ฉบับที่ 191 เกร็ดความรู้เรื่องการซักผ้าด้วยเครื่อง ตอนที่ 2

กิจกรรมการซักผ้าเป็นกิจกรรมหนึ่งที่แต่ละครอบครัวจะต้องทำเป็นกิจวัตร คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ อาจจะมีเวลาไม่มากนัก การซักผ้าอาจจะพึ่งพาแม่บ้านมืออาชีพ (คนรับจ้างทำงานบ้าน) บางท่านอาจยังไม่ได้แต่งงาน ใช้ชีวิตเป็นคนโสด ก็อาจจะใช้บริการ จ้างร้านซักรีด หรือไม่ก็ใช้บริการตู้ซักผ้าหยอดเหรียญ ซึ่งมีแพร่หลายอยู่ทั่วไป บทความในวันนี้จะอธิบายและให้ความรู้เกี่ยวกับการซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้าอัตโนมัติผงซักฟอกสำหรับผ้าสี กำจัดคราบสกปรกได้ดีหรือไม่เนื่องจากในผงซักฟอกสำหรับผ้าสีโดยทั่วไป ไม่ได้มีสารเคมีที่สำคัญในการกำจัดคราบคือ สารฟอกขาว (bleaching medium) ซึ่งจำเป็นในการกำจัดคราบที่ฝังแน่นบนเนื้อผ้า แต่ผงซักฟอกปัจจุบันมีส่วนผสมสาร Tenside ซึ่งทำหน้าที่ในการละลายคราบไขมันบนผ้า และสารเอนไซม์ที่ช่วยกำจัดคราบได้ดีขึ้น สำหรับผงซักฟอกสำหรับผ้าขาวนั้นมีสารเคมีที่ช่วยกำจัดคราบสกปรกได้ดีอยู่แล้วใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มดีหรือไม่ผ้าบางชนิดไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาปรับผ้านุ่ม เช่น ผ้าเช็ดมือ การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มกับผ้าเช็ดมือ ทำให้ผ้าเสื่อมคุณภาพเร็ว และสารเคมีที่ผสมอยู่ในน้ำยาปรับผ้านุ่มอาจทำให้เกิดอาการแพ้ เมื่อสัมผัสกับผิวของคน นอกจากนี้การใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มก็ยังเป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นอีกด้วยมีผงซักฟอกที่ถนอมเนื้อผ้าหรือไม่ผ้าที่ซักด้วยผงซักฟอก เมื่อผ่านการซักหลายครั้งย่อมทำให้สีซีดสีจางลงได้ ซึ่งเป็นผลมาจากสารเคมีในผงซักฟอก โดยทั่วไปผงซักผ้าสี ป้องกันสีซีดสีจางได้ดีกว่าผงซักฟอกผ้าขาวที่มีส่วนผสมของ Bleaching medium มีความสามารถในการซักฟอกได้ดี แต่ก็ทำให้ผ้าเสื่อมสภาพได้เร็วเช่นกันกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเครื่องซักผ้าเกิดขึ้นได้อย่างไรในกรณีที่การระบายน้ำในเครื่องซักผ้าไม่หมด และปล่อยทิ้งไว้ในเครื่องซักผ้า แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่นไม่พึงประสงค์สามารถเจริญเติบโตได้ และกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเครื่องซักผ้า ก็อาจติดอยู่กับเสื้อผ้าที่เราซักได้ โดยเฉพาะในกรณีที่เครื่องซักผ้านั้นเป็นเครื่องซักผ้าสาธารณะ การป้องกันคือ การซักเครื่องเปล่า โดยใช้ผงซักฟอก และใช้น้ำซักที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส หลังจากนั้นทำความสะอาดกล่องใส่ผงซักฟอก เมื่อซักเครื่องเปล่าเสร็จแล้ว ก็เปิดฝาทิ้งไว้จนภายในเครื่องแห้งสนิทในการซักผ้านอกจากเราคำนึงความสะอาดของเนื้อผ้าแล้ว ปัจจุบันเราต้องหันมาสนใจในประเด็นความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเริ่มตั้งแต่การเลือกใช้เครื่องซักผ้าที่มีประสิทธิภาพ ประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ และช่วยให้เราประหยัดปริมาณผงซักฟอกที่ใช้ด้วย และท้ายสุดคือ ประหยัดเงินของเรา ดังนั้นการเลือกซื้อเครื่องซักผ้า จึงเป็นสิ่งที่เราควรหาข้อมูลทางด้านประสิทธิภาพเพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือก(แหล่งข้อมูล: วารสาร Test ฉบับที่ 8/2012)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 190 เกร็ดความรู้เรื่องการซักผ้าด้วยเครื่อง ตอนที่ 1

กิจกรรมการซักผ้า เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ในแต่ละครอบครัวมักมอบหมายหน้าที่ให้กับแม่บ้าน ซึ่งก็คือคุณแม่ แต่ในครอบครัวของชาวกรุงเทพ ส่วนใหญ่มักเป็นครอบครัวขนาดเล็ก กิจกรรมการซักผ้า มักจะถูกโอนไปให้กับ แม่บ้านมืออาชีพ(คนรับจ้างทำงานบ้าน) บางท่านอาจยังไม่ได้แต่งงาน ใช้ชีวิตเป็นคนโสด ก็อาจจะใช้บริการ จ้างร้านซักรีด หรือ ไม่ก็ใช้บริการตู้ซักผ้าหยอดเหรียญ ซึ่งมีแพร่หลายอยู่ทั่วไป บทความในวันนี้จะอธิบายและให้ความรู้เกี่ยวกับการซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้าอัตโนมัติการเลือกผงซักฟอกควรเลือกผงซักฟอก ให้เหมาะกับผ้าที่จะซัก โดยใช้ผงซักฟอกสำหรับผ้าขาว เมื่อซักผ้าขาว และใช้ผงซักฟอกผ้าสี กับผ้าที่มีสีสันต่างๆ ไม่ควรใช้สลับกัน เพราะในผงซักฟอกสำหรับผ้าขาวจะมีสารฟอกขาว (Bleaching chemicals) ซึ่งหากไปใช้ซักผ้าสี ก็จะทำให้สีหม่นลงจากสารฟอกขาว ในกรณีที่ซักผ้าไหม (Silk) หรือผ้าขนสัตว์ (Wool) ก็ควรใช้ผงซักฟอกสำหรับผ้าชนิดนั้นๆ เช่นกันเลือกโปรแกรมซักผ้าแบบประหยัด ทำไมเวลาเลือกโปรแกรมซักผ้าแบบประหยัดของเครื่องซักผ้าบางรุ่นจึงใช้เวลานานในการซัก ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า ปัจจัยที่ผลต่อความสะอาดของการซักผ้า คือ ผงซักฟอก ความเร็วรอบของล้อหมุนในเครื่องซักผ้า (drum movement) อุณหภูมิของน้ำ และเวลาในการซัก ดังนั้นถ้าลดปริมาณของปัจจัย ชนิดใดลง ก็ต้องไปเพิ่มปัจจัย อื่นทดแทน เพื่อให้ได้ผลเท่าเดิม ซึ่งปัจจัยที่มีราคาสูงคือ ค่าไฟฟ้า การซักผ้าโดยใช้น้ำร้อนเป็นการซักที่ใช้ไฟฟ้าในปริมาณมาก และมีต้นทุนสูงดังนั้นสำหรับประเทศไทย ที่อุณหภูมิน้ำไม่ได้ต่ำเหมือนในยุโรป ดังนั้นการซักผ้าด้วยน้ำร้อนจึงอาจเกินความจำเป็นทำไมจึงดูเหมือนว่า เครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ๆ จึงซักผ้าได้ไม่ดีเหมือนซักด้วยเครื่องรุ่นเก่าจากการทบทวนผลการทดสอบของ มูลนิธิทดสอบสินค้าแห่งเยอรมนี พบว่า เมื่อซักผ้าด้วยโปรแกรมการซักแบบมาตรฐาน (Standard Washing Program) เครื่องซักผ้าหลายยี่ห้อ ให้ผลการซักแบบ ปานกลาง ต่อเมื่อลดปริมาณผ้าที่จะซักลง พบว่าผลการซักผ้าดีขึ้นมา สาเหตุ คือ ล้อหมุนที่ใส่ผ้าได้ออกแบบให้บรรจุผ้าได้มากขึ้น แต่กำลัง (ไฟฟ้า) ซักไม่ได้เพิ่มตามไปด้วย ดังนั้นหากผู้บริโภคประสบปัญหานี้จึงจำเป็นต้องลดปริมาณการซักแต่ละรอบลง หรือ ไปเพิ่มเวลาในการซัก ซึ่งทำให้ เสียค่าไฟและน้ำเพิ่มขึ้นจะใส่ผ้าลงไปซักได้มากที่สุดเท่าไหร่จริง ๆ แล้วในทางปฏิบัติก็คงไม่มีใครนำผ้าที่จะซักไปชั่ง ดังนั้นวิธีที่แนะนำสำหรับการเลือกปริมาณผ้าที่จะซักอย่างเหมาะสม ให้อ่านจากคำแนะนำในคู่มือของเครื่องซักผ้า ซึ่งปริมาณของผ้าที่เหมาะสมสำหรับเครื่องซักผ้าขนาดบรรจุ 10 ลิตร คือ ปริมาณผ้าที่ใส่จนเต็มระดับขอบบนของถัง แล้วสามารถปิดฝาถังได้พอดี ด้วยแรงกดเบาๆผงซักฟอกแบบผงหรือน้ำยาซักผ้า ?ผงซักฟอกแบบผง สามารถขจัดคราบหรือรอยเปื้อนได้ดีกว่า และยังช่วยรักษาสภาพสีของเนื้อผ้าไม่ให้สีหมองอีกด้วย ในขณะที่การซักผ้าสี ควรใช้ น้ำยาซักผ้า ซึ่งสามารถซักผ้าสีได้สะอาดดีใช้ผงซักฟอกปริมาณเท่าไหร่ปริมาณผงซักฟอกขึ้นอยู่กับปัจจัยสามสิ่ง คือ ความสกปรกของผ้า โดยดูจากคราบและรอยเปื้อน ปริมาณผ้าที่ซัก และ ระดับคามกระด้างของน้ำที่ใช้ซัก จริงๆ แล้ว ในคู่มือการใช้งาน ของเครื่องซักผ้าก็จะบอกไว้เป็นแนวทางอย่างคร่าวๆ ซึ่งจะแบ่งระดับความสกปรกของผ้า เป็น 3 ระดับ ได้แก่สกปรกน้อย คือเป็นผ้าที่อาจเปื้อนเหงื่อ และมีคราบบนผ้าสกปรกปานลาง คือ ผ้าที่มีคราบเพียงขนาดเล็กๆ เช่น ผ้าปูเตียงนอน 1 สัปดาห์ หรือผ้าเช็ดมือสกปรกมาก คือ ผ้าที่ใช้ในครัว ผ้าขี้ริ้ว ผ้าที่เปื้อนดิน เปื้อนใบไม้ใบหญ้าหวังว่า ข้อมูลนี้จะช่วยท่านผู้อ่านตระหนักรู้ในเรื่องการซักผ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และประหยัดเงินในกระเป๋าของเราพร้อมกันไปด้วย เพื่อก้าวสู่การบริโภคเพื่อความยั่งยืน(แหล่งข้อมูล: วารสาร Test ฉบับที่ 8/2012)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 189 การเลือกซื้อรถเข็นเด็ก

เมื่อทราบข่าวจากคุณภรรยาว่าจะมีสมาชิกใหม่ในบ้าน หลายครอบครัวก็ต้องมาวางแผนในการที่จะต้องซื้อของเพื่อใช้ในการเลี้ยงเด็กทารก รถเข็นเด็กเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญ เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้เพื่อพาเด็กทารกร่วมเดินทางไปกับพ่อแม่ด้วย ดังนั้นการเลือกซื้อรถเข็นเด็กจำเป็นต้องมีข้อมูลและแนวทางเบื้องต้นในการประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อสิ่งที่ต้องคำนึงในการเลือกซื้อรถเข็นเด็กทั่วไป ได้แก่ 1 ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อน โดยก่อนซื้อควรทดสอบรถเข็นก่อนว่าสามารถนำรถเข็นเด็กขึ้นรถของเราได้หรือไม่2 ในกรณีที่ต้องใช้รถเข็นบ่อยๆ ก็ควรเลือกรถเข็นเด็กที่มีน้ำหนักเบา 3 ควรเลือกซื้อรถเข็นเด็กที่สามารถใช้งานได้จนเด็กมีอายุสามขวบ ในระหว่างที่อายุไม่เกิน 6 เดือน การใช้เปลเคลื่อนที่แบบถอดประกอบได้(carry car seat) ติดตั้งในรถยนต์ได้จะเหมาะสมกว่า เปลเคลื่อนที่สามารถใช้กับเด็กที่มีน้ำหนักตัวไม่เกิน 15 กิโลกรัม4 ความสูงของพนักพิงหลังไม่ควรต่ำกว่า 50 เซนติเมตร เพราะจะช่วยประคอง คอและศีรษะของเด็กได้ดี5 ล้อของรถเข็น ในกรณีที่ต้องใช้รถเข็นบนพื้นที่ขรุขระ ควรเลือกล้อที่มีขนาดใหญ่ แบบสี่ล้อแต่ถ้าใช้รถเข็นบนพื้นราบเรียบ ก็ควรเลือกล้อขนาดเล็กที่ล้อหน้าสามารถหมุนได้6 ในกรณีที่เลือกใช้ของมือสอง ซึ่งมักจะซื้อขายทางออนไลน์(ซึ่งไม่รู้ที่มาที่ไป) ดังนั้นควรตรวจสอบสภาพของรถเข็นเด็ก เช่น ตรวจสอบว่ามีรอยแตก หรือชำรุด บกพร่องหรือไม่ ห้ามล้อ เข็มขัดนิรภัย ยังทำงานดีอยู่หรือไม่ นอกจากนี้ควรพิจารณาเรื่องอะไหล่ เพราะในกรณีที่ชิ้นส่วนชำรุดก็สามารถหามาเปลี่ยนได้ง่าย7 สารเคมีอันตรายในกลุ่ม polycyclic aromatic hydrocarbons (PAHC), Phthalate, Chlorparaffine, Organophosphor compound, Organozine compound, Phenolic compound, และ Formaldehyde สำหรับประเด็นเรื่องสารเคมีอันตรายที่แฝงมาในชิ้นส่วนของรถเข็นเด็ก ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่ทำมาจากพลาสติก เป็นเรื่องที่ยากในการตรวจสอบและพิสูจน์ในเมืองไทย ขณะที่ในต่างประเทศจะมีการตรวจสอบสารเคมีสม่ำเสมอเพื่อแจ้งเตือนพ่อแม่ และผู้ผลิตเพื่อนำไปปรับปรุงสินค้าให้ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น สำหรับคนที่สนใจในเรื่องสารเคมีอันตรายในผลิตภัณฑ์ของเด็กทารก ก็สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนของเว็บไซต์ กรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค ของอียู http://ec.europa.eu/consumers/consumers_safety/safety_products/rapex/alerts/main/?event=main.listNotifications ได้เช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 188 ผลการทดสอบ smart phone สำหรับ การทำงานของ Navigator App

วารสาร  Test ได้ทำการทดสอบประสิทธิภาพ app  ที่ทำใช้เป็น navigator เสมือนเป็นผู้ช่วยขับรถ บอกเส้นทางและสภาพการจราจร ในอนาคต Navi app เหล่านี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้คนขับรถได้มาก ลดเวลาการเดินทางที่เกิดจากการจราจรที่ติดขัด และช่วยให้ไม่ต้องเจอกับปัญหาการหลงทาง การทดสอบประสิทธิภาพดังกล่าวได้เปรียบเทียบ Navi app จำนวน 3 ยี่ห้อ คือ androidauto  Apple CarPlay และ MirrorLink โดยทดสอบกับรถยนต์ Seat Leon ปี 2016 ซึ่งเป็นรถยนต์ของค่าย Volkswagen ผลทดสอบเปรียบเทียบตามตาราง การป้องกันข้อมูลส่วนบุคคลพฤติกรรมการขับรถเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ที่ไม่สามารถปกปิดเป็นความลับได้ และบริษัทรับประกันภัยสามารถทราบถึงข้อมูลการขับรถได้เช่นกัน ในปัจจุบันรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ติดตั้ง อุปกรณ์ที่เรียกว่า telematics box ที่สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลการขับรถของเราไว้ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นการติดตั้งโดยความสมัครใจแต่ในปี 2018 รถใหม่ทุกคันต้องติดตั้งระบบส่งข้อมูลในกรณีฉุกเฉินเรียกว่าระบบ eCall อย่างไรก็ตามกฎหมายใหม่คงเป็นประเด็นทางการเมือง และเป็นข้อถกเถียงระหว่าง สิทธิส่วนบุคคลและความปลอดภัยในการจราจรยุคใหม่ ที่เรียกว่า ยุค mobility 4.0(ที่มา วารสาร Test ฉบับที่ 8/2016)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 187 กรณีการเกิดอุบัติเหตุเมื่อเช่ารถขับในต่างประเทศ

เมื่อเดือนที่แล้วผมได้เดินทางไปแถบสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี เพื่อพักผ่อนกับครอบครัว เราตกลงว่าจะเช่ารถขับเพราะสะดวกกว่าในเรื่องการขนย้ายกระเป๋าสัมภาระ และราคาไม่ต่างกันมากนักเมื่อเทียบกับการเดินทางโดยรถไฟและรถสาธารณะ การเดินทางไปเที่ยวครั้งนี้ เรามีเวลาเตรียมตัวนานพอสมควร ทำให้สามารถเลือกจองรถเช่าและที่พักที่ราคาประหยัดได้มาก และเว็บไซต์การจองที่พักบางเว็บไซต์ ก็สามารถจองก่อนและยกเลิกการจองในภายหลังได้ โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆ หากยกเลิกการจองได้ทันตามกำหนดที่เว็บไซต์การจองระบุไว้ ซึ่งโอกาสหน้าจะได้มาเล่าเรื่อง ระบบการจองที่พักผ่านเว็บไซต์เหล่านี้ ที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่นิยมเดินทางด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพาบริษัทจัดทัวร์โดยทั่วไปการเช่ารถผ่านเว็บไซต์นั้น จะเช่าผ่านนายหน้า ดังนั้นก่อนจะทำการจองรถในขั้นตอนสุดท้ายนั้น สมควรที่จะตรวจสอบราคาและอัตราการเช่าเปรียบเทียบกับการเช่ารถโดยตรงผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทให้เช่ารถให้แน่ใจเสียก่อนสำหรับขั้นตอนการไปรับรถนั้น บางบริษัทไม่ได้ระบุถึงวงเงินประกันรถในเงื่อนไขการจอง เราจึงควรสอบถามบริษัทให้แน่ใจอีกครั้งว่า วงเงินในการประกันรถเป็นจำนวนเงินเท่าใด โดยปกติทางบริษัทให้เช่ารถมักจองวงเงินของบัตรเครดิตที่เราใช้จองรถ ซึ่งเราควรเตรียมวงเงินประกันในบัตรเครดิตให้เพียงพอด้วยเช่นกันนอกจากนี้ในขั้นตอนการรับรถ บางบริษัทไม่มีเจ้าหน้าที่ส่งมอบรถ ดังนั้นเราควรตรวจสภาพรถให้ดีอีกครั้งหนึ่ง หากมีรอยหรือสภาพรถมีปัญหา ก็ต้องแจ้งให้ทางพนักงานบริษัทที่จัดทำเอกสารรับทราบโดยทันทีเงื่อนไขและการเคลมประกันหากเกิดอุบัติเหตุโดยทั่วไปการเช่ารถมักจะมีเงื่อนไขการทำประกันแบบ fully comprehensive insurance without retention การทำสัญญาประกันลักษณะนี้ ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายผิดหรือไม่ ประกันจะคุ้มครองความเสียหายทั้งหมด ในกรณีที่ผู้เช่ารถเป็นฝ่ายผิด ผู้เช่ารถอาจต้องจ่ายความเสียหายส่วนแรกตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่ารถ และสามารถนำหลักฐานการชำระเงินตลอดจนหลักฐานอื่นๆ สำหรับการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวไปขอรับเงินที่ชำระก่อนแล้วคืนจากนายหน้าที่ที่ทำนิติกรรมกันทางเว็บไซต์ โดยหลักฐานเอกสารสำคัญ ที่เป็นเงื่อนไขในการเคลมเงินประกัน คือ เอกสารการแจ้งความที่ออกโดยตำรวจ บางครั้งตำรวจอาจปฏิเสธที่จะเดินทางมายังสถานที่เกิดเหตุ เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจน้อยเกินไป ในกรณีนี้ให้ผู้เช่ารถขับรถไปที่สถานีตำรวจเลย และขอให้ตำรวจออกเอกสารที่แสดงถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยทั่วไปไม่เกิน 24 ชั่วโมงนับจากเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ควรรีบแจ้งให้บริษัทเช่ารถทราบโดยด่วนอย่างไรก็ตามผู้เช่ารถพึงระลึกไว้ว่า บริษัทประกัน นายหน้าเว็บไซต์รถเช่า อาจไม่จ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหากผู้เช่าตั้งตนอยู่ในความประมาทอย่างร้ายแรง เช่น เมาแล้วขับ เติมน้ำมันเชื้อเพลิงผิดประเภท หรือจอดรถในที่ลาดชันแล้วไม่ใส่เบรกมือสำหรับการเลือกใช้บริการเว็บไซต์บริการรถเช่า สามารถพิจารณาได้จากรีวิวของผู้เช่า และจำนวนดาวที่เว็บไซต์แต่ละที่ได้รับการประเมินซึ่งไม่ควรได้ต่ำกว่า 4 ดาวจาก 5 ดาวนอกจากนี้ในกรณีที่เช่ารถขับ เราควรปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด และศึกษาเส้นทางการเดินทางอย่างละเอียด ซึ่งปัจจุบันสามารถใช้ เครื่อง Navigator นำทางไปยังจุดหมายอย่างสะดวกสบายเช่นกัน(ข้อมูลจาก วารสาร Test ฉบับที่ 8/2016)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 186 Repair café การจัดการทางสังคมในการลดขยะอิเลคทรอนิกส์

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการจากบทความฉบับที่แล้ว นำเสนอปัญหาของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ที่มีความรู้สึกว่า เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ มือถือ คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน มีอายุการใช้งานที่สั้นมากจนผิดปกติ บางครั้งการชำรุดบกพร่องของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กล่าวมานั้นยังพอใช้งานได้ เพียงแต่ชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์บางชิ้นชำรุดเสียหาย ต้องการแค่เปลี่ยนอะไหล่ แต่พอติดต่อศูนย์บริการหลังการขาย ก็ประสบปัญหาอะไหล่ไม่มี หรือค่าแรงในการซ่อมแพงกว่าการซื้ออุปกรณ์เครื่องใหม่ ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นองค์กรผู้บริโภค และหน่วยงานภาครัฐของเยอรมนีที่ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม ต่างมีความกังวลกับการที่อายุการใช้งานเฉลี่ยของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้ามีแนวโน้มสั้นลง ซึ่งนอกจากจะเป็นการสูญเสียและสิ้นเปลืองงบค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคแล้ว ยังก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะอิเลคทรอนิกส์ตามมาอีกด้วยสำหรับบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอวิธีการทางสังคม ที่เข้ามาช่วยจัดการเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดมาจาก การชำรุดบกพร่องของโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ตโฟนก่อนอายุอันสมควรRepair Café Repair Café เป็นการรวมกลุ่มของผู้มีใจรักสิ่งแวดล้อมและต้องการลดปัญหาขยะอิเลคทรอนิกส์ เนื่องจากว่า การซ่อมสมาร์ตโฟนในเยอรมนีมีราคาแพงมาก ไม่ว่าจะซ่อมเล็กหรือซ่อมใหญ่ เนื่องจากค่าแรงของช่างซ่อมนั้นมีราคาสูงตามมาตรฐานช่างฝีมือในประเทศที่พัฒนาแล้ว การรวมกลุ่มในรูปแบบ repair café จึงเป็นการนัดพบปะกันของผู้ใส่ใจในเรื่องสิ่งแวดล้อม ซึ่งการรวมตัวกันของกลุ่มคนเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการช่วยเหลือกัน เพื่อให้คนในกลุ่มสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในกรณีที่สมาร์ตโฟนมีปัญหา โดยในกลุ่มจะมีผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเป็นช่างซ่อมมืออาชีพมาสอน และสนับสนุนทางด้านทักษะและความรู้ ตลอดจนการช่วยหาอะไหล่ ในรูปแบบอาสาสมัคร และหากการซ่อมไม่ประสบความสำเร็จทาง repair café ก็ไม่ได้รับประกันผล เนื่องจากการให้ช่างซ่อมมืออาชีพตามร้านหรือตามศูนย์ซ่อมของสมาร์ตโฟนนั้นๆ บางครั้งก็ไม่ได้ดีไปกว่าการซ่อมเองในรูปแบบ repair café ตัวอย่างการซ่อมเองตามกลุ่ม repair café ที่ผู้บริโภคสามารถซ่อมได้เอง เช่น การเปลี่ยนหน้าจอที่แตกหักชำรุด บางครั้งอาสาสมัครที่มาช่วยเหลือการซ่อม คือ นักศึกษาตามมหาวิทยาลัย การซ่อมสมาร์ตโฟนยิ่งรุ่นใหม่ๆ ก็จะยิ่งซ่อมเองได้ยากกว่า การที่มาพบปะกับผู้เชี่ยวชาญที่เป็นอาสาสมัคร จึงเป็นวิธีการที่ดีกว่าการซ่อมด้วยตัวเองเพียงคนเดียว สำหรับเวลาที่ใช้ในการซ่อมขึ้นอยู่กับความชำนาญและประสบการณ์ของอาสาสมัครทางเทคนิค จากการสำรวจข้อมูลขององค์กรผู้บริโภคเยอรมนี ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า กรณีตัวอย่างการซ่อม หน้าจอสมาร์ตโฟน ราคาซ่อมที่ศูนย์จะตกประมาณ 166 ยูโร ซึ่งราคานี้รวมค่าแรงและค่าอะไหล่แล้ว แต่ลูกค้าต้องรอนานถึง 10 วัน ในขณะที่การซ่อมตาม repair café จะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง และราคาค่าซ่อมไม่คิด แต่คิดค่าอะไหล่ 100 ยูโร และค่ากาแฟ อีก 10 ยูโร รวมเป็น 110 ยูโร สามารถประหยัดเงินได้ 56 ยูโร แต่ประหยัดเวลาได้ถึง 10 วันรูปแบบการจัดการทางสังคมแบบนี้ถือได้ว่า เป็นการจัดการเรื่องขยะอิเลคทรอนิกส์ที่ทำให้เกิดความยั่งยืน และทำประโยชน์ให้สังคมส่วนรวม และผู้บริโภคที่สามารถจัดการซ่อมแซมสมาร์ตโฟนของตัวเองได้ ก็ย่อมมีความรู้สึกภาคภูมิใจในความสามารถของตน และมีส่วนร่วมในการลดปัญหาขยะอิเลคทรอนิกส์ไปพร้อมๆ กันด้วยประเทศแรก ที่ให้กำเนิด repair café คือ ประเทศ เนเธอร์แลนด์ โดยเริ่มในปี 2009 โดยดำเนินการในรูปแบบมูลนิธิ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนความยั่งยืนในการผลิตและการใช้ทรัพยากรโลก ปัจจุบันมีจำนวน repair café 1,000 แห่ง ใน 25 ประเทศ ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเบอร์ลินมีอัตราการจัด repair café บ่อยครั้งมาก เนื่องจากทางเทศบาลให้การสนับสนุนไม่คิดค่าใช้จ่ายในการใช้พื้นที่สาธารณะเช่น โรงเรียน สมาคมเพื่อการกุศล และศูนย์เยาวชนที่กระจายอยู่ตามชุมชน รูปแบบการจัดการทางสังคมเพื่อสาธารณกุศลลักษณะนี้น่าสนใจมาก ในประเทศไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ น่าที่จะมีรูปแบบการจัดการของสังคมเพื่อสิ่งแวดล้อมลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความเข้มแข็งของพลเมืองและจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมของประชาชน ในการก้าวไปสู่สังคมแห่งสุขภาวะ(ที่มา: Test ฉบับที่ 6/2016)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 185 ปัญหาของการชำรุดเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควรของสินค้ากลุ่มอิเลคทรอนิกส์(2)

ความเดิม...ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ต่างมีความรู้สึกว่า เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ มือถือ คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน มีอายุการใช้งานที่สั้นมากจนผิดปกติ องค์กรผู้บริโภคและหน่วยงานภาครัฐของเยอรมนีที่ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม ต่างมีความกังวลกับการที่อายุการใช้งานเฉลี่ยของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้ามีเแนวโน้มสั้นลง เมื่อเทียบกับอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าในอดีต ซึ่งนำไปสู่การศึกษาและเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อตอบข้อสงสัย และคลายความกังวลในประเด็น การ(จงใจ ?) ทำให้ชำรุดเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควรของผู้ผลิตสินค้า จึงได้รวบรวมข้อมูลและนำเสนอประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องดังกล่าว โดยในเล่มที่ผ่านมา ได้นำเสนอข้อมูลค่าเฉลี่ยอายุการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศเนเธอร์แลนด์เปรียบเทียบกันระหว่าง ปี 2000 กับปี  2005 และ ความยากง่าย ในการถอดและใส่แบตเตอรีในกรณีที่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี เมื่อแบตเตอรีเสื่อมสภาพแล้ว ยี่ห้อ IPHONE 6 และ HTC one ซึ่งเป็นกลุ่มสมาร์ตโฟนที่แบตเตอรีติดแน่นกับตัวเครื่องฉบับนี้มาต่อกันด้วย ผลการสำรวจเรื่องช่วงเวลาที่โน้ตบุ๊คเกิดความชำรุดบกพร่อง ซึ่งสำรวจพบว่า จะเกิดหลังจากหมดอายุประกันสินค้าเกิน 50 % ดังแสดงใน ตารางที่ 3 นอกจากนี้พบว่าชิ้นส่วนของโน้ตบุ๊ค ที่เสื่อมสภาพสูงสุดมากสามอันดับแรกคือ แบตเตอรี ฮาร์ตแวร์ และเมนบอร์ด ตามตารางที่ 4ตารางที่ 3 ช่วงเวลาและความถี่ในการซ่อมโน้ตบุ๊คตารางที่ 4 ชิ้นส่วนใดของโน้ตบุ๊คที่เกิดความชำรุดเสียหาย (ผลการศึกษาโดยสอบถามผู้บริโภคจำนวน 305 คน)สำหรับข้อเสนอแนะของผลการศึกษานี้ต่อบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็คทรอนิกส์ ได้แก่ p.p1 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: justify; font: 12.0px 'Helvetica Neue'; color: #454545} p.p2 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: justify; font: 12.0px Thonburi; color: #454545} p.p3 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: justify; font: 12.0px 'Helvetica Neue'; color: #454545; min-height: 14.0px} p.p4 {margin: 0.0px 0.0px 0.0px 0.0px; text-align: justify; font: 12.0px 'Helvetica Neue'; color: #e4af0a} span.s1 {font: 12.0px Thonburi} span.s2 {font: 12.0px 'Helvetica Neue'} span.s3 {color: #454545} span.s4 {font: 12.0px Thonburi; color: #454545} span.s5 {color: #e4af0a} •    การกำหนดมาตรฐานอายุการใช้งานขั้นต่ำ การกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ (minimum product lifetime requirement & standardization) •    มาตรการสมัครใจในการให้ผู้ประกอบการรับผิดชอบการรับคืนสินค้าที่เสื่อมคุณภาพ และการใช้นโยบาย reduce reuse recycling สินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าและ อิเลคทรอนิกส์ และ•    มาตรการทางกฎหมายโดยให้ผู้ผลิต และผู้ประกอบการรับผิดชอบในการจัดการขยะอิเลคทรอนิกส์ อาทิให้ผู้ผลิตต้องรับคืนสินค้าที่เสื่อมสภาพเพื่อไปกำจัด หรือ การนำชิ้นส่วนกลับมาใช้ใหม่ตามกระบวนที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมหวังว่าบทความและข้อมูลการศึกษาเบื้องต้นนี้จะช่วยกระตุ้นให้สังคมตระหนักรู้และรณรงค์ให้ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ตลอดจนการมีระบบจัดการขยะอิเลคทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพ และไม่สร้างความยุ่งยากให้กับผู้บริโภคมากจนเกินไป(แหล่งข้อมูล: http://www.umweltbundesamt.de/publikationen/einfluss-der-nutzungsdauer-von-produkten-auf-ihre-1) 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 184 ปัญหาของการชำรุดเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควรของสินค้ากลุ่มอิเลคทรอนิกส์(1)

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ต่างมีความรู้สึกว่า เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์ มือถือ คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน มีอายุการใช้งานที่สั้นมากจนผิดปกติ บางครั้งการชำรุดบกพร่องของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กล่าวมานั้น ยังพอใช้งานได้ เพียงแต่ชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์บางชิ้น ชำรุดเสียหาย ต้องการแค่เปลี่ยนอะไหล่ แต่พอติดต่อศูนย์บริการหลังการขาย ก็ประสบปัญหาอะไหล่ไม่มี หรือค่าแรงในการซ่อมแพงกว่าการซื้ออุปกรณ์เครื่องใหม่ หรือบางครั้งอุปกรณ์การสื่อสาร เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรือโน้ตบุ๊ค จำเป็นต้อง upgrade โปรแกรม หรือ แอพพลิเคชันใหม่ ซึ่งอุปกรณ์เครื่องเก่าอาจไม่รองรับกับ ซอฟท์แวร์หรือแอพพลิเคชันใหม่ ทำให้ใช้งานได้ไม่เต็มความสามารถของเครื่อง หรือกรณีเลวร้ายที่สุดคือ ไม่สามารถใช้งานได้เลยปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น องค์กรผู้บริโภคและหน่วยงานภาครัฐของเยอรมนีที่ดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม ต่างมีความกังวลกับการที่อายุการใช้งานเฉลี่ยของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้ามีเแนวโน้มสั้นลง เมื่อเทียบกับอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้าในอดีต ซึ่งนำไปสู่การศึกษาและเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อตอบข้อสงสัย และคลายความกังวลในประเด็น การ(จงใจ ?) ทำให้ชำรุดเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควรของผู้ผลิตสินค้า ซึ่งนอกจากจะเป็นการสูญเสียและสิ้นเปลืองงบค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคแล้ว ยังก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ที่เกิดจากขยะอิเลคทรอนิกส์ตามมาอีกด้วยสำหรับบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลจากการศึกษาของ กรมควบคุมมลพิษและสิ่งแวดล้อมแห่งเยอรมนี ที่เผยแพร่ข้อมูลการศึกษามาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2016 ซึ่งได้แบ่งประเภทของการชำรุดเสื่อมสภาพ(obsolescence) ของผลิตภัณฑ์เป็น 4 ประเภท คือ•    การเสื่อมสภาพของวัสดุ (Materials Obsolescence) •    การเสื่อมสภาพของการใช้งาน (Functional Obsolescence) เช่น การ upgrade software•    การเสื่อมสภาพจากสาเหตุทางจิตวิทยา (Psychological Obsolescence) เช่น ผู้บริโภครู้สึกว่ามือถือที่ใช้อยู่ตกรุ่น และไม่ทันสมัย ความเร็วจากการใช้งานต่ำลง•    การเสื่อมสภาพจากสาเหตุทางเศรษฐศาสตร์ (Economical Obsolescence) เช่นเปลี่ยนเครื่องใหม่คุ้มค่ากว่าซ่อม      ในตารางที่ 1 แสดงให้ทราบว่า ค่าเฉลี่ยอายุการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศเนเธอร์แลนด์ เปรียบเทียบกันระหว่าง ปี 2000 กับปี  2005 พบว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าเกือบทุกประเภทมีอายุการใช้งานที่สั้นลง โดยเฉพาะเตาไมโครเวฟ มีอายุการใช้งานเฉลี่ยลดลงมากถึง 15 % และอุปกรณ์ในกลุ่ม smart phone smart device มีอายุการใช้งานเฉลี่ยลดลงมากที่สุดถึง 20 %    ตารางที่ 2 ในส่วนของสมาร์ทโฟน หากพิจารณาถึงความยากง่าย ในการถอดและใส่แบตเตอรี ในกรณีที่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี เมื่อแบตเตอรีเสื่อมสภาพแล้ว ยี่ห้อ IPHONE 6 และ HTC one เป็นกลุ่มสมาร์ตโฟนที่แบตเตอรีติดแน่นกับตัวเครื่อง ใช้เวลานานในการถอดแบตเตอรี และต้องใช้เครื่องมือพิเศษ ปัญหาแบตเตอรีประกอบติดแน่นในโทรศัพท์มือถือ คือ ผู้บริโภคไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้เอง ต้องเข้าศูนย์บริการและให้ช่างของศูนย์ทำการเปลี่ยนให้ ซึ่งมีราคาค่าบริการสูงมาก แนวโน้มของโทรศัพท์มือถือแบบนี้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากทุกปีสำหรับผลการสำรวจโน้ตบุ๊คโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบการศึกษาได้สอบถามผู้บริโภคทางอินเตอร์เน็ต จำนวน 655 คน ต่อเหตุผลที่ซื้อโน้ตบุ๊คเครื่องใหม่ พบว่าสาเหตุของการซื้อโน้ตบุ๊คใหม่ เนื่องจาก•    โน้ตบุ๊คเดิมชำรุด 46% (Materials Obsolescence)•    ฟังค์ชันการทำงานของเครื่องเดิมไม่เพียงพอต่อการใช้งาน 25% (Functional Obsolescence)•    เหตุผลอื่นในการเปลี่ยน 17%•    ไม่ชอบเครื่องเก่า 6% (Psychological Obsolescence)•    ได้ของขวัญเป็นเครื่องใหม่ 6% (Psychological Obsolescence)สำหรับผลการสำรวจช่วงเวลาที่โน้ตบุ๊คเกิดความชำรุดบกพร่อง ซึ่งมักจะเกิดหลังจากหมดอายุประกันสินค้า ตลอดจนชิ้นส่วนของโน้ตบุ๊ค ที่เสื่อมสภาพสูงสุดมากสามอันดับแรกติดตามได้ในเล่มหน้า       (แหล่งข้อมูล: http://www.umweltbundesamt.de/publikationen/einfluss-der-nutzungsdauer-von-produkten-auf-ihre-1)    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 183 Internet of Things: เทคโนโลยีที่ส่งผลต่อชีวิตของผู้บริโภค (2)

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการปัจจุบันนี้นอกจากการเชื่อมต่อผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แล้ว การเชื่อมต่อของเครื่องมือ เครื่องจักรอุปกรณ์อื่นๆ ก็สามารถเชื่อมต่อได้เช่นกัน เรียกว่า Internet of Thingsสิ่งหนึ่งที่ผู้บริโภคพึงทราบไว้ก็คือ อุปกรณ์เครื่องใช้อิเลคทรอนิกส์ในกลุ่ม  Internet of Thingsมักมีการติดตั้งชิป (Chip) และเซนเซอร์ ไว้ในอุปกรณ์ดังกล่าว โดยที่เราอาจไม่ทราบ ซึ่งจากสถิติปัจจุบันที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ชิปหรือ เซนเซอร์ คือ ประมาณ 6,000 ล้านเครื่อง และภายใน 4 ปี จะเพิ่มเป็น 21,000 ล้านเครื่อง อุปกรณ์ที่ติดตั้งสำเร็จรูปไว้แล้ว ก็เช่น อุปกรณ์ติดตัวมนุษย์อัจฉริยะ (smart products) สามารถวัดอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์ที่ใช้อุปกรณ์นั้นๆ หรือ สามารถวัดอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมรอบกายมนุษย์ได้ หรือสามารถแจ้งเตือนว่าลูกกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านแล้ว     เมื่อเทคโนโลยีส่งผลต่อชีวิตอย่างมหาศาล ก็มีสิ่งที่เราควรต้องคำนึงถึง ซึ่งในฉบับที่แล้วผมได้นำเสนอข้อมูลในประเด็นเรื่อง ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวและการละเมิดสิทธิ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการใช้เครื่องมือไฮเทคเหล่านี้ ซึ่งยังมีต่อดังนี้ครับ ประเด็นด้านความปลอดภัยในสังคมที่เข้าสู่ยุค internet of things มีความเชื่อกันว่า ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจะดีขึ้นผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในยุโรปหลายเจ้าติดตั้งอุปกรณ์แจ้งเตือนทันทีในกรณีที่รถยนต์ต้องเข้ารับการซ่อมแซม ในปี 2018 อียูออกประกาศให้รถยนต์ทุกคันต้องติดตั้งระบบ ecall ซึ่งเป็นระบบการแจ้งเตือนฉุกเฉิน ในกรณีที่รถยนต์เกิดอุบัติเหตุ หรืออย่างบริษัทกูเกิลที่กำลังพัฒนารถยนต์ที่ขับเคลื่อนได้เองโดยไม่ต้องใช้คนขับ เพื่อลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่เกิดจากมนุษย์ นอกจากนี้ในระบบ smart home ในกรณีที่เกิดขโมยลักลอบเข้าบ้าน ท่อน้ำแตก ไฟไหม้ ก็จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังเจ้าของบ้านทันทีประเด็นสุขภาพและการกำหนดจังหวะชีวิตของตัวเองปัจจุบันเราจะเห็นคนรอบข้างใช้ fitness smartwatch เพิ่มมากขึ้น อุปกรณ์ประเภทนี้จะช่วยเก็บข้อมูลการออกกำลังกายของเรา และช่วยกระตุ้นเตือนให้คนที่คล้อง fitness smart watch ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น  อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ การเชื่อมต่อของเครื่องช่วยการเต้นของหัวใจ และเครื่องปั๊มอินซูลิน ที่ส่งข้อมูลของคนไข้ให้กับแพทย์ที่รักษาตลอดเวลา ทำให้ลดการนัดหมายของคนไข้ ที่ไม่มีความจำเป็นออกไป และสามารถแจ้งเตือนคนไข้ที่อาจเกิดเหตุที่คาดไม่ถึงได้อย่างทันท่วงทีสำหรับแนวทางป้องกันการหกล้มในบ้านของคนชรา ปัจจุบันสามารถติดตั้งเซนเซอร์ไว้ใต้พรม เพื่อตรวจสอบการหกล้ม ของคนชราได้อย่างแม่นยำ สามารถส่งสัญญาณการหกล้มเชื่อมต่อกับทีมการแพทย์ฉุกเฉินที่อยู่ใกล้บ้านทันทีประเด็นการประหยัดพลังงานและป้องกันสิ่งแวดล้อมวัตถุประสงค์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง ของ internet of things คือ เรื่องการประหยัดพลังงานและป้องกันรักษาสิ่งแวดล้อม ในเมืองใหญ่ที่มีการจราจรหนาแน่น ระบบการเชื่อมต่อของการจราจรจะส่งสัญญาณแจ้งให้กับผู้ขับรถว่า มีที่จอดรถสาธารณะตรงไหนบ้างที่ยังว่างอยู่ เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือในช่วงฤดูหนาว สามารถสั่งให้เครื่องทำความร้อนเปิดเองโดยอัตโนมัติผ่านทางแอปพลิเคชัน ระหว่างที่เรากำลังเดินทางกลับบ้าน  หรือการใช้ smart metering ซึ่งเป็นระบบควบคุมและตรวจสอบการใช้พลังงานในครัวเรือนแบบ real time แต่สำหรับแนวความคิด smart metering นี้ ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าจะช่วยในเรื่องการประหยัดพลังงานได้จริงอัจฉริยะไม่ได้หมายความว่าฉลาดหรือรู้เท่าทันภายใต้เทคโนโลยีที่ทันสมัยนี้ ก็มีความเสี่ยงแฝงอยู่ อุปกรณ์หรือเครื่องมือบางชนิด เมื่อไฟดับหรือระบบอินเตอร์เนตล่ม ก็ไม่สามารถควบคุมได้ด้วย mode manual ภายใต้การควบคุมของมนุษย์ สำหรับผู้บริโภคนั้นสิ่งสำคัญคือ อุปกรณ์สามารถสื่อสารหรือเชื่อมต่อกับ ผู้ผลิตเจ้าอื่นๆได้ด้วย มิใช่ถูกจำกัดหรือผูกขาดเฉพาะกับยี่ห้อของตนเองอย่างเดียวภาวะคุกคามต่อ อิสระในการเลือก Internet of Things มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนในสังคม ถึงแม้ว่าในบาง sector จะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น แต่ก็มีการคาดการณ์กันว่า ด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติ โดยใช้คอมพิวเตอร์เช่นนี้ ความต้องการใช้แรงงานมนุษย์จะลดน้อยลง กรณีตัวอย่างของรถขับเคลื่อนอัตโนมัติของกูเกิล มีคำถามตามมาว่า มนุษย์จะเข้าไปแทรกแซงการจราจรบนท้องถนนได้หรือไม่ ถ้าได้จะต้องทำอย่างไร เพราะรถขับเคลื่อนอัตโนมัติของกูเกิลนั้น ปัจจุบันไม่มีพวงมาลัยสำหรับการควบคุมทิศทางให้กับมนุษย์ไว้เลย(แหล่งข้อมูล: วารสาร Test ฉบับที่ 4/2016)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 182 Internet of Things: เทคโนโลยีที่ส่งผลต่อชีวิตของผู้บริโภค (1)

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการปัจจุบันนี้นอกจากการเชื่อมต่อผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แล้ว การเชื่อมต่อของเครื่องมือ เครื่องจักรอุปกรณ์อื่นๆ ก็สามารถเชื่อมต่อได้เช่นกัน เรียกว่า Internet of Things อุปกรณ์หรือเครื่องจักรที่สามารถเชื่อมต่อกันได้นั้น สามารถเก็บข้อมูลผ่านเซนเซอร์ โดยสามารถเก็บข้อมูลของมนุษย์ ตลอดจนข้อมูลของสิ่งแวดล้อมรอบตัว และส่งข้อมูลผ่านคลื่นความถี่ไปยังอุปกรณ์ตัวอื่นหรือ ส่งข้อมูลเพื่อเก็บในฐานข้อมูลในระบบอินเตอร์เน็ต Internet of Thing สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มอย่างกว้างๆ ได้ 5 กลุ่ม คือ• การเชื่อมต่อของรถยนต์• บ้านอัจฉริยะ (smart home) เช่นระบบควบคุมตู้เย็นแบบออนไลน์ ระบบเครื่องปรับอากาศ และระบบสัญญาณการเตือนภัย• อุปกรณ์ติดตัวมนุษย์เช่น นาฬิกาอัจฉริยะ หรือ การเชื่อมต่อเครื่องกระตุ้นหัวใจ (networking of heart pacer)• กลุ่ม Gadgets ซึ่งเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ตอบสนองความเพลิดเพลินใจของมนุษย์ เช่น ตุ๊กตา หรือ รองเท้า ที่เชื่อมต่อผ่าน application บนสมาร์ตโฟน• และการเชื่อมต่อของภาคอุตสาหกรรม และระบบโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เช่น การเชื่อมต่อของเครื่องจักรการผลิตในโรงงาน หรือ สัญญาณไฟจราจร ไฟฟ้าส่องสว่างข้างถนน และถังขยะสาธารณะ   สิ่งหนึ่งที่ผู้บริโภคพึงทราบไว้ก็คือ อุปกรณ์เครื่องใช้อิเลคทรอนิกส์ปัจจุบันนี้ มักมีการติดตั้ง ชิป (Chip) และเซนเซอร์ ไว้ในอุปกรณ์ดังกล่าวโดยที่เราอาจไม่ทราบ จากสถิติปัจจุบันที่มีการติดตั้งอุปกรณ์ชิปหรือ เซนเซอร์ คือ ประมาณ 6,000 ล้านเครื่อง และภายใน 4 ปี จะเพิ่มเป็น 21,000 ล้านเครื่อง อุปกรณ์ที่ติดตั้งสำเร็จรูปไว้แล้ว เช่น อุปกรณ์ติดตัวมนุษย์อัจฉริยะ (smart products) สามารถวัดอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์ที่ใช้อุปกรณ์นั้นๆ หรือ สามารถวัดอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมรอบกายมนุษย์ได้ หรือสามารถแจ้งเตือนว่าลูกกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านแล้ว หรือแม้แต่ การเหยียบเบรกรถอย่างฉุกเฉิน (full breaking) หรือการที่เครื่องพิมพ์ (Printer) ส่งสัญญาณไปแจ้งผู้ประกอบการว่า หมึกพิมพ์กำลังจะหมด ทางผู้ผลิตก็จะจัดส่งพนักงานหรือ ส่งหมึกพิมพ์ให้กับลูกค้าของตน อัจฉริยะขนาดนี้ ก็ต้องมีประเด็นที่ควรคำนึงถึง ได้แก่ การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ความสะดวกสบาย สุขภาพ พลังงาน สิ่งแวดล้อม ฯลฯ แต่เนื่องจากเนื้อที่จำกัด จะขอแบ่งเป็นสองตอนนะครับ ประเด็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลจากตัวอย่างความเป็นอัจฉริยะของเครื่องมือหรืออุปกรณ์ดังที่กล่าวมา ข้อมูลที่อุปกรณ์เก็บและส่งไปให้บริษัทผู้ผลิต ส่งผลให้เกิดประโยชน์ตามมาคือ บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์สามารถล่วงรู้พฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ผู้ผลิตสมาร์ตทีวี สามารถรู้ประเภทหนังที่ลูกค้าของตนชื่นชอบ ฟิตเนสสตูดิโอ สามารถติดตามและให้คำแนะนำการออกกำลังกายของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ และเนื่องจากการควบคุมเครื่องมือหรืออุปกรณ์อัจฉริยะแบบนี้สามารถควบคุมทางออนไลน์ได้ ดังนั้นการถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด (Manipulation) จึงมีโอกาสเกิดได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจารกรรมข้อมูลส่วนบุคคล และการล่วงละเมิดสิทธิส่วนตัว ประเด็นเรื่องการโจรกรรมข้อมูลเคยมีการโจรกรรมข้อมูลของ กล้องดูแลเด็ก เพราะพ่อแม่ต้องออกไปทำงานข้างนอก โจรสามารถแฮกข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เน็ตเข้ามา ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมากต่อความเป็นส่วนตัว และอาชญากรรมต่อเด็ก ซึ่งเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับอาชญากรคอมพิวเตอร์ในการแฮกข้อมูล ซึ่งไม่เพียงแต่สามารถควบคุม ได้เฉพาะแต่เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ แฮกได้เท่านั้น แต่สามารถแฮกอุปกรณ์อื่นๆ เป็นลูกโซ่ตามมา ซึ่งผู้ประกอบการบางรายมักง่าย ต้องการนำเสนอสินค้าออกขายโดยเร็ว โดยที่ละเลยต่อมาตรการความปลอดภัย ประเด็นความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันผู้ประกอบการต่างก็โฆษณาในประเด็นความสะดวกสบายที่จะมาพร้อมกับยุค internet of things นี้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของการเข้าถึงเพลงที่ชื่นชอบผ่านระบบ music streaming และการเข้าถึง สื่อสังคมออนไลน์ (social media) ในรถยนต์ที่มีการเชื่อมต่อ นอกจากนี้ยังสามารถเสนอเส้นทางอื่นๆ เป็นทางเลือกในการเดินทาง เพื่อป้องกันไม่ให้คนขับรถยนต์ไปพบกับการจราจรที่ติดขัด หรือการควบคุมการเปิดปิดของเตาอบขนม ผ่านแอพพลิเคชัน ในขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้าน หรือการติดกล้องในตู้เย็นเพื่อดูว่า อาหารในบ้าน เช่น นมสดในตู้เย็นใกล้จะหมดหรือยัง ขณะอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต ติดตามตอนที่ 2 ในฉบับหน้าครับ (แหล่งข้อมูล: วารสาร Test ฉบับที่ 4/2016)  

อ่านเพิ่มเติม >