ฉบับที่ 195 “วิสารท์ ทัฬหวรรัตน์” ทุกข์ของผู้ประสบเหตุและคนที่อยู่ข้างหลัง

5 ปี ที่เลยผ่านของ วิสารท์ ทัฬหวรรัตน์ อดีตนักจัดรายการวิทยุ เหยื่อรถตู้สายสิงห์บุรี-ลพบุรี ที่ย้อนอดีตเล่าถึงความหวังที่เขาจะเป็นหัวหน้าครอบครัว เลี้ยงดูแม่เพื่อทดแทนบุญคุณสลายลงเมื่อ เวลา 9 โมงกว่าๆ ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2554 เมื่อวิสารท์เรียนจบ  เขาอาสาทำงานหาเลี้ยงแม่ ด้วยการทำงานหลายงาน ทั้งการเป็นดีเจ รับจัดอีเว้นท์ รวมทั้งการมีรายได้พิเศษอื่นๆ ที่พอเพียงจึงบอกให้แม่หยุดทำงาน เขาย้อนเล่าเรื่องราวในวันนั้นอีกครั้ง “วันนั้นเป็นวันธรรมดาครับ วันพุธหรือวันพฤหัสฯ ผมไม่แน่ใจ ไปทำงานปกติ ช่วงเช้าไปที่วินรถตู้จะไปทำงานที่ลพบุรี เพราะว่าแต่ก่อนผมเป็นนักจัดรายการที่สิงห์บุรีนี้แหละ แล้วเจ้านายให้ย้ายไปจัดที่ลพบุรี ก็เลยต้องนั่งรถตู้จากสิงห์บุรีไปลพบุรี เป็นรายการวิทยุ รายการเพลง เราก็มีความชอบในเพลง เรียนมาก็จบโดยตรงสายนี้ด้วย ก็เป็นเพลงแนวสตริง จัดทั้งเก่าทั้งใหม่ปะปนกันไป ก็ใช้ชื่อเล่นนี้แหละครับ ตามด้วยชื่อจริง ชื่ออ๊อฟ วิสารท์ ก็เริ่มเป็นตั้งแต่ช่วง 28 – 29 ปี ก่อนหน้านี้ก็ทำงานอื่นเรื่อยมาจนมาได้งานนี้ แต่เพิ่งได้มาเริ่มต้นยังไม่ถึงปีเลยครับ ที่สิงห์บุรีก็ประสบอุบัติเหตุเสียก่อน ตอนนั้นรถวิ่งด้วยความเร็วเกิน 120 เกือบ 140 (กิโลเมตร/ชั่วโมง) ระหว่างนั้นรถก็ไปตรงๆ ทางโล่งๆ เกิดมีมอเตอร์ไซค์แซงขึ้นมาจากด้านหนึ่ง มารู้ทีหลังว่ามอเตอร์ไซค์คันนั้นเขาหนีตำรวจมา ตำรวจเขาไล่จับยาบ้า ก็มาตัดหน้าแล้วรถก็เลยหักหลบไปทางด้านขวาเพราะถ้าหากว่าหักซ้ายก็ไม่ได้จะชนเขา รถเลยลงข้างทาง มันไม่มีเกาะกลาง ก็เลยข้ามไปอีกเลนหนึ่ง เป็นรถ NGV แล้วรถพ่วงบรรทุก NGV ก็ตรงเข้ามาก็สวนเข้ามาเต็มๆ เสียงกรี๊ดกันลั่นรถ มันเหมือนในหนังในละครที่มันเป็นภาพสโลว์ คือมันเห็นทุกอย่างแล้วเสียงมันก้องอยู่ในหู แล้วก็ตึ้บ สวิตซ์ดับเลย(หมายถึงเราก็สลบ) ครับ ไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย ถ้าเสียก็คือไม่รู้เลยตอนนั้นพอเกิดอุบัติเหตุคนในรถก็มีเสียชีวิต 2 คน ก็คือคนขับและคนที่นั่งข้างหลังผม ผมนั่งข้างหน้า ผมก็คิดว่า ผมรอดได้อย่างไร มันเป็นช่วงระหว่างอัดกับช่วงล้อ ช่วงพ่วง แล้วทีนี้ตัวคนขับอัดไปกับล้อ ตัวผมก็เข้าไปในช่องว่างพอดีระหว่างช่องว่าง ถ้าไม่อย่างนั้นก็คือเสียชีวิตเรียบร้อย น้องคนข้างหลังเขาหลับแล้วหัวกระแทกคอนโซลคอหักตาย ส่วนที่เหลือก็ขาหัก แขนหักบ้างเล็กๆ น้อยๆ มีน้องคนหนึ่งจมูกไม่สามารถรับกลิ่นได้แล้วตอนนี้5 ปีที่ผ่านมา เรามีความทุกข์อะไรบ้าง อยากให้สะท้อนให้ฟังอย่างแรกคือค่าใช้จ่ายที่มีปัญหามากเพราะมีบางช่วงที่สินค้าที่ผมทำขายไม่ได้เลยแล้วแม่ก็ตกงาน แกก็เครียด บางทีก็เหม่อ ว่าทำไม่ต้องเป็นแบบนี้ ไม่มีใครมาช่วยเรา ติดต่อไปตามหน่วยงานต่างๆ เขาก็บอกว่าไม่มีนโยบายบ้าง บางเดือนก็ไม่มีค่าน้ำ ค่าไฟมาจ่าย ต้องไปยืมเพื่อนบ้าง โดนเขาว่าบ้าง บางทีมันก็ท้อ แต่แม่บอกให้สู้ ตอนอยู่โรงพยาบาลเคยกอดคอกันร้องไห้ ไม่มีเงินจ่ายค่าห้อง ไม่มีเงินจ่ายค่าหมอและการต่อสู้เรื่องเงินทอง ความยากลำบากเพราะเราก็เจ็บ เราติดต่อลำบากแค่ไหน ไปร้องเรียนกับใครมาบ้างหนึ่ง คือรอจากที่ฟ้องไป ส่วนเรื่องเงินต่างๆ ก็ไปขอทางกระทรวงพัฒนาสังคมและมนุษย์ ติดต่อไปทางผู้พิการว่า ขอเอาเงินมาปรับสภาพสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับทำทางลาด เขาก็บอกว่ายังไม่เปิดโครงการ เขาก็ปัดไปทาง อบต. บ้าง ทางอบต. ก็บอกว่ายังไม่เห็นรู้เรื่องเลย เรายังไม่เปิดรับ เรามีสิทธิอยู่ตรงนี้ทำไมต้องโยนไปแต่ละที่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำงานกันอย่างไร ระบบเป็นแบบไหนในจังหวัดนี้หรือว่าทั้งหมดเลย ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเฉพาะตรงนี้หรือว่าทั้งหมด หรือว่าจะมีมาแค่ให้ดูสวยหรูเฉยๆ ทางลาดที่พี่เห็นนี้ผมต้องหาเงินทำเอง ไปหัดเข็นรถจะได้ไปไหนมาไหนได้ ตอนแรกจะปรับห้องน้ำ แม่จะได้ไม่ต้องมาทำอะไรให้แล้ว แต่มันก็มีค่าใช้จ่าย ตอนนี้ชีวิต ความเป็นอยู่ก็มาอยู่กับน้าสาว น้าสาวเขาเช่าอยู่แล้วผมก็มาอาศัย เพิ่งขายบ้านหลังเก่าไปเพราะว่ามันติดธนาคารก็เลยขายไปแล้วก็จะมาซื้อใหม่ กำลังจะซื้อใหม่ผมก็มาโดนชนเสียก่อน เงินที่จะมาซื้อบ้านก็หมดไปแล้วได้ไปไหนบ้างไหมหลังจากประสบอุบัติเหตุเต็มที่ก็โรงพยาบาล มีอยู่ครั้งเดียวเข้าปีที่ 3 เป็นวันปีใหม่เพื่อนก็เลยเอารถมารับไปนั่งกินเลี้ยงปีใหม่ แต่ก็กว่าจะไปได้ก็ทุลักทุเลพอสมควรได้เงินประกันเท่าไรได้จาก พ.ร.บ. 15,000 บาท และก็รักษาจากประกันชั้นหนึ่งเป็นค่ารักษาหมดเลยเหลือให้มาเป็นเช็คมาได้มา 110 บาท ผมยังถ่ายลงเฟซบุ๊คแลย จริงๆ ประกันแบบนี้มันมีวงเงินอยู่ พอโดนชนแบบนี้ผมอยากให้พิจารณาตามแต่ละเคสว่าใครหนักใครเบา ให้ช่วยเหลือให้ทันท่วงทีอีก 1 ท่าน ในอีกมุมมองของคนใกล้ชิดที่แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ประสบเหตุ แต่ความเจ็บปวดที่ถูกถ่ายทอดออกมาเจ็บปวดไม่แพ้กัน คุณแม่กิมเอ็ง ทัฬหวรรัตน์ อายุ 56 ปี “แม่ของอ๊อฟเล่าว่าเมื่ออ๊อฟเดินไม่ได้ แม่ก็ต้องเป็นคนเดินเรื่อง แม่ก็ติดต่อศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคจังหวัดสิงห์บุรีหรือ ศสส. เลยให้เขาช่วยแม่ ช่วยดำเนินเรื่องให้เพราะแม่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องแบบนี้”แม่มีความรู้สึกอย่างไรบ้างตอนอ๊อฟประสบอุบัติเหตุเพราะตอนนั้นแม่ก็เลิกทำงาน แล้วเขาก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง แม่ก็เสียใจคิดว่าลูกแม่จะไม่ได้กลับมาแล้ว ปัญหาการเงินมันก็ขัดข้อง ค่าใช้จ่ายมีปัญหาขัดข้องทุกอย่าง เราหาเงินไม่ได้แล้ว ไม่มีงานทำ อายุมากแล้ว เขาก็ไม่จ้างเรา(เมื่อก่อนแม่ทำงานร้านอาหารและเลี้ยงเด็ก พออ๊อฟได้ทำงานก็ขอให้แม่ก็เลิก) แม่ก็ต้องลุกมาสู้อีกทีหลังจากนั้นแม่ก็ไปร้องเรียนกับพวกรถตู้หรือที่ขนส่งจังหวัดอะไรบ้างไหมไปที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคจังหวัดสิงห์บุรีหรือ ศสส. อย่างแรกเลย (ทำไมถึงรู้ว่าจะต้องไปร้องเรียนที่นั่น) มีอยู่คนเข้ามาติดต่อบอกว่าถ้าจะให้เขาช่วยอะไรให้ติดต่อเขา ก็ให้เบอร์โทรติดต่อที่ ศสส. ไว้ แม่ก็คุยกับพ่อแม่ผู้ได้รับบาดเจ็บทุกคนว่าเราเป็นอย่างนี้ เราจะไปจ้างทนายความเราก็ไม่มีเงิน เราก็มาให้ ศสส. เขาช่วยกันดีไหม พวกแม่ๆ ก็เห็นด้วย คนอื่นๆ ก็ตกลง ก็รวมกลุ่มกันมาขอให้ ศสส. ช่วยการร้องเรียนนี้ดำเนินการไปยากลำบากแค่ไหนลำบากมากเพราะแม่ก็ไม่ค่อยรู้ขั้นตอนต่างๆ   แล้วหลังจากนั้นเราได้เงินช่วยเหลืออะไรมาบ้าง ใครช่วยเราบ้างอ๊อฟเจ็บหนักมาก ประกันก็เป็นค่ารักษา ประกันของรถเป็นค่ารักษาหมดเลย ไม่เหลือใช้เลยได้ก้อนเดียว ก้อนแรกเลย จากนั้นก็ไม่ได้จากที่ไหนอีกเลย ทั้งเจ้าของรถหรือคนขับค่ะ เจ้าของรถ คนขับ ไม่มีเลย เจ้าของรถมาเยี่ยมพร้อมนมหมีกระป๋องเล็กๆ หนึ่งแพ็คและวันนั้นแม่ก็โทรติดต่อเขา บอกว่าให้เขาลงมาช่วยดูแลเราหน่อย เราเดือดร้อน เขาก็ตอบมาว่า “พี่ หนูก็เดือดร้อน” เราสิเดือดร้อนยิ่งกว่าเขา เขาจะเดือดร้อนอะไร เขามีรถหากินทุกวัน เราไม่มีใครจะออกหากิน ถ้าเราออกหากินแล้วลูกเรานอนไม่มีใครดูแล เราต้องคอยดูแลลูกเราตอนนี้เขาก็ยังทำกิจการรถตู้อยู่เขาก็ยังหากินกับรถตู้อยู่ รถตู้เขาชนแล้วแต่รถทำไมไม่จอดโรงพัก เขาเอารถออกไปเลย คนเขาไม่มีดูแล เขาห่วงแต่รถ จากนั้นเขาก็ไม่ได้มาอะไรอีกเลย มาเยี่ยมครั้งเดียวแล้วถ่ายรูปไปหนเดียวแค่นั้นแม่คิดว่าจากนี้แม่อยากให้เป็นอย่างไร อยากให้การช่วยเหลือเรื่องการต่อสู้ของเราจบลงอย่างไร แม่ไม่อยากจะให้ช่วยให้แม่ชนะหรอก ขอแค่ช่วยให้แม่มีเงินมารักษาลูก อยากให้คุ้มครองผู้ประสบอุบัติเหตุหน่อย โดนชนแล้วไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาช่วยเลย แม่ก็อยากจะให้มีหน่วยงานไหนสักหน่วยงานหนึ่งเข้ามาคุ้มครองหรือช่วยเหลือเยียวยาเบื้องต้น แต่นี่ไม่มีหน่วยงานไหนเขามาดูแลเรา เราก็ดิ้นรนกันเอง ทั้งเดินเรื่อง ทั้งหาเงินทุกอย่าง เงินประกันที่ได้มาก้อนแรกมันน้อยไปสำหรับเราเพราะว่า คนของเราเจ็บมาก เงินที่เราเก็บเอาไว้(ก้อนที่เก็บเอาไว้เพื่อซื้อบ้าน) เราก็เอาออกมาใช้จ่ายหมด แล้วเงินที่เขาช่วยเหลือเยียวยามานี้มันก็น้อยเกินไป แม่อยากจะให้เพิ่มวงเงินขึ้นอีกสักหน่อยหนึ่ง----------------------------------------------------------------------ปัจจุบัน คดีของวิสารท์ ทัฬหวรรัตน์ อยู่ระหว่างการเตรียมบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เพื่อให้บริษัท ขนส่ง จำกัด จำเลยในคดีจ่ายเงินค่าเสียหายตามคำพิพากษา 713,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 นับแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2554 (เดิมศาลพิพากษาไว้ 963,500 บาท แต่ต่อมาประกันภัยมาจ่ายแล้ว 250,000 บาท ตอนนี้เหลือที่ บ.ขนส่งฯ ต้องจ่ายอีกประมาณ 713,500 บาท ไม่รวมดอกเบี้ย)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 194 Drama - Addict กับ นพ.วิทวัส ศิริประชัย

ฉลาดซื้อฉบับนี้ขอพามารู้จักเจ้าของเพจดัง ที่มีคนติดตามมากกว่า 1.5 ล้านคน “Drama-addict หรือ จ่าพิชิต ขจัดพาลชน”  หรือชื่อจริงของเขา นพ.วิทวัส ศิริประชัย ในมุมมองสังคมออนไลน์กับงานคุ้มครองผู้บริโภค แรงบันดาลใจของคุณหมอทำไมตั้งชื่อเพจว่า Drama-addict จริงๆ ตอนแรกเป็นเว็บไซต์ของพวกคนตีกัน ถกเถียง ดีเบตกันในอินเตอร์เน็ต แต่ว่าด้วยอาชีพหลักของผมในตอนนั้นเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลเกาะลันตา แล้วก็เห็นคนไข้ที่ถึงแม้จะอยู่ห่างไกลมากๆ แต่เขาก็ยังตกเป็นเหยื่อของอินเตอร์เน็ตกันเยอะ เช่น คนไข้บางคนไปซื้อยาลดความอ้วนกินแล้วปัสสาวะเล็ดเรี่ยราด ใจสั่น น้ำหนักลดเขาก็มาที่โรงพยาบาล ผมก็รู้สึกว่าเราก็มีคนติดตามเยอะถ้าเราเอาข้อมูลพวกนี้มาทำให้คนไข้รู้นั้นเราก็น่าจะช่วยคนได้มาก เลยเริ่มเอาประเด็นพวกนั้นมานำเสนอ พอทำตรงนี้แล้วมันก็จะมีการติดต่อกับผู้เสียหายจากหลายๆ กรณี ยกตัวอย่างกรณีหนึ่งเป็นนักเรียนประมาณ ม .4 – 5 เขาไปซื้อยาลดความอ้วนยี่ห้อหนึ่ง ยาตัวนี้เขาอ้างชื่อเชอรี่สามโคก ที่เป็นพริตตี้มีชื่อเสียง แต่เชอรี่ตัวจริงเขาไม่รู้เรื่องแต่ว่าถูกเอาชื่อและรูปไปโฆษณายาลดความอ้วนตัวนี้ จนมีคนหลงเชื่อและซื้อไปกินและเสียชีวิต แล้วทางญาติก็อยากเอาเรื่องฟ้องร้อง ก็ติดต่อมาทางผม ผมก็คุยกับเชอรี่ซึ่งเขาก็รู้สึกว่าตัวเขาเองมีส่วนต้องช่วยรับผิดชอบ ก็มีการพูดคุยกันกับเพจดาร์ค อื่นๆ อีกและสุดท้ายก็ไปที่ดีเอสไอเพื่อดำเนินคดีกัน สุดท้ายก็มีการออกหมายจับแม่ค้าคนนี้และนำไปสู่การจับกุมในที่สุด แต่ประเด็นคือ ถูกจับก็ประกันตัวไป เดี๋ยวก็ออกมาขายอีกเหมือนเดิม คือผมรู้สึกว่าทำตรงนี้ไปถ้าสมมติว่ามันออกมาเป็นรูปแบบเดิมมันก็ไม่ค่อยช่วยอะไรได้มาก เพราะว่าโทษมันเบาเหลือเกิน บางคนขายยาลดความอ้วนในเพจหลายๆ เพจโวยกันแทบตายสุดท้ายออกมาขายกิจการใหญ่โตกว่าเดิมก็มี อันนี้เป็นเรื่องทางกฎหมายกับองค์กรที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันดูแลด้วย เพราะว่าอย่างแรกโทษมันเบา และบางทีชาวบ้านอยากร้องเรียนพอไปถึงหน่วยงานที่รับผิดชอบมันมีการโยนกันไปโยนกันมา และมีอีกเคสหนึ่งเขาบอกว่าไปซื้อครีมผิวขาวทาแล้วตัวลายทั้งตัวเลย ซึ่งก็น่าจะผสมสเตียรอยด์ พอไปร้องเรียนที่ อย. ทาง อย. ก็บอกว่าอันนี้ขายในอินเตอร์เน็ตไม่ใช่อำนาจหน้าที่รับผิดชอบของเขาให้ไปไอซีที โยนกันไปโยนกันมาสุดท้ายก็ไม่ได้เรื่องสักที จริงๆ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ควรประสานหลายหน่วยงาน ทั้งหน่วยงานรัฐด้วยกันเองและผู้บริโภคด้วยก็น่าจะสามารถช่วยกันได้ และที่ผมบอกไปตอนขึ้นต้นว่าบางครั้งเราแค่ติดอาวุธให้กับประชาชนแล้วที่เหลือเขาจะจัดการกันเองได้มีกลยุทธ์อย่างไรในการนำเสนอเรื่องราวแต่ละเรื่องที่ทำให้คนสนใจกันมากๆ ได้อันนี้คิดว่าทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน่าจะต้องศึกษาเกี่ยวกับมาร์เก็ตติ้งและการทำโฆษณา ทุกวันนี้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ลองสังเกตดูนะจะเห็นว่าโฆษณาขายครีมลอกผิว ขายยาผิวขาว ยาลดความอ้วนนั้นแชร์หลายหมื่น หลักแสนก็มี ในขณะที่หน่วยงานรัฐเราทำข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงนำเสนอไปคนแชร์หลักสิบ บางทีคนไม่สนใจด้วยซ้ำเพราะบางทีเราคิดว่าทำภาพ ทำโปสเตอร์ใส่เนื้อหาลงไปเยอะๆ แล้วคนจะแชร์ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่อยู่ที่รูปแบบการนำเสนอด้วยว่า ทำอย่างไรจะทำให้คนแชร์คอนเทนท์นั้นเยอะๆ อันนี้ต้องเข้าใจก่อนว่าคนเราเวลาจะทำพวกไวรอลพวกนั้นมันอยู่กับอารมณ์ของผู้บริโภคด้วย ก็คือคนที่เล่นเฟซ ถ้าเขารู้สึกว่าไอ้ตัวนี้มันกระตุ้นอารมณ์เขา เขาก็จะเป็นอารมณ์ด้านบวก คือดูแล้วขำหรือดูแล้วสะเทือนใจอะไรพวกนี้ก็จะกระตุ้นให้เกิดการแชร์มากขึ้น อันนี้เป็นคอนเซ็ปต์ที่ถ้าเราเรียนด้านสาธารณสุขมาน่าจะเคยได้ยินมาบ้างที่ว่าเวลาทำโปสเตอร์รณรงค์อย่าพยายามไปทำให้มันเป็นด้านลบมากเกิน เช่น ถ้าเราจะรณรงค์เรื่องเลิกบุหรี่ก็อย่าเอาภาพที่แบบคนปากเน่าๆ เละๆ มานำเสนอ ทำให้มันเป็นด้านบวกๆ หน่อยเพื่อที่คนจะแชร์ ก็คือต้องศึกษาการทำภาพให้มันดูแล้วอยากแชร์ อยากไลค์เพื่อให้คนเข้ามาถึงข้อมูลตรงนี้ได้ง่ายๆ ในโลกดิจิตอลนอกจากซื้อของแล้วได้ไม่ตรง ยังมีปัญหาอะไรอีกไหมที่มองว่ามาแน่ๆ ในอนาคตถ้าเราดูปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะมีอินเตอร์เน็ต เฟซบุ๊คอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องแต่การก่ออาชญากรรมพวกนั้นไม่ต่างจากยุคก่อน ที่จะมีอินเตอร์เน็ตเลย ยกตัวอย่างง่ายๆ กรณีของโชกุน โชกุนมีอะไรต่างจากแชร์ลูกโซ่สมัยก่อนบ้าง พวกแชร์แม่ชม้อยพวกนั้น คอนเซ็ปต์ทุกอย่างเหมือนธุรกิจแชร์ลูกโซ่เลย คนไทยตกเป็นเหยื่อมาตลอดและยังตกเป็นเหยื่ออยู่เรื่อยๆ ทั้งๆ ที่เรามีข้อมูล มีการเข้าถึงข้อมูลทั้งเฟซบุคหรืออะไรอย่างอื่นมากขึ้น ผมมองว่าพวกเฟซบุค ไอจีอะไรพวกนี้มันเป็นแค่ช่องทางหนึ่งของการเข้าถึงข้อมูล แต่รูปแบบของการก่ออาชญากรรมนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันการก่ออาชญากรรมที่เป็นการละเมิดผู้บริโภคนั้น จะเป็นการใช้ข้อมูลเท็จและใช้ข้อมูลเข้าไปหลอกลวงผู้บริโภคให้หลงเชื่อและหลงเป็นเหยื่อมากกว่า อย่างกรณีพวกที่ขายยาลดความอ้วนหรือพวกขายครีมปรอท เราให้ข้อมูลไปว่าของพวกนี้ใช้แล้วอันตรายกับผู้บริโภค แต่คนก็ไม่เชื่อกันเพราะว่าหน่วยงานภาครัฐนั้นเคลื่อนตัวช้า พอมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกว่าจะทำอะไรได้ข้อมูลมันช้ามาก ขณะที่พ่อค้าแม่ค้าที่ขายครีมเขาไปสร้างข้อแก้ตัว สร้างข้อมูลเท็จสารพัดอย่างเช่นบอกว่า อย. รับรองสินค้าของเขา ตัวนี้มี อย. ทำให้เขาสามารถเอามาขายได้แบบอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงได้ อย่างล่าสุดก็มีกรณีที่เอาของเหลือจากอุตสาหกรรมนมมาทำเป็นนมผงแล้วเอาไปหลอกขายประชาชนบอกว่า ให้ลูกกินแล้วจะตัวสูงซึ่งมันเป็นเรื่องเท็จ แต่คนก็หลงเชื่อกันแล้วก็แห่กันไปซื้อมากมายเพราะว่าก่อนหน้านั้นมันมีขบวนการที่สร้างข้อมูลเท็จ ปั่นหัวให้พ่อแม่ที่อยากให้ของดีๆ กับลูกกินนั้นหลงเชื่อว่าไอ้ตัวนี้เป็นของที่น่าเชื่อถือ มีการยกอ้างงานวิจัยอะไรสารพัดเลย แต่ถ้าเป็นคนในแวดวงการแพทย์หรือว่าวงการสาธารณสุขนั้นเหลือบตาดูแว้บเดียวก็รู้แล้วว่าที่เขายกมาอ้างมันมั่วทั้งนั้น ปัญหาคือเราจะทำอย่างไร ให้ประชาชนนั้นเข้าถึงข้อมูลตรงนี้ว่าสิ่งที่เขาเห็นเป็นข้อมูลเท็จทั้งหมด ประเด็นคือ ถ้าเราจะเล่นสงครามข่าวสารพวกนี้เพื่อให้ผู้บริโภค ซึ่งอย่างแรกต้องมีความว่องไวและเราต้องการให้ความรู้เท่าทันเป็นอาวุธที่จะไปสู้กับพวกข้อมูลเท็จเหล่านี้ มีตั้งแต่การสร้างเครื่องมือในการตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร เช่น รายการชัวร์ก่อนแชร์ มีเว็บไซต์ที่มีสำหรับเช็คข่าวปลอมในอินเตอร์เน็ตและมีการเอาข้อมูลเกี่ยวกับโฆษณาลงรูปพวกนี้มานำเสนอกันผ่านสื่อให้มันดูน่าเชื่อถือและว่องไวเพื่อให้ประชาชนเขามีข้อมูลตรงนี้ไว้อ้างอิง อย่างล่าสุดมีคนเพิ่งส่งเรื่องมาให้ผมเป็นเรื่องของพ่อแม่ที่มีลูกเป็นเอสพีดี เขาก็คุยกันเรื่องลูกเป็นเอสพีดีปกติแล้วก็มีคนขายเอาโคลอสตรุมไปขายในกลุ่มเขาบอกว่าถ้าให้ลูกที่เป็นเอสพีดีกินแล้วสุขภาพจะแข็งแรง ภูมิต้านทานจะดี ปรากฏว่าก่อนหน้านั้นเรามีการนำเสนอข้อมูลผ่านหลายๆ เพจก็โจมตีว่า ไอ้พวกโคลอสตรุมนั้นมันเป็นเรื่องเท็จ หลอกลวงประชาชน เขาก็เอาข้อมูลตรงนี้ไปเถียงกับคนขายเหล่านั้นได้ คือประชาชนก็สามารถจัดการปัญหาเหล่านี้เองได้แต่เราต้องให้ข้อมูลที่เหมาะสมกับเขาก็คือผู้บริโภคยุคนี้ต้องมีความรู้ที่มากขึ้น ถูกต้องและเร็วขึ้น เรื่องข้อมูล อย่างแรกต้องมีข้อมูลแบบที่น่าเชื่อถือได้ มีหน่วยงานภาครัฐเป็นคนการันตีเรื่องข้อมูล อย่างกรณีเรื่องโคลอสตรุม ตอนแรกผมก็พยายามหางานวิจัยต่างประเทศแล้วก็พวกสถานะของโคลอสตรุมจากพวกผู้ชำนาญการ นักวิชาการหลายๆ คนมานำเสนอก็ได้แค่ระดับหนึ่ง แต่พอ อย. มาเล่นด้วยนั้นหายเกลี้ยงเลย คือเรื่องพวกนี้ถ้ามีภาครัฐมาสนับสนุนแบคอัฟข้อมูลที่ถูกต้องให้นั้น ประชาชนจะรู้ว่าข้อมูลจากตรงนั้นมันน่าเชื่อถือ สองก็ต้องทำให้มันย่อยง่ายอาจจะทำเป็นอินโฟกราฟฟิคเยอะๆ ทำให้ภาพมันดูง่ายๆ อาจจะต้องใช้เวลาไปเสริมข้อมูลทีละนิดๆ เพราะว่าถ้าเยอะเกินไปโดยบุคลิกของคนไทยไม่ชอบอ่านอะไรเยอะๆ ต้องใช้ภาพเยอะๆ ตัวอักษรน้อยๆ  เน้นคำที่มีคีย์เวิร์ดสำคัญ อย่างโคลอสตรุมนั้นเราจะเน้นคีย์เวิร์ดคำว่า นมเกรดเทให้หมากิน ซึ่งคำนี้พอคนกินเข้าไปมันจะเกิดความตะหนักรู้ว่าอ้าวเอาของห่วยๆ มาหลอกเรา แล้วคนจะไปหาข้อมูลอื่นเพิ่มเติมเองซึ่งเราก็หาแหล่งข้อมูลให้เขาอ้างอิงง่ายๆ ได้รับการแชร์ข้อมูลกันทุกวันจะทำอย่างไรให้เขาตรวจสอบข้อมูลง่ายๆอย่างแรกต้องสร้างการตระหนักรู้ก่อนว่าข้อมูลที่ส่งๆ กันในโซเชียลนั้นมันไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องจริงทั้งหมดแต่อันนี้เป็นปัญหามาก เพราะว่าทุกวันนี้พอคนเฒ่าคนแก่เขาเพิ่งหัดเล่นเฟซบุคเขาจะคิดว่าไอ้ที่คนเขาแชร์กันเยอะๆ นั้นมันน่าจะเป็นเรื่องจริง ตรงนี้ที่ควรจะต้องค่อยๆ เสริมความรู้กันเข้าไป อย่างข่าวปลอมบางทีแชร์กันเป็นแสน บางทีต้องให้เขารู้ว่าถ้าเป็นข่าวอะไรก็ตามที่เน้นให้คนอ่านรู้สึกมากๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ จะมีพวกที่เอาภาพของคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาตัดต่อสร้างเป็นข่าวปลอมบอกว่าคนนี้ไปข่มขืน แล้วทำภาพให้คนดูแล้วชวนให้โกรธแค้น อันนี้อยากให้เบรคไว้ก่อนเลยว่าถ้าเป็นลักษณะนี้ร้อยทั้งร้อยข่าวปลอมล้านเปอร์เซ็นต์ หรือข้อมูลทางการแพทย์ที่แปลกๆ อย่างเช่นกินไอ้นี่แล้วเป็นมะเร็งถึงตาย ดูเว่อร์ๆ นั้นให้ชั่งใจไว้แล้วหาข้อมูลก่อนเพราะว่าข่าวไหนก็ตามที่มันเน้นกับความรู้สึกคนมากๆ บอกได้เลยอันนั้น คือออกแบบมาเพื่อทำเป็นไวรอล และเป้าหมายมันไม่ใช่เพื่อเน้นข้อมูล ถ้าเป็นไวรอลของภาครัฐนั้นจะทำมาเพื่อให้คนแชร์กันเยอะๆ แต่ถ้าเป็นลักษณะที่กล่าวมาก็เน้นเพื่อหาผลประโยชน์บางคนก็เป็นเหยื่อจากการแชร์เรื่องพวกนี้ ตรงนี้จะทำอย่างไรได้บ้างอันนี้ก็เหมือนที่บอกตอนแรกคือ ต้องทำให้เกิดการตะหนักรู้ การโฆษณาในเฟซบุคที่อ้าง อย.หรืออ้างนู้นอ้างนี่ไม่ใช่เรื่องจริงเสมอไป อย่าง อย. จะเป็นหน่วยงานที่ถูกอ้างอิงบ่อยมาก บอกว่าสินค้าตัวนี้มี อย. ปลอดภัย อย่างโคลอสตรุมมี อย. กินแล้วตัวสูงแน่เพราะ อย. ยังรับรอง ซึ่งมันไม่จริงเลย ตรงนี้ อย. เองก็น่าจะออกมาพูดบ้างว่าเขามีข้อจำกัดอะไร อย่างเช่น อย. เวลาได้เครื่องหมาย อย. มาก็ไม่ได้หมายความว่าปลอดภัย ต้องเข้าใจคำว่าโฆษณากินจริงพวกนั้นด้วย และต้องเข้าใจว่าบางที อย. ก็โดนเล่นเหมือนกันเพราะว่าบางทีคนเอายาลดความอ้วนนั้นไปจดทะเบียนแต่จดทะเบียนว่าเป็นอาหารเสริมธรรมดาแต่โฆษณาว่าลดความอ้วนพอเราจะเข้าไปตรวจว่ามีสารอันตรายอยู่หรือเปล่ามันก็จะรู้ข่าวล่วงหน้าจากเส้นสายวงในอะไรของเขา เขาก็เอาสินค้าล๊อตที่มีสารอันตรายออกเอาล๊อตธรรมดาใส่ อย. ตรวจไปก็ไม่เจออะไรแล้วก็เอาไปขายตามเดิม คือต่อให้สุ่มตรวจว่าเจอสารอันตรายอยู่มันก็แถว่าเป็นยาเถื่อนไม่เกี่ยวกับมัน ที่เจอเป็นยาปลอมซึ่งเป็นมุกที่เล่นกันบ่อยมาก อย่างเช่น หัวบุกอะไรสักอย่างที่ขายกันก่อนหน้านั้นที่คนกินแล้วตายเยอะๆ มันก็อ้างประมาณนี้บอกว่าตัวที่กินไปแล้วตายเป็นของปลอม ปลอมได้อย่างไรมาจากโรงงานเดียวกัน พอ อย. เจอแบบนี้เข้าเขาก็เล่นยาก ถึงได้บอกว่าต้องประสานงานกันหลายๆ หน่วยงานไม่แค่ อย. เจ้าเดียว อย. ต้องร่วมกับไอซีที ร่วมกับดีเอสไอจับได้ให้คาหนังคาเขาเลย และถ้าพูดถึงการคุ้มครองผู้บริโภคอาจจะต้องมีการประสานงานกับหลายๆ เพจเฉพาะด้านอย่างแชร์ลูกโซ่ก็จะมีเครือข่ายต่อต้านแชร์ลูกโซ่แบบนี้ เพราะว่าพอมีกลุ่มพวกนี้ออกมาเพจพวกนี้เขาจะมีเครือข่ายข้อมูล ประชาชนก็จะแห่ไปให้ข้อมูลซึ่งพอเขาประสานงานกับหน่วยงานรัฐนั้นจะง่ายขึ้นเพราะว่ามีเบาะแสที่เจ้าหน้าที่ต้องการ อย่าไปทำคนเดียวต้องช่วยกัน และต้องเร็วขึ้น ต้องตอบรับสถานการณ์ให้ไวขึ้น เพราะถ้าเป็นอย่างเมื่อก่อนเวลามีประเด็นกินยาลดความอ้วนตายกว่าจะขยับตัวสัปดาห์ถัดไปมันไม่มีอะไรให้ตรวจสอบแล้วทำงานตรงนี้มากี่ปีแล้ว มีพวกภัยมืดอะไรไหมที่เข้ามา ท้อแท้บ้างไหมทำเพจก็ 6 -7 ปีแล้วถ้าจำไม่ผิด ก็มีขู่ฟ้องอะไรสารพัดเลย อย่างคนอื่นเขาก็โดนกันเยอะ หมอแล็บ หมอแมวที่ทำเพจเกี่ยวกับให้ความรู้โดนขู่ฟ้องตลอด ตรงนี้ผมคิดว่าภาครัฐก็ต้องเข้ามาช่วยเหลือบ้างนะเพราะว่าบางทีคนก็ต้องแห่กันไปใช้บริการเพจนอกกฎหมายซึ่งมันก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเสมอไป ท้อแท้ไหม บ่อยเลย แต่มันก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำคนก็เป็นเหยื่อไอ้พวกนั้นต่อไปเรื่อยๆ  แต่ที่ประสบความสำเร็จก็มี อย่างเรื่องโคลอสตรุมที่เล่าไปเมื่อสักครู่ถือว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะว่าคนตื่นรู้จนตอนนี้ไม่มีคนซื้อมันแล้ว เวลาเอาไปขายในเพจเลี้ยงลูกก็จะมีคนเอาข้อมูลพวกนี้ไปแปะ คือเขาจัดการกันเองได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 193 นักสื่อสารกับสังคม ธรากร กมลเปรมปิยะกุล

“นักโฆษณาที่เบื่อโลกโฆษณาแล้วเอาทักษะที่เรามี มาเล่าเรื่องแบบนี้ คุณเชื่อไหมผมทำเรื่องพวกนี้ผมสนุกมากเลย มีความสุขเพราะผมไม่ต้องหลอกคน และยังได้เอาเรื่องดีๆ ไปบอกชาวบ้านด้วย” คุณพงศ์ หรือ ธรากร กมลเปรมปิยะกุล นักสื่อสารเพื่อสังคม เล่าให้เราฟังถึงการทำงานของเขา การเลือกที่จะสื่อสารบางสิ่งออกมา ..บอกในสิ่งที่คนทำโฆษณาไม่เคยคิดจะบอกมาเป็นนักสื่อสารเพื่อสังคมได้อย่างไรจะเล่าให้ฟังสั้นๆ ก็คือผมมาทำงานให้กับสำนัก 5 (สำนักส่งเสริมวิถีชีวิตสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.) มันจะมีเรื่องสุขภาวะทางปัญญา ซึ่งผมเป็นคนที่ต้องย่อยเรื่องที่มันไม่เป็นชุดข้อมูล มาทำเป็นชุดข้อมูล ตอนนั้นทำอยู่กับคุณหมอประเวศ วะสี ท่านเคยบอกว่า คุณจะสนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงภายในมันจะต้องรู้ว่ามันไม่ใช่มีแค่นั่งสมาธิเท่านั้น มันมีหลายวิธี อาจารย์พูดไว้ 2 - 3 ปีแล้ว ผมก็ทำชุดข้อมูล 8 ทาง ว่ามีอะไรบ้างแล้ว ใครทำอะไรอยู่บ้าง พอมันถูกเปิดเผยออกมาแล้วขึ้นไปอยู่บนออนไลน์ คนก็จะเข้ามาสนใจเรื่องนี้ อาจารย์ประเวศบอกว่า เวลาขับเคลื่อนงานทั้งหมด สื่อเป็นเหมือนกระดูกล้อกลางที่จะดึงข้อมูลมาแล้วระเบิดออกไป คนถึงจะมาช่วยเรา คือผมรู้เลยพี่น้องตรงนี้(สสส.)ทำงานกันดีมาก แต่ก็ต้องมีทีมสื่อที่มีประสิทธิภาพด้วย หน่วยงานของผมก็เหมือนหน่วยงานอิสระที่ไปช่วยด้านสื่อสาร ก็ มีไอแคร์ ครีเอทีฟมูฟ วายนอท ชูใจ เขาก็คล้ายๆ ผม นักโฆษณาที่เบื่อโลกโฆษณาแล้วเอาทักษะที่เรามีมาเล่าเรื่องแบบนี้ คุณเชื่อไหมผมทำเรื่องพวกนี้ผมสนุกมากเลย มีความสุขเพราะผมไม่ต้องหลอกคน และยังได้เอาเรื่องดีๆ ไปบอกชาวบ้านด้วย สมัยก่อนผมต้องโฆษณาเรื่องอะไรก็ไม่รู้ มันหลอกชาวบ้าน ผมเคยทำมาหมดแล้ว ทีมข่าวบ้าบอคอแตกอะไรพวกนี้ ดังนั้นผมว่าน่าทำ ผมยินดีเทรนด์ของการสื่อสารกับสังคมคุณมองอย่างไรจะเห็นได้ว่า 10 ปีที่ผ่านมาเทรนด์ในการใส่ใจเรื่องของสังคมมันเริ่มเป็นที่ถูกมองถูกเรียกร้องของผู้บริโภคมากขึ้น แล้วภาคเอกชนเองก็เริ่มตระหนักถึงส่วนนี้ ตอนนี้ผมมองว่าบริษัทภาคเอกชนนั้นแบ่งออกเป็นหลายความตระหนักในเรื่องนี้ หลายคนก็ยังทำในแบบเก่าคือว่าทำเพื่อให้เห็นว่าต้องทำนะ ทำเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมแต่ยังไม่ได้รู้สึกหรือว่าควบรวมมาเป็นภารกิจขององค์กร ระดับนี้ก็ยังมีอยู่จำนวนไม่น้อย แต่ระดับที่เพิ่มขึ้นและเป็นทิศทางที่ดี ต้องยอมรับว่าผมทำไอแคร์ประมาณ 7 ปีก่อนหน้านี้ คือ 7 ปีก่อนคำว่า ซีเอสอาร์หรือโซเชียลเอนเตอร์ไพร์ซใหม่มากเลยและเมื่อ 7 - 8 ปีก่อน ตอนนั้นมันจะเป็นภาระเหมือนที่ผมพูดคือ ธุรกิจส่วนหนึ่ง เพื่อสังคมส่วนหนึ่ง ผมเห็นเทรนด์ที่ดีมากในรอบ 5 - 6 ปีมานี้ มันจะเห็นได้ว่าผู้บริหารรุ่นใหม่ ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ เริ่มรู้ว่ามันไม่ใช่แค่ทำเป็นว่าทำเพื่อสังคมแล้ว แต่ถ้าคุณไม่ใส่ใจสังคมแบรนด์คุณก็อยู่ไม่ได้ด้วย เพราะสมัยนี้ผู้บริโภคไม่ได้เชื่อโฆษณาหรือเชื่อจากภาพถ่ายอีกต่อไป เขารู้ว่าคุณเป็นคนยังไง รู้ว่าคุณเป็นแบรนด์แบบไหน ถ้าคุณเป็นแบรนด์ที่ให้ความสะดวกขายของได้เต็มที่ แต่คุณไม่ได้นึกถึงคนอื่นมากพอ ผู้บริโภคเดี๋ยวนี้เขาก็ไม่เชื่อโฆษณานะ เขาเชื่อสิ่งที่คุณเป็น ดังนั้นในภาคเอกชนภาคธุรกิจต่างๆ พอเขาเริ่มรู้ตัวว่าตรงนี้เป็นจุดสำคัญที่ผู้บริโภคจะเข้าถึง เขาก็เริ่มตระหนักคิดมากกว่าแค่กิจกรรมแล้ว เขามองว่ามันจะต้องเป็นส่วนหนึ่งที่เขาต้องรับผิดชอบจริงๆ ไม่ใช่แค่การสร้างภาพอีกต่อไป ผมมองว่าอย่างองค์กร(ไอแคร์) ที่เราทำอยู่ เราทำอยู่ 2 ลักษณะเลย คือตัวธุรกิจคือเรียลเอสเตทนั้น เราต้องมองสิ่งที่ดีให้กับลูกบ้านของเราจริงๆ แล้ววิสัยทัศน์ของเจ้านายก็คือ ถ้าเรามีงบให้สังคมเราจะทำอย่างไรให้เกิดผลสูงสุด ก็เห็นว่าการเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ร่วมทดลองทำบางอย่างหรือพอจะทำสื่อได้เพราะสื่อเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากในการนำความคิดผู้คน เราก็เลยตั้งใจลงทุนใน 2 สิ่งนี้ ก็เลยเป็นที่มาของไอแคร์ แต่ถามว่าตรงนี้ก็ยังได้เป็นที่สุดที่ภาคธุรกิจไปถึงได้ในการทำเพื่อสังคม ยุคใหม่ๆ นี่โดยเฉพาะหลายๆ สตาร์ทอัพนั้นจะเป็นแบบนี้ คือเขาจะผนวกปัญหาของสังคมเป็นภารกิจของธุรกิจเลย ธุรกิจของคุณดำรงอยู่เพื่อแก้ปัญหาสังคมบางอย่างเลยไปดูได้สตาร์ทอัพทั้งหลายนั้นจะบอกว่าการเกิดขึ้นของธุรกิจหรือนวัตกรรมของคุณแก้ปัญหาอะไรบ้างหรือทำให้โลกใบนี้ดีขึ้นในด้านใด ตอนนี้ผมรู้สึกว่าเทรนด์เรื่องนี้เริ่มเกิดขึ้น คนรุ่นใหม่เริ่มทำธุรกิจที่ดีกับสังคม นี่จะเป็นคำตอบที่น่าจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น มันจะไม่ใช่แค่ขายของอย่างหนึ่ง โฆษณาอย่างหนึ่งสร้างภาพอีกอย่างหนึ่ง แต่ธุรกิจมันต้องคิดเพื่อคนอื่นเลย เทรนด์นี้จะเริ่มอย่างไรได้บ้างโดยเฉพาะกลุ่มภาคธุรกิจคุณต้องประเมินตัวเองก่อนว่าอยู่ในภาวะไหน ยังมองว่าเรื่องเพื่อสังคมเป็นการสร้างภาพ กฎหมายบังคับหรือคุณแค่ทำ แต่มันยังมีขั้นตอนต่อไป ถ้าคุณเห็นแล้วรู้สึกว่าคุณมีส่วนในการทำให้สังคมมันดีขึ้นจากตรงนี้ได้ ซึ่งตรงจุดนี้ถ้าผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ที่ดีเขาจะรู้ตัวเขานำของสิ่งนี้มาสู่องค์กร มันจะเพิ่มขวัญและกำลังใจให้พนักงาน ผมพบบางองค์กรที่ได้แค่เงินแล้วธุรกิจนั้นมันไม่เป็นประโยชน์ต่อโลกใบนี้ คนรุ่นใหม่เขาก็ไม่อยากทำ เขาอยากทำในองค์กรที่รู้สึกว่าได้เงินด้วยมีบริษัทช่วยโลกด้วย คือธุรกิจที่ได้เงินเยอะๆ ผมว่ามันล้าสมัยแล้วทุกวันนี้ มีบริษัทใหญ่ๆ ที่ถูกโจมตีอยู่เยอะแยะไป ผมว่ามันใกล้จะถึงยุคที่ภาพลักษณ์มันจะไม่มีความหมายแล้ว เพราะวันนี้เราคุยเรื่องโฆษณา เรื่องสื่อสารเห็นว่าคนรู้แล้วว่าอะไรคือโฆษณา อะไรคือความเป็นจริง หมายความว่าธุรกิจยุคใหม่ๆ ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าการรับผิดชอบต่อสังคมหรือการคืนสู่สังคมเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงอยู่ของธุรกิจในระยะยาวมันก็จะไปได้ยาก เพราะไม่เพียงแต่ผู้บริโภคเท่านั้นแต่คุณจะหาพนักงานที่ดีที่สุดมาทำงานกับคุณไม่ได้ คนรุ่นใหม่ไม่ใช่ว่าไม่มีความอดทนแต่บางทีเขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินเขาแค่อยากมาหางานที่มีความหมาย พอเขาไปอยู่ในองค์กรเก่าๆ ที่มันทำไว้เพื่อเงินเพื่อการแข่งขันเขาก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่  อันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ภาคธุรกิจบางที่ต้องมองปัญหาเรื่องนี้เหมือนกัน แต่โอเคมันจะมีเด็กรุ่นใหม่ที่อ่อนแอ หรือไม่มีความมั่นคงอะไรก็ตามแต่อันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ผมว่าธุรกิจระยะยาวมันจะไปไม่ได้เลยถ้าคุณปฏิเสธภาคสังคม ดังนั้นถ้าถามว่าภาคธุรกิจจะทำอย่างไร ก็ต้องรู้ตัวคุณเองก่อนว่าอยู่ในระดับไหน คุณอยากเป็นองค์กรแบบเก่าสร้างภาพอย่างเดียวหรือคุณรู้ว่าองค์กรที่คุณมีอยู่จะธุรกิจ 10 ล้านหรือ 1,000 ล้านของคุณมันทำให้โลกใบนี้ดีได้ด้วยสิ่งที่คุณทำ ตรงนั้นคุณจะเป็นคนตัดสินใจเองว่า คุณจะพาองค์กรไปทางไหน เริ่มจากเรื่องเล็กๆ ก็ได้ เป็นซีเอสอาร์ จนถึงทำให้พนักงานมีความสุข จนถึงชวนพนักงานมาทำบางอย่างให้ธุรกิจมันดีและโลกใบนี้มันดีด้วยมันมีหลายขั้นตอน มันยากไหมกับการที่จะทำให้ภาคธุรกิจปรับในแง่ของมุมมองหรือทัศนคติด้านความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ทั้งยากและง่าย เพราะมันเป็นจิตสำนึกของผู้ประกอบการนะ ต้องยอมรับว่าการแข่งขัน มันก็ดุเดือด ทั้งต้องรักษาต้นทุนทำให้ได้กำไร รักษาธุรกิจมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายมันก็อาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เขาทำบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเลยเลือกวิธีที่ไม่ได้ดีที่สุด  แต่มันมีอีกวิธีในการทำธุรกิจแต่ผมเชื่อว่า ถ้าเขาทำทุกอย่างถูกต้อง ดีที่สุดต่อผู้บริโภคเขากลับจะพาตัวเองไปสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ต่างหาก กลุ่มเป้าหมายที่อยากได้ของดี อยากได้แบรนด์ที่นานๆ ไม่มีลูกค้าคนไหนอยากซื้อของกับนักธุรกิจที่หลอกลวงจริงไหม แต่ว่าสัดส่วนมันก็ยังต่างกัน ผมว่าแล้วแต่ว่าเขาจะเลือกเอง ว่าจะเด่นทางไหน มีเหมือนกันนะนักธุรกิจที่ดีที่ทำทุกอย่างดีจนเกินมาตรฐานแล้วขายของแพงเป็นบ้า แต่ก็ยังมีคนซื้อ มันแล้วแต่คนจะเลือก ผมทำโครงการอยู่โครงการหนึ่ง ชื่อว่า New Heart New World องค์กรผมยังเห็นชัดเพราะมันต้องขึ้นอยู่กับผู้นำองค์กรเขามองเห็นอะไร เห็นกำไรเป็นที่ตั้งแล้วไม่สนใจสิ่งอื่น หรือเห็นว่าถ้าบริษัทอยู่รอดแต่สังคมไม่รอด คุณต้องเลือกว่าคุณจะมองเห็นแบบไหน ถ้าคุณเลือกแต่ความอยู่รอดมันก็ไม่ผิดหรอกที่จะเลือกทางแบบนั้น แต่มันก็คับแคบแล้วระยะยาวคุณก็ไม่มีความสุขจนกว่าคุณจะเห็นว่าถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงได้คุณก็ต้องเลือกต้องเติมสิ่งใหม่ๆ ตรงนี้เป็นการตัดสินใจของผู้นำขององค์กรนะ คิดว่าเรื่องสิทธิผู้บริโภค มันจำเป็นกับบ้านเราอย่างไรผมว่าจำเป็นมากเลย และบางทีผมลืมเรื่องนี้ไปนานแล้ว บางทียิ่งตามการเติบโตของโลกออนไลน์ ทุกคนขึ้นมาทำอะไรขายกันได้เยอะแยะมากมายในออนไลน์แล้วสิ่งที่น่าตกใจมากคือวันนั้นผมเห็น คือผมเคยทำงานโฆษณามาก่อน เวลาทำโฆษณา เรื่องยาลดความอ้วนหรือผิวขาว กว่าโฆษณาจะผ่าน ผมส่งเรื่องไป อย. นานมาก คือมันห้ามพูดโอเวอร์เคลม วันนั้นผมเห็นโฆษณาบนยูทูป ผมรู้เลยว่าโฆษณาตัวนี้มันไม่ได้ผ่าน อย. มันพูดโอเวอร์เคลมน่าเกลียดมาก ซึ่งเขาทำได้เพราะเป็นเรื่องของยูทูปไม่ต้องส่ง อย. ผมมองว่าผู้บริโภคกำลังถูกข้อมูลใหม่ๆ ที่น่ากลัวมากเข้ามา ผมว่าความสำคัญของการเข้าถึง การรู้เท่าทันข้อมูล องค์กรที่ทำเรื่องพวกนี้สำคัญมาก เพราะมันไม่ควรจะให้ผู้บริโภคเป็นเด็กน้อยๆ เป็นลูกแกะ ให้ผู้ประกอบการมาบอกเสนอหรือชี้นำอะไรก็ได้  ความจริงมันต้องรู้  เช่นกันผู้บริโภคก็ต้องตื่นตัว ต้องมีวิจารณญาณ ต้องมีความรู้เท่าทันสื่อ Media Literacy (การรู้เท่าทันสื่อ) ซึ่งเรื่องเหล่านี้โซเชียลมีเดียก็มีส่วนให้คนเข้าใจเรื่องพวกนี้และแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เคยมีคนบอกว่าโซเชียลมีเดียนั้น ทำให้คนสุดท้ายแล้วมีเรื่องแย่ๆ เยอะในออนไลน์ก็จริง แต่มันทำให้คนฉลาดขึ้น คนที่แลกเปลี่ยนข้อมูลกันมันไม่ใช่ฝั่งเจ้าของสินค้าที่พูดสายตรงออกมาคือมันมีการพูดคุย แต่เราจะคุยแลกเปลี่ยนกันว่าอะไรมันคือความถูกต้อง ผมว่าตรงนี้มันจะทำให้ภาพรวมของการรู้เท่าทันน่าจะดีขึ้น และผมว่าสุดท้ายการทำงานลักษณะนี้มันจะเพิ่มพลังให้ผู้บริโภคมากขึ้น ไม่ใช่ให้คนทำสินค้าแย่ๆ  มาเอาเปรียบเรา ผมว่าอันนี้สำคัญ พวกสื่อในรูปแบบต่างๆ เช่น Youtube หรือไวรัล ที่ในปัจจุบันมีอิทธิพลมากมองอย่างไร ควบคุมคงยาก โลกของโซเชียลเน็ตเวิร์ค โซเชียลมีเดียมันมีความเป็นธรรมชาติสูง บางเรื่องมันเร็วมากเป็นไฟลามทุ่ง ผมว่ายุคนี้ยิ่งน่าทำมากคือเรื่อง Media Literacy (การรู้เท่าทันสื่อ) ทั้งความเข้าใจในการรับสื่อ กฎกติการมารยาทที่พึงทำในโลกออนไลน์ สิ่งเหล่านี้ต้องมีการทำออกมา ภาครัฐบางทีการใช้กฎหมายบังคับมันเป็นที่ปลายเหตุ ต้องสร้างจิตสำนึกของผู้ทำสื่อกับผู้บริโภคสื่อให้ได้ ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน ถ้าทำได้นะเรื่องความรู้ความเข้าใจ มันไม่ใช่การไปประกาศบอกอะไรแต่มันต้องชี้ให้เห็นคุณและโทษหรือชี้ให้เห็นตัวอย่าง ผมว่าน่าจะมีการทำชุดข้อมูลพวกนี้และต้องยอมรับจริงๆ ว่าถ้าภูมิคุ้มกันของผู้รับสารไม่มีมากพอโอกาสที่จะถูกหลอกก็ง่ายมาก แล้วเราต้องเลือกเสพอะไรบ้าง ผมว่าคนที่อ่าน “ฉลาดซื้อ” เป็นคนที่ใส่ใจอยู่แล้วและมีความคิดที่จะเติมความรู้ทุกสิ่งทุกอย่างดีอยู่แล้ว นอกจากรู้แล้วนั้นผมว่าอีกอย่างที่สำคัญคือการช่วยกันบอกต่อข้อมูล อย่างที่บอกข้อมูลเหล่านี้เราเป็นองค์กรทำด้วยงบประมาณมันไม่ได้เท่ากับองค์กรภาคเอกชนคือมันคนละระดับกันแต่น้ำหนักของข้อมูลเวลามันมาจากความจริง มาจากผู้บริโภคส่งถึงกันมันมีพลังมากกว่า ตรงนี้ถ้าเราจะทำให้ผู้ประกอบการมีจิตสำนึกมากขึ้น การเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ก็สำคัญและการรวมกันเพื่อที่จะแชร์สิ่งเหล่านี้ออกไปผมว่ามันเป็นพลังที่ดี ผมไม่เชื่อเรื่องการที่เราไปตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้ประกอบการแต่เราเป็นส่วนหนึ่งที่มาคุยกันน่าจะดีกว่า   ไอแคร์ (iCARE) เป็นองค์กรสร้างสรรค์เพื่อสังคม นำโดย ธรากร กมลเปรมปิยะกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 192 คนใช้สิทธิยอดเยี่ยม’59 “สิทธิของเรา เราใช้ได้ เราทำได้”

ฉลาดซื้อฉบับนี้จะพาไปรู้จักคนใช้สิทธิยอดเยี่ยมประจำปี 2559 ซึ่งคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดให้มีการมอบรางวัล “ คนใช้สิทธิยอดเยี่ยม” ขึ้น ซึ่งในแต่ละปีจะมีผู้บริโภคที่เห็นความสำคัญในสิทธิอันพึงมีพึงได้ในฐานะผู้บริโภค และมีความมุ่งมั่นในการปกป้องสิทธิ ดำเนินการร้องเรียน ต่อสู้เพื่อให้ได้ความเป็นธรรม อีกทั้งคอยติดตามแก้ไขปัญหาของตนเองเป็นตัวอย่างที่ดีต่อสังคมและทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อสังคมในภาพรวม ซึ่งเรานำมาให้ทุกท่านรู้จักเรียงตามลำดับดังนี้1.เจตนิพิฐ สุขกัลยาเจตนิพิฐ สุขกัลยา ผู้บริโภคที่ใช้สิทธิร้องเรียนโรงพยาบาลเพื่อคืนสิทธิบัตรทองให้ญาติชาวจีนผ่านศูนย์พิทักษ์สิทธิคุ้มครองผู้บริโภคจังหวัดปัตตานี ผลจากการใช้สิทธิในครั้งนี้ทำให้คนต่างด้าวเชื้อสายจีนที่มาอยู่ในจังหวัดปัตตานีอีกหลายคนได้รับผลการคืนสิทธิด้วยนางเจตนิพิฐ สุขกัลยา อายุ 37 ปี ได้ช่วยเหลือนายเซี๊ยะทง แซ่อั้ง ซึ่งมีศีกดิ์เป็นลุง นายเซี๊ยะทงถือสัญชาติจีนและเชื้อชาติจีนโดยกำเนิด มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยอย่างยาวนาน จนได้รับสัญชาติไทยมีเลขประจำตัวประชาชน นายเซี๊ยะทงมีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดสมองตีบ เส้นเลือดหัวใจตีบ ไต ต่อมลูกหมากโต รักษาตัวและใช้สิทธิบัตรทองที่โรงพยาบาลปัตตานี จนกระทั่ง วันที่ 27 ตุลาคม 2557 ได้ไปรับยาต่อมลูกหมากโตตามหมอนัดและญาติได้พาคนป่วยไปให้หมอดูแผลเบาหวาน เมื่อเข้าพบหมอเพื่อรับยาต่อมลูกหมากโต หมอได้ยื่นใบสั่งยาให้ หลังจากได้ดูใบสั่งยา เจตนิพิฐ สังเกตว่าสิทธิรักษาพยาบาลถูกเปลี่ยนสิทธิบัตรทองผู้สูงอายุ เป็นแบบต้องจ่ายเงินเอง จึงสอบถามเจ้าหน้าที่และไปติดต่อห้องสิทธิ (แต่คนป่วยได้พบหมอเรื่องแผลเบาหวาน หมอสั่งให้นอนโรงพยาบาล และให้ไปรับยาของโรคต่อมลูกหมากก่อน)เมื่อติดต่อเรื่องสิทธิกับห้องสิทธิของโรงพยาบาล ทางห้องสิทธิแจ้งว่า คนป่วยเป็นต่างด้าว ไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทองได้ ต้องจ่ายเงินรักษาพยาบาล เธอจึงได้ถามว่าจะทำยังไงเพราะคนป่วยเป็นผู้สูงอายุไม่มีรายได้จะให้จ่ายเงินแบบนี้ทุกเดือนและรอบนี้ต้องนอนโรงพยาบาลด้วย จะมีค่าใช้จ่ายสูง ห้องสิทธิเสนอให้ซื้อแบบรักษาพยาบาลของคนต่างด้าว คนละ 2,800 บาท แต่มีหลักเกณฑ์ว่าต้องไม่มีโรคประจำตัว และต้องมาตรวจร่างกาย ซึ่งท้ายที่สุดก็ไม่สามารถซื้อสิทธิคนต่างด้าวได้ต่อมาเธอจึงได้โทรไปปรึกษาเรื่องนี้กับคุณกัลยา เอี่ยวสกุล ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพประชาชนและศูนย์ 50(5) จ.ปัตตานี โดยเล่าประวัติคนป่วยและสอบถามว่าผู้ป่วยหากไม่มีบัตรประชาชนแต่ถ้ามีเลข13 หลักในทะเบียนบ้านแล้วจะสามารถใช้สิทธิบัตรทองอีกได้หรือไม่ คุณกัลยาจึงประสานไปที่กระทรวงสาธารณสุขจนทราบว่าคนป่วยมีสิทธิใช้สิทธิ์บัตรทองได้ จึงติดต่อกลับมาที่เธออีกครั้งหนึ่งหลังจากนั้นเจตนิพิฐ จึงนำหลักฐานของคนป่วยที่มีเลข 13 หลักลงไปห้องสิทธิโรงพยาบาล เพื่อเขียนคำร้องการขอใช้สิทธิ เธอได้โทรศัพท์สอบถามกับกระทรวงฯ ถึงข้อเท็จจริงอีกรอบ เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ ได้อธิบายขั้นตอนการขอคืนสิทธิบัตรทองของคนป่วยกลับมาให้ใช้ได้เหมือนเดิมและกำชับให้เอาหลักฐานของผู้ป่วยไปยื่นที่ห้องสิทธิ หากมีปัญหาให้ทางห้องสิทธิโทรกลับมาที่กระทรวงฯ จากนั้นเธอจึงนำเอกสารตามที่เจ้าหน้าที่กระทรวงบอกทุกอย่าง ไปยื่นที่ห้องสิทธิของโรงพยาบาลปัตตานี แต่ก็ยังมีปัญหา เพราะความไม่เข้าใจของเจ้าหน้าที่ห้องสิทธิ จึงให้เจ้าหน้าที่ห้องสิทธิคุยสายตรงกับกระทรวงสาธารณสุข เจ้าหน้าทางกระทรวงฯ ได้ชี้แจงเรื่องสิทธิของคนป่วยให้ห้องสิทธิฟัง ทางห้องสิทธิจึงยอมทำเรื่องคืนสิทธบัตรทองให้กับนายเซี๊ยะทงผลจากการคืนสิทธิให้นายเซี๊ยะทง แซ่อั้ง ครั้งนี้ ทำให้คนต่างด้าวเชื้อสายจีนที่มาอยู่ในจังหวัดปัตตานีอีกกว่าร้อยคนได้รับผลการคืนสิทธิด้วยทำไมจึงลุกขึ้นมาใช้สิทธิที่ผ่านมาลุงรับการรักษาด้วยระบบบัตรทองมาตลอด ซึ่งสามารถช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาลไปได้เยอะ แต่ภายหลังกลับถูกเปลี่ยนสิทธิกะทันหัน ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเองจำนวนมาก จึงรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะเสียสิทธิที่ควรจะได้รับ และเชื่อว่าต้องมีอีกหลายคนที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ซึ่งเขาอาจไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ดังนั้นเราจึงลุกขึ้นมาเป็นตัวแทนในการร้องเรียนปัญหาและอุปสรรคในการใช้สิทธิร้องเรียนปัญหาหลักที่พบคือ การสื่อสารของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เนื่องจากไม่มีความชัดเจนว่าสิทธิบัตรทองสามารถใช้กับใครได้บ้าง นอกจากนี้เมื่อสอบถามข้อมูลมากๆ ก็ดูเหมือนว่า ไม่ทราบรายละเอียดและไม่ค่อยเต็มใจช่วยเหลืออยากให้คนที่ถูกละเมิดสิทธิ ลุกขึ้นมาใช้สิทธิอย่างไรอยากให้คนที่ถูกละเมิดสิทธิลุกขึ้นมาร้องเรียนปัญหา คนไทย เป็นคนง่ายๆ พอโมโหก็อยากจะใช้สิทธิ พอหายโมโห ก็คิดว่าอย่าไปทำอะไรเขาเลย สงสารเขา สงสารหน่วยงาน ตอนนี้พี่ก็เหมือนกระบอกเสียงนะ กระตุ้นให้คนออกมาใช้สิทธิของตัวเองให้เต็มที่ สิทธิของเรา เราใช้ได้ เราทำได้ แต่กังวลว่าบางคนเขาอาจไม่รู้แนวทาง ซึ่งหากเราไม่รู้จักกับศูนย์ประสานงานคุ้มครองผู้บริโภคก็คงไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไรเช่นกัน จึงอยากให้มีการประชาสัมพันธ์ถึงแนวทางการร้องเรียน รวมทั้งข้อมูลเรื่องสิทธิบัตรทอง ให้ชาวบ้านได้รับทราบมากขึ้น2.สมคิด โพธิ์จินดาผู้บริโภคที่ลุกขึ้นต่อสู้เรื่องการตั้งเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ โดยขอยกเลิกสัญญาเช่าพื้นที่สำหรับติดตั้งเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ ผ่านสมาคมคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นายสมคิด โพธิ์จินดา เป็นเกษตรกรเลี้ยงโคนมและเป็นเจ้าของพื้นที่ให้เช่าเพื่อตั้งเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ วันหนึ่งเขาได้ตั้งข้อสังเกตว่าตั้งแต่มีการตั้งเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์นั้น ปริมาณน้ำนมที่รีดได้ในแต่ละวันลดลงจากเดิมก่อนที่มีการตั้งเสา และวัวก็เป็นหมันแม้ว่าจะผสมกับวัวสาวก็ตาม จะไม่ติดลูกหรือถ้าติด ลูกที่ออกมาก็จะขาลีบ ส่วนสุขภาพของตนเองจะเป็นโรคความจำสั้น หงุดหงิดง่าย และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ต่อมาในเดือนตุลาคม 2557 เขาได้ดำเนินการขอยกเลิกสัญญาเช่าฉบับใหม่ไปก่อนถึงวันสิ้นสุดสัญญาเช่าพื้นที่ เนื่องจากไม่ประสงค์ทำสัญญาเช่าต่อไปด้วยเหตุผลด้านการประกอบธุรกิจส่วนตัวและสุขภาพ ทั้งนี้บริษัทผู้เช่ารับทราบพร้อมดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 แต่เวลาผ่านไปจนถึงประมาณปลายปี 2559 ก็ยังคงเพิกเฉย และไม่ดำเนินการรื้อถอนอุปกรณ์ของบริษัทออกจากพื้นที่ แต่กลับมาดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม ซึ่งนายสมคิด ได้บอกกล่าวให้บริษัทดำเนินการตามสัญญาที่ระบุไว้ในเวลาอันเหมาะสมแล้ว แต่บริษัทไม่ดำเนินการ ทำให้ได้รับความเสียหาย จึงได้มาร้องเรียนกับสมาคมคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ช่วยเหลือเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมโดยเร็ว โดยมอบอำนาจให้สมาคมคุ้มครองสิทธิฯ รับผิดชอบดำเนินการประสานงานฯ แทนตนต่อมาทางสมาคมฯ จึงได้มีหนังสือถึง กสทช. เพื่อช่วยเหลือในการดำเนินการเรียกร้องสิทธิและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการตั้งเสาส่งสัญญาณฯ ดังกล่าวในประเด็นดังนี้1.ขอให้บริษัท ดำเนินการรื้อถอนเสาส่งสัญญาณฯ ดังกล่าวภายใน 15 วันนับจาก (กสทช.)ได้รับหนังสือฉบับนี้ เพื่อให้เป็นไปตามสัญญาที่เป็นธรรม2.ขอให้ กสทช. ตรวจสอบการติดตั้งเสาส่งสัญญาณว่าเป็นไปตามประกาศ กสทช. หรือไม่ หากพบการกระทำดังกล่าวไม่เป็นไปตามประกาศ ฯ ขอให้ระงับการส่งคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ทันทีจนกว่าจะพิสูจน์ถูกผิด 3.ขอให้บริษัท ชดเชยและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการขอเช่าพื้นที่ติดตั้งเสาส่งสัญญาณ โดยไม่ชี้แจงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งด้านร่างกาย,จิตใจ และผลกระทบต่ออาชีพ (ฟาร์มเลี้ยงวัวนม) อ้างอิงจาก งานวิจัยผลกระทบต่อสุขภาพจากเสาสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดย อ.สุเมธ วงศ์พานิชเลิศ และสถิติจาก ศูนย์สหกรณ์ไทย-เดนมาร์คประจวบคีรีขันธ์ จำกัดนายสมคิด มีการติดตามการแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิดอย่างสม่ำเสมอจนในที่สุดบริษัทแก้ไขปัญหาโดยการถอนเสาออกจากพื้นที่ กระทั่งถึงขั้นตอนต้องฟ้องศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายจึงเกิดความคิดได้ว่า “ประเด็นนี้หนทางชนะน้อยนิดเหลือเกินเพราะมันเกิดขึ้นในประเทศไทย” ตนเองจึงเปลี่ยนวิธีการเป็นให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ชุมชนด้วยการเป็นวิทยากรในเวทีต่างๆ เพราะเชื่อว่า หากประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ ประชาชนจะเป็นผู้ดูแลสิทธิของตนเองและช่วยเหลือแบ่งปันต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด…จากตัวอย่างดังกล่าวเห็นได้ชัดเจนว่าการแก้ไขปัญหาเรื่อง “เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์” เป็นไปด้วยความยากลำบากทั้งหน่วยงานที่ไม่ร่วมแก้ไขอย่างที่ควรเป็นและข้อมูลที่ผ่านมาของประเทศไทยไม่พบการแก้ไขที่เป็นรูปธรรม จึงนำมาสู่เวที “รับฟังความคิดเห็นสื่อสาธารณะกลุ่มประเด็นผู้บริโภคและสภาผู้บริโภคเพื่อการขับเคลื่อนให้องค์กรสื่อสาธารณะ กสทช. และเครือข่ายผู้บริโภค ต่อการแก้ไขสถานการณ์ปัญหาเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่”ทำไมจึงลุกขึ้นมาใช้สิทธิ พบว่าวัวนมที่เลี้ยงมีอาการผิดปกติ เช่น ดวงตาเป็นมะเร็งหรือผสมพันธุ์ไม่ติดจำนวนมาก ซึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ทำให้ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำนมขาย โดยปกติจะผลิตได้ 700-800 กก. แต่ภายหลังกลับได้น้ำนมไม่ถึง 100 กก. ทำให้รายได้ลดลงจำนวนมาก นอกจากนี้สุขภาพของผู้สูงอายุในชุมชนรวมทั้งตนเองแย่ลงมากผิดปกติอีกด้วยปัญหาและอุปสรรคในการใช้สิทธิร้องเรียนคิดว่าหากเราไม่รู้จักกับทางสมาคมคุ้มครองผู้บริโภค ปัญหาดังกล่าวคงไม่ได้รับการแก้ไข เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยไปร้องเรียนโดยตรงกับบริษัท แต่ก็ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาวบ้านธรรมดาอย่างเรา ไม่มีอำนาจในการต่อรองกับบริษัทเลยอยากให้คนที่ถูกละเมิดสิทธิ ลุกขึ้นมาใช้สิทธิอย่างไรอยากให้คนที่ถูกละเมิดสิทธิลุกขึ้นมาร้องเรียนปัญหา และอยากให้มีการรณรงค์เรื่องการตั้งเสาสัญญาณ โดยให้รายละเอียดถึงข้อดีและข้อดีอย่างครบถ้วน เพื่อให้ประชาชนตามหมู่บ้านได้ทราบข้อมูลที่แท้จริง3.นิตญา วงศ์หลี ผู้บริโภคที่ร้องเรียนเพื่อให้ญาติได้รับเกิดการชดเชยเยียวยาที่เป็นธรรม กรณีอุบัติเหตุ รถโดยสารสาธารณะไฟไหม้นางสาวนิตญา วงศ์หลี เป็นหลานสาวของนางสาวสุภาศินี วงศ์หลี ผู้ประสบอุบัติเหตุ รถโดยสารสาธารณะรถบัสบริษัทตรังร่วมมิตร เส้นทางภูเก็ต-สตูลไฟไหม้ เพราะคนขับรถหยุดเชื่อมเก้าอี้ของตัวเองโดยที่ไม่แจ้งให้ผู้โดยสารลงจากรถ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายรายซึ่งหนึ่งในนั้นคือ นางสาวสุภาศินี วงศ์หลี ได้รับการบาดเจ็บตามร่างกายหลายแห่ง อาการสาหัสจากการไฟไหม้อย่างรุนแรงทำให้มีแผลไฟไหม้บริเวณ แขน ลำตัว และใบหน้า จนทำให้มือข้างซ้ายไม่สามารถใช้การได้ ปอด ทางเดินหายใจและเส้นเสียงต้องผ่าตัดเจาะคอเพื่อเป็นช่องทางช่วยหายใจทางเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคใต้และเครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดกระบี่ ได้ดำเนินการแจ้งสิทธิและลงพื้นที่ไปกับผู้เสียหายในการเรียกร้องสิทธิ เบื้องต้นผู้เสียหายได้รับการชดเชยเยียวยาจากพรบ.ภาคบังคับและประกันภาคสมัครใจเป็นจำนวนเงิน 704,000 บาทและได้ติดต่อศูนย์ทนายความอาสา ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคในการช่วยเหลือดำเนินการฟ้องร้องบริษัทตรังร่วมมิตร ที่ศาลจังหวัดพังงา เรียกค่าเสียหายรวมทั้งสิ้น 2,286,212 บาทโดยก่อนฟ้องคดีนิตญา ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของเครือข่ายผู้บริโภคจังหวัดกระบี่ ได้ประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องทั้งแพทย์ ตำรวจ บริษัทประกัน บริษัทผู้ก่อเหตุเพื่อเจรจา และดำเนินการเตรียมเอกสารด้านต่างๆ เช่น ใบรับรองแพทย์ ภาพถ่ายอุบัติเหตุ ภาพถ่ายผู้เสียหาย และจัดทำรายการค่าใช้จ่ายต่างๆ ช่วยเหลือในทุกขั้นตอนเพื่อเตรียมฟ้องคดีต่อศาล ในการนัดเจรจาไกล่เกลี่ยที่ศาล ครั้งที่ 1 บริษัทตรังร่วมมิตรเสนอให้ 200,000 บาท นิตยา และผู้เสียหายพิจารณาเห็นว่าเป็นจำนวนที่น้อยและไม่เพียงพอต่อการชดเชยเยียวยาจึงไม่ตกลงและศาลได้นัดสืบคดีต่อมา วันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 ในวันนัดสืบคดี ทนายของบริษัทตรังร่วมมิตรยื่นข้อเสนอขอเจรจา โดยเสนอเงินจำนวน 500,000 บาท ทางนางสาวนิตยา วงษ์หลี และโจทก์ผู้เสียหายได้พิจารณาเสนอที่ 600,000 บาท ทางทนายและตัวแทนบริษัทตรังร่วมมิตรต่อรองโดยให้ทางบริษัทจ่าย 500,000 บาท และทางจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคนขับรถคันเกิดเหตุ รับผิดชอบเป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท โดยผ่อนจ่ายเดือนละ 1,500 บาท โดยสรุป ในคดีนี้ ผู้เสียหายได้รับค่าชดเชยความเสียหาย รวมเป็นเงินทั้งหมด 1,304,000 บาท ( หนึ่งล้านสามแสนสี่พันบาทถ้วน)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 191 ฉลาดใช้ชีวิต แบบวีระพันธ์ รังสีวิจิตรประภา

ฉลาดซื้อฉบับแรกของศักราชใหม่ พาไปสัมผัสมุมมองจากคนฉลาดซื้อ ที่ไม่ได้สมาร์ทเพียงแค่ตนเอง แต่ยังมองไปถึงภาพรวมของประเทศด้วย ผศ.ดร.วีระพันธ์ รังสีวิจิตรประภา อาจารย์ประจำภาควิชาไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อย่าเพิกเฉยกับการถูกละเมิดสิทธิ“เราคิดว่าเวลาเราซื้อของ ถ้าของแพงต้องเป็นของดี แต่ความเป็นจริงแล้วนั้น ของไม่ดีแต่ราคาแพงเวลาเราซื้อมาก็จะรู้สึกเจ็บใจ ทำไมเราเสียค่าโง่กับของไม่ดีแล้วยังราคาแพงอีก เหมือนซื้อของปลอมเพราะเราคิดว่ามันคือของจริง พอเรารู้ว่าปลอมมันก็เสียความรู้สึก  แต่ในทางกลับกันถ้าเราซื้อของปลอมแล้วเราได้ของดีมาใช้ผมมองว่า มันก็โอนะ ในส่วนการคุ้มครองผู้บริโภคผมมองว่า เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยกตัวอย่าง ถ้าสมมติเราไม่อยากส่งเสริมการใช้ของปลอมและต้องการสนับสนุนคนที่ทำของจริง  นั่นหมายความว่าเราต้องได้รับความคุ้มครองเพราะเราซื้อของจากร้านที่เราเชื่อถือได้ แต่ถ้าเราได้ของปลอมมามันน่าจะต้องมีมาตรการเพื่อคุ้มครองเรา เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิด นี่ก็เป็นการฉลาดบริโภค เพราะเรารู้ทันในเรื่องของราคา สิ่งสำคัญเวลาที่เราจะซื้อ อย่างตัวผมเองไม่ได้แพ้(สารเคมี) อะไรเวลาซื้อก็ไม่ต้องระวัง แต่สำหรับคนที่แพ้เคยพบว่า ตัวเองเคยแพ้อะไรมาบ้างอย่างน้อยสาระสำคัญเหล่านั้น จะต้องสามารถมาตรวจสอบกับสินค้าที่เราจะซื้อว่าไม่มีสารที่เราแพ้จริง ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ถ้าผู้บริโภคมีความรู้ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรแต่ถ้าไม่มีจะทำอย่างไร ผมยกตัวอย่าง เช่น มีคนไม่ทราบว่าตัวเองแพ้อาหารทะเลแล้วก็ไปบริโภคอะไรที่เราไม่รู้ว่าเขาใส่สิ่งที่เราแพ้ลงไปด้วยจนกระทั่งมันเกิดอาการแพ้กับเรา ถามว่า สิทธิผู้บริโภคเองกับเรื่องพวกนี้ เขาควรจะทราบก่อนไหม กรณีฉลาดบริโภคก็คือ เราได้ของดีในราคาที่เราพอใจ ราคาไม่เอาเปรียบเราแล้วเราก็ได้รับสิทธิในการคุ้มครองจากการที่เราได้รับความเสียหายจากการบริโภคสินค้านั้น ซึ่งอาจจะผ่านทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค(มพบ.) หรือ สคบ. ก็แล้วแต่กรณี ถ้าผ่าน มพบ. ผมมองว่าข้อได้เปรียบที่เป็นจุดแข็ง คือการกัดไม่ปล่อย การติดตาม ถ้าทาง สคบ. ก็ดีในแง่ที่ว่าการเยียวยาและกลไกทางศาล ก็จะมีข้อดีไม่ดีต่างกันนิดหน่อย นอกจากนี้เมื่อหน่วยงานที่รับผิดชอบพิสูจน์แล้วพบว่า ร้านนี้ขายสินค้าที่ติดเครื่องหมายมาตรฐาน แต่ปรากฏว่าติดเครื่องหมายปลอม ก็จะมีกฎหมายในการเล่นงานร้านค้าว่า คุณจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้รับการรับรอง ก็จะมีช่องทางกฎหมายของเขาอยู่ นี่คือสิทธิผู้บริโภคอย่างหนึ่งที่ผู้บริโภคควรทำ อย่ามองว่าไม่เป็นไรเป็นความโชคร้ายและเราก็เพิกเฉย มันก็จะเกิดผู้เสียหายรายใหม่เพิ่มมากขึ้นและทำให้ผู้ประกอบการที่ไม่มีจริยธรรมก็ยังมีความสุขในการขายของคุณภาพต่ำ เป็นการเอาเปรียบคนอื่นต่อไป ซึ่งผมมองว่าไม่ควรจะไปสนับสนุนเขาแบบนั้น ถ้าเราช่วยกันสอดส่องดูแล เรียกว่าช่วยซึ่งกันและกัน เราก็จะมีแต่สินค้าที่มีคุณภาพในบ้านเรา และกำจัดพวกผู้ประกอบการที่ไม่มีจริยธรรมนั้นให้หมดจากวงการ เราจะได้อยู่ในประเทศที่มีทั้งฉลาดซื้อ ฉลาดเลือก ฉลาดใช้แล้วก็ยังได้รับการคุ้มครองด้วย นี่คือสิทธิของผู้บริโภคที่ควรจะได้รับฉลาดซื้อ ฉลาดใช้ในแบบดร.วีระพันธ์คือ ส่วนตัวผมไม่ขับรถ ความคิดที่ไม่ใช้รถส่วนตัวเพราะคิดว่าผมใช้ชีวิตอยู่ในเมือง ซึ่งมีทั้งรถรับจ้าง รถสาธารณะ ถ้าเราไม่มีภาระอะไรที่ต้องรับผิดชอบหนักๆ การเดินทางโดยรถสาธารณะมันทำให้ชีวิตในการเดินทางของเราดีที่สุด ถ้าการจราจรติดขัดเราก็มีรถไฟฟ้า มีรถใต้ดิน มีมอเตอร์ไซค์หรือแม้แต่เรือ ทุกครั้งเวลาเดินทางต้องถามว่าเราเดินทางไปไหน เวลาไหน ผมก็จะรู้ว่าจะต้องนั่งรถอะไร ขึ้นทางด่วนไหม ต้องต่อรถหรืออะไรก็ว่ากันไป มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตมันมีความคล่องตัวดี เพราฉะนั้นผมจึงมองว่าถ้าใช้ชีวิตในเมืองเป็นส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถ มองให้กว้างขึ้นในประเด็นที่ผมนึกถึง คือ การที่เราไม่มีรถ 1 คันหรือคิดง่ายๆ ว่าทุกวันนี้ปริมาณถนนที่อยู่ในเมืองมันจำกัดแต่ปริมาณรถนั้นมันเพิ่มขึ้น จุดที่เราเรียกว่า จุดอิ่มตัว ก็เป็นปริมาณรถยนต์ต่อเวลานั้นๆ ใน 1 วันมันได้สูงสุดเท่าไร ยิ่งมันเกินตรงนั้นมากเท่าไร การติดขัดก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเราไม่ไปเพิ่มจำนวนตรงนั้นอีก 1 คันนั้น ก็หมายถึงว่าเราก็ไม่ไปเพิ่มการติดขัด กรณีคนโสดที่อยู่คนเดียวส่วนใหญ่นั้น ถ้าลดปริมาณการใช้รถลง สังเกตช่วงวันหยุดยาวปริมาณรถบนถนนเบาบาง การเคลื่อนที่ก็คล่องตัวขึ้นในแง่ว่าเราลด 10 % เราจะใช้เวลาบนถนนน้อยลงเกือบ 2 ชั่วโมง คือ เราต้องปล่อยให้คนที่มีความจำเป็นเขาใช้รถไม่ว่ากัน แต่ถ้าเราไม่จำเป็นต้องเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว เพราะรถไฟฟ้าก็ถึงเราก็ช่วยกันลด และมันทำให้เวลาขับเข้าไปในเมืองพื้นที่จอดไม่มี ก็ไปจอดกันบนถนนยิ่งทำให้เป็นการเพิ่มอุปสรรคในการระบายรถอีก คือถ้าพวกเราช่วยกัน ให้คนในเมืองมองเรื่องนี้แล้วช่วยกันคนละไม้คนละมือมันก็จะแก้ปัญหาเรื่องการจราจรได้เยอะทีเดียว นี่เป็นประโยชน์ที่เรามองเห็น กลับมามองประโยชน์อีกด้านหนึ่ง ประโยชน์ในเรื่องของค่าใช้จ่ายเราเอง โดยส่วนตัวผมเองผมมองว่า ถ้าเราซื้อรถยนต์ 1 คันเราต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรอีกจิปาถะ ไม่ว่าจะค่าผ่อนรถ ค่าประกัน ค่าเชื้อเพลิงหรือไม่ว่าค่าบำรุงรักษา ถ้าเราไม่ซื้อค่าใช้จ่ายต่างๆ เหล่านี้ไม่เกิดขึ้น ผมยกตัวอย่างวิธีคิด ซึ่งอาจจะประหลาดๆ นิดหน่อย คือ บ้านผมนั้นอยู่นางเลิ้งผมต้องมาทำงานที่จุฬาฯ ค่ารถที่ผมใช้ทุกวันนี้คือ 80 บาท คิดเป็น 100 ก็ได้ตัวเลขกลมๆ คิดง่าย 100 บาท ไป – กลับวันหนึ่งเท่ากับ 200 บาท  เดือนหนึ่งผมทำงาน 30 วันเลยไม่ต้องหยุดก็ตกเดือนละ 6,000 บาท ผมถามว่า เดือนละ 6,000 บาทผมจ้างคนขับรถได้ไหม มีรถให้ มีคนเติมน้ำมันให้ฟรี มีคนทำประกันให้อีก มีคนจ่ายค่าซ่อมต่างหาก ยังไม่ได้เลย แต่เรามองกลับกันเงินให้คนขับรถเอาที่เท่าไรดีเขาถึงจะโอเค สมมติเขาขอ 18,000 บาท ถ้าเราคิดวันทำงาน 30 วันเท่ากับตกวันละ 600 บาทหรือ 300 บาทต่อเที่ยว เพราะฉะนั้นถ้าใครที่เดินทางโดยแท็กซี่ต่ำกว่า 300 บาทต่อเที่ยว ก็คือผู้ที่เข้าข่ายว่าไม่ควรขับรถ คือนั่งแท็กซี่น่าจะดีกว่า เรื่องปลอดภัยนั้นอีกเรื่องเพราะผู้หญิงบางคนก็ไม่ควรนั่งรถเพราะมันดูจะอันตรายเกินไป เรียกว่ารูปร่างทำร้ายตัวเองอันนี้ก็เข้าข่ายเป็นเรื่องจำเป็นไป ผมมองว่า คนไทยมีนิสัยความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า การมีทรัพย์สินบนตัวหรือโชว์ด้วยยานพาหนะดูเป็นคนมีฐานะ ถ้าเราบอกว่า เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องประเด็นหลักของชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องมี นี่เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมคิดว่าผมใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเลยไม่จำเป็นต้องมีรถ การไม่มีรถส่งผลดีอีกเรื่องหนึ่งด้วนะ  คือว่าเราไม่ต้องมีรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เมื่อไม่มีรถก็ไม่ต้องออกไปไหน ไม่ต้องไปกินข้าวนอกบ้านเพราะไม่รู้จะไปจะกลับอย่างไร อะไรที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปจ่ายมัน เศรษฐกิจในตอนนี้ถ้าเราออมอะไรได้มากขึ้นอนาคตก็จะสบายมากขึ้นจะทำอย่างไรให้คนก้าวข้ามความคิดในกรอบเดิมๆ ผมเคยเรียนที่เยอรมัน เพื่อนฝรั่งเยอรมันก็เคยมาที่เมืองไทย เขาบอกว่า คนไทยแปลกเรื่องเสียหน้าเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องเสียตังเรื่องเล็ก ผมฟังแล้วก็เห็นด้วยเพราะมองว่า คนไทยนั้นแม้แต่คนเรียนจบใหม่ๆ เงินเดือนยังไม่เท่าไรก็จะผ่อนบ้านแล้ว หลายคนเลยเลือกผ่อนรถก่อน ผมถามว่าจำเป็นต้องใช้รถขนาดนั้นไหม ซึ่งหลายคนอาจจะจำเป็น เช่น คนที่เป็นเซลล์แต่หลายคนเป็นพนักงานบริษัทที่มีบริษัทตั้งอยู่แนวรถไฟฟ้า อยู่ติดถนนใหญ่ คือกลุ่มคนพวกนี้ถ้าเป็นไปได้ก็อยากชวนว่า คนที่ใช้รถอยู่ทุกวันนี้ถ้าลดได้สัก 10 % ผมว่าการจราจรกรุงเทพฯ ก็จะเบาบางได้อีก คือมันเป็นลักษณะของพฤติกรรมหนึ่งที่ถ้าเราช่วยกันคนละไม้คนละมือ และเราต้องคิดในแง่หนึ่งที่ผมนึกถึงพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 8 ที่ตรัสว่าให้คิดประโยชน์ของคนอื่นเป็นที่ 1 และคิดถึงประโยชน์ตัวเองเป็นที่ 2 ถ้าเราช่วยกันคนละไม้คนละมือในสิ่งเหล่านี้ มีบางคนบอกผมว่า ก็เขามีรถมันก็เลยต้องใช้ ผมจึงบอกไปว่าขายไปเสียจะได้ไม่มี หรือเก็บไว้ใช้ออกนอกเมืองหรือใช้ไปทำงานในที่ที่ไม่ใช่การเดินทางปกติที่ไป - กลับลำบาก เดี๋ยวนี้คนที่อยู่ในหมู่บ้านก็มีเรียกรถ โดยสั่งผ่านแอปพลิเคชั่น ถ้าไม่ได้ลำบากมากมายก็เป็นทางเลือกที่น่าทดลองดูก็ได้ ถ้าการจ้างคนขับคนหนึ่งเงินเดือนสัก 18,000 บาทกับการที่เราจ้างคนขับแท็กซี่แทน ก็เป็นประเด็นที่ผมมองว่านี่คือสิทธิผู้บริโภค ทุกคนมีสิทธิที่จะมีทรัพย์สิน มีรถยนต์แต่ที่ผมมองคือ ตอนนี้ปัญหามันมากมายกับเรื่องรถยนต์ การแก้ปัญหาจราจรไม่ใช่หมายความว่าเป็นหน้าที่ของภาครัฐฝ่ายเดียว วิธีแก้ปัญหาจราจรไม่ใช่การเพิ่มถนน ไม่ใช่เพิ่มทางด่วนแต่วิธีแก้จราจรที่ยั่งยืนที่สุดเลยคือลดจำนวนคนขับรถ ถ้าจำนวนผู้ขับไม่ลด คน 1 คนจะซื้อรถ 10 คันก็ได้แต่ถ้า 1 คนรถ 10 คันไม่ได้ขับแม้แต่คันเดียวมันก็คือ 1 คันหายไป คือการจะทำนโยบายวันคู่วันคี่ ป้ายทะเบียนคู่คี่คือคนมีเงินเขาซื้อได้หมด แต่คนที่ไม่มีต่างหากที่เขาจำเป็นต้องใช้ คนอาจจะไม่มีฐานะมากมายแต่อาจจะเป็นเพราะลูกยังเล็กต้องส่งหลายที่เขาก็คงจะลำบากถ้าไม่มีรถ เราอยากให้คนกลุ่มนี้ต่างหากที่ควรจะขับรถแล้วไม่ต้องไปใส่มาตรการอะไรเลยที่ทำให้คนกลุ่มนี้มีรายจ่ายเพิ่ม เพียงแต่เราเปลี่ยนคนกลุ่มหนึ่งที่คิดว่าจริงๆ แล้วไม่ได้จำเป็นมากมาย ไม่เห็นต้องมีคำว่าเสียหน้าเลย คนที่เสียหน้าแต่กระเป๋าตังหนาผมว่ามันยังดูดีกว่าคนที่มีหน้าแต่กระเป๋าตังบาง คือถ้ามุกคนเปลี่ยนความคิดตรงนี้ได้ ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาการจราจรที่ยั่งยืนบริการรถสาธารณะที่ดีต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกคน ส่วนตัวผมขอเปรียบไปที่ประเทศเยอรมัน ที่ผมเคยอยู่นั้น อย่างบ้านเราก็จะมีรถที่ให้บริการรถ BRT ให้บริการเส้นสาทร – นางลิ้นจี่ ซึ่งมีช่องรถของเขาเอง เพราะฉะนั้นเขาวิ่งของเขาได้ ที่เมืองนอกก็จัดบริการอย่างนั้น เมื่อก่อนเรามีรถเมล์เดินทางเดียว ซึ่งปัจจุบันเราก็พยายามจะลดตรงนั้นลงเพื่อให้รถมีพื้นที่สัญจรมากขึ้น ก็เลยทำให้คนที่นั่งรถสาธารณะต้องติดเหมือนคนที่นั่งปกติ เพราะฉะนั้นนโยบายภาครัฐผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับการทำให้มีช่องทางรถโดยสารสาธารณะเองให้คนที่โดยสารสาธารณะเดินทางได้เร็วขึ้นมันจะเท่ากับช่วยดึงดูดให้คนที่ใช้รถประเภทไม่มีความจำเป็นมานั่งรถโดยสารสาธารณะมากขึ้นก็จะเป็นประโยชน์มากผมคิดเรื่องการสร้างจิตสำนึกว่าการช่วยกันคนละไม้คนละมือ เหมือนเวลาเรามีภัยพิบัติก็ยังช่วยกันได้ กรณีอย่างนี้เหมือนกันถ้าเราคิดว่าเราไม่ใช่คนมีฐานะมากมายต้องการลดค่าใช้จ่าย ผมว่าเปลี่ยนพฤติกรรมการขับรถมาเป็นนั่งรถสาธารณะ อย่างน้อยทำให้เราไม่ต้องซื้อของเยอะเพราะซื้อเยอะก็ขนไม่ไหว คิดง่ายๆ ขับรถก็ต้องเหนื่อยต้องรถติดอยู่บนถนน รถสาธารณะเราคำนวณเวลาได้ว่าเราต้องออกจากบ้านกี่โมง ถึงกี่โมงในขณะที่รถยนต์ข้างล่างคาดการณ์อะไรไม่ได้เลยแล้วทำไมเราต้องไปเสียเวลากับถนนข้างล่างเพียงแค่ซื้อความสะดวกสบายเรา ผมเคยมีกรณีศึกษาเรื่องหนึ่งเป็นประสบการณ์ของตัวเองเลย คือจะต้องเดินทางโดยเครื่องบินตอน 7 โมงเช้าผมตื่นตอน 6 โมงเช้าผมไปขึ้นเครื่องบินทันด้วยรถแท็กซี่ ผมบอกเขาว่าผมรีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมยังมานึกอยู่ว่าถ้าผมขับรถเองไม่มีทางเลยเพราะผมต้องหาที่จอด นี่คือตัวอย่างแล้วระหว่างอยู่บนรถเรายังสามารถทำนั่นทำนี่ได้เพราะเรามีคนขับรถ ถ้าขับเองแค่ก้มมาชำเลืองมือถือมันไม่ใช่แค่เราแล้วมันมีเพื่อนร่วมท้องถนนอีก ยิ่งทำให้ช้าเข้าไปใหญ่ คือแค่เราบริหารชีวิตเรามันไม่เพียงลดอุบัติเหตุแต่เรายังมีเวลาทำงานได้อีกก็เลยเปลี่ยนจากเป็นคนขับมาเป็นคนนั่งดีกว่า แถมยังประหยัดเงินรักษาพยาบาลเขาอีกลูกหลานไปโรงเรียนก็ต้องให้เงินเขาอีก ในเมื่อเขาเป็นคนขับแท็กซี่เราลงจากรถเราจ่ายเงินเขาเสร็จหน้าที่ความรับผิดชอบของเราที่มีต่อคนขับรถก็หมดสิ้น เดี๋ยวนี้มีรถอูเบอร์แต่เราไม่ได้ส่งเสริมให้คนที่ต้องการจะโชว์ความมีหน้าตาว่าเราเป็นคุณนายจะมานั่งแท็กซี่ได้อย่างไร เขาให้เราถามได้เลยว่าเราจะได้รถอะไร มันจะสมหน้าตาเราไหม ถึงได้บอกว่าวิธีที่คิดคือว่าเรามองจากตัวเองเราจำเป็นแค่ไหนกับการที่ต้องมี ถ้าไม่มีแล้วเราเดือดร้อนมากแค่ไหน ถ้าเดือดร้อนก็มีไปเถอะไม่เป็นไรถือว่ามันจำเป็น แต่สำหรับคนที่ไม่จำเป็นต้องมีรถแล้วได้ทราบข้อมูลนี้แล้วอยากเปลี่ยนพฤติกรรมลดการใช้รถ 1 คันอาจจะทำให้บนถนนนี้น่าใช้ขึ้นก็ได้ คิดแค่นี้พอ ไม่ต้องไปคิดถึงขนาดว่าฉันลดแต่คนอื่นไม่ลด รถก็ติดเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนจากตัวคุณไปใช้รถไฟฟ้า รถใต้ดินแทนมันก็ไปถึงที่หมายได้เร็วกว่าเดิมแล้ว ให้เปลี่ยนที่ตัวเราไม่ต้องไปนึกถึงคนอื่น ไม่ต้องมองว่ารัฐต้องทำนั่น ทำนี่เพราะมันจะเป็นเงื่อนไขให้เราไม่ทำ แต่ถ้าเราทำสิ่งที่ควรทำก่อนแล้วเงื่อนไขมันตามมามันก็จะช่วยเสริมให้ดีขึ้น แล้วทีนี้ในส่วนภาครัฐที่ผมมองว่านโยบายค่าน้ำมัน อย่างประเทศบางประเทศอย่างเช่นสิงคโปร์เองมีนโยบายในเรื่องของการขับรถผ่านในย่านที่เป็น Business เมื่อก่อนเราก็เคยติดถนนสีลมใครผ่านย่านนี้ต้องมีใบอนุญาต ผมมองว่าเป็นนโยบายการแก้ไขมากกว่า ผมคิดอีกอันหนึ่ง คือถ้าเป็นนโยบายในเชิงสมัครใจไม่เวิร์ค อาจจะต้องลองนโยบายการบังคับมาใช้ เช่น การเพิ่มราคาน้ำมันเป็นภาษีเรียกว่าภาษีสิ่งแวดล้อม อย่างเยอรมันใช้ภาษีสิ่งแวดล้อมเหมือนกับคนขับรถคุณเติมน้ำมันไป 1 ลิตรนั้นคุณต้องเสียภาษีสิ่งแวดล้อม 5 บาทอันนี้สมมตินะ แล้วภาษีสิ่งแวดล้อมนี้ไปชดเชยให้กับคนที่นั่งรถสาธารณะ ทุกวันนี้เรามีรถเมล์ฟรีสำหรับประชาชนแต่ทุกวันนี้คนอาจไม่อยากนั่งเพราะมันร้อนเราอาจจะเอาค่าน้ำมันตรงนี้เพื่อไปชดเชยให้คนนั่งรถแอร์ฟรี คือคนที่ยอมเสียสละตัวเองไปนั่งรถสาธารณะจะได้นั่งรถฟรีด้วย ก็เป็นนโยบายที่ทำให้ความคิดเปลี่ยนฉลาดในการใช้พลังงานในฐานะอาจารย์ด้านไฟฟ้า เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งปรึกษาผมว่า ค่าไฟที่บ้านแพงมาก ที่บ้านอยู่กัน พ่อแม่ลูก ทั้ง 3 คนนี้ออกจากบ้านตอนเช้ากลับมาบ้านก็นอน ค่าไฟเดือนละประมาณ 6,000 บาท ผมเลยบอกไปว่ามันไม่ปกติคน 3 คนใช้เวลาอยู่บ้านเฉพาะกลางคืนค่าไฟไม่น่าจะเกิน 1,200 บาท พอแพงแบบนี้มันเกิดจากอะไร ผมจึงบอกว่า มันน่าจะเป็นไฟรั่ว ประเด็นไฟรั่วไม่ต้องไปหาใครมาซ่อมมาแก้ไข ตัวเองต่างหากต้องแก้ไข วิธีการที่ผมแนะนำก็คือ หาช่างไฟมาเปลี่ยนคัทเอาท์แล้วก็ทำวงจรเดินสายไปที่ตู้เย็นที่เหลือก็ยกคัทเอาท์ลงทั้งบ้านเลย หรือถ้าใครบอกว่าบ้านใหญ่มันซับซ้อนมากกว่านั้น คือบ้านมีคนอยู่ ยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่มีมอเตอร์มีอะไรบ้าง เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า ปั๊มน้ำ ตู้เย็นมีหลายตู้ก็รวมของสดไว้ตู้เดียวที่เหลือก็ดึงปลั๊กออก อุปกรณ์ไหนไม่ใช้ก็ดึงปลั๊กออก ถ้าดึงปลั๊กไม่สะดวกผมก็แนะนำซื้อเบรกเกอร์ 2 โพล ไฟรั่วก็เหมือนน้ำรั่วเราต้องเสียค่าน้ำ เพราะฉะนั้นวิธีเดียวคือยกคัทเอาท์ออกมันจะทำให้กระแสไฟไม่ไหล ไฟก็ไม่รั่วเราก็ไม่ต้องไปจ่ายค่าไฟที่ไม่จำเป็น หรือปั๊มน้ำเรากลับถึงบ้านเราก็เปิดปั๊มมันทำงาน ก่อนเรานอนเราก็ปิดเราก็มีน้ำไว้ใช้แล้ว ถ้าไฟจะรั่วตอนที่เราเสียบปลั๊กก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราทำแค่นี้ปรับพฤติกรรมเราเองอย่างน้อยค่าไฟก็ลดไปครึ่งหนึ่ง ไม่ต้องไปหาว่ารั่วที่ไหนเพราะมันจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญแต่เราสามารถปรับพฤติกรรมเราได้ แนวทางฉลาดใช้ชีวิตที่อยากแนะนำสิ่งหนึ่งที่ผมนึกถึงคือ ฉลาดซื้อ ฉลาดใช้ ฉลาดเลือกแล้วก็สิ่งสำคัญ คือเราต้องรักษาสิทธิผู้บริโภค สิทธิของผู้บริโภคสิ่งหนึ่งที่เรานึกถึงเสมอเลยก็คือ คุณคาดหวังว่าจะได้อะไรจากสินค้า คุณอ่านแล้วคุณเชื่อแต่เมื่อใช้แล้วไม่เป็นไปตามที่คุณเชื่อต้องเรียกร้องสิทธิ ในฐานะที่อย่างน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ซื้อรายใหม่ต้องไปซื้อสินค้าแล้วทุกข์ทรมานเหมือนกับที่เราโดน คือตรงนี้อยากให้ผู้บริโภคนั้นรักษาสิทธิของตัวเอง แต่ไม่ควรจะเป็นลักษณะที่เรียกว่าไปใช้สิทธิมากกว่าที่เราควรมี ขอใช้คำว่าไปซื้อของปลอม ไปซื้อของที่เรารู้อยู่แล้วว่ามันปลอมแล้วมาเรียกร้องว่าทำไมของนั้นไม่ดีเหมือนของจริง อันนี้เราเรียกว่าเรียกร้องเกินสิทธิ หรืออีกอย่างที่ผู้บริโภคควรจะทราบเหมือนกัน คือว่าเมื่อเราซื้อสินค้ามาแล้วปรากฏว่าสินค้ามันทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ ต่อร่างกายหมายถึงเราบาดเจ็บจากการใช้สินค้า  ทางจิตใจก็คือเรารู้สึกไม่ปลอดภัยจากการใช้สินค้า ก็มี PL Law เรามีสิทธิเรามีขั้นตอนกระบวนการ ตรงนี้อยากให้ผู้บริโภครู้จักใช้กัน คือถ้าเป็นไปได้คือเราให้ข้อมูลกับผู้บริโภคว่าสิทธิที่ผู้บริโภคที่ควรจะได้รับการดูแลนั้นมีอะไรบ้าง เมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรเราต้องไปร้องเรียนใครเพื่อให้เขามาดูแลให้ หรือตอนนี้ในส่วนตัวเองที่ช่วยงานที่ สคบ. อยู่นั้นกำลังเตรียมเรื่องของ Recall คือกฎหมายที่จะบอกว่าบริษัทที่จะต้องทำหารเรียกคืนสินค้า ซึ่ง Recall ในกลไกที่เรากำลังเตรียมการอยู่นั้นจะเกิดขึ้นกับสินค้าที่มีการประกาศว่าเป็นสินค้าไม่ปลอดภัย ซึ่งสินค้าไม่ปลอดภัยตอนนี้ที่เราประกาศออกมาแล้วนั้นก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง ถ้าเราเป็นผู้ถือสินค้านั้นอยู่ เราซื้อมาแล้วเรามีใบเสร็จเราก็สามารถที่จะเอาสิ่งเหล่านี้ไปที่ร้านค้าเพื่อที่จะขอเงินคืนได้ อันนี้ก็เป็นเรืองของกฎหมาย Recall แต่ขอเน้นว่ากฎหมาย Recall นั้นเป็นกฎหมายที่จะต้องใช้กับสินค้าที่มีการขึ้นประกาศว่าเป็นสินค้าไม่ปลอดภัย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 พัชราภา เวลเคอร์ “หมอลืมของไว้ในแก้มฉัน”

คุณพัชราภา เวลเคอร์ เข้ารับการผ่าตัดกรามจากคลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงราย โดยสาเหตุที่เธอเลือกใช้บริการคลินิกแห่งนี้ เพราะเห็นว่าเป็นคลินิกที่มีชื่อเสียง ได้รับการรีวิวจากผู้ใช้ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมาก เธอจึงตัดสินใจนั่งเครื่องบินจากประเทศเยอรมันกลับบ้านเกิด เพื่อมาทำศัลยกรรมดังกล่าว หลังผ่าตัดเสร็จและมาพักฟื้นที่กรุงเทพฯ เธอพบว่าแผลที่ผ่าตัดเป็นหนองอักเสบ จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แม้จะมีอาการดีขึ้น แต่เธอยังปวดแผลจึงต้องย้อนกลับไปที่คลินิกเดิม เพื่อให้แพทย์ที่ทำการศัลยกรรมให้ตรวจรักษา แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น และเมื่อเธอจำต้องเดินทางกลับประเทศเยอรมนี ก็พบว่าอาการยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเดิม แพทย์ที่เยอรมนี บอกกับเธอหลังการเอ็กซ์เรย์ว่า มีเศษกระดูกชิ้นเล็กติดค้างอยู่ตรงบริเวณที่แผลอักเสบ และเมื่อแพทย์ได้ผ่าตัดเพื่อนำชิ้นส่วนดังกล่าวออก ก็ยังพบผ้าก๊อซถูกทิ้งไว้ที่บริเวณแผลผ่าตัดอีกด้วย!ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้กับคุณ คุณจะทำอย่างไรฉลาดซื้อนัดพบกับคุณพัชราภา ซึ่งได้เล่าย้อนเหตุการณ์ให้ฟังว่า “ตอนนั้นที่ไปทำเป็นเคส(คนไข้) สุดท้ายของวันนั้น เนื่องเพราะลูกค้าเขาเยอะมาก เราไปกับลูกสาวเพราะเขาก็อยากไปเหลาคางด้วยเช่นกัน กรณีของเรา คุณหมอที่คลินิกนั้นก็แนะนำให้เสริมคางด้วยเพื่อจะได้ดูสวยขึ้นอีก ซึ่งเราก็ตกลง แต่เราให้คิวลูกสาวทำก่อนเผื่อลูกเจ็บปวดแผลเราจะได้ดูแลได้ เราสองคนจึงเป็นลูกค้าสองคนสุดท้ายของวันนั้น ลูกสาวเข้าไปเวลาประมาณ 2 หรือ 3 ทุ่มไม่แน่ใจ ซึ่งใช้เวลาไม่นานเจ้าหน้าที่ก็ออกมาบอกว่าของลูกสาวเราเสร็จแล้วแต่ก็ยังไม่ทันได้เห็นว่าลูกเป็นอย่างไรเจ้าหน้าที่เขาก็เรียกเราเข้าไปในห้องผ่าตัด ตอนนั้นจึงเห็นว่า ห้องผ่าขนาดมันเล็กนิดเดียว ตามความเข้าใจของเราเอง เราเข้าใจว่าเขาต้องให้เราเอ็กซเรย์หรือพิจารณารูปหน้าอะไรของเราก่อน แต่เขาไม่ได้เอ็กซเรย์แต่ให้ยาน่าจะเป็นยาสลบฉีดเข้าไปแล้วเราก็หลับไปเลย พอรู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกเหมือนโดนทุบที่หน้าฝั่งซ้ายแรงมากประมาณ 5 ครั้งแล้วเหมือนยาสลบมันจะหมดฤทธิ์แล้วเราก็รู้สึกปวดขึ้นมาถึงหูเลย แล้วเขาก็บอกว่าเสร็จหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาเราไปนอนที่ห้องพักฟื้น ตอนนั้นก็มาสังเกตว่าทำไมถึงมีสำลีอยู่ในจมูก จังหวะเดียวกับมีเจ้าหน้าที่เดินมาบอกว่า “หมอต่อปลายจมูกให้หน่อยหนึ่ง” จมูกจะได้โด่งสวย ซึ่งอันนี้ไม่ได้อยู่ในข้อตกลง สักพักลูกสาวจึงเดินมาหาบอกว่า ตอนแม่อยู่ในห้องผ่าตัดมีคุณหมอเดินมาบอกว่าต่อปลายจมูกให้แม่นิดหนึ่งนะ เราเลยได้ปลายจมูกนี้มาโดยที่ไม่ได้ตกลงว่าให้ทำให้ กรณีของลูกสาวตอนก่อนทำเธอยังอายุไม่ครบ 20 ปี เราต้องเซ็นยินยอมให้ทำ แต่ต่อปลายจมูกให้เราทำไมแค่ไปบอกลูกสาวให้รับทราบ ไม่บอกเรา สุดท้ายคืนนั้นก็นอนพักฟื้นที่นั่น 1 คืน นอนยาวไปตั้งแต่ 4 ทุ่มคืนนั้นจนออกจากคลินิกตอนเย็นของอีกวัน ซึ่งก็ไม่ได้เจอคุณหมออีกเลยหลังจากผ่าเสร็จ ในตอนเย็นเราได้เจ้าของคลินิกขับรถมาส่งที่สนามบินเพราะตรงนั้นเรียกรถลำบากมันเข้าไปในซอยเป็นสวน พอเรากลับมาพักที่กรุงเทพฯ ก็รู้สึกปวดแผล ปวดมาก แล้วที่ครอบหน้าที่เขาให้มามันจะมีลักษณะเหมือนสเตย์เราก็ใช้ไม่ได้เลยเพราะปวดมาก บวมตลอด เราก็รู้สึกว่าข้างนี้(ข้างซ้าย) มันไม่มีหนอง แต่อีกข้างมันอักเสบ มันมีหนอง ปวดมากจนครบ 6 วันทนไม่ไหวไปรักษาที่โรงพยาบาลใกล้ที่พักในกรุงเทพฯ หมอที่นั่นเขาก็กดหนองออกให้แล้วก็ฉีดยาฆ่าเชื้อตลอดทุก 4 – 6 ชั่วโมง ก็อยู่ได้ 1 วัน 1 คืน อาการทุเลาลงแต่เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลเอกชนมันก็แพง เราก็โทรไปหาที่คลินิกที่เชียงรายบอกว่าเรามีอาการแบบนี้ๆ ต้องนอนโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายเยอะ เขาก็ทนเรารบเร้าไม่ไหวก็บอกว่าจะให้เราไปนอนที่เชียงรายให้คุณหมอดูอาการไหม เราก็รีบเลยพอเขายอมให้เราไปนอน ซึ่งเราก็โทรติดต่อเขาตลอดเขาก็จะบอกว่าเดี๋ยวก็หาย หนองหมดก็หายแล้วเขาก็ไม่ได้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ ให้เราเลย หมดไปประมาณ 2 กว่าหมื่นบาท พอเรากลับไปหาหมอที่คลินิกที่ผ่าตัดศัลยกรรมให้ ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะดูแลเราเลย คือ คลินิกเปิดวันอาทิตย์แต่เราไปวันพฤหัสบดีหรือวันศุกร์ไม่แน่ใจก็ต้องไปนอนรอจนถึงวันอาทิตย์ พอถึงวันอาทิตย์คลินิกเปิด 9 โมงเขาก็ยังไม่เรียกเราไปทำแผล ผู้ช่วยคุณหมอเดินมาบอกว่าวันนั้นมีผ่าตัด 30 เคสกว่าจะเรียกไปกดหนองก็บ่าย 3 โมงแล้ว เราต้องกลับมานอนต่อที่บ้านพักแล้วเขาถึงมาเรียกไปอีกทีตอนตี 4 เพื่อเจาะเอาหนองออกพร้อมกับบอกว่าหนองหมดก็หายแล้ว เราก็นั่งเครื่องบินกลับบ้านในวันถัดไป ซึ่งตอนนั้นพอกดหนองออกไปมันก็หายปวดจริง แต่พอกลับมาพักที่กรุงเทพฯ ก็เริ่มมีหนองมาอีกจนเราจำเป็นต้องเดินทางกลับไปเยอรมนี ไปได้แค่ 2 วัน มีหนองออกมาทุกชั่วโมงเลยจากรูที่เขาเจาะเอาหนองออกให้ เรากดหนองออกเองได้ทุกชั่วโมง ผ้ารัดหน้าหรือสเตย์ก็ยังใส่ไม่ได้เพราะแผลอักเสบตลอด จนต้องไปโรงพยาบาลที่เมืองที่เราอยู่ ซึ่งเขาเอาใจใส่เราดี ครั้งแรกที่ไปเอ็กซเรย์ไม่เจออะไรเลยเจอแต่รอยตัดกระดูก ซึ่งเขาบอกว่าตัดเยอะไป เขาก็พยายามหาสาเหตุให้รู้ให้ได้ว่าที่มันอักเสบเป็นเพราะอะไร ก็ต้องเข้าเครื่องสแกนแบบพิเศษ จึงเจอว่ามีเศษกระดูกชิ้นขนาดเท่าเมล็ดฟักทองได้ค้างอยู่ ขนาดแผลอักเสบที่วัดได้ประมาณ 13 ซม. หมอที่นั่นบอกว่า ต้องเอาเนื้อตรงนี้ออก ส่วนที่อักเสบต้องขูดเนื้อเน่าออกให้หมด เราก็ต้องให้แฟนเซ็นยินยอมให้ผ่าตัด ซึ่งที่นี่เขาก็เห็นว่ากระดูกข้างซ้ายมันหักเหมือนตรงมุมมันร้าวแล้วตรงช่วงระหว่างแก้มมันหัก เขาก็เลยให้ล็อคฟันไว้โดยใช้ลวดมัดล็อคไว้ทั้งบนและล่าง เป็นผลให้กินอะไรไม่ได้เลยต้องให้อาหารผ่านสายยางตลอด ต้องให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ และยาฆ่าเชื้อทุก 4 ชั่วโมง นอนอยู่ถึง 3 คืนเพื่อรอให้อาการคงที่ พอได้ผ่าตัดเขาก็ตัดลวดออก แต่พอเสร็จก็โดนล็อคใหม่อีก ตอนนั้นผ่าเสร็จไปได้ 1 วันคุณหมอก็ถือกระป๋อง 1 ใบมาให้แล้วบอกว่านี่คือสิ่งที่เอาออกมา เป็นเศษกระดูกประมาณ 3 – 4 ชิ้นแล้วก็ผ้าก็อซ ที่มันอักเสบไม่หายก็เพราะว่า ผ้าก็อซที่มันปนอยู่กับกระดูกทำให้กดหนองเท่าไรก็ไม่หมดเพราะผ้ามันซับอยู่ คุณหมอที่รักษาบอกว่าจริงๆ แล้วไม่อยากให้เห็น แต่นี่เป็นสิ่งผิดพลาดที่เราได้รับมาเขาถึงอยากให้เห็นว่ามันคืออะไร ความรู้สึกตอนนั้น คือไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้นี่มันค้างอยู่ในหน้าเราเป็นเดือน ตั้งแต่ทำมา 7 กันยายน 2558 จนไปผ่าตัดที่เยอรมัน 23 ตุลาคม ระยะเวลาเป็นเดือน เราต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลที่เยอรมันอีกเป็นอาทิตย์ถึงได้กลับบ้าน แต่ต้องใส่อุปกรณ์ที่ล็อคปากต่อไปอีก 2 อาทิตย์ หลังจากนั้นคุณหมอก็นัดไปดูเรื่อยๆ ตอนนั้นหน้าเราเริ่มยุบไม่อักเสบแล้ว แต่ความรู้สึกมันเหมือนเราไม่มีริมฝีปาก มันรู้สึกชาตลอด แล้วเวลาพูดเยอะหรือต้องขยับปากมากๆ ปากมันจะเบี้ยว เวลากินอะไรก็จะมีอาหารไหลย้อยลงมา เวลาพูดเยอะก็เหมือนบังคับไม่ได้เพราะมันไม่รู้สึก สังเกตได้ว่าหน้าตรงที่ผ่าตัดนั้นมันยุบไป เพราะเราโดนขูดเนื้อเสียออกไป พอเย็บแผลตรงนั้นมันก็ไม่มีเนื้อหน้าเลยดูเบี้ยว ก็รอมาเป็นปีเนื้อมันก็ไม่ขึ้นมา”นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดกับเธอเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2558 เมื่อฉลาดซื้อได้รับข้อมูลจากศูนย์พิทักษ์สิทธิ ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งเธอมาขอคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือ เราขอสัมภาษณ์เธอ เธอบอกยินดีที่จะเล่าเรื่องของเธอให้ฟังเพื่อเป็นบทเรียนให้ผู้บริโภคได้ตระหนักถึงภัยที่อาจเกิดขึ้นจากการทำศัลยกรรมเราถามเธอต่อเรื่องอาการบาดเจ็บและผลจากรูปหน้าที่เสียหายว่ามีทางรักษาไหม เธอบอกว่า“เคยปรึกษาคุณหมอที่เยอรมันแค่เรื่องหน้าชาๆ เพราะเขาบอกว่าทำอะไรเพิ่มไม่ได้มากเพราะปากเราชาอยู่แล้วเดี๋ยวมันจะยิ่งไปกันใหญ่ และริมฝีปากกับคางส่วนนี้เส้นประสาทมันเยอะ ถ้าจะรักษาแผลเป็นตรงนั้นก็ต้องผ่าแถวๆ นั้นซึ่งมันก็เสี่ยง ตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้หน้าด้านซ้าย เวลาที่เอานิ้วกดลงไปมันยังรู้สึกจี๊ดๆ ขึ้นไปถึงหูเลย เราก็คิดว่าเป็นไปได้ไหมที่ช่วงนั้นเขาต่อกระดูกให้คือเขาล็อคเพื่อให้กระดูกมันสมานกัน ซึ่งกระดูกมันสมานกันจริง แต่มันไม่ได้เข้ากับรูปหน้าเดิมเพราะอีกข้างที่มีผ้าก็อซค้างอยู่ ก็โดนตัดเหมือนกันแต่ว่าไม่เป็นอะไร ตอนนี้กลายเป็นว่าหน้าเรายุบข้างหนึ่ง ป่องข้างหนึ่ง และริมฝีปากก็ไม่มีความรู้สึกทุกวันนี้อาการยังเหมือนเดิม ไม่ดีขึ้นเลย เวลากินอาหารรสเผ็ด หวาน เค็มหรืออะไรก็ตาม มันก็จะชาอยู่แบบนี้แต่ว่าเราได้รสชาติอาหารจากลิ้นแต่ความเผ็ดจนแสบปากนั้นไม่มีความรู้สึก อาการเหมือนโดนหนังยางมารัดปากไว้ตลอดเวลา เวลากินอาหารแฟนก็ต้องคอยบอกเวลามีอะไรติดอยู่ที่ปากเพราะเราไม่รู้สึกว่ามันติดปากอยู่ ทำให้ตอนนี้ถ้ากินข้าวนอกบ้านเวลาตักอาหารเข้าปาก 1 คำก็เช็ดปาก 1 ครั้ง เพราะรู้สึกไม่มีความมั่นใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เสียความรู้สึกเพราะว่าผลข้างเคียงเยอะ เราเชื่อว่า เกิดจากหมอที่ผ่าตัดให้เรา รับเคสมากเกินไป เหนื่อยมาทั้งวัน แล้วเราเป็นเคสสุดท้าย เป็นไปได้ว่า หมออาจจะอยากรีบกลับบ้านเลยไม่ได้ดูให้รอบคอบมันถึงมีผลข้างเคียงถึงขนาดนี้”การเรียกร้องสิทธิเธอได้พยายามหาทางที่จะให้คลินิกรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้นจากการผ่าตัดศัลยกรรมที่ผิดพลาด จึงได้ประสานไปที่เจ้าของคลินิก “ตอนแรกก็โทรไปคุยกับหลานของเจ้าของคลินิกว่า เราเป็นแบบนี้ๆ นะต้องเข้ารักษาใน รพ. นี้ๆ ค่าใช้จ่ายก็เยอะแล้วผ่ามาเจอแบบนี้ๆ นะ เราก็เล่าให้เขาฟังไปและบอกว่าอยากให้ทางคุณหมอรับผิดชอบ หลานเจ้าของคลินิกบอกว่าเขาตัดสินใจให้ไม่ได้ เราก็งงว่า ทำไมคุณไม่ไปถามกับหมอล่ะ ว่าจะรับผิดชอบอะไรเราไหม ตั้งแต่นั้นพอถามไปทีไรก็เงียบ เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เลยมาพึ่งมูลนิธิฯ ว่าพอมีกฎหมายอะไรช่วยเราได้บ้าง” หลังจากผ่านการเจรจากับตัวแทนของคลินิกไปหนึ่งครั้ง ผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจ “ตัวแทนเขาบอกว่า ช่วยค่ารักษาพยาบาลได้แค่ค่ารักษาตัวที่เยอรมัน แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาลที่นี่จิปาถะทั้งหลายเขาไม่พูดถึง และบอกว่ามารักษากับเขา เขาจะทำหน้าให้สวยที่สุด ทำให้ดีที่สุดแล้วแถมทำให้เพิ่มอีก 1 คนพาเพื่อนมาทำได้เลยแถมให้ 1 หน้าจะพาใครไปทำก็ได้ แล้วเราจะกล้าทำไหมในเมื่อปากเรายังชาอยู่เลยยังแก้ไขไม่ได้เลย คุณแก้ตรงนี้ให้เราได้ไหม” พอฉลาดซื้อถามถึงเรื่องแพทย์ที่ผ่าตัดให้ว่าเคยได้พูดคุยกันไหม คุณพัชราภาตอบว่า ไม่เจอเลย ทราบแต่ว่าปัจจุบันหมอคนนี้ก็ยังผ่าตัดอยู่เหมือนเดิม สำหรับการเจรจาครั้งที่สอง กำหนดไว้เป็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 ที่ศาลจังหวัดเชียงราย ก็ขอเอาใจช่วยคุณพัชราภาให้ผ่านอุปสรรคนี้ไปให้ได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 อนุสรณ์ พุ่มพวง ผู้ประสบภัยจาก “ประกันภัย”

“ผมอายุ 64 ปี เรียนจบด้านวิศวกรรมเคยทำงานเป็นวิศวกรอยู่บริษัทแห่งหนึ่ง แต่ตอนนี้เป็นเจ้าของโรงงานเซรามิคเล็กๆ อยู่ที่ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร คุณอนุสรณ์ พุ่มพวง เริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองให้เราฟังด้วยความมุ่งมั่น ต่อไปนี้คือการต่อสู้ของผู้บริโภคเล็กๆ ที่ฉลาดซื้ออยากให้ทุกคนเป็นกำลังใจให้อยากให้เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นผมมีลูกชายคนเดียว พอผมเริ่มอายุมากแล้วจึงทำประกันชีวิตกับ บ.ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต ประเภทบำนาญพิเศษเพื่อหวังเงินขวัญวันเกิด(เงินปันผลประจำปี) ที่จะเป็นทุนการศึกษาให้แก่ลูกต่อไปในภายหน้า โดยคาดไม่ถึงว่า บ.ประกันชีวิตของธนาคารฯ จะขาดวินัยทางการบัญชี ความซื่อสัตย์ และขาดจรรยาบรรณในวิชาชีพถึงเพียงนี้ นับว่าเป็นการตัดสินใจในทางที่ผิดเก็บเงินฝากธนาคารออมสินทุกเดือนจะดีกว่า ข้อพิพาทกับ บ.ไทยพาณิชย์ประกันชีวิตของผม หลักๆ คือผมถูกแปลงกรมธรรม์ โดยอ้างว่าผมจ่ายเบี้ยเกินระยะเวลาแต่ทางบริษัทฯ ไม่เคยมีการแจ้งการเปลี่ยนแปลงสถานะกรมธรรม์ของผม ผมขอแยกเป็นหัวข้อดังนี้ข้อที่ 1 การชำระเบี้ยประกันโดยตัดบัญชีเงินฝากธนาคาร โอนเงินผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัทประกันควรจะต้องยึดถือว่าวันเวลานั้นๆ คือเวลาที่แท้จริงของการชำระเงิน ใบเสร็จรับเงินต้องระบุให้ถูกต้องตามความเป็นจริง แต่ของผมไม่ตรงไปตรงมา ซึ่งองค์กรที่ขาดวินัยปัญหาก็จะตามมาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทำเงินหายหรืออะไรก็ตาม ฉะนั้นผู้บริโภคไม่ว่าจะชำระค่าอะไรที่ธนาคารจะต้องเก็บใบเสร็จรับเงิน (ใบโอนเงินที่ธนาคารออกให้) ทุกครั้งเพราะเราไม่รู้ว่าธนาคารแต่ละแห่งมีวินัยและจรรยาบรรณในวิชาชีพเพียงใด เพราะคุณค่าขององค์กรไม่ได้ขึ้นอยู่กับสำนักงานใหญ่โตสูง 10-20 ชั้นข้อที่ 2 การจ่ายเงินขวัญวันเกิด(เงินปันผล) บริษัทฯ ก็ไม่ยอมจ่ายแต่อ้างว่าจะนำไปหักเงินกู้อัตโนมัติที่ค้างอยู่ (หักหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะบริษัทให้ข้อมูลไม่เคยตรงกันเลย) อธิบายได้ว่าตามข้อกำหนดของกรมธรรม์(ทุกๆ กรมธรรม์) ระบุว่าเมื่อชำระเบี้ยประกันมาจนถึงสิ้นปีกรมธรรม์ที่ 2 (มีมูลค่าเวนคืนเกิดขึ้นแล้ว) เมื่อถึงกำหนดชำระเบี้ยประกันและเลยระยะเวลาผ่อนผัน 31 วันไปแล้วยังไม่ชำระเบี้ยประกันก็จะเป็นการใช้มูลค่าเวนคืนมาชำระเบี้ยประกันโดยอัตโนมัติ พูดง่ายๆ ว่ากู้เงินเขามาชำระเบี้ยประกันโดยมีมูลค่าของกรมธรรม์ค้ำประกัน เพื่อให้สิทธิที่พึงมีพึงได้ยังคงอยู่ทุกอย่างทุกประการ ฉะนั้นถึงเวลาจ่ายก็ต้องจ่ายตามเงื่อนไขกรมธรรม์จะอ้างว่านำไปหักเงินกู้อัตโนมัติไม่ได้ สมมติว่าผู้บริโภคทำประกันสุขภาพไว้กับบริษัทประกันเมื่อมีมูลค่าเวนคืนเกิดขึ้นแล้วแต่มีเงินกู้อัตโนมัติค้างอยู่ถึงเวลาเจ็บป่วยนอนโรงพยาบาลขึ้นมา บ.ประกันจะอ้างได้ไหมว่าฉันจะจ่ายให้แต่ต้องนำมาหักเงินกู้อัตโนมัติก่อน สรุปคือคุณต้องนอนห้องอนาถาไม่ใช่ห้องพิเศษวันละ 3,000 ตามที่ทำประกันไว้ เรื่องนี้ใครรู้ช่วยคิดหน่อยข้อที่ 3 การปฏิเสธไม่ยอมรับเบี้ยประกัน เวลากรมธรรม์มีมูลค่าเวนคืนเกิดขึ้นแล้ว เวลาขาดส่งเบี้ยประกันก็จะเป็นการกู้อัตโนมัติ เวลาจะชำระเงินกู้อัตโนมัติคืนเป็นงวดๆ พร้อมดอกเบี้ยก็ย่อมทำได้แต่ บ.ไทยพาณิชย์ประกันภัยไม่ยอมจะเอาคืนทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยหรือผู้เอาประกันจะใช้สิทธิชำระในงวดปัจจุบัน บริษัทฯ ก็ไม่ยอมเช่นกัน ในเมื่อเขาไม่ยอมเขาจึงปล่อยให้เป็นเงินกู้อัตโนมัติไปเรื่อยๆ จนกรมธรรม์แปรสภาพไปโดยปริยายในข้อ 3 นี้ขอนำเสนอเป็นแผนภูมิประกอบคำอธิบาย A B C D Eมูลค่าเวนคืนที่จุด A มีมากๆจุด B เป็นเงินกู้อัตโนมัติจุด C เป็นเงินกู้อัตโนมัติจุด D คืองวดชำระเบี้ยประกันถามว่าก่อนถึงจุด D (คือจุด X) ผู้เอาประกันค้างชำระอยู่ 2 งวดขอชำระ 1 งวด (ชำระ B) พร้อมดอกเบี้ย เขาไม่ยอมรับจะเอาที่ค้างชำระหนี้ทั้งหมด ถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่ข้อที่ 4 การแปลงกรมธรรม์เป็นการขยายเวลาโดยมูลค่าเวนคืนยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก ตามข้อกำหนดของกรมธรรม์ การชำระเบี้ยเป็นประเภทราย 4 เดือนคือ 1 รอบปีกรมธรรม์ชำระ 4 ครั้ง บ.ไทยพาณิชย์ฯ ตีความข้อกำหนดของกรมธรรม์ว่าเงินกู้อัตโนมัติกู้ได้ไม่เกินสิ้นปีกรมธรรม์เท่านั้น นั่นคืองวดปีกรมธรรม์ที่ 3 และงวดที่ 4 กู้อัตโนมัติไปแล้ว ต่อไปงวดปีที่ 4 งวดที่ 1 จะกู้ไม่ได้อีก จึงแปลงกรมธรรม์เป็นการขยายเวลาถ้าการตีความดังกล่าวชอบด้วยข้อกำหนดของกรมธรรม์ก็เป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และการแปลงกรมธรรม์เป็นการขยายเวลาไปแล้ว สิทธิและผลประโยชน์ต่างๆ จะหมดไปจะเหลือประการเดียวถ้าตายลงภายในระยะเวลาที่กำหนด บ.ประกันจะจ่ายให้เพียง 1 เท่าของทุนประกันเท่านั้นในระบอบทุนนิยมที่นายทุน เป็นผู้กำหนดบทบาทของรัฐบาลมาเป็นเวลาช้านานทำให้ผู้บริโภคโดนเอารัดเอาเปรียบ ฉ้อฉลเป็นอย่างมาก ประกอบกับกลไกคุ้มครองผู้บริโภคภาครัฐล้มเหลว สิ่งที่จะเป็นดุลอำนาจในการต่อรองคือภาคประชาชน มีคำพูดของท่านปลัดอำเภอกระทุ่มแบน(ศูนย์ดำรงธรรม) ว่า “ลุงไปร้องทุกข์มาครบถ้วนตั้งแต่เทศบาล คปภ.จังหวัด คปภ.กรุงเทพฯ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม คปภ. เป็นหน่วยงานของรัฐแก้ปัญหาให้ประชาชนไม่ได้ ให้ลุงไปที่ศาลเถอะเขาจะช่วยลุงเอง”ช่วงของการเตรียมเอกสารก่อนขึ้นศาล ต้องเตรียมอย่างไรบ้างคะก็ต้องมานั่งรวบรวมเอกสารเป็นหมวดเป็นหมู่ ตอนแรกเราเก็บใบเสร็จรับเงินไว้แบบไม่เรียบร้อย คือที่บ้านมีกล่องอยู่กล่องนึงเราเอาเอกสารใส่ไว้ในนั้น เราต้องรวบรวมมา แล้วไปขอความรู้ที่เนติบัณฑิตสภา ที่โน้นที่นี่ภายในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งพอไปจริงๆ เขาก็ไม่รู้อะไรเท่าไร ไม่รู้ข้อกำหนดของกรมธรรม์เลย ไปๆ มาๆ เลยไปได้อาจารย์คนหนึ่งที่ห้องคุ้มครองผู้บริโภค ที่เป็นคนร่างสำนวนฟ้องให้นั่นแหล่ะ คอยเป็นพี่เลี้ยงให้ เป็นเหมือนอาจารย์คอยให้ความรู้ทางกฎหมาย ผมจึงไปฟ้องศาลเขียนคำฟ้องโดยไม่มีทนาย(คดีผู้บริโภค) มีนิติกรที่ศาลคอยช่วย ใช้เวลาเขียนคำฟ้องอยู่ 6 เดือน จนศาลรับฟ้องแล้วอยู่ในขั้นเจรจาไกล่เกลี่ย แต่ผลปรากฏว่าการเจรจาไกล่เกลี่ยนั้นตกลงกันไม่ได้ เพราะผมขอเงินคืนทั้งหมดไม่ทำประกันแล้วเพราะเขาเป็นฝ่ายผิดสัญญา ถึงเวลาจ่ายเงินปันผลเขาต้องจ่ายจะบ่ายเบี่ยงไม่ได้ ครั้งแรกเขาให้การกับ คปภ. สมุทรสาครว่า เงินปันผลจะนำไปหักกับเงินกู้อัตโนมัติ ต่อมาที่ คปภ. กรุงเทพฯ เขาบอกว่าต้องจ่ายเงินให้ครบก่อน ถึงจะมีสิทธิได้เงินปันผล คำพูด 2 ครั้งของเขาขัดแย้งกัน ในขั้นตอนการไกล่เกลี่ยทางบริษัทฯ เขาพูดกับผมว่ายังไงๆ เขาสู้ถึงอุทธรณ์ ฎีกาอยู่แล้ว ผมเห็นว่าคงสู้ไม่ไหวจึงมีความคิดว่าเราต้องใช้ธรรมะปราบอธรรมแล้วบังเอิญได้ดูข่าวของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจากไทยรัฐก็เลยรู้จักมูลนิธิฯ จึงมาขอความช่วยเหลือ ทางมูลนิธิฯ ก็ให้ความช่วยเหลือจัดหาทนายลงไปช่วย ซึ่งศาลสมุทรสาครจะมีคำตัดสินในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 นี้อยากฝากถึงผู้อ่านที่ได้อ่านเรื่องนี้เกี่ยวกับการทำประกันอย่างไรบ้างเพื่อจะได้รู้เท่าทันการแปลงกรมธรรม์เป็นการขยายเวลาก็ดีหรือการแปลงกรมธรรม์แบบใช้เงินสำเร็จก็ดีจะทำให้สิทธิการได้รับผลประโยชน์ในผู้ประกันตนสูญหายไป เพราะฉะนั้นการแปลงกรมธรรม์ตัวนี้ในมุมของกฎหมายก็คือยุติสัมพันธ์ การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของนิติกรรมต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าให้รับรู้ ในกรณีของผมนี้เขาต้องบอกให้รับรู้ว่าสถานะกรมธรรม์ของผมเป็นอย่างไร แต่เขาไม่ได้ทำ ดังนั้นหากใครทำประกันอยู่ จึงต้องหมั่นตรวจตราในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเจอปัญหาคล้ายๆ ผมหรือยังไม่เจอปัญหาก็ตาม การทำประกันหรือทำธุรกรรมต่างๆ ต้องเก็บเอกสารการโอนเงินให้ดี ใบเสร็จรับเงินที่เขาให้มาต้องเก็บไว้ทุกครั้งเพราะวันดีคืนดีเขาบอกมาว่าไม่ได้รับเงิน ถ้าไม่ได้เก็บใบเสร็จไว้ถ้าแล้วตายขึ้นมาลูกหลานไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็อาจจะโดนเขาหลอกจนลูกหลานเราไม่ได้อะไรเลย แล้วมันเป็นไปได้ยากที่คนเรา ยิ่งหาเช้ากินค่ำด้วยแล้ว จะมาเก็บเอกสารพวกนี้แยกเป็นหมวดหมู่ทุกครั้ง แล้วยิ่งมาเจอบริษัทประกันที่ไม่มีวินัยทางการเงินแบบนี้ ทาง คปภ. ต้องมีมาตรการในจัดการ ต้องมีอำนาจควบคุมดูแลจะมาบอกว่าไม่รู้ๆ ไม่ได้สิ่งที่พวกเราผู้บริโภคจะช่วยกันสร้างดุลอำนาจต่อรองคือ1. มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคต้องเป็นองค์กรที่เข้มแข็ง อุปมาเหมือนกับมูลนิธิคือปืนแต่ลูกกระสุนไม่ค่อยมี เพราะไม่มีเงินซื้อลูกปืนขอให้ผู้มีจิตสาธารณะรักความยุติธรรมช่วยกันเสริมสร้างในมูลนิธิฯ เข้มแข็งขึ้น2. ขอให้องค์กรส่วนจังหวัด เทศบาล อำเภอ อบต. จัดสัมมนาให้ความรู้ถึงสิทธิของผู้บริโภคในเรื่องต่างๆ ทุกๆ ปี3. ให้รัฐบาลออกกฎหมายองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนและจัดสรรงบประมาณให้องค์กรนั้นๆ ทุกๆ ปี นี่คือความจำเป็นโดยรีบด่วนที่ต้องทำให้สำเร็จในรัฐบาลชุดนี้ หากระบบทุนนิยมกำหนดรัฐบาลได้จะกระทำได้ยาก4. ขอให้มีการออกข้อกำหนดเรื่องการอุทธรณ์และฎีกาว่าคดีผู้บริโภคจะต้องมีคำพิพากษาโดยเร็ว เพื่อให้ทันในการเยียวยาความเสียหาย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 60 Plus+ “ให้ทุกคนเห็นว่าคนพิการทำงานได้ ทุกคนมีจุดแข็ง จุดอ่อนที่มาเติมเต็มกันและกัน”

ริมถนนราชวิถี อาณาบริเวณติดกับบ้านราชวิถี เป็นที่ตั้งของร้าน 60 Plus+ Bakery & Cafe โครงการดีๆ ที่เปิดโอกาสให้คนอีกกลุ่มหนึ่งในสังคมได้ใช้สิทธิในสังคมอย่างสมบูรณ์แบบ“โครงการนี้เป็นโครงการเฉลิมฉลองครบ 60 พรรษาของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เราจึงอยากให้เป็น Living Present คือของขวัญที่มีชีวิต ซึ่งประชาชนก็ถวายของขวัญให้พระองค์ท่านมากมายแต่ให้ครั้งเดียวมันก็หมดไป แต่การที่น้องๆ อยู่ตรงนี้ทุกวันมันคือ การถวายพระพรท่านในทุกๆ วันว่าน้องๆ ทุกคนทำได้ ซึ่งร้านนี้เกิดจากความร่วมมือของศูนย์พัฒนาและอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก ( APCD) และบริษัทไทยยามาซากิจำกัด จากประเทศญี่ปุ่น และผู้ค้าอื่นๆ จุดเริ่มต้นคือการที่เราทำ Showcase ให้ทุกคนเห็นว่าคนพิการทำงานได้ มันเป็นรูปแบบนามธรรมที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก เวลาที่เรานึกถึงคนพิการส่วนใหญ่แล้วเขาก็จะโดนจ้างจากบริษัทให้ทำงานเป็นพวก Call Center อะไรพวกนั้นแต่ในกรณีของร้านนี้น้องๆ จะได้พัฒนาเต็มศักยภาพจริงๆ เงินเดือนก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพนักงานยามาซากิคนอื่นๆ ใช้เรทเดียวกัน ที่สำคัญคือน้องๆ จะสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองเพื่อที่เขาจะได้กลับไปอยู่ในสังคมที่พวกเขาคุ้นเคยอยู่แล้วได้ด้วย”น้องณูณู น้องพนักงานท่านหนึ่งเล่าให้ฟังด้วยความภาคภูมิใจ จากนั้นส่งไม้ให้คุณต้อม ดวงนฤมล ดอกรัก ผู้จัดการข้อมูลและความรู้ มูลนิธิศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก(ศพอ.) ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาเล่าต่อ“น้องๆ จะอยู่ในเครือข่ายของเราขึ้นอยู่กับว่าจะมาสมัครหรือเปล่า อย่างรุ่นแรกจำเป็นต้องใช้เครือข่ายเพราะว่าเป็นปีแรกยังไม่มีใครรู้จักร้านเรา เราต้องรับสมัครก่อนที่ร้านจะเปิดจริงๆ 9 เดือน แล้วไม่มีใครรู้จักร้านเรา ที่ตรงนี้เดิมเป็นที่รกๆ เก่าๆ แต่เราเปลี่ยนมันให้เป็นร้านเบเกอรี่และทำพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นเทอเรซคาเฟ่”ตอนเริ่มต้นฝึกกันอย่างไรบ้างค่อนข้างลองผิดลองถูกเพราะว่าเราไม่รู้เลยโดยส่วนใหญ่แล้ว APCD จะทำอบรมด้านความพิการอย่างเดียวแต่นี่ถือเป็นการฝึกครั้งแรก ซึ่งมีเวลาเตรียมตัวแค่ 3 อาทิตย์เท่านั้น คือเราได้รายชื่อมาแล้วว่าเขาพิการอะไรบ้างแล้วมานั่งคิดประยุกต์จากที่พวกเราเชี่ยวชาญเฉพาะทางกันอยู่แล้ว อย่างตัวเองเคยสอนเด็กพิการ 9 ประเภทตามหลักกระทรวงศึกษาธิการก็เลยรู้ Know how อย่างไรถึงจะสอนพวกเขาได้ ทำอย่างไรเด็กออทิสติกจะเข้าใจ ทำอย่างไรให้เด็กออทิสติก คนหูหนวกและคนที่พิการทางด้านร่างกายเขาอยู่ร่วมกันได้ คือคนพิการทางด้านร่างกายนั้น ถ้าไม่นับข้อจำกัดด้านร่างกายเขาก็คือคนปกติดีๆ นี่เอง คนหูหนวกก็เหมือนกันถ้าไม่นับเรื่องที่เขาไม่ได้ยินเขาก็เหมือนคนปกติ แต่เด็กออทิสติกถือเป็นปัญหาในช่วงนั้นเลย เพราะเราจะพูดกับเขาไม่รู้เรื่องและในปีแรกนั้นมีน้องคนหนึ่งพิการค่อนข้างรุนแรงเลย คือเขียนหนังสือไม่ได้ อ่านก็ไม่ค่อยออกด้วย แต่ว่าน้องพัฒนาจากการที่เราเคยต้องพูดปากเปียกปากแฉะทุกวันว่า ต้องทำอะไรอย่างไรบ้าง แต่ตอนนี้ลองมองตาของน้อง แววตามีแต่ความสุขทุกวันและน้องก็น่ารักเราจำวันแรกของทุกๆ คนได้เลย ทุกคนนั่งเฉยๆ เป็นต้นไม้ ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น เราก็คิดเหมือนกันว่าจะไปรอดไหมเพราะผู้พิการทางการได้ยินเขาก็จะมีสังคมของเขา แต่จะให้ช่วยมาดูแลน้องๆ ออทิสติกนั้นมันก็ยาก ก็ได้พี่ๆ ที่พิการทางร่างกายมาเป็นตัวเชื่อมโยงเหมือนเป็นพี่เลี้ยงให้เด็กออทิสติก และผู้พิการทางการได้ยินก็เรียกได้ว่าเป็นมือขวาของผู้พิการทางด้านร่างกายเพราะว่าเวลาพี่ๆ ที่พิการด้านร่างกายเดินช้ากว่า แต่ว่าเตา(เตาอบขนม) มันพร้อมแล้วผู้พิการทางการได้ยินเขาจะจมูกไวมาก ก็ช่วยๆ กันทำงาน เพราะการที่เราทำออเดอร์เสร็จนั้นมันคือข้อบ่งชี้ว่าเราทำได้จริง และช่วงปีแรกเราก็มีปัญหาที่ว่าน้องๆ ที่เป็นเด็กพิเศษ ไม่สามารถนั่งผูกผ้ากันเปื้อนได้ คือเขาไม่สามารถที่จะผูกด้านหลังโดยมองไม่เห็นได้ จึงคิดว่าจะทำอย่างไรดี รุ่น 2 เลยมีการสังเกตการณ์อยู่ 1 เดือนก่อนถ้ามีแววก็จะไปสู่ปฐมนิเทศของการอบรมแต่ถ้าไม่มีแววก็ต้องกลับบ้าน แต่เรามั่นใจว่าน้องๆ ทุกคนตรงนี้พอได้เป็นรุ่น 2 มันมีความเคยชินเพราะตอนรุ่น 1 ยังไม่มีร้านให้เขาฝึกงานเพราะร้านเสร็จตอนเดือน ส.ค. แต่เขามาฝึกกันตั้งแต่เดือน พ.ค. ซึ่งต้องฝึกกันถึง 6 เดือนรุ่นแรกมีกี่คน คัดมาจากจำนวนเท่าไรคัดมาจาก 14 คน ได้มาทำงานเป็นพนักงานจริงๆ 10 คน แต่เราเป็นสาขาศูนย์ฝึกไม่ใช่สาขาออฟฟิศ เพราะถ้าที่นี่เป็นสาขาออฟฟิศหมายความว่าเราจะสร้างความเข้มแข็งของผู้พิการได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเราเป็นสาขาศูนย์ฝึกเราจะหมุนเวียนทุกปีหมายถึง เราจะสามารถสร้างความเข้มแข็งและศักยภาพให้น้องๆ พิการได้เรื่อยๆ จำนวนจะเพิ่มขึ้นทุกปี ตอนนี้เรามีกันอยู่ในร้าน 22 คนเป็นรุ่นแรก 9 คนที่แต่เดิมมี 10 คนหายไป 1 คนเพราะถูกส่งไปอยู่สาขาอื่นเรียบร้อย เขาเป็นผู้พิการทางด้านร่างกายเคยทำงานอยู่การรถไฟแห่งประเทศไทยแล้วถูกรถไฟทับขาขาดต้องใส่ขาเทียม เดี๋ยวก็จะมีคนต่อๆ ไปส่งไปอีกต้องดูเป็นคนๆ ไปใครที่ไปได้เราก็จะส่ง แต่ว่าน้องๆ รุ่นที่ 2 นี้ก็กำลังจะจบการฝึกงานสิ้นเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าผลการฝึกงานจะเป็นอย่างไร เพราะตัวเราเองถูกส่งมาเพื่อคอยจับตาดูน้องๆ ทุกคนเพราะเป็นผู้ฝึกอบรมมาตั้งแต่รุ่นสังเกตการณ์ สังเกตการณ์เหมือนกับให้เขาได้เตรียมตัว เตรียมทักษะก่อนหน้าที่จะไปเจอของจริงที่เป็นมาตรฐานของยามาซากิอย่างเช่นที่คีบซึ่งมั่นใจว่าน้องๆ ไม่เคยใช้แน่ๆ แต่เขาต้องฝึกใช้กันให้คล่อง ก็ต้องสอนเขาให้รู้จักการใช้วิธีการคีบอย่างไร ใส่ถุงอย่างไร การกะขนาดของขนมกับถุงที่จะใส่ด้วยสายตา เรื่องพวกนี้เราต้องใช้เวลาในการฝึกและฝึกการทำงานเป็นทีมด้วย พอมาอยู่ในนี้ทุกคนต้องทำงานเป็นทีมเดียวกันคือต้องมีทักษะที่ชำนาญในระดับหนึ่ง และถ้าเป็นไปได้เราเริ่มให้เขาจำชื่อขนมและราคาก่อน ถ้าจำได้เรื่องจำโค้ดค่อยมาเรียนทีหลังเพราะโค้ดเป็นสิ่งที่สาขาอื่นจะใช้อยู่ตลอดเพราะฉะนั้นนี่เป็นเหตุผลที่ทำไมน้องๆ ต้องเรียนโค้ดสำหรับคนที่อยู่ฝ่ายขายและโดยเฉพาะคนที่ทำหน้าที่แคชเชียร์จะต้องจำมันให้ได้ซึ่งอันที่จริงมันก็แยกตามประเภทของขนมปังอยู่แล้ว จะมีชื่อเรียกเป็นโค้ดของมันอยู่แล้ว ก็มีทั้งหมด 21โค้ดน้องแต่ละคนได้ทำหน้าที่หมุนเวียนกันไปไหมคือไม่ได้หมุนเวียนแบบ 1 คนทำทั้งฝ่ายผลิตและฝ่ายขายแน่นอน เราทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะว่าเราต้องแยกใครมีแววด้านการผลิตก็ให้อยู่ฝ่ายผลิตไปเลย ใครอยู่ฝ่ายขายก็ฝ่ายขายไปเลย แต่ว่าจะมีน้องจุ๊บแจงจะเป็นกรณีพิเศษเขาจะอยู่ได้ทั้งฝ่ายผลิตและฝ่ายขายซึ่งมีแบบนี้ไม่กี่คน คือคิดว่าคนพิการทุกคนมีจุดแข็งจุดอ่อนเหมือนคนหนึ่งคอยมาเติมส่วนที่อีกคนหนึ่งขาด อย่างพี่ที่หูหนวกก็จะถูกจับคู่กับน้องๆ ออทิสติกซึ่งตอนแรกก็ห่วงว่าเขาจะสื่อสารกันอย่างไร สุดท้ายก็ใช้วิธีเขียนเอาบ้าง ใช้ภาษามือบ้างการสื่อสารนั้นสำคัญมากเลยเพราะเรามีทั้งออทิสติก ซึ่งการสื่อสารต้องทำความเข้าใจเขานิดหนึ่งและอย่างด้านผู้พิการทางการได้ยินก็มีทั้งหูตึง หูหนวก ซึ่งหูหนวกเขาจะสื่อสารกันโดยใช้ภาษามือ ส่วนหูตึงจะใช้การอ่านปากและการเขียน ส่วนออทิสติกภาษาที่เขาใช้คือภาษาง่ายๆ ใช้ท่าทาง คือผู้พิการทั้งหลายนั้นสิ่งที่มีร่วมกันคือการใช้ภาษาร่างกาย ภาษามือง่ายๆ ที่เราคิดกันขึ้นมาเองก็สามารถทำให้เขาเข้าใจได้เพราะเขาต้องการอะไรที่สั้นๆ สื่อความหมายได้ ซึ่งการเรียนรู้ตรงนี้ไม่ยากแต่สิ่งที่เป็นพื้นฐานมากกว่านั้นคือความรัก ถ้าเขาไม่รักกันเขาจะไม่เข้าใจกันเพราะฉะนั้นสิ่งแรกเราไม่ได้เน้นให้เขาใช้ภาษามือแต่เราฝึกให้เขาใช้ความรัก ความผูกพันและความเข้าใจกัน เข้าใจทั้งคนอื่นและเข้าใจตนเองว่าตนเองมีส่วนไหนทำได้ ส่วนไหนทำไม่ได้ เขาจะได้รู้ตัวเองว่ามีจุดดีจุดด้อยตรงไหน น้องๆ ที่มาแรกๆ นั้นเขาจะนั่งเฉยๆ เพราะเขาไม่เคยต้องทำอะไรเท่าไรตอนอยู่ที่บ้านแต่พอออกมาเขาได้ทำนู้นทำนี่แล้วเรารู้สึกดีใจที่ได้เห็นแววตามีความสุขของพวกเขา เขาสามารถบอกได้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรได้ นี่คือความสำเร็จของเรา ซึ่งความรักนั้นทำให้พวกเขามีพัฒนาการที่ดีขึ้นและเขาจะมีความเชื่อมั่น เวลาเขาทำสำเร็จเราจะชื่นชม เขาจะได้รู้สึกว่าเขาทำได้น้องๆ ที่นี่ก็จะมีประเภทที่ 1 คือจิตเภท คือความคิดของเขากับความจริงจะไม่เหมือนกัน โลกของเขาอาจจะต่างกับของเรา กลุ่มที่ 2 คือประเภทไบโพลาร์คือมีอารมณ์ 2 ขั้ว เขาจะมีการกลับไปกลับมาระหว่าง 2 ขั้ว ร่าเริงสุดขั้วกับซึมเศร้าสุดขั้วแต่ช่วงเปลี่ยนระหว่าง 2 อารมณ์นี้มันจะไม่แน่นอน อาจจะเปลี่ยนแค่วันเดียวหรือเป็นเดือน เป็นปีก็ได้ อีกกลุ่มคือซึมเศร้าตลอดเวลา ตอนนี้ในรุ่น 2 เรามีน้องที่เป็นจิตเภทและไบโพลาร์อยู่ในร้านด้วย อย่างที่เป็นจิตเภทจะเห็นได้ว่าเขาไม่เคยอาละวาดกับเรา แต่เขาเคยเข้าศรีธัญญามานะ ซึ่งคนทั่วไปถ้าให้รับเข้าทำงานก็คงคิดหนักเป็นเรื่องปกติเพราะเวลามีข่าวคนจะจำภาพทำให้ติดอยู่ในใจ ทำให้รู้สึกกลัวถ้าจะมีปฏิสัมพันธ์กับเขา แต่ถ้าได้มาดูที่ร้านจะเห็นว่าไม่ว่าจะวันไหนน้องๆ เขาก็น่ารักถึงแม้ว่าบางทีจะยิ้ม จะพูดคนเดียวแต่ก็ไม่ถึงขั้นร้ายแรง ส่วนที่เป็นไบโพลาร์พอเห็นเขาดีๆ ก็ดีแต่ใจก็คิดอยู่ว่าถ้าเขาคลุ้มคลั่งขึ้นมาจะเป็นอย่างไร ซึ่งน้องก็เคยเข้ารับการรักษาที่ศรีธัญญาเหมือนกันและทานยาอยู่ซึ่งน้องไม่ได้น่ากลัวเลย ตอนนี้เราเชื่อใจเขามากจึงให้ไปทำงานที่ UNCC ลูกค้าที่ไปใช้บริการที่นั่นเป็นระดับ VIP คือเป็นราชการระดับผู้ใหญ่แต่เรากล้าที่จะให้น้องที่เป็นไบโพลาร์ไปฝึกงานที่นั่นเพราะเราต้องการจะบอกกับสังคมว่าไบโพลาร์ก็ทำงานได้ ซึ่งเราพิสูจน์แล้ว จะมีแค่เขาอาจจะพูดอะไรงงๆ แต่ไม่ได้อาละวาดใคร คือเราได้เขาคืนกลับมาในสังคมซึ่งมันยิ่งใหญ่มาก จริงๆ แล้วพวกเขามีการศึกษาสูงกันทั้งนั้น เรียนปริญญาตรีกันแต่ว่าไปต่อไม่ได้เพราะเวลาเขาเข้าไปในสังคมเขาอาจจะกลัวแต่พอเขาได้อยู่ในบรรยากาศที่มีความเข้าใจเขาอยู่ได้ ตรงนี้ที่เราเน้นมากเคยมีปัญหาจากคนที่ไม่เข้าใจน้องๆ บ้างไหมเราเลี่ยงไม่ได้เพราะอาจมีคนคิดในแง่ลบกับคนพิการแต่ว่าเราไม่สามารถไปเปลี่ยนความคิดได้ด้วยคำพูดแต่เราเปลี่ยนได้จากการกระทำแล้วสักวันหนึ่งเขาจะเปลี่ยนเอง สิ่งที่เราหวังจากร้านนี้ไม่ใช่แค่ Training ไม่ใช่แค่ร้านค้าแต่มันเป็นทั้ง 2 อย่างเป็นทั้ง Training และ Showcase ด้วยเป็น Showcase หมายความว่าเราเป็นเหมือนโชว์รูมรถ เราอยากบอกว่าคนพิการทำงานได้เราก็ต้องแสดงให้เห็นจากบรรยากาศจริงๆ ในเรื่องของสินค้าเราทำมาตรฐานเดียวกันแต่ส่วนที่เราเพิ่มคือความเป็นคนพิการ ซึ่งความเป็นคนพิการไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรที่เศร้าหรือน่าสงสาร นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการแต่เราต้องการให้เห็นคุณภาพหรือศักยภาพของคนพิการมากกว่าถ้างานเยอะมากๆ น้องๆ เขารับมือกันอย่างไรถ้าออเดอร์เยอะเราจะแบ่งจัดสรรให้เขาทำงานเฉพาะด้านที่เขาถนัด บางคนก็อาจจะมีข้อจำกัดบ้างแต่ก็อย่างที่บอกเหมือนกับเป็นการฝึกมากกว่า เราจะมีการให้จับคู่กับคนที่ไม่พิการด้วยให้ทำงานคู่กันและให้สอนเขาไปด้วยพร้อมๆ กันฝากถึงคนในสังคมให้เปิดโอกาสให้น้องๆ ที่เป็นเด็กพิเศษอย่างไรดีถ้าในด้านสังคมอยากจะบอกว่าอันดับแรกคือ ให้คิดว่าคนพิการนั้นคือคนๆ หนึ่งในครอบครัวคุณเพราะคนในครอบครัวหรือตัวคุณเองก็มีสิทธิที่จะเป็นคนพิการได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจากโรคภัยหรืออุบัติเหตุแล้วถ้าในขณะนี้เรามีโอกาสทำไมเราไม่เปิดใจที่จะช่วยกันเปิดประตูที่กั้นระหว่างคนพิการกับคนในสังคม เพื่อที่จะให้คนเหล่านี้ได้เข้ามาอยู่ร่วมกับเรา ตอนนี้บางทีเราอาจจะอยู่บ้านเดียวกันแต่ว่าถ้าบ้านนั้นมีกำแพงที่มองไม่เห็นระหว่างตัวคนพิการและคนรอบข้างมันก็เป็นช่องว่างอยู่ดี ลองช่วยกันเปิดประตูมันไม่มีทางเปิดได้จากข้างใดข้างหนึ่ง คนพิการเปิดมามันก็หนักเกินไปมันต้องเปิดร่วมกัน-------------------------------------------------------------------------คุณคริส เบญจกุล: ประชาสัมพันธ์โครงการฯเข้ามาทำตรงนี้ด้วยจิตอาสาจริงๆ ก็อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและอีกอย่างคือคนในสังคมมองว่าคนพิการทำอะไรไม่ได้ อยากจะแสดงให้เห็นว่าคนพิการก็สามารถทำได้นะ ยามาซากิที่พวกเราทำอร่อยกว่าที่อื่นนะเพราะคนพิการทางหูเขาจะจมูกดีกว่าคนอื่น อันนี้หอมแล้ว อร่อยแล้ว พอเอามาให้ชิมก็อร่อยจริงๆทำหน้าที่อะไรในร้านผมอยู่ร้านวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ครับ ยกเว้นวันที่ไม่สบายจริงๆ หรือไปหาหมอ หน้าที่ของผมช่วยฝ่ายขายและช่วยโปรโมทร้าน ส่งของเองด้วย ส่งถึงมือลูกค้าเลย ส่วนใหญ่ก็ไปส่งเกือบทุกที่ ที่ส่งเยอะที่สุดก็ที่เซ็นทรัลเวิลด์สั่งมา 5 พันเซ็ท ก็ช่วยกันเริ่มแพ็คตั้งแต่บ่าย 2 เพราะเขาต้องการก่อน 4 ทุ่ม วันนั้นทำดึกเลยครับ ไม่มีใครงอแง ช่วยกันทุกคน บางคนแฟนก็ต้องมาช่วยทำ บางคนแม่มาช่วยเพื่อให้ได้ครบ 5 พันกล่องให้ได้ฝากอะไรถึงคนอื่นๆ ที่อยากให้มองคนพิการใหม่อยากให้มองว่าคนพิการก็ทำได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้คนให้ถูกกับงาน เช่นบางคนหูไม่ดีให้เป็นพนักงานเสิร์ฟก็ไม่ได้ ให้เลือกงานที่เขาทำได้ให้เขาทำดีกว่า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 สันติ โฉมยงค์ “ถ้าเราไม่ทำแล้วจะมีใครไปทำงาน”

สันติ โฉมยงค์ เภสัชกรชำนาญการกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค  สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ข้าราชการตัวเล็กๆ ที่ทำงานคุ้มครองอย่างเข้มแข็งและเต็มไปด้วยสีสัน ต้องมาสะดุดเมื่อถูกผู้ประกอบการฟ้องหมิ่นประมาท เรื่องราวการทำงานแต่ละช่วงเวลาเป็นตลกร้ายที่พวกเราอาจหัวเราะไม่ออก แต่เมื่อเราถามว่าเขาเริ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคตั้งแต่เมื่อไหร่ แววตาคู่นั้นกลับมีประกายอีกครั้ง สันติดเล่าย้อนกลับไปว่า “เริ่มงานด้านผู้บริโภคตอนมาเป็นเภสัชนี่ละครับ  ผมเห็นปัญหาเรื่องของการบริโภคแล้วก็เห็นปัญหาเรื่องของการใช้ยาของชาวบ้าน  แต่ก่อนก็เป็นภสัชที่โรงพยาบาลชุมชน รพ.บ้านหมอ ตอนนั้น รพ.มีวิกฤติ คือเป็นช่วงที่ รพ.เข้าสู่ระบบ 30 บาทใหม่ๆ (ยุคแรกของโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) งานมันมากมาย พองานมากๆ เข้าแพทย์ก็เริ่มลาออก ทันตแพทย์ เภสัชก็ลาออกกันหมดเลย ผมก็เป็นรุ่นที่ไปแทน ตอนนั้นเป็นข่าวดังมากที่มีบุคลากรทางการแพทย์ลาออกกันหมด ย้ายหนีกันหมด เราก็พยายามทำงานเชิงรุก เพราะเราเจอปัญหามากเนื่องจากวันหนึ่งๆ มีคนไข้ประมาณ 600 คน มีเตียง 30 เตียง คือบางทีมันจ่ายยาคนเดียวไม่ไหว เราก็พยายามออกไปเยี่ยมบ้าน และให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพตัวเอง แล้วเราก็รู้ ก็ไปเจอว่ามันมีปัญหา ปัญหาที่ซับซ้อนในการใช้ยาของชาวบ้าน เช่น มีกลุ่มทุนในหมู่บ้านที่ต้มยาขายเอง หรือกลุ่มพระสงฆ์ที่ซื้อยาแผนปัจจุบันไปบดทำยาสมุนไพร ก็เลยคิดว่าการไปทำงานเชิงรับในโรงพยาบาลมันช่วยอะไรไม่ได้ ตอนนั้นรู้จักพี่ภาณุโชติ(ภก.ภาณุโชติ ทองยัง) แกก็เลยชวนมาทำปัญหาเรื่องยาไม่เหมาะสมในชุมชน  ซึ่งมันก็พอดีกับที่เจอเราก็เลยออกมาทำเรื่องคุ้มครองผู้บริโภค เลยเริ่มที่ รพ.ชุมชนก่อน  แต่ทำงานใน รพ.ชุมชนก็จะมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา คือต้องหลังจากที่แพทย์เลิกตรวจแล้ว เวลาหลังบ่ายสองโมงเราถึงจะออกไปทำงานกับชาวบ้านได้ก็ทำอยู่แบบนั้นได้ประมาณสักสามปีก็เลยย้ายไปทำงานที่ฝ่ายคุ้มครองผู้บริโภคที่อุทัยธานี ตอนนั้นก็ทำเต็มตัวเลยนะ ไปทำหน่วยตรวจสอบเคลื่อนที่ เรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร  ผมเจอเคสหนึ่งตกใจมากเลย คือมีเด็กป่วยแล้วทิ้งเจลแปะหน้าผากลงไปในน้ำ พอดีฝนตกน้ำมันก็ไหล ชาวบ้านไปเจอแล้วเข้าใจว่ากินได้ เขาก็ไปจับมาแล้วก็หุงข้าวเตรียมจะกินละ  ตอนนั้นคิดว่าชาวบ้านเขาไม่รู้จริงๆ เรื่องราวเป็นข่าวใหญ่โตมากเลย เราก็ไปดูเห็นว่านี่มันเจลแปะลดไข้ธรรมดา เลยคิดว่าเราต้องทำงานเชิงรุกให้มากยิ่งขึ้น อยู่ที่นั่น(อุทัยธานี) ก็ทำเรื่องแก้ปัญหาหน่อไม้ปี๊บ เรื่องการฉีดยาฆ่าแมลงแตงกวาก่อนการเก็บเกี่ยว เช่นพรุ่งนี้จะเก็บเย็นวันนี้ก็จะฉีด เราก็เข้าไปให้ความรู้ ซึ่งตอนหลังพบว่า เราเข้าไปต่อสู้กับระบบทุนใหญ่ บางพื้นที่เขาทำขนาด 50 ไร่  ใช้เครื่องฉีด ใช้รถพ่น เราก็เลยคิดว่าเรื่องการให้ความรู้เป็นเรื่องสำคัญ พอย้ายมาอยู่ที่จังหวัดอยุธยา จึงทำเรื่องเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคอย่างจริงจังหลักๆ มีอะไรบ้างคะมีเครือข่ายโรงเรียน เช่น งาน อย.น้อย ซึ่งเป็นหน้าที่หลักอยู่แล้ว แต่แทนที่เราจะทำกับเด็กอย่างเดียว ผมเข้าไปทำกับชุมชนด้วย แล้วผมก็ไปชวนชาวบ้านมาเป็นเครือข่ายผู้บริโภคด้วย มาให้ช่วยเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ที่เป็นปัญหาของชุมชน ผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาใหม่ๆ แล้วคนในชุมชนก็ตอบปัญหาไม่ได้ อันแรกจำได้แม่นว่า มีตัวดูดน้ำ อันนี้เด็กๆ และอาจารย์ที่โรงเรียนจะเป็นคนที่แจ้งมา ตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ ผมไปอยู่โรงเรียนหนึ่งเห็นเข้าตกใจมาก เพราะว่าทุกคนในโรงเรียนเล่นไอ้ตัวนี้อยู่ คุณครูก็จะไม่รู้เพราะว่าเด็กจะซ่อนเอาไว้ใต้โต๊ะในลิ้นชัก ครูไม่รู้ แล้วก็กลัวว่าถ้าบอกออกไปจะเป็นความผิด เราเลยไปหาผู้บริหาร ผู้บริหารก็บอกว่าใครมีเอาออกมานะ ไม่เอาออกมาจะมีความผิดปรากฏว่าทั้งโรงเรียน หรือมีอยู่โรงเรียนหนึ่งคือ เด็กกลัวความผิด เลยเอาไปทิ้งไว้ในชักโครก พอเปิดชักโครกมา โอ้โห มันพองเต็ม กลายเป็นส้วมตันทั้งโรงเรียน เราเลยต้องให้ความรู้ว่ามันอันตรายอย่างไร โดยเฉพาะพวกเด็กเล็กๆ ที่ยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ยังเอามากินยังอม  พอพยายามให้ความรู้กับชาวบ้าน เพราะมีเอาไปเล่นที่บ้านด้วย ตอนหลังก็รู้ว่ามันเป็นสินค้าที่ห้ามจำหน่ายอยู่แล้วเพราะผิดกฎหมาย ตอนนั้น สคบ.ออกประกาศมาแล้ว พอเราแจ้งไป สคบ.ก็มากวาดล้างที่อยุธยา แต่ถ้าถามว่าทุกวันนี้ยังมีไหมก็ยังมีอยู่นะแต่มันก็ลดน้อยลง เหมือนชุมชนมีความรู้เพิ่มมากขึ้น เวลาผมไปทำงานแบบนี้ผมไม่ได้ไปคนเดียว จะพาชาวบ้านเครือข่ายในชุมชนนั้นไปด้วยให้เขาเห็นว่าเรื่องนี้มันเป็นปัญหา ต่อไปพอเขาเห็นว่าสิ่งใดผิดสังเกตก็จะแจ้งเรา อีกอันที่เราเจอก็คือ เครื่องแช่น้ำน่ะครับ สปาเท้า ที่ต้องเอาเท้าแช่ลงไปแล้วจะมีเครื่องไฟฟ้าอะไรสักอย่างใส่ที่เอวเวลาเปิดกระแสไฟฟ้าจะผ่านตัวน้ำ แล้วน้ำจะเปลี่ยนสี น้ำจะแต่ละสีจะมีการบอกเล่าหรือวินิจฉัยโรคที่ต่างกัน เป็นใบเหมือนเสี่ยงเซียมซี เช่น ถ้าน้ำออกเป็นสีแดงสนิม อันนี้จะเป็นโรคเกี่ยวกับเลือด ถ้าน้ำออกเป็นสีเขียวเป็นโรคตับเป็นน้ำดี ถ้าเป็นเหลืองๆ โรคน้ำเหลือง ชาวบ้านก็ไปทำสปาเท้ากันเต็มเลย  มีลงพื้นที่แล้วไปเจออยู่วัดหนึ่ง เขาลงทุนซื้อเลยนะครับ วัดก็มีรายได้ คนก็มานั่งแช่กันเป็นชั่วโมง เราก็ไม่ได้นะครับน้ำที่คุณแช่มันไม่สะอาด แล้วมันไม่ใช่ว่าเป็นโรคตับแล้วน้ำมันไหลมาจากเท้า ตอนนั้นถึงขนาดมีปัญหากับวัดเพราะไปทำให้วัดเขาสูญเสียรายได้ แต่ที่หนักสุดของพระนครศรีอยุธยา เป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานบริการสุขภาพ(คลินิก) เพราะว่าจังหวัดนี้มีนิคมอุตสาหกรรมมาก ประเด็นแรกๆ ที่เราเข้าไปดู เป็นเรื่องของยาลดความอ้วน ประมาณสักปี 52 หรือ 53 มีเจ้าหน้าที่ภาครัฐท่านหนึ่ง กินยาลดความอ้วนจนเสียสติ กินจนเป็นบ้าเลย ทางสำนักงานต้นสังกัดก็ไม่จ้างต่อ (ทุกวันนี้ก็ยังคล้ายๆ คนสติไม่ดีขายผักอยู่ที่ตลาด) เราเห็นแล้วรู้สึกว่า “ปล่อยให้มีอยู่ได้อย่างไร” เลยคิดว่าน่าจะทำอะไรสักอย่าง ผมเริ่มจากการสำรวจก่อนเลยว่ามีแหล่งจำหน่ายกี่แหล่ง แล้วมีช่องทางอะไรบ้าง ไปเจอช่องทางหนึ่ง น่ากลัวมาก คือเจ้าของคลินิกเป็นแพทย์ แพทย์จริงๆ นะครับ เขาใช้วิธีนี้ คือเวลาคนมารักษา เขาจะจ่ายยาให้ ให้คนรักษาเอายาไปขายต่อได้ มันก็เหมือนว่าตัวหมอไม่ผิด เพราะจ่ายยาตามใบสั่ง ถูกไหมฮะ ยาพวกนี้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท คนที่ซื้อไปก็เอาไปขายต่อ เป็นยาชุดเลย เช่นยาชุดละ 250 บาท ก็ไปขายต่อชุดละ 300 ช่วงนั้นระบาดไปทั่วอยุธยาเลย “ยาชุดลดความอ้วน” มีน้องคนหนึ่งที่ใช้ยาตอนชุดนี้ตอนเรียนหนังสือน้ำหนัก 50 กิโลกรัมกว่าๆ เขากินยาพวกนี้ 2 ปีกว่าจะจบ เพราะกลัวว่าตอนรับปริญญาแล้วจะไม่สวย พอจบแล้วตอนนี้เลิกกิน แต่น้ำหนักขึ้นมาถึงประมาณ 120 กิโลกรัม  หรือมีอีกคลินิกหนึ่ง ตอนแรกแสดงตนว่าเป็นแพทย์แล้วมีใบประกอบโรคศิลปะด้วย มีบัตรมีอะไรครบ แต่ผมสังเกตว่าบัตรมันไม่เหมือนบัตรแพทย์ แต่เขาก็มาขออนุญาตที่เรานะ คือผมดูแลงานคุ้มครองผู้บริโภคเป็นหลัก ไม่ได้ดูเรื่องการออกใบอนุญาต แต่ผมมาเห็นว่ามันผิดสังเกต คิดว่าบัตรนี้มันไม่ใช่แน่ แต่เราก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะหมอส่วนใหญ่ต้องบอกว่าเส้นใหญ่ พอดีมีเหตุสาวโรงงานคนหนึ่งกินยาลดน้ำหนักแล้วเสียชีวิต เราเลยได้เข้าไปสืบข่าว ตอนนั้นขอดูหมดเลย ปรากฏว่าเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก คือเขาเคยเป็นนักเรียนแพทย์แล้วเลขที่ติดกันกับเพื่อนซึ่งชื่อเดียวกัน แต่คนละนามสกุล แต่คนที่มาเปิด(คลินิก)ที่นี่น่ะเรียนไม่จบแพทย์ เลยไปเรียนต่อต่างประเทศพอกลับมาก็มาทำธุรกิจแบบนี้ โดยที่เอาใบประกอบวิชาชีพของเพื่อน เพราะชื่อเดียวกันไง ที่นี้เขาก็ถ่ายเอกสารแล้วเปลี่ยนตรงนามสกุล เราก็เลยบอกนี่มันผิดหมดเลยนะ เราจับสังเกตจากเรื่องยา เนื่องจากใช้ยาไม่มีทะเบียน พอมีคนเสียชีวิตเราก็เลยเข้าไปตรวจสอบเอกสารทั้งหมด เลยถึงบางอ้อว่าบัตรประชาชนก็คนละอย่าง ใบประกอบวิชาชีพตัวจริงก็คนละอย่าง สุดท้ายเราก็แจ้งไปที่ตัวแพทย์จริงๆ ที่อยู่ชลบุรี(ทางเราสอบถามไปที่แพทย์ชื่อนี้ก่อนว่ามีการสั่งซื้อยาเป็นล้านๆ บาทเลย ทางนั้นไม่รู้เรื่อง เราเลยอ๋อแบบนี้ ) จึงให้ไปแจ้งความดำเนินคดีกัน เรื่องคดีนั้นผมไม่ได้ตามต่อ ส่วนคลินิกก็ถูกปิดไปแล้ว ในส่วนของ สสจ.เราจะเช็คมาตรฐานว่ามีตามเกณฑ์หรือไม่  หากมีการเปิดคลินิก จากนั้นจะมีตรวจประจำปี ปีละครั้งจากนั้นผมก็คิดว่าจะทำอะไรสักอย่างกับยาลดความอ้วนในจังหวัดอยุธยาดี เลยคิดว่าต้องใช้การส่งสายลับไป พวกคลินิกที่มีปัญหาเพิ่งปิดได้หมดเมื่อประมาณสักปีที่แล้ว กว่าจะเข้าไปควบคุมได้มันยาก เพราะยาพวกนี้ต้นทุนต่ำ เขาแค่สั่งของจริงที่มันถูกต้อง 1 กระปุก แต่ที่เหลือก็สั่งจากตลาดมืดมา เวลาเราไปตรวจก็จะนับแค่นี้ 30 เม็ด อ้อ ไม่มีจ่ายเลยนะ แต่ทำไมคนเดินเข้าเดินออกเยอะจังเลย ตั้งแต่วันนั้นมาวันนี้ 10 ปีแล้วผมคิดว่าเราควบคุมได้แล้ว แต่ตอนนี้มาในรูปแบบใหม่ คือไปขายส่งตามอินเทอร์เน็ต เรื่องที่ยังต้องเฝ้าระวัง  หลังจากเรื่องยาลดความอ้วน ก็มีเรื่องธุรกิจตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีนเสริม ตอนแรกไม่อยากยุ่งเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นธุรกิจของแพทย์ เหมือนจะคุยกันยาก แต่พอเป็นเรื่องฉีดวัคซีนเสริม ผมเริ่มรับไม่ได้ เหมือนกับว่าเขาต้องการระบายวัคซีนที่ใกล้จะหมดอายุ แล้วโรงพยาบาลที่ทำแบบนี้เป็น รพ.เอกชนใหญ่ๆ ที่อยู่ชานเมืองทั้งนั้นเลย วิธีการคือจะสต็อกของไว้ พอ 3 เดือนหมดอายุก็จะไปเดินสายฉีดตามโรงเรียน คิดดูนักเรียนในเกาะเมืองอยุธยาประมาณ 20,000 คน ต้องมารับการฉีดวัคซีนใกล้หมดอายุน่ะ ไข้หวัด สมองอักเสบ ประมาณนี้ เข้าใจว่าเป็นการระบายของเพราะตอนมาเห็นใส่กล่องโฟมมา ซึ่งมันไม่ได้อยู่แล้วน่ะครับ ผมเจอโรงเรียนแห่งหนึ่ง มีกลุ่มบุคคลนำวัคซีนที่อีก 1 เดือนจะหมดอายุ แล้วใส่กล่องโฟมเปล่าๆ ไม่มีน้ำแข็งอะไรเลยนะ สนนราคาเข็มละ 700 บาท มานำเสนอ เคยเรียกเซลล์มาสอบถาม เขายอมรับว่าเป็นการระบายของ แต่ตัวเขาเองจะทำโดยตรงไม่ได้ก็ต้องไปหาโรงพยาบาลหรือคลินิกมาพักของไว้ก่อน แล้วให้ รพ.เหล่านี้ทำโครงการตรวจสุขภาพกับโรงเรียน ส่วนโรงเรียนทำเรื่องแจ้งกับผู้ปกครองว่า แล้วแต่ความสมัครใจ แต่ถ้าจะฉีดก็เข็มละ 700 บาท แต่ส่วนใหญ่ด้วยความไม่รู้และไว้ใจผู้ปกครองก็จะให้เด็กได้รับการฉีดวัคซีนพวกนี้ เราก็สงสารเด็กที่ต้องมาเจ็บตัวโดยใช่เหตุ ตอนนั้นเราก็ออกประชาสัมพันธ์เลยเพื่อเตือนเรื่องพวกนี้ แต่ก็มีเรื่องที่กระทบกระทั่งกันนะ เพราะบางโรงเรียนเขาได้ส่วนแบ่งหรือเปอร์เซ็นต์ เช่น หัวละร้อย นักเรียนจำนวนสองพันก็กินนิ่มเลย เราต้องใช้วิธีการเข้าไปคุย ทำความเข้าใจ ทำหนังสือแจ้งเตือนอย่างเป็นทางการไปให้ และเรียกพนักงานขายของบริษัทมาปราม ก็ควบคุมได้ระดับหนึ่ง หลังๆ หนักกว่า พอไม่มีการวัคซีนแล้ว คราวนี้เป็นการตรวจสุขภาพนักเรียนเลย เช่น เด็กมัธยมต้องเสียเงินค่าตรวจสุขภาพปีละ 100 บาท ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้เริ่มมาตอนไหน ผมนำเรื่องนี้ไปเสนอในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเลย เสนอต่อท่านรัฐมนตรีว่า เราควรสร้างเกณฑ์มาตรฐานการตรวจสุขภาพตามช่วงวัยนะ เด็กวัยไหนควรทดสอบอะไร เช่น ทดสอบสมรรถภาพ สำหรับนักศึกษาทดสอบอะไร ต้องตรวจอะไร เช่น โรคร้ายแรง ก่อนเข้างานตรวจอะไร ผู้สูงอายุตรวจอะไร แต่มันเป็นประเด็นที่ “เงียบ” มากเลย เจอปัญหาแบบนนี้เข้ากับตัวเอง เลยถึงบางอ้อว่า “ประชาชนนี่ละเป็นเหยื่อ” เรื่องราวของเภสัชกรสันติ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค ที่บอกเล่าผ่านฉลาดซื้อ ยังคงมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะผลจากการทำงานอันเข้มข้นของเขา จนโดยผู้ประกอบการฟ้องหมิ่นประมาท โปรดติดตามในฉบับหน้า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 186 สันติ โฉมยงค์ “ถ้าเราไม่ทำแล้วจะมีใครไปทำงาน”

สันติ โฉมยงค์ เภสัชกรชำนาญการ กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ข้าราชการตัวเล็กๆ ที่ทำงานคุ้มครองอย่างเข้มแข็งและเต็มไปด้วยสีสัน ต้องมาสะดุดเมื่อถูกผู้ประกอบการฟ้องหมิ่นประมาท เรื่องราวการทำงานแต่ละช่วงเวลาเป็นตลกร้ายที่พวกเราอาจหัวเราะไม่ออก แต่เมื่อเราถามว่าเขาเริ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคตั้งแต่เมื่อไหร่ แววตาคู่นั้นกลับมีประกายอีกครั้ง สันติดเล่าย้อนกลับไปว่า “เริ่มงานด้านผู้บริโภคตอนมาเป็นเภสัชนี่ละครับ  ผมเห็นปัญหาเรื่องของการบริโภคแล้วก็เห็นปัญหาเรื่องของการใช้ยาของชาวบ้าน  แต่ก่อนก็เป็นภสัชที่โรงพยาบาลชุมชน รพ.บ้านหมอ ตอนนั้น รพ.มีวิกฤติ คือเป็นช่วงที่ รพ.เข้าสู่ระบบ 30 บาทใหม่ๆ (ยุคแรกของโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) งานมันมากมาย พองานมากๆ เข้าแพทย์ก็เริ่มลาออก ทันตแพทย์ เภสัชก็ลาออกกันหมดเลย ผมก็เป็นรุ่นที่ไปแทน ตอนนั้นเป็นข่าวดังมากที่มีบุคลากรทางการแพทย์ลาออกกันหมด ย้ายหนีกันหมด เราก็พยายามทำงานเชิงรุก เพราะเราเจอปัญหามากเนื่องจากวันหนึ่งๆ มีคนไข้ประมาณ 600 คน มีเตียง 30 เตียง คือบางทีมันจ่ายยาคนเดียวไม่ไหว เราก็พยายามออกไปเยี่ยมบ้าน และให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพตัวเอง แล้วเราก็รู้ ก็ไปเจอว่ามันมีปัญหา ปัญหาที่ซับซ้อนในการใช้ยาของชาวบ้าน เช่น มีกลุ่มทุนในหมู่บ้านที่ต้มยาขายเอง หรือกลุ่มพระสงฆ์ที่ซื้อยาแผนปัจจุบันไปบดทำยาสมุนไพร ก็เลยคิดว่าการไปทำงานเชิงรับในโรงพยาบาลมันช่วยอะไรไม่ได้ ตอนนั้นรู้จักพี่ภาณุโชติ(ภก.ภาณุโชติ ทองยัง) แกก็เลยชวนมาทำปัญหาเรื่องยาไม่เหมาะสมในชุมชน  ซึ่งมันก็พอดีกับที่เจอเราก็เลยออกมาทำเรื่องคุ้มครองผู้บริโภค เลยเริ่มที่ รพ.ชุมชนก่อน   แต่ทำงานใน รพ.ชุมชนก็จะมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา คือต้องหลังจากที่แพทย์เลิกตรวจแล้ว เวลาหลังบ่ายสองโมงเราถึงจะออกไปทำงานกับชาวบ้านได้ก็ทำอยู่แบบนั้นได้ประมาณสักสามปีก็เลยย้ายไปทำงานที่ฝ่ายคุ้มครองผู้บริโภคที่อุทัยธานี ตอนนั้นก็ทำเต็มตัวเลยนะ ไปทำหน่วยตรวจสอบเคลื่อนที่ เรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร  ผมเจอเคสหนึ่งตกใจมากเลย คือมีเด็กป่วยแล้วทิ้งเจลแปะหน้าผากลงไปในน้ำ พอดีฝนตกน้ำมันก็ไหล ชาวบ้านไปเจอแล้วเข้าใจว่ากินได้ เขาก็ไปจับมาแล้วก็หุงข้าวเตรียมจะกินละ  ตอนนั้นคิดว่าชาวบ้านเขาไม่รู้จริงๆ เรื่องราวเป็นข่าวใหญ่โตมากเลย เราก็ไปดูเห็นว่านี่มันเจลแปะลดไข้ธรรมดา เลยคิดว่าเราต้องทำงานเชิงรุกให้มากยิ่งขึ้น อยู่ที่นั่น(อุทัยธานี) ก็ทำเรื่องแก้ปัญหาหน่อไม้ปี๊บ เรื่องการฉีดยาฆ่าแมลงแตงกวาก่อนการเก็บเกี่ยว เช่นพรุ่งนี้จะเก็บเย็นวันนี้ก็จะฉีด เราก็เข้าไปให้ความรู้ ซึ่งตอนหลังพบว่า เราเข้าไปต่อสู้กับระบบทุนใหญ่ บางพื้นที่เขาทำขนาด 50 ไร่  ใช้เครื่องฉีด ใช้รถพ่น เราก็เลยคิดว่าเรื่องการให้ความรู้เป็นเรื่องสำคัญ พอย้ายมาอยู่ที่จังหวัดอยุธยา จึงทำเรื่องเครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภคอย่างจริงจังหลักๆ มีอะไรบ้างคะมีเครือข่ายโรงเรียน เช่น งาน อย.น้อย ซึ่งเป็นหน้าที่หลักอยู่แล้ว แต่แทนที่เราจะทำกับเด็กอย่างเดียว ผมเข้าไปทำกับชุมชนด้วย แล้วผมก็ไปชวนชาวบ้านมาเป็นเครือข่ายผู้บริโภคด้วย มาให้ช่วยเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ที่เป็นปัญหาของชุมชน ผลิตภัณฑ์ที่เข้ามาใหม่ๆ แล้วคนในชุมชนก็ตอบปัญหาไม่ได้ อันแรกจำได้แม่นว่า มีตัวดูดน้ำ อันนี้เด็กๆ และอาจารย์ที่โรงเรียนจะเป็นคนที่แจ้งมา ตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ ผมไปอยู่โรงเรียนหนึ่งเห็นเข้าตกใจมาก เพราะว่าทุกคนในโรงเรียนเล่นไอ้ตัวนี้อยู่ คุณครูก็จะไม่รู้เพราะว่าเด็กจะซ่อนเอาไว้ใต้โต๊ะในลิ้นชัก ครูไม่รู้ แล้วก็กลัวว่าถ้าบอกออกไปจะเป็นความผิด เราเลยไปหาผู้บริหาร ผู้บริหารก็บอกว่าใครมีเอาออกมานะ ไม่เอาออกมาจะมีความผิดปรากฏว่าทั้งโรงเรียน หรือมีอยู่โรงเรียนหนึ่งคือ เด็กกลัวความผิด เลยเอาไปทิ้งไว้ในชักโครก พอเปิดชักโครกมา โอ้โห มันพองเต็ม กลายเป็นส้วมตันทั้งโรงเรียน เราเลยต้องให้ความรู้ว่ามันอันตรายอย่างไร โดยเฉพาะพวกเด็กเล็กๆ ที่ยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ยังเอามากินยังอม  พอพยายามให้ความรู้กับชาวบ้าน เพราะมีเอาไปเล่นที่บ้านด้วย ตอนหลังก็รู้ว่ามันเป็นสินค้าที่ห้ามจำหน่ายอยู่แล้วเพราะผิดกฎหมาย ตอนนั้น สคบ.ออกประกาศมาแล้ว พอเราแจ้งไป สคบ.ก็มากวาดล้างที่อยุธยา แต่ถ้าถามว่าทุกวันนี้ยังมีไหมก็ยังมีอยู่นะแต่มันก็ลดน้อยลง เหมือนชุมชนมีความรู้เพิ่มมากขึ้น เวลาผมไปทำงานแบบนี้ผมไม่ได้ไปคนเดียว จะพาชาวบ้านเครือข่ายในชุมชนนั้นไปด้วยให้เขาเห็นว่าเรื่องนี้มันเป็นปัญหา ต่อไปพอเขาเห็นว่าสิ่งใดผิดสังเกตก็จะแจ้งเรา อีกอันที่เราเจอก็คือ เครื่องแช่น้ำน่ะครับ สปาเท้า ที่ต้องเอาเท้าแช่ลงไปแล้วจะมีเครื่องไฟฟ้าอะไรสักอย่างใส่ที่เอวเวลาเปิดกระแสไฟฟ้าจะผ่านตัวน้ำ แล้วน้ำจะเปลี่ยนสี น้ำจะแต่ละสีจะมีการบอกเล่าหรือวินิจฉัยโรคที่ต่างกัน เป็นใบเหมือนเสี่ยงเซียมซี เช่น ถ้าน้ำออกเป็นสีแดงสนิม อันนี้จะเป็นโรคเกี่ยวกับเลือด ถ้าน้ำออกเป็นสีเขียวเป็นโรคตับเป็นน้ำดี ถ้าเป็นเหลืองๆ โรคน้ำเหลือง ชาวบ้านก็ไปทำสปาเท้ากันเต็มเลย  มีลงพื้นที่แล้วไปเจออยู่วัดหนึ่ง เขาลงทุนซื้อเลยนะครับ วัดก็มีรายได้ คนก็มานั่งแช่กันเป็นชั่วโมง เราก็ไม่ได้นะครับน้ำที่คุณแช่มันไม่สะอาด แล้วมันไม่ใช่ว่าเป็นโรคตับแล้วน้ำมันไหลมาจากเท้า ตอนนั้นถึงขนาดมีปัญหากับวัดเพราะไปทำให้วัดเขาสูญเสียรายได้ แต่ที่หนักสุดของพระนครศรีอยุธยา เป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานบริการสุขภาพ(คลินิก) เพราะว่าจังหวัดนี้มีนิคมอุตสาหกรรมมาก ประเด็นแรกๆ ที่เราเข้าไปดู เป็นเรื่องของยาลดความอ้วน ประมาณสักปี 52 หรือ 53 มีเจ้าหน้าที่ภาครัฐท่านหนึ่ง กินยาลดความอ้วนจนเสียสติ กินจนเป็นบ้าเลย ทางสำนักงานต้นสังกัดก็ไม่จ้างต่อ (ทุกวันนี้ก็ยังคล้ายๆ คนสติไม่ดีขายผักอยู่ที่ตลาด) เราเห็นแล้วรู้สึกว่า “ปล่อยให้มีอยู่ได้อย่างไร” เลยคิดว่าน่าจะทำอะไรสักอย่าง ผมเริ่มจากการสำรวจก่อนเลยว่ามีแหล่งจำหน่ายกี่แหล่ง แล้วมีช่องทางอะไรบ้าง ไปเจอช่องทางหนึ่ง น่ากลัวมาก คือเจ้าของคลินิกเป็นแพทย์ แพทย์จริงๆ นะครับ เขาใช้วิธีนี้ คือเวลาคนมารักษา เขาจะจ่ายยาให้ ให้คนรักษาเอายาไปขายต่อได้ มันก็เหมือนว่าตัวหมอไม่ผิด เพราะจ่ายยาตามใบสั่ง ถูกไหมฮะ ยาพวกนี้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท คนที่ซื้อไปก็เอาไปขายต่อ เป็นยาชุดเลย เช่นยาชุดละ 250 บาท ก็ไปขายต่อชุดละ 300 ช่วงนั้นระบาดไปทั่วอยุธยาเลย “ยาชุดลดความอ้วน” มีน้องคนหนึ่งที่ใช้ยาตอนชุดนี้ตอนเรียนหนังสือน้ำหนัก 50 กิโลกรัมกว่าๆ เขากินยาพวกนี้ 2 ปีกว่าจะจบ เพราะกลัวว่าตอนรับปริญญาแล้วจะไม่สวย พอจบแล้วตอนนี้เลิกกิน แต่น้ำหนักขึ้นมาถึงประมาณ 120 กิโลกรัม  หรือมีอีกคลินิกหนึ่ง ตอนแรกแสดงตนว่าเป็นแพทย์แล้วมีใบประกอบโรคศิลปะด้วย มีบัตรมีอะไรครบ แต่ผมสังเกตว่าบัตรมันไม่เหมือนบัตรแพทย์ แต่เขาก็มาขออนุญาตที่เรานะ คือผมดูแลงานคุ้มครองผู้บริโภคเป็นหลัก ไม่ได้ดูเรื่องการออกใบอนุญาต แต่ผมมาเห็นว่ามันผิดสังเกต คิดว่าบัตรนี้มันไม่ใช่แน่ แต่เราก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะหมอส่วนใหญ่ต้องบอกว่าเส้นใหญ่ พอดีมีเหตุสาวโรงงานคนหนึ่งกินยาลดน้ำหนักแล้วเสียชีวิต เราเลยได้เข้าไปสืบข่าว ตอนนั้นขอดูหมดเลย ปรากฏว่าเป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก คือเขาเคยเป็นนักเรียนแพทย์แล้วเลขที่ติดกันกับเพื่อนซึ่งชื่อเดียวกัน แต่คนละนามสกุล แต่คนที่มาเปิด(คลินิก)ที่นี่น่ะเรียนไม่จบแพทย์ เลยไปเรียนต่อต่างประเทศพอกลับมาก็มาทำธุรกิจแบบนี้ โดยที่เอาใบประกอบวิชาชีพของเพื่อน เพราะชื่อเดียวกันไง ที่นี้เขาก็ถ่ายเอกสารแล้วเปลี่ยนตรงนามสกุล เราก็เลยบอกนี่มันผิดหมดเลยนะ เราจับสังเกตจากเรื่องยา เนื่องจากใช้ยาไม่มีทะเบียน พอมีคนเสียชีวิตเราก็เลยเข้าไปตรวจสอบเอกสารทั้งหมด เลยถึงบางอ้อว่าบัตรประชาชนก็คนละอย่าง ใบประกอบวิชาชีพตัวจริงก็คนละอย่าง สุดท้ายเราก็แจ้งไปที่ตัวแพทย์จริงๆ ที่อยู่ชลบุรี(ทางเราสอบถามไปที่แพทย์ชื่อนี้ก่อนว่ามีการสั่งซื้อยาเป็นล้านๆ บาทเลย ทางนั้นไม่รู้เรื่อง เราเลยอ๋อแบบนี้ ) จึงให้ไปแจ้งความดำเนินคดีกัน เรื่องคดีนั้นผมไม่ได้ตามต่อ ส่วนคลินิกก็ถูกปิดไปแล้ว ในส่วนของ สสจ.เราจะเช็คมาตรฐานว่ามีตามเกณฑ์หรือไม่  หากมีการเปิดคลินิก จากนั้นจะมีตรวจประจำปี ปีละครั้งจากนั้นผมก็คิดว่าจะทำอะไรสักอย่างกับยาลดความอ้วนในจังหวัดอยุธยาดี เลยคิดว่าต้องใช้การส่งสายลับไป พวกคลินิกที่มีปัญหาเพิ่งปิดได้หมดเมื่อประมาณสักปีที่แล้ว กว่าจะเข้าไปควบคุมได้มันยาก เพราะยาพวกนี้ต้นทุนต่ำ เขาแค่สั่งของจริงที่มันถูกต้อง 1 กระปุก แต่ที่เหลือก็สั่งจากตลาดมืดมา เวลาเราไปตรวจก็จะนับแค่นี้ 30 เม็ด อ้อ ไม่มีจ่ายเลยนะ แต่ทำไมคนเดินเข้าเดินออกเยอะจังเลย ตั้งแต่วันนั้นมาวันนี้ 10 ปีแล้วผมคิดว่าเราควบคุมได้แล้ว แต่ตอนนี้มาในรูปแบบใหม่ คือไปขายส่งตามอินเทอร์เน็ต เรื่องที่ยังต้องเฝ้าระวัง หลังจากเรื่องยาลดความอ้วน ก็มีเรื่องธุรกิจตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีนเสริม ตอนแรกไม่อยากยุ่งเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นธุรกิจของแพทย์ เหมือนจะคุยกันยาก แต่พอเป็นเรื่องฉีดวัคซีนเสริม ผมเริ่มรับไม่ได้ เหมือนกับว่าเขาต้องการระบายวัคซีนที่ใกล้จะหมดอายุ แล้วโรงพยาบาลที่ทำแบบนี้เป็น รพ.เอกชนใหญ่ๆ ที่อยู่ชานเมืองทั้งนั้นเลย วิธีการคือจะสต็อกของไว้ พอ 3 เดือนหมดอายุก็จะไปเดินสายฉีดตามโรงเรียน คิดดูนักเรียนในเกาะเมืองอยุธยาประมาณ 20,000 คน ต้องมารับการฉีดวัคซีนใกล้หมดอายุน่ะ ไข้หวัด สมองอักเสบ ประมาณนี้ เข้าใจว่าเป็นการระบายของเพราะตอนมาเห็นใส่กล่องโฟมมา ซึ่งมันไม่ได้อยู่แล้วน่ะครับ ผมเจอโรงเรียนแห่งหนึ่ง มีกลุ่มบุคคลนำวัคซีนที่อีก 1 เดือนจะหมดอายุ แล้วใส่กล่องโฟมเปล่าๆ ไม่มีน้ำแข็งอะไรเลยนะ สนนราคาเข็มละ 700 บาท มานำเสนอ เคยเรียกเซลล์มาสอบถาม เขายอมรับว่าเป็นการระบายของ แต่ตัวเขาเองจะทำโดยตรงไม่ได้ก็ต้องไปหาโรงพยาบาลหรือคลินิกมาพักของไว้ก่อน แล้วให้ รพ.เหล่านี้ทำโครงการตรวจสุขภาพกับโรงเรียน ส่วนโรงเรียนทำเรื่องแจ้งกับผู้ปกครองว่า แล้วแต่ความสมัครใจ แต่ถ้าจะฉีดก็เข็มละ 700 บาท แต่ส่วนใหญ่ด้วยความไม่รู้และไว้ใจผู้ปกครองก็จะให้เด็กได้รับการฉีดวัคซีนพวกนี้ เราก็สงสารเด็กที่ต้องมาเจ็บตัวโดยใช่เหตุ ตอนนั้นเราก็ออกประชาสัมพันธ์เลยเพื่อเตือนเรื่องพวกนี้ แต่ก็มีเรื่องที่กระทบกระทั่งกันนะ เพราะบางโรงเรียนเขาได้ส่วนแบ่งหรือเปอร์เซ็นต์ เช่น หัวละร้อย นักเรียนจำนวนสองพันก็กินนิ่มเลย เราต้องใช้วิธีการเข้าไปคุย ทำความเข้าใจ ทำหนังสือแจ้งเตือนอย่างเป็นทางการไปให้ และเรียกพนักงานขายของบริษัทมาปราม ก็ควบคุมได้ระดับหนึ่ง หลังๆ หนักกว่า พอไม่มีการวัคซีนแล้ว คราวนี้เป็นการตรวจสุขภาพนักเรียนเลย เช่น เด็กมัธยมต้องเสียเงินค่าตรวจสุขภาพปีละ 100 บาท ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้เริ่มมาตอนไหน ผมนำเรื่องนี้ไปเสนอในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติเลย เสนอต่อท่านรัฐมนตรีว่า เราควรสร้างเกณฑ์มาตรฐานการตรวจสุขภาพตามช่วงวัยนะ เด็กวัยไหนควรทดสอบอะไร เช่น ทดสอบสมรรถภาพ สำหรับนักศึกษาทดสอบอะไร ต้องตรวจอะไร เช่น โรคร้ายแรง ก่อนเข้างานตรวจอะไร ผู้สูงอายุตรวจอะไร แต่มันเป็นประเด็นที่ “เงียบ” มากเลย เจอปัญหาแบบนนี้เข้ากับตัวเอง เลยถึงบางอ้อว่า “ประชาชนนี่ละเป็นเหยื่อ” เรื่องราวของเภสัชกรสันติ ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค ที่บอกเล่าผ่านฉลาดซื้อ ยังคงมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะผลจากการทำงานอันเข้มข้นของเขา จนโดยผู้ประกอบการฟ้องหมิ่นประมาท โปรดติดตามในฉบับหน้า

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point