดบนหลังคา โจทย์มันขึ้นอยู่กับ 2 อย่าง หนึ่งคือมีเงินลงทุน อันที่สองคือมีหลังคาใหญ่แค่นั้นเอง ถ้าเกิดคุณมีหลังคาใหญ่คุณก็ติดไป ถ้าคุณมีเงินลงทุนคุณก็ติดไป โดยที่ไม่ต้องเกี่ยวกับเรื่องการใช้ไฟเลย ทีนี้ถ้าเกิดถามว่าจะให้มันเกี่ยวมันก็มี 2 ประเด็นนะ มันเกี่ยวไม่ได้โดยตรงความหมายคือว่า เราก็ทำบัญชีของเราเองว่าเราเคยใช้เท่าไร จริงๆ มันใช้เท่าเดิมนะแต่ว่าเราขายได้เท่าไรแต่ที่ไม่ตรงคือถ้ามองเป็นตัวเงินตอนที่เราขายไปเราจะได้เงินมากกว่าตอนที่เราซื้อกลับมาซึ่งมันก็ชักแปลกๆ นะแต่เนื่องจากรัฐบาลให้การสนับสนุน เพราะฉะนั้นมองในแง่นี้มันไม่ใช่คำถาม คุณขายได้เท่าไรคุณขายไปเลยโดยไม่ต้องสนใจว่าใช้ไฟเท่าไร เพราะคุณทำขึ้นมาเพื่อต้องการจะขายคุณก็ขายให้ได้มากที่สุด ทำเท่าที่เงินคุณมี เท่าที่หลังคาคุณมีแล้วคุณก็ผลิตไปเลย สุดท้ายจะซื้อมาเท่าไรก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นก็ตอบได้ว่ามันเกี่ยวแต่ไม่โดยตรง อันนี้ต้องปรึกษากันแล้วว่าเราจะเขียนโพลไปทางไหน คือถ้าเขียนไปทางเดิมก็ได้แต่กลัวว่าคล้ายๆ กึ่งๆ ไม่จริงที่ถ้าคุณมีอย่างนี้แล้วคุณไปลงทุน Solar cell ก็ไม่ได้ถ้าพูดแบบสุดขั้วเลยนะถ้าคุณมีเงิน 2 แสนแล้วไปเช่าหลังคาใครก็ได้คุณก็ลงทุนได้ อย่างที่อาจารย์เล่าว่ามันไม่ใช่เหมือนภาพฝันที่บางคนคิด อย่างเช่นร้านกาแฟที่เชียงรายคือเขาไม่มีไฟฟ้าใช้เขาก็มีแผง Solar cell 8 แผงซึ่งใช้ได้จริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้มีอะไรเยอะ มีหลอดไฟ เครื่องชงกาแฟ พัดลม ซึ่งเขาก็ไม่ต้องจ่ายค่าไฟเลยสักบาทเดียว ถ้าพูดในระบบนี้นะกลายเป็นว่าเขาไม่ควรเอาไฟมาใช้ เขาควรขายเข้าระบบเพราะว่าเขาจะได้เงินเพิ่มอีก คือระบบของรัฐบาลมันพิสดารนะ กลายเป็นว่าวิธีคิดพึ่งพาตนเองเป็นเรื่องรองจากวิธีคิดที่หากำไร ซึ่งผมไม่ได้ว่าวิธีวิธีการหากำไรของรัฐฯ นี่มันเสียหายนะ ผมเสียดายวิธีคิดของคนที่จะพึ่งพาตนเอง รัฐบาลเขาไม่สนใจมันก็เหมือนเขาซื้อของ เขามีงบประมาณเขาก็ซื้อของกันไป จะเป็นใคร จะคิดอย่างไร เขาไม่สนใจขอให้จ่ายไฟเข้ามาสู่ระบบเขาได้ก็ได้ อย่างนี้ก็เหมือนกับไปเอื้อประโยชน์กับการขายแผง มันก็เป็นผลจากข้อเรียกร้องของเรานะ คือแต่ก่อนเขาทำแบบนี้มาประมาณ 4-5 ปีแล้ว แต่เขาเน้นเฉพาะรายใหญ่คนก็ด่ากันมากว่าทำไมไม่สนับสนุนบ้านเรือน เขาก็เลยมาเน้นบ้านเรือน แต่เน้นโดยใช้ระบบเดียวกับรายใหญ่โดยไม่สนใจว่าบ้านเรือนจะคิดอย่างไร มันก็เลยกลายเป็นว่าคุณจะติด Solar cell เพื่อจะขายไหม จริงๆ เราก็ปฏิบัติเช่นเดียวกันกับรายใหญ่เพียงแต่ว่าเราปฏิบัติในสากลที่ย่อลงมาเป็นหลังคาบ้านเราเท่านั้นเองเลยไม่ได้เป็นเหมือนร้านกาแฟที่พูดถึง ประเด็นต่อมาคือแล้วมันเอื้อกับการทำแผงไหม คือเรื่องที่รัฐบาลทำอยู่ที่ต่างประเทศเขาทำอยู่นะ แต่ฝั่งที่เขาทำคือผู้ที่ทำขายไอ้ที่เราคิดว่าทำขายเราก็ทำขายแต่ต่างประเทศเขามีการสนับสนุน อีกแบบหนึ่งที่ไม่ใช่ทำขายเขาก็สนับสนุนด้วย แต่ของเราประเภทที่สองจะไม่มี ต้องเคลียร์ก่อนว่าการสนับสนุนแบบนี้ไม่ใช่การสนับสนุนที่ผิดแต่ผมคิดว่าคนมีวิธีการจะช่วยเหลือ 2 วิธี วิธีที่ 1 คือลดของเราเอง อันที่ 2 คือขายไปเลย เพราะฉะนั้นควรช่วยทั้ง 2 วิธีแต่รัฐบาลเลือกเฉพาะเป็นการลงทุนขายเข้าระบบเท่านั้น อันต่อมาคือเรากำหนดขอบเขตของวันผมจำไม่ได้ว่าวันที่เท่าไรคือรับไม่เกิน 1 เดือนเองว่าให้มาสมัคร อันนี้คุณทำไปเพื่ออะไร ต่างประเทศไม่มีนะที่เขารับซื้อที่ 6.96 เขาก็จะประกาศเลยต่อจากนี้เป็นต้นไปถึงปีหน้าและปีถัดไป ถ้าคุณมาช้าก็ช่วยไม่ได้นะเหลือ 6.80 เขาก็ประกาศล่วงหน้าไปเลย เขาประกาศล่วงหน้าหลายปีคุณก็เลือกเอาเลยว่าคุณจะเข้าปีไหนแล้วแต่กำลังของคุณ แต่ว่าของเรารับซื้อแค่นี้ให้มาในเวลาเท่านี้ก็คืออยากได้ไหม 6.96 ถ้าอยากได้ให้ไปหาบริษัทที่ทำแผง บริษัทที่ทำแผงเค้าเป็นคนขายของเขาไม่สนใจหรอกว่าตอนนี้ราคาเท่าไร เขาก็ขึ้นราคาก่อนเพราะว่ามันขึ้นได้เต็มที่ แผงมันราคาเท่านี้คนที่ติดมันจะได้ราคาเท่าไรเขาก็ขึ้นราคาของเขาขึ้นมาเพราว่าทุกคนต้องรีบแล้ว เวลา 1 เดือนทุกคนรีบกันหัวขวิดเลย ผมคิดว่าวิธีนี้มันไม่ถูกแนวคิดที่ว่ามันต้องภายในเวลาเท่านี้ในที่สุดปรากฏว่าคนไทยด้วยความที่เราไม่คุ้นเคยคนจำนวนไม่น้อยก็เลยไม่เอาก็ได้ คือเงินมันก็ไม่ได้ดีขนาดว่ารถคันแรกที่ถ้าเราไม่เอาเราจะเสียสิทธิ คนไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยเขาก็เลยไม่ได้บ้านตามเป้าไม่รู้เลยว่าเขาจะเปิดรอบใหม่เมื่อไร ปัญหาของเมืองไทยมันเป็นอย่างนี้คุณไม่จำเป็นต้องมีรอบเวลาเลยคุณเปิดไปยาวๆ ไปเลย การที่เปิดสั้นๆ แบบนี้ผมเข้าใจว่าเป็นตลาดเปิดยาวๆ ไปเลยจะรีบทำไมคุณก็เช็คบริษัทนั้น บริษัทนี้แต่นี่ไม่มีเลยทุกคนต้องรีบหัวขวิดเลย ตอนนี้เขาขายไฟกันได้จริงใช่ไหม จริงครับเป็นนโยบายของรัฐ เขาพูดเลยในทางอ้อมว่าถ้าไม่ติดต่อบริษัทพวกนี้ทำเอกสารเองคุณอย่าหวังคือเขาไม่ได้ประกาศแบบนั้นนะแต่เป็นที่รู้กัน บริษัทที่ทำแผงเขาก็โฆษณาอย่างนั้น ลองไปทำเองได้แต่นานแน่ ผมก็เลยมีความรู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีอย่างที่ควรจะเป็น ให้บริษัททำเอกสารให้ไม่มีปัญหาแต่อย่าล็อคเรื่องวัน ติดเรื่องวันเรื่องเดียวเพราะว่าถ้าไม่ล็อคเรื่องวันคุณก็ไปหาได้หลายบริษัท การทำเอกสารก็เหมือนบริการเสริมพอคุณล็อคเรื่องวันการทำเอกสารมันกลายเป็นเงื่อนไขทำให้คนอื่นไปทำไม่ได้ก็ต้องเข้ากับบริษัทไป เพราะฉะนั้นโครงการนี้จะเห็นว่ากระแสไม่ค่อยดีเหมือนที่หวังเพราะมันเป็นปัญหาของรัฐบาลเอง อย่างนี้เราจะแนะนำคนที่เขาจะใช้พลังงานทดแทนอย่างไรดี แนะนำนักลงทุน ถ้าลงทุนขนาดนี้จะคุ้มหรือไม่คุ้มอย่างไร สมมติถ้าเราแนะนำคนอ่านไปอย่างที่เราอยากจะให้เป็น ขั้นที่ 1 คือ สนับสนุนให้เอา Solar cell มาเพื่อลดการใช้ในครัวเรือน ถามว่าลดอย่างไรก็คือลดง่ายๆ นะ ไฟแสงสว่างโดยเฉพาะส่วนที่อยู่ไกลบ้านค่าเดินสายไฟในกรุงเทพฯ เป็นหมื่นเลยแพงมาก ถ้าเราเอาแผง Solar cell เราเดินสายเองได้เลยเพราะมันเป็นไฟกระแสตรงแล้วมันติดอิสระ อันนี้ Solar cell อันนี้หลอดแค่นี้ ถ้าเราส่งเสริมลักษณะแบบนี้จะใช้ได้นะครับ ต่อมา Solar cellสำหรับเครื่องสูบน้ำ เครื่องสูบน้ำนี่กินไฟเยอะเลย ถ้าเรามี Solar cell อันหนึ่งแล้วเอาไว้ใช้ในการสูบน้ำ ปั๊มน้ำ รดน้ำต้นไม้อะไรประมาณนี้ ปัจจุบันบ้านผมถ้าต้องใช้น้ำประปามารดน้ำมันต้องใช้เครื่องสูบน้ำก็กินไฟอีก แต่ถ้าเราใช้ Solar cell เราก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องใช้ไฟฟ้าในการใช้เครื่องสูบน้ำ นี่คือสิ่งที่ทำได้ ถามว่าแล้วไอ้พวกนี้จะได้เยอะไหมคำตอบก็คือจริงๆ แล้วก็ไม่ถึงกับเยอะนะ Solar cell ที่ใช้ในบ้านเป็นเรื่องของกระแสตรงและกระแสสลับ ปัญหานี้เป็นปัญหาระดับพื้นฐานเหมือนยกตัวอย่างแบตเตอรี่มือถือเป็นกระแสตรงหรือกระแสสลับ เราใช้กระแสตรงแต่ว่าเวลาเราไปเสียบบางบ้านต้องทำออกมาเป็นบ้านกระแสตรงเหมือนกับมีมีปลั๊กอะไรที่เป็นกระแสตรงก็ต้องเป็นกระแสตรง ทีวีข้างในก็เป็นกระแสตรง คอมพิวเตอร์ข้างในก็เป็นกระแสตรง มีที่ไม่เป็นกระแสตรงก็มีตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ พัดลม ที่ไม่เป็นกระแสตรง อย่างอื่นถ้าไม่ใช่พวกเกี่ยวกับความร้อนเป็นกระแสตรงหมดเลย บ้านจะลดได้เยอะก็ต่อเมื่อเราเปลี่ยนระบบไฟฟ้าให้มันเป็นกระแสตรง แสงสว่างก็เป็นกระแสตรง เป็นกระแสสลับที่สุดท้ายเปลี่ยนตรงขั้วหลอดให้เป็นกระแสตรงถ้าเป็นหลอดไฟแบบนี้เป็นกระแสตรงหมดแล้ว ในระยะยาวต้องมีการสร้างบ้านที่มีกระแสตรงในขณะเดียวกันก็อาจมีกระแสสลับเพียงแต่ว่าเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าบางส่วนเท่านั้นเองที่เสียบกระแสสลับ ถ้าแบบนั้น Solar cell จะได้ประโยชน์เยอะเลย ถ้าเป็นระบบนี้เราก็ต้องมาแปลงอีกเหมือนเราจะเปิดทีวี บ้านเรามี Solar cell เราก็ต้องเอา Solar cell ไปแปลงเป็นกระแสสลับแล้วเอาปลั๊กไฟทีวีไปเสียบไว้มันก็เป็นกระแสสลับเข้ามาแล้ว พอมันเข้ามาก็แปลงให้เป็นกระแสตรงอีก พวกบริษัทขายแผง Solar cell เขาก็ไม่ได้แนะนำนะว่าบ้านใหม่จะติดแผงควรต้องต่อไฟอย่างไร ไม่ต้องแนะนำเพียงแต่ว่าคุณต้องเชื่อมต่อระบบไปเลย พูดง่ายๆ คือเขาไม่ได้ทำเหมือนมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคทำ มันเหมือนกับคุณมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้ามาติดไว้ที่บ้านเฉยๆ แล้วคุณก็ขายไฟฟ้าเข้าระบบไปทุนที่เหลือก็ยังเป็นเหมือนเดิมทุกประการ ก่อนหน้าที่เขาจะเปิดรับซื้อมีบ้านที่เขาติดในกรณีอย่างนั้นคือเขาติดเพื่อจะลดการใช้ของเขาแต่มีบางบ้านที่เขาติดเพราะไม่ได้รับการสนับสนุนมันก็ลงทุนแพง อย่างมูลนิธิฯ ติดไปแล้วก็ซื้อไฟน้อยลงก็มีจำนวนหนึ่งที่เขาใช้อยู่ พอเขารับซื้อแบบนี้ทุกอย่างก็เปลี่ยนหมดคือเราไม่ต้องสนใจแล้วว่าเราจะใช้อะไร เราก็ขายไปส่วนลดของเราก็ลดรายจ่ายไม่เกี่ยวกับรายได้ที่อยู่บนหลังคา คนที่จะติดได้ก็ต้องมีเงินนอนรอ 2 แสนโดยประมาณ 2 แสนนี้จริงๆ แล้วถ้าเทียบกับการใช้ไฟฟ้าในบ้านก็ประมาณนั้นเหมือนกัน ถ้าสมมติเราทำเพื่อที่จะใช้เองในบ้านประมาณ 2 แสนนี้ก็ถือว่าน่าจะพอได้เพราะก็ต้องทำเชื่อมกับระบบอีกอยู่ดี เพราะบางช่วงที่ไม่มีแสงแดดเราก็ต้องใช้จากระบบ ถ้าช่วงที่แดดเยอะเกินแต่เราไม่ได้อยู่บ้านเราก็ขายให้กับระบบเพราะฉะนั้นในช่วง 2 แสนก็ประมาณ 3 กิโลวัตต์นั้นก็เพียงพอสำหรับบ้านซึ่งไม่ได้ใช้แอร์ ถ้าใช้แอร์ก็ต้องดูว่าเครื่องใหญ่แค่ไหน มีกี่เครื่อง จำนวนคนไม่สำคัญเท่ากับแอร์นะครับเพราะว่าแอร์ส่วนใหญ่กินไฟอย่างน้อยเกือบครึ่งหนึ่งของไฟฟ้าในบ้าน เพราะฉะนั้นถ้ามีแอร์ปุ๊บโจทย์ก็จะเป็นอีกโจทย์หนึ่งเลย แอร์นั้นจริงๆแล้ว 2 กิโลวัตต์ก็น่าจะพอ ส่วนใหญ่ตอนนี้ที่เขาติดๆกันก็ประมาณ 3 กิโลวัตต์แต่มันมักไม่ใช่เป็นโจทย์ในเรื่องการใช้ แต่มันเป็นโจทย์ว่า 2 แสนคนชนชั้นกลางที่รายได้ดีหน่อยก็พอจะลงทุนแต่ถ้าจะลงทุน 4 แสน 5 แสนก็ได้หมด ส่วนถ้าเป็นต่างจังหวัดที่เราทำงานด้วยที่เป็นเกษตรกรจริงๆ นั้นเขาใช้เยอะก็คือเครื่องสูบน้ำเพื่อการเกษตร แต่การสูบน้ำเพื่อการเกษตรกับการสูบน้ำของคนกรุงเทพฯมันต่างกันนะ การสูบน้ำเพื่อการเกษตรมันไม่ใช้กำลังเยอะเขาต้องการแค่ปั๊มยกขึ้นไปที่สูงไปเก็บไว้ พอตอนเช้ากับตอนเย็นที่เขาเปิดน้ำเขาก็จะให้น้ำมันไหลลงมาเพื่อให้มันมีแรงดันไปตามระบบชลประทานของเขาจึงง่ายมากที่จะทำ Solar cell ที่ไม่ต้องใช้กำลังที่ไม่ต้องใช้กำลัง Solar cell เยอะก็เหมือนกับไม่ต้องลงทุนเยอะ อีกอันหนึ่งที่ผมคิดว่าจำเป็นโดยปริยายคืออนาคตในสถานะเครื่องมือช่วยเรื่องของภัยพิบัติก็น่าจะใช้อันนี้ได้เพียงแต่ว่าเรายังไม่มีเซ็ตสำเร็จรูปว่าบ้าน 1 หลังชาร์จแบตฯ ได้อะไรประมาณนี้ อยู่ที่ถูกน้ำท่วมมันควรจะเป็นอย่างไร เครื่องปั๊มน้ำบ้านถ้าขายพ่วงแบบนี้แม้จะเป็นการขายเข้าระบบ แต่ถ้ามีตรงนี้ได้ถ้าถึงวันนั้นคุณจะขายเข้าระบบทำไม ไฟจากระบบไม่จ่ายมาคุณก็ไม่ต้องขายเข้าระบบคุณก็ตัดใช้ในบ้านคุณ ในวันที่น้ำท่วมถ้าคุณยังขายเข้าระบบแล้วระบบเขากลัวน้ำท่วมเกิดตัดไฟหรือระบบเกิดล่มคุณก็ต้องตัดไฟที่คุณขายให้มันมาลงที่บ้าน ทีนี้เรามีอุปกรณ์เสริมถ้าเราทำลักษณะแบบนี้คนที่อยู่บ้านก็จะใช้ประโยชน์ได้ เราไม่ได้เอาความคิดชุดนี้ไปร่วมด้วยเราก็จะใช้ความคิดว่าขายเพื่อไปเอาเงินมาอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วการมี Solar cell มันแปลว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นมันจะอย่างนี้ได้ แต่คุณต้องแนะนำอย่างนี้ติดต่อกับเร้าเตอร์ได้เลย ถ้าเกิดเหตุอะไรเกิดขึ้นคุณก็สั่งอินเตอร์เน็ตได้เลยโดยที่คุณไม่ต้องไปพึ่งหรือมันมีอะไรสักอย่าง ผมไม่ได้เชี่ยวชาญการสื่อสารนะแต่ว่าคุณจะสื่อสารได้แน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าคุณมีแผง Solar cell แบบนี้เขาเรียกคล้ายๆตัว Hub ของ Wifi ถ้าคุณขายคอนเซ็ปต์แบบนี้มันจะช่วยการใช้มันไปได้ดีกว่าการมองเรื่องการลงทุนอย่างเดียว
สำหรับสมาชิก >ผู้ผลิตเองก็ต้องมีจริยธรรมการผลิตอยู่แล้ว ของการขายอยู่แล้วว่า จะต้องไม่ขายสิ่งที่เป็นพิษให้แก่เด็ก เด็กใช้แล้วโง่ เอาไปทาบ้าน เด็กอยู่ในบ้าน เด็กโง่ ผู้ผลิตที่ไหนเขาไม่อยากทำให้เด็กไทยโง่และโง่กันเป็นพันๆคน ใช่ไหม (หัวเราะ) รศ. นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก รพ.รามาธิบดี คุณหมอด้านเด็ก ที่เมื่อพูดถึงเรื่องอุบัติเหตุและความปลอดภัยต่างๆ ในเด็กเล็ก จะต้องมีชื่อท่านเป็นมือวางอันดับต้นๆ ของประเทศ ..นั่นคือบทบาทในเรื่องของการทำงานในปัจจุบัน ตอนเด็กๆ อาจารย์สนใจเรื่องการคุ้มครองสิทธิไหมคะ “ ความจริงแล้วผมตรงกันข้ามเลยนะ ตอนเด็กนี่ผมเป็นเด็กที่ตัวเล็ก ตัวผอม ตัวเล็กหัวโต แล้ว เรียนหนังสือ ส่วนใหญ่ก็จะยอมหมด สมัยก่อนการศึกษาเราเป็นรูปแบบสมัยก่อนนะ ครูจะดุมาก ถือไม้เรียวตี นักเรียนก็จะเงียบไม่มีปากมีเสียง เราเป็นคนหนึ่งที่เงียบ เรายังเห็นเพื่อนเราตั้งหลายคนเถียงเก่งก็มี ใช่ไหม ขึ้นมาสู้กับคุณครู ไม่ได้สู้ในลักษณะความรุนแรงนะ แต่ว่าเถียง แล้วก็บอกว่าผมไม่ผิด เพราะเหตุผลๆ นี้ แต่เราเป็นคนหนึ่งที่ยอมตลอดอะไรก็ได้ เราไม่ผิด เขาว่าผิดก็ผิด ก็ไม่เป็นไร ผิดก็ผิด มีอยู่ครั้งเดียวเท่าที่จำได้มีอยู่ครั้งเดียว ตอนนั้นอาจจะเป็นเพราะทำตามผู้ใหญ่ จำได้ว่าคุณครูประท้วง สมัยนั้นเดินขบวนประท้วงได้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะซัก ป.3 – ป.4 ครูไปประท้วง ผู้อำนวยการอยู่นอกโรงเรียน และคุณครูฝากเราที่เป็นหัวหน้าห้อง คุณครูฝากว่าให้เราคุมเพื่อนๆ อย่าให้วุ่นวาย พอไม่มีคุณครูดูแล เพื่อนๆ เลยพูดคุยกันเสียงดัง เราก็เลยต้องให้ทุกคนอยู่ในความสงบเพราะว่าคุณครูกำลังเดือดร้อน ไปประท้วงเรื่องเงินเดือนอยู่และขึ้นมาแบบเสียงดังกับเพื่อนๆ ถือไม้เรียวเลียนแบบคุณครู เคาะโต๊ะแล้วตะโกนให้เพื่อนๆ เงียบอยู่ในระเบียบ เห็นจะมีอยู่ครั้งเดียว นอกนั้นก็รู้สึกจะเป็นเด็กหงอๆ ตลอด จากเมื่อกี้ที่เล่ามันก็เป็นชั้นประถมนะ พอมาชั้นมัธยมค่อยๆ สะสมเรื่องของความกล้าหรือการแสดงออกมาก ขึ้น ว่าตอนอยู่มัธยมมาเข้าเรียนสวนกุหลาบแล้วเริ่มเห็นการแสดงออกของกิจกรรมนักเรียน ตั้งแต่สมัยก่อนตุลาฯ เห็นนักเรียนที่พยายามจะออกไปเดินขบวนประท้วงแล้วคุณครูห้าม คุณครูปิดประตูรั้วและนักเรียนก็พังประตูรั้ว เพื่อที่จะออกไปเดินขบวนให้ได้ คุณครูบอกว่าออกไปเสียชื่อโรงเรียน นักเรียนถอดเสื้อทิ้งไว้หน้าโรงเรียนกันเลย แล้วออกไปกันเลย เราได้เห็นรุ่นพี่ปฏิบัติกันก็เริ่มสะสมความสนใจในสิทธิของพวกเรากันเอง ของนักเรียนเอง แล้วการแสดงออกที่ไม่เกินไปนะ แต่ว่ามีเหตุมีผล คำนึงถึงการละเมิดสิทธิไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นผู้ใหญ่เป็นอะไรก็ตามแต่ ถ้าหากเป็นการละเมิดสิทธิ เราควรจะปกป้องทั้งของตัวเราและของชุมชนด้วยนะ ทำไมอาจารย์ถึงเลือกเรียนหมอคะ ต้องยอมรับว่าไม่ได้เป็นความสนใจโดยตรง เพราะสมัยก่อนนี้มีคนเรียนหนังสือที่เขาเรียนเก่งๆ ก็ เรียนหมอกัน ผู้ปกครองจะให้ความสนใจลูกเรียนหมอด้วย โดยตัวเราเองไม่ได้สนใจโดยตรงนะ แต่ไม่ได้รังเกียจอะไร รู้สึกว่ามันน่าสนใจ แต่เราไม่รู้ว่าเรียนแล้วเป็นอย่างไร รู้แต่ว่าเรียนแล้วต้องมารักษาคน มีความสนใจโดยตรงในการรักษาโรคให้กับคนอื่น รู้สึกว่าเป็นวิชาชีพที่ดี แล้วมีพี่ๆ ที่มาเรียนกันมาก่อนแล้ว 2 คนแล้ว ก็เลยมาสอบกับเขาด้วย พอสอบได้ก็มาเรียน แต่พอมาเรียนแล้วรู้สึกว่ามันเป็นวิชาชีพที่ดีนะ มีทั้งวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์อยู่ในตัวเดียวกัน ถ้าเราชอบงานทางด้านวิทยาศาสตร์ด้านลึก เราก็เป็นหมอได้ ชอบด้านสังคมด้วย ก็เป็นหมอได้ แต่ท่าจะให้ดีควรจะสนใจทั้งสองด้าน ใช้ความรู้ทักษะสมดุลของทางด้านวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ ถ้าหมอที่สนใจด้านวิทยาศาสตร์ ไม่สนใจด้านสังคมเลย เชื่อว่าช่วยกันได้ส่วนหนึ่ง แต่ไม่สามารถที่จะผลักดันได้ทั้งขบวนการแพทย์ให้เดินหน้าได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นจะต้องมีหมอที่สนใจด้านสังคมศาสตร์มาสมดุลกันหรือในตัวคนๆ เดียวกัน คุณมีความสนใจทั้งสองได้ งานถึงจะดำเนิน ได้ใช้ความรู้ทั้ง 2 ด้านมาพัฒนางานเรื่องเด็ก เรื่องความปลอดภัยอันนี้ด้วย ใช่ งานในได้ความปลอดภัย ก็เห็นได้ชัดเลยว่า การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์มันมีความสำคัญมาก ตั้งแต่ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์การแพทย์หรือวิทยาศาสตร์พื้นฐาน บางเรื่อง เช่น เรื่องอุบัติเหตุรถยนต์นั้น อาจจะต้องมีความสนใจได้ฟิสิกส์ ด้านแรงกล อีกหลายด้าน ด้านมลพิษนี่ก็ต้องสนใจเรื่องทางด้านเคมี เรื่องวิทยาศาสตร์การแพทย์ทางด้านเคมี พวกนี้เป็นต้น เวลาจะใช้ประโยชน์นำไปสู่การป้องกันว่า ผมต้องไปสร้างผลิตภัณฑ์สู้รบปรบมือกับความเข้าใจของประชาชนเอง ความเข้าใจของผู้ผลิต ต้องไปออกนโยบายกฎหมายควบคุม ต้องไปคำนึงถึงว่า ทำเรื่องนี้แล้วเศรษฐกิจของประเทศจะหยุดชะงักงันหรือเปล่า และมีผลต่อเรื่องนู้นเรื่องนี้หรือเปล่า จะเห็นว่า เวลาจะนำเอาความรู้ทางการแพทย์ไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในสังคม มันไม่ง่ายนะ มันต้องเข้าใจ ทั้งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม ต้องปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับภาวะทางเศรษฐกิจทางสังคม เพื่อประชาชนจะนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องต่อไป นั่นถือว่าเป็นงานที่ต้องใช้ความรู้ทั้งสองด้านเป็นจริงๆ ด้วย จุดเริ่มต้นของศูนย์ฯ มาได้อย่างไรคะ เริ่มต้นที่เราสนใจเรื่องความปลอดภัยในเด็กเพราะว่า ผมย้ายมาอยู่จากโรงงานต่างจังหวัด จังหวัดน่าน ลงมาอยู่หน่วยเวชศาสตร์ผู้ป่วยนอก เด็กและวัยรุ่นของภาควิชาพยาบาลเวชศาสตร์ทำงานโรงพยาบาลผู้ดี ซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ ซึ่งปกติ โรงเรียนแพทย์นี่ต้องพยายามจะหาความรู้ที่จะไปชี้นำสังคม เพราะฉะนั้นนอกจากการดูแลผู้ป่วยเด็กที่ห้องฉุกเฉินและที่ผู้ป่วยนอก เราจะทำวิจัยสุขภาพเด็ก เพื่อมาวิเคราะห์กันในหน่วยว่า อะไรจะช่วยให้ทำการตายของเด็กลดลง และพบว่าอุบัติเหตุ เป็นเหตุที่ทำให้เด็กเสียชีวิตร้อยละ 40 เมื่อสัก 10 กว่าปีที่แล้ว เป็นเด็กที่อายุเกินกว่า 1 ขวบขึ้นไปนะ ซึ่งก็แปลกมากเลยทำงานกันไม่มีใครสนใจเรื่องอุบัติเหตุ มีสนใจแต่ในเชิงรักษา คือหมอศัลยกรรมผ่าตัดเวลาเด็กบาดเจ็บมา แต่การป้องกันเรื่องอื่นเราทำหมดเลย เราฉีดวัคซีนป้องกันโรค เราป้องกันนู่น นี่ การขาดอาหาร เราชั่งน้ำหนัก เราวัดส่วนสูง แต่เราไม่ป้องกันอุบัติเหตุเลย ทั้งที่เป็นเหตุให้เด็กเสียชีวิตกว่าร้อยละ 40 ของเด็ก เรื่องไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ เราสนใจมาก แต่ปรากฏว่าเด็กตายนิดเดียว เด็กตายจากอุบัติเหตุ 100 คน ใน 100 คนนี่เด็กตาย 40 คน แต่เราไม่ทำอะไรเลย นั่นเป็นที่มีของการจัดตั้งศูนย์วิจัยเพื่อป้องกันในเด็ก แล้วก็เริ่มศึกษานั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน และในการแก้ไขปัญหาพอเราศึกษาไป เราพบว่าในการแก้ไขปัญหาหลักการที่สำคัญที่สุดก็คือ การทำงานร่วมกัน ของเครือข่ายสหวิชาชีพ และการผลักดันในแต่ละเรื่องให้ครบทุกมิติ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วทำไม่ได้ เช่น เด็กเสียชีวิตด้วยมอเตอร์ไซค์ ปัญหาจะลดลงถ้าเด็กใส่หมวกกันน็อค หรือลดการขับขี่ที่มีความเสี่ยง เช่น ขับขี่ก่อนวัย ลดการขับขี่ที่ผู้ขับขี่ไม่พร้อม เช่น การเมาสุรา ทำถนนให้ปลอดภัย มีการแยกเลนมอเตอร์ไซค์ เลนรถยนต์เป็นต้น ทั้งหมดนี้ที่พูดมา 4-5 ข้อของทั้งหมด จะเห็นว่ามันไม่จบด้วยเรื่องการคำนวณแรงที่กระทำต่อศีรษะเด็กอย่างเดียว แล้วกว่าจะเปลี่ยนแปลงให้คนใช้หมวกกันน็อค กว่าจะมีกฎหมายหมวกกันน็อค จะให้คนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีไม่ขับมอเตอร์ไซค์ กว่าจะให้ถนนทุกหนทางแยกผู้ขับขี่ของยานพาหนะที่มีความเสี่ยงสูงออกจากกว่ายานพาหนะทั่วไป ผมว่าเรื่องทั้งหมดนี้ยากกว่าทุกเรื่องเลย รับรองว่าได้เปลี่ยนแปลงทางวิชาด้านการแพทย์แน่นอน ด้วยวิชาการหรือวิชาชีพอื่น อีกหลายวิชาชีพ เพราะนั้นการทำงานร่วมกันเป็นหัวใจ ที่สุดเลย ทุกเรื่องจะเป็นแบบนี้หมดไม่เว้นเรื่องอุบัติเหตุ ประเด็นหลักที่ทำในปีนี้ ศูนย์วิจัยเราทำเรื่องหลักอยู่ ในเรื่องอุบัติเหตุ เป็นเรื่องของอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ของเด็กวัยเรียน ซึ่งขับขี่ก่อนวัย วัยเด็กเล็กนี่เราทำมาพักหนึ่งแล้ว มีหน่วยงานรับเรื่องต่อไปเยอะ เรื่องการจมน้ำของเด็กวัยเรียนเช่นกัน เด็กวัยเล็กนี่ อัตราการจมน้ำตาย นี่ลดลงตั้งวันละ 38 นะ นอกจาก 2 เรื่องนี้ เราพบว่าเรื่องสิ่งแวดล้อม ภัยจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก เป็นเรื่องที่มีความสำคัญขึ้นมาเลย ภัยจากสิ่งแวดล้อมก็ไปปะปนกับเรื่องหลายเรื่องเลย เรื่องผลิตภัณฑ์ที่ออกมาอยู่รอบตัวเด็ก และก่อให้เกิดมลพิษหลายอย่าง เราไปพบว่ามีเด็กชัก สืบเนื่องมาจากการอาศัยอยู่ใกล้โรงงาน ซึ่งเป็นโรงงานรีไซเคิลแล้วก็เจาะเลือดเด็กพบว่ามีสารตะกั่วสูงถึง 16 เท่าของค่าปกติของค่าที่ยอมรับได้นะ แล้วศึกษาต่อในโรงเรียนของเด็กในบริเวณนั้น พบว่า ครึ่งหนึ่งของโรงเรียนเลย 70 กว่าคนจาก 100 กว่าคน ตะกั่วในเลือดสูงในอัตราที่เขาไม่ยอมรับ อัตราเป็นพิษ ปรากฏว่าไปดูตามบ้านของเด็กเหล่านี้ ว่าไม่ได้เกิดจากมลพิษของโรงงานอย่างเดียว แต่เกิดจากสีทาบ้านด้วย สีทาบ้านของเด็กเหล่านี้พบว่ามีการใช้สีที่มีสารตะกั่วสูงในการทาบ้านด้วย อาจจะมีส่วนทั้งตัวโรงงาน สิ่งแวดล้อม ทั้งตัวสีทาบ้าน เมื่อก่อนหน้านี้ 2-3 ปี เราเคยศึกษาศูนย์เด็กเล็ก พบว่าศูนย์เด็กเล็กที่ใช้สีน้ำมันทา ครึ่งหนึ่งของศูนย์เด็กเล็กเหล่านี้มีสารตะกั่วสูง อันนี้สอดคล้องกับการศึกษาสีน้ำมันในตลาดของมูลนิธิบูรณะนิเวศ ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่สร้างด้วยสารพิษทั้งหลายที่อยู่รอบตัวเด็ก รวมทั้งสิ่งแวดล้อมที่ปล่อยมลภาวะที่เป็นพิษต่อเด็ก อันนี้เป็นประเด็นที่เราคิดว่าเป็นเรื่องความปลอดภัยของเด็ก แล้วเข้ามาเป็นประเด็นในปีนี้ที่เราศึกษา นอกจากในกรณีสมุทรสาครที่เล่าให้ฟัง จากการเจอผู้ป่วยหนึ่งรายที่เข้ามาที่โรงพยาบาล แล้วเราลงไปศึกษาสิ่งแวดล้อมรอบผู้ป่วยหนึ่งรายนั้น แล้วศึกษาเด็กคนอื่นในพื้นที่นั้น ไปเจอเด็ก 70 คนใน 156 คน เราไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เรารู้สึกว่า ปัญหาเรื่องสารตะกั่วในเลือดของเด็ก ซึ่งส่งผลให้เด็กปัญญาอ่อน มีผลอันตรายต่อสมองเด็ก เรานึกว่ามันหมดไปแล้ว ตั้งแต่เราเปลี่ยนน้ำมัน ยุคที่มีตะกั่วในน้ำมันมาเป็นน้ำมันไร้สารตะกั่ว ปรากฏว่า ยังเป็นปัญหาอยู่ กำลังสงสัยว่าเมืองที่คล้ายเมืองสมุทรสาคร คือเมืองที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่อุตสาหกรรมมากขึ้น เด็กเหล่านี้จะมีอันตรายจากพิษสารตะกั่วหรือเปล่า ที่นี้ถ้าเป็นจากสีทาบ้าน แสดงว่ามันอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม หมายถึงว่าเมืองที่เป็นพื้นที่สีเขียว แต่บ้านเราดันใช้สีน้ำมันไปทา แล้วสีน้ำมันเหล่านั้นมีสารตะกั่วสูงนั้น ต่อให้อยู่ในพื้นที่สีเขียวก็มีสารตะกั่วเป็นพิษหรือเปล่า ดังนั้นการควบคุมไม่ใช่การเพ่งเล็งไปที่พื้นที่ที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเดียว แต่ต้องไปเพ่งเล็งที่ตัวผลิตภัณฑ์คือ สีทาบ้านที่มีสีน้ำมันอยู่นั้น แล้วกระจายไปทุกบ้านด้วย ต้องไปคุมที่ข้างบน การผลิตสีทาบ้านหรือเปล่า อันนี้เป็นประเด็นที่ตั้งขึ้นมา เราก็ออกไปศึกษาพื้นที่สีเขียวของจังหวัดสมุทรสาคร เช่น กระทุ่มแบน เราลงไปศึกษาพื้นที่โรงงานจังหวัดระยอง พื้นที่สีเขียวของจังหวัดระยองเช่น เขาชำเหมา ไปฉะเชิงเทราเก็บพื้นที่สีเขียวและพื้นที่โรงงานเช่นเดียวกัน แล้วมาเปรียบเทียบกันดูว่าเป็นอย่างไร ซึ่งผลการศึกษาคงลงในนิตยสารฉลาดซื้อนี่ละ ทิศทางในการรณรงค์เป็นอย่างไรบ้าง มีอยู่ 2 ประเด็น เรื่องสี เรื่องของเล่น เรื่องเครื่องเล่นสนาม เราก็ว่าส่วนหลักใหญ่มาจากสี เพราะนั้นจะมีเครือข่ายที่เกิดขึ้น มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิบูรณะนิเวศ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรม สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค นี่ก็เป็นเครือข่ายที่สำคัญ อีกอันหนึ่งก็เป็นภาคเอกชน บริษัทผลิตสี จะมีหน่วยงานวิชาการข้างเคียงเช่น วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย กลุ่มสถาปนิกทั้งหลาย ซึ่งอาจจะมีความใกล้ชิดกับผลิตภัณฑ์สี หรืออาจจะเป็นเครือข่ายที่มีการร้องทุกข์ได้นะ เรามีข้อเสนออย่างนี้ เรื่องของผลิตภัณฑ์นะ เนื่องจากในต่างประเทศเขา ได้สนใจเรื่องนี้ ในอเมริกาสนใจเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 1972 มีการออกกฎหมายเรื่องของสารตะกั่วในสี มีการให้คำแนะนำประชาชนและมีการเจาะเลือดเด็กตั้งแต่เล็กๆ เลย เป็นการเจาะแบบเพื่อการตรวจสุขภาพทั่วไป แล้วมีการ subsidies คือให้ชาวบ้านสนใจเรื่องของการกำจัดสารตะกั่วในสีรอบบ้านของตนเอง เมื่อพบว่ามีความเสี่ยงให้รายงานสาธารณะสุขในพื้นที่ในการตรวจหาสารตะกั่วในสี ซึ่งพวกนี้รัฐบาลก็ subsidies คือจ่ายเงินให้ ถ้าเราจะเป็นต้องเปลี่ยนสี ต้องมีการขูดลอกด้วยทีม เขาเรียกว่าทีมกำจัดสารตะกั่ว คือไปขูดลอกอย่างถูกวิธีไม่ทำให้ตะกั่วกระจายสู่ชุมชน แล้วก็ทาสีใหม่โดยที่รัฐบาลมีส่วนจ่ายเพิ่มให้ศูนย์ บ้านเรานั้นไม่ได้สนใจตรงนี้เลยที่ผ่านมา ข้อเรียกร้อง ข้อที่ 1 พิจารณาเรื่องการออกมาตรฐานสีและมีการกำหนดสารตะกั่วไม่ให้เกินเท่าไหร่ในมาตรฐานสีอย่างน้อยให้เป็นไปตามสากล อันนี้คิดว่าคงต้องใช้เวลานานมาก เมื่อกำหนดมาตรฐานแล้วก็ประกาศเป็นกฎหมาย ใช้เวลานาน ข้อเสนอข้อที่ 2 เราคิดว่าน่าจะทำได้ทันที ระหว่างข้อแรกกำลังดำเนินการอยู่ เราทำข้อที่ 2 ไปเลย คือการที่ผู้ผลิตสี บ่งบอกชัดเจนว่าสีกระป๋องนี้มีสารตะกั่ว ไม่ควรใช้ทาภายใน มีสารตะกั่วเท่าไหร่ (...) แล้วไม่ควรใช้ทาอาคารภายใน อย่างน้อยให้พี่เลี้ยง คุณครูศูนย์เด็กเล็ก บ้านเรือนเขารู้ ทำไมเขาชอบเอาสีน้ำมันมาทาเพราะว่า เวลาเด็กขีดเขียนลบออกง่าย โดยเฉพาะศูนย์เด็กเล็ก เป็นสีน้ำมันที่ใช้ทาแบบสีสันสดใสใช่ไหมคะ ใช่ สีสันสดใสด้วย ซึ่งอันนี้มีความเสี่ยง เพราะนั้นทำยังไงผู้บริโภคจะเข้าใจยาก รับรู้ยาก จะไปติดฉลากเขียว ให้เขาเลือกเฉพาะฉลากเขียว เขาก็อาจจะไม่เข้าใจว่า วันนี้เขาอยากซื้อของดีซื้อฉลากเขียว แต่พรุ่งนี้เขาอยากซื้อของธรรมดา เขาไม่ได้เข้าใจว่ามันเป็นของไม่ดีนะ แต่เข้าใจว่าเป็นของธรรมดา ใช้ได้ เขาก็ซื้อ เช่นเดียวผู้ผลิต เขาว่า เวลาใช้สีน้ำมันของคุณนั้นมีสารตะกั่วสูง เขาบอกว่า “ไม่ได้ใช้ทาภายในนี่นา ผู้ใช้ใช้ผิดเอง โทษเขาไม่ได้” แต่พอไปดูข้างกระป๋องเห็นเขียนชัดเลยว่า “ใช้ทาได้ทั้งอาคารภายในและภายนอก” เป็นต้นนะ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าผู้ผลิตเอง ควรจะระบุชัดเจนว่า มีสารตะกั่วสูงหรือไม่สูง ถ้าสูงไม่ควรใช้ทาอาคารภายใน อย่างนี้เป็นต้น ระบุให้ชัดเจนไปเลย และต้องการให้ สคบ. บังคับให้ทำฉลากเพิ่มขึ้นทันที ส่วนเอาตะกั่วออกจากสีค่อยว่ากัน ความเสี่ยงที่มันอยู่รอบตัว เราจะป้องกันหรือว่าเราจะมีความพร้อมตรงไหน อย่างไรบ้าง ความเสี่ยงจากอุบัติเหตุหรือว่าสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ สารพิษรอบตัวเด็ก มันมีความสัมพันธ์กับบุคคล กับพฤติกรรมบุคคล แล้วก็ตัวสิ่งแวดล้อม เช่น สีนั้น อาจจะเกิดจาก มันหลุดลอก เด็กก็เอามือไปเล่นไปถูไปจับ ไม่ได้ล้างมือ เวลากินผลเสียเข้าสู่ร่างกาย การป้องกันก็เกิดได้จากการล้างมือบ่อยๆ เป็นต้น กวาดม็อบพื้น เรารู้ว่าเวลากวาดมันกระจายเราใช้ผ้าชุบน้ำม็อบพื้นเช็ดเอา เป็นต้น ไม่กวาด เช็ดเอา แต่ถ้าบ้านคุณมีสิทธิหรือเป็นผงๆ อยู่ตามขอบมุมอยู่เรื่อยนะ พวกนี้เป็นการแก้ปัญหาที่บุคคล อันนี้ประชาชนต้องรู้ ต้องแก้ไข ถ้ามากับเสื้อผ้าคุณพ่อที่ไปทำงานโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น โรงงานแบตเตอรี่ โรงงานรีไซเคิล อะไรพวกนี้เป็นต้น ถ้าคุณพ่อมาถึงบ้านก็ต้องเปลี่ยนเสื้อ ถอดเสื้อที่ทำงานออก อย่าใส่ปะปนเข้ามาในบ้าน ใส่เสื้อใหม่ ดูแลความสะอาดไปแล้ว ที่นี้เป็นบุคคล หลักการที่ 2 เป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม คือ ตัวสี ตัวสีถ้าเราไม่เลือกสีที่มีสารตะกั่วมาทา อันนี้แน่นอนลูกเราปลอดภัยนะ เช่นเดียวกับ ไม่นั่งมอเตอร์ไซค์ เราไม่มีบาดเจ็บจากมอเตอร์ไซค์ เพราะนั้นการป้องกันนอกจากบุคคลแล้วมาดูเรื่องของผลิตภัณฑ์ เราเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีเลย ที่นี้ในกรณีผลิตภัณฑ์นั้นเลือกไม่ได้ เพราะว่าถ้าเลือกของดีก็แพง หรือว่าของไม่ดีมันก็ไม่เขียนให้เรารู้ มันเขียนข้างกระป๋องแต่ว่า ใช้ทาอาคารภายในก็ได้ภายนอกก็ได้ ไม่ยอมบอกเราว่ามีสารตะกั่วสูง อย่างนี้พ่อแม่ไม่รู้จะเลือกยังไง แต่ว่าพ่อแม่อย่าไปหยุดแค่นั้น เพราะอย่างไรเราควรต้องรู้ว่ามันมีหน่วยงานคุมอยู่ แต่หน่วยงานคุมอีท่าไหนมันออกมาแบบนี้ เพราะฉะนั้นก็ต้องขึ้นไปเคลื่อนไหวให้หน่วยงานที่เราต้องรับผิดชอบนั้น เขารู้ว่า มันมีอันตรายอย่างนี้อยู่นะ คุณจะแก้ยังไง ผู้ผลิตเองก็เป็นผู้ผลิตสีที่เป็นโรงงานใหญ่ โรงงานโตทั้งหลาย ผู้ผลิตเองต้องมีจริยธรรมการผลิตอยู่แล้ว ของการขายอยู่แล้วว่า จะต้องไม่ขายสิ่งที่เป็นพิษให้แก่เด็ก เด็กใช้แล้วโง่ เอาไปทาบ้าน เด็กอยู่ในบ้าน เด็กโง่ ผู้ผลิตที่ไหนเขาไม่อยากทำให้เด็กไทยโง่และโง่กันเป็นพันๆ คน ใช่ไหม? (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น คุณพ่อแม่เคลื่อนไหวหน่วยงานรับผิดชอบไม่พอ คุณพ่อคุณแม่ต้องเคลื่อนไหวผู้ผลิต ว่า คุณขายของ ฉันซื้อของ แต่ว่าฉันไม่รู้ว่ามันมีหรือไม่มี หรือจะช่วยตัวเองหรือจะหลีกเลี่ยงอย่างไร เพราะฉะนั้นคุณก็ติดป้ายให้มันชัดๆ คุณอย่าหลอกผู้ซื้อ ติดป้ายไว้ชัดๆ เท่านั้นเอง อันนั้นจะช่วยได้ระหว่างเราแยกได้ แต่แน่นอนถ้าแยกแล้ว อีกกระป๋องหนึ่งซึ่งดี แล้วมันแพงมาก ถ้าเราทุกคนเลือกไม่ซื้อของที่มันไม่ถูก แต่ว่ามันอันตราย มันก็จะหมดไปจากตลาดเอง แล้วก็ของที่แพง ราคาก็จะ dump ลงเองตามกลไกการตลาด แน่นอนอาจจะเรียกร้องดำเนินงานให้ไปคุมราคา ตราบใดที่มีของดีของไม่ดีปนกัน ขายได้ หน่วยงานรับผิดชอบก็อนุญาต และคนซื้อไม่รู้ ราคามันจะเป็นอย่างนี้ ของดีจะราคาสูง ในต่างประเทศไม่มีของไม่ดี เพราะนั้นราคาต่างๆ จะปรับในราคาที่พอเหมาะพอสม ผมเชื่อว่า บริษัทสีทุกบริษัทมีทั้งของดีและของไม่ดี อย่ากลัวการที่ประชาชนเริ่มรู้ เริ่มเคลื่อนไหวไม่อยากใช้ของไม่ดี เพราะคุณมีของดีไว้ขายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นคุณเองไม่ได้เสียอะไรนะ ผมว่าการป้องกันก็อย่างนี้ แค่บุคคลไม่พอ ต้องดูที่สิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงได้หลีกเลี่ยงนะ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องไปเล่นงานหน่วยงานที่รับผิดชอบ รวมทั้งไปเล่นงานผู้ผลิตว่าทำไมขายของแล้วทำให้เด็กโง่ออกมาปะปนกับตลาด เพราะฉะนั้นประชาชน ชุมชนต้องดูแล นอกจากการดูแลตนเอง ควรต้องเคลื่อนไหวในหน่วยงานที่เขารับผิดชอบด้วย ผู้ผลิตที่เขาต้องรับผิดชอบสินค้าเขาด้วย เพราะฉะนั้นมันไม่มีทางที่เราจะดูแลตนเองได้หมด ถ้าเราถูกหลอกมาตั้งแต่แรกว่ามันดีหรือไม่ดีเราก็ไม่รู้ เราก็ดูแลตนเองไม่ได้
สำหรับสมาชิก >คุณสุนิสา ศิริกุล หรือคุณครูนิกกี้ สาวเมืองจันท์ ที่ตัดสินใจไปลงหลักปักฐาน ณ ดินแดนใหม่ ขอนแก่น เธอคนนี้เป็นผู้ที่รักในวิชาภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เยาว์วัยและมุ่งหวังอยากให้คนไทยมีความสุขในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ(ไม่ใช่ความกลัวอย่างที่เป็นกันอยู่) และสามารถใช้ภาษานี้สื่อสารได้เป็นอย่างดี ความมุ่งมั่นนี้นี่เองที่ทำให้เธอและน้องสาวร่วมกันปลุกปั้น English I Like หลักสูตรการสอนภาษาอังกฤษที่ไม่ฝืนธรรมชาติของการใช้ภาษา เมื่อคิดขยายหลักสูตรในวงกว้างเธอจึงมองหา การทำแฟรนไชส์กับสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง แต่เมื่อได้ลองสัมผัสดู ทำให้เธอเริ่มรู้จักคำว่า การพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค เรามาลองติดตามเรื่องราวการต่อสู้ของเธอ เรื่องราวที่ทำให้เธอคิดเสมอว่า “เรื่องผู้บริโภคไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวเลย ” ปัญหาที่เจอคืออะไร คือตอนนั้นจะทำสอนพิเศษภาษาอังกฤษ น้องสาวก็เรียนจบเอกวิชาด้านภาษาอังกฤษ ก็หาประสบการณ์อยู่ต่างประเทศ เราก็จะมาเปิดโรงเรียนสอนพิเศษด้วยกัน ทีนี้เราก็มองว่าแม้เราจะมีความรู้ ความสามารถอยู่ก็ตามแต่เราก็ต้องการคนที่เขาเป็นมืออาชีพมากกว่าในเรื่องของการตลาด ประชาสัมพันธ์ หรือว่าการจัดการอะไรทุกอย่างที่เขามีความพร้อมมากกว่าเรา ก็เลยตัดสินใจเลือกหาเป็นแฟรนไชส์ แล้วก็ไปเจอแฟรนไชส์ของธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่ง โดยหลักการเราเห็นแล้วเราชอบเพราะเขาสอนที่เป็นหลัก Phonics ด้วย ตรงนี้ช่วยแก้ปัญหาการเรียนภาษาอังกฤษของคนไทยได้ตรงจุด ทีนี้ปรากฏว่าในข้อสัญญาต่างๆ ก็จะมีเงื่อนไขที่เขาจะทำงานร่วมกันกับเราว่าจะทำอะไรให้เราบ้าง ยังไง มันก็เริ่มต้นมาตั้งแต่แรก ตั้งแต่เรายังไม่ได้ทำโรงเรียนสอนพิเศษ ขั้นตอนการดำเนินการต่างๆ มันก็เริ่มไม่ตรงกับตามที่ได้พูดคุยกันไว้ในสัญญา เรื่อยมาจนกระทั่งใช้เวลาประมาณครึ่งปีในการเตรียมการด้านสถานที่ จัดหาบุคลากรต่างๆ เตรียมความพร้อมทุกด้านค่ะ เราก็เห็นว่าเขาไม่ได้มีความพยายามที่จะช่วยเหลือเราตามเงื่อนไข ตามข้อตกลงที่ได้พูดคุยไว้ ก็เริ่มมีปัญหาจนกระทั่งเปิดโรงเรียนสอนพิเศษขึ้นมา ก็ไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างเช่น เขาจะต้องอบรมความรู้ของเขาให้กับเรา เนื้อหามันค่อนข้างเยอะ สมมติว่าจาก 10 เขาอบรมให้เราแค่ 1 แต่เราจะต้องสอนเนื้อหาให้ครอบคลุมทั้ง 10 เรื่องนั้น แต่อบรมให้เราแค่เรื่องเดียว แต่เวลาเก็บค่าแฟรนไชส์คุณคิดเปอร์เซ็นต์ในแต่ละเดือนคุณคิดทั้งหมด การจัดหาครูก็ไม่หาให้ เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องหาเอง แต่นี่มันเป็นเงื่อนไขนะว่าเขาจะต้องช่วยเราในการสัมภาษณ์ ในการเทรนพนักงานอะไรต่างๆ ทุกอย่างมันก็ไม่เป็นไปตามเงื่อนไข แม้กระทั่งหนังสือแบบเรียนต่างๆ ที่เขาทำขึ้นมาซึ่งราคากับคุณภาพก็ไม่ค่อยเหมาะสมกัน ก็มีความผิดพลาดเยอะต่างๆ นานา “ที่สำคัญคือเรามองเห็นว่าไม่มีความพยายามที่จะช่วยเหลือกันด้วยความจริงใจ” ซึ่งตรงนี้มันอาจจะช่วยเราไม่ได้มากก็จริง แต่ถ้าเขามีความพยายามที่จะช่วยเหลือเราอย่างที่ได้คุยกันไว้ มันก็โอเค แต่นี่เขาไม่ได้พยายามที่จะช่วยเหลือใดๆ ค่ะ พอถึงเวลาก็พยายามที่จะเก็บค่าแฟรนไชน์ในแต่ละเดือน เราก็เริ่มท้วงติงไปว่าเราจะจ่ายให้แค่ส่วนนี้นะ เฉพาะส่วนที่เราสอนเด็กในเนื้อหาที่เขาได้อบรมมา ส่วนที่เหลือนอกจากนั้นคุณไม่ได้อบรมให้เรา เพราะฉะนั้นเราไม่ยินดีที่จะจ่ายส่วนนั้น ก็เริ่มมีปัญหากันแล้ว เริ่มรู้สึกไม่Happy ต่อกันแล้ว ก็เลยลองพูดคุยกับคนที่ซื้อแฟรนไชส์สาขาอื่นๆ ว่าเขามีปัญหานี้ไหม บังเอิญเราได้โบรชัวร์ของคนที่ซื้อตั้งแต่ก่อนหน้านี้มาก่อนแล้ว มีเบอร์โทร ก็เลยโทรสอบถามไปปรากฏว่าหลายที่เลยที่เขาเลิกทำไปแล้ว เพราะประสบปัญหาต่างๆ ในลักษณะคล้ายๆ กันแบบนี้ ก็เลิกกันไปเยอะแล้ว แล้วรุ่นปัจจุบันที่ทำอยู่ก็มีปัญหาเหมือนกัน แล้วทุกคนก็ได้แต่บ่น แต่ไม่มีใครทำอะไรเลย เราก็เลยเป็นตัวตั้งตัวตีในการที่จะรวมคนที่มีปัญหาเดียวกันนี้มาร้องเรียนร่วมกัน พอดีตอนนั้นได้รู้จักมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคผ่านทางรายการทีวีช่อง 11 ก็เลยลองติดต่อสอบถามมาสุดท้ายก็ได้รับความช่วยเหลือมาเป็นลำดับ และอาจจะเป็นเพราะว่าเราเองไม่ได้มีเงินทุนมากพอที่จะสูญเสียเงินจำนวนนั้นไป เพราะลงทุนมันต้องมีค่าสถานที่อะไรต่อมิอะไรมากมาย ค่าแฟรนไชส์ก็ประมาณเกือบสองแสน ค่าลงทุนด้านอื่นๆ อีก เรียกว่าเราก็ไม่ฉลาดพอแล้วก็ไปไว้ใจเขาด้วย การลงทุนมันเป็นหลักล้าน ซึ่งบอกตรงๆ ว่าเป็นเงินเก็บของเราและครอบครัวที่เอามาช่วยเหลือ นั่นก็ถือว่าเป็นเงินเกือบทั้งหมดของเราเลยที่มี เพราะฉะนั้นเรามีความรู้สึกว่าเราสูญเสียไม่ได้ เลยรวมตัวกันมาเรียกร้องสิ่งที่มันเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเรา จนในที่สุดก็สำเร็จได้ด้วยความช่วยเหลือของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ตอนแรกก็เกือบจะเป็นคดีฟ้องร้องกัน ที่สุดก็สามารถที่จะไกล่เกลี่ยกันได้แล้วเขาก็ยอมคืนเงินจำนวนหนึ่งที่เป็นค่าแฟรนไชส์ที่เราจ่ายไปเป็นก้อนให้คืนกลับมา ซึ่งทั้งหมด 4 สาขาที่ร้องเรียนกันเข้ามา คิดว่าสิ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จในการร้องเรียน คือพลังผู้บริโภคไหม ใช่ค่ะ ส่วนที่เราชนะนี่มันมีข้อมูลหลักฐานที่มันชัดเจนอยู่แล้วในความผิดพลาด ความไม่ถูกต้องของเขาด้วย ผลงานการทำงานของมูลนิธิฯ ที่ช่วยเหลือเราอย่างเต็มที่ด้วยในฐานะของผู้มีประสบการณ์ทำงานจริงจังแล้วก็สามารถที่จะช่วยเหลือเราอย่างแท้จริงด้วย เพราะฉะนั้นมันก็มีพลังที่จะต่อรองกับเขา แล้วก็เห็นว่าที่เรารวมกลุ่มกันในการร้องเรียนนั้น เราร้องเรียนอย่างจริงจัง เรามีเป้าหมายในการร้องเรียนที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่ร้องเรียนไปเฉยๆ แต่เราต้องเรียกร้องสิ่งนั้นจริงๆ และเขาเองก็คงเห็นแล้วว่าทุกอย่างนั้นมันเป็นไปได้ยากที่เขาจะชนะ รวมถึงในกรณีที่ผ่านๆ มาคนที่ทำไปแล้วก็เจอปัญหาเหล่านี้ทั้งหมดเลยแต่ไม่มีใครลุกขึ้นมาเรียกร้อง ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอเหตุการณ์จริงๆ ว่ามีคนลุกขึ้นมาสู้เพื่อสิทธิอันชอบธรรม ปกติก็ไม่ชอบให้ใครเอาเปรียบหรือเปล่า อาจจะเป็นสิ่งที่เรารับมาโดยไม่รู้ตัวก็ได้ แต่พ่อแม่ก็พยายามที่จะฝึกเราให้มีระเบียบวินัย ให้เป็นคนดีประมาณนี้ ความเข้มงวดในเรื่องของการรักษากริยา มารยาท กาลเทศะกับเราพอสมควร แต่ส่วนเรื่องของการที่จะดูแลเรื่องสิทธิตัวเองคิดว่าอาจจะได้รับจากสิ่งแวดล้อมรอบๆ ข้าง ได้รับจากการชมภาพยนตร์ ส่วนใหญ่จะดูในภาพยนตร์ต่างประเทศ แล้วเราก็สนใจในเรื่องภาษาอังกฤษ เราก็ได้เรียนรู้ส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมต่างประเทศในเรื่องของการที่จะคุ้มครองสิทธิของตัวเอง ต่อหน้าที่ของเราในขอบเขตที่สามารถทำได้ ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเรียกร้องสิทธิให้ตัวเองอย่างไรบ้าง คือในวัยเด็กอาจจะรู้สึกว่าผู้ใหญ่บอกอะไรกับเรานั้น ให้ทำนี้นั้นแล้วเดี๋ยวจะพาไปเที่ยว เราก็รู้สึกคาดหวังกับคำพูดของเขาแล้วว่าเดี๋ยวเราทำตามนี้แล้วเราจะได้ตามนี้ เพราะฉะนั้นเราก็คาดหวังว่าเขาจะทำตามคำพูดที่ได้บอกกับเรา อันนั้นเราเริ่มรู้สึกเรียกร้องแล้วว่าทำตามที่บอกแล้วนะ ทำไมผู้ใหญ่ไม่เห็นทำตามที่พูดเลย ก็เริ่มรู้สึกถึงประเด็นนี้ตั้งแต่เด็กแล้วว่าทำไมมันไม่เป็นแบบนั้น แล้วคนที่อยู่รอบๆตัวเรา หรือเพื่อนๆ เขารู้สึกว่าเราไม่เหมือนคนอื่นไหม ใช่ค่ะ สามีบอกว่าทำไมไม่ทำ ไม่คิดเหมือนคนอื่นๆ เขาบ้าง(หัวเราะ) ก็เริ่มรู้สึกว่าสังคมเรานั้นไม่ค่อยกล้า ช่างมันเถอะ ปล่อยมันไป แต่เรามองว่าความถูกต้อง สิ่งที่มันควรจะเป็นเราก็น่าจะมีสิทธิที่จะเรียกร้องในการที่จะทำอะไรออกไปได้โดยที่ไม่กระทบกระเทือนหลักการที่ถูกต้อง ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้คนอื่น เรามองว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง มันควรทำ คนอื่นก็เหมือนกันก็ควรทำเพียงแต่คุณไม่กล้าเอง ยกตัวอย่างง่ายๆ เลยนะคะ เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งนานแล้วนะเป็นวัยเพิ่งทำงานก็นั่งรถทัวร์กลับบ้านต่างจังหวัด ซึ่งก็ดึกแล้วแต่ว่านิสัยของเราค่อนข้างฝึกมาแบบไทยนี้รักสงบ บางทีไม่อยากพูดมาก กลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร รู้สึกกับเราอย่างไร บางครั้งเราอาจลืมมองไปว่านอกจากความรู้สึกของตัวเองแล้ว ความรู้สึกของคนรอบข้างเป็นอย่างไรด้วย อย่างกรณีที่เจอคือมีกลุ่มวัยรุ่นซึ่งก็โตแล้วเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เขาก็นั่งเป็นกลุ่มอยู่บนรถทัวร์ แล้วส่งเสียงดังคุยกันโหวกเหวกโดยที่ไม่ได้นึกเกรงใจคนอื่น ด้วยวัยคะนองก็อาจจะลืมนึกคิดไปว่ามันกระทบกระเทือนคนอื่น ซึ่งช่วงเวลานั้นมันก็ดึกจะเที่ยงคืนแล้ว ทั้งคันรถอยากจะพักผ่อนแต่ว่าไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นมาพูด แม้กระทั่งพนักงานบนรถก็ตาม ไม่มีใครกล้าลุกไปบอกให้เขาเงียบเสียง ก็เลยลองให้เวลากับเขาสักพักเดี๋ยวเขาอาจจะหยุดส่งเสียงดัง ปรากฏว่ารอไปสักพัก 15 -20 นาทีก็ยังไม่เงียบ เลยลุกขึ้นไปพูดกับเขาดีๆ ว่า “ขอโทษนะคะ นี่ก็ดึกมากแล้วและคิดว่าทุกคนคงอยากพักผ่อน ขอให้น้องๆ ช่วยคุยกันเบาๆ ช่วยเงียบเสียงด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ” แล้วทุกคนก็ได้เดินทางนอนหลับพักผ่อนไปได้ในที่สุด นั่นก็เป็นตัวอย่างง่ายๆ ว่าถ้าเรากลัวที่จะไม่กล้าพูดไม่กล้าทำอะไร เราก็จะถูกคนอื่นที่บางทีเขาอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ ทำไปโดยไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดี มันก็อาจจะกระทบกระเทือนชีวิตความเป็นอยู่ของเราได้ แต่ถ้าเราลองใช้วิธีการที่มันเป็นมิตรกัน ไม่ใช่ว่าจะต้องเป็นปัญหาความขัดแย้งกันเสมอไป ก็พูดคุยกันตรงนี้มันสามารถที่จะปรับได้ แล้วก็ได้ความสุขร่วมกันได้ในสังคมค่ะ ฝากถึงบางคนที่อาจจะยังไม่กล้าเรียกร้องสิทธิ เบื้องต้นต้องคิดว่าน่าจะมองก่อนว่าสิ่งที่เราเรียกร้องนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ไม่ผิดต่อกฎหมาย ไม่ผิดต่อศีลธรรม และมันจะเป็นแบบอย่าง เป็นประโยชน์ของเรารวมทั้งกับคนอื่นๆ ด้วย ไม่มีสิ่งที่จะติดค้างคาใจเรา บางทีเราไม่ทำอะไรลงไปแต่เรายังติดใจอยู่แบบนั้นตลอด แล้วเราก็พูดถึงมัน บ่นถึงมันตลอดแต่มันไม่ได้รับการแก้ไข แต่ถ้าเราได้ลงมือทำไปโดยที่เราปรึกษาผู้รู้ ขอความช่วยเหลือ มันก็จะช่วยเราได้ ส่วนใหญ่ที่เราไม่กล้าเพราะเราไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เราไม่เข้าใจ กลัวนั้น กลัวนี่ คือบางทีเรากลัวไปก่อน เพราะฉะนั้นก็หาผู้รู้คอยแนะนำให้คำปรึกษา ซึ่งมีหลายหน่วยงาน หลายองค์กรที่ช่วยเราได้อยู่ ก็มองว่าหนึ่ง มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สอง ความกลัวของเรา จะเปลี่ยนความกลัวของเราต้องเปลี่ยนความกลัวเป็นความรู้ ต้องหาข้อมูล หาคำแนะนำ ปรึกษา ช่วยเหลือ และจริงใจกับตัวเองว่าการณ์นั้นเราเป็นผู้ที่ถูกต้องจริงๆ ถ้าเรามั่นใจในสิ่งนี้ก็ให้เดินหน้าเรียกร้องความถูกต้องนั้นให้เกิดประโยชน์กับตัวเอง และเป็นตัวอย่างให้กับคนอื่นด้วย คนที่คิดไม่ดีเขาจะได้ไม่กล้าที่จะทำแบบนั้นกับคนอื่นๆ อีก
สำหรับสมาชิก >“จรัญ หอมเทียนทอง” ในวัย 59 ปี หลงใหลในโลกหนังสือมาตั้งแต่ยุค 14 ตุลาคม 2516 จวบจนปัจจุบันก่อตั้งสำนักพิมพ์แสงดาว เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักอ่านในเมืองไทย ที่ต้องการลิ้มรสทางปัญญาที่หลากหลายทั้ง ความรู้ตลอดไปจนเรื่องสารพันบันเทิง ในวันนี้กับอีกบทบาท ในตำแหน่งนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย สิ่งที่ นายกฯ คนใหม่ ลั่นวาจาหลังได้รับการคัดเลือก คือ การสร้างธุรกิจหนังสือให้เติบโตท่ามกลางเศรษฐกิจที่ถดถอย ทำให้สำนักพิมพ์อยู่ได้อย่างมั่นคงและเสมอภาค รวมทั้งความพยายามที่จะผลักดันหนังสือไทยให้เผยแพร่ไปยังต่างประเทศมากกว่าเดิม นิตยสารฉลาดซื้อ และสำนักพิมพ์ของเราที่อยู่ในสถานะ โรงพิมพ์ทางเลือก ไปถึงธุรกิจสิ่งพิมพ์ขนาดเล็ก (มาก)ถึงกับตาลุกวาว กับนโยบาย ลองมาดูกันสิว่า “แสงดาว” แห่งศรัทธากับเส้นทางหนังสือทางเลือกจะเดินทางต่อไปอย่างไร ทิศทางของหนังสือทางเลือกในอนาคตอันใกล้จะเป็นอย่างไร จะพูดแบบใช้สำนวนเลยไหม ทิศทางเป็นทิศทางที่มีทางเลือกไม่มาก มีทางเลือกไม่มากหมายความว่าทุกคนเองจะต้องเป็นมืออาชีพมากขึ้น คำว่ามืออาชีพคืออะไร คือคุณต้องอ่านลูกค้าคุณให้ออก คุณจะผลิตหนังสือมาเป็นขยะไม่ได้แล้ว ต่อไปนี้การผลิตหนังสือหนึ่งเล่มจะต้องเป็นการผลิตหนังสือที่ผ่านการคิดมาพอสมควร มาแบบว่าไปตายเอาดาบหน้านั้นจะได้ตายสมใจ เพราะว่าช่องทางในการจัดจำหน่ายมันไม่มี มันน้อย เหตุผลที่มันน้อยคือหนังสือมันเยอะพอหนังสือมันเยอะนั้นวันหนึ่ง เมื่อการตลาดมาใช้กับวงการหนังสือมันทำให้วงการหนังสือมันเปลี่ยนไป คือพูดตรงๆ ปัจจุบันนี้หนังสือทุกเล่มเมื่อเอาการตลาดมาใช้ หนังสือมันเป็นสินค้าวัฒนธรรม เมื่อสินค้าวัฒนธรรมถูกตลาดมาครอบงำ วัฒนธรรมมันก็จะเปลี่ยนไปเป็นวัฒนธรรมที่ถูกจัดสรร เหมือนเรากลับไปดูละครทีวีที่เราดูทุกวันนี้เป็นวรรณกรรมไทยที่ถูกจัดสรรมาเพื่อทำเป็นละครทีวี เมื่อมันเป็นละครถูกจัดสรรมาเพื่อจัดทำเป็นละครทีวีคุณค่าทางศิลปะมันหายไป แต่มันจะมีคุณค่าทางการตลาดเพิ่มขึ้น ดังนั้น เมื่อเราจับประเด็นนี้มาใช้กับวรรณกรรมต่อไปนี้วรรณกรรมดีๆ มันก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะวรรณกรรมดีๆ นั้นมันไม่สามารถตอบโจทย์ที่ต่อยอดได้ คือ ตอบโจทย์ที่เป็นละครทีวี สภาพตลาดจึงเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นคำตอบเดียวกับที่เราตอบหนังสืออิสระว่าคนทำหนังสืออิสระขนาดเล็กจึงจำเป็นต้องหาตลาดตัวเอง ถามว่าตลาดของตัวเองหาอย่างไรก็คือคุณต้องใช้โซเชียลมีเดียใช้แฟนคลับของตัวเอง เพื่อสร้างจุดขายของตัวเองบางทีคุณจะเห็นสบู่ Local ยากนะขณะที่สบู่ลักส์ขายได้ สบู่ดอกบัวคู่ก็ขายได้แต่เขาขายตลาดของเขา เขาสร้างจากจุดเล็กๆ ของเขาขึ้นมา ปัจจุบันนี้สบู่ดอกบัวคู่นี้พอขายจนได้มาสักพักเริ่มไม่ใช้ดอกบัวคู่แล้ว ดอกบัวคู่ใช้การตลาดนำใช้เป็น Twin Lotusให้คนรู้สึกว่าไม่ใช้ดอกบัวคู่ ผมเห็นสินค้านี้ Twin Lotus มันก็คือดอกบัวคู่ ในวงการหนังสือก็เช่นเดียวกันแต่วงการหนังสือนั้นจะมีข้อด้อยตรงที่คนทำหนังสือนั้นไม่มีช่องทางจำหน่ายหนังสือของตัวเองต้องไปอาศัยช่องทางจำหน่ายของคนอื่นเขา อุปสรรคคือช่องทางการจำหน่ายจึงเป็นปัญหาหนึ่งซึ่งมันทำให้เป็นความจำเป็นของสมาคมผู้จัดพิมพ์จะต้องหาช่องทางขายให้สมาชิกเรา เราจึงให้โอกาสสมาชิกที่เป็นรายเล็กรายกลางเราจึงจัดหาที่ทางให้เอื้อประโยชน์กับรายเล็กรายกลาง ถามว่าคุณรังเกียจรายใหญ่เหรอ ไม่ใช่ครับแต่รายใหญ่เขามีโอกาสในการขายของเขาอยู่แล้ว โอกาสเมื่อมันเกิดเพิ่มขึ้นโดยสมาคมผู้จัดพิมพ์ ความเพิ่มขึ้นมันควรจะเป็นของรายเล็กมากกว่าเราไม่ควรจะเอาโอกาสนั้นไปให้รายใหญ่อีก พูดง่ายๆ คือคนรวยเขามีโอกาสของเขาอยู่แล้วเราไปเพิ่มโอกาสให้เขาทำไม การเพิ่มโอกาสให้เขาเขาไม่รู้สึกดีใจกับเราหรอกเพราะเขารู้สึกว่าเขามีอยู่แล้ว แต่ถ้าเราให้โอกาสกับคนเล็กนั้นเขาจะดีใจมากกว่าเหมือนกับคุณเอาเงิน 500 บาทไปให้เศรษฐีเขาก็ไม่สนใจแต่ถ้าคุณเอาเงิน 100 บาทไปให้คนจนคุณจะเหมือนเป็นเทพเจ้าเลยนะ ฉันใดก็ฉันนั้นครับ การตลาดของคนทำหนังสือรายเล็กจะไปในทิศทางอย่างไร ? ทิศทางหนังสือรายเล็กนั้นถ้าคิดว่าเขาจะเข้าตลาดใหญ่ๆ ได้จะต้องเป็นหนังสือของคนตัวเล็กที่มี Talk of the Town ถ้าหนังสือคุณไม่ใช่ Talk of the Town นะโอกาสที่จะได้ไปลืมตาอ้าปากนั้นยาก แต่ถามว่าร้านหนังสือรายใหญ่ที่ไม่เอาของเขามาวางนั้นผิดไหม ไม่ผิด เพราะร้านหนังสือขนาดใหญ่นั้นค่าเช่าที่เขาแพง เขาจึงจำเป็นจะต้องวางสินค้าที่จะต้องสร้างรายได้ให้เขาสูงสุด เมื่อหนังสือของรายเล็กนั้นไม่ใช่หนังสือที่อยู่ในกระแส ไม่ใช่หนังสือ Talk of the Town การไหลเวียนหนังสือในร้านเขาต่อการเช่าพื้นที่ 1 ตรม.นั้น เขาย่อมเอาหนังสือที่ได้เงินเร็วมากกว่าหนังสือที่ขายได้ช้า ฉะนั้นงานวรรณกรรมดีๆ ของดีมักจะขายช้า ในโลกนี้ของดีที่ขายดีก็มีบ้าง แต่ของดีนี้ขายยากมาก ถ้าอย่างนั้นเราจะสร้างวัฒนธรรมในการอ่านอย่างไร ? วัฒนธรรมของการอ่านไม่ต้องสร้างครับ เราต้องสร้างฐานของการอ่านมากขึ้นเพื่อเมื่อคนอ่านหนังสือมากขึ้นคนจะสามารถคัดกรองได้ว่าในอนาคตนั้นเขาจะอ่านหนังสือแบบไหน วันนี้คนเข้าร้านหนังสือใหญ่ อ่านหนังสือตามกระแสที่เป็น Talk of the Town ไม่ผิดครับแต่เมื่อเขาอ่านบ่อยๆ แล้วเขาจะรู้ว่าหนังสือเหล่านั้นอาจจำให้ความเพลิดเพลินเขาแต่ให้อรรถประโยชน์น้อยกว่าหนังสือคลาสสิกมาก วันหนึ่งเขาจะรู้เองครับตามอายุของเขา ดังนั้นสิ่งที่เราควรจะทำก็คือทำอย่างไรถึงจะเพิ่มคนอ่านหนังสือให้มากขึ้น เพราะถ้าเราเพิ่มคนอ่านให้มากขึ้นแล้วคนอ่านเขาจะคัดกรองหนังสือของเขาเอง การที่มีการอ่านหนังสือบนTablet มันมีส่วนช่วยหรือทำให้ตลาดหนังสือเดิมเล็กลงไหม ผมว่าการอ่านหนังสือบน E-Book ไม่ทำให้คนอ่านหนังสือลดลงแต่ว่าการอ่านหนังสือบน E-Book นั้นเป็นอีกหนึ่งช่องทางของคนอ่านหนังสือ แต่ถ้าถามว่าทำให้หนังสือเล็กลงหรือไม่ ไม่ครับเพราะให้อรรถประโยชน์ในการอ่านไม่สะดวกครับ E-Bookนั้นจะอ่านได้เฉพาะที่เป็น Magazine หนังสือพิมพ์ เพราะถ้าเป็นหนังสือนิยายหนึ่งเล่มนั้นคุณไม่สามารถอ่านจบได้ภายในวันเดียว อย่าลืมว่า E-Book มีเงื่อนไขในการอ่านเรื่องของแสงที่สะท้อนออกมาจากเครื่องอันนี้เรื่องที่หนึ่ง สองคือคุณต้องอ่านในที่ที่มีสัญญาณไปถึง สามมันมีค่าไฟที่คุณต้องใช้ สี่การอ่านหนังสือนั้นคลาสสิกกว่า E-Book ครับอันนี้เป็นทัศนะผมนะครับ E-Bookเป็นเพียงแค่แฟชั่นชั่วครั้งชั่วคราว แต่ที่พูดไม่ได้หมายความว่าไปดูถูกตลาด E-Book นะครับแต่ว่า E-Bookนั้นเป็นอีกช่องทางเลือก ผมก็ดีใจที่อย่างน้อยทำให้มีคนอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง วันนี้เวลาเราเจอเด็กอ่านหนังสือจากโทรศัพท์ IPhone อ่านหนังสือจาก Facebook เราไม่เสียใจครับ เราดีใจเพราะว่าคนอ่านหนังสือมากขึ้นให้เขาใช้เวลาว่างในการอ่านหนังสือดีกว่าใช้เวลาว่างในการคุย ซึ่งการอ่านจะอ่านใน Facebook มันก็เรื่องของเขา แต่ขอให้คนรักการอ่านก่อน เป้าหมายของสมาคมฯ คือทำอย่างไรให้คนรักการอ่านก่อนนี่คือเป้าหมายของเรา การที่เราจะก้าวเข้าสู่ AEC ตลาดหนังสือไทยมันจะไปอย่างไร ? มีคนพูดกันมากว่าเมื่อเราก้าวเข้าสู่ AEC แล้วหนังสือมันจะเป็นอย่างไร ผมเรียนว่าหนังสือคือวัฒนธรรม วัฒนธรรมเราคือหนังสือไทยเรามีความพร้อมที่จะแปลเป็นภาษาอังกฤษไหมครับ อย่าลืมว่ามีภาษากลางเป็นภาษาอังกฤษและภาษาจีน เราเองมีความพร้อมที่จะแปลเป็นภาษาอังกฤษไหมแล้วหนังสือในแถบอาเซียน สิ่งเดียวที่จะทำให้สื่อสารและซื้อขายกันคล่องตัวที่สุดในอาเซียน คือหนังสือการ์ตูนครับ เพราะหนังสือการ์ตูนไม่จำเป็นต้องบอกความมาก ชัดเจน ฉะนั้นตลาดที่ไปอาเซียนคือหนังสือการ์ตูนและต้องทำบทพากษ์เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมีคนทำได้ระดับหนึ่ง AEC กับหนังสือนั้นคือต้องเข้าใจว่า AEC นั้นคือเขตปลอดภาษีสำหรับสินค้าในแทบอาเซียนธรรมดาถ้าไม่ใช่ AEC หนังสือก็เป็นสินค้าปลอดภาษีอยู่แล้ว ดังนั้นตัวนี้มันมีมาก่อน AEC ครับ เพราะว่าไม่ใช่เฉพาะ AEC นะครับโลกนี้คุณส่งหนังสือเรียนไปที่ไหนก็แล้วแต่หนังสือเรียนเป็นสินค้าที่ยกเว้นภาษีอากรครับ AEC นี้ว่าด้วยมาตรฐานการค้าและภาษีอากรของประเทศในกลุ่มอาเซียนแต่ว่าหนังสือนั้นเป็นสินค้าที่ได้รับการยกเว้นอยู่แล้ว AEC ไม่มีผลกับหนังสือครับ เพราะว่าถึงแม้ไม่มี AEC หนังสือก็ไม่เสียภาษีอยู่แล้วครับ มีคนชอบพูดว่าเข้าสู่ AEC แล้วหนังสือจะเป็นอย่างไร คือ AEC นั้นว่าด้วยเรื่องสินค้า หนังสือก็คือสินค้าชนิดหนึ่งแต่หนังสือเป็นสินค้าที่ไม่ว่าคุณจะส่งไปที่ไหนในโลกนี้นะครับ ทางยุโรป ประเทศจีน หรืออเมริกา หนังสือส่งไปทุกที่ทั่วโลกยกเว้นภาษีหมดครับ คือเห็นความสำคัญของโลกนี้ไหมครับโลกใบนี้การส่งสินค้าทางอากาศถ้าสินค้าคุณเป็นหนังสือนะครับคุณจะได้ลดค่าขนส่งลงไป 50% คือพิกัดศุลกากรโลกเขาเน้นหนังสือเลยนะ หนังสือเป็นสินคาชนิดเดียวในโลกที่ยกเว้นอากรครับ แล้วเรื่องราคามีผลกับการอ่านหนังสือไหม ราคาหนังสือลดลงยากครับถ้าตราบใดประเทศเรายังมีสินค้าขายฝาก อยู่ถ้าร้านหนังสือประเทศเราซื้อสินค้าขาดไม่ฝากขายเหมือนซื้อซีอิ้วขาวตราเด็กสมบูรณ์หรือซื้อน้ำปลา หนังสืออาจจะราคาถูกลงแต่ปัจจุบันหนังสือเป็นสินค้าที่ฝากขาย เมื่อคุณทำหนังสือมา 100 เล่ม คุณลงทุนไป 100 บาทคุณเอาหนังสือ 100 เล่มนี้ไปวางไว้ที่ร้านนายอินทร์ ร้านซีเอ็ดคุณไม่รู้ว่าผ่านไป 3 เดือนหนังสือคุณจะขายได้กี่เล่ม 100 บาทที่คุณลงทุนไปอีก 3 เดือนขายได้ 2 เล่มคุณก็เจ๊งแล้วเพราะคุณไม่เคยรู้ชะตาของหนังสือคุณว่าชะตากรรมมันจะไปทางไหน เพราะว่าร้านหนังสือวางหนังสือไว้เฉยๆ เขาไม่ได้ทำการตลาดให้คุณ ผมจึงบอกว่าหนังสือในอนาคตนั้นถ้าหนังสือไม่มีความเด่นดังด้วยตัวของมันเอง ไม่ใช่หนังสือ Talk of the Townแล้วนั้นก็ปิดตัวได้ง่าย ยกเว้นแต่หนังสือนั้นจะเป็นหนังสือที่ซึ่งมีคนตามอ่านอยู่ตลอดเวลา เช่น สามก๊กมีคนอ่านตลอด คุณพิมพ์ไปอย่างไรก็ขายได้ คุณพิมพ์หนังสือธรรมดาที่ไม่มีจุดขาย ไม่มีความดีเด่นของวรรณกรรม คุณทำมาก็ขายไม่ออก เราควรควบคุมราคาหนังสือไหมเพื่อให้ยุติธรรมกับคนอ่าน อย่างกำหนดเพดานต้นทุน ไม่มีเพดานครับ ใครจะกำหนดต้นทุนอย่างไรก็ได้เพราะว่าสินค้าต้องเป็นสินค้าฝากขายเขาต้องการให้จุดคุ้มทุนต่ำที่สุด จุดคุ้มทุน 50% คูณกำไรหนังสือ 50% แต่ 50% ที่เป็นกำไรนั้นคือสต๊อกนะครับ คุณก็ไม่รู้ว่าคุณจะแปลสต๊อกให้กลายเป็นเงินได้อย่างไรอันนี้คือปัญหาของมันครับ สุดท้ายหนังสือจะคุ้มครองผู้บริโภคอย่างไร คือคุ้มครองผู้บริโภคนั้นจะมาคุ้มครองหนังสือไหม ผมว่าหนังสือมันไม่เคยหลอกลวงคนอ่าน ตัวหนังสือไม่เคยเป็นพิษเป็นภัยกับใครนะครับ ยกเว้นแต่ว่าเขาซื้อหนังสือโป๊เองอันนั้นช่วยไม่ได้เพราะว่าหนังสือโป๊ขายรูปนะครับ ฉะนั้นหนังสือเป็นสินค้าที่ สคบ.เขาก็ไม่ออกระเบียบมานะคือจะเห็นว่าคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคไม่เคยมีใครมาร้องเรียนเรื่องหนังสือนะ งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ในช่วงกลางเดือนตุลาคมนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "หนังสือเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนโลก 40 ปี 14 ตุลา 16" โดยจะมีความพิเศษกว่าทุกครั้ง คือการจัดสรรพื้นที่ให้สำนักพิมพ์ขนาดเล็ก ออกร้านจำหน่ายหนังสือเพิ่มขึ้น และการจัดนิทรรศการหนังสือต้องห้าม เพื่อให้เยาวชนเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไทยมากขึ้น
สำหรับสมาชิก >