ได้เวลานำเสนอผลทดสอบเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์กันแดดประจำปีกันอีกครั้ง ระหว่างที่บ้านเราเข้าสู่ฤดูฝน (แต่แดดจ้าไม่เคยหายไป) ทางยุโรปกำลังเข้าสู่ฤดูร้อนและเป็นช่วงที่ผลิตภัณฑ์นี้กำลังเป็นที่ต้องการ เรามีผลิตภัณฑ์กันแดดทั้งของเด็กและผู้ใหญ่ ในรูปแบบของครีม โลชัน และสเปรย์ ที่มีค่า SPF30 และ SPF50+ ที่สมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศในยุโรปร่วมกันส่งเข้าทดสอบมาฝากสมาชิก ด้วยเนื้อที่อันจำกัดเราจึงคัดเลือกมาเพียง 24 ผลิตภัณฑ์ที่ได้คะแนนในลำดับต้นๆ เท่านั้น คะแนนการทดสอบแบ่งออกเป็น 4 ด้านดังนี้ร้อยละ 65 ประสิทธิภาพในการป้องกัน UVA/UVBร้อยละ 20 ความพึงพอใจของผู้ใช้ (เช่น ไม่เหนอะหนะ ไม่ทิ้งคราบ)ร้อยละ 10 ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมร้อยละ 5 ฉลากเป็นมิตรต่อผู้บริโภค ในภาพรวมเราพบว่าคะแนนประสิทธิภาพในการกันแดดและความพึงพอใจของผู้ใช้ ของผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไม่ต่างกันมากนัก (ทั้งหมดจัดอยู่ในระดับ 4 ดาวขึ้นไป) แต่ก็มีผลิตภัณฑ์หลายยี่ห้อที่ต้องปรับปรุงเรื่องฉลากและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะเคลมเกินจริงหรือเคลมในสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ ผลิตภัณฑ์กันแดดที่เราทดสอบไม่มีสารรบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ (EDCs) และไม่มีพาราเบน ซึ่งถือว่าเป็นไปตามที่กล่าวอ้างบนฉลาก แต่เราก็พบว่าค่า SPF ที่แจ้งไว้นั้น มีทั้งที่เกินและขาดจากค่าที่วัดได้จริงในห้องปฏิบัติการ ที่ให้มาเกินเราไม่ว่า แต่ก็มีอย่างน้อย 6 ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF น้อยกว่าที่แจ้งไว้บนฉลากผลการทดสอบยืนยันอีกครั้งว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ราคาแพงเพื่อดูแลผิวหนังก่อนออกเผชิญแสงแดด พลิกหน้าถัดไปเพื่อหาครีม/สเปรย์กันแดดที่ถูกใจคุณได้เลย · ราคาที่นำเสนอเป็นราคาที่พบในร้านค้าออนไลน์ และคำนวณจากหน่วยเงินในประเทศต้นทาง เช่น ยูโร ปอนด์อังกฤษ หรือแดนิชโครน เป็นต้น โปรดตรวจสอบอีกครั้งก่อนตัดสินใจ
สำหรับสมาชิก >หุ่นยนต์ทำความสะอาดพื้นกลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ประจำในร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า แถมยังมีสารพัดยี่ห้อให้ได้เลือกกัน หลายคนอยากมีไว้ประจำบ้านแต่ก็ยังลังเลเพราะผลการทดสอบเปรียบเทียบสองครั้งก่อนที่ฉลาดซื้อเคยนำเสนอ (ในฉบับที่ 197 และ 258) ทำให้เราได้ข้อสรุปว่าผู้ผลิตหุ่นยนต์ดูดฝุ่นยังต้องปรับปรุงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์นี้อีกมาก มาดูกันว่าในการทดสอบครั้งล่าสุดนี้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างสมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ หรือ International Consumer Research & Testing ได้ส่งหุ่นยนต์ดูดฝุ่นเข้าทดสอบโดยห้องปฏิบัติการ CTTN/IREN Centre Technique de la Teinture et du Nettoyage ของฝรั่งเศส ในระหว่างเดือนสิงหาคม 2565 ถึงมีนาคม 2566*คะแนนแบ่งออกเป็น 5 ด้าน ในสัดส่วนดังนี้ 1. ประสิทธิภาพการทำความสะอาด (ร้อยละ 40) โดยวัดจากความสามารถในการกำจัดฝุ่น เศษขนมปัง เส้นใย ทั้งบนพื้นพรมและพื้นกระเบื้อง 2. ความสะดวกในการใช้งาน (ร้อยละ 22) 3. การเคลื่อนไหวในห้องนั่งเล่นที่มีสิ่งกีดขวาง เช่น โซฟา ม่าน แจกัน สายไฟ (ร้อยละ 20) 4. เสียงรบกวนจากเครื่องขณะใช้งาน (ร้อยละ 12) 5. การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (ร้อยละ 6) พนักงานขายอาจเล่าถึงสรรพคุณของเจ้าหุ่นยนต์พวกนี้ไว้อย่างน่าตื่นเต้น แต่การทดสอบของเรากลับพบว่าแม้แต่รุ่นที่ได้คะแนนมากที่สุด ก็ได้ไปเพียง 53 คะแนนเท่านั้น (น้อยกว่าสองครั้งก่อนหน้าที่ตัวท้อปได้คะแนน 63 และ 57 ตามลำดับ) ดูรายละเอียดคะแนนด้านต่างๆ ของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นทั้ง 22 รุ่น (สนนราคาโดยประมานตั้งแต่ 5,250 ถึง 23,170 บาท*) ได้ในหน้าถัดไป* ราคาที่แสดงเป็นราคาที่สำรวจจากอินเทอร์เน็ตในช่วงเดือนมิถุนายน 2566 โปรดตรวจสอบอีกครั้งก่อนตัดสินใจ
สำหรับสมาชิก >กลับมาอีกครั้งกับผลทดสอบเปรียบเทียบนาฬิกาอัจฉริยะหรือสมาร์ตวอทช์ ที่สมาชิกองค์ทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research & Testing) ร่วมกันทำไว้ เป็นรุ่นที่เริ่มวางจำหน่ายช่วงครึ่งหลังของปี 2565 คราวนี้เราคัดมาเฉพาะรุ่นที่ได้คะแนนรวมร้อยละ 70 ขึ้นไป มีให้คุณได้เลือกกันทั้งหมด 30 รุ่น ในสนนราคาตั้งแต่ 3,290 ถึง 31,000 บาท การทดสอบครั้งนี้แบ่งคะแนนออกเป็น 6 ด้าน - ร้อยละ 35 ความแม่นยำในการวัด เช่น การนับก้าวขณะเดิน วิ่ง และเคลื่อนไหวทั่วไป รวมถึงการวัดระยะทางและอัตราการเต้นของหัวใจ เป็นต้น - ร้อยละ 20 การใช้งาน เช่น ตั้งค่า เลือกเมนู ดูหน้าจอ และความคล่องตัวขณะสวมใส่ - ร้อยละ 15 ฟังก์ชันสมาร์ต เช่น การโทร/รับสาย รับ/ส่งข้อความ อีเมล ใช้โซเชียลมีเดีย ฟังเพลง - ร้อยละ 15 แบตเตอรี เช่น ระยะเวลาชาร์จและระยะเวลาการใช้งาน - ร้อยละ 5 การใช้งานร่วมกับแอปพลิเคชัน - ร้อยละ 5 รูปลักษณ์ วัสดุ คุณภาพการประกอบ เป็นต้น ในภาพรวม ทั้ง 31 รุ่นที่เรานำเสนอ ได้คะแนนด้านประสิทธิภาพการทำงานและความสะดวกในการใช้งานไม่ต่างกันมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านรูปลักษณ์ภายนอก ที่ได้ 5 ดาวทุกรุ่น สิ่งที่แตกต่างกันคือเรื่องความหลากหลายและการใช้งานของฟังก์ชันสมาร์ต แบตเตอรี และแอปพลิเคชัน ใครถูกใจหน้าตาสมาร์ตวอทช์รุ่นไหน ยินดีจ่ายที่ราคาเท่าไร เลือกกันได้เลย · ราคาที่แสดง เป็นราคาในช่วงเดือนมีนาคม 2566 โปรดตรวจสอบอีกครั้งก่อนตัดสินใจ ติดตามผลทดสอบเปรียบเทียบที่เราเคยนำเสนอไว้ก่อนหน้านี้ได้ในฉลาดซื้อฉบับที่ 256, 242, 215 และ 177
สำหรับสมาชิก >แม้ว่ามาสคาราจะมียอดขายลดลงเพราะมีขนตาปลอมและบริการต่อขนตาเข้ามาแย่งตลาด แต่ค่ายเครื่องสำอางก็ยังส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องเพื่อสนองความต้องการของคนทุกเพศทุกวัยที่รักการมีขนตางอนงาม หากยังคิดไม่ตกว่าจะเลือกมาสคารายี่ห้อไหน ลงทุนเท่าไรถึงจะคุ้มค่า ฉลาดซื้อฉบับนี้มีผลทดสอบเปรียบเทียบมาสคารา 24 รุ่น ที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT ได้ทำไว้เมื่อปลายปี 2565 มาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ (ติดตามผลการทดสอบเปรียบเทียบมาสคารามาครั้งก่อนหน้านี้ได้ในฉลาดซื้อ ฉบับที่ 138) การทดสอบครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วน - การทดลองใช้ โดยผู้ที่เชี่ยวชาญ (ด้านการใช้มาสคารา) ที่ใช้ผลิตภัณฑ์วันละ 1 ครั้ง ต่อเนื่องกัน 30 วัน และตอบคำถามเกี่ยวกับการใช้งาน เช่น การเปิด/ปิด ความถนัดในการจับด้ามแปรง ความหนาและความโค้งงอนของขนตา ความสม่ำเสมอของเนื้อผลิตภัณฑ์บนเส้นขนตา ความเร็วในการแห้ง การติดทนและไม่ทิ้งคราบ ความยากง่ายในการล้างออก และอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น - การให้คะแนนโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยดูจากภาพถ่ายดวงตา ก่อนและหลังการใช้มาสคารา - การทดสอบในห้องปฏิบัติการซึ่งแบ่งออกเป็น · การตรวจวิเคราะห์หาสารต้องห้ามและปริมาณโลหะหนัก และ · การวัดปริมาณมาสคาราที่เหลือค้างในบรรจุภัณฑ์ (ทดสอบโดยใช้แปรงจุ่มมาสคาราในหลอดแล้วนำมาเช็ดออก ทำซ้ำจนกว่าจะไม่มีสีติดที่กระดาษหรือหลังมือ จากนั้นนำบรรจุภัณฑ์มาชั่งน้ำหนัก ก่อนจะนำไปล้างและเช็ดให้แห้งด้วยสำลีก้าน แล้วนำมาชั่งอีกครั้งเพื่อหาส่วนต่าง) ผลทดสอบที่น่าสนใจ · การทดสอบครั้งนี้พบว่าไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่มีสารเคมีหรือโลหะหนักเช่น ฟอร์มัลดีไฮด์ สารหนู ตะกั่ว แคดเมียม นิกเกิล ฯลฯ เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด ที่น่าสนใจคือตรวจไม่พบสารเหล่านี้เลยในมาสคาราของ Benefit Lancome และ Kiko · ในเรื่องของความพึงพอใจและความสามารถในการแปลงลุคขนตาของผู้ใช้ เราพบว่าราคาไม่ใช่ตัวชี้วัดเสมอไป แม้ผลิตภัณฑ์ที่ได้คะแนนสูงสุด YVES SAINT LAURENT Mascara Lash Clash จะมีราคาเกิน 1,300 บาท แต่ ISADORA Build-Up Mascara Extra Volume ที่ได้คะแนนตามมาติดๆ ราคาไม่ถึง 500 บาท และมาสคาราหลายยี่ห้อที่ราคาเกินหนึ่งพันบาท ก็ได้คะแนนในอันดับไม่ดีนัก---ข้อควรระวัง หลีกเลี่ยงการใช้มาสคาราที่เปิดใช้งานมานานเกิน 3 เดือน และไม่ใช้ผลิตภัณฑ์นี้ร่วมกับใคร
สำหรับสมาชิก >ตลาดแปรงสีฟันไฟฟ้าทั่วโลกเริ่มคึกคักและมีแนวโน้มจะได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากขึ้น หลังผู้คนหันมาให้ความใส่ใจกับสุขภาพอนามัยช่องปากกันมากขึ้น เราได้เห็นความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ราคา รวมถึงแบรนด์ใหม่ๆ ในตลาดฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขอนำผลทดสอบเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแปรงสีฟันไฟฟ้ามาฝากสมาชิกกันอีกครั้ง* (ดูผลการทดสอบครั้งก่อนหน้าได้ใน ฉกลาดซื้อ ฉบับ 251) เช่นเดียวกับครั้งก่อน การทดสอบแบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่การตรวจวัดในห้องปฏิบัติการ และความเห็นจากอาสาสมัครที่ใช้งานจริง โดยคะแนนจะแบ่งออกเป็นสี่ด้าน ได้แก่ ประสิทธิภาพในการทำความสะอาดฟัน (ร้อยละ 50) แบตเตอรี/การชาร์จ (ร้อยละ 30) การใช้งานสะดวก (ร้อยละ 25) และการปลอดเสียงรบกวน (ร้อยละ 5) แปรงสีฟันไฟฟ้า 14 รุ่น ที่ทดสอบ (ราคาระหว่าง 715 ถึง 10,500 บาท)* มีทั้งรุ่นที่ใช้ระบบการสั่นของขนแปรง การหมุนของหัวแปรง หรือทั้งสองระบบรวมกัน แปรงส่วนใหญ่ที่เราทดสอบเป็นชนิดที่ชาร์จไฟได้ มีเพียงหนึ่งรุ่นที่ใช้พลังงานจากถ่านอัลคาไลน์ ในภาพรวมเราพบว่าการลงทุนไม่เกิน 3,000 บาท ก็สามารถได้แปรงไฟฟ้ารุ่นที่ได้คะแนนดีที่สุด (Oral-B iO-4n) มาครอบครองได้ หรือถ้าใครไม่อยากจ่ายเกินหนึ่งพัน ก็ยังมีรุ่นที่ได้คะแนนระดับดี (Dontodent) ให้เลือกใช้ เช่นกัน และยังมีแปรงบางรุ่นที่ผู้ผลิตให้หัวแปรงสำหรับเปลี่ยนมากถึง 3 หรือ 4 หัว แม้ราคาอาจจะสูงขึ้นมาบ้าง แต่เมื่อคำนวณดูแล้วก็เป็นการลงทุนที่น่าจะคุ้มค่าเช่นกัน การทดสอบโดยสมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศครั้งนี้ทำขึ้นในช่วงปลายปี 2565 เนื่องจาก ฉลาดซื้อ เป็นหนึ่งในสมาชิกที่ร่วมลงขันจึงสามารถนำผลทดสอบเปรียบเทียบมาเผยแพร่ให้กับผู้ที่จ่ายค่าสมาชิกของเราได้ ราคาที่นำเสนอแปลงจากหน่วยเงินปอนด์หรือยูโร ตามข้อมูลที่พบในอินเทอร์เน็ต โปรดตรวจสอบราคา (รวมถึงค่าจัดส่งหากสั่งซื้อออนไลน์) อีกครั้งก่อนตัดสินใจ
สำหรับสมาชิก >กำหนดการบังคับใช้กฎหมายที่ว่าด้วยการติดตั้งเบาะนิรภัยสำหรับเด็กวัยไม่เกินหกขวบ (คาร์ซีท) ของบ้านเราเริ่มต้นแล้ว ฉลาดซื้อ ฉบับนี้จึงขอนำเสนอผลการทดสอบของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่องค์กรผู้บริโภคในยุโรปซึ่งเป็นสมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT ได้ทำการทดสอบไว้ และเนื่องจากมีเนื้อที่จำกัด เราจึงขอนำเสนอเพียง 25 รุ่นที่ได้คะแนนสูงสุดจากการทดสอบในปี 2022(ติดตามผลทดสอบคาร์ซีทครั้งก่อนหน้าได้ใน ฉบับที่ 234) การทดสอบซึ่งอ้างอิงตามมาตรฐานใหม่ของยุโรป (R129) แบ่งออกเป็นการจำลองการชนในห้องปฏิบัติการ และการใช้งานจริงโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 คน และครอบครัวที่มีเด็กอายุ 3, 6, และ 10 ปีจำนวน 10 ครอบครัว คาร์ซีททุกรุ่นจะถูกนำมาทดลองติดตั้งและใช้งานกับรถ 3 ประเภท ได้แก่ รถแฮทช์แบ็ก 3 ประตู รถ SUV 5 ประตู และรถ MPV คะแนนรวม 100 คะแนนแบ่งออกเป็น - ความปลอดภัย (ร้อยละ 50) เช่น ประสิทธิภาพในการป้องกันอันตรายจากการชนด้านหน้าและด้านข้าง ความแข็งแรงของตัวล็อก การยึดติดกับเบาะรถ และการดูดซับแรงกระแทก เป็นต้น - ความสะดวกในการใช้งาน (ร้อยละ 40) เช่น การติดตั้ง การปรับขนาดให้เข้ากับตัวเด็ก โอกาสที่จะใช้ผิดวิธี และความยากง่ายในการทำความสะอาด เป็นต้น - การออกแบบตามหลักการยศาสตร์ หรือ ergonomics (ร้อยละ 10) ทั้งตัวที่นั่ง พนักพิง ความนุ่มสบาย และการใช้พื้นที่ในรถ เป็นต้น เนื่องจากสหภาพยุโรปห้ามใช้สารเคมีอันตรายหลายชนิดในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เช่น โพลีไซคลิกไฮโดรคาร์บอน พทาเลท ฟอร์มัลดีไฮด์ สีเอโซ และโลหะหนัก ทีมทดสอบจึงทำการตรวจวิเคราะห์หาสารดังกล่าวบนตัววัสดุหุ้มเบาะและส่วนประกอบอื่นๆ ที่เด็กอาจเลียหรือนำเข้าปากไว้ด้วย ในภาพรวมเราพบว่า คาร์ซีทที่มีจำหน่ายในยุโรปมีทั้งที่คุณภาพดีและด้อยปะปนกัน รุ่นที่ได้คะแนนสูงสุด Cybex AnorisT i-size ได้ไปถึง 81 คะแนน ในขณะที่หลายรุ่นได้คะแนนรวมต่ำกว่า 50 เพราะมีคะแนนความปลอดภัยแค่ระดับ “พอใช้” และบางรุ่นไม่ได้คะแนนเลย* ในกรณีที่เป็นรุ่นเดียวกัน รุ่นที่มาพร้อมกับฐาน (และมีราคาแพงกว่า) มักจะได้คะแนนมากกว่า นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตว่าการเลือก “แบรนด์” อย่างเดียวอาจไม่ใช่คำตอบ เราอาจต้องพิจารณา “รุ่น” ของคาร์ซีทด้วย · เรามัดรวมคาร์ซีทที่ไม่ควรซื้อเอาไว้ที่หน้าสุดท้ายของบทความนี้แล้ว คาร์ซีทรุ่นที่ได้คะแนนรวมในระดับ “พอใช้”Jané iMatrix + iPlatform ComfyGraco Turn2MeBesafe StretchLionelo Antoon PlusSilver Cross Motion All Size 360Chicco Seat2Fit i-SizeRecaro Toria EliteAxkid Minikid 3Chicco Seat3Fit i-SizeCasualplay Backfix i-SizeJoie i-Spin Grow คาร์ซีทรุ่นที่เราไม่แนะนำJané Koos i-Size R1 + iPlatform ComfyUrban Kanga Uptown TV107Lionelo Antoon RWFKinderkraft Comfort UpWalser Kids Expert Noemi
สำหรับสมาชิก >ตามที่สัญญาไว้ในฉบับก่อนหน้า ฉลาดซื้อฉบับนี้ขอนำเสนอผลทดสอบเปรียบเทียบเครื่องทำกาแฟแบบแมนนวลและแบบแคปซูลเป็นภาคต่อ ด้วยเนื้อที่อันจำกัด เราจึงคัดมา 22 รุ่น (กำลังไฟระหว่าง 850 – 1700 วัตต์) ในสนนราคาตั้งแต่ 1,800 ถึง 22,600 บาท และข่าวดีคือคุณสามารถมีเครื่องทำกาแฟที่มีคุณภาพดีไว้ใช้ที่บ้านได้ด้วยการลงทุนเบื้องต้นไม่ถึงสามพันบาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดตรวจสอบอีกครั้งก่อนตัดสินใจ) การให้คะแนนทั้งจากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ และการให้คะแนนเรื่องรสชาติโดยผู้เชี่ยวชาญ ยังคงเป็นเช่นเดิม โดยคะแนนเต็ม 100 คะแนน แบ่งออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้ คุณภาพ/รสชาติของกาแฟ ร้อยละ 35 ประสิทธิภาพของเครื่อง ร้อยละ 30 ความสะดวกในการใช้งาน ร้อยละ 30 การประหยัดพลังงาน ร้อยละ 5
สำหรับสมาชิก >ฉลาดซื้อฉบับนี้มีผลทดสอบเปรียบเทียบหูฟังไร้สายมาฝากสมาชิกอีกครั้ง เนื่องจากปัจจุบันหูฟังแบบนี้ได้รับความนิยม ผู้บริโภคจึงมีทางเลือกมากขึ้น คราวนี้เราจึงมีให้สมาชิกได้เลือกกันถึง 25 รุ่นที่มาพร้อมเทคโนโลยีตัดเสียงรบกวนจากภายนอก* และบลูทูธเวอร์ชันตั้งแต่ 5.0 ขึ้นไป ในสนนราคาระหว่าง 2,000 ถึง 18,500 บาท ข่าวดีคือเราพบว่ามีหูฟังหลายรุ่นมีประสิทธิภาพดีและราคาไม่แพงเกินไป ในขณะที่บางรุ่นจากยี่ห้อไฮเอนด์ที่ผู้คนฝันอยากครอบครองกลับทำคะแนนได้ไม่ดีอย่างที่คิด
สำหรับสมาชิก >สำหรับคอกาแฟที่อยากมีเครื่องทำกาแฟไว้ทำกาแฟสดดื่มเองที่บ้าน โดยพร้อมที่จะลงทุนกับอุปกรณ์ต่างๆ และไม่หวั่นว่าจะต้องลงแรงและเวลาในการดูแลรักษาทำความสะอาดเครื่องให้ใช้งานได้ดีอยู่เสมอ ฉลาดซื้อ ฉบับนี้มีผลทดสอบเปรียบเทียบเครื่องทำกาแฟแบบอัตโนมัติพร้อมเครื่องบดเมล็ดกาแฟมาฝากกันอีกครั้ง คราวนี้คัดมา 18 รุ่น (กำลังไฟระหว่าง 1300 – 1900 วัตต์) ที่สนนราคาตั้งแต่ 9,950 ถึง 51,900 บาท* ส่วนผู้ที่สนใจเครื่องทำกาแฟแบบแคปซูล ขอให้อดใจรออีกนิด เราจะนำเสนอในฉบับต่อๆ ไป เช่นเดียวกับครั้งที่ผ่านๆ มา ผลการทดสอบร่วมโดยสมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research & Testing) ครั้งนี้ ได้จากทั้งการทดสอบในห้องปฏิบัติการ และการให้ความเห็นเรื่องรสชาติโดยผู้เชียวชาญ* โดยคะแนนเต็ม 100 คะแนน แบ่งออกเป็น 4 ด้านดังนี้ คุณภาพ/รสชาติของกาแฟ ร้อยละ 35 ประสิทธิภาพของเครื่อง ร้อยละ 30 ความสะดวกในการใช้งาน ร้อยละ 30 การประหยัดพลังงาน ร้อยละ 5
สำหรับสมาชิก >หุ่นยนต์ทำความสะอาดพื้นดูเหมือนจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น จากที่เคยมีราคาค่อนข้างแพงและตัวเลือกจำกัด ปัจจุบันมีผู้ผลิตหลายเจ้าส่งผลิตภัณฑ์นี้ออกมาให้ผู้บริโภคได้มีทางเลือกมากขึ้น ทั้งรูปลักษณ์ ฟังก์ชัน และราคา แต่คำถามที่ยังคาใจหลายคนคือ อุปกรณ์นี้น่าลงทุนหรือไม่ ฉลาดซื้อฉบับนี้จะพาคุณไปหาคำตอบกันอีกครั้ง* สมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ หรือ International Consumer Research & Testing ได้ร่วมกันส่งตัวอย่างหุ่นยนต์ดูดฝุ่นเข้ารับการทดสอบในห้องปฏิบัติการ CTTN/IREN Centre Technique de la Teinture et du Nettoyage ที่ประเทศฝรั่งเศส* ในระหว่างเดือนพฤษภาคม 2564 จนถึงพฤษภาคม 2565 โดยการทดสอบแบ่งออกเป็น 5 ด้าน แต่ละด้านมีสัดส่วนคะแนนแตกต่างกันดังนี้ 1. ประสิทธิภาพการทำความสะอาด (ร้อยละ 40) โดยวัดจากความสามารถในการกำจัดฝุ่น เศษขนมปัง เส้นใย ทั้งบนพื้นพรมและพื้นกระเบื้อง 2. ความสะดวกในการใช้งาน (ร้อยละ 22) 3. การเคลื่อนไหวในห้องนั่งเล่นที่มีสิ่งกีดขวาง เช่น โซฟา ม่าน แจกัน สายไฟ (ร้อยละ 20) 4. เสียงรบกวนจากเครื่องขณะใช้งาน (ร้อยละ 12) 5. การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (ร้อยละ 6) ด้วยเนื้อที่อันจำกัดเราจึงขอเลือกรุ่นที่ได้คะแนนรวมสูงสุดในกลุ่มออกมา 20 ตัวเพื่อนำเสนอ (สนนราคาโดยประมานตั้งแต่ 7,000 ถึง 43,000 บาท*) เราเรียนรู้จากผลการทดสอบครั้งนี้ว่าประสิทธิภาพโดยรวมของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่วางตลาดในช่วงสองปีที่ผ่านมาไม่ได้ดีขึ้นจากเดิมนัก และรุ่นที่ได้คะแนนมากที่สุดในการทดสอบครั้งนี้ ก็ได้ไปเพียง 57 คะแนน (เทียบกับครั้งก่อน ตัวท็อปได้ไป 63 คะแนน) ที่น่าสังเกตคือราคาที่แพงกว่าอาจไม่ได้บ่งบอกถึงประสิทธิภาพที่สูงกว่าเสมอไป อย่างไรก็ตามหากคุณยังต้องการ “พื้นสะอาด” โดยไม่ต้องเหนื่อยแรงมากนัก ลองพลิกดูคะแนนในด้านต่างๆ ของแต่ละรุ่นได้ในหน้าถัดไป *ติดตามบทความเรื่องทดสอบหุ่นยนต์ดูดฝุ่นครั้งก่อนหน้าได้ใน ฉลาดซื้อ ฉบับที่ 197 *อัตราค่าทดสอบเฉลี่ยอยู่ที่รุ่นละ 1.318 ยูโร (ประมาณ 47,500 บาท)
สำหรับสมาชิก >