ตลาดแปรงสีฟันไฟฟ้าทั่วโลกเริ่มคึกคักและมีแนวโน้มจะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น หลังผู้คนหันมาให้ความใส่ใจกับสุขภาพอนามัยช่องปากกันมากขึ้น เราได้เห็นความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ราคา รวมถึงแบรนด์ใหม่ๆ ในตลาดฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขอนำผลทดสอบเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแปรงสีฟันไฟฟ้ามาฝากสมาชิกกันอีกครั้ง* (ดูผลการทดสอบครั้งก่อนหน้าได้ใน ฉกลาดซื้อ ฉบับ 251) เช่นเดียวกับครั้งก่อน การทดสอบแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่การตรวจวัดในห้องปฏิบัติการ และความเห็นจากอาสาสมัครที่ใช้งานจริง โดยคะแนนจะแบ่งออกเป็นสี่ด้าน ได้แก่ ประสิทธิภาพในการทำความสะอาดฟัน (ร้อยละ 50) แบตเตอรี/การชาร์จ (ร้อยละ 30) การใช้งานสะดวก (ร้อยละ 25) และการปลอดเสียงรบกวน (ร้อยละ 5) แปรงสีฟันไฟฟ้า 14 รุ่น ที่ทดสอบ (ราคาระหว่าง 715 ถึง 10,500 บาท)* มีทั้งรุ่นที่ใช้ระบบการสั่นของขนแปรง การหมุนของหัวแปรง หรือทั้งสองระบบรวมกัน แปรงส่วนใหญ่ที่เราทดสอบเป็นชนิดที่ชาร์จไฟได้ มีเพียงหนึ่งรุ่นที่ใช้พลังงานจากถ่านอัลคาไลน์ ในภาพรวมเราพบว่าการลงทุนไม่เกิน 3,000 บาท ก็สามารถได้แปรงไฟฟ้ารุ่นที่ได้คะแนนดีที่สุด (Oral-B iO-4n) มาครอบครองได้ หรือถ้าใครไม่อยากจ่ายเกินหนึ่งพัน ก็ยังมีรุ่นที่ได้คะแนนระดับดี (Dontodent) ให้เลือกใช้ เช่นกัน และยังมีแปรงบางรุ่นที่ผู้ผลิตให้หัวแปรงสำหรับเปลี่ยนมากถึง 3 หรือ 4 หัว แม้ราคาอาจจะสูงขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อคำนวณดูแล้วก็เป็นการลงทุนที่น่าจะคุ้มค่าเช่นกัน การทดสอบโดยสมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศครั้งนี้ทำขึ้นในช่วงปลายปี 2565 เนื่องจาก ฉลาดซื้อ เป็นหนึ่งในสมาชิกที่ร่วมลงขันจึงสามารถนำผลทดสอบเปรียบเทียบมาเผยแพร่ให้กับผู้ที่จ่ายค่าสมาชิกของเราได้ ราคาที่นำเสนอแปลงจากหน่วยเงินปอนด์หรือยูโร ตามข้อมูลที่พบในอินเทอร์เน็ต โปรดตรวจสอบราคา (รวมถึงค่าจัดส่งหากสั่งซื้อออนไลน์) อีกครั้งก่อนตัดสินใจ
สำหรับสมาชิก >ตามที่สัญญาไว้ในฉบับก่อนหน้า ฉลาดซื้อฉบับนี้ขอนำเสนอผลทดสอบเปรียบเทียบเครื่องทำกาแฟแบบแมนนวลและแบบแคปซูลเป็นภาคต่อ ด้วยเนื้อที่อันจำกัด เราจึงคัดมา 22 รุ่น (กำลังไฟระหว่าง 850 – 1700 วัตต์) ในสนนราคาตั้งแต่ 1,800 ถึง 22,600 บาท และข่าวดีคือคุณสามารถมีเครื่องทำกาแฟที่มีคุณภาพดีไว้ใช้ที่บ้านได้ด้วยการลงทุนเบื้องต้นไม่ถึงสามพันบาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดตรวจสอบอีกครั้งก่อนตัดสินใจ) การให้คะแนนทั้งจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ และการให้คะแนนเรื่องรสชาติโดยผู้เชี่ยวชาญ ยังคงเป็นเช่นเดิม โดยคะแนนเต็ม 100 คะแนน แบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้ คุณภาพ/รสชาติของกาแฟ ร้อยละ 35 ประสิทธิภาพของเครื่อง ร้อยละ 30 ความสะดวกในการใช้งาน ร้อยละ 30 การประหยัดพลังงาน ร้อยละ 5
สำหรับสมาชิก >สำหรับคอกาแฟที่อยากมีเครื่องทำกาแฟไว้ทำกาแฟสดดื่มเองที่บ้าน โดยพร้อมที่จะลงทุนกับอุปกรณ์ต่างๆ และไม่หวั่นว่าจะต้องลงแรงและเวลาในการดูแลรักษาทำความสะอาดเครื่องให้ใช้งานได้ดีอยู่เสมอ ฉลาดซื้อ ฉบับนี้มีผลทดสอบเปรียบเทียบเครื่องทำกาแฟแบบอัตโนมัติพร้อมเครื่องบดเมล็ดกาแฟมาฝากกันอีกครั้ง คราวนี้คัดมา 18 รุ่น (กำลังไฟระหว่าง 1300 – 1900 วัตต์) ที่สนนราคาตั้งแต่ 9,950 ถึง 51,900 บาท* ส่วนผู้ที่สนใจเครื่องทำกาแฟแบบแคปซูล ขอให้อดใจรออีกนิด เราจะนำเสนอในฉบับต่อๆ ไป เช่นเดียวกับครั้งที่ผ่านๆ มา ผลการทดสอบร่วมโดยสมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research & Testing) ครั้งนี้ ได้จากทั้งการทดสอบในห้องปฏิบัติการ และการให้ความเห็นเรื่องรสชาติโดยผู้เชียวชาญ* โดยคะแนนเต็ม 100 คะแนน แบ่งออกเป็น 4 ด้านดังนี้ คุณภาพ/รสชาติของกาแฟ ร้อยละ 35 ประสิทธิภาพของเครื่อง ร้อยละ 30 ความสะดวกในการใช้งาน ร้อยละ 30 การประหยัดพลังงาน ร้อยละ 5
สำหรับสมาชิก >หุ่นยนต์ทำความสะอาดพื้นดูเหมือนจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น จากที่เคยมีราคาค่อนข้างแพงและตัวเลือกจำกัด ปัจจุบันมีผู้ผลิตหลายเจ้าส่งผลิตภัณฑ์นี้ออกมาให้ผู้บริโภคได้มีทางเลือกมากขึ้น ทั้งรูปลักษณ์ ฟังก์ชัน และราคา แต่คำถามที่ยังคาใจหลายคนคือ อุปกรณ์นี้น่าลงทุนหรือไม่ ฉลาดซื้อฉบับนี้จะพาคุณไปหาคำตอบกันอีกครั้ง* สมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ หรือ International Consumer Research & Testing ได้ร่วมกันส่งตัวอย่างหุ่นยนต์ดูดฝุ่นเข้ารับการทดสอบในห้องปฏิบัติการ CTTN/IREN Centre Technique de la Teinture et du Nettoyage ที่ประเทศฝรั่งเศส* ในระหว่างเดือนพฤษภาคม 2564 จนถึงพฤษภาคม 2565 โดยการทดสอบแบ่งออกเป็น 5 ด้าน แต่ละด้านมีสัดส่วนคะแนนแตกต่างกันดังนี้ 1. ประสิทธิภาพการทำความสะอาด (ร้อยละ 40) โดยวัดจากความสามารถในการกำจัดฝุ่น เศษขนมปัง เส้นใย ทั้งบนพื้นพรมและพื้นกระเบื้อง 2. ความสะดวกในการใช้งาน (ร้อยละ 22) 3. การเคลื่อนไหวในห้องนั่งเล่นที่มีสิ่งกีดขวาง เช่น โซฟา ม่าน แจกัน สายไฟ (ร้อยละ 20) 4. เสียงรบกวนจากเครื่องขณะใช้งาน (ร้อยละ 12) 5. การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (ร้อยละ 6) ด้วยเนื้อที่อันจำกัดเราจึงขอเลือกรุ่นที่ได้คะแนนรวมสูงสุดในกลุ่มออกมา 20 ตัวเพื่อนำเสนอ (สนนราคาโดยประมานตั้งแต่ 7,000 ถึง 43,000 บาท*) เราเรียนรู้จากผลการทดสอบครั้งนี้ว่าประสิทธิภาพโดยรวมของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่วางตลาดในช่วงสองปีที่ผ่านมาไม่ได้ดีขึ้นจากเดิมนัก และรุ่นที่ได้คะแนนมากที่สุดในการทดสอบครั้งนี้ ก็ได้ไปเพียง 57 คะแนน (เทียบกับครั้งก่อน ตัวท็อปได้ไป 63 คะแนน) ที่น่าสังเกตคือราคาที่แพงกว่าอาจไม่ได้บ่งบอกถึงประสิทธิภาพที่สูงกว่าเสมอไป อย่างไรก็ตามหากคุณยังต้องการ “พื้นสะอาด” โดยไม่ต้องเหนื่อยแรงมากนัก ลองพลิกดูคะแนนในด้านต่างๆ ของแต่ละรุ่นได้ในหน้าถัดไป *ติดตามบทความเรื่องทดสอบหุ่นยนต์ดูดฝุ่นครั้งก่อนหน้าได้ใน ฉลาดซื้อ ฉบับที่ 197 *อัตราค่าทดสอบเฉลี่ยอยู่ที่รุ่นละ 1.318 ยูโร (ประมาณ 47,500 บาท)
สำหรับสมาชิก >ปัจจุบันตลาดสินค้าสำหรับอนามัยช่องปากคึกคักขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ทั้งยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก สเปรย์ดับกลิ่นปาก รวมถึงแปรงสีฟันไฟฟ้าก็มีหลากยี่ห้อ หลายระดับราคาให้เลือกมากขึ้น ฉลาดซื้อฉบับนี้เลยขอนำเสนอผลการทดสอบแปรงสีฟันไฟฟ้าที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ได้ทำการทดสอบเปรียบเทียบไว้จำนวน 14 รุ่น มาให้สมาชิกที่กำลังมองหาตัวช่วยให้ประสบการณ์แปรงฟันครั้งละสองนาทีน่ารื่นรมย์ขึ้น แปรงไฟฟ้าที่ทดสอบครั้งนี้มีราคาตั้งแต่ประมาณ 700 ถึง 11,200 บาท* โชคดีที่ทั้งสองรุ่นนี้ไม่ใช่รุ่นที่ได้คะแนนต่ำสุดหรือสูงสุด โดยในการทดสอบได้แบ่งคะแนนออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่ ประสิทธิภาพในการทำความสะอาดฟัน (ให้น้ำหนักจากคะแนนรวม ร้อยละ 50) และความสะดวกในการใช้งาน แบตเตอรีการทำงานของแท่นชาร์จ และเสียงที่ไม่ดังเกินไปขณะใช้งาน (ร้อยละ 25, 20, และ 5 ตามลำดับ) นอกจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการแล้ว ในส่วนของคะแนนความสะดวกในการใช้งานนั้นมากจากความเห็นของอาสาสมัคร (ที่อายุระหว่าง 18 ถึง 65 ปี ที่สุขภาพฟันแข็งแรง มีค่าดัชนีวัดหินปูน > 1.5 และมีฟันแท้อย่างน้อย 20 ซี่) · ราคาที่นำเสนอเป็นราคาที่แปลงจากหน่วยเงินยูโร ตามองค์กรผู้บริโภคซื้อจากร้านค้าในประเทศของตนเอง โปรดตรวจสอบราคา (และคำนวณค่าจัดส่งหากสั่งซื้อออนไลน์) อีกครั้งก่อนตัดสินใจ
สำหรับสมาชิก >แม้จะเข้าวงการมาได้ไม่นาน แต่หม้อทอดไร้น้ำมันก็ติดอันดับเครื่องครัวยอดนิยมที่หลายคนอยากมีไว้ติดบ้านไปแล้ว ฉลาดซื้อฉบับนี้ขอนำเสนอผลการทดสอบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่สมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ หรือ International Consumer Research & Testing ได้ทำไว้ในระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤศจิกายนปี 2564 (หากสนใจผลการทดสอบที่เราเคยนำเสนอ สามารถติดตามได้ในฉลาดซื้อ ฉบับที่ 203 และ 230) เนื่องจากเป็นการทดสอบต่อเนื่อง ทีมทดสอบจึงยังใช้ขั้นตอนการทดสอบเหมือนที่ผ่านมา นั่นคือการใช้งานตามคู่มือของหม้อทอดแต่ละรุ่น โดยจะวัดความร้อน บันทึกเวลาที่ใช้ อุณหภูมิเฉลี่ยขณะทอด และพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ ส่วนอาหารที่ใช้ในการทดสอบได้แก่ - มันฝรั่งเส้น (ทดสอบทั้งแบบใส่ในปริมาณ 2/3 ของความจุหม้อ และแบบใส่จนเต็ม) - น่องไก่ (นำออกจากตู้เย็นหลังแช่ไว้ 24 ชั่วโมง ใส่พร้อมกัน 4 น่อง ขนาดน่องละประมาณ 100 กรัม) - ปอเปี๊ยะ (นำออกจากตู้เย็นหลังแช่ไว้ 24 ชั่วโมง ใส่10 ชิ้น ขนาดชิ้นละ 25 กรัม) - ช็อคโกแลตเค้ก (เฉพาะในบางรุ่นที่มีฟังก์ชันรองรับ) การให้คะแนนแบ่งออกเป็น 5 ด้าน ประสิทธิภาพ ร้อยละ 55 ความสะดวกในการใช้งาน ร้อยละ 20 การประหยัดพลังงาน ร้อยละ 15 ความปลอดภัย ร้อยละ 5 คุณภาพการประกอบ ร้อยละ 5 ในภาพรวมเราพบว่าหม้อทอดรุ่นใหม่ๆ ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น แม้รุ่นที่ได้คะแนนสูงที่สุดจะได้คะแนนรวมไม่ต่างจากตัวท็อปในการทดสอบคราวก่อน แต่ที่น่าสนใจคือ “คะแนนต่ำสุด” ของหม้อทอดกลุ่มนี้สูงขึ้นกว่าเดิม และหนึ่งในรุ่นที่ได้คะแนนน้อยที่สุดคือ รุ่นที่มีความจุสูงและพยายามรวมฟังก์ชันหลายอย่างไว้ด้วยกันคราวนี้เรามีมาให้คุณเลือกถึง 25 รุ่น เชิญพลิกหน้าต่อไปเพื่อหารุ่นที่ตรงใจได้เลย แต่อย่าลืมตรวจสอบราคาอีกครั้ง (ราคาที่นำเสนอเป็นราคาจากอินเทอร์เน็ตในช่วงเดือนธันวาคม 2564)
สำหรับสมาชิก >ฉลาดซื้อขอเอาใจคอกาแฟอีกครั้ง ด้วยผลทดสอบเปรียบเทียบเครื่องทำกาแฟดริปแบบอัตโนมัติ ที่สมาชิกองค์กรทดสอบระหว่างประเทศในเนเธอร์แลนด์ (Consumentenbond) และเบลเยียม (Test-Achats) เป็นผู้เก็บตัวอย่างส่งเข้าทดสอบไว้ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ด้วยเนื้อที่อันจำกัดเราจึงขอคัดมาแค่ 21 รุ่นที่ได้คะแนนระหว่าง 61 – 81 จากคะแนนเต็ม 100 สนนราคาที่จำหน่ายในเว็บไซต์มีตั้งแต่ 550 ถึง 9,400 บาท* จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ทีมทดสอบได้สัดส่วนออกเป็นด้านต่างๆ ดังนี้ 35 คะแนน ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่อง (ทดสอบตามมาตรฐาน EN 60661: 2001) เช่น ประสิทธิภาพและเวลาที่ใช้ในการสกัดกาแฟเมื่อใช้น้ำในปริมาณมาก/น้อยที่สุด อุณหภูมิของกาแฟหลังทำเสร็จทันทีและเมื่อเวลาผ่านไป 15 และ 30 นาที (กรณีที่เหยือกเป็นแบบเก็บอุณหภูมิ จะวัดอุณหภูมิเมื่อเวลาผ่านไป 1, 2, หรือ 4 ชั่วโมงด้วย) 30 คะแนน รสชาติของกาแฟ เป็นการให้คะแนน (จาก 1 – 10) โดยนักชิมมืออาชีพ 10 คน กาแฟจากเครื่องแต่ละรุ่นจะต้องมีผู้ทดสอบรสชาติอย่างน้อย 8 คน น้ำที่ใช้เป็นน้ำประปาที่อุณหภูมิห้อง (20 องศาเซลเซียส) กระดาษกรอง Melitta Original และเมล็ดกาแฟ Norvid Arqvist โดยใช้กาแฟในสัดส่วน 50 กรัม/น้ำ 1 ลิตร และเลือกระดับ Medium ในฟังก์ชัน Aroma 30 คะแนน ความสะดวกในการใช้งาน เป็นผลการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คนที่ทดลองใช้เครื่อง เช่น เติมน้ำ เลือก/ปรับโปรแกรมการใช้งาน ใส่/ถอดอุปกรณ์ เทกาแฟใส่แก้ว ทำความสะอาด และจัดเก็บเครื่อง เป็นต้น 5 คะแนน การประหยัดพลังงาน วัดจากพลังงานที่ใช้ขณะทำกาแฟขณะอุ่นร้อน 30 นาที ขณะอยู่ในโหมดสแตนด์บายเป็นเวลา 1 ชั่วโมง รวมถึงระยะเวลาก่อนปิดตัวเองอัตโนมัติเมื่อไม่มีการใช้งาน ข่าวดีคือเราสามารถมีเครื่องทำกาแฟแบบดริปไว้ใช้ที่บ้านได้โดยไม่ต้องจ่ายแพง ใครชอบรูปลักษณ์ของเครื่องแบบไหน ชอบเหยือกกาแฟแบบแก้วหรือสแตนเลส หรือมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่จัดวางอย่างไร เชิญพลิกดูรายละเอียดประกอบการตัดสินใจในหน้าต่อไปได้เลย
สำหรับสมาชิก >การกรองแบคทีเรียของเครื่องกรองน้ำ (2) ระบบ UF และ ระบบ UV น้ำดื่มเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย โดยผู้บริโภคต้องเลือกน้ำดื่มน้ำใช้ที่มีความสะอาดเพื่อสุขภาพที่ดี การบริโภคน้ำจากแหล่งธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน น้ำบาดาล หรือน้ำจากประปาอาจมีจุลินทรีย์เจือปนที่เป็นโทษต่อร่างกาย เครื่องกรองน้ำจึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับใช้ภายในครัวเรือน ปัจจุบันระบบการกรองน้ำที่ใช้กันแพร่หลาย และวางจำหน่ายในท้องตลาดมีอยู่ 3 ระบบ ได้แก่ ระบบ Reverse Osmosis (RO) ระบบ Ultra-Filter (UF) และ ระบบ UV (Ultra Violet) ซึ่งแต่ละระบบมีการทำงานที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพื้นที่ใช้งาน รวมถึงความต้องการการใช้น้ำที่แตกต่างกันไป ต่อไปนี้คือ ผลการทดสอบ เครื่องกรองน้ำระบบ UF และ ระบบ UV (วิธีการทดสอบเดียวกับการทดสอบเครื่องกรองน้ำระบบ RO ดูบทความก่อนหน้า) ผลการทดสอบ : เครื่องกรองน้ำระบบ UF การทดสอบประสิทธิภาพในการกรองแบคทีเรียของเครื่องกรองน้ำระบบ UF มีผลทดสอบ ดังนี้ เครื่องกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพในการกรองแบคทีเรียมากกว่าร้อยละ 80 ได้แก่ Stiebel Eltron รุ่น Rain Plus และ Pure รุ่น DM 01 เครื่องกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพในการกรองแบคทีเรีย ร้อยละ 50 – 80 ได้แก่ Unipure รุ่น BLUE 20”(UF) เครื่องกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพในการกรองแบคทีเรียน้อยกว่าร้อยละ 50 ได้แก่ Astina รุ่น AP401UF และ Aquatek รุ่น Silver UF เครื่องกรองน้ำที่ไม่สามารถกรองแบคทีเรียได้ ได้แก่ Turbora รุ่น BUF-401N Filtex รุ่น FT-220 และ Mazuma รุ่น AQ 50 UF ผลการทดสอบ : เครื่องกรองน้ำระบบ UV การทดสอบประสิทธิภาพในการกรองแบคทีเรียของเครื่องกรองน้ำระบบ UV มีรายละเอียด ดังนี้ เครื่องกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพในการกรองแบคทีเรียมากกว่าร้อยละ 80 ได้แก่ Mazuma รุ่น AQ-5F-UVS และ Amway รุ่น eSpring เครื่องกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพในการกรองแบคทีเรียน้อยกว่าร้อยละ 50 ได้แก่ Pure รุ่น DM 01 UV และ Filtex รุ่น FT-229 เครื่องกรองน้ำที่ไม่สามารถกรองแบคทีเรียได้ ได้แก่ Turbora รุ่น 5PUVPRC Carina รุ่น CA-5UV และ Absolute รุ่น Ultraviolet & Ceramic
อ่านเพิ่มเติม >น้ำดื่มเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย โดยผู้บริโภคต้องเลือกน้ำดื่มน้ำใช้ที่มีความสะอาดเพื่อสุขภาพที่ดี การบริโภคน้ำจากแหล่งธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำฝน น้ำบาดาล หรือน้ำจากประปาอาจมีจุลินทรีย์เจือปนที่เป็นโทษต่อร่างกาย เครื่องกรองน้ำจึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับใช้ภายในครัวเรือน ปัจจุบันระบบการกรองน้ำที่ใช้กันแพร่หลาย และวางจำหน่ายในท้องตลาดมีอยู่ 3 ระบบ ได้แก่ ระบบ Reverse Osmosis (RO) ระบบ Ultra-Filter (UF) และ ระบบ UV (Ultra Violet) ซึ่งแต่ละระบบมีการทำงานที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพื้นที่ใช้งาน รวมถึงความต้องการการใช้น้ำที่แตกต่างกันไป การทดสอบครั้งนี้ เป็นการนำเครื่องกรองน้ำที่มีจำหน่ายในท้องตลาดมา ทดสอบประสิทธิภาพในการกรองแบคทีเรีย เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้นในการให้ข้อมูลกับบริโภคเพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์โดยทำการสุ่มซื้อเครื่องกรองน้ำจากท้องตลาด และการสั่งซื้อทางออนไลน์ โดยเลือกเครื่องกรองน้ำจาก 3 ระบบ ได้แก่ 1.เครื่องกรองน้ำระบบ RO (Reverse Osmosis) จำนวน 11 ตัวอย่าง 2.เครื่องกรองน้ำระบบ Ultrafiltration (UF) จำนวน 8 ตัวอย่าง 3.เครื่องกรองน้ำระบบ Ultraviolet (UV) จำนวน 7 ตัวอย่าง ผู้บริโภคสามารถใช้ผลการทดสอบประสิทธิภาพการกรองเชื้อแบคทีเรียของครื่องกรองน้ำ สำหรับประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องกรองน้ำที่เหมาะสมได้ อย่างไรก็ตามควรพิจารณาคุณสมบัติและ ประสิทธิภาพอื่นๆ ของเครื่องกรองน้ำประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการกรองโลหะหนัก ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และสารพิษอื่นๆ เช่น สารตกค้างจากยาฆ่าแมลง สารเคมีกำจัดวัชพืช ที่อาจปนเปื้อนมากับน้ำที่เราใช้สำหรับการบริโภคในครัวเรือนได้ ข้อแนะนำ ผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงเครื่องกรองน้ำที่ไม่สามารถกรองเชื้อแบคทีเรียได้ เพราะอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพและอนามัย อันจะนำไปสู่การติดเชื้อและเจ็บป่วยจากการบริโภคน้ำที่ไม่สะอาด ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานๆ ผลการทดสอบ : เครื่องกรองน้ำระบบ RO การทดสอบประสิทธิภาพในการกรองแบคทีเรียของเครื่องกรองน้ำระบบ RO มีรายละเอียด ดังนี้ เครื่องกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพในการกรองแบคทีเรียมากกว่าร้อยละ 80 ได้แก่ Toshiba รุ่น TWP-N1890UK Stiebel Eltron รุ่น Glacier Filtex รุ่น FT 241 RO Aquatek รุ่น RO 150 GPD และ Mi รุ่น water purifier 1A เครื่องกรองน้ำที่มีประสทธิภาพในการกรองแบคทีเรีย ร้อยละ 50 – 80 ได้แก่ Mazuma รุ่น RO PURE LI และ Pure รุ่น KT RO เครื่องกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพในการกรองแบคทีเรียน้อยกว่าร้อยละ 50 ได้แก่ Treatton รุ่น RO 300 GPD และ Turbora รุ่น 5ROC-PRC เครื่องกรองน้ำที่ไม่สามารถกรองแบบทีเรียได้ ได้แก่ Carina รุ่น CA-5RO และ Pentair รุ่น GRO-50 System
อ่านเพิ่มเติม >ฉลาดซื้อฉบับนี้มีภาคต่อของผลทดสอบเครื่องปั่นผสมอาหารและเครื่องดื่มมาฝากคุณอีกแล้ว คาวนี้มีให้เลือก 15 รุ่น (กำลังไฟตั้งแต่ 300 ถึง 1800 วัตต์) ที่สมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศได้แก่ Consumentenbond จากเนเธอร์แลนด์ และ OCU-Ediciones จากสเปน ได้ร่วมกันทำไว้ในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา เกณฑ์การให้คะแนนยังเป็นเช่นเดิมคือ คะแนนรวม 100 คะแนน ประกอบด้วยคะแนนประสิทธิภาพในการทำสมูตตี้ผักและผลไม้ บดน้ำแข็ง และเตรียมอาหารเหลว (50 คะแนน) ความสะดวกในการใช้งาน (30 คะแนน) การทำงานโดยไม่ส่งเสียงดังเกินไป (10 คะแนน) และความแข็งแรงทนทาน (10 คะแนน) ทีมทดสอบพบว่าไม่มีรุ่นไหนได้คะแนนรวมถึง 70 คะแนน เครื่องปั่น KitchenAid ( ราคา 799-12,900 บาท ) ที่ได้คะแนนดีที่สุดในกลุ่ม ก็ได้ไปเพียง 68 คะแนน เท่านั้น นอกจากนี้ยังพบว่ามีหลายรุ่นที่ “สอบตก” เพราะได้ต่ำกว่า 50 คะแนน พลิกไปดูกันเลยว่าควรซื้อหารุ่นไหนมาไว้ใช้งานในวันที่อยู่บ้านฝึกฝนการเป็นเชฟมือใหม่กันได้เลย ทั้งนี้ทีมได้ทดสอบเปรียบเทียบการประหยัดพลังงาน แต่ไม่ได้นำมาประมวลผลในการให้คะแนนรวม ส่วนเรื่องความปลอดภัยนั้นทุกได้คะแนนในระดับ 5 ดาว จึงไม่ได้นำมาประมวลผลเช่นกัน หมายเหตุ - การทดสอบดังกล่าวมีค่าใช้จ่าย 400 – 500 ยูโร (ประมาณ13,500 ถึง 17,000 บาท) ต่อหนึ่งตัวอย่าง - ราคาที่แจ้งเป็นราคาที่พบออนไลน์ และอาจเป็นการแปลงจากหน่วยเงินต่างประเทศ โปรดตรวจสอบอีกครั้งก่อนตัดสินใจ - สามารถติดตามผลการทดสอบเครื่องปั่นครั้งก่อนหน้าได้ที่ ฉลาดซื้อ ฉบับ 227
สำหรับสมาชิก >