ฉบับที่ 105 ผลทดสอบกล้องวิดีโอ

ฉลาดซื้อฉบับนี้นำผลทดสอบกล้องวิดีโอดิจิตัล ที่ทำไว้โดยองค์กรทดสอบสากล (International Consumer Research and Testing: ICRT) มาฝากสมาชิกกัน คราวนี้เป็นการทดสอบกล้องวิดีโอ 43 รุ่น จาก 8 ยี่ห้อ (Canon JVC Panasonic Samsung Sanyo Sony Kodak และ Medion) แต่เราขอนำผลมาแสดงเฉพาะรุ่นที่ได้คะแนนรวมจาก ICRT เกินร้อยละ 50 ซึ่งมีทั้งหมด 20 รุ่น แต่ละรุ่นได้คะแนนแตกต่างกันไปในเรื่องของคุณภาพของภาพเคลื่อนไหว คุณภาพเสียง ความสะดวกในการใช้งาน ระยะเวลาในการบันทึกภาพ ความหลากหลายของฟังก์ชั่น หรือแม้แต่คุณภาพของภาพนิ่ง ซึ่งเดี๋ยวนี้ดูเหมือนจะเป็นออพชั่นที่ขาดไม่ได้สำหรับกล้องวิดีโอยุคนี้ไปแล้ว ใครชอบแบบไหน เน้นการใช้งานด้านใดก็ลองดูผลที่เรานำมาได้เลย   สื่อบันทึกข้อมูลเนื่องจากปัจจุบัน มีสื่อบันทึกข้อมูลที่ใช้กับกล้องวิดีโอออกมาให้เลือกใช้เป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ ต้องปวดหัวในการเลือกใช้ ไม่ต่างกับเลือกระบบการบันทึกของกล้องเช่นกัน สื่อบันทึกข้อมูลที่ว่านั้นได้แก่ เทปมินิดีวี DVD HDD และ SDHC (High-Capacity) /SD Memory Card สื่อบันทึกข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นอย่าง DVD ,HDD และ SDHC (High-Capacity) /SD Memory Card นั้นพัฒนามาจากสื่อสำหรับบันทึกข้อมูลชนิดแรกๆ แต่ยังมีจำหน่ายจนถึงทุกวันนี้ คือ เทปมินิดีวี ซึ่งเทปม้วนเล็กๆ นี้มีข้อดีตรงที่ไฟล์ที่บันทึกได้จะเป็นไฟล์ดิจิตอลความละเอียดสูง ไม่ผ่านการบีบอัดของข้อมูลเลย การโอนย้ายข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ก็ทำได้ง่าย ๆ โดยใช้สายเชื่อมต่อ firewire ,IEEE 1394 หรือ i-link ได้โดยไม่ compress ไฟล์ก่อน (ม้วนเทปมินิดีวี 60 นาที 1 ม้วน จะกินเนื้อที่ฮาร์ดดิสก์มาก ถึง 13 GB) ฉะนั้นกล้องแบบที่ใช้เทปมินิดีวี จึงมีมีข้อเสียตรงที่เราจะได้ไฟล์ขนาดใหญ่มาก แต่ก็เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ภาพที่คมชัดและมีความละเอียดสูง เพราะสามารถเลือกแปลงไฟล์ได้หลากหลายกว่าสื่อบันทึกภาพชนิดอื่น ๆ เมื่อมีการพัฒนาเรื่องสื่อในการบันทึก จึงมีหน่วยความจำที่มาแรงแซงโค้งอย่าง HDD และSDHC/SD Memory Card ออกมาท้าชนกับ เทปมินิดีวี อย่างจัง เพราะหน่วยบันทึกความจำ 2 รูปแบบนี้มีดีตรงที่บันทึกบนฮารดดิสก์ได้เลย ไม่ต้องหาซื้อเทปมินิ ส่วนไฟล์ที่ได้ก็มีความคมชัดแตกต่างกันไป อย่าง HDDและ SD นั้น ไฟล์ที่ได้รับจะมีนามสกุลเป็นไฟล์ MPEG-2 ที่เป็นไฟล์ที่นำมาเขียนเป็นแผ่น DVD ได้เลย ซึ่งกล้องที่ใช้หน่วยความจำแบบ HDD, SDHC/SD Memory Card บันทึกนั้น สะดวกตรงที่โอนข้อมูลภาพเคลื่อนไหวไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ PC โดยตรง โดยไม่ต้อง capture ผ่านสาย firewire เหมือนกับระบบเทป แต่มีข้อเสียคือไฟล์ภาพจะมีขนาดเล็กกว่า และเสี่ยงต่อการสูญเสียไฟล์มากกว่าไฟล์ที่บันทึกลงเทปมินิดีวี สุดท้ายคือกล้องที่ตอบสนองความความสะดวกสบายมากที่สุดคือกล้องที่ใช้สื่อบันทึกแบบ DVD ใช้ถ่ายงานประเภทโฮมวิดีโอที่มีลักษณะการใช้งานที่ง่าย เพราะเมื่อเราถ่ายภาพเสร็จ ตัวกล้องจะบันทึก แปลงไฟล์ และเขียนลงเป็นแผ่นดีวีดี เพื่อให้เรานำมาเปิดดูกับเครื่องเล่นดีวีดีได้เลย แต่ภาพที่ได้จะมีคุณภาพต่ำ Doawload ตารางเปรียบเทียบรายละเอียดของกล้องหมายเหตุ กล้องทั้งหมดที่ทำการทดสอบ 43 รุ่น 1. Canon Legria FS2002. Canon Legria FS223. Canon Legria HF S1004. Canon Legria HF2005. Canon Legria HF206. Canon Legria HV40 7. JVC GZ-HD3208. JVC GZ-MG630 9. JVC GZ-MG645 10. JVC GZ-MG680 11. JVC GZ-MG84012. JVC GZ-MS120 13. JVC GZ-X900 14. Panasonic HDC-HS2015. Panasonic HDC-HS30016. Panasonic HDC-SD20017. Panasonic HDC-SD2018. Panasonic HDC-TM30019. Panasonic SDR-H9020. Panasonic SDR-S1521. Panasonic SDR-S2622. Panasonic SDR-SW21 23. Samsung HMX-H1000P24. Samsung SMX-F34BP25. Samsung VP-D39126. Samsung VP-DX200 27. Sanyo Xacti VPC-CA9EX28. Sanyo Xacti VPC-CG10EX29. Sanyo Xacti VPC-FH1EX30. Sanyo Xacti VPC-HD2000EX31. Sanyo Xacti VPC-WH1EX 32. Sony DCR-DVD150E33. Sony DCR-DVD450E34. Sony DCR-SR37E 35. Sony DCR-SR57E 36. Sony DCR-SR77E 37. Sony DCR-SX50E 38. Sony HDR-CX105E39. Sony HDR-XR105E40. Sony HDR-XR200VE41. Sony HDR-XR520VE42. Kodak Zi643. Medion LIFE P47005

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 105 บุญ ไม่ใช่การซื้อ

คงไม่ใช่การพูดเกินเลยไปนัก หากจะมองว่าสังคมไทยวันนี้มีรูปแบบ “การทำบุญ” ไม่ต่างจากรูปแบบการบริโภคอื่นๆ คือ ต้องการอะไรสำเร็จรูป สะดวก รวดเร็วและอาศัย “เงิน” เป็นเครื่องมือไปสู่ความสุขหรือสู่การมีบุญ บุญในพุทธศาสนามาจากภาษาบาลีว่า “ปุญญะ” แปลว่า เครื่องชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ บุญเป็นเครื่องกำจัดสิ่งเศร้าหมอง ที่เรียกกันว่า กิเลส ดังนั้นความหมายที่แท้จริงของการทำบุญคือ การทำให้เราลด ละ ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความมีจิตใจคับแคบ ความตระหนี่ ความลุ่มหลงในวัตถุสิ่งของ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความทุกข์ในจิตใจ หากสละได้ก็ทำให้ใจเป็นอิสระ ลดความเป็นตัวตนลง ถือเป็นโอกาสสร้างคุณความดีอื่นๆ ต่อไป   ดังนั้นการทำบุญคือ การสละอย่างฉลาด ไม่ใช่การตั้งหน้าตั้งตาซื้อ การทำบุญในพุทธศาสนาสามารถทำได้มากมายหลายวิธี ซึ่งขอสรุปให้เป็นแนวทาง 10 วิธี ดังนี้ 1.การให้ทาน บริจาคเงิน สิ่งของ (ทานมัย)2.การถือศีลหรือลดความประพฤติไม่ดี และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น (ศีลมัย)3.การเรียนรู้ ฝึกจิตให้สงบไม่เศร้าหมอง ทำให้เกิดปัญญา (ภาวนามัย)4.การสละแรงกายช่วยเหลือสังคมและผู้อื่น เป็นงานเพื่อส่วนรวม (ไวยาวัจจมัย) 5.การอ่อนน้อมถ่อมตน แม้มีอาวุโสกว่าก็มีเมตตา รู้จักให้เกียรติ (อปจายนมัย)6.การยอมรับและมีความยินดีในการทำความดีของผู้อื่น (ปัตตานุโมทนามัย) 7.การเผื่อแผ่โอกาสให้ผู้อื่นได้ร่วมทำบุญหรือความดีกับเรา พร้อมเผื่อแผ่ให้ผู้อื่นได้รับส่วนบุญนั้นด้วย (ปัตติทานมัย) 8.การรับฟังธรรมะและข้อคิดดีงาม (ธรรมสวนมัย) 9.การให้ธรรมะและและข้อคิดที่ดีงามแก่ผู้อื่น (ธรรมเทศนามัย)10. การนึกคิดในทางที่ถูกต้องดีงาม (ทิฎฐุชุกรรม) หากดูจาก 10 ข้อ ที่กล่าวมา คนส่วนใหญ่จะคิดถึงเพียงข้อแรกคือ การให้ทาน และมักเข้าใจว่าต้องทำกับพระเท่านั้น กลายเป็นว่าเวลาต้องการทำบุญ เลยต้องไปซื้อ ถังบรรจุสิ่งของ ที่เรียกกันทั่วไปว่า ชุดสังฆทาน ไปมอบแด่พระภิกษุสงฆ์ ถามว่าได้บุญไหม ก็ได้อยู่ แต่ถ้าจะให้ดี ควรเลือกถวายของที่พระท่านจะได้นำไปใช้จริงๆ ไม่ใช่ของที่ใช้ประโยชน์ได้น้อยจนพระท่านต้องทิ้งให้กองอยู่ล้นวัด อย่างนี้จะได้บุญมากกว่า การให้ทานแก่ผู้อื่นนอกจากพระสงฆ์ก็เป็นบุญเช่นกัน มีคนมากมายที่เราควรให้ความเอื้อเฟื้อ เช่น เด็กยากจน เด็กกำพร้า ผู้พิการ ฯลฯ หรือแม้แต่การสงเคราะห์สัตว์ เช่น สุนัข แมวเร่ร่อน ก็เป็นบุญเช่นกัน เอาเขามาเลี้ยงในบ้านเพื่อช่วยรักษาชีวิตของเขา หรือบริจาคเงินให้แก่หน่วยสงเคราะห์สัตว์ ทานอีกอย่างที่สำคัญคือ ธรรมทาน เช่น การให้หนังสือธรรมะ หรือหนังสือที่ช่วยให้ผู้อื่นมีแนวทางที่ถูกต้องในการดูแลจิตใจ สุขภาพ ร่างกาย ก็ถือว่าได้บุญเช่นกัน ไม่มีเงิน ก็ทำบุญได้ทำบุญไม่ได้แปลว่าให้ทานเสมอไป ไม่มีเงินเลยก็สามารถทำบุญได้เหมือนกัน การงดสิ่งเสพติด งดอบายมุข ก็ถือว่าได้บุญแล้ว รักษาศีล ไม่ประพฤติตนเป็นคนเกเร อันธพาล ไม่เป็นหนี้เป็นสินหรือไม่ใช่จ่ายให้เกินตัว ทำให้ชีวิตให้โปร่งเบาโดยลดกิเลสต่างๆ ลง เหล่านี้ไม่ต้องใช้เงิน ก็นับเป็นการทำบุญที่อานิสงค์ ไม่แพ้การให้ทานแต่ประการใด สังฆทาน ที่แท้นั้นคืออะไร“การทำบุญคือ การสละอย่างฉลาด ไม่ใช่การซื้ออย่างตะบี้ตะบัน”จะทำบุญกันทั้งที ก็ให้มันมีสติหน่อยพี่น้อง หากจะเลือกการทำทาน ที่เรียกว่า “สังฆทาน” ขอท่านได้โปรดพิจารณา ชุดสังฆทาน ชุดไทยธรรม ที่ฉลาดซื้อไปตะลุยซื้อมา ระหว่างวันที่ 4 – 5 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จำนวน 15 ชุด แล้วลองทบทวนกันให้ดีอีกนิดว่า การถวายสังฆทานครั้งต่อไป ท่านยังจะเลือกซื้อสังฆทานสำเร็จรูปอีกหรือไม่ พฤติกรรมการเลือกซื้อ “ชุดสังฆทาน”บริษัท นาโน เซิร์ช จำกัด ได้สำรวจกลุ่มตัวอย่าง 200 ราย ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เกี่ยวกับพฤติกรรมการทำบุญและเลือกซื้อชุด “สังฆทาน” โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชาย ร้อยละ 44 หญิง ร้อยละ 56 ช่วงอายุระหว่าง 22 – 45 ปี   จากการสำรวจพบว่า พฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าประเภทชุดสังฆทาน ส่วนใหญ่เลือกซื้อในรูปแบบที่มีการจัดสำเร็จรูปพร้อมยกไปใช้งานถึง ร้อยละ 61.1 และ ร้อยละ 21.1 เลือกจะไปใช้บริการที่วัดที่มีการบริการเกี่ยวกับชุดสังฆทานเมื่อต้องการถวายอยู่แล้ว และอีกร้อยละ 18.1 ซื้อของที่ต้องการและนำมาจัดชุดเอง ส่วนการเลือกซื้อชุด “สังฆทาน”ของผู้บริโภค นั้นพบว่า ส่วนใหญ่ไม่ได้ตรวจสอบสินค้าก่อน ดูแค่ลักษณะภายนอกว่ามีสินค้าอะไรบ้าง ร้อยละ 40 ส่วนผู้บริโภคทีดูว่าสินค้าภายในชุดสังฆทานนั้นครบถ้วนอย่างที่ต้องการหรือไม่ มีเพียงร้อยละ 33.5 การจัดชุด”สังฆทาน” จะมีการตั้งราคาขายไว้อยู่แล้ว มีทั้งในรูปแบบขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือ ขนาดใหญ่ มูลค่าจะสูงขึ้นตามขนาดของสินค้าหรือของที่อยู่ภายใน ซึ่งราคาที่ผู้บริโภคเลือกซื้อได้นั้น อยู่ที่ประมาณ 200-400 บาทต่อชุด ร้อยละ 50 และ ไม่เกิน 200 บาทต่อชุด ร้อยละ 21 และราคา 401-600 บาท ร้อยละ 21 ในสัดส่วนที่เท่ากัน ที่มา http://www.businessthai.co.th{/xtypo_rounded2} สุดท้ายก็ไปกองล้นวัด จากการสำรวจของฉลาดซื้อ สิ่งของส่วนใหญ่ในสังฆทานสำเร็จรูป ประกอบด้วยของ 5 กลุ่มหลัก คือ 1.ภาชนะบรรจุ แน่นอนส่วนใหญ่เป็นถังพลาสติกสีเหลือง กล่อง ตะกร้าพลาสติก กล่องกระดาษ แต่แนวสุดในการสำรวจครั้งนี้คือ ย่ามพระ 2.ผลิตภัณฑ์กลุ่มอาหาร ได้แก่ ใบชา เครื่องดื่มขิง เครื่องดื่มสมุนไพร น้ำดื่ม น้ำรสผลไม้ เครื่องดื่มมอลต์ รสช็อกโกแลต นมพร้อมดื่ม นมถั่วเหลือง นมข้นหวาน บะหมี่สำเร็จรูป ปลากระป๋อง ข้าวสารแบ่งบรรจุ ขนมอบ กาแฟ ครีมเทียม 3.ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องใช้ สบู่ กล่องสบู่ ขัน แก้ว ถาด ตะกร้า ไม้ขีดไฟ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ไม้จิ้มฟัน ผ้าขนหนู มีดโกน เข็มด้าย ธูป เทียน ทิชชู่ กรรไกรตัดเล็บ แหนบ ผงซักฟอก ก้านสำลี สมุดโน้ต ปากกา ยาจุดกันยุง น้ำยาล้างจาน ฟองน้ำ ฝอยเหล็กล้างจาน ร่ม ผ้าขนหนูขนาดเล็กสำหรับเช็ดหน้าหรือเช็ดมือ 4.ผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค ยาหอม ยาอม ยาหม่อง ยาลดกรดในกระเพาะ ยาธาตุน้ำแดง ยาแก้ปวดลดไข้ 5.เครื่องใช้สำหรับพระ ผ้าอาบน้ำ ผ้าอังสะ ผ้ากราบ ข้าวของเครื่องใช้ดังปรากฏในรายงานการสำรวจครั้งนี้ แทบไม่ต่างจากการสำรวจของฉลาดซื้อเมื่อปี 2546 (ฉบับที่ 55 มิถุนายน-กรกฎาคม 2546) โดยฉลาดซื้อได้เคยเสนอทางเลือกให้ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้พิจารณาจัดหาหรือเตรียมข้าวของเอง เมื่อมีความตั้งใจที่จะถวายของแด่พระภิกษุสงฆ์ แทนการซื้อสังฆทาน ถังเหลือง ที่ข้าวของส่วนใหญ่พระท่านไม่ค่อยได้ใช้ หรือของบางอย่างจำเป็นจริง แต่ที่ใส่หรือบรรจุในชุดสังฆทานมักเป็นของไม่มีคุณภาพ เช่น ธูปเทียนที่ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้ แปรงสีฟันคุณภาพต่ำ ไฟฉายที่ใช้งานไม่ได้ ทิชชู่ที่เนื้อหยาบคุณภาพต่ำ น้ำรสผลไม้ที่อุดมด้วยน้ำตาลแต่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร เป็นต้น รวมไปถึงถังเหลือง กล่องสบู่ ขันน้ำ ที่พากันไปกองทับถมอยู่ล้นวัด รายการสำรวจสังฆทาน ระหว่างวันที่ 4 – 5 พฤศจิกายน 2552 Doawload ตารางการสำรวจสังฆทาน ระหว่างวันที่ 4 – 5 พฤศจิกายน 2552 พระท่านคิดอย่างไรฉลาดซื้อได้นำรายการสินค้าจากการสำรวจไปสอบถามความคิดเห็นจากพระภิกษุสงฆ์ พบว่า ข้าวของส่วนใหญ่ที่ใส่มาในสังฆทานเป็น ของที่ไม่ค่อยจำเป็น มีประโยชน์น้อย 10. อันดับรายการสินค้าที่ไม่จำเป็น ที่พบในชุดสังฆทานจากการสำรวจ 1.ใบชา เหตุผล เดี๋ยวนี้พระท่านไม่ค่อยฉันแล้ว ควรเปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ที่อยู่ในสังฆทานส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีคุณภาพ เป็นน้ำหวานแต่งกลิ่น รส หรือผงสมุนไพรห่อเล็กๆ ที่ดูด้อยคุณภาพ 2. ขิงผงสำเร็จรูป เหตุผล เป็นเครื่องดื่มที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมนัก แต่คนก็ชอบถวาย เพราะนึกว่าพระท่านจะชอบ 3. ยาจุดกันยุง เหตุผล สำหรับพระเมือง อาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญเนื่องจาก ทางวัดน่าจะมีการจัดการที่ดีในการดูแลไม่ให้ยุงมารบกวนการทำกิจต่างๆ ส่วนพระป่า อาจมีความจำเป็นอยู่บ้าง 4. นมข้นหวาน เหตุผล พระท่านไม่รู้จะได้ใช้ตอนไหน เพราะถือว่าเป็นอาหาร หลังเพลก็ฉันไม่ได้แล้ว 5. กาแฟผงสำเร็จรูป เหตุผล พระท่านไม่รู้จะได้ฉันตอนไหนอีกเช่นกัน 6. ถัง กล่องสบู่ ขวดน้ำ ขัน พลาสติกเหตุผล ใครๆ ก็หิ้วกันไป เลยเหลือกองอยู่ล้นวัด 7.บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เหตุผล เป็นของไม่มีประโยชน์ พระท่านฉันเพียง 2 มื้อเท่านั้น อีกอย่างเก็บไว้นานก็ไม่ดี เพราะจะหืนหรือเสียเร็ว และมักหมดสภาพตั้งแต่อยู่ในชุดสังฆทานแล้ว 8.น้ำดื่มบรรจุขวดเหตุผล น้ำดื่มบรรจุขวดที่อยู่ในถังสังฆทานมักมีสภาพไม่น่าดื่ม และส่วนใหญ่แต่ละวัดก็จะมีระบบเรื่องน้ำสำหรับดื่มภายในวัดที่พร้อมกว่า 9.ขนมคุ้กกี้ ขนมอบต่างๆ เหตุผล ไม่ใช่ของที่ดีต่อสุขภาพ 10.ธูปเทียน ไม้ขีดไฟเหตุผล มีจำนวนเกินพอในวัดแล้ว และที่มากับสังฆทานมักหักหรืออยู่ในสภาพไม่เหมาะกับการใช้งาน พระไพศาล วิสาโลเจ้าอาวาสวัดป่ามหาวัน จังหวัดชัยภูมิสังฆทานนั้น ถ้าจะให้ได้บุญจริงๆ ต้องทำโดยไม่ต้องระบุ หรือมีเจตนาว่าจะให้กับพระรูปไหน ของที่จะให้พระก็ควรจะเป็นของพี่พระนำเอามาใช้ได้จริง หลายคนเลือกซื้อถังสังฆทานที่วางขายอยู่ตามร้านขายสังฆภัณฑ์ ซึ่งแต่ละถังก็มีราคาที่แตกต่างกัน ถูก – แพง ต่างกันไป แล้วแต่ว่าเขานำอะไรใส่ลงไปบ้าง แต่ที่เหมือนๆกันก็คือพระแทบจะนำมาใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้ ขันน้ำบางทีก็แตกมา อาหารกระป๋องก็หมดอายุ เคยเห็นจีวรในถังสังฆทานไหมว่าผืนแค่ไหน ผืนนิดเดียวจะเอามาทำอะไรได้ คนทั่วไปมักมองว่า “พระ” คือ “บุรุษไปรษณีย์” ที่จะนำสิ่งของต่างๆ ไปให้กับญาติที่จากโลกนี้ไปแล้ว หลายคนเลือกของที่ญาติๆ พวกเขาชอบมาถวาย ก็ถือว่าทำได้ แต่ควรจะนึกถึงประโยชน์ที่ทางวัด หรือพระจะนำไปใช้ประโยชน์มากกว่า อย่างเช่นพวกสมุด ดินสอ ปากกา หลอดไฟฟ้า ที่สำคัญอีกอย่างก็คือของที่ให้ต้องบริสุทธิ์ เจตนาต้องบริสุทธิ์ ผู้รับต้องบริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน จึงจะได้ผลทานที่แท้จริง ชุดสังฆทานต้องมีฉลากแจ้งข้อมูลผู้บริโภคขณะที่คนส่วนใหญ่ยังชอบซื้อชุดสังฆทาน ชุดไทยธรรมสำเร็จรูป หลายหน่วยงานของรัฐจึงได้เข้ามาดูแลและกวดขันการบรรจุสังฆทานหรือชุดไทยธรรมสำเร็จรูปมากขึ้น โดย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้ออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ฉบับที่ 23 (พ.ศ. 2550) ให้ชุดสังฆทานและชุดไทยธรรมเป็นสินค้าที่ควบคุมฉลาก โดยต้องระบุข้อความ รายการสินค้าที่ระบุขนาด มิติ ปริมาณ ปริมาตร น้ำหนัก จำนวน และราคาของสินค้าแต่ละรายการ รวมถึงชื่อ สถานที่ตั้งของผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายชุดสังฆทานหรือชุดไทยธรรม ไว้ด้วย นอกจากนั้นยังต้องระบุวันเดือนปีที่หมดอายุ หรือวันเดือนปีที่ควรใช้ก่อนของสินค้าใดสินค้าหนึ่งที่นำมารวมนั้นระบุว่าเร็วที่สุด วันเดือนปีที่บรรจุ และราคารวมชุดจัดบรรจุที่ระบุหน่วยเป็นบาทและกรณีที่ชุดสังฆทานและชุดไทยธรรมใด ที่นำสินค้าที่อาจทำปฏิกิริยากันจนทำให้มีสี กลิ่น หรือรสเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภคเนื่องในการใช้หรือโดยสภาพของสินค้านั้นได้ ผู้ผลิตต้อง ระบุคำเตือนในฉลาก เช่น ใบชา ข้าวสาร สบู่ และผงซักฟอก อาจทำปฏิกิริยากัน จนทำให้มีสี กลิ่น หรือรสเปลี่ยนแปลงไป อาจเป็นอันตรายแก่ผู้บริโภค ซึ่งข้อความที่ติดตั้งหรือแสดงฉลากต้องเป็นข้อความภาษาไทยที่สามารถเห็นและอ่านได้อย่างชัดเจน หากผู้ใดขายสินค้าที่ควบคุมฉลาก โดยไม่มีฉลาก หรือมีฉลากแต่ฉลากนั้นไม่ถูกต้อง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือนหรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยผู้ที่พบเห็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องสามารถแจ้งได้โดยตรงที่ สคบ.ในส่วนของ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ก็สามารถเอาผิดแก่ผู้ผลิตได้ หากนำของไม่มีคุณภาพตรงตามฉลากหรือหมดอายุมาจำหน่าย เพราะชุดสังฆทาน ชุดไทยธรรม ถือเป็นสินค้าบรรจุหีบห่อ กฎหมายว่าด้วยการกระทำเกี่ยวกับการบรรจุหีบห่อไม่ตรงกับที่ระบุไว้ ถือเป็นความผิดกฎหมายหีบห่อ มีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการในกรณีสินค้าราคาต่ำแต่บวกราคาสูง มีความผิดปรับ 10,000 บาท และหากสินค้าไม่ครบตามจำนวนที่ระบุไว้ถือว่าผิดกฎหมายอาญาเข้าข่ายฉ้อโกง มีโทษปรับ 6,000 บาท จำคุก 3 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชนรวมถึงพระภิกษุพบเห็นสามารถร้องเรียนสายด่วน 1569 ได้เช่นกัน 10 สิ่งของถวายสังฆทานที่อาจนึกไม่ถึง 1.ยาสระผม แต่คงไม่ต้องถึงขั้นถวายครีมนวดผมด้วย เพราะท่านใช้เพียงแค่โกนศีรษะให้ง่ายขึ้น และช่วยดูแลผิวบริเวณศีรษะที่ไม่มีเส้นผมปกคลุมบ้างเท่านั้น 2.มีดโกน ใบมีดโกน ซึ่งเป็นของจำเป็น พระท่านได้ใช้งานบ่อย แต่ไม่ค่อยมีคนถวาย 3.อุปกรณ์เครื่องครัว จาน กระทะ หม้อ ช้อน แก้วน้ำ ที่คุณภาพค่อนข้างดี แม้ท่านมิได้นำไปประกอบอาหารเอง แต่ชาวบ้านที่มาจัดงานบุญ งานศพในวัดก็ได้ใช้ประโยชน์เสมอ อาจลองสอบถามดูว่าทางวัดต้องการมากน้อยแค่ไหน จะได้จัดเป็นชุดใหญ่ถวายให้เป็นของพระสงฆ์ เพื่อให้ชาวบ้านได้นำไปใช้ต่อในงานบุญงานประเพณีต่างๆ 4.อุปกรณ์งานช่าง ทั้งค้อน ตะปู ไขควง สว่าน ของเหล่านี้พระในหลายวัดโดยเฉพาะในต่างจังหวัดหรือนอกเขตเมือง ถือว่าเป็นสิ่งของจำเป็น พระท่านสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการดูแลรักษาศาสนสถานภายในวัดได้ 5.อุปกรณ์งานทำความสะอาด ไม่ว่าจะเป็น ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ไม้กวาดแข็ง ที่โกยขยะ ก็เป็นอุปกรณ์จำเป็นอีกเช่นกันในการดูแลความสะอาดเรียบร้อยภายในวัด 6.ข้าวสาร อาหารแห้ง ประเภทที่บรรจุในชุดสังฆทาน ส่วนใหญ่จะเป็นของไม่มีคุณภาพพระท่านไม่ได้ประโยชน์เท่าไร แต่หากเลือกของมีคุณภาพดีจัดถวายเป็นชุดใหญ่ พระท่านก็สามารถรวบรวมไปบริจาคหรือดูแลคนด้อยโอกาสที่ทางวัดให้การอุปการะอยู่ได้ 7.เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ แม้แต่กระดาษเป็นรีมๆ พระท่านก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในกิจการงานบุญต่างๆ ของวัดได้ 8.หนังสือธรรมะ หนังสือแนวทางดูแลสุขภาพกาย ใจ รวมไปถึงหนังสือที่ช่วยเปิดโลกทัศน์ในทางสร้างสรรค์ เช่น หนังสือเกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงาน ที่คิดว่าพระท่านรู้แล้วจะนำไปบอกต่อญาติโยมได้ ก็ถือเป็นสิ่งของที่มีประโยชน์ 9.ผ้าสบง จีวร ผ้าอาบน้ำ เลือกที่มีคุณภาพดี แม้มีราคาค่อนข้างแพงสักหน่อยแต่พระท่านก็ได้ใช้ประโยชน์นานหลายปี ดีกว่าผ้าผืนบางๆ ที่บรรจุในถังสังฆทานราคาถูก อนึ่งการเลือกสี ขนาด เนื้อผ้า แต่ละวัดก็จะมีระเบียบในการครองผ้าสีต่างกัน หากเราอยากถวายพระวัดไหน ก็ย่องไปดูเสียก่อนว่าพระท่านใช้สีอะไรก็จะได้จัดหาได้ถูกต้อง 10.ยาสมุนไพร ยารักษาโรค เลือกที่มีคุณภาพดี มีมาตรฐานการผลิต พร้อมกับคู่มือการใช้ยาที่เหมาะสมเพื่อให้พระท่านได้ใช้ประโยชน์จากยาได้สูงสุด ไม่ก่อให้เกิดโทษภัยจากการใช้ยาผิดวิธี แถม… อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมาก นอกจากการถวายสิ่งของ ก็คือ การบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุที่อาพาธ ได้บุญแรงเช่นกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

นิตยสารออนไลน์ ฉบับที่ 105 เสียงผู้บริโภค

ทวงหนี้โหดจาก สนง.กฎหมายของ เอไอเอสบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) เป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรคมนาคม ที่ผู้บริโภคจำนวนมากให้ความไว้วางใจในการเลือกใช้บริการ โดยบริการหลายอย่างต้องถือว่ามีคุณภาพมาก แต่ยกเว้นอยู่อย่าง คือมารยาทในการติดตามทวงถามหนี้ของสำนักงานกฎหมายที่ทำงานให้ต้องถือว่าอยู่ในขั้นด้อยพัฒนาเอามากๆ คุณธิติวัฒน์ ได้รับหนังสือติดตามทวงถามหนี้ที่เต็มไปด้วยข้อความ ข่มขู่ คุกคาม จากสำนักงานกฎหมายเซนิท ลอว์ จำกัด ซึ่งทำงานทวงหนี้ให้กับเอไอเอส เริ่มจาก การประทับตราแดงด้วยข้อความขนาดใหญ่ “ด่วนที่สุด” และ “เอกสารสำคัญเลขที่......./2552 และขึ้นหัวจดหมาย เรื่อง “ขอให้ชำระหนี้ก่อนบังคับคดี” (ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการฟ้องร้อง)สำหรับเนื้อหาในจดหมายทวงหนี้ก็ด้อยพัฒนาเอามากๆ “ตามที่ท่านได้ค้างชำระค่าบริการโทรศัพท์กับบริษัทฯ ทางสำนักงานฯ ขอแจ้งให้ท่านทราบว่า บัญชีรายชื่อของท่านได้ถูกตรวจสอบและพิจารณาให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมาย พร้อมส่งรายชื่อเข้าข้อมูลเครดิตกลางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” เท่านี้ยังไม่พอ ข้อความข่มขู่กดดัน ยังสำรอกออกมาอีกหลายขยอก“ท่านต้องถูกบังคับคดี โดยทางสำนักงานจะนำเจ้าพนักงานบังคับคดี ไปยังบ้านที่ท่านมีชื่ออยู่ในสำเนาทะเบียนบ้านเพื่อทำการยึดทรัพย์ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นของท่านหรือไม่ก็ตาม...และนำทรัพย์สินที่ยึดได้ออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ที่ค้างชำระ” พร้อมกับใส่ข้อความในลงเว็บว่า “(ซึ่งถ้าหากทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของท่าน เจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงจะต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่าย ไปร้องขัดทรัพย์ที่ศาล)” ที่หนักหนาสาหัสคือการกำหนดเวลาชำระหนี้ด้วยข้อความว่า “หากท่านต้องการระงับข้อพิพาท ทางสำนักงานให้โอกาสสุดท้ายกับท่าน(ดูเหมือนใจดีมาก) โดยท่านต้องชำระหนี้ภายใน 24 ชั่วโมง นับจากวันที่ได้รับหรือถือว่าได้รับหนังสือฉบับนี้...” หากคุณธิติวัฒน์เป็นหนี้จริง ก็ต้องกัดฟันทนคำข่มขู่ คุกคาม ดังกล่าว แล้วพยายามหาเงินมาใช้หนี้ให้ทันตามเวลาที่ถูกกำหนดมาให้ (ซึ่งส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยมีใครทำได้หรอกครับ) แต่ข้อเท็จจริงคือว่า คุณธิติวัฒน์ ไม่เคยเปิดใช้บริการหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกทวงหนี้มา จึงเป็นเรื่องที่ต้องร้องเรียนมาให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคช่วยจัดการให้แนวทางแก้ไขปัญหาไม่ว่าผู้บริโภคจะเป็นหนี้ค่าโทรศัพท์จริงหรือไม่ การออกจดหมายทวงหนี้ก็ควรเป็นเพียงการแจ้งยอดหนี้และช่องทางในการชำระหนี้เท่านั้น ไม่ควรจะมีลักษณะเนื้อหาของการข่มขู่กดดันในลักษณะใด ๆ ทั้งสิ้น และเมื่อผู้บริโภคถูกทวงหนี้ค่าโทรศัพท์ที่ตนเองไม่ได้เปิดใช้บริการ หรือเปิดใช้บริการแต่ค่าโทรศัพท์ไม่ถูกต้องตรงตามที่มีการใช้งานจริง ผู้บริโภคไม่ควรใช้วิธีร้องเรียนผ่านทางคอลเซนเตอร์ของบริษัทผู้ให้บริการอย่างเดียวครับ ควรทำเป็นหนังสือทักท้วงการเรียกเก็บค่าบริการดังกล่าว หากผู้บริโภคไม่ได้เปิดใช้บริการก็ให้ปฏิเสธโดยทันทีว่าตนมิได้เป็นผู้เปิดใช้บริการ กฎหมายการประกอบกิจการโทรคมนาคมกำหนดไว้ว่าถือเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการที่จะต้องเป็นฝ่ายพิสูจน์ว่าผู้บริโภคเป็นผู้เปิดใช้บริการหรือได้ใช้บริการโทรศัพท์จริงหรือไม่ หากไม่สามารถหาข้อมูลหลักฐานมายืนยันพิสูจน์ได้ก็ไม่สามารถมาเรียกเก็บหนี้กับผู้บริโภคได้ หลังจากที่มูลนิธิฯ ได้ช่วยทำจดหมายร้องเรียนไปยังเอไอเอสแล้ว เอไอเอสจึงได้มีหนังสือตอบรับกลับมาโดยทันทีว่ากำลังตรวจสอบข้อมูลหลักฐานอยู่ และหากไม่สามารถหาข้อมูลมายืนยันว่าคุณธิติวัฒน์เป็นผู้เปิดใช้บริการโทรศัพท์รายเดือนหมายเลขนี้จริงภายใน 60 วันนับแต่ที่ได้รับเรื่องร้องเรียนก็ถือว่าสิ้นสิทธิในการเรียกเก็บหนี้ส่วนนี้ไปทันที ฉันทนาถูกผีสวมสิทธิเบิกเงินเรื่องนี้เป็นเรื่องของลูกจ้างแรงงานโชคร้ายที่ถูกผีสวมสิทธิจนเกือบไม่ได้ใช้สิทธิประกันสังคมคุณกิตติมา สาวใหญ่วัย 48 ปี ทำงานอยู่ในโรงงานผลิตชุดชั้นในแห่งหนึ่ง และขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนกับโรงพยาบาลนวมินทร์ 2 ได้ร้องเรียนกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคว่า เมื่อช่วงเดือนสิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา เห็นทางโรงพยาบาลแห่งนี้ขึ้นป้ายว่า บริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกฟรี ตามโครงการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก 76 จังหวัดทั่วประเทศ   พอทำเรื่องลางานได้ในวันที่ 24 สิงหาคม 2552 จึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ตั้งใจจะไปใช้สิทธิตรวจรักษา แต่เมื่อเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลตรวจสอบข้อมูลในคอมพิวเตอร์พบว่า ตนได้ใช้สิทธิตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกไปแล้ว 2 ครั้ง คือเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2551 และวันที่ 18 มีนาคม 2552 ซึ่งข้อมูลนี้ถูกบันทึกโดยโรงพยาบาลบางกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล ทำให้ไม่สามารถใช้สิทธิรักษาฟรีได้สำหรับปี 2552 คุณกิตติมา รู้สึกแปลกใจ และไม่ทราบว่า ทางโรงพยาบาลอ้างสิทธิของตนได้อย่างไร เพราะในปี 2552 ตนยังไม่ได้ไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเลย แต่ก็พอนึกขึ้นได้ว่า เมื่อปี 2551 โรงพยาบาลบางกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล มาออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ตรวจมะเร็งปากมดลูกที่โรงงาน เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2551 ตนและเพื่อนร่วมงานหลายคนได้ใช้บริการ “ตอนนั้นเสียค่าใช้จ่าย 199 บาทด้วยค่ะ” คุณกิตติมาให้ข้อมูล แนวทางแก้ไขปัญหาอันว่าโครงการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก 76 จังหวัดทั่วประเทศนั้น มีที่มาจากการที่ในปัจจุบันโรคมะเร็งปากมดลูกเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประเทศไทย เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ เพราะทำให้เกิดการสูญเสียทรัพยากรบุคคลและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล การป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งปากมดลูกต้องมีการค้นหา โดยการตรวจหาเซลล์มะเร็งให้พบตั้งแต่อยู่ในระยะเริ่มแรกและในระยะก่อนเป็นมะเร็งซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ และเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาในระยะลุกลาม และจากการศึกษาขององค์การอนามัยโลก ได้พบว่าการคัดกรองด้วยการทำ pap smear (ซึ่งเป็นวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกวิธีหนึ่ง) ในสตรีกลุ่มเป้าหมายอายุ 35,40,45,50,55,60ปี ทำให้ช่วยลดอัตราการเกิดและอัตราการตายจากโรคมะเร็งปากมดลูกได้ ดังนั้น สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จัดทำโครงการนี้ขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับบริการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกจากโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย คือสตรีที่ใช้สิทธิประกันสังคม และสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทอง ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) จะเป็นผู้จ่ายเงินชดเชยค่าบริการให้กับโรงพยาบาลแทน สำหรับการคัดกรองด้วยวิธี pap smear สปสช.จะทำการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการให้รายละ 250 บาท นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีโรงพยาบาลรัฐและเอกชนหลายแห่งเข้าร่วมโครงการนี้และทำให้แรงงานที่มีประกันตนกับสำนักงานประกันสังคมอย่างเช่นคุณกิตติมาก็ได้รับสิทธิตรวจรักษาฟรีด้วย แต่เมื่อคุณกิตติมาได้ให้ข้อเท็จจริงว่า ได้เคยตรวจมะเร็งปากมดลูกที่โรงงานกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของโรงพยาบาลบางกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2551 และยังเสียค่าใช้จ่าย 199 บาทด้วย ซ้ำเมื่อมาขอตรวจอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2552 กลับมีบันทึกข้อมูลของโรงพยาบาลบางกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนลว่าคุณกิตติมาได้ใช้บริการไปแล้วเมื่อ 18 มีนาคม 2552 อย่างนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นว่ามีใครไปแอบใช้สิทธิโดยที่เจ้าตัวไม่รู้หรือไม่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ทำหนังสือถึงผู้อำนวยการ สปสช. เขตพื้นที่ 13 กรุงเทพมหานครเพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและพิจารณาลงโทษหน่วยบริการที่เบิกงบประมาณค่าใช้จ่ายเป็นเท็จ พร้อมแก้ไขปัญหาและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้บริโภคไปเมื่อ 14 กันยายน 2552 และในวันที่ 8 ตุลาคม 2552 สปสช. เขตพื้นที่ 13 ได้มีหนังสือตอบกลับมาว่า สำนักงานฯ ได้ประสานและทำหนังสือถึงคุณกิตติมาให้ไปรับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ที่โรงพยาบาลนวมินทร์ 2 ได้ตามสิทธิ โดยให้โรงพยาบาลนวมิทนร์ 2 เบิกชดเชยบริการกับสำนักงานฯ ได้ ส่วนปัญหาสำคัญคือเรื่องข้อเท็จจริงข้อมูลการเบิกจ่ายนั้น ขณะนี้สำนักงานฯ อยู่ในระหว่างการตรวจสอบการบริการอยู่ รถไฟไหม้หลังเข้าศูนย์ซ่อมคุณรัชตะ (นามสมมติ)ใช้รถยนต์ฮอนด้า แอคคอร์ด (V6) รุ่นปี 2003 มาได้ประมาณ 3 ปี 3 เดือน วิ่งประมาณ 113,XXX กิโลเมตร ต่อมาในราว ๆ กลางเดือนกันยายน 2552 บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้มีจดหมายถึงคุณรัชตะรวมทั้งผู้ที่เป็นเจ้าของรถยนต์ฮอนด้า แอคคอร์ด (V6) รุ่นปี 2003 ถึง 2007 ว่าให้นำรถยนต์ฮอนด้ารุ่นดังกล่าวเข้ารับการเปลี่ยนท่อน้ำมันของระบบบังคับเลี้ยว เนื่องจากพบว่า ท่อน้ำมันระบบบังคับเลี้ยวเกิดเสื่อมสภาพ หลังจากผ่านการใช้งาน ส่งผลให้ระบบบังคับเลี้ยวทำงานผิดปกติและต้องใช้แรงในการหมุนเพิ่มขึ้นขณะหมุนพวงมาลัย โดยบริษัทฯ จะดำเนินการเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นใหม่ที่ได้รับการปรับปรุงคุณภาพ(เพิ่มเติม) โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่ประการใด ในวันพุธที่ 23 กันยายน 2552 คุณรัชตะได้นำรถเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการฮอนด้าเอกอินทราฮอนด้า ออโตโมบิล เพื่อเปลี่ยนชุดลิ้นปีกผีเสื้อและเปลี่ยนท่อน้ำมันของระบบบังคับเลี้ยวตามที่บริษัทฮอนด้าแจ้ง และได้ไปรับรถออกมาในวันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2552 คุณรัชตะได้เล่าถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญในวันที่ไปรับรถที่เกือบเป็นวันมรณะของตนเองว่า ผมรับรถออกมาเมื่อเวลาประมาณ 17.30 น. และขับขึ้นทางด่วนโยธินพัฒนา วิ่งแค่พักเดียว (ถึงประมาณแถวพระราม 9) ก็เกิดอาการพวงมาลัยหนัก/แข็ง (อาการแบบพวงมาลัยหมุนแทบไม่ไปจากระบบพาวเวอร์ไม่ทำงาน) จึงได้นำรถลงบริเวณคลองตันเพื่อวกขึ้นทางด่วนกลับไปศูนย์ฯ(เอกอินทราฮอนด้า ออโตโมบิล) หลังจากผ่านด่านเก็บเงินเพื่อขึ้นกลับไปศูนย์ดังกล่าวซักระยะ การจราจรเริ่มชะลอตัว เริ่มได้กลิ่นเหม็นไหม้ กลิ่นเหมือนการไหม้ของน้ำมันเครื่องโดนความร้อน ซึ่งในกรณีนี้น่าจะเป็นน้ำมันพาวเวอร์ที่รั่วฉีดไปทั่วห้องเครื่อง และเริ่มเห็นควันขาวซึ่งน่าจะเป็นควันจากน้ำมันพาวเวอร์โดนความร้อน ผมจึงได้โทรเข้าศูนย์ เพื่อสอบถามว่าจะทำอย่างไรดี ศูนย์แนะนำให้จอดและให้รถลากของทางด่วนลากไปส่ง ผมจึงได้ขับตัดเข้าข้างทาง (บริเวณดังกล่าวเป็นทางบรรจบบนทางด่วน ช่วงพระราม 9) และจอดบริเวณตู้โทรศัพท์ ซึ่งระหว่างนั้นยังไม่ได้ลงจากรถเนื่องจากมีฝนพรำๆ ซึ่งตอนนั้นยังคุยอยู่กับศูนย์ฯ เพื่อขอเบอร์ทางด่วน และได้เบอร์ 1543 ของทางด่วนเพื่อโทรขอความช่วยเหลือ ระหว่างนั้นกลุ่มควันขาวเริ่มมากขึ้น เนื่องจากตอนนี้รถจอดนิ่งสนิทแล้ว ไม่มีลมพาควันออกไป และจึงเริ่มสังเกตเห็นเปลวเพลิงลุกขึ้นมาบริเวณระหว่างฝากระโปรงและกระจกบังลมหน้า (บริเวณช่องที่ปัดน้ำฝน) จึงได้ออกจากรถ โดยหลังจากนั้นเพลิงได้โหมไหม้จนไม่สามารถควบคุมได้ (เจ้าหน้าที่กู้ภัยทางด่วนใช้ถังดับเพลิงมือถือ หมดไป 4 ถัง) ซึ่งต้องรอรถน้ำของหน่วยกู้ภัยเพื่อเข้าระงับเหตุจึงสามารถควบคุมเพลิงได้ หลังเกิดเหตุ ซึ่งรถเสียหายบริเวณห้องเครื่องทั้งหมดและลามบริเวณส่วนหน้าของคนขับจากการถูกเพลิงไหม้ เจ้าหน้าที่การทางได้ให้เข้าลงบันทึกประจำวันที่ สน.ทางด่วน 1 เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเสียหายของการทาง ประกอบด้วยค่าใช้จ่าย เติมสารดับเพลิง 4 ถัง, ค่ารถน้ำ 1 คัน, พื้นทางเสียหาย (เข้าใจว่าประกันเป็นผู้สำรองจ่าย) ภายหลังจากลงบันทึกประจำวันที่ สน. ทางด่วนแล้ว รถถูกลากไปรอที่ศูนย์เอกอินทราเพื่อรอการตรวจพิสูจน์ โดยได้นัดทำการตรวจสอบในวันจันทร์ ที่ 28 กันยายน 2552 ทั้งนี้ผมโดยส่วนตัวมั่นใจว่าเป็นความผิดพลาดจากการเปลี่ยนท่อน้ำมันระบบบังคับเลี้ยว (ท่อ Hi Power) โดยเป็นข้อผิดพลาดจากการเปลี่ยน/ประกอบ หรือ ตัวอะไหล่ โดยมีข้อสังเกตจากการที่ศูนย์ขอเลื่อนการรับรถผม 1 วัน โดยแจ้งว่าเปลี่ยนท่อ Hi Power แล้วพวงมาลัยมันหนัก (ผมก็ไม่ได้ถามว่าที่บอกว่าหนักนี่คือหนักขึ้น หรือหนักขนาดไหน) โดยศูนย์แจ้งว่าขอไล่ลมและตรวจสอบทั้งระบบ นอกจากนี้ ก่อนที่จะเกิดเหตุเพลิงไหม้ อาการก็คือพวงมาลัยหนัก/แข็ง จากระบบพาวเวอร์นี้เอง โดยในปัจจุบัน (3 ตุลาคม 2552) บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับทราบเรื่องแล้ว รวมทั้งได้ส่งพนักงานเพื่อเข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว (ตั้งแต่วันอังคารที่ 29 กันยายน 2552) แต่ไม่พบการสรุปสาเหตุของปัญหา หรือแนวทางการชดเชยค่าเสียหายแต่อย่างใด และมีข้อสังเกตว่า ศูนย์บริการ เอกอินทราฮอนด้า ออโตโมบิล จำกัด / บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อเหตุการณ์เท่าที่ควร และไม่ได้ดำเนินการเพื่อเร่งการสรุปสาเหตุ หรือพิจารณาการชดเชยแต่อย่างใด เนื่องจากตั้งแต่เกิดเรื่อง ผมจะต้องเป็นคนติดตามเกือบทั้งหมด ตั้งแต่นัดประกันเข้าตรวจสอบ, การแจ้งเรื่องให้ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะเจ้าของผลิตภัณฑ์เข้ามาร่วมตรวจสอบ, การเรียกร้องให้ได้มาซึ่งการชดเชยเบื้องต้น (ได้ขอรถชั่วคราวเพื่อสำรองใช้ 1 คัน) , และจากการติดตามจากเจ้าหน้าที่ลูกค้าสัมพันธ์ซึ่งเป็นผู้ดูแลปัญหานี้ (ติดตามวันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน 2552 และ ศุกร์ 2 กันยายน 2552) ก็ได้ความว่ายังไม่มีความคืบหน้าทั้งที่เป็นกรณีที่มีความรุนแรง รวมทั้งมีผู้ใช้รถรุ่นเดียวกันที่ถูกเรียกให้เข้าไปดำเนินการเปลี่ยนท่อดังกล่าวจำนวนมาก สิ่งที่คุณรัชตะต้องการขอความช่วยเหลือคือต้องการให้เร่งการสรุป การชดเชยค่าเสียหาย รวมทั้งเป็นแกนหลักในการแนะนำถึงความสมเหตุสมผลของการชดเชยที่พึงจะได้รับ ทั้งการชดเชยต่อทรัพย์สิน การชดเชยต่อความไม่ปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการชดเชยอื่นๆ ที่พึงจะประเมินได้ตามสมควร แนวทางแก้ไขปัญหาคุณรัชตะร้องเรียนเข้ามาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคในวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2552 หลังจากที่รถไฟไหม้ได้ 1 อาทิตย์และพยายามตามเรื่องด้วยตนเอง จนในที่สุดได้มีหนังสือแจ้งจากคุณรัชตะว่าศูนย์บริการฮอนด้า (เอกอินทราฮอนด้า) ได้แสดงความรับผิดชอบในเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว คือ หนึ่ง ได้มีการจัดหารถยนต์สำรองใช้ระหว่างดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2552 สอง ศูนย์บริการฮอนด้าฯ แห่งนี้ได้ทำการชดเชยค่าเสียหายทั้งในส่วนของทรัพย์สินและค่าเสียหายอื่น ๆ ตามที่คุณรัชตะได้รียกร้อง โดยที่คุณรัชตะพึงพอใจต่อการดำเนินการดังกล่าวของศูนย์ฯ และไม่ติดใจเอาความหรือเรียกร้องอื่น ๆ เพิ่มเติมแต่อย่างใด สำหรับผู้ที่เป็นเจ้าของรถยนต์ฮอนด้า แอคคอร์ด (V6) รุ่นปี 2003 ถึง 2007 และได้รับแจ้งให้ไปเปลี่ยนท่อน้ำมันของระบบบังคับเลี้ยว(เพิ่มเติม) หากสงสัยว่าอาจมีปัญหาเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนอะไหล่ ไม่ควรปล่อยให้ชักช้าเนิ่นนานไป รีบติดต่อศูนย์บริการโดยทันทีเป็นดีที่สุด ตั้งใจให้มีส่วนร่วมจริงเปล่าคะ…รัฐสภาเรื่องโดย บุญยืน ศิริธรรมในกระแสการเมืองที่เชี่ยวกราก ประดุจน้ำที่หลั่งไหลจากเขื่อนแตก กระแสหนึ่งที่ถาโถมการเมืองไทยคือประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญ(นี่ยังไม่บวกประเด็นป๋า/ประเด็นพี่ไหนๆ นะ) ถึงกับต้องบอกว่า ร้อน......เจงๆ นั่นแน่คิดว่าเราจะเขียนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญอีกแล้วละซิ.. ถ้าคิดอย่างนั้นขอบอกว่า คุณ...คิดผิด แฮ่ๆ เพราะเราจะเขียนเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนกับระบบนิติบัญญัติของชาติไทย ตั้งแต่เรามีรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 เป็นต้นมากระแสการมีส่วนร่วมของประชาชนก็โดดเด่นขึ้นในสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง และกระแสนี้ก็ยังต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ทำให้มีหน่วยราชการมากมาย วิ่งมาหาแกนนำภาคประชาชน เพราะการมีประชาชนเข้าร่วมเป็นหนึ่งเกณฑ์ชี้วัดความสำเร็จในการทำงาน หน่วยงานไหนที่สามารถนำประชาชนเข้าร่วมได้มากถือว่ามีผลงานมาก ทำให้ทุกหน่วยราชการต่างแย่งชิงกลุ่มองค์กรภาคประชาชน เพื่อให้หน่วยงานของตนผ่านตัวชี้วัด ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลย ว่าทำไมชาวบ้านมี ชุดฟอร์ม ที่แสดงสัญลักษณ์ความเป็นเจ้าของจากหน่วยงานราชการหลายหน่วย(จนชาวบ้านกลายเป็นคนของรัฐไปหมดน่าเหนื่อยใจจริงๆ) และยิ่งไปกว่านั้นกระแสการมีส่วนร่วมได้ลุกลามเข้ามาถึงสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ต้องบอกก่อนนะเรื่องที่เขียนอาจมีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง แต่มิใช่ประเด็นหลักเป็นเพียงประเด็นที่อยากชี้ให้เห็นว่าจริงแล้วหน่วยงานเหล่านี้ มีความจริงใจให้ประชาชนเข้าร่วมจริงหรือไม่ พอดีผู้เขียนได้ถูกเชิญเข้าไปเป็นอนุกรรมาธิการชุดหนึ่งในวุฒิสภา(โอ้ย...หากใครได้รับเชิญเข้าไปอาจคิดว่ามันเป็นเกียรติยศศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูลไปเลยก็ว่าได้ ว่า...เข้าไปนั่น...) ผู้เขียนถูกเชิญเข้าไปก็รู้แต่ว่าเราต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ และในชุดนี้ยังมีการเชิญพี่น้องจากต่างจังหวัดเข้าร่วมด้วย ไกลที่สุดก็คือมาจากปัตตานี ทุกคนมากด้วยความเต็มใจและมุ่งมั่น แต่เชื่อไหมว่า การมีส่วนของประชาชนมันเป็นแค่เรื่องที่เขียนไว้เท่ๆ ในรัฐธรรมนูญและในกฎหมายอื่นๆเท่านั้นเอง.... เพราะกฎระเบียบอื่นๆ ไม่ได้แก้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยเฉพาะเกณฑ์การจ่ายค่าเดินทางเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่มาเข้าร่วมไม่มี มีแต่ เกณฑ์เก่าสมัยพระเจ้าเหาได้มั้งที่เอามาใช้ และถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่ปิดกั้นการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยแท้ ในระเบียบของรัฐสภา ผู้ที่ถูกเชิญเข้ามาเป็นอนุกรรมาธิการจะมีเบี้ยเลี้ยงให้ครั้งละ 500 บาทจะมาจากไหนก็ช่างเธอ...ฉันให้เท่านี้ล่ะตามระเบียบ ผู้เขียนไม่เดือดร้อนอะไรเพราะอยู่แค่สมุทรสงคราม ชิลล์ๆ อยู่แล้ว แต่คิดถึงคนที่มาจากปัตตานี คิดไหมว่าเขาจะเดือดร้อน คิดดูชาวบ้านธรรมดาๆ ไม่มีเงินเดือนไม่มีรายได้มั่นคงจะเข้ามาร่วมได้ไหม บางคณะประชุมเดือนละ 2 ครั้ง บางคณะประชุมทุกอาทิตย์ชาวบ้านที่ไหนจะมีเงินออกค่าเดินทางเองเข้ามาร่วมได้จริงไหมล่ะท่าน ถ้าชี้ให้เห็นชัดๆ ก็คือเกณฑ์ของรัฐสภาคือเกณฑ์ที่ผู้เข้าร่วมเป็นนักการเมือง เป็น ส.ส. หรือสว. อยู่แล้ว หรือราชการระดับหัวๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือกลุ่มทุนที่ไม่เดือนร้อนเรื่องค่าเดินทาง ชี้ให้เห็นว่าคนที่คิดเกณฑ์นี้ไม่ได้คิดเผื่อสำหรับประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัด ไม่เคยคิดว่าจะมีประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนี้ซะด้วยซ้ำ และนี่คือเรื่องที่อยากนำเสนอว่าอย่าว่าแต่หน่วยการราชการในพื้นที่ไม่จริงใจกับการมีส่วนร่วมของประชาชน รัด-ฐะ ก็เหมือนกัน มีแต่ปากดีว่าประชาชนต้องเข้ามามีส่วนร่วม ประชาชนต้องมาก่อนอย่างนั้นอย่างนี้...(มาแล้วเดือดร้อน.จะมายังไง...) เอาเข้าจริงก็ไม่เห็นหัวชาวบ้าน แม้แต่จะคิดกฎเกณฑ์ที่อำนวยความสะดวกในการเข้ามามีส่วนร่วมของประชาชนตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายกำหนดยังไม่ทำเลย ดีแต่พล่ามกันไปวันๆ น่าเหนื่อยจริงนะประเทศไทย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 เขาหาว่าผมเป็นเจ้าบ่าวพิการ

“ดูสิเจ้าบ่าวพิการด้วย” “ไม่มีปัญญาหาละมั้งเลยไปคว้าคนพิการมาแต่งงานด้วย” แขกที่มางานแต่งงานหลายคนแอบวิจารณ์ คู่บ่าว – สาว เพราะแทนที่คู่บ่าว – สาวจะทำอะไรพร้อมๆ กัน และนั่งอยู่เคียงกันระหว่างงานพิธี แต่ที่เห็นกลับเป็นภาพของเจ้าบ่าวต้องนั่งไหว้พระอยู่ในรถเข็นพิษณุ สันป่าแก้ว ชายหนุ่มจากจังหวัดแพร่ อาชีพวิศวกรไฟฟ้า คือเจ้าบ่าวของงานมงคลสมรสในวันนั้น ส่วนเจ้าสาวคือพันตำรวจตรีหญิงอุไรวรรณ แห้วนคร พยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ หลังดูใจกันมากว่า 6 ปีทั้งคู่จึงตกลงใจว่าจะแต่งงานกัน งานวิวาห์ที่ทั้งสองเฝ้าเพียรเตรียมงานมาตั้งแต่ต้นปีดูจะไม่ค่อยสมบูรณ์สักเท่าไร เมื่อเจ้าบ่าวต้องมานั่งอยู่ในรถเข็นและในงานเลี้ยงก็มีเจ้าสาวเพียงคนเดียวที่เดินรับแขกตามโต๊ะ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ่าว และเกี่ยวข้องกับสิทธิผู้บริโภคอย่างไร เชิญติดตาม ความปกติที่ไม่ปกติ“ปกติผมจะกลับบ้านในช่วงสงกรานต์ทุกปี แต่ครั้งนี้พิเศษหน่อยคือผมไปแจกการ์ดแต่งงานด้วย (งานแต่งกำหนดไว้วันที่ 3 พ.ค.2552) ขณะผมเดินทางจากบ้านที่จังหวัดแพร่ เพื่อที่จะกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ บริษัทรถโดยสารที่ผมใช้บริการประจำเต็มก็เลยต้องไปใช้ของอีกบริษัทหนึ่งคือวิริยะแพร่ทัวร์” พิษณุได้ตั๋วกลับกรุงเทพในวันที่ 17 เมษายน กับบริษัทวิระยะแพร่ทัวร์ จำกัด เป็นรถปรับอากาศ ม.1(ข) 34 ที่นั่ง หมายทะเบียน 13-9029 กรุงเทพ นั่งติดหน้าต่างแถวที่ 2 ฝั่งคนขับ พิษณุมารอขึ้นรถที่สถานีขนส่งจังหวัดแพร่ ตั้งแต่สองทุ่มครึ่งตามกำหนดเวลาออก แต่กว่ารถจะออกจากสถานีได้ก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม พิษณุนั่งดูคนขับ ขับรถมาเรื่อยๆ สังเกตได้ว่าขับเร็วมากและแซงตลอด แม้ในช่วงขึ้นเขาก็ยังแซง หลังจากดูให้แน่ใจแล้วว่ามาถึงเส้นทางช่วงระหว่างพิจิตรมาพิษณุโลก ก็นอนใจว่าคงไม่มีอะไรแล้วจึงงีบหลับไป ดูเหมือนทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีแต่เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เสียงร้องเอะอะเกิดขึ้น รถทั้งคันมืดสนิทราวทุกอย่างหยุดนิ่ง มีแต่เสียงโวยวายของผู้คนเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่า “รถชนเข้าแล้ว” รถโดยสารที่เขานั่งไปชนท้ายรถบรรทุก 18 ล้อ บรรทุกปูนซีเมนต์ ผู้โดยสารเต็มคันรถอลม่านกันอยู่ในความมืด และหนึ่งในห้าของผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสคือพิษณุ นั่นเอง “มันมืดแล้วก็ร้อนมาก เครื่องรถดับ ผมรู้แล้วว่ารถต้องชนแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าชนอะไรผมพยายามขยับตัว แต่ก็ลำบากเพราะว่าเก้าอี้มาทับผม ขยับขาไม่ได้ จนคนในรถเขาออกกันไปหมดเหลือผมอยู่คนเดียว…ผมต้องตะโกนและเคาะกระจกให้รู้ว่ายังมีผมติดอยู่ข้างในอีกคน” ระหว่างรอให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยออกมาจากรถ พิษณุยอมรับว่า ‘กลัวมาก’ เพราะระหว่างนั้นได้กลิ่นน้ำมันคลุ้งไปทั่ว “กลัวไฟจะไหม้รถ มืดก็มืดแล้วก็ร้อน ผมใช้น้ำที่เขาให้ตอนขึ้นรถ ทั้งกินและทั้งรดตัวเอง ตอนนั้นผมเริ่มเจ็บขามากขึ้นๆ และพอจะรู้ว่าขาหักเพราะลองขยับแล้วมันไม่มีแรง กลัวรถระเบิดก็กลัว ถ้ามันระเบิดผมจะเป็นอย่างไร” พิษณุพาตัวเองกลับไปอยู่ในรถคันนั้นอีกครั้ง เพื่อที่จะถ่ายทอดบรรยากาศ ณ เวลานั้นออกมาให้ได้ใกล้เคียงที่สุด รอยยิ้มที่ผุดพรายระหว่างย้อนเล่าเรื่อง ราวกับจะบ่งบอกว่า“ผมดีขึ้นจากวันนั้น” เพราะในวันที่เกิดเหตุเขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะยิ้มให้ตัวเองเลยสักนิดในคืนนั้น พิษณุถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ได้รับการล้างแผล ฉีดยาป้องกันบาดทะยัก ก่อนพยาบาลจะช่วยเก็บข้าวของที่ติดตัวมาส่งให้พิษณุที่ยังมีสติอยู่พร้อมย้ำว่า “ให้เก็บตั๋วรถไว้ให้ดี” และส่งตัวต่อมายังโรงพยาบาลพุทธชินราช โรงพยาบาลประจำจังหวัดพิษณุโลกเพื่อที่จะทำการผ่าตัดขาซ้ายท่อนบนช่วงสะโพกที่หัก อีกทั้งเสียเลือดมากจากบาดแผลลึกที่หน้าแข้งซ้าย หลังจากย้ายมาที่โรงพยาบาลพุทธชินราชเขาก็ยังไม่ได้รับการผ่าตัด แต่โรงพยาบาลได้ทำการเอกซเรย์และดามขาเขาไว้ ก่อนจะให้พักที่โรงพยาบาลนี้หนึ่งคืน โดยที่ยังไม่ได้เย็บแผลให้ จนเช้าวันใหม่มาถึง “ผมนอนที่นั่นหนึ่งคืน จนเช้าทางโรงพยาบาลก็ฉีดยาแก้ปวดให้ผม ผมถามว่าเมื่อไรจะผ่าตัดให้ผมเขาบอกแต่ว่าให้รอก่อนเพราะมีเคสที่หนักกว่าผมอีกสองคน ผมเลยโทรหาแฟนบอกว่าไปรักษากรุงเทพฯ ดีกว่า เพราะผมปวดจะให้รอถึงเมื่อไรอีกคือมันรอไม่ได้แล้ว เลยให้แฟนติดต่อหารถพร้อมพยาบาล เพื่อจะมารับไปที่โรงพยาบาลตำรวจ” ในบ่ายวันที่ 18 เมษายน 2552 พิษณุจึงได้ย้ายมาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่คนรักเป็นพยาบาลอยู่ โดยเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่ารถพยาบาลและค่าพยาบาลสองคนที่มากับรถเป็นเงิน 6,000 บาท “ถึงโรงยาบาลตำรวจประมาณทุ่มกว่าๆ แล้วทางพยาบาลก็เปิดแผลออก พบว่าแผลที่หน้าแข้งยังไม่ได้เย็บ จึงล้างแผลใหม่และขูดแผลเพื่อให้เป็นแผลสด แล้วถึงจะเย็บแผลเพราะเขากลัวว่าเนื้อมันจะไม่ติด คือ...ตอนนั้นยังไงก็ได้ ก็ต้องทนล่ะ” พิษณุยังจำความเจ็บปวดคราวนั้นได้ดี จากสีหน้าเหยเก และยิ้มแห้งๆ ของเขา เจ้าบ่าวอย่างผมพิษณุพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2552 ก่อนจะออกมาเข้าพิธีแต่งงานในวันที่ 3 พฤษภาคม 2552 ช่วงที่ต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล พิษณุรู้สึกแย่กับตัวเองมาก ที่ต้องให้แม่มาดูแลกลายเป็นภาระของแม่และคนรักไป ราวกับว่าเขากลายเป็นคนพิการไปแล้ว พิษณุเดินทางมาเข้าพิธีแต่งงานที่บ้านเจ้าสาวที่จังหวัดบุรีรัมย์ทั้งๆ ที่ เขายังต้องนั่งรถเข็น และต้องใช้ไม้ค้ำยันในบางขณะที่ต้องเดินไปรับแขก วูบแรกที่เกิดอุบัติเหตุเขาคิดว่าอย่างไรเสียงานแต่งที่เตรียมงานมากว่าห้าเดือนต้องเลื่อนออกไปแน่ๆ แต่หญิงสาวคนรักก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่า อย่างไรก็จะไม่เลื่อนงานแต่ง ถึงแม้จะไม่ได้ยืนเคียงกันก็ขอให้ได้นั่งรถเข็นแต่งงานก็ได้ “มันก็ต้องแต่ง แต่งทั้งๆ ที่ยังต้องใช้ไม้ค้ำยันอยู่นี่ล่ะ ดีกว่าจะเลื่อนงานออกไปเพราะเราเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ยกเว้นผมคนเดียวที่ยังต้องนั่งรถเข็น ปวดแผลก็ปวดแต่ก็กินยาแก้ปวดไว้ ภาพถ่ายที่ออกมาจึงไม่เหมือนกับงานคู่อื่นๆ เขา อย่างตามโต๊ะรับแขกก็จะมีเพียงเจ้าสาวของผมเท่านั้น ผมได้แต่มอง มันรู้สึกไม่ดีมากๆ งานแต่งของผมทั้งที กลับต้องมีคนมาคอยดูแล แต่งตัวเองก็ไม่ได้ต้องรอให้เขามาช่วย...มันรู้สึกแย่ ต้องนั่งรถเข็น แล้วเวลาจะถ่ายรูปกับแขกแฟนผมก็เดินไปคนเดียวผมไปด้วยไม่ได้” ยิ่งกว่านั้นมีชาวบ้าน ที่ไม่รู้ว่าพิษณุประสบอุบัติต่างพูดคุยนินทากันทั่วงาน “เขาว่าผมเป็นคนพิการทั้งที่เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับผม เขาไม่น่าจะพูดอย่างนั้น” พิษณุแค่นหัวเราะให้กับโชคชะตาที่เล่นตลกร้ายกับเขา งานแต่งผ่านพ้นไปแล้ว แต่ละครชีวิตของพิษณุไม่ได้จบบริบูรณ์เหมือนละครทีวี ทั่วไปที่เรื่องมักจบลงอย่างมีความสุขหลังการแต่งงาน หลังงานแต่ง พิษณุกลับมาพักรักษาตัวต่อที่คอนโดย่านรามคำแหง โดยบริษัทที่เขาทำงานเป็นวิศวกรไฟฟ้าอยู่ให้หยุดพักรักษาตัวเป็นเวลา 3 เดือน ชีวิตประจำวันของพิษณุต้องเปลี่ยนไปเขาต้องพักฟื้นอยู่ในห้องพักชั้นเจ็ดที่ไม่ใช่สวรรค์ชั้นเจ็ด เพราะเขาต้องจำใจ ขังเดี่ยวตัวเองอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมสีครีม ที่ด้านข้างมีหน้าต่างเล็กๆ พอให้สูดอากาศภายนอกได้เท่านั้น ส่วนอาหารที่ตอนร่างกายปกตินึกอยากจะกินอะไรก็ได้ ก็ต้องกลายมาเป็นข้าวกล่อง ที่คนรักซื้อเตรียมไว้ให้ก่อนจะไปเข้าเวรที่โรงพยาบาลตำรวจ ถึงเวลาอาหารพิษณุจะนำข้าวกล่องเข้าเตาไมโครเวฟ นั่งกินข้าวในห้องพักโดยลำพัง ไม่มีโอกาสได้ไปกินข้าวกับเพื่อนฝูง หรือวันหยุดแทนที่จะได้ออกไปเดินเล่น ไปเรียนภาษา ก็ต้องใช้ทีวีเป็นช่องทางในการออกสู่โลกภายนอกแทนขาทั้งสองข้าง ซ้ำในเวลาเดินก็ต้องมีขาที่สามและสี่งอกออกมาจากรักแร้ทั้งสองข้าง นอกจากที่จะต้องพักฟื้นรักษาอาการบาดเจ็บหลังการผ่าตัดขาซ้ายแล้ว พิษณุยังต้องไปหาแพทย์เพื่อตรวจสภาพเข่าทั้งสองข้าง ซึ่งหลังการสแกนพบว่าเอ็นและข้อเข่ามีปัญหาแต่ไม่ถึงกับต้องผ่าตัด แพทย์สั่งให้กินยารักษาข้อเสื่อมอีกสามเดือน สิทธิต่างๆ ตอนเป็นผู้โดยสารผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าบริษัทต้องจ่ายเท่าไรจนบริษัทประกันมาบอกผมนี่ละ ว่าอ้อมีสิทธิรักษาเท่านี้นะ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุก็คงไม่รู้ว่ารถโดยสารมีประกันอะไร เพราะในตั๋วก็ไม่ได้เขียนไว้ว่ามีประกันอะไรบ้าง เรามีสิทธิเรียกร้องอย่างไรเรารู้แค่ว่าเราซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นรถได้ ผมว่าไม่มีใครจะไปคิดหรอกนะว่าจะเกิดอุบัติเหตุ แต่พอมันเกิดแล้วนี่สิ เราถึงจะมาอ่าน มาหาความรู้ว่าสิทธิเราคืออะไร มีอะไรบ้าง ก็ไม่มีใครบอก  ถามหาผู้รับผิดชอบ สำหรับค่ารักษาพยาบาลถ้าหากนับตั้งแต่โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก ที่ต้องจ้างรถพยาบาลให้มาส่งที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นเงิน 6,000 บาท ซึ่งเขาต้องจ่ายไปก่อนแล้วมาเบิกกับบริษัทประกันภายหลัง ค่ารักษาที่โรงพยาบาลตำรวจก็เป็นหน้าที่ของบริษัทประกันที่บริษัทวิริยะแพร่ทัวร์ทำไว้ที่จะต้องมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ขณะที่เขาพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจเช่นกัน “ทางบริษัทประกัน จ่ายค่ารักษาให้ทั้งหมดตอนที่อยู่โรงพยาบาลตำรวจ 48,025 บาท แต่มันก็มีส่วนเกินที่ผมต้องออกไปก่อนประมาณสองหมื่น ตอนนี้ยังไม่ได้คืนจากบริษัทประกัน แล้วล่าสุดที่ผมเพิ่งไปสแกนเข่ามานี่ก็ 16,000 บาท ซึ่งทางบริษัทประกันได้เข้าแจ้งกับผมตอนที่อยู่โรงพยาบาลที่พิษณุโลกว่า ไปรักษาที่โรงพยาบาลไหนก็ได้ในงบค่ารักษาไม่เกิน 5 แสนบาท เพราะบริษัทรถได้ทำประกันชั้น 1 ไว้กับ บริษัทสินมั่นคงประกันภัยจำกัด (มหาชน) ตอนนี้ก็รอให้ทางบริษัทจ่ายส่วนที่ผมจ่ายไปคืนมา” ตั้งแต่เกิดเหตุมาบริษัทรถและบริษัทประกันได้ไปเยี่ยมพิษณุที่โรงพยาบาลที่พิษณุโลก แล้วก็ไม่ได้ติดต่อมาหาพิษณุอีกเลย กลับเป็นว่าเขาต้องเป็นฝ่ายโทรศัพท์ไปหาไปตามเรื่องเอง ตอนแรกโทรไปตามเรื่องที่บริษัทรถก็ทำอะไรไม่ได้ ถูกโยนให้ติดต่อไปที่บริษัทประกันแทน “คือก็เกินไปนะตั้งแต่ผมขาหักมาเนี่ยไม่เคยติดต่อมาหาผมเลย ทำเหมือนผมไปขอเขาขึ้นรถงั้นแหละทั้งๆ ที่ผมก็จ่ายเงินให้เขา ไม่อยากขึ้นรถบริษัทนี้อีกแล้วอยากเห็นหน้าเจ้าของบริษัทจริงๆ ” พิษณุเน้นย้ำว่าต้องการเห็นหน้าเจ้าของรถ แบบที่พูดจริงๆ นอกจากนั้นพิษณุยังต้องโทรศัพท์ไปติดต่อสอบถามความคืบหน้าทางคดี ที่สถานีตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุด้วยเช่นกัน เพราะไม่ได้รับการติดต่ออะไรจากตำรวจเลย “มีอยู่ครั้งหนึ่งตำรวจมาสอบปากคำ ผมก็ให้การไปตอนแรกนึกว่าเขาจะยื่นฟ้องอาญากับคนขับ แต่กลายเป็นว่าจะเป็นการยื่นฟ้องแพ่งกับบริษัทรถ มีทนายให้แต่จะต้องให้ 30 เปอร์เซ็นต์กับทนาย ผมก็อ้าว..เลยยังไม่ฟ้อง ผมฟ้องเองดีกว่า เพราะผมกะว่าจะฟ้องบริษัทอยู่แล้ว เพราะไม่เคยมาติดต่อเลย กระเช้าสักกระเช้ายังไม่มี ตอนนี้จะยื่นฟ้องเองในคดีศาลผู้บริโภค” พิษณุได้ให้ทนายความอาสา ศูนย์ทนายความอาสาเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภครับมอบอำนาจยื่นฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคต่อศาลแพ่ง (รัชดาภิเษก) โดยมี นายเจริญ ชาวส้าน พนักงานขับรถทัวร์ เป็นจำเลยที่ 1 บริษัทวิริยะแพร่ทัวร์ จำกัด เป็นจำเลยที่ 2 บริษัทขนส่ง จำกัดเป็นจำเลยที่ 3 และบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด เป็นจำเลยที่ 4 เรียกค่าเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น 5,664,046.50 บาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการไกล่เกลี่ยกับบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด ค่าชดเชยสินไหมสุดขอบฟ้าเมื่อถามถึงกระบวนการชดเชยค่าเสียหายต่างๆ ว่าเป็นอย่างไรพิษณุ ตอบทันควันว่า “มันช้า” พร้อมเสนอทางออกว่าน่าจะมีเกณฑ์ออกมาให้มีการจ่ายค่าชดเชยทันทีหลังเกิดอุบัติเหตุ เคสนี้ เคสนั้นไม่ต้องรอให้เป็นคำสั่งศาลแล้วถึงจะจ่าย และน่าจะจ่ายที่เพดานสูงสุดไม่ต้องรอให้เคสสำรองเงินไปก่อนแล้วค่อยมาเบิกจ่ายกันทีหลังอีก “นอกจากจะมีมาตรการชดเชยแล้วผมว่า บริษัทรถหรือคนขับก็ต้องประเมิน ต้องมีการควบคุมคนขับรถด้วยว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมไหม ไม่ขับรถเร็วเกินไป อย่างคันที่ผมนั่งมารู้จากตำรวจว่าขับมาสี่รอบแล้ว รัฐเองน่าจะเข้ามาดูตรงนี้ด้วย คืออุบัติเหตุมันไม่ได้มาจากเราน่ะ มันอยู่ตรงที่คนที่จะมาขับรถให้เราเขาอยู่ในสภาพพร้อมหรือเปล่า ต้องมีมาตรการตรวจสภาพคนขับด้วย อาจจะมีหมอมาตรวจสภาพหน่อยว่าพร้อมที่จะขับไหมเพราะมันเป็นช่วงเทศกาล ไม่ใช่กะทำรอบอย่างเดียว แล้วอีกอย่างไปดักจับคนเมาซะมากกว่า รถคันที่ผมนั่งมาคนขับน่ะไม่เมาหรอกแต่มันเหนื่อยเป่ายังไงก็ไม่เจอหรอก” พูดจบพิษณุหัวเราะพร้อมกับส่ายหัวอย่างเอือมระอา “สิทธิต่างๆ ตอนเป็นผู้โดยสารผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าบริษัทต้องจ่ายเท่าไรจนบริษัทประกันมาบอกผมนี่ละ ว่าอ้อมีสิทธิรักษาเท่านี้นะ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุก็คงไม่รู้ว่ารถโดยสารมีประกันอะไร เพราะในตั๋วก็ไม่ได้เขียนไว้ว่ามีประกันอะไรบ้าง เรามีสิทธิเรียกร้องอย่างไรเรารู้แค่ว่าเราซื้อตั๋วแล้วก็ขึ้นรถได้ ผมว่าไม่มีใครจะไปคิดหรอกนะว่าจะเกิดอุบัติเหตุ แต่พอมันเกิดแล้วนี่สิ เราถึงจะมาอ่าน มาหาความรู้ว่าสิทธิเราคืออะไร มีอะไรบ้าง ก็ไม่มีใครบอก” ปัจจุบันอาการบาดเจ็บต่างๆ ได้หายไปแล้ว และพิษณุได้ไปทำงานตามปกติแล้ว แต่ในอีกสองปีข้างหน้า เขายังต้องไปผ่าตัดเอาเหล็กที่ยึดกระดูกที่หักออก จนถึงตอนนี้ พิษณุมีคำถามที่อยากจะได้คำตอบจากใครสักคนว่า ทำไมต้องเป็นเขาด้วย ทำไมเขาต้องการเป็นเจ้าบ่าวพิการ ในเมื่อเขาเองไม่ใช่คนผิด และกระบวนการชดเชยทำไมถึงได้ช้าหนักหนา ไม่มีกระบวนการเยียวยาอะไรผู้บริโภคเลยหรือไร

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 ความพิการกับความเป็นอื่น

ในทางศาสนาพุทธนั้น พระพุทธองค์เคยดำรัสสัจธรรมประการหนึ่งเอาไว้ว่า มนุษย์เราทุกคนต่างก็มีทั้ง “ความเหมือนกัน” และ “ความแตกต่างกัน” เป็นปกติธรรมดา โดยส่วนตัวของผมแล้วนั้น “ความเหมือนกัน” อาจจะสร้างปัญหาระหว่างมนุษย์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่น่าจะมากมายนัก เพราะจุดร่วมเหมือนกันของมนุษย์ทุกคน ต่างก็ต้องวนเวียนในสังสารวัฏที่มีการเกิดแก่เจ็บตายเหมือนๆ กัน และเราเองต่างก็รับรู้ว่า ไม่มีใครที่หลุดรอดออกไปจากกงล้อแห่งวัฏฏะดังกล่าวไปได้ แต่ทว่า “ความแตกต่างกัน” นี่สิครับ ที่ดูจะสร้างปัญหาให้กับมนุษย์เรายิ่งนัก เนื่องจากว่ามนุษย์มักไม่ได้กระทำแค่การจำแนกว่าเรา “แตกต่าง” จากคนอื่นอย่างไรเท่านั้น แต่มนุษย์ยังมีแนวโน้มที่จะเชื่อด้วยว่า ในความแตกต่างนั้น มักจะมีคนหนึ่งที่มีสถานะอยู่ “เหนือกว่า” อีกคนหนึ่งเสมอ ตัวอย่างเช่น คนสองคนย่อมมีหน้าตาแตกต่างกัน และเราก็มักจะต้องตัดสินลงไปว่า คนนี้ “สวย” คนนั้น “หล่อ” และคนที่สวยหรือหล่อก็มักจะ “ดูดีกว่า” คนอื่นๆ ที่หน้าตาไม่ดี และความคิดเกี่ยวกับความแตกต่างและความเหนือกว่าเช่นที่ว่านี้ ก็เป็นโลกทัศน์ที่สลักฝังลึกเข้าไปในกรอบวิธีคิดหลักของคนในสังคมมาอย่างช้านาน อย่างไรก็ดี แม้ความแตกต่างกับความเหนือกว่าจะเป็นโลกทัศน์หลักของสังคม แต่ก็ใช่ว่าโลกทัศน์แบบนี้จะไร้ซึ่งการตั้งคำถามแต่อย่างใด ผมเห็นโฆษณาธุรกิจประกันชีวิตชิ้นหนึ่งที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ได้ไม่นานนัก เป็นโฆษณาที่ดูเรียบง่าย แต่ก็ประทับใจคนดูหลายคนยิ่งนัก โฆษณาชิ้นนี้ทำให้เพลง “Que Sera Sera” ของ คุณดอริส เดย์ ที่เคยโด่งดังอยู่ในภาพยนตร์ของ อัลเฟรด ฮิชค็อก เรื่อง The Man Who Knew Too Much เมื่อปี ค.ศ.1956 ได้กลายเป็นที่รู้จักกันอีกครั้งหนึ่งในปีนี้ โฆษณาเปิดฉากด้วยภาพสุภาพสตรีท่านหนึ่งในชุดแต่งกายสีฟ้า เธอเริ่มต้นบรรเลงคีย์เปียโนอยู่ในหอประชุม เด็กหญิงผมเปียตัวน้อยสวมแว่นตาหน้าตาน่ารัก ก็เริ่มร้องเพลงด้วยเสียงใสขึ้นว่า “When I was just a little girl, I asked my mother what will I be…” หรือแปลเป็นไทยได้ว่า “เมื่อยังเด็กเล็กอยู่ ตอนนั้นหนูถามแม่ว่า เมื่อโตขึ้นแม่จ๋า หนูจะโตเป็นอะไร จะมีหน้าตาสวย หรือร่ำรวยบ้างหรือไม่...” จากนั้น กลุ่มเด็กน้อยในชุดสีฟ้า ก็พากันร้องประสานเสียงด้วยความตั้งอกตั้งใจว่า “Que sera, sera. Whatever will be, will be. The future’s not ours to see. Que sera, sera…” โดยมีบรรดาคุณแม่ ๆ นั่งอมยิ้มบ้าง ยืนถ่ายรูปบ้าง และร้องคลอตามเพลงด้วยบ้าง ด้วยความรู้สึกภูมิอกภูมิใจ หลังจากเพลงบรรเลงไปได้ครึ่งทาง โฆษณาก็ทำให้คนดูประหลาดใจขึ้น เมื่อกล้องตัดภาพมาให้เห็นว่า เด็กอนุบาลแต่ละคนที่กำลังประสานเสียงร้องเพลงอยู่นั้น แท้จริงแล้วเป็นเด็กพิการ นั่งรถเข็นบ้าง แขนขาพิการบ้าง แต่เด็ก ๆ ทุกคนก็มีรอยยิ้ม และร้องเพลงอย่างมีความสุข กล้องตัดภาพอีกครั้งไปยังหมู่เมฆที่ลอยอยู่ด้านนอก และซูมช้าๆ เข้าไปยังก้อนเมฆ ก่อนจะตัดภาพกลับมาที่ห้องประชุมอีกครั้ง เห็นช่างกล้องที่กำลังนั่งฟังเด็กพิการเหล่านี้ร้องเพลง บรรดาคุณแม่กำลังนั่งครุ่นคิด และก็ปิดท้ายด้วยภาพคุณแม่คนหนึ่งเอามือกุมท้องที่กำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ พร้อมข้อความโฆษณาจบท้ายขึ้นมาว่า “ชีวิตเกิดมาแตกต่าง แต่ดูแลให้ดีที่สุดได้” ผมเดาว่า ธีมหลักของโฆษณานี้คงต้องการสื่อสารไปยังกลุ่มคุณแม่ๆ โดยเฉพาะผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือต้องการมีบุตรในอนาคตว่า ไม่ว่าหลังจากการคลอด บุตรของคุณแม่จะออกมาเป็นเช่นไร จะสมบูรณ์ จะเป็นอัจฉริยะ หรือจะพิการร่างกาย แต่ชีวิตมนุษย์ทุกชีวิตก็มีคุณค่าไม่แตกต่างกัน แบบเดียวกับเนื้อเพลง “Que Sera, Sera” ที่มีเนื้อความสรุปได้ว่า “อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด อนาคตคือสิ่งที่มองไม่เห็น อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด” ซึ่งเป็นสัจธรรมของทุกชีวิตบนโลกใบนี้ แต่ก็เหมือนกับที่ผมได้บอกไปตอนต้นนั่นแหละครับ โฆษณาได้ตั้งคำถามกับประเด็นเรื่องชีวิตที่เกิดมา “แตกต่าง” ว่า ถึงอย่างไรมนุษย์ทุกคนที่มีเกิดแก่เจ็บตายนั้น ต่างก็มีความแตกต่างระหว่างกันและกันทั้งสิ้น แต่ทว่าเป็นคนปกติอย่างเราๆ หรือเปล่า ที่ประเมินค่าความแตกต่างนั้น ให้เป็นลำดับชั้นที่ไม่เสมอภาคและไม่เท่าเทียมกัน ในทางสังคมศาสตร์ มีคำอธิบายว่า ความแตกต่างมีอยู่ด้วยกันสองชนิด ด้านหนึ่งเรียกว่า ความแตกต่างใน “เชิงประเภท” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “difference in kind” อันมีลักษณะของการเทียบเคียงของสองสิ่งขึ้นไป แล้วจำแนกให้เห็นลักษณะเฉพาะที่ว่า ของต่างๆ ดังกล่าวนี้ไม่ใช่ประเภทเดียวกัน เช่น ถ้าสิ่งหนึ่งเป็น “ขาว” ก็จะแตกต่างเป็นคนละประเภทกับ “ดำ” กับ “เทา” กับ “ฟ้า” และกับสีอื่น ๆ ภายใต้วิธีคิดความแตกต่างเชิงประเภทนี้ ถ้าคำตอบต่อเรื่องหนึ่งเป็น “yes” ก็จะไม่มีทางเป็น “no” ไปได้เลย เพราะ “yes/no” ต่างก็เป็นคำตอบที่ต่างประเภทกัน ดังนั้น ถ้าคุณเป็น “คนปกติ” (ในที่นี้หมายถึง ไม่ใช่ผู้พิการทุพพลภาพ) และคุณๆ ที่ปกติก็ถูกสังคมตีค่าไว้แล้วว่า เป็นคนฉลาด อัจฉริยะ สร้างสรรค์สังคม และมีความสามารถมากล้น คนพิการทั้งหลายก็จะกลายเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ตรงข้ามกับคุณโดยสิ้นเชิง เพราะเขาคือ “คนไม่ปกติ” และคือ “ความเป็นอื่น” ที่แตกต่างเชิงประเภทกับคนปกติอย่างเราๆ ในทุกทาง การแยกระหว่าง “ความเป็นเรา” (ที่ปกติสมบูรณ์) กับ “ความเป็นอื่น” (ที่ผิดปกติพิกลพิการ) แบบนี้ ไม่เพียงแต่จำแนกสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์เป็นประเภทที่แตกต่างกันเท่านั้น หากแต่ยังได้จัดวางลำดับชั้นคุณค่าระหว่างพวกเรากับพวกอื่น โดยที่มีพวกเรานั่นแหละที่ใช้อำนาจไปกดทับคุณค่าของพวกอื่นเอาไว้ในเวลาเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่า โฆษณาธุรกิจประกันชีวิตชิ้นนี้ จะไม่ได้ประเมินค่าคนพิการในฐานะ “ความเป็นอื่น” ที่แตกต่างกันใน “เชิงประเภท” หากแต่นักสร้างสรรค์งานโฆษณากลับเลือกใช้ตรรกะอีกชุดหนึ่งที่เรียกว่า ความแตกต่างใน “เชิงระดับ” หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำเรียกว่า “difference in degree” ความแตกต่างใน “เชิงระดับ” นี้ หมายความว่า เมื่อเราเปรียบเทียบของสองสิ่งขึ้นไป เราจะไม่เห็นแค่เพียงด้านที่สิ่งต่างๆ เหล่านั้น เป็นประเภทที่แตกต่างกันออกไป แต่บนความต่างหรือไม่เข้าพวกเดียวกันนี้ ก็มีลักษณะบางอย่างที่เป็นจุดร่วมกันบนระนาบของการเปรียบเทียบนั้นด้วย เพราะฉะนั้น ถึงแม้เราจะเห็นวัตถุเป็น “ขาว” เป็น “ดำ” เป็น “เทา” หรือเป็น “ฟ้า” แต่การเห็นดังกล่าวก็ต่างล้วนเกี่ยวพันกับความเป็น “สี” ด้วยกันทั้งสิ้น เฉกเช่นเดียวกัน คำตอบต่อปัญหาหนึ่งๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นความแตกต่างแบบที่ว่า ถ้าเป็น “yes” ก็ต้องไม่ใช่ “no” ทั้งนี้เพราะทั้ง “yes/no” อาจจะเกิดขึ้นได้ใต้กรรมใต้วาระเดียวกัน เพียงแต่ว่า เหตุการณ์เดียวกันอาจจะ “yes” ในเงื่อนไขหนึ่ง และอาจจะเป็น “no” ได้ในอีกเงื่อนไขหนึ่งมากกว่า ดังนั้น ระหว่างพวกเราที่เรียกตนเองว่า “คนปกติ” กับคนพิการที่ถูกนิยามว่าเป็น “คนอื่นๆ (ที่ผิดปกติ)” แต่ทว่า ทั้งคนปกติสมบูรณ์กับคนพิกลพิการนั้น ต่างก็ล้วนมีลักษณะร่วมกันในฐานะที่เป็น “คน” เหมือนกัน ซึ่งหมายความว่า คนทั้งสองกลุ่มไม่ใช่แค่เพียงจะมีลักษณะร่วมของการ “เกิดแก่เจ็บตาย” ในสังสารวัฏเท่านั้น หากแต่พวกเขาก็สามารถสร้างสรรค์คุณค่า สร้างสรรค์สังคม และสร้างสรรค์โลกได้ไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด ในโฆษณานั้น แม้เด็กอนุบาลตัวน้อยอาจจะพิการทางร่างกาย แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเธอและเขาได้พิสูจน์ให้เห็นก็คือ ความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์เสียงประสานในการร้องเพลงให้ทุกคนได้ยิน หากเด็กปกติร้องเพลงประสานเสียงใต้หมู่เมฆที่ลอยอยู่เหนือฟากฟ้าได้ฉันใด เด็กพิการตัวน้อยๆ เหล่านี้ ก็ “สามารถ” ที่จะทำดุจเดียวกันได้ฉันนั้น ก็เหมือนกับเพลง “Que Sera, Sera” ที่ได้ตั้งคำถามกับความไม่แน่นอนของอนาคตนั่นแหละครับ ความจริงที่ว่า “อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด อนาคตคือสิ่งที่มองไม่เห็น อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด” นั้น ถือเป็นสัจธรรมที่ใช้อธิบายได้ทั้งกับเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งกับคนปกติและคนพิการ หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นสัจธรรมกับทุกชีวิตที่ยังเวียนว่ายอยู่ในโลกใบนี้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 ต้มยำลำไย

ลำไยในความทรงจำของวัยเด็ก เป็นผลไม้ที่ฉันโปรดปรานไม่แพ้ทุเรียน มันจะมาก่อนหน้าฝนตกชุก เด็กตลาดบ้านนอกอย่างฉันหากินมันได้โดยวิธีการซื้อ ซึ่งร้านผลไม้ที่แบ่งขายปลีกจะมัดเป็นช่อๆ กำเล็กๆ ไว้ หรือไม่งั้นก็จะกอบลูกลำไยที่หลุดขั้วแล้วลงใส่ถุงกระดาษหนังสือพิมพ์ขนาดเล็กๆ ไว้ เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ลำไยยังเป็นผลไม้ที่ราคาแพงมาก เด็กวัย 10 ขวบกว่า มีเงินแค่ 5 บาท ซื้อลำไยมากินได้แค่พอหายอยากเท่านั้น แต่ถ้าวันไหนแม่ใจถึงซื้อลำไยมัดใหญ่เป็นกิโลมาวางรอในบ้านแล้วล่ะก็ สิ่งที่ขาดไม่ได้หลังจากที่พวงลำไยเหลือไว้แต่เม็ดและเปลือกกองโตก็คือเกลือ ฉันมักจะควักเกลือเม็ดมาอมเล่นในปากทันที เพราะรู้ดีว่าฤทธิ์ความหวานของมันคือ อาการมีแผลร้อนในในช่องปาก แต่ถ้าไม่ใช่หน้าลำไยชุก ฉันก็ยังคงเจอลำไยในโรงเรียนบ่อยๆ ในรูปน้ำดื่มที่หอมหวานชื่นใจ ร้านขนม ร้านอาหารทั้งในโรงเรียนและที่ต่างๆ ทั่วไปมักมีน้ำลำไยเคียงไว้กับน้ำเก็กฮวย และอื่นๆ ให้คนได้เลือกดื่มกิน ชีวิตเด็กๆ ของฉันก็คุ้นชินกับลำไยมาแบบนั้น จนวันหนึ่งฉันเริ่มเป็นหญิงสาว นอกจากจะตกอกตกใจกับอาการประจำเดือนมาครั้งแรกในชีวิตแล้ว ความเจ็บหน่วงปวดแบบผู้หญิงนั้นได้นำให้ฉันไปรู้จักกับลำไย อย่างที่ฉันไม่เคยได้รู้จักมันมาก่อน “ไปซื้อมาเลยลำไยแห้งที่ร้าน... เอามาใส่ขวดแก้วแล้วเอาเหล้าขาวเทแช่ไว้ กินตอนเช้ากับตอนจะนอนก็พอ ครั้งละช้อน” ความรู้ที่จำได้จากยาชนิดใหม่จากใครสักคนที่ยื่นมาให้ฉันกินแถมยังบอกวิธีการเพื่อไว้ดูแลตัวเองติดมากับยาที่เพิ่งลิ้มรสเข้าไป ป้าแกว่ามันจะทำให้เลือดลมมันเดินดี ความหวาน ความหอม และเจือด้วยแอลกอฮอล์ที่ทำให้ร้อนวูบตั้งแต่ลำคอไปจนอยู่ในท้องทำให้ฉันรู้สึกว่าอยากจะลองกินอีก แต่ป้าที่บอกสูตรยากับสำทับทันทีว่า “เอ็งอย่าริเป็นอย่างอีลำยอง ติดยาดองนะโว้ย” พร้อมกับเสียงหัวเราะดักคออย่างรู้ทัน ป้าหยิบเอา นางลำยอง ในทองเนื้อเก้า ละครน้ำเน่าอันโด่งดังในสมัยนั้นมาใช้ปราม หลังจากนั้นฉันก็เริ่มได้รับความรู้มากมายในการดูแลรักษาอาการปวดประจำเดือนรวมไปถึงอาการไข้ทับระดูไว้หลายขนาน ไม่ว่าจะเป็น ใบไผ่ 7 ใบต้มน้ำกิน และปะสะไพล สูตรต่างๆ ความรู้ต่างๆ ที่ได้รับมาด้วยความปรารถนาดีของคนแวดล้อมที่รู้จัก เป็นความรู้ที่เกิดจากการเรียนรู้ประสบการณ์ของคนที่มาก่อน แล้วบอกถ่ายทอดกันต่อๆ มา จนมีคำหนึ่งที่เรียกว่า “ยาขอ หมอวาน” ใช้เรียกขานความรู้ในแบบนี้ไว้ ยาและสูตรที่ขอมากิน ทำให้หมอเองก็ไม่เหน็ดเหนื่อยมากเกินไปที่จะต้องดูแลคนไข้ไปเสียทุกอาการ ภาระการดูแลสุขภาพเป็นเรื่องที่คนในครอบครัวและชุมชนสามารถดูแลและให้บริการกันเองได้ ยาดองลำไยนอกจากจะทำให้เลือดลมเดินดีอย่างที่ป้าว่าแล้วยังมีสรรพคุณทางยาอย่างน่ามหัศจรรย์ไม่แพ้รสชาติที่หอมหวาน ด้วยรสหวานที่มีฤทธิ์ร้อน นี่เอง คนจีนใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงเลือดลม หัวใจ และม้าม บำรุงประสาท สงบประสาท แก้ประสาทอ่อน แก้อ่อนเพลียจากการทำงานหนัก มีอาการหลงลืมง่าย และนอนไม่หลับ แต่กินลำไยมานานก็ชักเบื่อที่จะทำเป็นน้ำดื่มขึ้นมาเหมือนกัน พอดีเพิ่งได้ลำไยแห้งมาก็เลยทดลองทำต้มยำลำไย เพื่อให้รสชาติคุ้นลิ้นของมันยังคงปรากฎชัดในน้ำซุป ต้มยำจำแลงจึงไม่ใช่ ข่า ตะไคร้ และใบมะกรูดซึ่งเป็นสมุนไพรดับคาวมาปนเพื่อไม่ให้กลิ่นข่ม และตีกัน ตัวที่ใช้ดับคาวปลาสลิดสดที่จะเอาไปต้มใส่จึงใช้มะขามเปียกแทน ซึ่งนอกจากดับคาวแล้วยังให้รสเปรี้ยวเฉพาะตัวซึ่งเข้ากันดีกับรสหวานปะแล่มจากเนื้อลำไยแล้ว ซอยขิงอ่อนเป็นแว่นบางๆ ใส่ไปด้วยเพื่อที่จะได้เคี้ยวเล่นได้พร้อมหอมแดงบุบ โดยมีเกลือและพริกขี้หนูช่วยปรุงรส รสต้มยำลำไยครบ 3 รส กินแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่น สดชื่น เหมาะสำหรับช่วงที่ฝนตกชุกจนอากาศเย็นชื้นไปจนถึงช่วงอากาศหนาว เป็นอีกเมนูหนึ่งที่อาจจะใช้สลับชั่วครั้งชั่วคราวกับเมนูจากแคบ้านดอกขาวในยามที่อากาศอาจพาไข้หัวลมมานะคะการทำต้มยำลำไยต้มลำไยในน้ำประมาณ 1 ? ถ้วย ด้วยไฟกลางๆ โดยใช้ลำไยสัก 1/3 ถ้วย ใส่มะขามเปียกไร้เม็ด 1 – 2 ฝัก เกลือ หอมแดง และขิงลงไปพร้อมกัน ดูจนหอมสุกดีหรือมีเนื้อใสแล้วชิมรสน้ำซุป น้ำเดือดดีแล้วใส่ปลาสลิดลงไป รอเดือดอีกทียกลง ก่อนเสิร์ฟใส่พริกขี้หนูบุบลงในก้นถ้วยแล้วตักเนื้อและน้ำแกงลงไป วิธีเลือกลำไยแห้งลำไยแห้งที่ดีจะต้องมีสีเนื้อแดงใส ไม่ดำเข้มคล้ำและไม่มีกลิ่นเหม็นอับเก่า ซึ่งระยะหลังๆ มานี่ชาวสวนลำไยมักรู้ทัน “ราคาตลาด” ดีว่าไปไม่ค่อยรุ่งเท่าไหร่จึงลด ละ เลิกจากฉีดยาและบำรุงปุ๋ยลงไปในสวน แต่ยังมีอีกหลายคนที่กล้าและมีทุนถึงที่จะเสี่ยงใช้สารเร่งผลิตเพื่อให้ผลมันออกก่อน เพราะออกก่อน มาใหม่ได้ราคาดี คนกินฉลาดซื้อรู้ดีก็ช่วยอดใจรอตอนให้มันมีชุกก่อนจึงค่อยกินเพราะเสี่ยงน้อยกว่า หรือถ้าจะให้ดีเลือกกินและอุดหนุนชาวสวนที่ปลูกแบบอินทรีย์ก็จะทำให้ระบบการปลูกลำไยที่ดียังคงมีผลผลิตดีๆ ให้เราได้กินกันต่อไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 สัพเพเหระเรื่องอาหาร

วันหนึ่งในเดือนตุลาคมปีนี้ ผู้เขียนได้ชมข่าวเช้าทางโทรทัศน์ไทยช่วงราว 7.15 น. เป็นข่าวเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งดีมาก ๆ เนื่องจากไม่น่าเบื่อเท่าการอ่านข่าวทางหนังสือพิมพ์ผ่านหน้าจอโทรทัศน์ โดยผู้อ่านไม่ได้เข้าใจธรรมชาติของเนื้อข่าวเท่าที่ควร ในวันนั้นมีข่าวเกี่ยวกับชายผู้หนึ่งที่เป็นโรคเก๊าท์ไปหาแพทย์ ซึ่งแพทย์ผู้ให้การบำบัดนั้นได้อธิบายถึงสาเหตุและวิธีป้องกัน โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารบางประเภทที่เพิ่มความเสี่ยง ตัวอย่างหนึ่งที่อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิด แต่ไม่น่าเป็นห่วงนัก เพราะถึงผิดก็ไม่ก่อปัญหาสักเท่าไรคือ แพทย์ท่านนั้นได้แนะนำว่า ไม่ควรบริโภคอาหารประเภทยอดผักซึ่งมีกรดยูริกสูง (นอกเหนือไปจากเครื่องในของสัตว์) ความถูกคือ ใช่ ไม่ควรบริโภค ความผิดคือ ยอดผักไม่ได้มีกรดยูริกสูง บังเอิญโชคดีของทีวีไทยที่ผู้ประกาศข่าวในวันนั้นแน่มาก ได้แก้ไขความคลาดเคลื่อนว่า ยอดผักมีสารจำพวกพิวรีน (purine) ซึ่งถูกเปลี่ยนไปเป็นกรดยูริกได้ในร่างกายมนุษย์สูง ผู้เขียนขอขยายความเพิ่มว่า ในพืชผักทุกชนิด ขณะกำลังเติบโต ส่วนที่เป็นยอดจะมีการแบ่งเซลล์อย่างรวดเร็ว ดัชนีที่บอกว่าเซลล์กำลังแบ่งอยู่คือ การสร้างโครโมโซมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในเซลล์แล้วแบ่งจากหนึ่งเซลล์เป็นสองเซลล์เรื่อยๆ ไป ที่สำคัญคือ ระหว่างการสร้างโครโมโซมนั้นจะมีการสร้างสารจำพวก พิวรีน และ พิริมิดีน (pyrimidine) เพื่อนำมาประกอบเป็นดีเอ็นเอของโครโมโซม ดังนั้นถ้าเรากินยอดผักมาก ก็จะได้สารทั้งสองกลุ่มนี้สูง สารกลุ่มพิริมิดีนนั้นร่างกายสามารถเปลี่ยนแปลงและขับออกจากร่างกายได้ เมื่อมีปริมาณเกินความต้องการ ในขณะที่สารกลุ่มพิวรีนนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นกรดยูริก ซึ่งร่างกายมนุษย์ขับออกได้ทางไตในระดับหนึ่ง ดังนั้นถ้ามีเหลือมากๆ ในรูปของเกลือยูเรทก็จะไปสะสมที่ข้อต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดความเจ็บปวดเหมือนมีเม็ดทรายเล็กๆ อยู่ นอกจากนี้การมียูริกในเลือดสูงก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะด้วย ด้วยเหตุนี้การดื่มน้ำมากๆ ในแต่ละวัน จึงเป็นข้อดีเพราะเพิ่มการขับยูริกออกมาในปัสสาวะและลดความเข้มข้นของสารนี้ในเลือด พูดถึงเรื่องการดื่มน้ำมาก มีนักวิชาเกินท่านหนึ่งออกมาอวดรู้ทั้งในเน็ตและโทรทัศน์ว่า การดื่มน้ำมากทำให้ไตเป็นอันตรายเพราะต้องทำงานหนักในการขับฉี่ ข้อมูลนี้ทำให้ผู้เขียนเกิดความงงมาก เนื่องจากชายแก่ผู้นี้จบวิชาชีพที่ต้องเรียนวิชาสรีรวิทยามาแน่นอน แต่สามารถพูดข้อมูลที่กลับตาลปัตรไปอย่างนี้ได้ ชายแก่ผู้นี้เป็นคนเดียวกับที่เคยพูดด้วยว่า การดื่มนมวัวมีความเป็นพิษ ทำให้เลือดเป็นกรด เพราะนมนั้นถ้าถูกหมักด้วยเชื้อแบคทีเรียก็จะเกิดกรด ซึ่งเป็นความเข้าใจถูกที่ผิด เพราะในความเป็นจริงแล้ว การหมักนมในภาชนะเกิดกรดได้ แต่ในเลือดมนุษย์นั้นไม่มีแบคทีเรียแน่ๆ (เพราะถ้ามีก็แสดงว่าเกิดการติดเชื้อ) การหมักย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้นถ้าผู้บริโภคที่ได้ฟังอะไรแปลกๆ ก็ขอให้ฟังหูไว้หู แล้วสอบถามหาความรู้จากผู้ที่ท่านคิดว่าน่าเชื่อถือ ซึ่งมักเป็นคนที่ไม่นิยมฟันธงและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการขายสินค้าหรือบริการ เรื่องเกี่ยวกับการเกิดโรคบางโรคที่เกิดเนื่องจากการดื่มน้ำอีกโรคหนึ่งซึ่งมักมีคนเข้าใจผิด อาจเนื่องจากการได้รับการสอนมาผิด หรือประมวลความรู้ที่ตนมีออกมาเป็นปัญญาผิดคือ เรื่องการที่คนอีสานเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะเนื่องจากดื่มน้ำกระด้าง ขอให้ท่านผู้อ่านลองถามคนข้างเคียงว่า ทราบสาเหตุที่แท้จริงหรือไม่ สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะของคนทางอีสานนั้น เกิดขึ้นเพราะกินอาหารขาดแหล่งของโปรตีนที่ต้องใช้คำว่าแหล่งของโปรตีนก็เพราะ โปรตีนนั้นต้องอยู่ในเซลล์ใหญ่เล็กต่างๆ ดังนั้นเมื่อพูดถึงเซลล์แล้ว นอกจากโปรตีนในเซลล์ องค์ประกอบที่สำคัญมากคือ ดีเอ็นเอ ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลทางพันธุกรรมของเรา ดีเอ็นเอนั้นมีองค์ประกอบสำคัญคือ เบส (base) ซึ่งแบ่งเป็น พิวรีน และ พิริมิดีน (ที่กล่าวแล้วในเรื่องการเกิดเก๊าท์ข้างบน) ส่วนที่สองคือ น้ำตาลกลุ่มดีออกซีไรโบส และส่วนที่สามคือ กลุ่มอนุมูลฟอสเฟต ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนยึดหน่วยอื่นไว้ให้เป็นเส้นยาวได้ กลุ่มฟอสเฟตนี้เป็นส่วนสำคัญจากอาหารโปรตีน ที่ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ความรู้นี้เกิดขึ้นจากการทำวิจัยของ ศ. นพ อารี วัลยะเสวี และ ศ. พญ. คุณสาคร ธนมิตต์ ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและอดีตผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ (เจ้านายเก่าของผู้เขียนนั่นเอง) พบว่า ถ้าใครก็ตามกินอาหารขาดโปรตีนก็จะขาดฟอสเฟตไปด้วย และถ้าเขาผู้นั้นกินอาหารพืชผักที่มีสารออกซาเลตสูง เช่น ใบชะพลู หัวกลอย หรือพืชผักอะไรก็ตามที่กินแล้วคันคอได้ ให้สันนิษฐานว่ามีออกซาเลตสูง ออกซาเลตนี้เมื่อดูดซึมเข้าเลือดสามารถไปจับตัวกับธาตุแคลเซียมซึ่งอยู่ในเลือด แล้วไปตกตะกอนที่กระเพาะปัสสาวะกลายเป็นก้อนนิ่วได้ แต่ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดระหว่างออกซาเลตและแคลเซียมนี้มีกลุ่มฟอสเฟตสามารถมาเล่นบทบาท หมูเขาจะหามกลับเอาคานเข้ามาสอด ได้ เพราะกลุ่มฟอสเฟตทำปฏิกิริยาเคมีกับแคลเซียมในระบบเลือดเก่งกว่าออกซาเลตหลายเท่า และเมื่อเกิดเป็นสารแคลเซียมฟอสเฟตแล้ว ออกซาเลตก็ตกตะกอนไม่ได้อาการเกิดเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะจึงลดลง อาจารย์ทั้งสองท่านได้ทดลองให้เด็กชาวอุบลที่มีปัสสาวะขุ่นซึ่งเป็นอาการแสดงออกถึงโอกาสเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะกินกลุ่มฟอสเฟตผสมกับเครื่องดื่มน้ำดำ (ซึ่งก็มีฟอสเฟตเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยแล้ว) ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นเด็กฉี่ใสเลย ผลงานวิจัยนี้ทำให้อาจารย์ทั้งสองท่านได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นจากสภาวิจัยแห่งชาติ ในอินเตอร์เน็ตนั้นมีนักพูดบางคนกล่าวว่า การขาดแคลเซียมทำให้เป็นโรคต่างๆ ได้มากกว่า 200 โรค ตั้งแต่ มะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน ความจำเสื่อม และอาจจะเกือบทุกโรคที่ท่านผู้อ่านนึกได้ เพราะเขาผู้นั้นก็นึกได้เท่ากับท่านผู้อ่านนั่นแหละ เหตุผลที่การขาดแคลเซียมทำให้เกิดโรคต่างๆ เขาผู้นั้นกล่าวว่า เพราะการขาดแคลเซียมทำให้เกิดอาการเลือดเป็นกรด ดังนั้นจึงต้องกินแคลเซียม โดยเฉพาะแคลเซียมที่ได้จากปะการัง หรือ coral calcium มีฤทธิ์เป็นด่างโดยธรรมชาติของมัน จึงสามารถไปจัดการกับการเกิดกรด สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนี้ไม่ถูกนัก แม้ว่าจริงอยู่ที่การขาดแคลเซียมมีผลต่อความแข็งแรงของกระดูก แต่ปรากฏการณ์กระดูกพรุนไม่ได้ทำให้เกิดอาการเลือดเป็นกรด เหมือนอย่างคนที่ขายแคลเซียมขู่ อาม่า อาอึ้ม ทั้งหลาย เนื่องจากร่างกายมีระบบปรับแต่งความเป็นกรดด่างของเลือดให้อยู่ในช่วงประมาณ 7.4 คือ เป็นกลางๆ เพื่อให้ระบบเอนไซม์ในเลือดทำงานได้ดี โอกาสที่สารละลายในร่างกายถูกปรับความเป็นกรดด่างได้ด้วยการกินอะไรบางอย่างเข้าไปคือ ฉี่ ซึ่งเป็นกระบวนการที่แพทย์และเภสัชกรใช้ในการขับยาหรือสารพิษบางชนิดออกจากร่างกาย นักพูดบางคนมักกล่าวว่า มีสังคมมนุษย์หลายสังคมในโลกนี้ที่สมาชิกไม่เคยป่วย ไม่เคยเป็นมะเร็ง หรือเป็นโรคอะไรเลย ไม่เป็นแม้เบาหวาน และอายุเฉลี่ยยาวกว่าคนปรกติถึง 30-40 ปี เหตุที่เป็นดังนี้เพราะเขาเหล่านั้นได้รับสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายต้องการปริมาณน้อย (micronutrient) สูงกว่าค่ามาตรฐานของ RDA (ตัวเลขที่นักวิชาการแนะนำให้ประชาชนกินเพื่อให้มีสุขภาพดี) ถึง 100 เท่า ประโยคดังกล่าวนั้น ขี้หกทั้งเพ เพราะไม่มีสังคมมนุษย์สังคมใดที่มันจะแข็งแรงกันไปหมด จนไม่ป่วย การกินสารอาหารพวก ไวตามิน เกลือแร่ และสารพฤกษเคมีเข้าไปเป็น 100 เท่าของที่ควรนั้น คนธรรมดาคงทำยาก เช่น กรณีของเหล็ก ถ้ากินมากถึงระดับ 100 เท่าของที่แนะนำกันตามปรกติ อาจถึงตายได้ทีเดียว (ยกเว้นคนบางประเภทเท่านั้นที่กินเหล็กได้ในปริมาณสูง แล้วยังมีความสุขได้นะครับท่านประธานที่เคารพ) เราอาจเคยได้ยินนักวิชาเกินบางท่านกล่าวว่า ร่างกายมนุษย์นั้นมหัศจรรย์สามารถบำบัดโรคต่างๆ ได้เอง ถ้าได้รับสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายตัองการครบ ดังนั้นกว่าร้อยละเก้าสิบของโรคที่ประชาชนเป็นกันนั้นสามารถกำจัดได้ถ้าเขาเหล่านั้นได้รับสารอาหารที่เหมาะสม ความเข้าใจนี้อาจทำให้เกิดความเสี่ยงได้ แม้จะมีส่วนของความเป็นจริงอยู่บ้าง แต่ส่วนที่ไม่เป็นจริงนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงเช่น กรณีของอาการความดันโลหิตสูงที่มักเกิดเมื่ออายุมากขึ้น ถ้าปล่อยให้ร่างกายรักษาตนเองโดยพยายามหาอาหารหรือสมุนไพรกินเองโดยไม่ไปพบแพทย์ ทั้งแผนปัจจุบันหรือไม่ปัจจุบันก็ตาม อาจทำให้เวลาที่อยู่ในโลกนี้ของผู้มีอาการความดันผิดปรกติน้อยลงได้ ยังมีเรื่องตลกที่ขำไม่ออกเกี่ยวกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์สุขภาพอีกมากมายเกิดขึ้นในอินเตอร์เน็ตและรายการโทรทัศน์ แม้กระทั่งในภาพยนตร์ไทยบางเรื่องที่พยายามสร้างให้น่าสนใจเกี่ยวกับความรักของคนกับมนุษย์นาคา ซึ่งพอเริ่มเรื่องก็พลาดอย่างน่าเสียดายเช่น การที่คนสมัยมนุษย์ถ้ำทำนายว่า เมื่อถึงเวลาที่ดาวนพเคราะห์ทั้งเก้ามาเรียงตัวกันบนฟากฟ้า ก็ให้มนุษย์นาคาสองคนมารวมกันทิ้งร่างมนุษย์กลับเป็นเผ่าพันธุ์เดิม ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น คนไทยเพิ่งรู้ว่าระบบสุริยะจักรวาลมีดาวเก้าดวงเมื่อสักร้อยปีมานี่เองกระมัง และที่สำคัญตอนนี้ได้มีคนกลุ่มหนึ่งได้ปลดดาวดวงหนึ่งออกไปด้วย เลยทำให้ระบบสุริยะจักรวาลมีดาวแค่ 8 ดวง เรื่องแบบนี้ผู้เขียนจะหาโอกาสนำมาเล่าเพื่อความครื้นเครงต่อไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 แข็งแรงและผิวสวยด้วยวิตามิน ?

วิตามิน คืออะไร?วิตามินคือสารอินทรีย์ที่ร่างกายต้องการในปริมาณเพียงเล็กน้อยมากในแต่ละวัน เพื่อการเจริญเติบโตและการสร้างพลังงานของทุกเซลล์ในร่างกาย จำเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพที่ดี เราจำเป็นต้องได้รับวิตามินไม่ว่าจะจากอาหารที่รับประทานหรือจากการได้รับอาหารเสริม วิตามินเป็นสิ่งที่ร่างกายเราไม่มีและไม่ได้สร้างขึ้นเอง มีวิตามินทั้งหมด 13 ชนิด ที่ร่างกายควรจะได้รับ วิตามินไม่ใช่อาหารและไม่สามารถใช่ทดแทนอาหารได้ วิตามินไม่มีแคลอรี่ และไม่สามารถให้พลังงานโดยตรงกับร่างกาย แต่เราก็ยังจำเป็นต้องได้รับวิตามินเพื่อไปทำหน้าที่เปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงาน วิตามิน แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มตามคุณสมบัติการละลายในตัวทำละลาย1. วิตามินชนิดที่ละลายได้ในน้ำมันหรือไขมัน วิตามินกลุ่มนี้ เช่น วิตามินเอ อี ดี และเค วิตามินเหล่านี้จะสามารถถูกกักเก็บไว้ตามกล้ามเนื้อหรือไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ภายหลังจากที่เรารับประทานเข้าไป ข้อดีคือ เราไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินกลุ่มนี้ทุกวันเพราะมีสะสมอยู่ตามกล้ามเนื้อ แต่หากเรารับประทานวิตามินเหล่านี้มากเกินไปจะเกิดการสะสมมากเกินไปในส่วนต่างๆ ทำให้เป็นพิษจากวิตามินได้เช่นกัน 2. วิตามินชนิดที่ละลายได้ในน้ำ เช่น วิตามินซี และบี วิตามินกลุ่มนี้ไม่สามารถถูกสะสมหรือกักเก็บในร่างกายได้นานเนื่องจากคุณสมบัติที่ได้ละลายได้ดีในน้ำ จึงถูกกำจัดออกทางปัสสาวะหรือเหงื่อ ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินกลุ่มนี้ทุกวันจากการรับประทานอาหารหรืออาหารเสริม หากร่างกายได้รับวิตามินชนิดที่ละลายน้ำมากเกินไป ส่วนเกินของวิตามินจะถูกขับออกโดยไม่ทำให้เกิดพิษหรือปัญหาต่อร่างกาย วิตามินสำหรับต้านอนุมูลอิสระขบวนการหรือปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดขึ้นในร่างกายทุกขณะหรือตลอดเวลาไม่ว่าเราจะตื่นอยู่หรือกำลังนอนหลับคือ ปฏิกิริยาที่เรียกว่า ‘ออกซิเดชั่น’ เป็นปฏิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นและก่อให้เกิดอนุมูลอิสระสะสมภายในเซลล์และอวัยวะในทุกส่วนของร่างกาย อนุมูลอิสระเหล่านี้ทำลายเซลล์ทุกชนิด และนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความเหี่ยวย่นของผิวหนังและความเสื่อมของทุกเซลล์จนทำให้เซลล์ตายได้ในที่สุด สารต้านอนุมูลอิสระ คือสารที่สามารถป้องกันหรือยับยั้งปฏิกิริยาลูกโซ่ของปฏิกิริยาออกซิเดชั่นได้ สารต้านอนุมูลอิสระสามารถทำหน้าที่ปกป้องเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระ อันอาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกร่างกายด้วย เช่น จากรังสีดวงอาทิตย์ หรือฝุ่นละอองจากสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ร่างกายคนเราก็สามารถสร้างสารต้านอนุมูลอิสสระได้เอง เพื่อปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื่องจากอนุมูลอิสระในร่างกายเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จากสภาวะความเครียดและความกดดันของร่างกายในโลกปัจจุบัน ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระที่ผลิตขึ้นเองภายในร่างกายไม่เพียงพอในการปกป้องเซลล์ทุกชนิดในร่างกายได้ ดังเห็นได้จากการเจ็บป่วยที่ไม่รู้สาเหตุมากมาย เราจึงจำเป็นต้องเพิ่มหรือเสริมให้ร่างกาย ประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระ 1. ทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกาย เป็นการปกป้องเนื้อเยื่อที่แข็งแรงของร่างกายในทุกส่วน2. สารต้านอนุมูลอิสระสามารถเสริมความเข็มแข็งของกล้ามเนื้อและโครงสร้างของเส้นเลือดทั้งหลายในร่างกาย ซึ่งเป็นการเสริมความแข็งแรงของระบบเลือดและหัวใจโดยทางอ้อม3. สารต้านอนุมูลอิสระนับเป็นยาอายุวัฒนะที่ช่วยชะลอความแก่ของผิวพรรณและร่างกาย และยังมีรายงานสนับสนุนว่าสามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วย วิตามินสำหรับต้านอนุมูลอิสระ ที่ให้ผลโดดเด่น ได้แก่ วิตามินเอ ซี อี และแร่ซีเลเนี่ยมวิตามินต้านอนุมูลอิสระจากผลไม้ เช่น ลูกพรุนทั้งสดและแห้ง องุ่นทั้งสดและแห้ง ผลไม้ชนิดเบอรี่ทั้งหลาย เช่น สตรอว์เบอรี่ ผลฝรั่งและส้มจะอุดมมากด้วยวิตามินซี ฯลฯวิตามินต้านอนุมูลอิสระจากผัก เช่น ผักบุ้ง บล็อกเคอรี่ ผักขม ฯลฯพืชสมุนไพรที่อุดมด้วยวิตามินต้านอนุมูลอิสระ เช่น ขิง ข่า ขมิ้น กระเทียม ฯลฯชาเขียว อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีการศึกษาอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นชาขาว ชาดำ ชาเขียว นักวิทยาศาสตร์พบว่าสามารถต้านหรือป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ได้ พร้อมๆ กับการช่วยชะลออายุผิวอีกด้วยเมื่อนำมาผสมผสานในเครื่องสำอาง ผิวสวยด้วยวิตามินได้อย่างไร?วิตามินซี อี บี6 บี12 โฟลิคแอซิด และวิตามินเอ จัดเป็นวิตามินที่พบในอาหารทั่วไปและในมัลติวิตามินที่จำหน่ายในร้านขายยาและอาหารเสริม หน้าที่หลักของวิตามินเหล่านี้คือ การไปทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น ป้องกันเซลล์ผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายหรือเหี่ยวย่นก่อนวัย ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยชะลอความแก่ของร่างกายส่วนต่างๆ ได้ไม่เฉพาะแต่ผิวหนังเท่านั้น ทางการแพทย์เชื่อว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีที่สุดควรจะได้จากผักสดและผลไม้สดเท่านั้น อย่างไรก็ตามแหล่งของอาหารเสริมที่สามารถให้สารต้านอนุมูลอิสระ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่สองที่สามามารถทดแทนได้เช่นกันสำหรับผู้ที่รับประทานผักสดและผลไม้สดน้อยเกินไป การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญ เช่น วิตามินซี เอ บี6 บี12 และสำคัญที่สุดที่ต้องไม่ขาดคือวิตามินอี นักวิทยาศาสตร์พบว่าวิตามินอีมีบทบาทสำคัญที่สุดในการช่วยชะลออายุของผิวหนัง ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยป้องกันการเกิดโรคทั่วไปหลายๆ ชนิด วิตามินอี สามารถใช้ในรูปแบบของครีมทาผิว และในรูปแบบของแคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัมสำหรับรับประทาน เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น มีความยืดหยุ่นและปรับสภาพผิวหนังให้เนียมนุ่มได้อย่างรวดเร็ว มีประวัติการใช้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันส่วนวิตามินซี แม้ว่าจะมีประโยชน์มากมาย เช่น ให้ความชุ่มชื้นผิวหนัง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ช่วยชะลอและยืดอายุผิวหนัง แต่เนื่องจากคุณสมบัติของวิตามินซีที่ละลายในน้ำได้ดีมาก ทำให้คุณสมบัติการเป็นสารต้านอนุมูลอิสสระสลายไปได้อย่างรวดเร็วเมื่อละลายในน้ำหรือเมื่อถูกความชื้น ทำให้วิตามินซีที่ผสมผสานในครีมบำรุงผิวทั้งหลายไม่เกิดประโยชน์ต่อผิวหนังเลย นอกจากนั้นยังพบว่าวิตามินซีหรือวิตามินที่ละลายได้ดีในน้ำ ไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ ดังนั้นประโยชน์จากวิตามินซีในครีมบำรุงผิวจึงไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้พยายามคิดค้นและปรับปรุงโครงสร้างของวิตามินซีให้มีคุณสมบัติละลายน้ำได้น้อยลงแต่ละลายได้ดีในน้ำมันเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มความคงตัวและการดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังของวิตามินซีในเนื้อครีมบำรุงผิวเอกสารอ้างอิงhttp://www.vitaminsdiary.com/

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 105 รถเข็นเด็ก: อันตรายจากสารเคมีที่แอบแฝง

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการรายการข่าวหลายช่องได้นำเสนอข่าวอุบัติเหตุสุดช็อคที่เกิดขึ้นในประเทศออสเตรเลีย กรณีที่รถเข็นเด็กไถลจากชานชาลาและคว่ำลงในรางรถไฟจังหวะเดียวกับที่รถไฟวิ่งเข้าชานชาลาพอดี เดชะบุญเด็กน้อยไม่เป็นอะไรมากนอกจากหัวโน เนื่องจากคุณแม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัยไว้ทำให้เด็กไม่กระเด็นหลุดออกมานอกรถเข็นขณะโดนกระแทก (ตามข่าววันที่ 16 ตุลาคม 2552)  ไม่ว่าคุณแม่คนดังกล่าวจะเลือกใช้รถเข็นเด็กยี่ห้ออะไร แต่ถือว่ารถเข็นยี่ห้อดังกล่าวใช้ได้ครับ เพราะมีความแข็งแรงมากพอจนสามารถป้องกันเด็กจากอุบัติเหตร้ายแรงได้ พูดถึงเรื่องของรถเข็นเด็ก ในเยอรมนีก็ให้ความสนใจกับผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เป็นอย่างมาก มีการทดสอบสินค้าประเภทนี้เฉลี่ยแล้วปีละครั้ง แต่ละครั้งที่ทดสอบก็จะพบข้อบกพร่องมากบ้างน้อยบ้าง ซึ่งทางผู้ทดสอบก็จะแจ้งให้ผู้ผลิตรับทราบ ซึ่งผู้ผลิตของเยอรมนีเองก็ไม่เคยเพิกเฉย และไม่เคยโต้แย้งเกี่ยวกับผลการทดสอบเลยสักครั้ง ทั้งๆ ที่มาตรฐานอุตสาหกรรมการผลิตของเยอรมนีเองก็ขึ้นชื่อว่ามีมาตรการควบคุมและบังคับอย่างเข้มข้น สำหรับเมืองไทยของเรานั้น หากมีการร้องเรียนหรือการแจ้งข้อมูลจากผู้บริโภค/สื่อสารมวลชน ผู้ประกอบการและผู้ผลิตควรมีมาตรการรับผิดชอบหากพบข้อบกพร่องของผลิตภัณฑ์ หากเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งผู้ซื้อซื้อไปไม่เกิน 7 วัน แล้วพบว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่สามารถใช้ได้ เกิดข้อบกพร่องเสียหายซึ่งมาจากการผลิต ก็ควรจะเปลี่ยนสินค้าอันใหม่ให้เลย หลายครั้งที่ผู้เขียนมีประสบการณ์จากเพื่อนฝูง พี่น้องมาปรารภเกี่ยวกับการซื้อสินค้ามาใช้ไม่นานแล้วพบว่าสินค้าดังกล่าวไม่สมบูรณ์ ชิ้นส่วนบางอย่างเสียโดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้ซื้อเองต้องการจะเปลี่ยนสินค้าเป็นชิ้นใหม่แต่ผู้ขายไม่สามารถเปลี่ยนได้ ทำได้แค่เพียงส่งซ่อมและแก้ไขให้เท่านั้น บางกรณีอ้างว่า ไม่สามารถเปลี่ยนสินค้าชิ้นใหม่ได้ เนื่องจากผู้ซื้อไม่ได้ซื้อเงินสด (ใช้บริการผ่อนชำระ 0% ทำให้เสียสิทธิ!!!) ซึ่งการเปลี่ยนสินค้าให้แบบไม่มีเงื่อนไขคงไม่ทำให้ผู้ประกอบการต้องปิดกิจการเพราะโอกาสเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวนั้นไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ (หากเกิดขึ้นหลายๆ ครั้ง สินค้าชิ้นนั้นควรได้รับการตรวจสอบ เพราะอาจจะผลิตไม่ได้มาตรฐานจริงๆ) ลองติดตามดูข่าวคราวเกี่ยวกับความรับผิดชอบของผู้ประกอบการในบ้านเรายังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องดังกล่าวเลยครับ แต่เรื่องลักษณะนี้ก็มีเกิดขึ้นในสังคมอยู่เป็นประจำ สำหรับผมนั้นก็จะนำข่าวเหล่านี้มาเสนอให้เพื่อนสมาชิกทราบเป็นระยะๆ ครับ และหวังว่าการเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลในด้านการคุ้มครองผู้บริโภคจะมีผลต่อความรับผิดขอบของผู้ผลิตในเมืองไทย ตามมาตรฐานสากล สมกับที่ได้ตรามาตรฐาน ISO ซึ่งผู้ผลิตบ้านเราพยายามทำหรือหาวิธีที่จะให้ได้มาซึ่งมาตรฐานนี้ สำหรับมาตรฐานของฝรั่งที่ไม่ได้ออกเป็น ISO แต่เป็นมาตรฐานทางจริยธรรมของผู้ผลิตคือ การรับผิดชอบสินค้าที่ผลิตขึ้นและพบข้อบกพร่อง โดยการรับเปลี่ยนสินค้าแบบไม่มีเงื่อนไข และหากผู้ผลิตจะส่งสินค้าไปยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา ก็ต้องยอมรับเงื่อนไขจริยธรรมแบบฝรั่งด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นในสังคมไทยเมื่อไหร่ คงต้องดูกันต่อไปครับ กลับมาเรื่องของเราดีกว่า ฉบับนี้ผมนำเรื่องผลการทดสอบรถเข็นเด็กของนิตยสาร Test เยอรมนี ฉบับเดือนกันยายน 2552 มานำเสนอครับ ผลการทดสอบพบสารเคมีอันตรายในรถเข็นเด็กถึง 10 ยี่ห้อ จากจำนวนยี่ห้อที่นำมาทดสอบทั้งหมด 14 ยี่ห้อ ชิ้นส่วนที่มีการตรวจพบสารเคมีอันตราย ได้แก่ บริเวณที่จับ (Handle) เข็มขัดนิรภัย เบาะคลุม และที่กันฝน ชิ้นส่วนดังกล่าวมีปริมาณสารเคมีประเภท Plasticizer หรือ Phatalate และ สารเคมีประเภท Polycyclic Aromatic Hydro Carbon (PAHC) สารเคมีกลุ่มดังกล่าวนี้เป็นสารก่อให้เกิดมะเร็ง และทำให้เป็นหมันได้ สารเคมีดังกล่าวถูกตรวจพบในกลุ่มสินค้าหลายอย่าง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและเด็กอ่อน (baby article) ได้แก่ เก้าอี้เสริมของเด็ก เก้าอี้หัดเดิน และเครื่องเขียน เป็นต้น ในการทดสอบครั้งนี้ยังพบสารเคมีอันตรายชนิดอื่นด้วย อาทิ Chlorinated paraffin, สารป้องกันการติดไฟ (flame retardant) สารเคมีกลุ่ม Organozine กลุ่ม Phenol และFormaldehyde ผลการทดสอบสะท้อนให้เห็นว่าผู้ผลิตยังไม่ตระหนักถึงอันตรายที่หลบซ่อนอยู่ในผลิตภัณฑ์ ถึงแม้ว่าสารเคมีที่กล่าวมานี้จะไม่ทำให้เกิดอันตรายแบบปัจจุบันทันด่วน แต่หากสารเคมีเข้าสู่ร่างกาย ก็จะเกิดการสะสม สามารถส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเด็กในอนาคตได้ ดังนั้น ผู้ผลิตควรต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีมาตรฐาน เพื่อให้ปลอดภัยจากสารเคมีอันตรายทั้งหลายเหล่านี้ สำหรับยี่ห้อที่ตรวจพบสารเคมีอันตรายดังกล่าว คุณพ่อคุณแม่สามารถดูได้จากข้อมูลที่เรานำมาลง และหากพบสินค้ายี่ห้อดังกล่าวมีวางจำหน่ายในประเทศไทย ก็ควรจะหลีกเลี่ยงไม่เลือกมาใช้งานและแจ้งมายังมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคด้วยนะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 104 วิ่งอย่างรับผิดชอบ

เรื่องทดสอบ 2ฝนเริ่มซาฟ้าเริ่มใส ได้เวลาออกไปหาวิ่งออกกำลังกินลมชมวิวกันแล้วพี่น้อง คราวนี้นอกจากจะปัดฝุ่นและสำรวจว่ารองเท้าวิ่งที่คุณมีอยู่นั้นยังใช้ได้ดีอยู่หรือควรซื้อคู่ใหม่แล้ว ฉลาดซื้ออยากชวนทุกท่านมามองให้ลึกลงไปว่ากว่าจะมาเป็นรองเท้าวิ่งที่ให้เราได้โลดลิ่วไปข้างหน้าสู่ฝันอันยิ่งใหญ่ เช่นผอมลง หรือเฟิร์มขึ้นนั้น เราได้ทิ้งปัญหาสังคมหรือสิ่งแวดล้อมไว้เบื้องหลังหรือเปล่า ฉบับนี้มีผลการสำรวจ โดยองค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (ICRT หรือ International Consumer Research and Testing) ซึ่งทำในช่วงปลายปี พ.ศ. 2551 เพื่อให้ข้อมูลกับผู้บริโภคเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของบรรดาแบรนด์รองเท้าสำหรับวิ่งออกกำลังกาย (ไม่รวมรองเท้ากีฬาประเภทอื่นหรือรองเท้าแฟชั่น/ลำลอง) ย้ำว่าเป็นการสำรวจเฉพาะกิจการของบริษัทในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การผลิต จัดหาวัตถุดิบ การตลาด การจัดจำหน่าย และลูกค้าสัมพันธ์ สำหรับผลิตภัณฑ์รองเท้าสำหรับวิ่งออกกำลังกาย ในระหว่างปีพ.ศ. 2548 -2550 เท่านั้น ทีมสำรวจได้ส่งแบบสอบถามและขออนุญาตเยี่ยมชมโรงงานของบริษัททั้งหมด 9 บริษัท แต่มีเพียง 5 บริษัทเท่านั้นที่ให้ความร่วมมือ ได้แก่ รีบอค อาดิดาส พูม่า นิวบาลานส์ และมิซูโน* ส่วนที่เหลืออีก 4 บริษัท ได้แก่ไนกี้ แอสซิค บรู๊คส์ และซอโคนี่ ขอไม่เข้าร่วมการสำรวจครั้งนี้ มาดูกันเลยดีกว่าว่าบริษัทผู้ผลิตรองเท้ายี่ห้อดังๆที่ทำตลาดไปทั่วโลกนั้นได้แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด แบรนด์ที่คุณรักนั้นน่ารักจริงหรือไม่ การผลิตรองเท้าสำหรับวิ่งนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้แรงงานอย่างเข้มข้น โดยเฉลี่ยแล้วรองเท้าหนึ่งคู่อาจมีชิ้นส่วนถึง 50 ชิ้นที่ต้องใช้การประกอบด้วยมือ แต่เชื่อหรือไม่ว่า ในราคารองเท้าหนึ่งคู่นั้น มีส่วนแบ่งที่เป็นค่าแรงของพนักงานไม่ถึงร้อยละ 1 สำรวจอะไรบ้าง? นโยบายของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการให้ข้อมูลด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ? นโยบายด้านสังคม การดูแลพนักงาน สภาพการทำงาน ในกระบวนการผลิตรองเท้าวิ่ง? นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม มาตรการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการรักษาสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต ? ความโปร่งใสในการให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน ประเด็นน่าสนใจ บริษัทรองเท้าวิ่ง ยี่ห้อดังๆ ต่างก็ตื่นตัวในเรื่องความรับผิดชอบต่อกระบวนการต่างๆในการจัดหาวัตถุดิบมาใช้ในการผลิต อาดิดาส รีบอค และพูม่า มีการปรับปรุงเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่นิวบาลานส์และมิซูโน ยังคงตามหลังเพื่อนอยู่บ้างในบางเรื่อง แม้หลายๆแบรนด์จะพยายามเพิ่มสินค้าประเภทเสื้อผ้า หรือเครื่องกีฬาอื่นๆ แต่ผลิตภัณฑ์ที่ทำกำไรให้มากที่สุดยังคงเป็น รองเท้ากีฬานั่นเอง ตัวอย่างแนวคิดและกิจกรรมดีๆจาก รีบอค พูม่า อาดิดาส และนิวบาลานส์ - การเข้าร่วมโครงการต่างๆของสมาคมยุติธรรมแรงงาน (Fair Labour Association) - การจัดให้มีระบบรับเรื่องร้องเรียนของพนักงาน - การฝึกอบรมให้กับพนักงานทั้งฝ่ายปฏิบัติการและฝ่ายบริหาร - การจัดตั้งทีมงานในโรงงานเพื่อการตรวจสอบภายใน ลักษณะโดยทั่วไปของพนักงานในโรงงานรองเท้าที่นักวิจัยได้ทำการสำรวจ คือ เป็นหญิง อายุระหว่าง 20 -30 ปี ทำงานมาแล้วคนละประมาณ 2 – 3 ปี และร้อยละ 99 เป็นคนต่างด้าว พนักงานได้รับค่าแรงขั้นต่ำตามอัตราที่กฎหมายกำหนด แต่พวกเขายังไม่มีรายได้เพียงพอที่จะใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แม้จะพบว่าไม่มีโรงงานไหนจ่ายค่าจ้างน้อยกว่าอัตราขั้นต่ำ แต่พนักงานกลับถูกหักเงินเดือนเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร และค่าทำความสะอาดพื้น (รวมๆแล้วประมาณ ร้อยละ 75 ของอัตราค่าแรงขั้นต่ำ) พนักงานส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเรื่องของสหภาพแรงงาน และมีจำนวนมากที่ไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน ทั้งๆที่มีหลักฐานในใบรับเงินเดือนว่าพวกเขาถูกหักเงินเพื่อเป็นค่าบำรุงสหภาพทุกเดือน แม้ว่าจากการสำรวจครั้งนี้จะไม่พบสภาพที่เรียกว่า “โรงงานนรก” แต่ก็ยังต้องมีการปรับปรุงอีกหลายๆด้าน เช่น พนักงานยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องสิทธิของตนเอง นอกจากนี้ยังไม่มีการปรับสภาพการทำงาน มีอยู่โรงงานหนึ่งที่นักวิจัยพบว่า พนักงานมีความบกพร่องทางการได้ยิน และมีภาวะโลหิตจางในระดับสูง นอกจากนี้ยังพบว่าพนักงานจำนวนไม่น้อยยังมีความเสี่ยงต่อเครื่องจักรและสารแคมีที่เป็นอันตรายอยู่ การประกอบรองเท้านั้นเป็นเพียงขั้นตอนสุดท้าย แต่มันเป็นการนำเอาชิ้นส่วนที่ทำเสร็จแล้วจากกระบวนการก่อนหน้านั้นที่อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ของเสียที่เกิดจากการผลิต เศษผ้า เศษชิ้นส่วน ก็อาจเป็นผลต่อสิ่งแวดล้อมได้ถ้าไม่มีระบบการจัดการที่ดีพอ ข้อมูลจากกรีนพีซระบุว่าอุตสาหกรรมรองเท้านั้นต้องใช้หนังสัตว์ จำนวนมากจึงทำให้เกิดการทำลายพื้นที่ป่าอเมซอนอย่างกว้างขวางเพื่อเคลียร์พื้นที่ให้กับไร่ปศุสัตว์ เพื่อสนองความต้องการรองเท้าของคนทั้งโลก คุณจ่ายค่าอะไรบ้าง เมื่อซื้อรองเท้าวิ่งหนึ่งคู่สมมุติว่ารองเท้าคู่นี้ราคา 100 บาท 32.60 บาท >> ร้านค้าปลีก 17.4 บาท >> ภาษีมูลค่าเพิ่ม 13.50 บาท >> เจ้าของแบรนด์ 11 บาท >> การวิจัยและพัฒนา 8.50 บาท >> โฆษณา ประชาสัมพันธ์ 8 บาท >> วัตถุดิบ 5 บาท >> ค่าขนส่งและภาษี 2 บาท >> โรงงานที่ผลิต 1.60 บาท >> ค่าการผลิตอื่นๆ 0.40 บาท >> ค่าแรงของพนักงาน (ข้อมูลจากบทความเรื่อง The Real Deal: Exposing Unethical Behaviour เผยแพร่โดย สหพันธ์ผู้บริโภคสากล Consumers International) ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีนคือศูนย์กลางอุตสาหกรรมรองเท้าวิ่งของโลก แม้จะมีหลายๆบริษัทย้ายกิจการไปตั้งที่ประเทศอื่นๆ อย่าง เวียดนาม อินโดนีเซีย และยุโรปตะวันออก เพราะค่าแรงที่ถูกกว่า และกฎระเบียบไม่ค่อยเข้มงวด แต่โรงงานในจีนก็ยังได้เปรียบในเรื่องของการขนส่ง ทั้งถนนที่กว้างกว่า และท่าเรือที่สะดวกกว่าอยู่ดี แค่บริษัท Yue Yuen Industrial (บริษัทลูกของ Pou Chen Group ในไต้หวัน) บริษัทเดียวก็ผลิตรองเท้าออกมาถึงร้อยละ 17 ของรองเท้าจำนวน 190 ล้านคู่ทั่วโลกแล้ว Yue Yuen Industrial คือผู้ผลิตรองเท้ากีฬารายใหญ่ที่สุดในจีน ผลิตให้กับ 40 แบรนด์ ที่เรารู้จักกันดีได้แก่ ไนกี้ อาดิดาส รีบอค พูม่า แอสสิก นิวบาลานส์ คอนเวิร์ส บริษัทดังกล่าวในประเทศจีนมีพนักงานจำนวน 300,000 คน มีงานวิจัยในปีพ.ศ. 2551 ที่พบว่าพนักงานที่นี่มักถูกละเมิดสิทธิ์ ถูกบังคับให้ทำงานล่วงเวลา ถูกผู้บังคับบัญชาดุด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีมาตรฐานความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยต่ำ และพนักงานที่นั่น มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อเดือนเพียง 450 หยวน (2,200 บาท) กำไรจากการผลิตรองเท้ากีฬาของ Yue Yuen Industrial ในปีพ.ศ. 2551 เท่ากับ 390 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 13,000 ล้านบาท Yue Yuen Industrial บอกว่า ร้อยละ 60 ของราคารองเท้า เป็นต้นทุนค่าหนังสัตว์ที่ใช้เป็นวัตถุดิบ กาว และสารประกอบอินทรีย์ระเหยต่างๆ (Volatile Organic Compound หรือ VOCs) อาจทำให้เกิดปัญหาต่อระบบทางเดินหายใจ ปวดหัว หน้ามือ และส่งผลต่อการมองเห็น รวมทั้งอาจทำให้เกิดมลภาวะทางอากาศ ดิน และทำให้เกิดภาวะโลกร้อนอีกด้วย ฝ่ายบริหารของโรงงานในประเทศจีนไม่ให้การรับรองหรือยอมที่จะต่อรองกับสหภาพแรงงาน และผู้ที่พยายามจัดตั้งสหภาพแรงงานมักพบกับปัญหาการคุกคามด้วย กฎหมายของประเทศจีนในเรื่องนี้ยังอ่อน แม้จะมีการใช้กฎหมายใหม่ในปีที่แล้ว แต่สหภาพแรงงานก็ยังถูกควบคุมโดยรัฐบาลค่อนข้างมาก และคนงานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเหล่านี้มักจะถูกจำคุก วิ่งอย่างรู้เท่าทันหลายคนสงสัยว่าทำไมรองเท้าเดี๋ยวนี้ราคาแพง จะซื้อถูกๆก็กลัวมันจะไม่ดีต่อเท้าเรา เมื่อปีที่แล้วสื่อในบ้านเราเคยเผยแพร่งานวิจัยของสถาบันวิจัยวิเคราะห์การเคลื่อนไหว แห่งโรงเรียนแพทย์และโรงพยาบาลไนน์เวลส์ เมืองดันดี ประเทศอังกฤษ งานวิจัยนี้เป็นการเปรียบเทียบรองเท้ายี่ห้อเดียวกันที่สามระดับราคา ตั้งแต่สนนราคาถูก (ประมาณ 2,400 บาท) ปานกลาง (ประมาณ 3,500 บาท) และแพง (ประมาณ 4,000 บาท) ผลการวิจัยปรากฏว่ารองเท้าเหล่านั้นไม่ได้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในเรื่องของประสิทธิภาพในการรับแรงกระแทกแต่อย่างใด * ส่วนรองเท้าที่บอกว่ามีเทคโนโลยีขั้นสูงนั้น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิลที่ออสเตรเลียได้ทำการประมวลงานวิจัยในเรื่องรองเท้ากีฬาและได้ข้อสรุปว่ายังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่รองรับความเชื่อที่ว่ารองเท้าไฮโซแอนด์ไฮเทคเหล่านั้นจะสามารถช่วยเสริมสมรรถนะนักกีฬา หรือลดอัตราการบาดเจ็บได้แต่อย่างใด ** ก่อนหน้านั้นก็มีงานวิจัยที่พบว่าการที่คนเราหลงเชื่อโฆษณาที่บอกว่ารองเท้าบางรุ่นมีคุณสมบัติในการปกป้องดูแลเท้าเราเป็นพิเศษนั้น ทำให้คนเราอยากจะโชว์พาวมากขึ้น จึงทำให้อัตราการเกิดการบาดเจ็บจากรองเท้าแพงๆเหล่านี้สูงกว่าการบาดเจ็บจากการสวมรองเท้าราคาถูกถึงร้อยละ 123 เลยทีเดียว *** *จากบทความเรื่อง Do you get value for money when you buy an expensive pair of running shoes? ตีพิมพ์ในวารสาร British Journal of Sports Medicine เมื่อปี พ.ศ. 2550 ** อ้างอิงจากข่าวใน หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552 *** จากบทความเรื่อง Hazard of deceptive advertising of athletic footwear ในวารสาร British Journal of Sports Medicine เมื่อปี พ.ศ. 2540 วิ่งอย่างมีหลักการ เวลาที่เราเดิน จะเกิดแรงกระแทกลงบนเท้า เป็น 2 เท่าของน้ำหนักตัวเรา และเมื่อเราวิ่ง แรงกระแทกที่ว่านั้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าของน้ำหนักตัว ถ้าเราลงน้ำหนักที่ส้นเท้าก่อนแล้วจึงถ่ายน้ำหนักไปยังฝ่าเท้า เราจะสามารถลดแรงกระแทกลงไปได้ครึ่งหนึ่ง เวลาที่เลือกซื้อรองเท้าสำหรับวิ่ง อย่าลืมใส่ใจกับส่วนที่รองรับส้นเท้าเป็นพิเศษ รองเท้าที่ไม่มีพื้นเพื่อรองรับแรงกระแทกจะทำให้ข้อเข่าและข้อเท้าของเราต้องรับน้ำหนักมากขึ้นวัสดุที่ใช้ทำส้นรองเท้าวิ่งนั้นมีปลายประเภท ที่เราพบเห็นส่วนใหญ่เป็นฟองน้ำหรือโฟม ซึ่งจะแตกต่างกันไปในเรื่องความแน่นและความหนา เราอาจเคยเห็นที่เป็นสปริงบ้าง นอกจากนี้ยังมีแบบที่ใช้การอัดลมเข้าไป (ซึ่งนานไปก็รั่วได้) และแบบที่ควบคุมปริมาณลมได้เองด้วยการเติมลมหรือปล่อยลมออกให้เหมาะกับความแข็งของพื้นผิวที่เราวิ่ง (เช่น ถ้าวิ่งบนพื้นแข็งอย่างคอนกรีต ก็อัดลมเข้าไปเพียงเล็กน้อย ถ้าวิ่งบนพื้นยางมะตอยก็อัดลมเข้าไปปานกลาง ถ้าวิ่งบนสนามหญ้าก็อัดลมเข้าไปมากๆ เป็นต้น) แต่ไม่ว่าส้นรองเท้าจะทำด้วยอะไร หลักสำคัญคือเมื่อสวมใส่แล้วลองวิ่งดูแล้วจะต้องไม่แข็งหรือนุ่มเกินไป ถ้าแข็งไปอาจทำให้เราเจ็บเข่าหรือเจ็บเท้าได้ ในขณะที่ถ้ามันนุ่มเกินไป ก็จะทำให้เราทรงตัวได้ไม่ดี นอกจากส้นรองเท้าแล้ว เราควรใส่ใจเรื่องการระบายอากาศของตัวรองเท้าด้วย เลือกรองเท้าที่มีรูระบายอากาศเยอะๆ เพื่อการระบายความร้อนที่ดี เพื่อความปลอดภัย ในกรณีที่คุณชอบวิ่งไนยามโพล้เพล้แดดร่มลมตก รองเท้าของคุณควรมีแถบสะท้อนแสงเพื่อความปลอดภัยจากการถูกรถเฉี่ยวชนด้วย ที่สำคัญควรใส่รองเท้าที่ขนาดกระชับกับเท้าและอย่าลืมใส่ถุงเท้าทุกครั้งด้วย ข้อสำคัญ ถ้าคุณต้องการวิ่งออกกำลังก็ให้ใช้รองเท้าสำหรับวิ่ง ไม่ใช่รองเท้าเล่นบาสเก็ตบอล วอลเลย์บอล หรือ ชกมวย เป็นต้น เพราะเขาออกแบบมาตามชนิดของการเคลื่อนไหวและพื้นผิวที่พื้นรองเท้าต้องสัมผัส รองเท้าวิ่งก็เป็นอนิจจังเหมือนสิ่งอื่นๆในสากลโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกาวที่ประกอบพื้นรองเท้านั้นมีอายุประมาณ 1 ปีเท่านั้น ดังนั้นถ้าซื้อมาแล้วอย่าลืมวิ่งเสียให้คุ้มก่อนที่มันจะหมดอายุขัย ถ้าเราน้ำหนักตัวมาก รองเท้าเราก็มีแนวโน้มจะจากเราไปเร็วขึ้น แต่ไม่ว่าคุณจะน้ำหนักตัวมากหรือน้อยถ้าสังเกตเห็นว่ารองเท้าที่ใส่วิ่งเริ่มตีตัวออกห่างจากเท้าของเราแล้วละก็ เตรียมมองหาคู่ใหม่ไว้ได้เลย และทุกครั้งที่เข้าไปมุงกระบะรองเท้าวิ่งลดราคา อย่าลืมดูวันผลิตด้วยว่ามันยังเหลือเวลาที่จะอยู่กับคุณอีกนานแค่ไหน ขอขอบคุณ ผศ. ดร.เฉลิม ชัยวัชราภรณ์ อดีตคณบดีสำนักวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับคำแนะนำอันเป็นประโยชน์สำหรับสมาชิกฉลาดซื้อ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point