ฉบับที่ 221 รู้เท่าทันการอยู่กับธรรมชาติ

ฉบับนี้ขอนำเรื่องเบาๆ แต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาเล่าสู่กันฟัง คนส่วนใหญ่เชื่อว่า การกินสมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และยาบำรุงต่างๆ จะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ดังนั้นตลาดธุรกิจด้านนี้จึงเติบโตอย่างรวดเร็วและมีมูลค่ามหาศาล ความจริงแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นอย่างมากมายโดยที่ไม่ต้องเสียเงินทองไปซื้อหา นั่นคือ การอยู่กับธรรมชาติวันละ 20 นาที เรามารู้เท่าทันกันเถอะ จะใช้เวลาเท่าไหร่ในการอยู่กับธรรมชาติจึงจะเกิดผลดีต่อสุขภาพ        จริงๆ แล้วทุกคนรู้ว่าธรรมชาติดีต่อร่างกาย แต่ที่สำคัญคือ จะใช้เวลามากน้อยแค่ไหนที่จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ งานวิจัยชิ้นหนึ่งตีพิมพ์ในวารสารแนวหน้าทางจิตวิทยา นักวิจัยพยายามศึกษาว่า เวลาที่ใช้อยู่กับธรรมชาติที่เกิดประโยชน์สูงสุดในชีวิตประจำวันนั้นควรเป็นเท่าไหร่         แพทย์แผนปัจจุบันจำนวนมากหันมาสั่งให้ผู้ป่วยใช้ธรรมชาติบำบัดอาการเครียดและเสริมสร้างสุขภาพ และเรียกชื่อว่า “ธรรมชาติโอสถ” ศาสตราจารย์แมรี่แครอล ฮันเตอร์ จากคณะสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าวว่า “การศึกษาพบว่า เราควรใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ ไม่ว่าจะนั่งหรือเดินในสถานที่ที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ ประมาณ 20-30 นาที จะเกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ก่อให้เกิดความเครียด”         ธรรมชาติโอสถมีราคาถูก และมีความเสี่ยงต่อสุขภาพน้อย ศาสตราจารย์ฮันเตอร์และทีมงานทำการศึกษาผู้อยู่อาศัยใน 36 เมือง โดยให้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างน้อยวันละ 10 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 8 สัปดาห์ ทำการเก็บน้ำลายผู้เข้าร่วมการวิจัยทุก 2 สัปดาห์ เพื่อวัดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ก่อนและหลังสัมผัสธรรมชาติโอสถ พบว่า เพียงแค่ 20 นาทีที่สัมผัสกับธรรมชาติจะลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ช่วงระยะเวลาที่เหมาะที่สุด จะอยู่ระหว่าง 20-30 นาที การอยู่กับธรรมชาติสัปดาห์ละ 2 ชั่วโมงในสวนและป่าจะเสริมสร้างสุขภาพเป็นอย่างดี         งานวิจัยในวารสารนานาชาติ  International Journal of Environmental Health Research พบว่า การอยู่กับธรรมชาติ 20 นาทีในสวนสาธารณะทำให้เกิดความสุข โดยไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายร่วมด้วย ในญี่ปุ่นมีการอาบป่าเพื่อสุขภาพ         ในญี่ปุ่นนั้นมีกิจกรรมการอาบป่าหรือป่าบำบัด  โดยเริ่มตั้งแต่ทศวรรษ ค.ศ.1980  เรียกว่า ชินริน โยขุ (Shinrin yoku) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก  ป่าบำบัดหรือการอาบป่า(Forest Bathing) เป็นวิถีทางที่ทรงพลังในการเสริมสร้างสุขภาวะทั้งทางร่างกายและจิตใจ ความเรียบง่ายของป่าบำบัดคือ การใช้ช่วงเวลาและห้วงคำนึงในป่า จมดิ่งอยู่กับผัสสะต่างๆ ที่เกิดขึ้น        ป่าบำบัดมีประโยชน์ต่อสุขภาพ การได้สัมผัสธรรมชาติ การเจริญสติ ในการอาบป่าหลอมรวมให้เกิดคุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ การเดินในป่าทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย  ฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยเร็วขึ้น และลดความดันเลือด  ลดความเครียด เพิ่มสมาธิ และปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ ช่วยลดอาการซึมเศร้าและวิตกกังวล         การอาบป่าถูกนำไปใช้ในประเทศต่างๆ ในยุโรปและอเมริกา เพื่อลดความเครียดจากวิถีชีวิตสมัยใหม่ กิจกรรมที่เป็นที่นิยมคือ การเดินป่าในวันหยุดสุดสัปดาห์           สรุป  ธรรมชาติโอสถวันละ 20-30 นาทีจะเป็นยาที่ดีที่สุด ถูกที่สุดในการลดความเครียดและเสริมสร้างสุขภาวะของทุกคน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 220 รู้เท่าทันลูกกลิ้งหินหยกนวดหน้า

        การใช้ลูกกลิ้งหินหยกนวดใบหน้าเพื่อให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์และสวยงาม เป็นความเชื่อและใช้ในการแพทย์แผนจีนโบราณมากว่าพันปี ทำให้มีการขายอุปกรณ์ลูกกลิ้งหินหยกนวดหน้าทั่วไปในตลาดของประเทศไทย และต่อมาได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ จึงมีการศึกษาค้นคว้าในทางการแพทย์มากขึ้นว่า ได้ผลจริงตามความเชื่อหรือไม่ เรามารู้เท่าทันกันเถอะ ความเชื่อเรื่องหินกับสุขภาพ         ความเชื่อเรื่องหิน แร่ ผลึก กับสุขภาพนั้นมีมานานนับพันปี โดยเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติ มีอายุเก่าแก่ งดงาม หาได้ง่าย และใช้ง่าย  ผู้ที่มีประสบการณ์การใช้เพื่อบำบัดและเพิ่มพลังชีวิตจะเชื่อว่าหินแต่ละชนิดจะมีพลังแตกต่างกันไป  หินจึงสามารถใช้เยียวยาปัญหาต่างๆ ของร่างกายได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้โชคดี นำโชคลาภมาให้ และสร้างพลังในร่างกายได้ ความนิยมใช้หยก หิน และผลึกแร่ต่างๆไข่หยก  ได้รับความนิยมอย่างมากเมื่อ 2 ปีก่อน เพราะดาราสาว Gwyneth Paltrow ออกมาแนะนำให้ใช้ไข่หยกสอดไว้ในช่องคลอด ซึ่งเป็นวิธีการโบราณที่เชื่อว่าจะทำให้กล้ามเนื้อช่องคลอดและเชิงกรานกระชับ และหยกช่วยล้างพลังลบที่อยู่ในช่องคลอด เตียงผลึกหินและแร่  โดยการนอนหรือแช่ในอ่างที่มีวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตั้งแต่ เสียงบำบัด การสั่นสะเทือนบำบัด แสงและสีบำบัด คลื่นแม่เหล็กฟ้าบำบัด และผลึกแร่ต่างๆ  และอ้างว่า ทำให้สุขภาพดี และเพิ่มพลังลูกกลิ้งหน้าจากหยกและหิน  ได้รับความนิยมในโลกแห่งความงามมากขึ้น เพราะเชื่อว่า การนวดหน้าช่วยลดอาการบวมฉุของใบหน้า ลบรอยเหี่ยวย่น ผิวสวยงาม และการนวดด้วยหยกหรือหิน จะได้รับพลังจากหยกและหินต่างๆ ด้วย จุกเสียบก้นที่ทำจากหิน  เป็นจุกเล็กๆ ที่ทำจากหินหรือผลึกแร่ต่างๆ ใช้เสียบที่ก้น เพื่อกระต้นพลังจักระที่ 1 หรือมูลธาร (มูลธาระ)  ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเชิงกรานเหนือทวารหนัก ตามหลักการโยคะ ในร่างกายของคนจะมีพลังซ่อนเร้นสงบอยู่ เรียกว่า “กุณฑาลินี”  พลังนี้จะสงบนิ่งอยู่ที่จักระที่ 1 ซึ่งเชื่อมโยงกับจักระทั้ง 7 ในร่างกาย การใช้หินร่วมกับการฝึกโยคะ  มีความนิยมการใช้หิน แร่ ร่วมกับการฝึกโยคะในต่างประเทศ เพราะเชื่อว่าหินจะเพิ่มพลังจักระระหว่างการฝึกโยคะ ลูกกลิ้งหน้าจากหยกและหินได้ผลจริงหรือไม่เมื่อทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวกับประโยชน์และประสิทธิผลของการใช้ลูกกลิ้งหยกนวดหน้า พบว่า มีงานวิจัยน้อยมาก บางวิจัยพบว่า ช่วยลดรอยเหี่ยวย่นที่ใบหน้า และคอได้หลังจากใช้นาน 4 สัปดาห์  บางวิจัยพบว่า มีประโยชน์ในการใช้เพื่อความงามของผิวหน้า แต่หนึ่งในสามมีผลข้างเคียงเช่น หน้าแดง บวม ผิวหนังอักเสบ เป็นสิว เป็นต้น สรุป  ประโยชน์ของลูกกลิ้งหินและหยกในการนวดหน้านั้น ยังต้องการการศึกษาวิจัยมากกว่านี้เพื่อยืนยันประสิทธิผล  การนวดหน้ามีประโยชน์โดยตรงจากการนวดเพราะไปเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อหน้าและผิวหนัง  การใช้ลูกกลิ้งหินหยกจึงต้องรักษาความสะอาดของหินหยกและใบหน้า เพื่อป้องกันการแพ้ การอักเสบ และการติดเชื้อ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 219 รู้เท่าทันการกินผัก 5 สี

                มีการส่งเสริมการกินผัก 5 สีว่าจะได้คุณค่าและประโยชน์จากผักสีต่างๆ  ผักแต่ละสีจะมีสารอาหารแตกต่างกัน เรื่องผัก 5 สี เป็นเรื่องจริงหรือไม่ มีประโยชน์ตามสีหรือเปล่า เรามารู้เท่าทันกันเถอะผัก 5 สี ฮือฮาเฉพาะเมืองไทยหรือ         เว็บไซต์ต่างประเทศมีการส่งเสริมการกินผัก 5 สีในประเทศต่างๆ ตั้งแต่ออสเตรเลีย อเมริกา เกาหลี เป็นต้น  แสดงว่า ความเชื่อเรื่องกินผัก 5 สีนั้น เป็นกระแสนิยมที่แพร่กระจายทั่วโลก ในนิตยสารอาหารออสเตรเลียเรียกการกินผัก 5 สีว่า กินสายรุ้ง  ในประเทศไทย การกินผัก 5 สี ก็ได้รับความนิยมมากพอควร เว็บไซต์ของสสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ก็มีบทความส่งเสริมการกินผัก 5 สีเช่นเดียวกัน มีอะไรในแต่ละสีของผัก สีเขียว  ผักและผลไม้สีเขียวจะมีคลอโรฟิลล์ สารเคมีจากพืช ตั้งแต่แคโรทีนอยด์ อินโดล ซาโปนิน ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง  พวกผักโขม บร็อคโคลี่ จะอุดมไปด้วยโฟเลต (หนึ่งในวิตามินบีรวม) สีแดง ผักผลไม้สีแดง เช่น มะเขือเทศ แตงโม พริกชี้ฟ้า หอมแดง ฟักข้าว มะละกอสุก แครอท ส้มโอ แก้วมังกร หม่อน มีสารไลโคพีนในปริมาณสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์สูงมาก ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งอื่นๆ และทำให้หัวใจแข็งแรง สีเหลือง ส้ม  ผักผลไม้สีเหลือง ส้ม เช่น มะละกอ ฟักทอง มันเทศ  แครอท ส้ม สับปะรด  มีสารเบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอยด์ และลูทีน ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันต้อกระจก จอตาเสื่อม รักษาสุขภาพของหัวใจและหลอดเลือด  ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย สีม่วง น้ำเงิน  ผักผลไม้สีน้ำเงิน ม่วง เช่น มะเขือม่วง กะหล่ำปลีสีม่วง ลูกหว้า ชมพู่ มะเหมี่ยว ดอกอัญชัญ หอมแดง มีสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีส่วนช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์  ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ และเส้นเลือดอุดตันในสมอง สีขาว น้ำตาล   ผักผลไม้สีขาว น้ำตาล เช่น  ขิง ข่า กระเทียม หัวไชเท้า งาขาว ถั่วเหลือง ลูกเดือย กล้วย มันฝรั่ง มีสารอัลลิซิน (ในกระเทียม) มีคุณสมบัติในการต้านไวรัสและแบคทีเรีย ในกล้วยจะมีโปตัสเซียมมาก  ผักผลไม้สีขาว น้ำตาล สร้างเซลล์ให้แข็งแรง  ยับยั้งการเกิดเนื้องอก  ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก ต้านการอักเสบ ลดระดับน้ำตาลในเลือด  ลดความดันโลหิตป้องกันเส้นเลือดอุดตัน ลดปริมาณไขมันในเลือด รักษาระบบภูมิคุ้มกัน  กินผัก 5 สี มีประโยชน์จริงหรือ         งานวิจัยทางคลินิกเกี่ยวกับการกินผัก 5 สีมีน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นการศึกษาสารอาหารต่างๆ ในผักแต่ละสีว่ามีคุณสมบัติอย่างไร แต่งานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับประโยชน์ของการกินผักและผลไม้ องค์การอนามัยโลกได้กำหนดยุทธศาสตร์ อาหาร การออกกำลังกาย และสุขภาพ ไว้ว่า          “ผักและผลไม้เป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การกินผักและผลไม้เพียงพอในแต่ละวันจะช่วยป้องกันโรคสำคัญ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็งบางชนิด”          องค์การอนามัยโลกและองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ ได้ออกคำแนะนำเมื่อเร็วๆ นี้ ให้บริโภคผักและผลไม้อย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน เพื่อป้องกันโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน และโรคอ้วน         สรุป  การกินผักและผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแน่นอน ส่วนการกินผักและผลไม้ 5 สีนั้นช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายจากผักมากขึ้น

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 218 รู้เท่าทัน โรคตายคาเบาะหมอนวดไทย ตอนที่ 2

                ในเมื่อการนวดไทยตามมาตรฐานวิชาชีพมีความปลอดภัย มีข้อห้าม ข้อควรระวังในการนวดแล้ว ทำไมถึงยังมีผู้ป่วยเสียชีวิตคาเบาะหมอนวดไทย เรามารู้เท่าทันต่อกันเถอะ การเสียชีวิตกะทันหัน        การเสียชีวิตกะทันหันไม่ได้เกิดกับหมอนวดไทยเท่านั้น ความจริงในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เกิดกรณีฟ้องร้อง เข้าใจผิดของญาติผู้ป่วยอยู่เสมอ เพราะคนไข้ก็ดูปกติ ไม่เจ็บป่วยรุนแรง หรือกรณีแม่ก่อนคลอด ระหว่างนอนรอคลอดแล้วเสียชีวิต ญาติอาจเข้าใจว่า โรงพยาบาลปล่อยให้คนไข้ตกเตียงเสียชีวิต ตกเลือดจนตาย หรือไม่ดูแลคนไข้          นอกจากนี้ ยังมีการเสียชีวิตกะทันหันในระหว่างการใช้ชีวิตตามปกติ หรือการออกกำลังกาย โดยที่ไม่มีอาการเตือนมาก่อนอยู่เสมอ สาเหตุของการเสียชีวิตกะทันหัน        การแพทย์ฉุกเฉินพบว่า สาเหตุการตายกะทันหันของคนนั้นเกิดจาก 5 สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจวายเฉียบพลัน เส้นเลือดในสมองแตก ลิ่มเลือดอุดกั้นในหลอดเลือดปอด และหลอดเลือดแดงใหญ่ฉีกขาด              ผู้เสียชีวิตกะทันหันร้อยละ 80 เสียชีวิตจากสาเหตุของหัวใจ        ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ  เป็นภาวะที่หัวใจเต้นผิดจังหวะจนหัวใจหยุดทำงาน ผู้ป่วยจำนวนมากจะไม่มีอาการผิดปกตินำมาก่อน บางรายอาจมีประวัติปวดหน้าอก หายใจไม่ออก หัวใจเต้นรัว ง่วงเหงาหาวนอน เป็นลม หัวใจเต้นผิดจังหวะที่รุนแรงเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของการเสียชีวิตกะทันหัน การรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้         หัวใจวายเฉียบพลัน  เป็นสาเหตุการเสียชีวิตกะทันหันที่พบบ่อยเช่นเดียวกัน แผ่นคราบในหลอดเลือดแดงหนาตัวขึ้น อาจหลุดไปอุดตันหลอดเลือดแดง ทำให้เลือดแดงที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลง เกิดอาการปวดที่หน้าอก  เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดมาก ทำให้เสียชีวิตกะทันหันได้         เส้นเลือดในสมองแตก  เส้นเลือดในสมองแตกหรือฉีกขาดเป็นสาเหตุการตายกะทันหันที่มักจะถูกมองข้าม สมองจะทนการขาดออกซิเจนได้ไม่นานเหมือนเนื้อเยื่ออื่นๆ ของร่างกาย ถ้าเลือดในสมองออกจำนวนมาก ผู้ป่วยจะเสียชีวิตรวดเร็วก่อนมาถึงโรงพยาบาล ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการผิดปกตินำมาก่อน แต่อาจมีอาการปวดศีรษะที่เลวลง ซึมลง ผู้ป่วยมักจะมีความดันโลหิตสูงมาก่อน         ลิ่มเลือดอุดกั้นในหลอดเลือดปอด  พบบ่อยในผู้ป่วยที่สูงอายุ มะเร็ง ผู้ป่วยที่เพิ่งรับการผ่าตัด ผู้ที่รับการรักษาด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน ผู้นอนติดเตียง และผู้ที่มีหลอดเลือดดำอุดตัน  ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดปอดเป็นสาเหตุการตายกะทันหันร้อยละ 15  ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจไม่ออก ปวดหน้าอก หัวใจเต้นเร็ว เป็นลม ความดันเลือดต่ำ กระวนกระวาย มือเล็บเขียว  การปฐมพยาบาลและการส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลจะช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ทันท่วงที         หลอดเลือดแดงใหญ่ฉีกขาด  การฉีกขาด การแตกของหลอดเลือดแดงใหญ่ทำให้เสียชีวิตกะทันหัน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ การไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดแดงใหญ่ที่ผิดปกติอาจก่อให้เกิดการโป่งของผนังหลอดเลือดแดง เมื่อโป่งพองช้าๆ เป็นเวลาหลายปี มีความเสี่ยงในการแตกของหลอดเลือดแดงได้             ดังนั้น การเสียชีวิตกะทันหันเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ในทุกขณะ โดยไม่เกี่ยวกับการนวดหรือการรักษาใดๆ ไม่ใช่โรคที่เกิดจากหมอทำ ไม่ว่าจะเป็นหมอนวดหรือหมอแผนปัจจุบัน                                        

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 217 โรคตายคาเบาะหมอนวดไทย ตอนที่ 1

เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวผู้รับบริการนวดที่ร้านนวดเพื่อสุขภาพแล้วเสียชีวิตคาเบาะ คาเตียงหมอนวด ผู้ตายยังเป็นหนุ่มแข็งแรง เป็นหญิงสาวตั้งท้อง ทำให้ผู้คนหวาดกลัวการนวดไทยว่า การนวดมีอันตรายถึงแก่ชีวิต  เรามารู้เท่าทันการนวดไทยกันเถอะ การนวดไทยคืออะไร        การนวดไทยนั้นเป็นศาสตร์และศิลปะด้านสุขภาพที่อยู่ในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวไทยมาหลายร้อยปี บันทึกของ มองสิเออร์ เดอ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาในกรุงสยาม พ.ศ. 2230-2231 กล่าวถึงการนวดสมัยนั้นว่า “ในกรุงสยามนั้นถ้าใครป่วยไข้ลง ก็จะเริ่มให้ยืดเส้นยืดสาย โดยให้ผู้มีความชำนาญในทางนี้ ขึ้นไปแล้วใช้เท้าเหยียบ กล่าวกันว่า หญิงมีครรภ์ก็มักใช้เด็กเหยียบเพื่อให้คลอดบุตรง่าย”         การนวดไทยเป็นการประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการนวดไทยต้องจบ “หลักสูตรวิชาชีพการนวดไทย (800 ชั่วโมง)”  และต้องฝึกประสบการณ์การนวดกับครูผู้รับมอบตัวศิษย์อย่างน้อย 2 ปี จึงจะมีสิทธิ์สอบความรู้จากสภาการแพทย์แผนไทยเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ (หมอนวดไทย) ได้ หมอนวดไทยสามารถประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาลของรัฐและเอกชน หรือเปิด “คลินิกการนวดไทย”          ในปีพ.ศ. 2559 ได้มี พระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ กำหนดให้มี การนวดเพื่อสุขภาพ โดยผู้ให้บริการต้องผ่านการอบรมหลักสูตร “การนวดเพื่อสุขภาพ 150 ชั่วโมง” จึงจะให้บริการการนวดเพื่อสุขภาพในสถานประกอบการนวดเพื่อสุขภาพได้         ร้านนวดเพื่อสุขภาพที่เปิดกันอย่างกว้างขวาง จึงเป็นร้านนวดเพื่อสุขภาพ ผู้ให้บริการจบหลักสูตรการนวดเพื่อสุขภาพ 150 ชั่วโมง และทำการนวดเพื่อการผ่อนคลายเท่านั้น ไม่สามารถบำบัดรักษาอาการต่างๆ ได้เทียบเท่าหมอนวดไทย การนวดทำให้ผู้ถูกนวดตายได้หรือไม่         การนวดไทยนั้นใช้กรรมวิธี การตรวจ การวินิจฉัยและการบำบัดโรคด้วยการกด คลึง บีบ ทุบ สับ ประคบ เพื่อให้เส้นและลมกลับมาอยู่ในสภาพปกติ แรงที่เกิดขึ้นจากการนวดนั้น จะผ่านไปที่กล้ามเนื้อและเอ็นเป็นหลัก ไม่ได้กดที่กระดูก เส้นเลือด เส้นประสาท แม้จะมีการเปิดประตูลมที่ขาหนีบ ก็จะใช้ฝ่ามือกดด้วยแรงพอประมาณ ไม่เกิน 45 วินาที         แม้การตอกเส้นที่ตอกตามร่างกายโดยใช้ค้อนไม้ ตอกไปที่ท่อนไม้ผ่านตามจุดต่างๆ ของร่างกายผู้ถูกนวด เสียงดังโป้งป้าง หมอนวดก็จะยั้งไม้ไว้ ไม่ให้ตอกลงลึก เพียงแค่ใช้แรงสั่นสะเทือนจากไม้ที่ตอกส่งแรงไปตามแนวต่างๆ ของร่างกายเท่านั้น แรงสั่นสะเทือนจะไปกระตุ้นแนวเส้นต่างๆ ของร่างกายเพื่อให้ทางเดินของลมหรือพลังงานกลับเป็นปกติ         กรณีที่มีพระใช้การตอกเส้นรักษาผู้ป่วยอย่างรุนแรง การนวดกดปิดเส้นเลือดแดงที่คอจนหมดสติ และอีกมากมายที่รุนแรงนั้น ไม่ใช่มาตรฐานวิชาชีพการนวดไทยตามองค์ความรู้ของการนวดไทย ศาสตร์การนวดไทยที่แท้จริงนั้น เน้นความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ การนวดไทยจึงมีข้อห้ามในการนวดกรณีที่มีการติดเชื้อ กระดูกหัก การอักเสบที่รุนแรง ไม่นวดรักษาโรคและอาการที่ไม่หายด้วยการนวดไทยแล้วผู้ถูกนวดตายคาเบาะหมอนวดได้อย่างไร ติดตามฉบับหน้าครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 216 รู้เท่าทันรังนกนางแอ่น

รังนกมีประโยชน์จริงหรือ        ในช่วงปีใหม่ ตรุษจีน และเทศกาลต่างๆ จะมีการโฆษณาขายรังนกนางแอ่นกันอย่างครึกโครม โดยโฆษณาตั้งแต่ กินแล้วจะไม่แก่ ฟื้นจากการเจ็บป่วย แข็งแรง เด็กฉลาด บำบัดมะเร็ง จนกระทั่งเป็นของขวัญสูงค่าสำหรับผู้อาวุโส รังนกนางแอ่นมีคุณค่าสมราคาที่สูงมากหรือไม่ เรามารู้เท่าทันกันเถอะรังนกนางแอ่นคืออะไร        ชาวจีนนิยมกินรังนกนางแอ่นอย่างกว้างขวางมานานกว่าพันปี เพราะเชื่อว่ารังนกมีสรรพคุณทางยามากมาย ทำให้สุขภาพดีและแข็งแรง รังนกแอ่นกินรังสร้างด้วยน้ำลายจากต่อมน้ำลายของพ่อแม่นกก่อนการผสมพันธุ์และใช้เป็นที่วางไข่  ส่วนประกอบของรังนก ประมาณร้อยละ 85-97 เป็นน้ำลาย และร้อยละ 3-15 เป็นขนอ่อนอุตสาหกรรมบ้านและอาคารนกแอ่นกินรัง    จากความต้องการบริโภคที่สูง และมีราคาแพง (ราคาระหว่าง 20,000-80,000 บาทต่อกิโลกรัม) ทำให้เกิดการทำบ้านหรืออาคารสำหรับนกแอ่นกินรังเพื่อให้นกแอ่นมาทำรังในประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย  ในมาเลเซียนับเป็นประเทศแรกที่ทำบ้านนกแอ่นกินรังเป็นอาชีพ โดยการใช้บ้านเก่าหรือบ้านร้าง และเปิดเสียงนกแอ่นกินรังบนหลังคาหรือดาดฟ้าเพื่อลวงให้นกเข้ามาทำรังในบ้าน  ในไทยก็มีการทำบ้านนกแอ่นมากมายเช่นเดียวกัน โดยนิยมทำตามชายฝั่งทะเลเนื่องจากมีแมลงที่เป็นอาหารนกแอ่นจำนวนมาก รังนกประกอบด้วยอะไรบ้าง        รังนกของนกแอ่นกินรังนั้นสร้างจากน้ำลายของนกแอ่นตัวผู้ พบว่าประกอบไปด้วย โปรตีโอไกลแคน (proteoglycans) ซึ่งร้อยละ 83 เป็นคาร์โบไฮเดรต ที่เหลือเป็น เถ้าและไขมัน  ส่วนใหญ่เป็นกรดอะมิโนจำเป็น มีฮอร์โมนถึง 6 ชนิด ได้แก่ เทสโทสเตอโรน และเอสตราไดออล เป็นต้น  อย่างไรก็ตาม รังนกแอ่นกินรังนั้นอาจทำให้บางคนเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้รังนกมีประโยชน์จริงหรือ        มีงานวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของรังนกแอ่นไม่มากนัก        มีงานวิจัยกล่าวถึงคุณค่าทางอาหารของรังนกแอ่นว่า กรดไซอะลิกที่พบมากในรังนกแอ่นจะช่วยในการปกป้องการอักเสบของระบบประสาท ช่วยฟื้นฟูความจำและป้องกันระบบประสาท        มีงานวิจัยบางชิ้นกล่าวว่า รังนกแอ่นมีผลคล้ายยาลดไขมัน และอาจดีกว่า แต่ควรวิจัยเพิ่มเติมในทางคลินิกเกี่ยวกับการลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจที่เกิดจากไขมันในเลือดสูง        มีงานวิจัยที่ระบุว่า การกินรังนกแอ่นเป็นเวลา 30 วันอาจช่วยบรรเทาการกดภูมิต้านทานของทางเดินอาหารที่เกิดจากเคมีบำบัด รังนกแอ่นกินรังจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการใช้ลดผลข้างเคียงของเคมีบำบัด        มีงานวิจัยเร็วๆ นี้ ที่แสดงว่า รังนกแอ่นมีสารที่ช่วยการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ การสร้างเซลล์ และหยุดยั้งการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้        อย่างไรก็ตาม เมื่อทบทวนงานวิจัย พบว่างานวิจัยที่เกี่ยวกับรังนกแอ่นนั้นมีน้อย จำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้ยืนยันความเชื่อว่า รังนกแอ่นนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพจริงสรุป  รังนกแอ่นนั้นน่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพบ้าง แต่ประโยชน์ที่ได้เมื่อเทียบกับราคาที่สูงมากแล้ว คงไม่คุ้มกับราคา เพราะเราสามารถหาได้จากการออกกำลังกาย การกินอาหารพื้นบ้าน เช่นเดียวกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 215 รู้เท่าทันเกลือหิมาลัย

         ในเว็บไซต์เพื่อสุขภาพจะมีการโฆษณาเกลือหิมาลัย หรือเกลือหิมาลายัน หรือเกลือสีชมพู ว่าเป็นสุดยอดของเกลือในโลก มีประโยชน์สารพัดในการดูแลรักษาสุขภาพ ใช้ได้ทั้งการปรุงรสอาหาร การกินเป็นยา การอาบหรือแช่น้ำเกลือ จนถึงการใช้เป็นโคมไฟที่จะปล่อยประจุไฟฟ้าที่ดีต่อสุขภาพ เรามารู้เท่าทันกันเถอะ          เกลือหิมาลัยเป็นเกลือภูเขา มาจากรัฐปัญจาบ ประเทศปากีสถาน เกลือหิมาลัยมีอายุเก่าแก่ 100-200 ล้านปี มีองค์ประกอบทางเคมีคล้ายเกลือทะเล ประกอบด้วยโซเดียมคลอไรด์ร้อยละ 98 ที่เหลือเป็น โพแทสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม ทำให้มีสีชมพูอ่อน ซึ่งทำให้เกลือหิมาลัยมีรสชาติแตกต่างจากเกลือทะเล          ผู้คนใช้เกลือหิมาลัยเหมือนเกลือทะเลคือ ใช้ปรุงอาหาร ปรุงรส และถนอมอาหาร แผ่นหรือก้อนเกลือใช้เป็นจานใส่อาหาร เขียง บางคนใช้อาบในน้ำเกลือ และมีการใช้ก้อนเกลือหิมาลัยมาทำเป็นตะเกียงหรือโคมไฟ เกลือหิมาลัยคืออะไรการโฆษณาสรรพคุณของเกลือหิมาลัย         มีการโฆษณาประโยชน์ของเกลือหิมาลัยอย่างมากมาย ที่นิยมมากได้แก่ การช่วยระบบไหลเวียนของเลือด เยียวยาระบบทางเดินหายใจ ปรับสมดุลภาวะกรดด่างของร่างกาย ชะลอความแก่ ทำให้นอนหลับดีขึ้น เพิ่มพลังทางเพศ ป้องกันตะคริว เพิ่มน้ำในร่างกาย ทำให้กระดูกแข็งแรง ลดความดันเลือด ขับโลหะหนักออกจากร่างกาย ทำให้อากาศบริสุทธิ์ ทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น เป็นต้น เกลือหิมาลัยมีประโยชน์จริงหรือไม่        มีเอกสารและงานวิชาการจำนวนมากที่คัดค้านการกล่าวอ้างประโยชน์ของเกลือหิมาลัย เช่นการโฆษณาว่า มีแร่ธาตุต่างๆ ถึง 84 ชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทำให้ผู้บริโภคที่ไม่รู้เท่าทันหลงเชื่อว่า ยิ่งมีแร่ธาตุมากยิ่งดี ร่างกายต้องการสารอาหารมากขึ้น ที่จริงแล้ว สารต่างๆ ที่โฆษณานั้น มีเพียง 15 ชนิดเท่านั้นที่มีประโยชน์ อีก 7 ชนิด อาจมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ก็พบจำนวนน้อยมากจนอาจไม่พบ นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุที่เป็นอันตราย เช่น ปรอท ยาฆ่าหนู ตะกั่ว และมีสารกัมมันตรังสี เช่น เรเดียม ยูเรเนียม เป็นต้นโคมไฟเกลือหิมาลัยที่ขายกันอย่างแพร่หลายโดยเชื่อว่า เกลือจะจับไอน้ำและมลพิษต่างๆ ในอากาศ ทำให้อากาศบริสุทธิ์ ยังไม่พบว่ามีหลักฐานวิชาการที่น่าเชื่อถืองานวิจัยต่างๆ ที่กล่าวอ้างถึงประโยชน์ของเกลือหิมาลัยนั้น ไม่มีคุณภาพ และไม่มีการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่น่าเชื่อถือ หนังสือที่ตีพิมพ์ก็ยังขาดหลักฐานทางวิชาการสนับสนุน        ที่สำคัญ งานวิจัยที่น่าเชื่อถือทั้งใน PubMED และสถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา ยืนยันว่า การลดการบริโภคเกลือทะเลนั้นจะทำให้ความดันเลือดลงอย่างแน่นอน ดังนั้นการบริโภคเกลือหิมาลัยนั้นจะทำให้ความดันเลือดสูงขึ้นเช่นเดียวกับเกลือทะเล          สรุป  ประโยชน์ของเกลือหิมาลัยที่กล่าวอ้างกันว่าเป็นเกลือที่บริสุทธิ์ที่สุด มีประโยชน์สารพัด จึงเป็นเรื่องที่ไม่จริง ไม่มีหลักวิชาการที่น่าเชื่อถือรองรับ เกลือหิมาลัยนั้นมีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตราย การกินเกลือหิมาลัยจำนวนมากจะเกิดผลเสียต่อสุขภาพ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 214 รู้เท่าทันเห็ดรักษาโรค

รู้เท่าทันเห็ดรักษาโรค        การใช้เห็ดเพื่อเป็นอาหารและเป็นยานั้นมีมานานหลายพันปี เห็ดมีคุณค่าทางอาหารมาก และมีสารทางยามากมายเช่นกัน มีการใช้เห็ดในการดูแลสุขภาพ รักษาโรคที่พบบ่อย  ในช่วงหนึ่งมีการตื่นตัวเรื่องการกินเห็ดสามอย่างในบ้านเราว่ามีประโยชน์ จนกลายเป็นรายการอาหารสุขภาพอย่างหนึ่ง เรามารู้เท่าทันเห็ดกันดีกว่าเห็ดคืออะไร          เห็ดไม่ใช่พืช แต่เป็นเชื้อราที่พัฒนาเป็นดอกหรือเป็นกลุ่มก้อน มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เห็ดไม่สามารถสร้างอาหารเองได้เนื่องจากไม่มีสารสีเขียวที่เรียกว่า คลอโรฟีล จึงต้องอาศัยอาหารจากการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุจากจุลินทรีย์ต่างๆ           เห็ดอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ จำนวนมาก มีวิตามินบี โดยเฉพาะ ไนอาซินและไรโบฟลาวิน  มีโปรตีนมากที่สุด(ร้อยละ 44.93) เมื่อเทียบกับผักชนิดต่างๆ ไม่มีไขมันและให้พลังงานต่ำ  เห็ดแห้งจะมีโปรตีนสูงเท่ากับเนื้อวัว และมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนปริมาณมาก  การใช้เห็ดเพื่อเป็นยา          การใช้เห็ดรักษาโรคนั้นมีมาตั้งแต่สมัยอียิปต์และจีนโบราณ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงและอายุยืนยาว เห็ดอุดมด้วยพอลิแซ็กคาไรด์ ซึ่งกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้มีการใช้เห็ดเพื่อเป็นยารักษาโรค นอกจากนี้ เห็ดยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีโคเลสเตอรอลต่ำ ลดความดันเลือด ลดการอักเสบ และต่อต้านเชื้อไวรัส แบคทีเรีย อีกด้วยเห็ดที่เป็นยาที่เป็นที่รู้จักและนิยมใช้กันในจีนและต่างประเทศ ได้แก่ เห็ดหลินจือ เห็ดหิ้ง เห็ดเกลียวเมฆ เห็ดไมตาเกะ  สำหรับบ้านเรา มีความตื่นตัวในการใช้เห็ดกระถินพิมานเพื่อรักษามะเร็ง กลไกของร่างกายในการใช้เห็ดรักษาโรค                ปัจจุบันการแพทย์ให้ความสนใจกับกลไกในร่างกายที่มีผลทำให้เห็ดดีต่อสุขภาพ คือ แบคทีเรียในลำไส้ของคน ซึ่งมีจำนวนมหาศาลมากกว่า 10 ล้านล้านตัว มีสายพันธุ์ต่างๆ กว่า 1,000 สายพันธุ์ ซึ่งมียีน 3 ล้านยีนส์(มากกว่ายีนในมนุษย์ 150 เท่า)  แบคทีเรียในลำไส้จะย่อยอาหารที่ไม่สามารถย่อยโดยเอนไซม์ในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก           เห็ดเป็นสารพรีไบโอติกส์ที่ไปกระตุ้นการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้เกิดการย่อยและดูดซึมอาหารต่างๆ ได้ดีขึ้น และแบคทีเรียยังช่วยกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น  งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนประสิทธิผลของเห็ดหรือไม่          เมื่อทบทวนวารสารวิชาการที่น่าเชื่อถือพบว่า งานวิจัยส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับเห็ดในการรักษาโรคต่างๆ นั้น จะเป็นงานวิจัยที่มีคุณภาพไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนประสิทธิผลของเห็ดในการรักษาโรคต่างๆ ที่กล่าวอ้างกว่า 130 รายการ โดยเฉพาะมะเร็ง           ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2018 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของอเมริกาได้รับรอง “เห็ดขี้ควาย” หรือ เห็ดวิเศษ ให้ใช้ในการรักษาโรคซึมเศร้าที่ไม่ได้ผลจากการรักษาด้วยแผนปัจจุบัน     สรุป  การใช้เห็ดเป็นยารักษาโรคนั้นเป็นความเชื่อของการแพทย์ดั้งเดิมของสังคมต่างๆ แม้จะขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ แต่ก็ไม่สามารถหักล้างความเชื่อดั้งเดิมได้  คงจะต้องมีการศึกษาวิจัยที่มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้น  ส่วนการใช้เห็ดเป็นอาหารนั้นมีหลักฐานต่างๆ ยืนยันคุณค่าทางอาหารอย่างมากมาย  เราควรส่งเสริมการกินเห็ดเป็นอาหาร และให้อาหารเป็นยาสำหรับเราต่อไป จะเกิดประโยชน์และประหยัดมากที่สุด                                                                                        

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 213 รู้เท่าทันคอลลาเจน

   ตลาดโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพในวันนี้ ไม่มีอะไรที่จะมาแรงแซงโค้งคอลลาเจนได้เลย มีการโฆษณาว่า เมื่อคนเราแก่ตัวลง คอลลาเจนในร่างกายจะหายไป ทำให้หน้าเหี่ยวย่น เป็นริ้วรอย ข้อเสื่อมลง ปวดข้อ ดังนั้นผลิตภัณฑ์คอลลาเจน ครีมทาคอลลาเจน จะทำให้ร่างกายกลับเป็นหนุ่มสาวเหมือนเดิม มารู้เท่าทันคอลลาเจนกันดีกว่าคอลลาเจนคืออะไร    คอลลาเจนมาจากคำกรีก หมายถึง “กาว” จึงหมายถึงเป็นเหมือนกาวที่คอยยึดโยงเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายเข้าด้วยกัน  คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้นตามธรรมชาติ กระจายทั่วร่างกายเรามากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณโปรตีนทั่วร่างกาย เป็นส่วนประกอบหลักของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่เป็นส่วนต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่ เอ็นกล้ามเนื้อ  เอ็นกระดูก กระดูก กระดูกอ่อน กล้ามเนื้อ ผิวหนัง หลอดเลือด ทางเดินอาหาร เป็นต้น    โปรตีนจะถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนซึ่งร่างกายจะนำไปสร้างกล้ามเนื้อ กระดูก กระดูกอ่อน ผม เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และอื่นๆ อีกจำนวนมาก  กรดอะมิโนในคอลลาเจนจะพบมากที่สุดในร่างกาย แต่เมื่อร่างกายแก่ตัวลง ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนน้อยลง ทำให้กล้ามเนื้อ กระดูก กระดูกอ่อน เสื่อมและอ่อนแอ จึงเข้าทางการโฆษณาชวนเชื่อของธุรกิจสุขภาพว่า การฉีด การกินผง ยาเม็ด ยาทา คอลลาเจน จะทำให้ร่างกายได้รับคอลลาเจนเพิ่มขึ้น คอลลาเจนบำบัดรักษาอะไรได้บ้าง  มีการโฆษณาในสื่อต่างๆ ว่า คอลลาเจนสามารถช่วยลดอาการปวดข้อจากข้อเสื่อม ผิวพรรณสวยงาม ระบบทางเดินอาหารดี และสมรรถนะทางกีฬาสูงขึ้น ดาราหลายคนได้ออกมาโฆษณาด้วยตนเอง ทำให้คอลลาเจนเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย จนเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ทำรายได้มหาศาล (คาดว่าจะถึงหกพันล้านเหรียญสหรัฐในปี ค.ศ. 2025)  คอลลาเจนที่ขายทำจากอะไร   คอลลาเจนที่ขายกันนั้นทำจากกระดูกหรือหนังของวัว เกล็ดปลา ดังนั้น ผู้ที่ไม่กินหมู วัว จึงต้องพิจารณาและอ่านฉลากให้ชัดเจนว่า ผลิตจากอะไร    ผลิตภัณฑ์คอลลาเจนที่ขายกันส่วนใหญ่เป็นแบบที่ละลายน้ำได้ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดี  ความจริงแล้ว อาหารหลายชนิดที่เรากินก็ช่วยเพิ่มคอลลาเจนอยู่แล้ว เช่น หนังหมู ซุปกระดูก นม ไข่ เนื้อสัตว์ เป็นต้น คอลลาเจนมีสรรพคุณตามโฆษณาจริงหรือไม่  เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ความเชื่อที่ว่า ถ้าเรากินคอลลาเจนเข้าไป ร่างกายก็จะนำคอลลาเจนไปเสริมหรือสร้างเนื้อเยื่อ กระดูกอ่อน ผิวหนังที่ขาดคอลลาเจน    ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า คอลลาเจนนั้นเป็นโปรตีน เมื่อกินเข้าไป จะถูกย่อยเป็นกรดอะมิโน ถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด และกระจายไปทั่วร่างกาย ร่างกายไม่สามารถกำหนดว่าจะให้ไปซ่อมเสริมส่วนใดของร่างกายตามต้องการได้    เมื่อทบทวนงานวิจัยต่างๆ ในการใช้คอลลาเจนเพื่อการบำบัดรักษาโรคที่เกี่ยวกับการปวดข้อจากข้อเสื่อม กระดูกพรุน พบว่า มีงานวิจัยหลายชิ้นที่สนับสนุนว่า คอลลาเจนมีผลลดอาการปวดของข้อ และความหนาแน่นของกระดูกดีขึ้นในระยะสั้น จึงต้องมีการศึกษาระยะยาวและการศึกษามากกว่านี้ก่อนที่จะสรุปผลของการใช้คอลลาเจนที่ชัดเจนสรุป  การกินอาหารให้ครบทุกหมู่ อาหารพื้นบ้าน การออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้เพียงพอแล้ว คงไม่ต้องเสียเงินทองมากมายไปซื้อผลิตภัณฑ์คอลลาเจนมาใช้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 212 รู้เท่าทันไฮแคลเซียม

เนื่องจากสังคมไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ทำให้มีการผลิตและโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ สำหรับผู้สูงวัยเป็นจำนวนมาก หนึ่งในสินค้าที่มีการโฆษณามากที่สุดคือผลิตภัณฑ์ที่ใส่แคลเซียมเพิ่มเข้าไปและเรียกชื่อว่า ไฮแคลเซียม  ทั้งนี้เพราะผู้สูงวัยส่วนใหญ่มีกระดูกบางและบางคนมีกระดูกพรุน  จึงต้องกินไฮแคลเซียมเพื่อให้กระดูกแข็งแรง  เรามารู้เท่าทันกันเถอะกระดูกบางและกระดูกพรุนเกิดจากการขาดแคลเซียม จริงหรือ?    กระดูกเป็นสิ่งที่มีชีวิต ประกอบด้วยคอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนและเป็นโครงสร้างที่อ่อน แคลเซียม ฟอสเฟต ซึ่งเป็นแร่ธาตุจะไปสะสมในโครงสร้างของคอลลาเจน ทำให้กระดูกมีความแข็ง  กระดูกที่เป็นคอลลาเจนและแคลเซียมทำให้กระดูกมีทั้งความแข็งและยืดหยุ่นในตัว  แคลเซียมในร่างกายร้อยละ 99 อยู่ในกระดูกและฟัน อีกร้อยละ 1 อยู่ในเลือด   ในช่วงแรกเกิดถึงวัยรุ่น มวลกระดูกจะมีการสร้างใหม่มากกว่ามวลกระดูกเก่าที่เอาออกไป กระดูกจึงใหญ่ ยาว  หนัก และหนาขึ้น จนอายุ 30 ปี หลังจากนั้นการดึงมวลกระดูกออกจะมากกว่าการสร้างมวลกระดูก  สำหรับผู้หญิง ปีแรกที่หมดประจำเดือน การสูญเสียมวลกระดูกจะมากและเร็วที่สุด เป็นเวลาประมาณ 5 ปี จึงค่อยๆ เสียมวลกระดูกช้าลง  การสะสมมวลกระดูกให้มากที่สุดในวัยหนุ่มสาวจึงเป็นการป้องกันกระดูกพรุน   กระดูกบางและกระดูกพรุนจึงเป็นภาวะทางธรรมชาติ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอายุ เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง การเคลื่อนไหวที่น้อยลง ไม่ใช่เพราะเรากินอาหารที่มีแคลเซียมไม่พอ หรือพอแก่ตัวลงต้องการแคลเซียมมากขึ้นการกินไฮแคลเซียมทำให้ร่างกายเก็บแคลเซียมส่วนเกินไว้ในกระดูกมากขึ้น จริงหรือ?   สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา แนะนำว่า ปริมาณแคลเซียมสำหรับผู้ชายวัย 51-70 ปี คือ 1,000 มก./วัน สำหรับผู้หญิงวัยเดียวกัน คือ 1,200 มก./วัน  สำหรับคนไทยนั้น คณะวิทยาศาสตร์ มหิดล แนะนำว่า 800-1,000 มก./วัน สำหรับผู้ใหญ่ร่างกายเด็กและผู้ใหญ่จะดูดซึมแคลเซียมในอาหารที่กินเข้าไปเพียงร้อยละ 20–25 เท่านั้น ส่วนที่เหลือจะขับถ่ายทิ้งในอุจจาระ ยิ่งกินอาหารที่เป็นไฮแคลเซียม ร่างกายกลับดูดซึมแคลเซียมน้อยลง ทั้งนี้เพราะการมีแคลเซียมในเลือดสูงจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย ทำให้กระดูกอ่อนแอ นิ่วในไต และกระทบการทำงานของหัวใจและสมองการกินผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เป็นไฮแคลเซียม จึงกลายเป็นว่า ร้อยละ 75-80 ของไฮแคลเซียมจะไหลผ่านจากปากลงไปที่อุจจาระ ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อกระดูกของเราตามที่โฆษณาไฮแคลเซียมที่แท้จริง   การดูแลสุขภาพของกระดูกที่แท้จริง คือ 1    . การกินอาหารพื้นบ้าน อาหารไทยๆ ทั้งนี้เพราะมีปริมาณแคลเซียมที่เพียงพอ ได้แก่ กุ้งแห้ง ปลาตัวเล็กตัวน้อย กะปิ ในผัก ธัญพืชต่างๆ ก็มีแคลเซียมสูง เช่น งาดำ ถั่วแดงหลวง ยอดแค ใบชะพลู ใบยอ ผักกะเฉด เป็นต้น  สำหรับผู้สูงอายุที่กินอาหารได้น้อย อาจดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว เพื่อให้ได้แคลเซียมเพียงพอ2    . การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะทำให้ร่างกายเก็บแคลเซียมในกระดูกได้มากขึ้น     . สำหรับวิตามิน D นั้น คนไทยไม่ได้ขาดเพราะเราได้รับจากแสงแดดโดยตรงและมากเกินพอ จึงไม่จำเป็นต้องกินวิตามิน D เพิ่ม  สรุป  ผลิตภัณฑ์สุขภาพประเภทไฮแคลเซียมทั้งหลายนั้นไม่เกิดประโยชน์ตามที่โฆษณา  แต่เกิด Hi cost โดยไม่จำเป็น

อ่านเพิ่มเติม >