วันหยุดยาวช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หลายๆ คนก็มักจะเดินทางออกไปท่องเที่ยวตามต่างจังหวัด โดยเฉพาะคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเวลาไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ สิ่งหนึ่งที่แทบทุกคนจะต้องทำก็คือการหาซื้อของฝาก แน่นอนว่าของฝากยอดนิยมอันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้นของกิน ไม่ว่าจะเป็นพวกขนมนมเนย ของหวาน ของคาว มีให้เลือกสารพัด ซึ่งแต่ละภาคแต่ละจังหวัดในประเทศไทย ของฝากที่เป็นที่นิยมหรือของขึ้นชื่อก็มีความแตกต่างกันไปเป็นเอกลักษณ์ตามแต่พื้นที่นิตยสารฉลาดซื้อ โครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ ร่วมกับ ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการซื้อของฝากจากการท่องเที่ยวของคนกรุงเทพมหานคร ดูว่าของกินประเภทไหนที่เป็นของฝากยอดนิยมของแต่ละภาคในประเทศที่คนกรุงเทพฯ ซื้อกลับมาฝากญาติสนิม มิตรสหาย นอกจากนี้ยังสำรวจดูพฤติกรรมการอ่านฉลากก่อนซื้อของผู้บริโภค ว่าให้ความสำคัญในการศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อมากน้อยแค่ไหนการสำรวจครั้งนี้ เก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,271 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 28 - 30 พฤศจิกายน 2560 แบ่งเป็น 1.เพศ ชาย ร้อยละ 57.6 หญิง ร้อยละ 42.42.อายุ ต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 10.2 21-25 ปี ร้อยละ 31.9 26-30 ปี ร้อยละ 17.0 31-35 ปี ร้อยละ 15.7 36-40 ปี ร้อยละ 12.5 41-45 ปี ร้อยละ 6.6 46-50 ปี ร้อยละ 4.4 มากกว่า 50 ปี ร้อยละ 1.73.อาชีพ นักเรียน / นิสิต / นักศึกษา ร้อยละ 38.4 ข้าราชการ / พนักงานของรัฐ / พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 20.3 พนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 18.9 นักธุรกิจ / เจ้าของกิจการส่วนตัว ร้อยละ 13.0 พ่อบ้าน / แม่บ้าน ร้อยละ 9.4ผลการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการซื้อของฝากจากการท่องเที่ยวของคนกรุงเทพมหานคร1.ประเภทของของฝากที่ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด 5 อันดับแรกขนม ของทานเล่น ร้อยละ 26.6อาหารแห้ง ร้อยละ 26.0 ของชำร่วย พวงกุญแจ ฯลฯ ร้อยละ 24.4เครื่องแต่งกาย ร้อยละ 23.0ผักสด ผลไม้สด ร้อยละ 20.9 2.ของฝากที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในภาคเหนือ 5 อันดับแรก น้ำพริกหนุ่ม ร้อยละ 36.1 แคบหมู ร้อยละ 29.7 หมูยอ ร้อยละ 25.0 ไส้อั่ว ร้อยละ 24.6 ใบชา ร้อยละ 18.3 3.ของฝากที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 อันดับแรก แหนมเนือง ร้อยละ 34.7 หมูยอ ร้อยละ 29.4 กุนเชียง ร้อยละ 26.9 แหนม ร้อยละ 19.7 น้ำพริก ร้อยละ 18.34.ของฝากที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในภาคตะวันออก 5 อันดับแรก ขนมเปี๊ยะ ร้อยละ 29.1 ข้าวหลาม ร้อยละ 27.5 อาหารทะเลแห้ง ร้อยละ 26.3 ผลไม้อบแห้ง ร้อยละ 21.6 น้ำปลา ร้อยละ 17.55.ของฝากที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในภาคกลาง 5 อันดับแรก ขนมเค้ก ร้อยละ 27.3 สายไหม ร้อยละ 27.1 โมจิ ร้อยละ 26.8 กะหรี่พัฟ ร้อยละ 22.0 ขนมเปี๊ยะ ร้อยละ 21.96.ของฝากที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในภาคตะวันตก 5 อันดับแรก ทองหยิบทองหยอด ร้อยละ 27.7 ขนมหม้อแกง ร้อยละ 27.6 ขนมชั้น ร้อยละ 25.3 ขนมปังสับปะรด ร้อยละ 23.4 มะขามสามรส ร้อยละ 19.7 7.ของฝากที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในภาคใต้ 5 อันดับแรก ปลาหมึกแห้ง ร้อยละ 32.5 กะปิ ร้อยละ 29.3 กุ้งแห้ง ร้อยละ 24.2 น้ำพริก ร้อยละ 22.3 เครื่องแกง ร้อยละ 21.3 ก่อนซื้อของฝาก เราดูวันหมดอายุบนฉลากกันมากน้อยแค่ไหน? ข้อมูลบนฉลากถือเป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างมากในการเป็นตัวช่วยก่อนตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยเฉพาะ อาหาร แม้ว่าผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็นของฝากชื่อดังหลายชนิดที่ทำสดใหม่ทุกวันและวางขายเฉพาะหน้าร้านของตัวเอง ไม่ได้ส่งต่อไปจำหน่ายที่อื่น กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องแสดงฉลาก แต่อย่างน้อยข้อมูลสำคัญอย่าง วันเดือนปีที่หมดอายุ และ ชื่อ-ที่อยู่ผู้ผลิต ก็ควรมีการแจ้งไว้ให้กับผู้บริโภคได้รับทราบ เพราะเป็นข้อมูลสำคัญต่อการบริโภคอาหารที่ปลอดภัย โดยผลสำรวจเรื่องการดูข้อมูลวันหมดอายุบนฉลากผลิตภัณฑ์ของฝาก พบว่า ร้อยละ 44.8 มีการตรวจดูเรื่องวันหมดอายุบนฉลากก่อนตัดสินใจซื้อ ร้อยละ 35.4 ไม่ได้ตรวจดูเรื่องวันหมดอายุบนฉลาก ร้อยละ 19.8 ไม่แน่ใจว่าได้ตรวจดูหรือเปล่า ส่วนการดูข้อมูลเรื่องสถานที่ผลิตผลิตภัณฑ์ของฝาก พบว่า ร้อยละ 44.8 มีการตรวจดูข้อมูลสถานที่ผลิตบนฉลากก่อนตัดสินใจซื้อ ร้อยละ 34.2 ไม่ได้ตรวจดูข้อมูลสถานที่ผลิต ร้อยละ 21.0 ไม่แน่ใจว่าได้ตรวจดูหรือเปล่าเคยได้ของฝากที่หมดอายุบ้างหรือเปล่า? นอกจากนี้ยังมีผลสำรวจที่น่าสนใจในมุมของคนที่ได้รับของฝาก ว่ามีประสบการณ์เคยได้รับของฝากจำพวกอาหารที่หมดอายุแล้วบ้างหรือเปล่า ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 16.4 ของกลุ่มตัวอย่าง เคยได้รับของฝากจำพวกอาหารที่หมดอายุ ร้อยละ 54.8 ไม่เคยได้รับของฝากที่หมดอายุ ร้อยละ 28.8 ไม่แน่ใจว่าเคยได้รับของฝากที่หมดอายุหรือเปล่าอันตรายที่อาจปนเปื้อนมาพร้อมอาหารของฝากน้ำพริก – ระวังจุลินทรีย์และสารกันบูด เคยมีข่าวเมื่อปี 2559 ว่ากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สุ่มตรวจน้ำพริกพร้อมบริโภค เช่น น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกกะปิ น้ำพริกขี้กา น้ำพริกเผา น้ำพริกปลาร้าสับ น้ำพริกตาแดง น้ำพริกนรก แจ่วบอง เป็นต้น ที่จำหน่ายตามตลาดสด ตลาดนัด ศูนย์โอทอป ศูนย์ของฝากทั่วประเทศ พบว่าจากทั้งหมด 1,071 ตัวอย่าง พบว่า ไม่ผ่านมาตรฐาน 164 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 15 สาเหตุที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการใช้วัตถุกันเสียเกินปริมาณที่อนุญาต ชนิดของวัตถุกันเสียที่พบมากสุด ได้แก่ กรดเบนโซอิค รวมทั้งปัญหาเรื่องการปนเปื้อนจุลินทรีย์และเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ เช่น เชื้อบาซีลัส ซีเรียส (Bacillus cereus) และเชื้อคลอสตริเดียม เพอร์ฟิงเจน (Clostridium perfringens)ที่มา : ข่าว “สุ่มตรวจ“น้ำพริกสำเร็จ”เปียก-แห้งไม่ผ่านมาตรฐาน15 %”, คอลัมน์คุณภาพชีวิต, เว็บไซต์ คมชัดลึก, 20 กันยายน 2559แหนมเนือง - ผักสดไม่สะอาดระวังเชื้อโรค แหนงเนือง อีกหนึ่งของฝากยอดนิยมของภาคอีสานที่หลายคนชื่นชอบ เพราะนอกจากจะรสชาติอร่อยแล้ว ยังถูกมองว่าเป็นอาหารสุขภาพเพราะมีผักหลากหลายชนิดเป็นส่วนประกอบ แต่เมนูแหนมเนืองก็อาจมีอันตรายแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน นั่นการปนเปื้อนของเชื้อก่อโรค เช่น เชื้อจุลินทรีย์ อี.โคไล, ซาลโมเนลลา, สแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส เชื้อเหล่านี้มาจากสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำ ดิน และอากาศ ที่อาจปนเปื้อนอยู่ในผักสด รวมทั้งเนื้อสัตว์หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ที่บริโภคโดยไม่ผ่านการปรุงให้สุกเพียงพอ เช่น แหนม และ หมูยอปลาหมึกแห้ง – เสี่ยงโลหะหนัก อาหารทะเลและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากอาหารทะเลส่วนใหญ่ มีความเสี่ยงในเรื่องของการตกค้างของโลหะหนัก เช่น ปรอท แคดเมียม ตะกั่วและสารหนู ซึ่งเป็นการปนเปื้อนตามธรรมชาติ เนื่องจากปัจจุบันนี้แหล่งน้ำตามธรรมชาติมีการเจือปนของของเสียที่มาจากโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น เมื่อปี 2553 ฉลาดซื้อเคยสุ่มวิเคราะห์ตัวอย่างปลาหมึกแห้งและกุ้งแห้ง เพื่อดูการปนเปื้อนของโลหะหนัก ทั้ง แคดเมียม ตะกั่ว และ ปรอท พบว่า ปลาหมึกแห้งทั้ง 8 ตัวอย่างที่สุ่มสำรวจซึ่งเก็บตัวอย่างจากทั่วประเทศ ทั้งใน กทม. เชียงใหม่ ขอนแก่น สมุทรสาคร และ สงขลา พบว่ามีการปนเปื้อนของโลหะหนักทุกตัวอย่าง โดยพบการปนเปื้อนของแคดเมียม เกินมาตรฐานที่กฎหมายอนุญาต คือ ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/น้ำหนักอาหาร 1 กิโลกรัมจำนวน 4 ตัวอย่าง ส่วนโลหะหนักอีก 2 ชนิด คือ ตะกั่ว และ ปรอท พบการปนเปื้อนแต่ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กฎหมายกำหนด (ตะกั่ว ไม่เกิน 1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม, ปรอท ไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) นอกจากนี้จากการสุ่มวิเคราะห์ ยังพบการปนเปื้อนของสารเคมีทางการเกษตรในกลุ่มยาฆ่าแมลง (ไพรีทรอยด์) ถึง 5 จาก 8 ตัวอย่าง ซึ่งตามปกติไม่ควรพบการปนเปื้อนสารเคมีดังกล่าวคำแนะนำในการเลือกซื้อของกินเป็นของฝาก 1.สถานที่ขายหรือสถานที่เก็บรักษาต้องสะอาด ไม่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนของสิ่งไม่พึงประสงค์ เช่น แมลง สารเคมี และอาหารควรถูกเก็บรักษาในอุณหภูมิที่เหมาะสมกับแต่ละประเภทของอาหาร 2.สภาพภาชนะบรรจุต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ฉีกขาด ไม่มีร่องรอยที่อาจทำให้เกิดการรั่วซึมของสิ่งปนเปื้อน 3.ลักษณะของอาหารต้องอยู่ในสภาพปกติ ไม่มีสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อน ไม่มีร่อยรอยของการเกิดเชื้อราหรือเชื้อจุลินทรีย์ หรืออยู่ในสภาพอื่นๆ ที่เสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัยในการบริโภค 4.ต้องอ่านฉลากทุกครั้ง เพื่อรู้ถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์อย่าง วันเดือนปีที่ผลิตหรือหมดอายุ ส่วนประกอบหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต หากไม่มีฉลากแจ้งควรสอบถามจากผู้ขายก่อนตัดสินใจซื้อ
สำหรับสมาชิก >ความหวาน แทบจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ เพราะนอกจากจะช่วยทำให้รสชาติกลมกล่อมถูกปากแล้ว ยังส่งผลให้ผู้ที่บริโภครู้สึกสดชื่น หายอ่อนเพลียเพราะได้รับพลังงานในเวลาอันรวดเร็ว อย่างไรก็ตามความหวานในอาหารกลับแฝงอันตรายที่สามารถส่งผลร้ายต่อสุขภาพ ทั้งในแง่ก่อให้เกิดอาการเสพติดความหวาน และเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคอ้วนหรือความดันโลหิตสูงน้ำตาลทรายแม้จะยังคงเป็นแหล่งความหวานของอาหาร แต่รู้หรือไม่ว่า ที่มาของรสหวานในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มส่วนใหญ่ กลับไม่ได้เกิดจากน้ำตาลทรายเพียงอย่างเดียว แต่มาจากส่วนผสมที่เรียกว่า “น้ำเชื่อมฟรุกโตสหรือน้ำเชื่อมข้าวโพดที่มีฟรุกโตสสูง” (High Fructose Corn Syrup หรือ HFCS) ซึ่งให้รสหวานได้มากกว่าน้ำตาลทรายธรรมดา แต่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้มากกว่าน้ำตาลทรายเสียอีก ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ นักวิชาการอิสระสายอาหารและโภชนาการของฉลาดซื้อ เคยให้ความเห็นในประเด็นดังกล่าวไว้ในนิตยสารฉลาดซื้อประจำฉบับที่ 173 คอลัมน์ของฝากจากอินเทอร์เน็ต เรื่อง ดื่มน้ำหวานในฤดูร้อนพึงระวัง ว่าน้ำเชื่อมฟรุกโตสหรือน้ำเชื่อมข้าวโพดที่มีฟรุกโตสสูง(HFCS) เป็นน้ำเชื่อมที่ได้จากการย่อยแป้งข้าวโพดจนเหลือเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตสนั้น มันได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในวงการอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เพราะให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึง 1.3 เท่า รวมทั้งเป็นน้ำเชื่อมใสไม่มีสี จึงไม่บดบังสีของอาหารทำให้ดูน่าดื่มกิน ดังนั้นเมื่อเทียบกับน้ำตาลทรายที่มีราคาสูงและมักเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อใช้ในอาหารแล้ว จึงถือว่าคุ้มค่ากว่าในด้านราคาต้นทุนและความสะดวกในการผลิต อย่างไรก็ตามกลับมีงานวิจัยบางฉบับได้รายงานว่า ผู้ที่บริโภคน้ำเชื่อมข้าวโพดชนิดที่มีฟรุกโตสสูงนี้เป็นประจำ จะทำให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ เพราะน้ำเชื่อมดังกล่าวส่งผลต่อความอยากอาหาร ทำให้กินอาหารอื่นได้ในปริมาณมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้ไขมันในเลือดสูงขึ้น โดยเฉพาะไขมันชนิดแอลดีแอลโคเลสเตอรอล (LDL-C) ซึ่งเป็นไขมันเลวที่ควรหลีกเลี่ยง รวมทั้งอาจทำให้เกิดภาวะดื้ออินซูลิน หรือกรดไขมันอิสระที่อาจส่งผลต่อภาวะไขมันเกาะตับ(Fatty Liver) ได้อีกด้วย เพราะน้ำเชื่อมดังกล่าวร่างกายนำไปเผาผลาญได้ที่เซลล์ตับเท่านั้น ดังนั้นพลังงานที่เกิดที่ตับ จึงมีความเหลือเฟือจนน่าจะส่งผลให้เกิดการสร้างไขมันสะสมขึ้นมาได้ ซึ่งต่างจากน้ำตาลโมเลกุลเดียวประเภทอื่น เช่น กลูโคส ที่สามารถเผาผลาญได้จากเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย ประเด็นนี้ผู้บริโภคในต่างประเทศให้ความสนใจอย่างมาก ดังนั้นบรรดาผู้ผลิตอาหารจึงต้องทำให้ฉลากอาหารหรือเครื่องดื่มของตน มีการระบุที่ชัดเจนในฉลากว่า มีการผสมน้ำเชื่อมข้าวโพดที่มีฟรุกโตสสูง (HFCS) หรือไม่ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ตัดสินใจในการเลือกซื้อ กลับมาที่ฉลากอาหารในบ้านเรา...และการสุ่มตัวอย่างเพื่อค้นหา HFCSเพื่อเป็นการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำเชื่อมฟรุกโตสหรือน้ำเชื่อมข้าวโพดที่มีฟรุกโตสสูง(HFCS) ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขออาสาไปส่องฉลากผลิตภัณฑ์ที่ให้รสหวานอย่าง น้ำอัดลม ชาเขียว ขนมขบเคี้ยว แยมหรือเยลลี่ต่างๆ จำนวน 25 ตัวอย่าง ว่าจะมีสินค้าอะไรหรือยี่ห้อใดบ้างที่ใช้น้ำเชื่อมดังกล่าวเป็นส่วนประกอบ ซึ่งผลทดสอบจะเป็นอย่างไร เราลองไปดูกันเลยผลโดยสรุปจากตัวอย่างสินค้าที่นำมาพิจารณาฉลากทั้งหมด 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่ม กลุ่มแยมและกลุ่มขนม/ลูกอม ทั้ง 25 ตัวอย่าง พบว่า- มีเพียง 1 ยี่ห้อที่ระบุว่า ไม่มีส่วนผสมของไฮฟรุกโตสคอร์นไซรัป (No high fructose corn syrup) คือ วิลเดอร์เนส (WILDERNESS) Premium ไส้ผลไม้กวนสตรอเบอร์รี่- มี 2 ยี่ห้อที่ระบุว่ามีส่วนผสมของ ไฮฟรุกโตสคอร์นไซรัป คือ 1. ไดอาน่า (Diana) มาราสชิโน เชอร์รี่ ชนิดมีก้าน และ 2. วิลเดอร์เนส (WILDERNESS) Original ไส้ผลไม้กวนบลูเบอร์รี่ - มี 1 ยี่ห้อที่ฉลากภาษาไทยระบุส่วนผสมว่ามี “น้ำเชื่อมข้าวโพด” แต่ฉลากภาษาอังกฤษระบุส่วนผสมว่า “High Fructose Corn Syrup” คือ สมัคเกอร์ส (SMUCKER’S) ซันเดย์ ไซรัป น้ำเชื่อมรสช็อกโกแลต - อีก 21 ตัวอย่างระบุว่ามีส่วนผสมของ ฟรุกโตสไซรัป/น้ำเชื่อมฟรุกโตส และคอร์นไซรัป/น้ำเชื่อมข้าวโพด- มี 1 ยี่ห้อไม่ระบุวันเดือนปีที่ผลิตหรือหมดอายุ คือ เอสแอนด์ดับบลิว (S&W) เชอร์รี่ดำแกะเมล็ดในน้ำเชื่อม ซึ่งถือว่าไม่เป็นไปตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องฉลาก ที่กำหนดให้อาหารในภาชนะบรรจุต้องแสดงวันเดือนปีที่ผลิตหรือหมดอายุรายละเอียดการสุ่มตัวอย่างตารางที่ 1 : กลุ่มเครื่องดื่มตารางที่ 2 : กลุ่มแยมตารางที่ 3: กลุ่มขนม, ลูกอมข้อสังเกตเรื่องฉลากอาหาร 1. ฉลากส่วนผสมไม่สมบูรณ์พบว่า สินค้าส่วนใหญ่มักใช้คำว่ามี ฟรุกโตสไซรัป/น้ำเชื่อมฟรุกโตส และคอร์นไซรัป/น้ำเชื่อมข้าวโพด แทนคำว่า น้ำเชื่อมฟรุกโตสหรือน้ำเชื่อมข้าวโพดที่มีฟรุกโตสสูง (High Fructose Corn Syrup หรือ HFCS) ซึ่งอาจสร้างความสับสนให้กับผู้บริโภคว่า ส่วนประกอบดังกล่าวเป็นน้ำเชื่อมชนิดเดียวกันหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ทั้งฟรุกโตสไซรัป/น้ำเชื่อมฟรุกโตส และคอร์นไซรัป/น้ำเชื่อมข้าวโพด สามารถสร้างผลกระทบต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกับ “น้ำเชื่อมข้าวโพดที่มีฟรุกโตสสูง” (HFCS) จึงอาจเป็นเรื่องสมควรที่ฉลากต้องมีคำเตือนในการบริโภค หรือระบุรายละเอียดส่วนผสมให้ชัดเจนกว่านี้2. ฉลากโภชนาการไม่ครอบคลุมแม้กฎหมายไม่ได้กำหนดให้อาหารทุกชนิดต้องแสดงฉลากโภชนาการ แต่ฉลากโภชนาการนั้นนับเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค เพราะช่วยให้ทราบถึงปริมาณที่แท้จริงของไขมัน พลังงานหรือน้ำตาลในผลิตภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อหรือบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารที่ปลอดภัย และได้คุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมกับสุขภาพของตนเอง รวมทั้งสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ หรือมีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีกว่าได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามจากผลการสุ่มตัวอย่างครั้งนี้พบว่า มีเพียงร้อยละ 50 ที่มีฉลากโภชนาการ และมี 9 ตัวอย่างเท่านั้นที่มีฉลากโภชนาการเป็นภาษาไทย3. ฉลากวันเดือนปีที่ผลิต/หมดอายุ อยู่ในตำแหน่งที่อ่านยากตัวอย่างที่นำมาพิจารณาฉลากทั้งหมดครั้งนี้ มีหลายกลุ่มสินค้ามีทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งพบว่าตำแหน่งของวันเดือนปีที่ผลิต/หมดอายุ มีความแตกต่างกันไปในทุกผลิตภัณฑ์ อาจส่งผลให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะสามารถตรวจสอบวันที่ได้ นอกจากนี้บางตัวอย่าง เช่น คุคุริน (KUKURIN) น้ำชาเขียวคั่ว สูตรรสกลมกล่อม มีการระบุวันเดือนปีที่ผลิต/หมดอายุ อยู่ในตำแหน่งปากขวด ซึ่งใช้สีของตัวอักษรคล้ายกับสีของสินค้า ทำให้ตรวจสอบได้ยากมากขึ้นไปอีก
สำหรับสมาชิก >เมื่อสมาร์ตโฟนในมือของคุณดูจะเล็กไปสำหรับการใช้งานซื้อของออนไลน์ ติดตามข่าวสาร หรือส่องความเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ และโน้ตบุ๊กก็ดูจะเป็นทางเลือกที่สร้างภาระให้กับหลังและไหล่เกินไป ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขอชวนสมาชิกมาด้อมๆ มองๆ ผลการทดสอบแท็บเล็ตกันที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศทำไว้ในช่วงปี 2017 เผื่อใครจะซื้อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ตัวเอง เขาทดสอบไว้ทั้งรุ่นที่ขนาดเล็กกว่า 8 นิ้วและใหญ่เกิน 8 นิ้ว โดยให้คะแนนด้านต่างๆ เพื่อนำมาประมวลผลเป็นคะแนนเต็ม 100 ตามสัดส่วนดังนี้
สำหรับสมาชิก >ฉลาดซื้อ ฉบับที่ 198 ประจำเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เราเพิ่งนำเสนอผลการสำรวจปริมาณน้ำตาลและพลังงานในกาแฟซอง 3 อิน 1 โดยการดูข้อมูลบนฉลาก ซึ่งผลสำรวจที่ได้พบว่า ปริมาณน้ำตาลในกาแฟปรุงสำเร็จชนิดผง หรือ 3 อิน 1 เฉลี่ยอยู่ที่ 10 – 13 กรัมต่อ 1 ซอง ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูงเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมต่อร่างกายใน 1 วัน คือไม่เกิน 24 กรัม ส่วนปริมาณพลังงาน เฉลี่ยอยู่ที่ 65 - 90 กิโลแคลอรีต่อ 1 ซองฉบับนี้ โครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ โดยนิตยสารฉลาดซื้อ ขอเอาใจคอกาแฟอีกครั้ง โดยเฉพาะคนที่ชอบดื่มกาแฟซองพร้อมชงแบบ 3 อิน 1 โดยครั้งนี้เราจะพาไปดูผลทดสอบ “ปริมาณคาเฟอีน” ซึ่งถือเป็นจุดขายหลักของการดื่มกาแฟ ไม่ว่าจะเป็นกาแฟแบบไหน ลองไปดูกันสิว่า กาแฟปรุงสำเร็จชนิดผงที่ถูกเติมทั้งน้ำตาลและครีมมาแล้วเรียบร้อย จะยังเหลือปริมาณคาเฟอีนมากน้อยแค่ไหน และแถมด้วยการทดสอบสารพิษจากเชื้อราที่เรียกว่า โอคราทอกซิน เอ ซึ่งมักพบในผลิตภัณฑ์กาแฟ ว่ามีปนเปื้อนอยู่ในผลิตภัณฑ์กาแฟ 3 in 1 หรือไม่ กาแฟซอง 3 in 1 มี “คาเฟอีน” ได้มากแค่ไหน?เพราะ คาเฟอีน เป็นสารที่ให้ทั้งคุณและโทษต่อร่างกายของเรา ถ้าได้รับในปริมาณที่พอเหมาะก็ช่วยกระตุ้นร่างกายให้กระปรี้กระเปร่า แต่ถ้าได้รับมากเกินไปจะส่งต่อการทำงานของระบบประสาท ทำให้ปวดหัว นอนไม่หลับ เป็นที่มาให้ต้องมีการกำหนดมาตรฐานปริมาณคาเฟอีนในผลิตภัณฑ์กาแฟประเภทต่างๆ สำหรับ กาแฟซองพร้อมชง 3 อิน 1 หรือ กาแฟปรุงสำเร็จชนิดแห้ง ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 197) พ.ศ. 2543 เรื่อง กาแฟ ได้กำหนดมาตรฐานปริมาณคาเฟอีนเอาไว้ที่ไม่เกิน 100 มิลลิกรัม ต่อกาแฟปรุงสำเร็จชนิดแห้งที่ชงเป็นของเหลวแล้ว 100 มิลลิลิตรหรือคิดง่ายๆ ก็คือ กาแฟซองพร้อมชง 3 อิน 1 จำนวน 1 ซอง หรือ 1 เสิร์ฟ ซึ่งคำแนะนำข้างซองระบุไว้ว่าให้ชงกับน้ำร้อน 100 – 150 มิลลิลิตรอยู่แล้ว ควรมีปริมาณคาเฟอีนไม่เกิน 100 มิลลิกรัมปริมาณคาเฟอีนในกาแฟแต่ละชนิดที่กฎหมายกำหนดชนิดของกาแฟ ปริมาณคาเฟอีนที่กำหนดตามกฎหมายกาแฟแท้ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 ของน้ำหนักกาแฟที่สกัดกาเฟอีน ไม่เกินร้อยละ 0.1 ของน้ำหนักกาแฟสำเร็จรูป ไม่น้อยกว่าร้อยละ 2.5 ของน้ำหนักกาแฟสำเร็จรูปผสม ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1.5 ของน้ำหนักกาแฟสำเร็จรูปที่สกัดกาเฟอีนออก ไม่เกินร้อยละ 0.3 ของน้ำหนักกาแฟที่ผ่านกรรมวิธีให้เป็นของเหลว ไม่เกิน 100 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 100 มิลลิลิตรประโยชน์และโทษ ของคาเฟอีนเมื่อร่างกายได้รับสารคาเฟอีนมันจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และยังคงฤทธิ์อยู่ระหว่าง 2-10 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน คาเฟอีนทำให้ร่างกายมีความกระปรี้กระเปร่า และทำให้มีสมาธิ ลดโอกาสการเกิดอัลไซเมอร์ มะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยเพิ่มเซลล์สมอง ทำให้เพิ่มความจำและความสามารถในการเรียนรู้ สารคาเฟอีนเมื่อดูดซึมเข้าร่างกายจะถูกจำกัดออกด้วยการปัสสาวะ ไม่มีสะสมในร่างกายส่วนผลเสียและผลข้างเคียงหากบริโภคคาเฟอีนมากเกินไป อาจก่อให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ปวดหัว โรคกระเพาะอาหาร(คาเฟอีนจะกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารเพื่อออกมาช่วยย่อย) นอกจากนั้นผลข้างเคียงของคาเฟอีนจะทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมลดลง สตรีมีครรภ์จึงไม่ควรดื่มกาแฟ สำหรับผู้สูงอายุ หากดื่มกาแฟมากเกิน 3 ถ้วยต่อวัน ก็มีอัตราเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนด้วย ในผู้ป่วยโรคไตควรลดหรืองดดื่มกาแฟ เนื่องจากคาเฟอีนจะทำให้ไตทำงานหนักขึ้นโอคราทอกซิน(ocratoxin) เป็นสารพิษที่สร้างโดยเชื้อราในกลุ่ม Aspergillus และ Pennicilliumochratoxin มี 2 ชนิดคือ A และ B แต่ที่พบตามธรรมชาติคือ ochratoxin A ส่วนมากจะพบในเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต และในเมล็ดกาแฟ เมล็ดโกโก้ และถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ และพบในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น เนื้อไก่ และเนื้อหมู หรือตรวจพบปนเปื้อนในเบียร์และเครื่องเทศหลายชนิด การเกิดพิษ ochratoxins มีพิษต่อไตและตับทั้งในคนและสัตว์ นอกจากนี้ยังเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินปัสสาวะด้วยตารางแสดงผลทดสอบปริมาณคาเฟอีนในผลิตภัณฑ์กาแฟปรุงสำเร็จชนิดผง หรือ กาแฟซอง 3 อิน 1ผลทดสอบคาเฟอีน-จากตัวอย่าง กาแฟปรุงสำเร็จชนิดผง หรือ กาแฟซองพร้อมชง 3 อิน 1 จำนวน 26 ตัวอย่าง พบว่าทุกตัวอย่างมีปริมาณคาเฟอีนต่อ 1 ซอง อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กฏหมายกำหนดตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 197) พ.ศ. 2543 เรื่อง กาแฟ ได้กำหนดมาตรฐานปริมาณคาเฟอีนเอาไว้ที่ไม่เกิน 100 มิลลิกรัม ต่อกาแฟปรุงสำเร็จชนิดแห้งที่ชงเป็นของเหลวแล้ว 100 มิลลิลิตรตัวอย่างที่พบปริมาณคาเฟอีนสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.คาราบาว 3 in1 เอสเปรสโซ ปริมาณกาแฟต่อ 1 ซอง 18 กรัม ทดสอบพบคาเฟอีน 96 มิลลิกรัม 2. อาวว์ ทรีอินวัน สตอง อินสแตนท์ คอฟฟี่ ปริมาณกาแฟต่อ 1 ซอง 16 กรัม ทดสอบพบคาเฟอีน 87 มิลลิกรัม3. เฟรนช์ คาเฟ่ 3 อิน1 ริช โกลด์ ปริมาณกาแฟต่อ 1 ซอง 18.8 กรัม ทดสอบพบคาเฟอีน 85 มิลลิกรัมตัวอย่างกาแฟซองพร้อมชง 3 อิน 1 ที่นำมาทดสอบ พบค่าเฉลี่ยของปริมาณกาแฟอยู่ที่ 13.9% ต่อซอง โดยตัวอย่างที่พบปริมาณกาแฟมากที่สุดคือตัวอย่างยี่ห้อ มัซ เอสเปรสโซคอฟฟี่ 3 อิน 1 มีปริมาณกาแฟอยู่ที่ 39.07% หรือประมาณ 7 กรัมต่อซอง-พบว่ามีตัวอย่างกาแฟซองพร้อมชง 3 อิน 1 จำนวน 5 ตัวอย่าง ที่ไม่มีฉลากภาษาไทย เพราะเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย ลาว เมียนมาร์ โดยเป็นตัวอย่างที่เก็บจากจังหวัดสงขลาและจังหวัดเชียงราย ซึ่งขัดกับข้อบังคับตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 383) พ.ศ. 2560 เรื่อง การแสดงฉลากของอาหารในภาชนะบรรจุ (ฉบับที่ 2) ผลทดสอบโอคราทอกซิน เอ ไม่พบในทุกตัวอย่าง
สำหรับสมาชิก >ในเล่มที่ผ่านมาเราเคยส่องฉลากสบู่ฆ่าเชื้อและสบู่สมุนไพร สูตรลดสิวกันไปแล้ว คราวนี้กลับมาพบกันอีกครั้งกับ “สบู่สมุนไพร สูตรกระจ่างใส” ซึ่งถือเป็นสูตรที่ขายดีที่สุดอันดับหนึ่งในตลาดสบู่* เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามด้วยสรรพคุณตามคำโฆษณาของสบู่สมุนไพรเหล่านี้ เช่น ปรับผิวให้ขาวเนียนใส ไร้ริ้วรอย สว่างออร่า มีสารต้านอนุมูลอิสระหรือแม้แต่ช่วยเร่งการสร้างคอลลาเจน ส่งผลให้ราคาของสบู่สมุนไพรหลายยี่ห้อสูงกว่าสบู่ธรรมดาหลายเท่าตัว จนหลายคนอาจลืมไปว่าสบู่ดังกล่าวเป็นเครื่องสำอางประเภทหนึ่ง ซึ่งใช้เพื่อความสะอาด ความสวยงามเท่านั้น โดยไม่สามารถอ้างว่า บำบัด บรรเทา รักษา ป้องกันโรค ความเจ็บป่วย มีผลต่อโครงสร้างหรือการกระทำหน้าที่ต่างๆ ของร่างกายได้ เพราะหากทำได้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะกลายเป็นยารักษาโรคแทน ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขออาสาส่องฉลากสบู่สมุนไพรที่เน้นสรรพคุณว่าช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส ว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้างหรือแตกต่างจากสบู่ธรรมดาทั่วไปอย่างไร เราลองไปดูกันเลย*หมายเหตุ อ้างอิงจากตลาดสบู่ ในเดือนมีนาคม 2560 ซึ่งจัดทำโดย ลอรีอัล (Marketeer) พบว่า มีมูลค่าตลาดรวม 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1. สบู่บิวตี้ 43% 2. สบู่ฆ่าเชื้อเพื่อสุขภาพ 25% 3. สบู่สมุนไพร 17% 4. สบู่เด็ก 10% 5. อื่นๆ 5%ผลการดูฉลากสบู่สูตรผิวใส1. อิงอรสูตร: ผสมทองพันชั่งแท้ปริมาณสุทธิ: 160 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : น้ำมันธรรมชาติ โซเดียมไฮดรอกไซด์ กลีเซอรีน สมุนไพรมะขาม ทองพันชั่ง วิตามินซี เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5320540ราคา: 29.5 บาท (0.2 บาท/กรัม)2. เทพสมุนไพรสูตร: อโรมา สครับ เชง หนงปริมาณสุทธิ: 100 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : ชาเขียว, ขิง, มะละกอAqua, Sodium Palmitate, Sodium Palm Kernelate, Glycerin, Fragranceเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5207519ราคา: 29 บาท (0.3 บาท/กรัม)3. นกแก้วสูตร: มะขาม ขมิ้น น้ำผึ้งปริมาณสุทธิ: 75 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palm Kernelate or Sodium Cocoate, Sodium Palmate, Palm Kernelate Acid, Palm Acid, Glycerin, Sodium Chloride, Fragrance, Lactic Acid, Salicylic Acid, Camphor, Triclosan, Tamarindus Indica Fruit Extract, Butylene Glycol, Curcuma Longa (Turmeric) Root Extract, Honey Extractเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5874818ราคา: 20 บาท (0.3 บาท/กรัม)4. BENNETT เบนเนทสูตร: วิตามินซีและอีปริมาณสุทธิ: 130 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Natural soap, Glycerin, Vitamin C, Orange rind oil Herbal oil, Vitamin Eเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5318626ราคา: 40 บาท (0.3 บาท/กรัม)5. Citra ซิตร้าสูตร: ผงไข่มุก (มะขาม น้ำนมข้าวและ AHA)ปริมาณสุทธิ: 110 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Elaeis guineensis (Palm) oil, Oryza sativa (Rice) barn oil, Cocos Nucifera (Coconut) Oil, Sodium Hydroxide, Glycerin, Fragrance, Microcrystalline cellulose, Sucrose, Zea mays (Corn) Starch Melaleuca alternifolia (Tea tree) leaf oil, BHT, Ascorbic acid, Caprylic/capric triglyceride, Lactic acid, Tamarindus Indica Fruit Extract, Pearl extract, Potassium sorbate, Xanthan gumเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5910003270 ราคา: 48 บาท (0.4 บาท/กรัม)6. Sille ซิลลี่สูตร: มะขาม ขมิ้น ขิงปริมาณสุทธิ: 110 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : น้ำมันมะพร้าว น้ำ น้ำหอม โซเดียมไฮดรอกไซด์ สารสกัดมะขาม สารสกัดขมิ้น สารสกัดขิง ไทเทเนียม ไดอ็อกไซด์ เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5311945ราคา: 39.5 บาท (0.4 บาท/กรัม)7. ธัญญะสูตร: มะขาม AHA& Vitamin Cปริมาณสุทธิ: 120 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palmitate, Tamarindus Indica L., Rhinacanthus Nasutus, Fragranceเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5202853ราคา: 48 บาท (0.4 บาท/กรัม)8. KOKLIANG ก๊กเลี้ยงสูตร: Snow Lotus สโนว์ โลตัสปริมาณสุทธิ: 90 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palmitate, Sodium Palm Kernelate, Glycerin, Vitamin E, Fragrance, Saussurea Involucrata Extract, Centella Asiatica Extract, Borneol, Aloe Barbadensis Leaf Extract, Jasmine Tea Extract, CI74160 เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5873611ราคา: 35 บาท (0.4 บาท/กรัม)9. Protex โพรเทคส์สูตร: มะขาม ขมิ้น ทานาคาปริมาณสุทธิ: 130 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palm Kernelate or Sodium Cocoate, Sodium Palmate, Fragrance, Tocopheryl Acetate (Vitamin E), Sodium Ascorbyl Phosphate (Vitamin CCurcuma Longa (Turmeric) Extract, Camellia Sinensis Leaf Extract, Limonia acidissima (Thanaka) Extract, Tocopherol (Vitamin E)เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5908279ราคา: 48 บาท (0.4 บาท/กรัม)10. K. BROTHERSสูตร: สารสกัดเฮอร์คิวมินปริมาณสุทธิ: 110 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ: น้ำมันมะพร้าว โซเดียมไฮดรอกไซด์ ไทเทเนียม ไดออกไซด์ สารสกัดเฮอร์คิวมิน น้ำหอม น้ำเลขที่ใบรับแจ้ง: 24-1-5400053ราคา: 39.5 บาท (0.4 บาท/กรัม)11. SUPAPORN สุภาภรณ์สูตร: มะขาม+มะเฟืองปริมาณสุทธิ: 100 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Elaeis Guineensis Oil, Cocos Nucifera Oil, Sodium Hydroxide, Perfume, Camphor, Oryza Sativa Germ Oil, Copernicia Cerifera wax, Tamarindus Indica Heart Wood, Sodium Gluconate, Sodium Lactate, Borneol, Etidronic Acid, BHT, Salicylic Acid, Curcuma Aromatica Powder, Averrhoa Carambola Fruit Extract, Tamarindus Indica Fruit Extract,เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5511791ราคา: 49 บาท (0.5 บาท/กรัม)12. De leaf THANAKA เดอ ลีฟ ทานาคาสูตร: มอยส์เจอร์ไรซิ่ง แอนด์ ไวท์เทนนิ่งปริมาณสุทธิ: 100 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palm Kernelate, Sodium Cocoate (Coconut oil), limonia acidissima bark powder (Thanaka Powder), Fragrance, Curcuma Longa Root Powder (Turmeric), Glycerin, Tocopheryl Acetate (Vitamin E), Nicotinamide (Vitamin B3), limonia acidissima extract (Thanaka Extract) เลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5712945ราคา: 45 บาท (0.5 บาท/กรัม)13. PARN VIMARN ปานวิมานสูตร: ขมิ้นชัน ผสมทานาคาปริมาณสุทธิ: 125 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Cocos Nucifera Oil, Elaeis Guineensis Oil, Sodium Hydroxide, Perfume, Glycerin, Galanga rhizomes extract, Butyrospermum parkii (shea) butter extract, Olea europaea (olive) fruit oil, Tocopheryl Acetate, Limonia acidissima bark extract, Curcuma longa root extractเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5631586ราคา: 80 บาท (0.6 บาท/กรัม)14. Lavenze ลาเวนเซ่สูตร: น้ำนมข้าวหอมมะลิปริมาณสุทธิ: 90 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Sodium Palm Kernelate, Sodium Cocoate (Coconut oil), Rice, Milk Fragrance, Glycerin, Tocopheryl Acetate (Vitamin E), Oryza Sativa (Rice) Extractเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5635553ราคา: 65 บาท (0.7 บาท/กรัม)15. GIFU กิฟุสูตร: ถ่าน ลาวาภูเขาไฟปริมาณสุทธิ: 70 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Palmitic Acid, Lauric Acid, Propylene Glycol, Sodium Laureth Sulfate, Stearic Acid, PEG-40 Glyceryl Cocoate, Sodium Coceth Sulfate, Etidronic Acid, Charcoal Powder, Lava Powder, Sericinเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-6001000ราคา: 59 บาท (0.8 บาท/กรัม)16. สวนสมุนไพรอุ่นหนาฝาคั่งสูตร: น้ำผึ้งนางพญาปริมาณสุทธิ: 130 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : พญายอ, ลิ้นทะเล, น้ำมันสมุนไพรมะพร้าว, JRD, น้ำมันงาเชย, น้ำมันรำข้าวสีนิลเลขที่ใบรับแจ้ง: 13-1-5400173ราคา: 119 บาท (0.9 บาท/กรัม)17. TANAKAสูตร: Perfect white soapปริมาณสุทธิ: 65 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Aqua, Sodium Palmitate, Sodium Palmkernal, Sodium Cocoate, Glycerin, Sodium Laureth Sulfate, Niacinamide (vitamin b3), Fragrance oil, Tocopherol, Trehaloseเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-5938334ราคา: 120 บาท (1.8 บาท/กรัม)18. OAB’S SOAP โอปโซฟสูตร: Moonlight Honey Drop มูนไลท์ ฮันนี่ ดรอปปริมาณสุทธิ: 80 กรัมส่วนประกอบที่น่าสนใจ : Palmitic Acid, Stearic Acid, PEG-40 Hydrogenated castor oil, Decyl glucoside, Lauric Acid, Myristic acid, Fragrance, Wild Honey, Manuka honey, Bitter honey, Sodium chloride, Niacinamide, Evening primrose oil, Passion fruit extract, Citrus lemon fruit extractเลขที่ใบรับแจ้ง: 10-1-6010024812 ราคา: 250 บาท (3 บาท/กรัม)ข้อสังเกต1.มีบางยี่ห้อที่มีเลขที่จดแจ้ง 13 หลัก ซึ่งต่างจากเดิมที่มีแค่ 10 หลัก โดยทาง อย. ได้ชี้แจงว่าปัจจุบันได้มีผู้จดทะเบียนเครื่องสำอางมากขึ้น ทำให้เลขที่จดแจ้งของเครื่องสำอางเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย อย่างไรก็ตามผู้บริโภคควรตรวจสอบความถูกต้องของเลขที่จดแจ้งก่อนทุกครั้ง ผ่านการสืบค้นข้อมูลที่เว็บไซต์ของอย. (www.fda.moph.go.th) 2.สบู่สูตรที่อ้างว่าช่วยให้ผิวกระจ่างใส จะมีราคาค่อนข้างแพง พบว่า ยี่ห้อที่แพงที่สุด ตกราคากรัมละ 3 บาท ได้แก่ OAB’S SOAP โอปโซฟ รองลงมาคือ TANAKA ที่ตกที่ราคากรัมละ 1.8 บาท ขณะที่ยี่ห้ออื่นๆ มีราคาต่อกรัมไม่เกิน 1 บาท โดยสบู่ตัวที่มีราคาเฉลี่ยต่ำสุด 20 สตางค์ คือ อิงอร ส่วนผสมในสบู่ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว 1. กลุ่มสารลดแรงตึงผิว ได้แก่ สารลดแรงตึงผิวประจุลบ คือ Sodium Lauryl Sulfate (SLS) และ Sodium Laureth Sulfate (SLES) และสารลดแรงตึงผิวสองประจุ ได้แก่ Cocamidopropyl Betaine สำหรับสารในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการทำให้เกิดฟองและสามารถความสะอาดได้ดี ซึ่งสาร SLS จะมีความสามารถชำระล้างได้รุนแรงกว่าชนิดอื่น ทำให้อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางคน ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยง 2. กลุ่มสารที่มีความเป็นด่างสูง ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองได้ ได้แก่ Potassium Hydroxide และ Sodium Hydroxide 3. สารกลุ่มกรดไขมันและเกลือของกรดไขมัน ได้แก่ Potassium Myristate, Potassium Palmitate, Potassium Laurate, Potassium Oleate, Potassium Stearate, Stearate, Stearic acid, Palmitic acid, Lauric acid, Myristic acid สามารถทำให้เกิดคราบไคลสบู่ตกค้างในรูขุมขน ส่งผลให้เกิดสิวอุดตันได้ง่าย 4. สารกลุ่มน้ำหอม ได้แก่ Perfume, Fragrance อาจก่อให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองในผู้ที่แพ้น้ำหอม 5. ส่วนผสมของสารต้านแบคทีเรีย Triclosan มีผลต่อการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย และถูกแบนแล้วที่อเมริกาแนะวิธีดูแลผิวให้ขาวใส1. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น ผักผลไม้ที่มีวิตามินที่มีวิตามิน A ซึ่งพบมากในผลไม้สีเหลือง ส้ม แดงและเขียวเข้ม จะสามารถช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส มีความชุ่มชื้น หรือผลไม้ที่มีวิตามิน C ให้ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ซึ่งพบมากในผักตระกูลกะหล่ำ มะรุม บลอกโคลี และผลไม้หลายชนิด เช่น ฝรั่ง ลิ้นจี่ ส้มโอ มะละกอสุก สตอร์เบอรี่ พุทรา หรือผลไม้ที่มีวิตามิน E เพราะสามารถช่วยช่วยชะลอความแก่ ทำให้ผิวพรรณสดใส พบมากในน้ำมันจากธัญพืช และถั่วประเภทเปลือกแข็ง รวมทั้งควรดื่มน้ำสะอาดและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ2. ดูแลตัวเองจากปัจจัยภายนอก เช่น หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เร่งให้ผิวเสียด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ และอย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง นอกจากนี้อาจมีการขัดผิวอาทิตย์ละครั้งเพื่อกำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ด้วยวิธีที่ปลอดภัยอย่างสมุนไพรประจำบ้านเรา เช่น มะขามเปียก เนื่องจากมีกรด AHA ที่จะช่วยลอกผิวหนังชั้นบนที่ตายออก ทำให้รอยแผลเป็นจางลงได้ แต่ไม่ควรใช้บ่อยๆ เพราะอาจทำให้ผิวบางและไวต่อแสงแดด หรือใช้ขมิ้นชันขัดผิว เพราะมีคุณสมบัติยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน ช่วยทำให้สีผิวกระจ่างใสขึ้นได้
สำหรับสมาชิก >ในเล่มที่ผ่านมาเราเคยเสนอประเด็นว่าสบู่ฆ่าเชื้อเพื่อสุขภาพมีความจำเป็นแค่ไหนกันไปแล้ว คราวนี้กลับมาอีกครั้งกับ “สบู่สมุนไพร” ซึ่งจัดเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้รักสุขภาพไม่แพ้กัน เพราะผู้บริโภคหลายคนมักรู้สึกว่า สบู่สมุนไพรน่าจะมีความปลอดภัยต่อสุขภาพมากกว่าสบู่ประเภทอื่นๆ เนื่องจากมีส่วนผสมของธรรมชาติและให้สรรพคุณที่ดีกว่าอีกด้วย ทำให้ปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ามีสบู่สมุนไพรยี่ห้อต่างๆ และหลากหลายสูตรเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามด้วยสรรพคุณตามคำโฆษณาของสบู่สมุนไพรเหล่านี้ ส่งผลให้ราคาสบู่สมุนไพรหลายยี่ห้อสูงกว่าสบู่ธรรมดาหลายเท่าตัว จนหลายคนอาจคิดไปว่าสบู่สมุนไพรมีฤทธิ์ในการรักษาโรคกันเลยทีเดียว ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขออาสาส่องฉลากของสบู่สมุนไพรที่เน้นสรรพคุณว่าช่วยแก้ปัญหาสิว ว่ามีส่วนประกอบอะไรบ้างหรือแตกต่างจากสบู่ธรรมดาทั่วไปอย่างไร ซึ่งผลทดสอบจะเป็นอย่างไร เราลองไปดูกันเลยสบู่สมุนไพรสูตรสิว ลดสิวได้จริงหรือแม้สบู่จะมีหลายสูตร เช่น สบู่ใส สบู่ขุ่น แต่ส่วนประกอบและหน้าที่หลักของสบู่ยังคงคล้ายกันคือมีส่วนประกอบสำคัญของเกลือของกรดไขมัน ได้แก่ เกลือโซเดียม หรือเกลือโปแตสเซียม หรือเกลือแอมโมเนียม หรือเกลือเอมีน ที่ได้จากการใช้ไขมันสัตว์ และ/หรือน้ำมันพืชต่างๆ มาผสมกับด่างชนิดต่างๆ และมีหน้าที่หลักคือชะล้างสิ่งสกปรก ดังนั้นเราต้องไม่ลืมว่า สบู่ คือเครื่องสำอางประเภทหนึ่งที่มีไว้เพื่อทำความสะอาดผิว และกฎหมายได้กำหนดความหมายของเครื่องสำอางไว้ว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบ ต่อส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อความสะอาดหรือความสวยงาม ซึ่งไม่สามารถช่วยรักษา บรรเทา ป้องกันโรคหรือความเจ็บป่วยได้ เพราะไม่ใช่ยารักษาโรค และที่สำคัญต้องมีเลขที่จดแจ้ง 10 หลักบนฉลาก เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นเครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนประกอบของสารอันตรายและได้รับอนุญาตให้จำหน่ายแล้วหากสบู่ชนิดใดมีส่วนประกอบที่เข้าข่ายเป็นยา ก็ต้องขอขึ้นทะเบียนเป็นยาและปฏิบัติตามกฎหมายยา พร้อมแสดงเลขทะเบียนยาไว้บนฉลากเช่นกัน ดังนั้นสบู่ที่ไม่มีเลขทะเบียนยา แต่เป็นเพียงเครื่องสำอางประเภทหนึ่งก็ไม่สามารถอวดอ้างสรรพคุณในลักษณะเป็นยารักษาโรคได้นอกจากนี้ด้วยหน้าที่หลักของสบู่คือเพื่อทำความสะอาดผิว และสัมผัสกับผิวเราเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น จากนั้นก็จะถูกชะล้างออกไป จึงเป็นเรื่องยากที่วิตามินหรือสารสกัดต่างๆ ซึ่งผสมในสบู่จะช่วยถนอม บำรุงผิวหรือแม้แต่รักษาสิวให้เราได้ สรุปการเปรียบเทียบฉลากจากสบู่สมุนไพรที่นำมาทดสอบทั้งหมด 18 ตัวอย่าง พบว่า- มี 2 ตัวอย่างที่ไม่สามารถตรวจสอบฉลากได้ เนื่องจากไม่มีการระบุส่วนประกอบสำคัญไว้บนภาชนะบรรจุ ได้แก่ยี่ห้อ 1. ปิยะมาศ (PIYAMAS) สูตรโบราณ ไม่ระบุส่วนประกอบสำคัญ ปริมาณสุทธิและเลขที่จดแจ้ง และ 2. เอ็ดการ์ด (Edguard) สูตรสมุนไพร ไม่ระบุส่วนประกอบสำคัญ- หลายตัวอย่างมีส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ได้ดังนี้1. กลุ่มสารลดแรงตึงผิว ได้แก่ สารลดแรงตึงผิวประจุลบ คือ Sodium Lauryl Sulfate (SLS) และ Sodium Laureth Sulfate (SLES) และสารลดแรงตึงผิวสองประจุ ได้แก่ Cocamidopropyl Betaine สำหรับสารในกลุ่มนี้มีคุณสมบัติในการทำให้เกิดฟองและสามารถความสะอาดได้ดี ซึ่งสาร SLS จะมีความสามารถชำระล้างได้รุนแรงกว่าชนิดอื่น ทำให้อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ในบางคน ผู้ที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยง พบว่า ยี่ห้อ ไหมทอง (MAITHONG) ทั้งสูตรสบู่ใส มังคุด และสูตรมังคุด มีส่วนผสมของ Sodium Laureth Sulfate 2. กลุ่มสารที่มีความเป็นด่างสูง ซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองได้ ได้แก่ Potassium Hydroxide และ Sodium Hydroxide พบว่า ยี่ห้อ 1. SUPAPORN สุภาภรณ์ สูตรสูตรเย็น (ผงฟ้าทะลายโจร+สารสกัดมะเฟือง) 2. V.11 วี. วันวัน สูตรมะขาม+สครับขัดผิว 3. อิงอร สูตรมะขาม และ 4. ไหมทอง (MAITHONG) ทั้งสูตรสบู่ใส มังคุดและสูตรมังคุด มีส่วนผสมของ Sodium Hydroxide3. สารกลุ่มกรดไขมันและเกลือของกรดไขมัน ได้แก่ Potassium Myristate, Potassium Palmitate, Potassium Laurate, Potassium Oleate, Potassium Stearate, Stearate, Stearic acid, Palmitic acid, Lauric acid, Myristic acid สามารถทำให้เกิดคราบไคลสบู่ตกค้างในรูขุมขน ส่งผลให้เกิดสิวอุดตันได้ง่าย พบว่า ยี่ห้อ ไหมทอง (MAITHONG) สูตรสบู่ใส มังคุด มีส่วนผสมของ Stearic acid, Palmitic acid และ Lauric acid4. สารกลุ่มน้ำหอม ได้แก่ Perfume, Fragrance, Parfum อาจก่อให้เกิดอาการแพ้หรือคะคายเคืองในผู้ที่แพ้น้ำหอม มี 4 ตัวอย่างที่ไม่พบส่วนผสมของน้ำหอมตามที่ระบุบนฉลาก ได้แก่ 1. ว่านไทย (Wanthai) สูตรผสมโสม 2. MAITHONG ไหมทอง สูตรสบู่ใส มังคุด 3. เบนเนท (Bennett) สูตรวิตามินE ผสมว่าน และ 4. ซันซิง สูตรขิง5. มี 3 ตัวอย่างที่มีส่วนผสมของสารต้านแบคทีเรีย ได้แก่ 1. นกแก้ว สูตรสะเดา ไพล น้ำผึ้ง มีส่วนผสมของ Triclosan 2. อิงอร สูตรมะขาม มีส่วนผสมของ Triclosan 3. ดร.มนตรี สูตร Dark spot remover มีส่วนผสมของ Triclocarban ซึ่งฉลาดซื้อเคยนำเสนอไปแล้วว่า มีผลต่อการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย และถูกแบนแล้วที่อเมริกา----------------------------ตลาดสบู่ ตลาดรวม 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 1. สบู่บิวตี้ 43% 2. สบู่ฆ่าเชื้อเพื่อสุขภาพ 25% 3. สบู่สมุนไพร 17% 4. สบู่เด็ก 10% 5. อื่นๆ 5%ที่มา: ลอรีอัล, มีนาคม 2560 (Marketeer) แนะวิธีลดสิวเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจก่อนว่า สิวเกิดจากความผิดปกติหรือการอักเสบของรูขุมขน เช่น เซลล์ที่เส้นขนแบ่งตัวมากผิดปกติ จนปิดกั้นทางออก ทำให้ไขมันและขี้ไคลสะสมอยู่ในต่อมขนเกิดเป็นตุ่มสิวขึ้นมา หรือต่อมไขมันผลิตไขมันมากเกินไป และมีการสะสมอยู่ในต่อมขนจนเกิดเป็นตุ่มสิวในที่สุด หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย (Propionibacterium acnes) ซึ่งเป็นการอุดตันจากภายใน ไม่ใช่จากภายนอก และสิวจะเริ่มเป็นมากขึ้นเมื่อเราอยู่ในช่วงวัยรุ่น เพราะเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือการแพ้สารเคมีในเครื่องสำอาง รวมทั้งกรรมพันธุ์ก็มีส่วนด้วยเช่นกัน โดยไม่เกี่ยวข้องกับฝุ่นละอองหรือความสกปรกจากภายนอกแต่อย่างใด ดังนั้นการรักษาสิวอย่างปลอดภัยและได้ผลในระยะยาว สามารถทำได้ด้วยหลักง่ายๆ 2 วิธี คือ1. ทำความสะอาดผิวหนังและใช้ยาทารักษาสิวหัวใจของการทำให้ผิวสะอาดคือ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับผิวหน้า โดยควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสารประกอบที่อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ เช่น น้ำหอม สารกันเสีย หรือแอลกอฮอล์ รวมทั้งเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสภาวะกรดอ่อนๆ เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรีย เพราะแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะที่มีความเป็นด่างสูง และอาจมีการรักษาเสริมด้วยการกดสิวหรือฉีดสิวกับแพทย์อย่างถูกวิธี2. รับประทานยารักษาสิวการรับประทานยาเพื่อรักษาสิว สามารถทำได้หากอยู่ในความดูแลของแพทย์ เนื่องจากยารักษาสิวบางยี่ห้อ อาจผสมสเตียรอยด์ ซึ่งสามารถทำให้สิวยุบเร็วขึ้นได้ แต่มีข้อแทรกซ้อนตามมามากมาย ความเชื่อว่า อาหารบางประเภทสามารถทำให้เกิดสิวได้ เช่น ช็อกโกแลต พบว่ายังไม่มีงานวิจัยใดชี้ว่าอาหารดังกล่าวทำให้สิวขึ้นจริง แต่อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน ไอศกรีม ขนมปังขาว ผลิตภัณฑ์จากนม สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้ การล้างหน้าบ่อยๆ ก็ไม่สามารถช่วยลดการเกิดสิวหรือทำให้หน้ามันน้อยลงได้ เพราะทุกครั้งที่เราล้างหน้า ผิวจะผลิตน้ำมันมาเคลือบผิวใหม่เพื่อทดแทนน้ำมันที่หลุดออกไป ยิ่งทำให้หน้ามันมากขึ้น (ข้อมูลอ้างอิง: http://dst.or.th/userfiles/Acne-edit.pdf)
สำหรับสมาชิก >ฉลาดซื้อฉบับนี้มีผลทดสอบความสามารถของ แอปพลิเคชั่นนำทาง ที่โหลดมาใช้ได้ในสมาร์ทโฟนทั้งระบบ Android และ iOS การทดสอบนี้ สมาชิกองค์กรทดสอบระหว่างประเทศในยุโรปร่วมกันทำไว้ ระหว่างครึ่งหลังของปี 2550 และครึ่งแรกของปี 2560 คะแนนที่ให้แบ่งออกเป็นด้านต่างๆ ดังนี้ประสิทธิภาพในการนำทาง ร้อยละ 45ความสะดวกในการใช้งาน ร้อยละ 35การแสดงข้อมูลการจราจร ร้อยละ 10ความหลากหลายของฟังก์ชั่น ร้อยละ 5ความสามารถเฉพาะของระบบ ร้อยละ 5ในภาพรวมยังไม่มีแอปที่ได้คะแนนประสิทธิภาพการทำงานหรือความสะดวกในการใช้งานในระดับ 5 ดาว แต่ก็ถือว่าเรามาถูกทางกันแล้วเพราะส่วนใหญ่ได้คะแนนไปถึง 4 ดาว
สำหรับสมาชิก >กาแฟซอง 3 in 1 เป็นกาแฟปรุงสำเร็จชนิดผงที่ผู้บริโภคในบ้านเราให้การตอบรับเป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะสะดวก เพียงฉีกซองใส่แก้วเติมน้ำร้อนก็ดื่มได้แล้ว ยังมีรสชาติที่อร่อยถูกปากในราคาไม่แพงมากอีกด้วย โดยเหตุผลหลักที่ทำให้กาแฟประเภทนี้รสชาติดีก็มาจากส่วนประกอบหลัก 3 อย่างคือ กาแฟ ครีมเทียมและน้ำตาล ซึ่งผสมผสานมาแล้วพร้อมกับวัตถุเจือปนอาหารต่างๆ อย่างลงตัว ทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม อำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคที่ไม่อยากชงกาแฟดื่มเองได้เป็นอย่างดีอย่างไรก็ตามด้วยรสชาติที่อร่อยและขนาดซองที่ไม่ใหญ่มากนัก ทำให้ผู้บริโภคหลายคนลืมไปว่าในกาแฟทรีอินวันเหล่านี้อาจมีปริมาณน้ำตาล ไขมันและให้พลังงานสูง ซึ่งหากบริโภคมากเกินไป สามารถทำให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวานจากการได้รับน้ำตาลเกิน 24 กรัม/วัน หรือโรคหัวใจ จากการได้รับไขมันไม่ดีสะสม รวมทั้งโรคไขมันในเลือดสูงได้ เราจึงต้องระมัดระวังในการดื่มกาแฟประเภทนี้ ฉลาดซื้อจึงขออาสาตรวจสอบปริมาณน้ำตาลและพลังงาน ของกาแฟปรุงสำเร็จชนิดผง 3 in 1 จาก 15 ยี่ห้อยอดนิยมจำนวน 18 ตัวอย่าง หลังจากในเล่มที่ผ่านมาเราเคยทดสอบ คาเฟอีนและน้ำตาลในกาแฟปรุงสำเร็จพร้อมดื่มหรือกาแฟกระป๋องกันไปแล้ว ซึ่งผลทดสอบจะเป็นอย่างไร ลองไปดูกันเลยสรุปผลการสำรวจฉลากจากกาแฟปรุงสำเร็จชนิดผง แบบ 3in1 ที่นำมาทดสอบทั้งหมด 15 ยี่ห้อ 18 ตัวอย่าง พบว่า1. ยี่ห้อที่มีปริมาณพลังงานมากที่สุดคือ เอ็ก ชอง ไวท์ คอฟฟี่ ทาริก ทรี อิน วัน ให้พลังงาน 185 กิโลแคลอรี/40 กรัม และเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ริช อโรมา ให้พลังงาน 90 กิโลแคลอรี/19.4 กรัม ในขณะที่ยี่ห้อที่มีปริมาณพลังงานน้อยที่สุดคือ มัซ เอสเปรสโซคอฟฟี่ ให้พลังงาน 65 กิโลแคลอรี/18 กรัม2. ยี่ห้อที่มีปริมาณน้ำตาลมากที่สุดคือ เอลี่คาเฟ่ คลาสิค มีน้ำตาล 13.8 กรัม/20 กรัม และยี่ห้อที่มีปริมาณน้ำตาลน้อยที่สุดคือ มัซ เอสเปรสโซคอฟฟี่ มีน้ำตาล 0 กรัม/18 กรัม(ใช้วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล)3. ยี่ห้อที่มีปริมาณไขมันมากที่สุดคือ เอ็ก ชอง ไวท์ คอฟฟี่ ทาริก ทรี อิน วัน มีไขมัน 7 กรัม/40 กรัม และยี่ห้อที่มีปริมาณไขมันน้อยที่สุดคือ บัดดี้ดีน ทรีอินวัน เอ็กซ์ตร้าโรสท์ มีไขมัน 0 กรัม/18 กรัม4. มี 7 ยี่ห้อที่ไม่สามารถตรวจสอบปริมาณพลังงาน น้ำตาลหรือไขมันได้ เนื่องจากไม่มีฉลากโภชนาการ ได้แก่ 1. อาราบัส ทรีอินวัน ออริจินัล 2. เฟรนช์ คาเฟ่ ริช โกลด์ 3. จีเซเว่น คอฟฟี่มิกซ์ 4. กาแฟเขาทะลุ สูตรเอสเพสโซ่ 5. กาแฟเขาทะลุ สูตรดั้งเดิม 6. เบอร์ดี้ โรบัสต้า และ 7. มอคโคน่า ทรีโอ เอสเปรสโซ่ตารางแสดงปริมาณพลังงาน น้ำตาลและไขมันในกาแฟ ทรีอินวันสำรวจเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 สารปรุงแต่งในผลิตภัณฑ์กาแฟ ทรีอินวัน การใส่สารปรุงแต่งหรือวัตถุเจือปนอาหาร มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีเนื้อสัมผัสที่ดี คงตัว สะดวกในการขนส่งและเก็บรักษา และทำให้มีสีสันที่คล้ายธรรมชาติ ได้แก่ 1.สารควบคุมความเป็นกรด2.สารป้องกันการจับตัวเป็นก้อน3.อิมัลซิไฟเออร์ คือ สารที่ทำให้ส่วนผสมที่ปกติไม่สามารถผสมกันได้ สามารถรวมตัวกันได้ เช่น น้ำกับน้ำมัน และช่วยยืดอายุการเก็บรักษา4.สารช่วยทำละลาย 5.สารที่ทำให้คงตัว 6.สารเพิ่มปริมาณ(มอลโตเดกซ์ตริน) คือ คาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ (Polysaccharide) 7.สี กลิ่น เลียนแบบธรรมชาติตลาดกาแฟในปี 2557 กาแฟ 3 in 1 ครองส่วนแบ่งของตลาดกาแฟ ด้วยมูลค่าตลาด 15,000 ล้านบาท และมีการเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้นำทางการตลาดคือ เนสกาแฟ มีส่วนแบ่งที่ร้อยละ 63 ตามมาด้วยซูเปอร์กาแฟ ส่วนแบ่งที่ร้อยละ 12 ที่เหลืออีกร้อยละ 10 เป็นของเบอร์ดี้และมอคโคน่า อย่างไรก็ตามตลาดกาแฟ 3 in1 จะมีผู้ผลิตรายใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เช่น ดาว คอฟฟี่ อาราบัส ของดัชมิลล์ ทำให้กลายเป็นตลาดที่มีความแข่งขันสูงมากที่มา: http://marketeer.co.th/archives/38718
สำหรับสมาชิก >สบู่ผสมสารต้านแบคทีเรียหรือสบู่ฆ่าเชื้อเพื่อสุขภาพ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคหลายคนนิยมใช้ เพราะเชื่อว่ามีประสิทธิภาพหรือสรรพคุณดีกว่าสบู่ธรรมดา แต่สบู่เหล่านั้นสามารถทำความสะอาดได้ดีกว่าจริงหรือสารต้านแบคทีเรียในสบู่ฆ่าเชื้อที่ผู้ผลิตส่วนใหญ่นิยมนำมาใช้ คือ ไตรโคลซาน )Triclosan) ซึ่งสามารถเป็นทั้งวัตถุกันเสียและมีคุณสมบัติในการต้านเชื้อจุลินทรีย์ ราหรือแบคทีเรียได้ จึงถูกนิยมใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์หลายชนิด เช่น ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก น้ำยาล้างจาน โดยหากนำมาผสมในสบู่ก็มักมีการโฆษณาว่าสามารถช่วยทำความสะอาดผิวได้ดีขึ้น เพราะช่วยทำลายเชื้อโรคที่อยู่บนผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามงานวิจัยหลายชิ้นกลับระบุว่า ไตรโคลซานสามารถทำให้แบคทีเรียเกิดการดื้อยาข้ามกลุ่ม หรือทำให้แบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะได้ ซึ่งสารจะไปส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการขับยาออกนอกเซลล์ ทำให้มีปริมาณยาปฏิชีวนะในเซลล์น้อยและไม่สามารถฆ่าเชื้อได้ ทำให้เชื้อปรับตัวดื้อยาในที่สุดนอกจากนี้เมื่อใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ไตรโคลซานสามารถสะสมในร่างกายได้เช่นกัน เนื่องจากเคยมีการตรวจพบสารดังกล่าวในปัสสาวะของคนอเมริกันถึงร้อยละ 75 และมากไปกว่านั้นเมื่อสารไตรโคลซานถูกปล่อยออกไปสู่สิ่งแวดล้อมหลังการชะล้าง ยังส่งผลกระทบต่อจุลินทรีย์ในระบบนิเวศน์วิทยาอีกด้วย รวมไปถึงผลกระทบอื่นๆ ที่เคยพบในสัตว์ทดลอง โดยสารดังกล่าวสามารถทำให้เกิดอาการข้างเคียงหลายอย่าง เช่น ผลต่อพัฒนาการและภาวะการเจริญพันธุ์ ผลต่อต่อมไร้ท่อ ไทรอยด์ฮอร์โมน ฮอร์โมนเอสโตรเจนและมีความเป็นพิษเรื้อรัง รวมทั้งยังเป็นสารก่อมะเร็งได้ ในหลายประเทศ เช่น องค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา จึงประกาศยกเลิกการใช้ไตรโคลซานในผลิตภัณฑ์สบู่ รวมถึงสารเคมีกลุ่มนี้อีก 18 ชนิด ซึ่งให้มีผลบังคับใช้ทั่วสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 เนื่องจากส่งผลกระทบด้านลบดังที่กล่าวไว้ข้างต้น รวมถึงยังไม่มีหลักฐานใดๆ บ่งชี้ได้ว่าสบู่ที่ผสมสารไตรโครซาน สามารถชำระล้างได้ดีกว่าการใช้สบู่ธรรมดา ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงอาสาส่องฉลากสบู่ผสมสารต้านแบคทีเรียที่วางจำหน่ายตามท้องตลาด จำนวน 18 ตัวอย่าง จาก 12 ยี่ห้อยอดนิยม ซึ่งผลทดสอบจะเป็นอย่างไรเราลองไปดูกันเลย สรุปผลการสำรวจฉลากผลิตภัณฑ์สบู่ฆ่าเชื้อโรคจากตัวอย่างสบู่ผสมสารต้านแบคทีเรียจำนวน 18 ตัวอย่าง 12 ยี่ห้อที่นำมาตรวจสอบฉลาก พบว่า1. มี 11 ตัวอย่างที่ระบุว่ามีส่วนผสมสารต้านแบคทีเรีย แบ่งเป็น - 4 ตัวอย่างที่มีส่วนผสมของไตรโคลซาน ได้แก่ กลุ่มสบู่เหลว 1. Asepso (อาเซปโซ) สูตรออริจินัล 2. Deterderm (ดีเทอร์เดอร์ม) สูตร Deo beauty fresh 3. Tea Tree (ที ทรี) สูตรสกินไวท์เทนนิ่ง บาธ ครีม และ 4. Oxe cure (อ๊อกซีเคียว) สูตรระงับกลิ่นกายสำหรับผู้มีปัญหาสิว/ผิวแพ้ง่าย - 5 ตัวอย่างที่มีส่วนผสมของไตรโคลคาร์บาน ได้แก่ กลุ่มสบู่ก้อน 1. Dial (ไดอัล) สูตรสปริงวอเตอร์ 2. Dettol (เดทตอล) สูตรออริจินัล 3. Protex (โพรเทคส์) สูตรสดชื่น 4. Protex For Men (โพรเทคส์ ฟอร์เมน) สูตรสปอร์ต และ 5. สบู่เหลว Protex (โพรเทคส์) สูตรไอซ์ซี่ คูล- 2 ตัวอย่างที่มีส่วนผสมของทั้งไตรโคลซานและไตรโคลคาร์บาน ได้แก่ ยี่ห้อ Benice (บีไนซ์) สูตรคลีน&เธอราพี และสูตรแอคทีฟ พลัส2. มี 6 ตัวอย่าง ที่ไม่ได้ระบุว่ามีการผสมสารต้านแบคทีเรียในกลุ่มไตรโคลซาน ได้แก่ 1. สบู่ก้อน Safeguard (เซฟการ์ด) 2. สบู่ก้อน Asepso (อาเซปโซ) สูตรออริจินัล 3. สบู่เหลว ยี่ห้อ Dettol (เดทตอล) สูตรเฟรช 4. สบู่เหลว Dettol (เดทตอล) สูตรแอคทีฟ 5. สบู่เหลว Kirei Kirei (คิเรอิคิเรอิ) สูตรแอนตี้แบคทีเรียกลิ่นองุ่น และ 6. สบู่เหลว Shokubutsu (โชกุบุสซึ) สูตร anti-bacteria body foam rejuvenating & purifyingข้อสังเกตยี่ห้อ Acticex (แอคตี้เว็กซ์) สูตร Bacteria blocking system (ลิควิด โซฟ แอคทีฟ โพรเท็คชั่น) ฉลากภาษาไทยไม่มีรายละเอียดของส่วนผสม สารเคมีในกลุ่มต้านแบคทีเรียที่ถูกประกาศห้ามใช้มีอะไรบ้างตามที่องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ประกาศยกเลิกการใช้ไตรโคลซานในผลิตภัณฑ์สบู่ รวมถึงสารเคมีกลุ่มนี้อีก 18 ชนิด เราลองมาดูกันว่าชื่อสารเคมีในกลุ่มดังกล่าวมีอะไรบ้าง1. Cloflucarban 2. flurosalan 3. hexachlorophene 4. hexylresorcinol 5. iodine complex (ammonium ether sulfate and polyoxyethylene sorbitan monolaureate) 6. iodine complex (phosphate ester of alkylaryloxy polyethylene glycol) 7. Nonylphenoxypoly (ethyleneoxy) ethanoliodine 8. poloxamer-iodine complex 9. Povidone- iodine 5-10 % 10. Undecoylium chloride iodine complex 11. Methylbenethonium chloride 12. Phenol (มากกว่า 1.5%) 13. Phenol 16 (น้อยกว่า 1.5%) 14. Secondary amyltricresols 15. Sodium oxychlorosene 16. Tribromsalan 17. Triclocarban, Triclosan และ 18. Tripledyeแนะวิธีปองกันตัวเองจากแบคทีเรียง่ายๆ การป้องกันตนเองจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการการล้างมือด้วยสบู่ก้อนหรือสบู่เหลวชนิดธรรมดา โดยไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะทำให้ผิวหนังมีเชื้อแบคทีเรียตกค้าง เพราะตามธรรมชาติผิวหนังของเราสามารถปกป้องไม่ให้เชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ด้วยการหลั่งกรดอ่อนจากต่อมเหงื่อ ทำให้ผิวหนังมีสภาพความเป็นกรด ซึ่งไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิดได้อยู่แล้ว ขอบคุณ ข้อมูล รศ.ดร.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์
สำหรับสมาชิก >ฉลาดซื้อเล่มนี้ขอตามเทรนด์ล้ำๆ ด้วยการนำเสนอผลทดสอบหุ่นยนต์ทำความสะอาดพื้นที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศทำไว้ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา แม้สนนราคาของมันจะค่อนข้างแพงแต่เครื่องดูดฝุ่นแบบนี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะใครๆ ก็อยากมีผู้ช่วยดูแลพื้นบ้านให้สะอาดเอี่ยม คำถามคือ มันทำอย่างนั้นได้จริงหรือไม่? การทดสอบครั้งนี้แบ่งคะแนนออกเป็น 5 ด้าน เรียงตามน้ำหนักคะแนนได้แก่ ประสิทธิภาพการทำความสะอาด (ฝุ่น เศษขนมปัง เส้นใย) บนพื้นพรมและพื้นไม้ ความสะดวกในการใช้งาน การเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ในห้องนั่งเล่น(ที่มีโซฟา ม่าน แจกัน สายไฟ เป็นต้น) ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและเสียงที่เกิดขณะใช้งานทีมทดสอบพบว่ารุ่นที่ “ดีที่สุด” สอบผ่านด้วยคะแนนร้อยละ 63 เท่านั้น ดูรวมๆ แล้วอุปกรณ์ประเภทนี้ยังทำงานได้ต่ำกว่าความคาดหวังของผู้บริโภค แต่รู้ไว้ไม่เสียหลาย พลิกหน้าถัดไปเพื่อดูว่าหุ่นยนต์รุ่นที่คุณเห็นในโฆษณาหรือที่พนักงานสาธิตให้ดูในห้างนั้นได้คะแนนแต่ละด้านไปมากน้อยอย่างไร
สำหรับสมาชิก >