ฉบับที่ 104 ร้านกาแฟก็ (ต้อง) แคร์สังคม

เรื่องทดสอบ 1 ความเดิมจากตอนที่แล้ว ฉลาดซื้อ ฉบับที่ 103 เอาใจคอกาแฟด้วยการทดสอบ ‘คาเฟอีน’ ในกาแฟเอสเปรสโซ ของร้านกาแฟชื่อดังจำนวน 18 ร้าน พร้อมทั้งเล่าให้ฟังถึงที่มาที่ไปของเมล็ดกาแฟ ก่อนจะกลายมาเป็นกาแฟหอมๆ นอนอุ่นอยู่ในถ้วยให้เราได้ดื่ม นอกจากร้านกาแฟชื่อดังเหล่านี้จะมอบความหอมและรสชาติที่เข้มข้นของกาแฟ มาให้เราได้ดื่มกันแล้ว ฉลาดซื้อยังอยากรู้ลึกเข้าไปอีกว่า ร้านกาแฟเหล่านี้ยังมอบความห่วงใยใส่ใจให้กับสังคมด้วยหรือเปล่า เราจึงส่งแบบสำรวจเรื่องนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR (Corporate Social Responsibility) ซึ่งก็มีร้านกาแฟใจดีตอบแบบสำรวจกลับมาหาเรา 5 ร้าน   ตารางแสดงนโยบายและแนวปฏิบัติต่อสังคมของร้านกาแฟ *** เชสเตอร์กริล, Au Bon Pian, Caf? Kaldi, ดอยตุง, คอฟฟี่เวิลด์, Segrfredo Sanetti, กาแฟ Suzuki, Mc Caf?, ร้านนายอินทร์, แบล็ค แคนยอน, Caf? Amazon, ดังกิ้น และ Caf? Mezzo ไม่สะดวกในการตอบแบบสำรวจ***   สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) จำกัดสตาร์บัคส์ มีนโยบายปฏิบัติเพื่อสังคม ภายใต้สโลแกนที่ว่า “Shared Planet” ซึ่งเป็นแนวทางในการร่วมสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับโลก โดยแบ่งเป็น 3 เรื่องได้แก่ การสรรหาอย่างมีจริยธรรม การลดใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และการมีส่วนร่วมในชุมชน ด้านสิ่งแวดล้อม สตาร์บัคส์ได้สนับสนุนให้ลูกค้าหันมาใช้แก้วส่วนตัวเมื่อซื้อกาแฟหรือเครื่องดื่มที่ร้าน โดยในปี 2551 สตาร์บัคส์ประเทศไทย สามารถลดปริมาณแก้วกระดาษและแก้วพลาสติก ได้ถึง 300,000 ใบ การออกแบบตกแต่งร้านให้มีความสอดคล้องและพึ่งพาธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งสตาร์บัคส์พยายามสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย สตาร์บัคส์ใช้เมล็ดกาแฟทั้งจากที่ผลิตในไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ โดยกาแฟในไทยได้มาจากหมู่บ้านห้วยส้มป่อย อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ภายใต้ชื่อ ‘ม่วนใจ๋ เบลนด์’ สตาร์บัคส์ทำงานร่วมกับองค์กรพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน (ITDP) ในการเลือกเมล็ดกาแฟ สตาร์บัคส์ ยังให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ไม่ว่าจะเป็นการรับซื้อโดยตรงจากเกษตรกรผู้ผลิต รับซื้อกาแฟในราคาสูง พร้อมทั้งยังให้ความรู้แก่เกษตรกร ดูแลเรื่องสาธารณสุข และเงินทุนสนับสนุน บ้านไร่กาแฟ (บริษัท ออกแบบไร่นา (ประเทศไทย) จำกัด) บ้านไร่กาแฟรับซื้อวัตถุดิบจากกลุ่มเกษตรที่ได้รับการฝึกอบรม และสามารถส่งวัตถุดิบให้กับโครงการหลวง โดยจะใช้เมล็ดกาแฟที่ผลิตในประเทศไทย จากทางภาคเหนือ เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพให้กับเกษตรกรรายย่อย โดยคุณภาพของเมล็ดกาแฟจะกำหนดให้อยู่ในระดับตามที่โครงการหลวงเป็นผู้ดูแล สำหรับการให้การสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น บ้านไร่กาแฟได้รับเลือกจากสำนักงานการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย จ.สระบุรี ให้เป็นแหล่งให้ความช่วยเหลือด้านการจัดการศึกษา และสร้างความรู้ให้ชุมชน ส่วนเรื่องการดูแลด้านสิ่งแวดล้อม บ้านไร่กาแฟมีนโยบายการกำจัดขยะ ด้วยการนำเศษพืชผักในร้านอาหารในพื้นที่ อ.หนองแซง จ.สระบุรี จะถูกนำมาหมักเป็นปุ๋ยอินทรีย์เพื่อใช้ในนาข้าว กาแฟวาวี (บริษัท กาแฟวาวี จำกัด) กาแฟวาวีใช้เมล็ดกาแฟที่ผลิตในประเทศไทย จาก ดอยอินทนนท์ ดอยช้าง และดอยหลวง โดยการจัดซื้อจากเกษตรกรรายย่อย พร้อมทั้งยังสนับสนุนให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยชีวภาพมากขึ้น เพื่อเป็นการลดการใช้สารเคมีในการกำจัดศัตรูพืช โดยร่วมมือกับทางศูนย์วิจัยและพัฒนากาแฟบนที่ราบสูงเชียงใหม่ในการให้ความ รู้กับเกษตรกร การใส่ใจสิ่งแวดล้อม กาแฟวาวีจะมีการคัดแยกขยะที่สามารถนำไป Recycle เช่น แก้วกาแฟเย็นซึ่งผลิตจากพลาสติก และแก้วกาแฟร้อนที่ผลิตจากกระดาษ เพื่อลดปริมาณขยะ  ทรู คอฟฟี่ (ทรู คอร์ปอเรชั่นส์)ให้กับสนับสนุนและช่วยเหลือสังคม ด้วยการจัดโครงการอมยิ้ม เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่มีอาการปากแหว่งเพดานโหว่ ให้มีโอกาสกลับมายิ้มได้เช่นเดียวกับคนปกติ โดยร่วมมือกับมูลนิธิสร้างรอยยิ้ม ผ่าตัดทำศัลยกรรมให้กับเด็กน้อยผู้ด้อยโอกาส และขาดทุนทรัพย์ ทรู จะเริ่มดำเนินโครงการอมยิ้ม ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2552 เป็นต้นไป โดยในอนาคต จะมีกิจกรรมร่วมกันระหว่างพนักงาน และลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทรู คอฟฟี่ ใส่ใจในเรื่องการให้บริการลูกค้า โดยใช้โครงการอมยิ้มมาเป็นตัวกระตุ้นให้พนักงานใส่ใจในบริการ เพื่อทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ รู้สึกดีจนเกิดรอยยิ้มเมื่อเข้ามาใช้บริการที่ร้าน ก่อนจะเชิญชวนลูกค้าให้มีส่วนร่วมกับโครงการอมยิ้ม กาแฟตุงฮู(ห.จ.ก. ตุงฮูสโตร์)กาแฟตุงฮู เป็นเพียงธุรกิจแบบครอบครัว นโยบายและแนวปฏิบัติต่างๆ จึงยังไม่มีความชัดเจน มีเพียงข้อมูลเรื่องของการเลือกใช้เมล็ดกาแฟ ที่เป็นเมล็ดกาแฟที่ผลิตในประเทศไทย แต่ทางร้านไม่ได้ซื้อจากเกษตรกรโดยตรง “กาแฟบนดอย” ถูกกว่าแถมยังช่วยเกษตรกร ใครที่อยากดื่มกาแฟแท้ๆ สดจากไร่ แถมยังได้ช่วยเหลือเกษตรกร ฉลาดซื้ออยากให้ลองทำความรู้จักกับ “กาแฟบนดอย” กาแฟที่ปลูกโดยชาวบ้านที่รวมกลุ่มกันปลูกและผลิตกาแฟเองโดยไม่ผ่านบริษัท ยักษ์ใหญ่ที่ซื้อเมล็ดกาแฟจากเกษตรกรในราคาถูก เพื่อนำไปผลิตเป็นกาแฟผงพร้อมชงแบบที่เราดื่มอยู่เป็นประจำ การซื้อกาแฟจากคนปลูกทำให้เงินถึงมือเกษตรกรโดยตรง ไม่ต้องผ่านบริษัทนายทุน แถมผู้บริโภคก็จะสามารถซื้อกาแฟได้ในราคาไม่สูงเกินจริง ได้ดื่มกาแฟที่สดใหม่ ปลอดสารเคมี ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนเกษตรชุมชน สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อกาแฟได้ที่มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนภาคเหนือ77/1 หมู่ 5 ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200โทร. 053-810623-4 อีเมล : sdf_cn@yahoo.com  ปี 2551 ประเทศไทยมีการส่งออกเมล็ดกาแฟดิบจำนวน 1,662 ตัน มูลค่า 150.9 ล้านบาท ขณะที่มีการนำเข้ากาแฟสำเร็จรูปถึง 2,893 ตัน คิดเป็นเงิน 641.6 ล้านบาท***ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร โดยความร่วมมือของ กรมศุลกากร http://www.oae.go.th/oae_report/export_import/export_result.php ข่าวดีของคอกาแฟนอกจากผลทดสอบปริมาณคาเฟอีนที่เราลงข้อมูลไปเมื่อฉบับที่แล้ว ฉลาดซื้อยังได้รับรายงานผลทดสอบเพิ่มเติมอีกหนึ่งเรื่องว่า กาแฟจากทั้ง 18 ร้านชื่อดังนั้น ไม่พบสารอะฟลาท็อกซินปนเปื้อนมาแต่อย่างใด ทางร้านค้าคงจะมีวิธีการเก็บรักษาที่ดี ทำให้เมล็ดกาแฟไม่เกิดเชื้อราและมีสารพิษอะฟลาท็อกซินปนเปื้อนออกมา เมล็ดกาแฟก็เช่นเดียวกับพืชผลทางการเกษตรอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นถั่วลิสง ข้าว ข้าวโพด พริก ฯลฯ ที่มีโอกาสปนเปื้อนเชื้อราที่ผลิตสารพิษอะฟลาท็อกซินได้ง่าย หากมีการเก็บเมล็ดกาแฟไว้ในที่ที่มีความชื้นสูง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

นิตยสารออนไลน์ ฉบับที่ 104 เสียงผู้บริโภค

“รถเปลี่ยนเป็นเงิน” อันตรายติดเสาไฟฟ้า“หนูจ๋า ช่วยป้าด้วยจ้ะ...!”“มีอะไรหรือคะป้า” เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคถาม“คืออย่างนี้...”ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคก็ได้รับฟังความทุกข์จากป้าอารีย์ที่หลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย “สามีป้ามีปัญหาสุขภาพ เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ป้าต้องทำงานหาเงินคนเดียว ทำทุกอย่างทั้งเย็บมุ้งขาย ทั้งทำสวนอยู่ต่างจังหวัด ยังไม่พอนะหนู แม่สามีของป้าแกก็มาป่วยเข้าอีกคน ป้าแทบหมดหนทางไม่รู้จะหาเงินที่ไหนมาใช้จ่ายจุนเจือครอบครัว” ที่เล่ามาเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ปัญหาจริง ๆ ของป้าอารีย์เกิดขึ้นเมื่อ... “ป้าต้องใช้เงินมากไม่รู้จะไปกู้ที่ไหน เห็นเบอร์ตามเสาไฟฟ้าที่บอกว่า ให้นำรถไปเปลี่ยนเป็นเงินได้ พอดีสามีป้ามีรถกระบะอยู่คันหนึ่ง ก็ตัดสินใจวินาทีนั้นล่ะ กะจะเอารถไปจำนำเปลี่ยนเป็นเงินมาใช้กันก่อน มีเงินเมื่อไหร่ค่อยไปไถ่ถอนคืนทีหลัง” ป้าอารีย์จึงโทรไปขอความช่วยเหลือตามเบอร์โทรศัพท์ที่แจ้งไว้ในป้ายข้างเสาไฟฟ้าทันที “ตอนนั้นประมาณเดือนกรกฎาคม ปี 2548 เขาบอกคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อเดือน ใช้สมุดรถยนต์ค้ำประกัน ก็นัดหมายทำสัญญากันเลย” “ไปทำสัญญากันที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งแถวถนนเพชรเกษม ช่วงบางแค วันนั้นเห็นมีพนักงานแค่ 2 คน ก็เอารถเราไปให้เขาดูด้วย เขาตีราคาบอกว่าได้แค่ 70,000 บาท และให้วางสมุดทะเบียนรถไว้กับเขาแต่รถเอาไปใช้ได้ป้าก็ลังเลอยู่แต่สามีป้า ซึ่งเป็นเจ้าของรถตกลงเซ็นสัญญาทันที ก็ไม่ได้อ่านเอกสารหรอกเพราะตัวเล็กมาก แล้วพนักงานก็ให้ป้าเซ็นกำกับในสัญญานี้ด้วย โดยบอกว่าป้าเป็นเจ้าบ้านต้องเซ็นอนุญาตให้รถที่จำนำทะเบียนนั้นจอดได้ ป้าก็งง ๆ อยู่แต่ก็เซ็นไป” “เมื่อทำสัญญาเสร็จป้ากับสามีได้รับเงินแค่ 64,000 บาท เพราะพนักงานแจ้งว่ามีค่าใช้จ่าย 6,000 บาท หลังจากนั้นเขาก็ให้ป้ากับสามีเดินทางไปโอนทะเบียนรถให้เขา โดยให้พนักงานอีกคนขับรถของสามีป้าตามไปที่ขนส่งเขาเอารถไปทำเรื่องอยู่นานมาก แล้วเมื่อทำเรื่องโอนรถเสร็จป้ายังต้องเสียค่าโอนอีก 1,050 บาท” สรุปว่าวันนั้น ป้าอารีย์กับสามีได้รับเงินเพียงแค่ 62,950 บาท เท่านั้น จากการจำนำรถ 70,000 บาทและไม่ได้รับเอกสารใดๆ กลับบ้านเลย หลังจากนั้นไม่นานป้าอารีย์ได้รับเอกสารสัญญาส่งมาทางไปรษณีย์ เมื่อแกะเปิดดูแบบเต็มๆ ถึงได้รู้ว่าสัญญาที่ได้ทำไปนั้นแทนที่จะเป็นสัญญาจำนำรถกลับเป็นสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ของตัวเอง โดยมีหนี้เช่าซื้อรถจำนวน 137,700 บาท ผ่อนงวดละ 3,825 บาท ระยะเวลาผ่อน 36 งวด ได้รับเอกสารสัญญาแล้วป้าอารีย์ก็น้ำตาตกใน แต่ไม่ได้ทักท้วงอะไรตั้งหน้าตั้งตาผ่อนรถของตัวเองไปโดยไม่ปริปาก มีบางงวดที่ขาดส่งหรือล่าช้าไปบ้างจึงถูกเรียกเบี้ยปรับและค่าติดตามทวงถามเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ก็กัดฟันสู้ จนเมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2551 คราวนี้ป้าอารีย์และสามีไม่มีเงินกันจริงๆ จึงไม่ได้ชำระเงินค่างวดอีก “พอถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2551 มีคนของไฟแนนซ์มาทวงหนี้ถึงที่บ้านแจ้งว่าให้ชำระหนี้ค่าเช่าซื้อทั้งหมด 50,000 กว่าบาทไม่เช่นนั้นจะยึดรถทันที แต่อีกไม่กี่วันป้าได้โทรไปถามยอดหนี้ให้แน่ใจอีกครั้งกลับได้รับแจ้งว่ามีหนี้เช่าซื้อถึง 70,000 กว่าบาทและถ้าจ่ายไม่ได้จะถูกยึดรถ” “ป้ากับสามีไม่รู้จะทำอย่างไรจากที่ไปขอกู้เงินเขาแค่ 70,000 บาท จ่ายคืนหนี้มาตั้ง 2-3 ปีก็ยังไม่หมด ตอนนี้เอารถยนต์ไปหลบที่ต่างจังหวัดอยู่ อยากให้มูลนิธิฯ ช่วยเหลือป้าด้วย” แนวทางแก้ไขปัญหาน่าเห็นใจครับกับปัญหาเศรษฐกิจระดับครัวเรือนที่ไม่มีทางออก เมื่อไม่มีแหล่งเงินกู้ในที่สว่างก็ต้องไปหาเก็บเอาตามเสาไฟฟ้ากันอย่างนี้ล่ะครับชีวิตคนไทย เมื่อเสียรู้เข้าทำสัญญาเช่าซื้อรถของตัวเองไปแล้วก็คงต้องเดินหน้าต่อไปล่ะครับ เมื่อดูใบเสร็จรับเงินที่ป้าอารีย์จ่ายค่างวดไปแล้วพบว่าค้างเหลืออยู่อีกแค่ 7 งวด เป็นเงิน 26,775 บาท เพื่อไม่ให้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อจึงแนะนำให้ป้าอารีย์ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างอยู่ให้ครบ โดยใช้วิธีโอนเงินเข้าบัญชีไฟแนนซ์ไป ไม่ต้องสนใจว่าใบเสร็จที่ได้รับจะถูกหักเป็นเบี้ยปรับล่าช้าหรือไม่ เพราะธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ถือเป็นธุรกิจที่ถูกคณะกรรมกาคุ้มครองผู้บริโภคเขาควบคุมสัญญาไว้ แม้จะให้ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิคิดเบี้ยปรับ เบี้ยล่าช้า ได้แต่สัญญาควบคุมก็ห้ามคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลูกค้าชั้นดีรายย่อยของธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) บวกสิบ(MRR. + 10) อย่างที่หลาย ๆ ไฟแนนซ์ชอบเขียนกันไว้ในสัญญา หรือค่าทวงถามก็ให้คิดได้แต่ต้องอยู่ในอัตราที่เหมาะสมสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตามนั้นจริง ที่สำคัญสัญญาควบคุมเขาถือว่าเมื่อผู้เช่าซื้อชำระค่างวดและค่าใช้จ่ายอื่นใดที่ปรากฏในสัญญาและไม่ขัดต่อสัญญาควบคุมของ สคบ.แล้วถือว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่เช่าซื้อนั้นตกเป็นของผู้เช่าซื้อโดยทันที และผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องดำเนินการโอนทะเบียนรถให้ผู้เช่าซื้อโดยทันทีภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับเอกสารที่เกี่ยวกับการโอนทะเบียนจากผู้เช่าซื้อครบถ้วน ดังนั้นเมื่อป้าอารีย์ได้ชำระค่างวดรถไปครบถ้วนหลังจากนั้นมูลนิธิฯ จึงได้ช่วยทำหนังสือแจ้งไฟแนนซ์ให้ทำการโอนเปลี่ยนชื่อในสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ ตอนแรกไฟแนนซ์ก็ทำทีอิดเอื้อนจะขอเรียกเก็บเบี้ยปรับอยู่ แต่ด้วยไม่มีข้อต่อสู้ทางกฎหมายเนื่องจากสัญญาที่ทำขึ้นได้กำหนดค่าเบี้ยปรับที่ขัดต่อสัญญาควบคุมท้ายที่สุดจึงต้องทำการโอนเปลี่ยนชื่อรถโดยไม่มีเงื่อนไขครับ ติดหนี้เพราะเสาไฟฟ้า เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่เสาไฟฟ้าเป็นเหตุหนึ่งของการเกิดหนี้ได้ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องไปเสาะหาเหตุผลให้ปวดขมองครับ เพราะผู้ร้องรายนี้ดันขับรถไปชนเสาไฟฟ้าของกรมทางหลวงเข้าเลยต้องถูกเรียกค่าเสียหายไปตามระเบียบ แต่ที่หนักหนาสาหัสคือยอดหนี้เป็นแสนนี่สิจะรับผิดชอบอย่างไรดี เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2549 ที่คุณพิรมไปพลาดพลั้งขับรถไปชนเสาไฟฟ้า พร้อมอุปกรณ์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของแขวงการทางระยอง กรมทางหลวง ซึ่งได้ประเมินเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 123,579 บาท แขวงการทางระยองทำหนังสือแจ้งให้ชดใช้ค่าเสียหายมา 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2550 เรื่อยมาจนถึงปี 2552 เห็นหนังสือทวงหนี้ เห็นค่าเสียหายแต่ละครั้งหัวใจแทบหล่น แต่ก็จนปัญญาอยากเป็นพลเมืองดีก็ไม่รู้ว่าจะหาเงินจากที่ไหนมาชดใช้ได้ นอกจากประกันภัยชั้นหนึ่งที่ได้ทำให้กับรถไว้แต่บริษัทประกันก็ไม่ยอมจ่ายสักทีจึงส่งเรื่องมาขอคำปรึกษาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนวทางแก้ไขปัญหาคุณพิรมจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับกรมทางหลวง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และมาตรา 437 ถึงแม้ว่าคดีจะขาดอายุความภายใน 1 ปีตามมาตรา 448 แต่หากยังไม่มีการทำเรื่องจากแขวงการทางระยองเสนอขออนุมัติฟ้องไปยังอธิบดีกรมทางหลวงก็ถือว่ากรมทางหลวงในฐานะผู้เสียหายโดยตรงยังไม่รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้กระทำละเมิดก็เป็นได้ จึงไม่ควรประมาทในจุดนี้ แต่เมื่อรถของคุณพิรมทำประกันภัยประเภท 1 ไว้กับบริษัท แอลเอ็มจี ประกันภัย จำกัด ซึ่งสัญญาตามหน้ากรมธรรม์ที่จะรับผิดชอบในความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกจำนวน 2.5 ล้านบาทต่อครั้ง ดังนั้นคุณพิรม จึงควรส่งสำเนาจดหมายของแขวงการทางระยองที่ให้ชดใช้ค่าเสียหายจำนวนแสนกว่าบาทนี้ให้ประกันภัยจ่ายค่าสินไหมแทนตามสัญญาประกันภัย หากมีการประวิงเวลา ไม่จ่ายค่าสินไหมคุณพิรมสามารถร้องเรียนได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โทรสายด่วน 1186 หากคุณพิรมถูกกรมทางหลวงฟ้องร้องในชั้นศาล ให้เรียกบริษัทประกันภัยเข้าเป็นจำเลยร่วมในคดีทันทีเพื่อให้ไปจ่ายค่าเสียหายแทนในชั้นศาลต่อไป ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น และในมาตรา 437 บัญญัติว่า บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใดๆ อันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแก่ยานพาหนะนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง ปั๊มแก๊สไม่ยอมทอนเศษสตางค์ดิฉันมีข้อสงสัยที่จะหารือดังนี้ค่ะ คุณนลินศิริเริ่มเรื่อง ดิฉันเพิ่งซื้อรถที่ใช้เชื้อเพลิง NGV มาใช้ค่ะที่สงสัยคือเวลาไปเติมแก๊ส NGV แต่ละปั๊ม เวลามีเศษสตางค์ไม่ว่าจะมากน้อยเท่าไหร่ จะถูกปั๊มปัดเศษเป็นจำนวนเต็ม 1 บาทเพิ่มทุกปั๊ม อย่างเติมเป็นเงิน 87.40 บาทหรือ 87.90 บาทก็จะถูกคิดเป็น 88.00 บาท คุณนลินศิริให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีครั้งหนึ่งเคยไปเติมแก๊สและต้องจ่าย 87.40 บาท คุณนลินศิริพอดีมีเศษสตางค์ก็เลยให้เด็กปั๊มไป 87.50 บาท “เขามองหน้า แล้วบอกเอาคืนไปเหอะ ดิฉันก็รับเงินเศษ 50 สตางค์คืน” อย่างนี้ก็ถือว่าโชคดีเพราะปั๊มรังเกียจเศษสตางค์“แต่บางครั้งเราก็คิดว่าเศษน้อยคือแค่ 9-10 สตางค์เขาน่าจะปัดทิ้ง เขาก็ไม่เคยปัดทิ้งมีแต่จะปัดขึ้นแล้วไม่ใช่ปัดเป็นสลึงหรือห้าสิบสตางค์ ส่วนใหญ่จะปรับขึ้นเป็นหนึ่งบาทเลย” “ดิฉันสงสัยว่า เราดูถูกค่าเงิน 25 สตางค์กันแล้วหรือถ้าเด็กปั๊มจะบอกว่า ผมไม่สะดวกทอนเงินดิฉันก็คงยินดีที่จะให้มากกว่ามาบังคับกัน เคยได้ยินข่าวพักหนึ่งเรื่องเดียวกันกับปั๊มแก๊ส LPG แล้วเงียบหายไป ก็เลยสงสัยว่าเรื่องนี้(ปัดเศษสตางค์ขึ้นเป็นหนึ่งบาท) เป็นเรื่องปกติหรือเปล่าจะได้ทำใจค่ะ แนวทางแก้ไขปัญหาปัจจุบันประเทศไทยมีเหรียญที่มีค่าเงินที่น้อยที่สุดที่สามารถนำมาชำระหนี้กันได้คือที่ 25 สตางค์ หากเราซื้อสินค้าแล้วมีเศษสตางค์ที่ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของ 25 สตางค์คือ 12.50 สตางค์ ในทางปฏิบัติก็ควรจะปัดเป็น 0 สตางค์ เพราะไม่สามารถหาเหรียญหรือธนบัตรมาชำระหนี้กันได้ แต่หากมูลหนี้นั้นมีค่าตั้งแต่ 12.50 สตางค์ขึ้นไป ก็ให้ชำระหนี้หรือทอนเงินด้วยเหรียญ 25 สตางค์ แต่การที่สินค้ามีมูลค่าตกเศษสตางค์แล้วผู้ประกอบธุรกิจปรับเป็นมูลค่า 1 บาท ต้องไม่ถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ เนื่องจากคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ได้ประกาศให้ก๊าซธรรมชาติเอ็นจีวีและก๊าซแอลพีจีที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับยานพาหนะ ถือเป็นสินค้าชนิดหนึ่งในสินค้าหลายร้อยชนิดที่จะต้องแสดงราคาจำหน่ายขายปลีกให้ผู้บริโภคทราบ หากผู้ประกอบธุรกิจไม่แสดงราคาขายปลีกให้ผู้บริโภคทราบจะมีโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือหากมีการจำหน่ายสินค้าในราคาที่สูงเกินกว่าราคาที่แสดง จะถือว่ามีความผิดในลักษณะเดียวกันคือไม่ได้แสดงราคาป้าย มีโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทเช่นกัน อันเป็นความผิดตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสามารถกล่าวโทษร้องทุกข์ได้กับกรมการค้าภายใน หรือสำนักงานการค้าภายในจังหวัด โทรสายด่วน 1569 หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ครับเพราะถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายนี้ด้วยเช่นกัน ขอแก้ด้วยคนเรื่องโดย บุญยืน ศิริธรรม และแล้ว เหตุการณ์น่าระทึกใจจากการชุมนุมประท้วงต่างๆ ทั้งเรื่องสีเสื้อ เรื่องทวงคืนเขาพระวิหาร ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ตามมาด้วยเสียงถอนหายใจดังๆ ที่แสดงถึงความโล่งอกโล่งใจ ของหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงพ่อแม่พี่น้องประชาชนทั่วประเทศ ก็หายใจได้ชื่นปอดมากขึ้น เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เชื่อได้ว่ารัฐบาลยังน่าจะยืนระยะต่อไปได้อีกพักหนึ่งแน่ๆ ทันทีที่สิ้นเสียงปี่กลองของการชุมนุม พลันก็มีเสียงโหยหวนจากเหล่านักการเมือง เรื่องการขอแก้รัฐธรรมนูญดันแทรกขึ้นมาทันทีทันใด โดยการขอแก้ครั้งนี้มีนัยยะสำคัญว่า คราวนี้ต้องแก้ให้ได้ ใครเอาช้างมาฉุดก็น่าจะยาก หากมีการแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จก็หมายความว่า ปี่กลองการเลือกตั้งต้องดังขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอน ดังนั้นหากจะพูดว่าการแก้รัฐธรรมนูญกับการเลือกตั้งเกือบๆ จะเป็นเรื่องเดียวกันก็ไม่ผิด เมื่อพูดถึงการเลือกตั้งสำหรับผู้เขียนนั่นหมายถึงการไม่มีทางเลือก เพราะคำว่าเลือกตั้งควรจะหมายถึงสิทธิที่เราจะเลือกใครก็ได้ที่เราชอบ แต่ความจริงคือเราเลือกคนที่เราชอบไม่ได้(ไม่มีคนชอบให้เราเลือก) เราต้องเลือกคนที่พรรคการเมืองจัดมาให้(ผู้ผลิตสินค้า) ถ้าเปรียบนักการเมืองเป็นสินค้าก็เป็นสินค้าที่ผู้บริโภคเลือกไม่ได้ เหมือนถูกบังคับให้ต้องซื้อสินค้าที่คุณภาพต่ำ และไร้มาตรฐานแบบไม่มีทางเลือก และเมื่อเลือกไปแล้วรู้ว่าสินค้าไม่ดี การขอคืนสินค้าขั้นตอนการคืนก็ยุ่งยาก สรุปคือมันคืนไม่ได้ (จริงอยากใช้พรบ.ขายตรงที่บอกว่าสินค้าซื้อแล้วไม่พอใจสามารถคืนเงินได้ใน 7 วัน แฮ่ๆ แต่มันก็ใช้ไม่ได้ง่ะ..) ครั้นเราจะไม่ไปเลือกก็อาจถูกประณามว่านอนหลับทับสิทธิ ไม่ใช่นักประชาธิปไตยอีก(อึดอัดว่ะ) การตัดสินใจเลือกของเราที่มุ่งหวังจะเลือกคนที่เราชอบจึงเป็นไปไม่ได้ จากที่ต้องการเลือกคนที่ดีที่สุด กลายมาเป็นว่าเราต้องเลือกคนที่คิดว่าพอมีความดีหลงเหลือหน่อย(เลวน้อยที่สุด) บางคนใช้วิธีอารยะขัดขืน โดยการฉีกบัตรเลือกเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราไม่ต้องการสินค้าที่เขาส่งมา หรือไม่ออกไปใช้สิทธิมันซะเลย ให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป หรือทางออกสุดท้ายของการใช้สิทธิคือการกาช่องไม่ประสงค์จะเลือกผู้ใด (โนโหวต) และตรงนี้เองคือปัญหา เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ให้สิทธิตรงนี้ไว้ แต่จริงๆ คือไม่มีสิทธิ เพราะผลที่เกิดขึ้นคือ การกาช่องไม่ใช้สิทธิ มีผลเท่าบัตรเสียเท่านั้น คือไม่มีผลใดๆ ต่อการนับคะแนนเลือกตั้งเลย ไม่รู้ว่าให้สิทธิตรงนี้ไว้ทำไม ? ดังนั้นหากต้องมีการแก้รัฐธรรมนูญจริงๆ ก็อยากจะเสนอให้ มีการแก้เรื่องผลการโนโหวต ให้มีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่ากับการกาช่องลงคะแนน เพราะประชาชนจำนวนหนึ่งก็อึดอัดกับการที่ต้องเลือกคนที่พรรคการเมืองต่างๆ เสนอมา และต้องกล้ำกลืนฝืนทนเลือกทั้งๆ ที่ไม่เต็มใจ และเมื่อหากจะแก้รัฐธรรมนูญกันทั้งที ก็เลยอยากขอแก้ด้วยคนโดยขอเสนอแก้ไขให้ผลการโนโหวต จำนวนกี่ % ก็ว่ากันไป ให้มีผลให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นอันโมฆะ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราไม่ต้องการสินค้าที่พรรคการเมืองส่งมาให้เลือก โดยให้พรรคการเมือง ส่งคน มาให้เราเลือกใหม่อีกครั้ง...หากอยากจะแก้กันจริงๆ กล้าแก้ตามที่เราเสนอมั้ยล่ะ..ท่านนักการเมือง .......................

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 104 จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ...คนข่าวหลังอาน

จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ นักข่าวและพิธีกรรายการข่าว บอกถึงความรู้สึกที่เธอมีต่องานประจำของเธอที่ทุกเช้าของทุกวันชีวิตเธอจะเริ่มต้นขึ้นในเวลาตี 4 แต่กว่างานของวันจะเสร็จสิ้นลงก็หลัง 4 ทุ่ม ซึ่งเธอยอมรับว่าเธอเหนื่อย แต่งานข่าวคืองานที่เธอรักและเธอสนุกในงานข่าวที่เธอทำ ความเหนื่อยจึงทำอะไรหัวใจเธอไม่ได้ ฉลาดซื้อฉบับนี้จะพาคุณไปรู้จักกับจอมขวัญ หลังจอสี่เหลี่ยมกันค่ะ จากนักข่าวสู่คนข่าวหน้าทีวีก่อนที่จอมขวัญจะก้าวมาอยู่หน้าจอทีวี เธอทำงานสื่อสิ่งพิมพ์มาก่อนหลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ในคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ ตอนนั้นเธอไม่ได้ให้ความสนใจรายการข่าวเลย หรือแม้กระทั่งรายการโทรทัศน์ก็จะดูไม่มาก แต่ก่อนที่เธอจะจบมีโอกาสได้เรียนวิชาเลือกซึ่งเป็นการวิเคราะห์สื่อที่เป็นหนังสือพิมพ์ และนั่นเองเป็นตัวจุดประกายให้เธอในการทำงานด้านสื่อ หลังเรียนจบเธอจึงสมัครเข้ามาทำงานกับหนังสือพิมพ์เนชั่นที่ เนชั่นกรุ๊ปในที่สุด ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับทีวีและการทำข่าวทีวีไม่ได้อยู่ในความคิดเลย แต่เมื่อเธอได้ก้าวเข้ามาทำ เธอก็พิสูจน์ตัวเองให้เป็นที่ยอมรับในที่สุดด้วยมาดของคนข่าวที่มีข้อมูลแน่น ทุกวันนี้เธอบอกว่าเธอยังไม่ดังอะไร เพียงแค่มีคนรู้จักมากขึ้นเท่านั้นเอง คนข่าวกับข้อมูลแรกๆ ที่เธอเป็นนักข่าวการลงพื้นที่หาข่าว ดูจะไม่เป็นปัญหาสำหรับเธอเพราะยังไม่มีคนรู้จัก แต่พอเริ่มมาอยู่หน้าจอทีวีคนเริ่มรู้จักมากขึ้น การที่จะลงพื้นที่หาข่าวเองก็ค่อนข้างเสี่ยงมากขึ้นแต่ถึงแม้จะมีคนทำข้อมูลให้เธอในการทำรายการ แต่เธอเองก็ยังคงหาข้อมูลต่างๆ อยู่เช่นเดิม “ถึงแม้จะมีคนหาข้อมูลมาให้ขวัญแล้ว แต่ขวัญเองก็ต้องหาข้อมูลเองในส่วนหนึ่ง เพราะเราจะรู้ว่าเราต้องการข้อมูลแค่ไหน คือขวัญต้องหาข้อมูลอยู่ตลอดยิ่งเป็นข้อมูลในเชิงโครงสร้างนะขวัญจะชอบมาก อย่างคุยกับพี่สารีเรื่องสิทธิผู้บริโภค นอกจากจะอิงเรื่องสิทธิต่างๆ แล้วก็จะอิงเรื่องกฎหมายเข้าไปด้วย แล้วต้องทำให้คนที่ดูรายการเราเข้าใจได้ง่ายๆ ด้วย เพราะถ้าเรามีข้อมูลที่เยอะและรอบด้าน ภาพต่างๆ ที่เรานำเสนอออกไปมันก็จะชัดมากขึ้น ขวัญจะบ้าข้อมูลมาก โดยพื้นฐานแล้วจะรู้สึกตัวอยู่เสมอว่าเราไม่ใช่คนเก่ง ก็จะไม่ค่อยประมาท บางวันจะรู้สึกว่าบางครั้งเราพูดไม่ครบ ไม่น่าเลย อะไรแบบนี้ ก็จะให้ความสำคัญด้านข้อมูล การหาข้อมูลของขวัญก็จะมีทั้งหนังสือที่วางอยู่รอบโต๊ะทำงานขวัญ หรือไม่ก็อินเตอร์เน็ตแต่ข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตขวัญก็จะโทรเช็คข้อมูลกับศูนย์เขาด้วยนะ หรือไม่ก็ขวัญก็จะหาข้อมูลจากพี่ๆ ที่เนชั่นกรุ๊ปนี่ล่ะ เพราะเราก็อยู่กับแหล่งข้อมูลทั้งคมชัดลึก เนชั่นสุดสัปดาห์ คือใช้ประโยชน์จากองค์กรให้ได้มากที่สุด ซึ่งมันควรจะเป็นสิ่งที่คนทำงานสื่อต้องทำ ก่อนที่จะนำเสนอออกไป ซึ่งขวัญถูกสอนมาว่าการหาข้อมูลต้องเป็นวัฒนธรรมของคนทำสื่อ” การหาข้อมูลก่อนนำเสนอออกไปนั้น จอมขวัญ เน้นย้ำเพิ่มเติมว่าเป็นสิ่งจำเป็นมาก และเป็นพื้นฐานสำคัญเพราะสื่อเป็นองค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสาร ถ้าไม่รู้ข้อมูลถึงเรื่องที่ตัวเองจะนำเสนอทุกอย่างก็จบ เพราะผู้ดำเนินรายการข่าวอย่างเธอไม่ใช่แค่เพียงมีข้อมูลแค่ตรงหน้าเท่านั้น หากแต่ต้องมีข้อมูลเบื้องหลังต่างๆ ด้วย ทั้งสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตและข้อมูลเทียบเคียงกับเรื่องอื่นๆ หรือตัวอย่างของเรื่องที่เคยเกิดขึ้น ต้องมองให้รอบด้าน “เรื่องจำเป็นมากที่สุดก็คือเรื่องของเนื้อหาและข้อมูลความรู้ ซึ่งขวัญก็พยายามที่จะเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าต้องขยัน หลายคนถามว่าขวัญท่องสคริปต์อย่างไรเหรอ ดูเป็นธรรมชาติมากๆ แต่สำหรับขวัญแล้วมันไม่ใช่การท่องสคริปต์ ขวัญเรียกว่าขวัญมีข้อมูลดิบมากกว่า สคริปต์ก็เป็นเพียงแนวทางในการดำเนินรายการ ไม่ใช่ให้คนดำเนินรายการพูดเอง ซึ่งขวัญเชื่อว่าคนดูก็จะมองออกนะว่าจะเป็นอย่างไร” สื่อมวลชนกับผู้บริโภคในฐานะคนทำสื่อจอมขวัญเธอยอมรับว่าสื่อปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งโทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต มีผลอย่างมากต่อสังคม “สื่อโทรทัศน์วงรอบมันเร็วมากๆ ในช่อง 3 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นรายการเล่าข่าวตีคู่มากับละครทีเดียว แต่อย่าไปดูที่เรตติ้งนะคะ พอแต่ละช่องมีการแข่งขันกันสูง ทุกคนก็อยากทำให้มันดีแต่พอมาหลังๆ ขวัญว่ามันเกิดความบิดเบี้ยวหลายๆ อย่างนะ การทำรายการเล่าข่าวคุณจะอยู่อย่างนั้นจนตายไม่ได้ ต้องพัฒนาตนเองเพื่อหาสินค้าใหม่ๆ มาให้สังคมด้วย หรืออาจจะคิดว่าตัวเองควรจะทำอะไรเพื่อกำหนดสังคมหรือเปล่า แต่นั่นมันไม่ใช่ ที่ต้องทำก็คือ ‘รับใช้สังคม’ ไม่ใช่มีหน้าที่ไป ‘ชี้นิ้ว’ แต่ขวัญก็เชื่อว่าสังคมเองก็น่าจะรู้ว่า ‘แบบไหนสื่อโดนใช้และแบบไหนใช้สื่อ’ ขวัญเชื่อว่า ธุรกิจสื่อก็เหมือนประชาธิปไตยที่ต้องมีการเรียนรู้ แต่ปัจจุบันอีกสื่อที่เข้ามาและควบคุมไม่ค่อยได้ก็คือสื่อทางอินเตอร์เน็ต เพียงแค่คุณมีกล้อง 1 ตัวคุณก็เป็นคนทำสื่อได้แล้ว นำเสนอสื่อได้เลย แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไทย อย่างที่เราเห็นว่ามีการบล็อกเว็บบางเว็บ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งใหม่ที่เราต้องเรียนรู้ คำว่า”ข่าว” บางครั้งมันเป็นนิยามจริงๆ ของบางคนและบางที่ หรือบางทีคำว่าข่าวก็อาจจะเป็นแค่คำทางการตลาดของบางคนและบางที่เช่นกัน ซึ่งขวัญเชื่อว่าต้องพิสูจน์กันในระยะยาว เพราะจะมีทั้งข่าวพันธุ์แท้กับข่าวพันธุ์ทาง เพราะเวลาธุรกิจเข้ามาเรื่อยๆ ความเป็นข่าวก็จะเปลี่ยนไปอาจจะเป็นการขาย ขายโปรดักส์ ขายตัวบุคคลไป ข่าวบางข่าวไม่น่าจะเป็นข่าวก็นำมาเป็นข่าว” ปัจจุบันเราจะเห็นว่า หลายรายการนำเสนอข่าวแบบเล่าข่าวจากหนังสือพิมพ์เป็นหลัก ซึ่งจอมขวัญมองประเด็นนี้ว่าข่าวบางข่าวก็ไม่น่าจะนำมาเล่า และการนำหนังสือพิมพ์มาอ่านในทีวีมันควรจะลดลง และหันมาทำรายการรูปแบบใหม่มากขึ้น ไม่ใช่นำคนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วมาทำรายการอย่างเดียว ต้องกล้าลงทุนเปิดโอกาสผู้ชมไดัรับในสิ่งอื่นๆ บ้าง และให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาและต้องพัฒนามากขึ้น น่าจะมีการพัฒนาแบบธุรกิจอื่นๆ เช่นกันไม่ใช่ทำรายการเล่าข่าวเพียงอย่างเดียว สื่อกับการตลาดนอกจากโฆษณาคั่นรายการแล้ว ฉลาดซื้อเชื่อว่าหลายคนสงสัยว่า ทำไมต้องมีโฆษณาป้ายสินค้าต่างๆ ในรายการข่าวด้วย ทั้งที่เพิ่งโฆษณาไปเมื่อครู่นี่เอง ซึ่งจอมขวัญมองว่า “การ ทำธุรกิจสื่อก็ต้องใช้เงินทุน ต้องเป็นธุรกิจสื่อไม่ใช่เอ็นจีโอสื่อ เพราะอยู่ในโลกทุนนิยมก็ต้องมีเงินทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สื่อเองก็ต้องมีจรรยาบรรณของสื่อเช่นกันว่าแค่ไหนพอ แค่ไหนถึงจะได้ขวัญคิดว่าสปอนเซอร์ที่ซื้อสื่อก็น่าจะเข้าใจ คือมันจะกระแทกหน้าคุณกลับไปแรงๆ เช่นกัน เหมือนคุณน็อคบอร์ดเทนนิสแรงๆ มันกระแทกหน้าคุณกลับแน่นอน ถ้าคุณล้ำเส้น กอง บก.ถูกป่ะ เนชั่นเองก็เคยผ่านภาวะแบบนี้มาพอควรทั้งเรื่องการเมืองที่อาจจะเข้ามาใน เรื่องการถือหุ้น การโฆษณา แต่ถึงจุดหนึ่งมันก็ต้องผ่านตรงนี้ให้ได้เพราะมันแย่มากเราต้องแบ่งงานกันออกมาให้ได้ว่าเป็นการตลาดเป็นกองบก. ในการทำงานการตลาดอย่าล้ำเส้นมาในส่วนกอง บก.เด็ดขาด อย่างขวัญเองก็เคยเจอนะ เซลล์มาบอกขวัญเลยว่า ‘เอ พูดแบบนี้ ทางสปอนเซอร์เขาดูอยู่นะ’ ขวัญก็บอกเลยว่าให้เขาโทรมาคุยกับขวัญ แต่ที่ขวัญจะให้เขาได้ก็คือความเป็นธรรม เรื่องอะไรจะไปบอกว่าเขาดี แค่เขาซื้อเราเท่านั้นเหรอ ใช่ไหมคะ.. การที่คนข้างนอกบีบเราก็แย่พออยู่แล้ว คนข้างในของเราอย่ามาบีบกันเองเลย การตลาดทำได้ แต่ขอ ‘อย่ามาล้ำเส้นกอง บก. เพราะเราไม่เคยล้ำเส้นคุณ’ ซึ่งก็จะไม่ค่อยมีเซลล์คนไหนชอบขวัญ เรามีจรรยาบรรณของเราอยู่ เราก็ไม่ใช่เพิ่งจบมาแค่วันหรือสองวัน ถ้าหากคุณไม่เข้าใจก็คิดว่าคุณก็คงไม่เหมาะที่จะทำงานสื่อล่ะ ถ้าคุณไม่ปรับตัวก็น่าจะออกไปดีกว่า“ จอมขวัญยืนยันอย่างหนักแน่นถึงตัวตนคนข่าวของเธอ ทำให้ฉลาดซื้อสงสัยว่าด้วยเหตุนี้หรือเปล่าเธอจึงเลือกรับงานซึ่งเธอก็กล้าเปิดอกว่า เธอยึดมั่นในจรรยาบรรณส่วนตัว ถ้าเป็นงานอีเวนท์เธอก็จะรับ แต่ถ้าหากเป็นสินค้าและบริการเธอจะไม่รับเด็ดขาด แต่ก็มีบางงานที่ถูกหลอกไป “ขวัญถือว่าขวัญลงทุนในการทำหน้าที่ตรงนี้ ในการสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างความมั่นใจมันเกิดขึ้นได้ยากกว่า จริงๆ ขวัญก็อยากจะรวยนะแค่รับโฆษณา 2 – 3 ชิ้นก็ได้แล้ว 7 – 8 หลัก แต่ขวัญเลือกเส้นทางข่าวแล้ว ขวัญจะไม่เลือกเอาคำว่า ‘ข่าว’ เป็นตัวขาย เพื่อที่จะไปหากิน มันไม่ใช่ สิ่งที่เราได้กับสิ่งที่เราเสียไปมันก็ต้องสร้างความสมดุลกัน ก็เคยมีสถานีทุกช่องแล้วนะคะมาชวนไปทำข่าวด้วย แต่ขวัญเลือกแล้วว่าจะอยู่ที่นี่เพราะขวัญก็เติบโตมาจากที่นี่ แล้วที่นี่ก็สอนขวัญหลายๆ อย่าง มันก็เสียโอกาสนะถ้าคิดเป็นตัวเอง แต่ถ้าคิดเป็นความน่าเชื่อถือ ขวัญก็คิดว่าขวัญไม่ได้ขาดอะไร มีความสุขค่ะที่ทำงานอยู่ที่นี่ ขวัญไม่ใช่แค่รักงานข่าวนะ แต่ขวัญรักเนชั่นกรุ๊ปด้วย” 1 วันของจอมขวัญ ใน 1 วันของเธอ จอมขวัญจะเริ่มต้นชีวิตของทุกวันในเวลาตี 4 เพื่อเตรียมข้อมูลในการคุยข่าวเช้าในเวลา 6 โมงเช้าถึง 8 โมงเช้า หลังจากนั้นเธอจะพักด้วยการนอน แล้วก็จะเริ่มงานประมาณบ่าย 2 อีกครั้ง เสร็จงานก็ราวๆ 4 ทุ่มครึ่ง หรือไม่บางวันก็จะเสร็จงานในราวๆ หกโมงเย็น แต่ก็จะยังไม่ได้กลับบ้านเพราะมีงานเบื้องหลังหรือไม่เธอก็จะหาข้อมูลที่โต๊ะซึ่งจะมีหนังสืออยู่รอบๆ ตัวเธอเยอะมาก “งานของขวัญ วันจันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็จะเสร็จราวๆ สี่ทุ่มครึ่ง แต่ก็จะกลับบ้านราวๆ ห้าทุ่ม ส่วนวันอังคาร พฤหัสฯ ก็จะเสร็จสักหกโมงเย็น แต่ก็จะกลับราวๆ สองทุ่ม เหนื่อยนะคะ แต่หัวใจมันยังไหว ยิ่งทำงานข่าวนานผลึกของหัวใจจะยิ่งแข็ง เพราะเรารู้ว่าตัวเองทำอะไร และเพื่ออะไรและที่รู้อีกอย่างก็คือขวัญอยู่ข้างประชาชน แต่ก็ต้องว่ากันตามถูกผิดนะคะ ไม่ได้หมายความว่าประชาชนจะถูกตลอดนะ พอวิถีชีวิตเราเป็นแบบนี้ ซึ่งไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านเขา ทางบ้านก็เข้าใจถึงแม้แรกๆ จะไม่เข้าใจ แต่พอเขาเห็นชีวิตประจำวันที่ขวัญทำข่าวเช้ามา 3 ปี ไม่รวมที่อยู่กับเนชั่นมา 7 ปีนะคะ ก็มีวิถีชีวิตแบบนี้ เช้ามาก็มี ไก่ พระ จอมขวัญ อ้อแล้วก็ กนกด้วย….” พูดไม่ทันจบประโยคเธอก็หัวเราะในแบบจอมขวัญของเธอ นั่นคือเวลาเช้าของจอมขวัญ คนข่าวที่ฉลาดซื้ออยากบอกว่าทำข่าวข้นจริงๆ ฉลาดซื้อกับจอมขวัญตอนเห็นฉลาดซื้อจอมขวัญบอกว่า เธอก็มองเพียงเผินๆ ว่าก็คงเป็นเหมือนหนังสือแนะนำสินค้าทั่วๆ ไป แต่พอเธอเปิดดูข้างในแล้ว “โอ้ มันเด็ดมาก แต่ก็เปิดไปดูนะว่าเอ ได้รับการสนับสนุนจากไหนหรือเปล่านะ แต่ว่าไม่มีก็อ่า…แนวเดียวกัน ขวัญก็ใช้ข้อมูลจากฉลาดซื้อได้เยอะนะอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด อย่างใช้ตารางเปรียบเทียบข้อมูล แล้วคอลัมน์ก็จะทำให้เราได้รับรู้ถึงปัญหาต่างๆ ที่ผู้บริโภคควรจะรู้ รวมถึงส่งผ่านถึงวิธีคิด ตอนนี้ขวัญเริ่มอ่านคอลัมน์โทรคมนาคมมากขึ้นเพราะมีปัญหากับบริษัทของโทรศัพท์แห่งหนึ่ง อ่านข้อมูลในฉลาดซื้อแล้วนำไปใช้ได้ทุกเรื่องค่ะ ก็ขอให้ฉลาดซื้ออยู่ไปนานๆ นะคะ”   “รักงานข่าวค่ะ ชอบธรรมชาติของงานและเป้าหมายของงาน ธรรมชาติของงานสำหรับขวัญก็คือเป็นเรื่องที่ใหม่ทุกวัน ทำให้เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ต้องใช้ทั้งความรู้เดิมและต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไปพร้อมๆ กัน ทำให้ขวัญไม่เบื่อ อีกอย่างก็คือชอบเป้าหมายของงาน นั่นก็คือตรงที่เราได้รับใช้สังคม”

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 104 จากความสดแห่งท้องสมุทร สู่ความสดในหม้อสุกี้

ช่วงราวๆ เดือนที่ผ่านมา ก่อนที่ผมจะปิดต้นฉบับงานชิ้นนี้ โฆษณาร้านอาหารสุกี้ยี่ห้อหนึ่ง ได้ออกอากาศมายั่วน้ำย่อยในกระเพาะอาหารของคนไทย และผมเองก็ได้สังเกตปฏิกิริยาเพื่อนรอบๆ ตัวหลายคน คำตอบที่ได้หลังจากที่เพื่อนได้เห็นโฆษณาชิ้นนี้ก็ออกมาประมาณว่า “น่ารักมาก” “ให้รางวัลความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยม” “ดูแล้วอยากกระโดดลงในหม้อสุกี้จังเลย” ไปจนถึง “โอ้โห น่ากินจัง” โฆษณาสุกี้ชิ้นนี้เริ่มต้นด้วยทำนองเพลงญี่ปุ่นที่ชื่อ “Sukiyaki” ที่เคยโด่งดังในอดีต แต่โฆษณาก็ได้จับทำนองญี่ปุ่นมาใส่เนื้อร้องเป็นภาษาไทยเสียใหม่ ความว่า ...เรากินสุกี้กิน(...ชื่อยี่ห้อของร้าน...) เรากิน(...)กินสุกี้ เรากิน(...) สิ่งดี ๆ มีติดตัวตั้งมากมาย กำลังสดใส กำลังใจเบิกบาน (...)ทุกวันพลันสุขใจร่างกายสดใสกิน(...) จิตใจฮาเฮกินสุกี้ ความสุขมากมี จากสิ่งดี รอที่ร้าน(...) เติมความสดใส แบ่งปันความสุขใจ กิน(...)เมื่อไรหัวใจสุขสันต์... เนื้อร้องประมาณนี้ นอกจากด้านหนึ่งจะบอกว่าสุกี้ร้านนี้อร่อยเป็นอย่างยิ่งแล้ว ยังเป็นสุกี้ที่กินแล้วสุขกายสุขใจ หรือได้ทั้งสุขภาพกายที่แข็งแรง และได้สุขภาพใจที่อบอุ่นสุขสันต์ แบบที่ได้ฟังเนื้อความอยู่ในเพลง ส่วนในแง่ของเนื้อหาภาพนั้น โฆษณาเปิดเรื่องมาด้วยบรรยากาศท้องฟ้าสีครามกับน้ำทะเลสีเข้ม สักพักก็จะเห็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ตะลุยวิ่งเข้ามาในฉาก ในขณะที่พวกเขาเล่นระเริงชลอยู่นั้น สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งก็คือ วัตถุสิ่งของที่โฆษณาสร้างสรรค์มาประดับหาดทรายไล่ไปจนถึงก้นสมุทรก็ได้แก่ บรรดาอาหารนานาชนิดที่ถูกจัดวางให้เวียนว่ายอยู่ในหม้อสุกี้ เริ่มตั้งแต่กลุ่มคนที่แบกลูกชิ้นวิ่งเข้ามาในฉาก บ้างก็ยืนโพสท่าถ่ายรูปกับลูกชิ้นและร่มเห็ดนางฟ้าที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางชายหาด เด็กๆ เล่นก่อกองทรายสลับกับเล่นบอลลูกชิ้นและข้าวโพดอ่อน วัยรุ่นเล่นวอลเล่ย์บอลชายหาดที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากลูกชิ้นสาหร่าย ที่กลางทะเล มีการเล่นร่มชูชีพเป็นใบผักกาดขาวที่ค่อยๆ ไหลลงสู่น้ำทะเล และตัดสลับมาที่หม้อสุกี้ที่ควันกำลังลอยกรุ่นๆ นักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งก็เล่นลูกชิ้นรักบี้เป็นเรือบานาน่าโบ๊ต โดยมีคนอีกกลุ่มหนึ่งวิ่งเล่นทรงตัวอยู่บนสะพานที่เลียนแบบก้อนเต้าหู้ปลา คนที่อยู่ริมหาดเล่นชักเย่อด้วยเส้นเชือกที่เป็นบะหมี่หยกสีเขียวสด ซึ่งตัดสลับกับเส้นบะหมี่จริงที่ม้วนพันอยู่บนด้ามตะเกียบ ก่อนที่จะคีบใส่ปากของเด็กน้อยคนหนึ่ง ปิดท้ายด้วยภาพใต้ท้องสมุทร ที่สัตว์น้ำทั้งหลายกำลังแหวกว่ายอยู่ในก้นทะเลลึก ตั้งแต่เห็ดเข็มทองที่เริงระบำโบกสะบัดราวกับมวลหมู่ดอกไม้ทะเล ผักนานาชนิดที่ว่ายเป็นฝูงกุ้งหอยปูปลา ผักกาดกวางตุ้งเขียวกลับตัวไปมาราวกับหมู่มัจฉาใต้ท้องน้ำ และเห็ดนางฟ้าที่สะบัดดอกโบกโต้คลื่นประหนึ่งหางปลาวาฬที่โผล่ตัวมาเล่นน้ำ สร้างความแตกตื่นให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ยืนดูด้วยความตื่นตา และแล้วทั้งหมดทั้งมวลก็ถูกแปลงโฉมเป็นผลิตภัณฑ์อาหารนานาชนิดที่หลายๆ คนจับใส่ลงไปในหม้อสุกี้ และคีบขึ้นมาลวกจุ่มใส่น้ำจิ้มรสเด็ด กลายเป็นอาหารมื้อเย็นแสนเอร็ดอร่อย ภายใต้สโลแกนที่ผู้บรรยายชายพากย์เอาไว้ตอนจบว่า “อยากให้เมืองไทยสุขภาพดี คนไทยมีชีวิตชีวา” ดูโฆษณาชิ้นนี้แล้ว ผมก็เห็นด้วยกับเพื่อนหลายๆ คนที่ชื่นชมว่า โฆษณามีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพยายามสื่อความหมายว่า ถ้าคุณมาที่ร้านสุกี้ของเรา นอกจากคุณจะได้ประทับใจกับรสชาติของอาหารแล้ว คุณยังจะได้รสสัมผัสของ “ความสด” แบบยกทะเลมาไว้ที่หม้อสุกี้ ก่อนจะละเลียดเข้าสู่กระพุ้งแก้มและโคนลิ้นของคุณกันเลยทีเดียว ทั้งนี้ ถ้าเราจะตั้งคำถามว่า ในยุคของสังคมแห่งการบริโภคแบบนี้ หากใครสักคนจะมีเวลาว่างและปลอดภาระจากการทำงานกันแล้ว สองสิ่งแรกที่พวกเขาจะลุกขึ้นมาทำนั้นคืออะไร แน่นอนนะครับว่า ตัวเลือกลำดับต้น ๆ ของคนสมัยนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นการ “กินไป” และ “เที่ยวไป” เหมือนกับที่เราได้เห็นในโฆษณานั่นแหละ ด้วยเหตุดังกล่าว เราจึงมักเห็นมนุษย์ในสังคมบริโภคต่างทุ่มและเทแรงกาย แรงใจ และแรงเงิน ไปกับบรรดาการกินการเที่ยว เพื่อสนองต่อช่วงเวลาว่างและสร้างสรรค์ “ความสุข” ที่แปลกๆ ใหม่ๆ ให้กับกิจกรรมการบริโภคอาหารและแหล่งท่องเที่ยวริมทะเลกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ทว่า ถ้าจะเลือกกินเลือกเที่ยวกันให้อิ่มหนำฉ่ำอุรากันจริงๆ แล้วไซร้ ก็ต้องได้เสพแต่อาหารที่ “สดราวกับเป็นธรรมชาติ” หรือหากจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นการกินและเที่ยวแบบที่ “ความสด” ได้ถูกทำให้ “กลายมาเป็น” คุณค่าที่เขาและเธอในสังคมบริโภคเลือกเฟ้นและเสาะแสวงหามา แล้วเหตุไฉนผู้คนในยุคบริโภคจึงปรารถนาที่จะได้มาซึ่ง “ความสดราวกับเป็นธรรมชาติ” ของรสชาติวัตถุอาหารในการบริโภคดื่มกินแบบนี้ ??? คำตอบก็เดาได้ไม่ยากนะครับว่า ก็เนื่องแต่ว่า “ความสด” เป็นคุณค่าที่หาไม่เจอ หรือค้นหามาได้ยากยิ่งนักในชีวิตของผู้บริโภคร่วมสมัย ทั้งนี้ หากคิดตามหลักของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แล้ว จะมีก็แต่ในระบบเศรษฐกิจที่เน้นการผลิตเพื่อยังชีพเท่านั้น ที่ผู้คนจะสัมผัสกับ “ความสดจากธรรมชาติ” ได้โดยตรง เพราะว่าผู้คนในระบบเศรษฐกิจแบบนี้ เขาจะเน้นการหาอยู่หากิน พวกเขาผลิตอาหารเองก็เพื่อบริโภคด้วยพวกเขาเองเช่นกัน เพราะฉะนั้น เมื่อผักก็ปลูกเอง กุ้งหอยปูปลาก็จับหามาเอง “ความสด” ก็จึงเป็นสิ่งที่พวกเขาสัมผัสจากธรรมชาติได้เอง แต่เมื่อสังคมได้ผันเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ที่มีเงินตราเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนกับวัตถุอื่นๆ วงจรทางเศรษฐกิจก็ได้เปลี่ยนไปและไม่ได้มีแค่โลกของ “การผลิต” และ “การบริโภค” อีกต่อไปแล้ว หากแต่ระหว่างกระบวนการผลิตกับการบริโภคดังกล่าว ระบบเศรษฐกิจแบบนี้ได้สร้าง “การแพร่กระจาย” สินค้าและบริการเอาไว้ตรงกลาง กลายเป็นโลกแห่ง “การผลิต-การแพร่กระจาย-การบริโภค” นั่นหมายความว่า ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมนี้ ถึงแม้ว่า ผู้บริโภคจะไม่ใช่เป็นผู้ผลิตสินค้าและวัตถุด้วยตนเอง หากแต่มีตัวกลางมาทำหน้าที่ “แพร่กระจาย” สินค้าต่างๆ ออกไปแทน และผู้บริโภคก็สามารถที่จะเสพวัตถุต่างๆ ได้ โดยไม่ต้องทำการผลิตแต่อย่างใด และในสังคมแบบนี้เอง ที่ผู้บริโภคจะไม่มีวันซาบซึ้งจริงๆ ว่า อะไรจึงเรียกว่า “ความสดจากธรรมชาติ” เพราะสิ่งที่พวกเขาได้เสพอยู่ จะมีได้อย่างมากที่สุดก็แค่ “ความสดราวกับธรรมชาติ” เท่านั้น ด้วยเหตุที่โฆษณาสามารถจับอารมณ์ความรู้สึกของผู้บริโภคแบบนี้ได้นั่นเอง โฆษณาก็เลยมีอำนาจที่จะปรุงแต่งชายหาดและท้องสมุทรปลอมๆ ที่มีทั้งเห็ดนางฟ้าเอย บะหมี่หยกเอย ลูกชิ้นเอย ไปจนถึงอาหารนานาชนิดที่อยู่ในเมนูสุกี้ที่บริกรบรรจงเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำจิ้มรสเด็ด {xtypo_quote}เพราะฉะนั้น แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว กว่าที่ลูกชิ้นแต่ละลูก และเห็ดแต่ละดอก จะเดินทางมาถึงกระเพาะของผู้บริโภคนั้น อาหารดังกล่าวต้องผ่านขั้นตอนของการ “แพร่กระจาย” มามากมายหลายขั้น ตั้งแต่การเก็บเกี่ยว ปรุงแต่ง แช่แข็งและแปรรูป จนกลายเป็นเพียง “อาหารชั้นสอง” ที่แทบจะไม่เหลือ “ความสดจากธรรมชาติ” อยู่เลย{/xtypo_quote} แต่ทว่า โฆษณาก็สามารถประดิษฐ์ให้หม้อสุกี้ เป็นประหนึ่งการยกทะเลและ “ความสดของธรรมชาติ” มาแหวกว่ายให้ผู้บริโภคได้ดูทางโทรทัศน์ (แต่อาจจะไม่ได้ลิ้มรสจริงๆ) และกลายเป็น “ความสด” ที่ซื้อหาได้โดยไม่ต้องลงแรงผลิตด้วยมือของเราเอง สำหรับโลกของการบริโภคทุกวันนี้ แม้ของจริงและ “ความสดจากธรรมชาติ” แทบจะไม่เหลือให้ผู้บริโภคได้ลิ้มรสสัมผัส แต่ก็คงไม่เป็นไรนะครับ หากโฆษณาจะช่วยให้ราได้เติมเต็มด้วยสัมผัสทางตา เพราะว่านั่นก็สามารถทำให้ “ความสดจากธรรมชาติ” ได้กลายเป็น “ความสดที่ดูราวกับเป็นธรรมชาติ” มาสู่รสชาติสัมผัสของผู้บริโภคอย่างเรา ๆ แทน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 104 ครัวใบโหนด ผลผลิตจากครัวชุมชนสู่คนทั้งหมด

ใน “ลานผักพื้นบ้าน อาหารกู้โลก” ของงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 6 “ผักพื้นบ้าน สร้างเศรษฐกิจไทย กู้ภัยวิกฤติ” ที่จัดระหว่างวันที่ 2 – 6 กันยายนนี้ ที่เมืองทองธานี 2552 มีกลุ่มชาวบ้านที่จัดว่าเป็นไฮไลต์ของลานที่มาตั้งร้านจำลองที่มีชื่อว่า “ครัวใบโหนด” ซึ่งมาพร้อมกับเมนูตัวอย่างจากคาบสมุทรสทิงพระ จ.สงขลากว่า 10 ชนิด ใครๆ ได้ไปชิมแล้ว เป็นต้องออกปากชมเปาะ และติดใจในรสมือระดับแม่ครัวตัวยายของกลุ่มพวกเขา “เครือข่ายกลุ่มออมทรัพย์ตาลโตนด และโครงการฟื้นฟูฯ คาบสมุทรสทิงพระ จ.สงขลา”   ครัวใบโหนดจากการคิดและร่วมลงทุนลงหุ้นกันของสมาชิกในกลุ่มจำนวน 7 กลุ่ม 5,000 กว่าชีวิต จนมาเปิดร้านอาหารพื้นบ้านที่มีขนาดใหญ่แบบคนใจใหญ่ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำเรื่องราววิถีวัฒนธรรมการกินของชาวคาบสมุทรสทิงพระและเพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมภูมิปัญญาท้องถิ่นของกลุ่มให้คงอยู่ในรุ่นลูก รุ่นหลานสืบต่อไป อีกทั้งยังต้องการขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังผู้สนใจที่แวะเวียนเข้าลองชิมและอุดหนุน พร้อมๆ กับการเปิดมุมเผยแพร่แลกเปลี่ยนพันธุ์พืชท้องถิ่น และเป็นแหล่งรวบรวมและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในคาบสมุทรสทิงพระอีกด้วย ก่อนที่จะมาเปิดร้าน ครัวใบโหนด เริ่มกันด้วยเครือข่ายออมทรัพย์ตาลโตนดก่อน ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของชาวบ้านเมื่อ 24 ปีที่แล้วเพื่อทำกลุ่มออมทรัพย์ ส่งเสริมอาชีพของสมาชิกในชุมชน "คาบสมุทรสทิงพระ" ซึ่งเป็นพื้นที่ทางฝั่งตะวันออกของทะเลสาบสงขลาอยู่ระหว่างทะเลสาบสงขลากับอ่าวไทย ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพหลักคือทำนา ทำสวน ทำน้ำตาลโตนดและทำประมง เมื่อเริ่มมีเครือข่ายออมทรัพย์ ก็มีการตั้งกองทุนสวัสดิการ กองทุนเงินฌาปณกิจและกองทุนไถ่ถอนที่ดินเพื่อสนับสนุนการทำเกษตรกรรมยั่งยืนร่วมไปด้วย จนเมื่อปี 2549 เครือข่ายออมทรัพย์ตาลโตนดได้เริ่มทำการสำรวจภูมิปัญญาจากตำรับน้ำพริก และอาหารท้องถิ่นในปี 2550 เพื่อศึกษาความหลากหลายของพืชพื้นบ้าน รวมถึงคุณประโยชน์ในด้านการกินและสมุนไพรในการรักษา และด้านอื่นๆ จากสภาพพื้นที่ที่มีลักษณะผสมผสานระหว่าง ทุ่งนา ป่าตาลโตนดและทะเลน้ำจืด(ทะเลสาบตอนบนและตอนกลาง) ทะเลน้ำกร่อยในช่วงทะเลสาบสงขลาตอนใต้และน้ำเค็มในทะเลอ่าวไทย เรียกสั้นๆ ง่ายๆ “โหนด –นา – เล ของคาบสมุทร 3 น้ำ” ชาวบ้านพบว่า หนทางเดียวที่จะรักษาความหลากหลายของทรัพยากรอาหารกับภูมิปัญญาความรู้ในการเลือกกิน เลือกเก็บอาหารมาปรุงให้อร่อยและมีคุณค่าได้ คือการมีไว้ให้ลูกหลานกินนั่นเอง ที่ร้านครัวใบโหนด นอกจากมีอาหารดีๆ อร่อยๆ แล้วยังจัดสรรให้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เกี่ยวกับที่มาที่ไปของอาหารในคาบสมุทรสทิงพระ เช่น พันธุ์ข้าวพื้นบ้าน อาหารจากตาลโหนดในนา โดยปฏิบัติการตรงจากลุงป้าน้าอาและลูกหลานของชุมชน เพื่อนำเสนอสู่ผู้คนที่สนใจให้ได้ร่วมภาคภูมิใจในรสอร่อยของอาหาร ไปพร้อมๆ กับการสืบสานและสร้างสรรค์ให้พืชพันธุ์ท้องถิ่นอยู่คู่การกินแบบมีคุณภาพในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง เมนูที่ครัวใบโหนดเลือกมาสาธิตให้ผู้สนใจในลานผักพื้นบ้าน อาหารกู้โลกเมื่อวันงานที่เมืองทองธานี คือ “ยำสาย” หรือยำสาหร่ายจากทะเลสาบสงขลา (คนที่เคยได้ทดลองกินในงานมหกรรมสมุนไพรปีที่แล้วต่างยอมรับกันทั่วว่าอร่อยจริงๆ) เมื่อวันงานผ่านไปแล้ว อย่าเพิ่งเสียดายว่าจะไม่ได้ชิมอีก หลังจากเสร็จงานมหกรรมฯ ที่เมืองทองธานี พวกเขาจะเปิดร้านครัวใบโหนดอย่างเป็นทางการ ที่บ้านบ่อกุล อ.สิงหนคร ในคอนเซ็ปต์ “ผลผลิตจากครัวชุมชน สู่คนทั้งหมด” เตรียมเสิร์ฟอาหารท้องถิ่นรสอร่อยแท้ ปลอดสารพิษรสเด็ดแบบชาวคาบสมุทรสทิงพระกว่า 60 รายการที่คัดสรรอย่างดีมาให้กับลูกค้า เจ้าตำรับ : นางฆอยะ มณีโชติ อายุ 60 ปี จ.สงขลา วัตถุดิบในการทำยำสาย1. สาย(หรือสาหร่าย) 3 ขีด2. มะพร้าวคั่ว ? กิโลกรัม3. มะนาวลูกใหญ่ 5 ลูก4. หอมแดง 16 กลีบ5. น้ำตาลปีบ 3 ขีด6. มะม่วงพิมเสนเบา 4 ลูก7. พริกสด 10 ดอก8. น้ำกะทิสด 1 กิโลกรัม9. เกลือ 1 ช้อนชา10. กะปิ 2 ขีด วิธีทำยำสาย1. นำสาย/สาหร่าย ที่ล้างทำความสะอาดแล้วมาหั่นให้เหลือความยาวประมาณ 2 นิ้ว2. เอาน้ำกะทิตั้งไฟ ใส่กะปิ หั่นหอมแดงประมาณ 6 กลีบ และน้ำตาลปีบใส่ลงไป เคี่ยวจนละลายแล้วเติมเกลือ3. นำสายหรือสาหร่ายที่หั่นแล้วใส่ลงไป คนให้เข้ากัน แล้วยกลงเทใส่ภาชนะหรือถาด4. นำมะพร้าวคั่วมาตำให้ละเอียด แล้วนำไปคลุกกับสาย5. หั่นหอมแดง 10 กลีบที่เหลือบางๆ ใส่ลงไป ฝานหรือสับหรือซอยมะม่วงใส่ลงไป แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน6. ใส่พริกสด เกลือ กะปิ คลุกเคล้าอีกครั้งหนึ่งแล้วชิมรส

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 104 ดื่มกาแฟเพื่อลดความอ้วน??

กาแฟนับเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะมีองค์ประกอบของสารคาเฟอีนที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง จะสังเกตได้ว่าเมื่อดื่มกาแฟแล้วเพียง 10–15 นาที สมองจะตื่น ร่างกายจะรู้สึกผ่อนคลาย กระปรี้กระเปร่า ดังนั้นกาแฟ ทั้งร้อนและเย็นจึงเป็นเครื่องดื่มที่ขาดไม่ได้ในเวลาอาหารเช้า และเวลาประชุมของเกือบทุกหน่วยงาน ข้อเสียของสารคาเฟอีนมีอยู่ หากดื่มวันละหลายๆ แก้ว จะส่งผลให้ตาค้าง นอนไม่หลับ ท้องผูก หัวใจเต้นแรง ใจสั่น กระวนกระวาย หงุดหงิดง่าย ปัสสาวะบ่อยและทำให้มีความดันโลหิตสูง ทั้งนี้เนื่องจากสารคาเฟอีนมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดหดตัวและยังมีผลทำให้ลดการดูดซึมของธาตุเหล็กและแคลเซี่ยมจากอาหารที่รับประทานเข้าไปอีกด้วย สำหรับหลายๆ คนที่ดื่มกาแฟมานานจนร่างกายปรับตัวได้ ระบบในร่างกายจะสามารถทนหรือดื้อต่อสารคาเฟอีนจนอาการข้างเคียงต่างๆ อาจลดน้อยลง ทำไมจึงมีโฆษณาว่ากาแฟใช้ลดความอ้วนได้เป็นที่ทราบกันดีมานานแล้วว่า สารคาเฟอีนในกาแฟมีฤทธิ์ในการช่วยเพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้สมอง และช่วยขจัดความอ่อนล้าออกจากร่างกาย ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ว่า มีคุณสมบัติเป็น เทอร์โมเจนีซิส (Thermogenesis) สารเพิ่มเมตาโบลิซึม เร่งการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย มีผลทำให้ไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายถูกสลายเป็นพลังงานความร้อนทำให้อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม นำผลการศึกษาดังกล่าวมาโฆษณาว่า ดื่มกาแฟแล้วลดความอ้วนได้ นอกจากนั้นสารคาเฟอีนในกาแฟยังมีฤทธิ์เป็นสารขับปัสสาวะ จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลงชั่วคราว แล้วต้องดื่มกาแฟกี่แก้ว จึงจะได้ผล? ผู้ที่ต้องการลดความอ้วนโดยการดื่มกาแฟ คงต้องผิดหวัง เพราะว่าคุณจะต้องดื่มกาแฟถึงวันละอย่างน้อย 6 แก้วขึ้นไป อีกทั้งในกาแฟแต่ละแก้วของบางคนอาจต้องใส่ทั้งนมข้นหวาน ครีมเทียมและน้ำตาล ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร่างกายได้รับแคลอรี่มากเกินไปเมื่อเทียบกับผลที่ต้องการได้จากสารคาเฟอีนในกาแฟ นอกจากนั้นร่างกายบางคนก็ไม่อาจทนต่อสารคาเฟอีนได้มากมาย(ขนาด 6 แก้ว) ในแต่ละวัน ผลของคาเฟอีนอาจก่อให้เกิดอันตรายหรืออาการข้างเคียงมากมายดังที่กล่าวมาข้างต้น ดื่มชาแทนกาแฟ จะได้ผลหรือไม่?ใบชาจะมีองค์ประกอบของสารคาเฟอีนมากกว่าที่พบในกาแฟ แต่เนื่องจากใบชาจะมีสารแทนนินมาก(สารแทนนินก็คือรสฝาดจากใบชา) สารแทนนินในน้ำชาจะไปเคลือบที่กระเพาะอาหารทำให้การดูดซึมของสารคาเฟอีนจากใบชาลดน้อยลงมาก สมุนไพรที่ให้ผลเช่นเดียวกับกาแฟ สมุนไพรหลายชนิดมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับสารคาเฟอีนในกาแฟ เช่น สารสกัดจากส้มซ่า (Bitter orange) ซึ่งมีสารสำคัญคือ ไซเนปฟริน (Synephrine) มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับตัวยา เอฟีดริน (Ephedrine) คือเร่งการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ช่วยสลายไขมัน แต่ข้อดีของสารสกัดจากส้มซ่าคือปราศจากอาการข้างเคียงเมื่อเปรียบเทียบกับตัวยาเอฟีดริน จึงมีการนำสารสกัดส้มซ่ามาใช้ผสมในสูตรของยาลดความอ้วนหลายชนิด สารสกัดชนิดนี้นอกจากช่วยเผาผลาญพลังงานแล้ว ยังมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งความอยากอาหารได้อีกด้วย สารสกัดจากพริก หรือ แคปไซซิน (Capsaicin) สารสกัดจากขิงและสารสกัดจากพืชสมุนไพรจีน (Ephedra sinica, ma huang) พืชเหล่านี้มีคุณสมบัติเป็นเทอร์โมเจนีซิส เร่งการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย มีส่วนช่วยสลายไขมัน และถูกนำมาใช้ เป็นส่วนผสมร่วมกับคาเฟอีนในยาลดความอ้วนทั้งหลาย ปัจจุบันสมุนไพรจีน (Ephedra) หรือ มาหวง ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากมีการนำไปสกัดเพื่อทำยาบ้า ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการลดความอ้วนจากข้อมูลที่รวบรวมมาให้อ่านจะพบว่า ข้อเท็จจริงของประโยชน์จากการดื่มกาแฟมีอยู่ แต่จะให้ประโยชน์ในแง่การลดความอ้วนได้น้อยมากๆ หรือแทบจะติดลบด้วยซ้ำไป เมื่อเทียบกับผลเสีย คืออาการข้างเคียงที่ตามมาอย่างมากมาย ที่สำคัญมีวิธีตรงที่ได้ผลแน่นอนสำหรับการลดความอ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเผาผลาญพลังงานและสลายไขมันโดยตรง ร่วมกับการควบคุมพฤติกรรมการเลือกรับประทานอาหาร ปัจจัยเหล่านี้แน่นอนว่าทุกคนที่อ้วนทราบดีแต่ยังไม่ได้ลงมือปฏิบัติ สรุป คงเป็นไปไม่ได้ที่จะนั่งดื่มกาแฟวันละหลายๆ แก้วเพื่อให้น้ำหนักลดลง ร่างกายผอมลงโดยไม่ต้องออกกำลังกายและไม่ต้องควบคุมอาหาร

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 104 วิทยาศาสตร์เทียมกับคนไทย

เมื่อค่ำของวันที่ 16 กันยายน 2552 ผู้เขียนได้ดูรายการข่าวของทีวีไทย จนถึงรายงานพยากรณ์ ซึ่งพิธีกรก็รายงานสภาพอากาศตามปรกติ แล้วตบท้ายด้วยการแก้คำผิดในเรื่องที่ได้เสนอไปในวันอื่นที่ผู้เขียนไม่ได้ดู ความผิดพลาดที่มีการแก้ไขเป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อมูลที่มักมีการ forward mail และแสดงในเว็บหลายเว็บ เกี่ยวกับการไม่ควรกินน้ำเย็นขณะกินอาหาร เพราะจะทำให้ไขมันในอาหารจับแข็งตัว เป็นอันตรายต่อสุขภาพต่าง ๆ นานา ซึ่งท่านผู้อ่านหลายท่านคงเคยผ่านตาและผู้เขียนก็ได้เคยเขียนใน ฉลาดซื้อ นานมาแล้วว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ผู้รายงานข่าวได้แก้ไขความผิดพลาดเพราะมีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้ให้ข้อมูลแย้งว่า การดื่มน้ำเย็นขณะรับประทานอาหารนั้นไม่ได้อันตรายอย่างที่หลายคนคิด ผู้เขียนคงต้องขออธิบายสั้น ๆ ซ้ำอีกทีว่า น้ำไม่ว่าอุ่นมากหรือเย็นจัดนั้น เมื่อผ่านลำคอลงไปแล้ว ร่างกายจะมีระบบปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะกับที่ร่างกายต้องการเพื่อการดูดซึม จะไม่ไปทำให้อุณหภูมิของกระเพาะและลำไส้เย็นลงจนทำให้ไขมันในอาหารกลายเป็นก้อน เหมือนที่เห็นในตู้เย็น เหตุที่ร่างกายต้องพยายามดำรงอุณหภูมิในทางเดินอาหารให้อุ่นคือ ราว 37oC เพราะการทำงานของระบบเอนไซม์ต่าง ๆ ที่ย่อยอาหารให้เกิดการดูดซึมได้นั้น ต้องการอุณหภูมิประมาณนี้ ตัวอย่างรายการโทรทัศน์ที่ยกให้เห็นนี้ เป็นการแสดงว่าอย่างน้อยทีวีไทยมีความใส่ใจในการแก้ความผิดพลาด ซึ่งดีกว่าสถานีวิทยุและโทรทัศน์หลายสถานีที่ไม่สนใจ ปล่อยให้ความผิดพลาดดำเนินไป โดยเฉพาะการขายผลิตภัณฑ์สุขภาพ คนที่โชคร้ายคือ ผู้บริโภคที่ไม่มีโอกาสมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพอย่างลึกซึ้งพอความผิดพลาดด้านวิทยาศาสตร์แบบตั้งใจนั้น ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Pseudoscience ซึ่งภาษาไทยน่าจะแปลว่า วิทยาศาสตร์เทียม เพราะคำว่า Pseudo นั้นเป็นคำที่มาจากภาษาลาติน มีความหมายถึงสิ่งที่ไม่เป็นจริงคือ โกหก นั่นเอง การโกหกทางวิทยาศาสตร์สุขภาพนั้น มีให้เห็นในจอโทรทัศน์เป็นประจำ โดยไม่มีใครสนใจแก้ไข เพราะต่างได้ประโยชน์กันเป็นแถว ความผิดพลาดนั้นมีสาเหตุใหญ่ 2 ประการคือ ความผิดพลาดที่เกิดจากความไม่รู้ คือ มั่ว ส่วนอีกประการนั้นเป็นความตั้งใจให้ผิดเพื่อเอาประโยชน์ การมั่วทางวิทยาศาสตร์นั้นมีรากฐานจากทิฐิของนักวิชาเกินที่ไม่รู้จริง เช่น กรณีของการกินน้ำเย็นแล้วไขมันจะเป็นก้อนในทางเดินอาหารก่อให้เกิดปัญหามากมาย สุดท้ายก็ขาดไม่ได้ที่ต้องพาดพิงถึงมะเร็งเพื่อให้ดูสมจริง นักวิชาเกินเหล่านี้คงมีประสบการณ์มองอาหารในตู้เย็น และพบว่าอาหารที่มีไขมันเป็นองค์ประกอบมักเห็นไขมันแยกเป็นก้อนให้เห็น และด้วยความที่ไม่เคยเรียนวิชาสรีรวิทยา หรือแม้เคยเรียนก็ลืมไปแล้ว เลยทำให้เกิดความผิดพลาดในการให้ความรู้แก่ประชาชน ส่วนความผิดพลาดในประการที่สอง ซึ่งตั้งใจทำให้ผิดพลาดเพื่อหารับประทานนั้น มีตัวอย่างที่เห็นอย่างชัดเจนแล้วในบ้านเราคือ เรื่องอุปกรณ์ทำให้โมเลกุลของน้ำมันเรียงตัวก่อนเข้าระบบเผาไหม้เพื่อประหยัดน้ำมันและลดควันดำหรือสารพิษในไอเสีย ตามมาด้วยเรื่องน้ำดื่มที่ผ่านอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดการเรียงตัวตามสนามแม่เหล็กของโมเลกุลน้ำ เพื่อทำให้น้ำธรรมดาเป็นน้ำวิเศษที่ทำให้สุขภาพดีขึ้นได้ ตัวอย่างที่ยกให้เห็นนี้ ขี้หกทั้งเพและเป็นเรื่องการโกหกระดับนานาชาติด้วย ในอินเตอร์เน็ตนั้นมีเว็บหลายเว็บที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เทียมหรือ pseudoscience ซึ่งท่านผู้บริโภคข้อมูลสามารถเข้าไปศึกษาได้ เว็บแรกที่แนะนำคือ http://www.chem1.com/acad/ sci/pseudosci.html ซึ่งให้คำจำกัดความของ pseudoscience ว่า {xtypo_quote}A pseudoscience is a belief or process which masquerades as science in an attempt to claim a legitimacy which it would not otherwise be able to achieve on its own terms; it is often known as fringe- or alternative science. {/xtypo_quote} ซึ่งน่าจะหมายความว่า วิทยาศาสตร์เทียมนั้นหมายถึง ความเชื่อหรือกระบวนการที่หลอกลวงว่าสิ่งที่เกิดหรือสิ่งประดิษฐ์นั้นเป็นวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับได้ทั้งที่มันเป็นมันไม่น่าจะใช่ ผู้เขียนขอยกตัวอย่างที่พบได้ในเน็ตของคนที่ใช้วิทยาศาสตร์เทียมเพื่อความร่ำรวยของตนคือ การบอกว่า แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านใบไม้ใหญ่ลงมากระทบตัวคนแล้วจะทำให้สุขภาพดี จึงจัดให้ในบริการล้างพิษ ผู้บริโภคที่หลงเชื่อก็จะไปนอนตากแดดแล้วเอาใบไม้ใหญ่มาคลุมตัว ยังดีนะครับที่ไม่ได้ใช้หนังสือพิมพ์มาคลุม ความแตกต่างของวิทยาศาสตร์แท้กับวิทยาศาสตร์เทียม (ซึ่งอาจเรียกอีกคำว่า creationist ได้) คือ วิทยาศาสตร์แท้นั้นจะหาความจริงจากการทดลองแล้วจึงสรุปออกมาว่าเป็นอะไร ในขณะที่วิทยาศาสตร์เทียมจะมีข้อสรุปก่อนแล้วจึงพยายามหาความจริงมายืนยัน ซึ่งบางทีก็ยันไม่ได้ทั้งยืนหรือนอน คำภาษาอังกฤษอีกคำที่อาจนำมาใช้กับปรากฏการณ์ที่พยายามทำแค่ความเชื่อดของตนเอง กลายเป็นวิทยาศาสตร์คือ Junk science ซึ่งในบางเว็บได้รวบเรื่องราวของ homeopathy เข้าไปอยู่ในกลุ่มนี้ ผู้เขียนเคยเขียนเรื่อง homeopathy ในฉลาดซื้อ แล้วมีผู้อ่านจดหมายมาทางกองบรรณาธิการเพื่อต่อว่า ซึ่งผู้เขียนก็เข้าใจว่าบทความดังกล่าวอาจไปก้าวล่วงในความเชื่อของหลายท่าน แต่ความจริงแล้วลักษณะของ homeopathy นั้นเข้าอยู่ในลักษณะของวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ยังไม่มีการพิสูจน์เป็นเรื่องเป็นราว เมื่อสมัยผู้เขียนดูหนังเกาหลีที่นางเอกในเรื่องชื่อว่า จังกึม นั้น ตอนหนึ่งที่นางเอกสูญเสียประสาทสัมผัสในการลิ้มรส แล้วตัวละครที่เป็นแพทย์สมัยนั้นใช้เหล็กไนผึ้งต่อยที่ลิ้นจังกึม ก็เป็นลักษณะการรักษาแบบหนามยอกเอาหนามบ่ง ซึ่งถามว่าเป็น homeopathy ในความรู้สึกผู้เขียนหรือไม่ ผู้เขียนก็ว่าใช่ ทั้งนี้เพราะ homeopathy นั้นบางครั้งก็ดูเป็นพิษวิทยา แต่ดูอีกทีก็ไม่น่าใช่นัก เนื่องจาก homeopathy นั้นมีความเชื่อว่า สารที่ทำให้เกิดพิษนั้น ถ้านำมาเจือจางให้มากๆ ก็สามารถต้านพิษได้ ถ้าต้องการอ่านเป็นภาษาอังกฤษก็หาได้จาก Wikipedia ซึ่งให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า   {xtypo_quote}German physician Samuel Hahnemann in 1796, that treats patients with heavily diluted preparations which are thought to cause effects similar to the symptoms presented. {/xtypo_quote} ที่ผู้เขียนกล่าวว่า homeopathy น่าจะเข้าข่ายของวิทยาศาสตร์เทียมเพราะใน Wikipedia ได้กล่าวไว้อีกเช่นกันว่า {xtypo_quote}Claims of homeopathy's efficacy beyond the placebo effect are unsupported by the collective weight of scientific and clinical evidence. {/xtypo_quote} อีกเว็บหนึ่ง คือ http://biocab.org/Pseudoscience.html ซึ่งให้ข้อมูลที่เป็นตัวอย่างของวิทยาศาสตร์เทียมที่เมื่อท่านเข้าไปอ่านแล้ว อาจอุทานว่า “โอ้พระเจ้าช่วยกล้วยทอด มันเหมือนกับที่เห็นในบ้านเราเลยซาร่า” เว็บนี้ยกตัวอย่างเกี่ยวกับการที่มีผู้พยายามสร้างความเชื่อว่า ปิรามิดนั้นใช้เทคโนโลยีที่ได้จากมนุษย์ต่างดาว ซึ่งก็เป็นเรื่องพื้น ๆ แต่ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ ในเว็บได้เริ่มกังวลกับ academic pseudoscience ซึ่งเกิดจากนักวิทยาศาสตร์เทียมซึ่งได้เป็นอาจารย์ของสถานศึกษา ซึ่งผลิตนักวิทยาศาสตร์ด้วยความคิดแบบวิทยาศาสตร์เทียม ตัวอย่างในประเทศไทยก็มี เช่น การสอนให้เชื่อว่า เก้าอี้แม่เหล็กรักษาโรคได้ ทั้งที่กระทรวงสาธารณสุขออกมาบอกแล้วว่ายังพิสูจน์ไม่ได้ เว็บสุดท้ายที่แนะนำให้เข้าไปดูคือ www.quackwatch.com เจ้าเก่าของ Dr. Barrett ซึ่งมีบทความเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เทียมสองบทความคือ Distinguishing Science and Pseudoscience และ Why Science Needs to Combat Pseudoscience ซึ่งเป็นบทความพื้นฐานที่ผู้อ่านที่ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ก็ควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุที่ว่าสื่อทั้งหลายต่างมีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำข้อมูลสู่ผู้บริโภค การกรองข้อมูลให้ถูกต้องก่อนปล่อยออกสู่สาธารณะนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะอะไรที่ไม่เป็นจริงมักถูกเชื่อว่าเป็นจริง เพราะมันดูสนุกดี จนผู้บริโภคลืมไปว่า ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งเคยให้กระบวนการในการตัดสินใจว่าอะไรถูกผิดคือ กาลามสูตร{xtypo_alert} (โปรด สังเกตว่า บัดเดี๋ยวนี้ชื่อของที่ทำงานของผู้เขียนได้ถูกเปลี่ยนจาก สถาบันวิจัยโภชนาการ ไปเป็น สถาบันโภชนาการ เพื่อให้ครอบคลุมภารกิจในการทำงานกว้างขึ้นครับ) {/xtypo_alert}  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 103 ขาว ใช่ว่าจะดีเสมอไป

เรื่องทดสอบ 3 คงไม่มีใครที่อยากเสี่ยงกับการปนเปื้อนของสารพิษในอาหาร โดยเฉพาะกรณีจงใจใส่ลงไปทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นอันตรายกับผู้บริโภค แต่ผู้ค้าหลายรายก็ยังคง เล่นไม่ซื่อ กับลูกค้าตาดำๆ ดังนั้นจึงต้องมีการเฝ้าระวังอันตรายจากการปนเปื้อนของสารพิษในอาหารอยู่เสมอ ฉลาดซื้อฉบับนี้ ไปเดินสำรวจตลาดแล้วแวะซื้อถั่วงอกกับขิงซอย มาตรวจหาสารฟอกขาว หรือ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ โดยสุ่มตัวอย่างจากตลาดสด 4 แห่ง และซูเปอร์มาร์เก็ต 3 แห่ง ได้แก่ ตลาดบางแค ตลาดคลองเตย ตลาดยิ่งเจริญและตลาดเทวราช ส่วนซูเปอร์มาร์เก็ต 3 แห่ง คือ คาร์ฟู บางแค โลตัส อ่อนนุช และเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ถั่วงอกสด คนนิยมบริโภคกันมาก เพราะเป็นผักที่นิยมกินกันดิบๆ โดยจะกินเป็นเครื่องเคียงของอาหารคาวชนิดต่างๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก ขนมจีนน้ำพริก-น้ำยา ผัดไท ก๋วยเตี๋ยวหลอด หรือนิยมนำมาผัดกับเต้าหู้ ที่เป็นเมนูโปรดของหลายคน ส่วนขิงซอย แม้จะบริโภคในปริมาณไม่มากเท่าถั่วงอกเพราะมีรสเผ็ดร้อน แต่ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เดิมอาจไม่ค่อยมีปัญหาเพราะเราซื้อกันเป็นแง่งมาปอกเปลือกและหั่นฝอยเอง แต่เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่แม่ค้าที่ต้องใช้ขิงซอยประกอบอาหาร สามารถซื้อแบบซอยสำเร็จรูปแล้ว มาปรุงอาหารได้เลย แน่นอนว่า ขิงนั้นปล่อยไว้สักระยะก็จะมีสีคล้ำดำ จนไม่น่ารับประทาน จึงนิยมนำสารฟอกขาวมาผสมเพื่อให้ขาวเรียกความสนใจได้นานๆ ผลทดสอบจากการทดสอบ สินค้าที่เป็นแบรนด์ของห้าง ไม่พบการปนเปื้อนของสารฟอกขาว ทั้งในถั่วงอกและขิงซอย แต่แบรนด์ที่ไม่ใช่ของห้างแต่นำมาวางขายในห้าง คือ ถั่วงอกยี่ห้อ วีพีเอฟ ซึ่งเก็บจากเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน พบการปนเปื้อนของสารฟอกขาวหรือ ซัลเฟอร์ไฮดรอกไซด์ 11.47 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ในขณะที่ยี่ห้อ วีพีเอฟที่เก็บตัวอย่างจาก คาร์ฟู บางแค ไม่พบการปนเปื้อน ในส่วนของขิงซอย ที่พบมากน่าเป็นห่วงคือ ขิงซอยจากตลาดยิ่งเจริญ พบสารฟอกขาว 204.58 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รองลงมาได้แก่ ขิงจากตลาดเทวราช พบ 48.45 มิลลิกรัม/กิโลกรัม กินถั่วงอก ขิงหั่นฝอยให้หายห่วง 1.ซื้อถั่วงอก ขิงซอย ที่ไม่ดูขาวจนเกินไป ผิดธรรมชาติ โดยเฉพาะขิงซอย เมื่อไม่มีเปลือกมันจะมีสีคล้ำตามธรรมชาติเนื่องจากการสัมผัสกับอากาศ ถ้าขาวก็ถือว่าผิดปกติ ส่วนถั่วงอก ตามธรรมชาติ เมื่อเด็ดหางออกบริเวณที่มีรอยฉีกขาดจะมีสีคล้ำขึ้น 2.ถั่วงอก ถ้าให้ล้างพิษจากสารฟอกขาวได้เด็ดขาด ต้องลวกในน้ำเดือด เพื่อที่จะทำลายสารตกค้าง 3.หาโอกาสเพิ่มทางเลือก ด้วยการปลูกหรือเพาะถั่วงอกเอง เพื่อรับประทานภายในครัวเรือน ผลทดสอบ ถั่วงอก สถานที่เก็บตัวอย่าง สารฟอกขาว (ซัลเฟอร์ไดออกไซด์)มิลลิกรัม/กิโลกรัม ตลาดบางแค ไม่พบ ตลาดคลองเตย ไม่พบ โฮม เฟรช มาร์ท (เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน) ไม่พบ ถั่วงอก วีพีเอฟ (ห้างคาร์ฟู บางแค) ไม่พบ ตลาดเทวราช 3.79 ตลาดยิ่งเจริญ 5.79 ถั่วงอก วีพีเอฟ (จากเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน) 11.47 ผลทดสอบ ขิงหั่นฝอย สถานที่เก็บตัวอย่าง สารฟอกขาว (ซัลเฟอร์ไดออกไซด์) มิลลิกรัม/กิโลกรัม ตลาดบางแค ไม่พบ ตลาดคลองเตย ไม่พบ ซีโอเอฟ (เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน) ไม่พบ ซีโอเอฟ (คาร์ฟู บางแค) ไม่พบ เทสโก ไฮจีนิก (โลตัส อ่อนนุช) ไม่พบ เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน ไม่พบ ตลาดเทวราช 48.45 ตลาดยิ่งเจริญ 204.58 สารฟอกขาว เป็นสารเคมีที่มีการนำไปใช้อย่างแพร่หลายในการผลิตอาหารหลายประเภท ทั้งในอาหารที่อนุญาตและไม่อนุญาตให้ใส่สารฟอกขาว โดยพบการตกค้างในปริมาณสูงในอาหารหลายชนิด จึงถูกจัดเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่ต้องมีการเฝ้าระวังในการใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารอย่างใกล้ชิด สารฟอกขาวที่นิยมใช้ในอาหารบ้านเราส่วนใหญ่เป็นกลุ่มของสารประกอบซัลไฟต์ ซึ่งเป็นชื่อรวมของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และเกลืออนินทรีย์ของกรดซัลฟูรัสซึ่งแตกตัวให้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ องค์การอนามัยโลกได้กำหนดค่าความปลอดภัยต่อการบริโภคในชีวิตประจำวันของสารกลุ่มนี้ไม่ควรบริโภคเกิน 0.7 มิลลิกรัมซัลเฟอรไดออกไซด์ ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อ 1 วัน และประเทศไทยได้อนุญาตให้สารซัลไฟต์เป็นสารฟอกขาวใช้ในอุตสาหกรรมอาหารหลายประเภท เช่น การผลิตน้ำตาล วุ้นเส้น เส้นหมี่ ก๋วยเตี๋ยว ลูกเกด และอาหารทะเลเยือกแข็ง เป็นต้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับ 103 มือถืออินเตอร์เน็ต

ได้เวลาอัพเดทผู้อ่านฉลาดซื้อเรื่องของโทรศัพท์มือถือกันอีกครั้ง นาทีนี้อาจจะมีบางท่านต้องการหาซื้อมือถือไว้เพื่อการรับทราบข่าวสารที่มากกว่าแค่รับข้อความ (SMS) ซึ่งอาจรวมถึงการรับ/ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ การแลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันรูปภาพ ไฟล์เพลง รวมถึงการท่องเว็บต่างๆในอินเตอร์เน็ตด้วย   ฉบับนี้เราภูมิใจนำเสนอผลการทดสอบเปรียบเทียบโทรศัพท์มือถือที่จัดทำโดยองค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (หรือ International Consumer Research and Testing ที่มีสมาชิกเป็นองค์กรผู้บริโภคที่ไม่แสวงหากำไรเช่นเดียวกับเราอีก 44 องค์กร ใน 38 ประเทศ) ซึ่งประกอบด้วยมือถือที่ใช้อินเตอร์เน็ตได้ทั้งหมด 20 รุ่น และมือถือที่ที่มีฟังก์ชั่นถ่ายภาพและฟังเพลง (แต่ยังใช้ท่องเน็ตไม่ได้) อีก 14 รุ่น* ภาพรวม โทรศัพท์เหล่านี้ไม่แตกต่างกันในเรื่องของฟังก์ชั่นการใช้เพื่อโทรออก รับสาย (ทุกรุ่นได้ 4 ดาวเท่ากัน) โทรศัพท์ที่ยังครองความเป็นหนึ่งในด้านการใช้งานอินเตอร์เน็ตยังคงเป็น แอปเปิ้ล iPnone ทั้ง4 รุ่นที่ทดสอบ ที่เหลือก็อยู่ในระดับพอใช้ (3 ดาว) ถึงดี (4 ดาว) ยกเว้น โนเกีย N86 8MP โซนี่ อิริคสัน W995 แอลจี KM900 Arena และ แอลจี GC900 Viewty smart ที่ได้ไปเพียง 2 ดาว จากการทดสอบครั้งนี้ ความสะดวกในการรับ/ส่งข้อความของโทรศัพท์เหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับพอใช้ขึ้นไป แต่ถ้าใครชื่นชอบการส่ง SMS เป็นชีวิตจิตใจก็อาจจะอยากลงทุนกับ โนเกีย N 97 ที่ได้คะแนนด้านนี้ถึง 5 ดาว มีเพียงสี่รุ่นที่ได้คะแนนในการถ่ายภาพในระดับ 4 ดาว ได้แก่ โนเกียN 97 โนเกียN86 8MP ซัมซุง GT-S8000 Jet และซัมซุง SGH-i900 Omnia สำหรับฟังก์ชั่นการฟังเพลงนั้นมี โนเกีย N 97 ที่ได้ไป 5 ดาว แต่ที่เหลือส่วนก็อยู่ในระดับพอใช้ถึงดี ยกเว้น ZTE/TMN Bluebelt ZTE/T-Mobile Vairy Touch และ “3” INQ1 โทรศัพท์ส่วนใหญ่ในกลุ่มที่นำมาทดสอบนี้ได้คะแนนเรื่องความทนทานในระดับดีถึงดีมาก ยกเว้น แอปเปิ้ล iPnone 3G 8 GB/ OS 3.0 และ แอปเปิ้ล iPnone 3G 16 GB/ OS 3.0 ที่อยู่ในเกณฑ์พอใช้ ในขณะที่โนเกีย E 75 ได้ไปเพียง 2 ดาว แบตเตอรี่ก็เช่นกัน โทรศัพท์ส่วนใหญ่ได้คะแนนเรื่องประสิทธิภาพการใช้พลังงานในระดับดีถึงดีมาก ยกเว้น แอลจี KM900 Arena ที่ผ่านด้วยคะแนนพอใช้เท่านั้น *หมายเหตุ มือถือที่ส่งเข้าทดสอบในครั้งนี้เก็บจากตลาดในยุโรป (แม้ว่าส่วนใหญ่จะผลิตมาจากโซนเอเชียบ้านเรา)** ทุกรุ่นสามารถชาร์จผ่านสาย USB ได้ ยกเว้น Nokia 6303 Classic ดาวโหลด ผลการทดสอบที่นี่ค่ะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 103 กาแฟ…ทุกครั้งที่ดื่มอย่าลืมคนปลูก

เรื่องทดสอบ 1เดิมการดื่มกาแฟเคยเป็นวัฒนธรรมของชนชั้นสูงมาก่อน แล้วจึงค่อยแพร่มาสู่ชนชั้นกลางและประชาชนทั่วไป ในยุคที่วัฒนธรรมการดื่มกาแฟแพร่หลายมาถึงคนระดับล่าง มีร้านกาแฟปรากฏขึ้นทั่วไปในบริเวณที่เป็นชุมชนหรือตลาดที่มีคนมากๆ การมานั่งดื่มกาแฟในตอนเช้าพร้อมทั้งพูดคุยถกปัญหาประจำวันได้กลายมาเป็นวัฒนธรรม “สภากาแฟ” ที่รู้จักกันโดยทั่วไป แต่ปัจจุบัน สภากาแฟโดยอาแปะ อากง ได้ถูกท้าทาย โดยการมาถึงของร้านกาแฟแบรนด์หรูจากต่างประเทศ ในรูปแบบร้านกาแฟสดคั่วบด ที่มีการตกแต่งร้านให้หรูหราทันสมัย สะดวกสบาย และมีบรรยากาศที่รื่นรมย์ นิ่ง สงบ กว่า สภากาแฟ ที่เอะอะ ฮาเฮ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ที่ผู้คนมีลักษณะโดดเดี่ยวและมีโลกส่วนตัวสูง จากข้อมูลของสำนักเศรษฐกิจการเกษตร บริโภคกาแฟของคนไทยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ปัจจุบันคนไทยดื่มกาแฟคนละ 200 แก้วต่อคนต่อปี ซึ่งในช่วง 10 ปีก่อนนั้นคนไทยดื่มกาแฟเพียงปีละ 50 แก้วเท่านั้น ถ้ามองผ่านภาพธุรกิจร้านกาแฟสดเอาเฉพาะแบรนด์หรูจากต่างประเทศ ก็พบว่ามีการแข่งขันสูง แม้ราคาขายจะค่อนข้างแพง แต่ด้วยความนิยมที่เพิ่มขึ้นก็สามารถดึงดูดคนเข้าร้านได้ไม่ยาก ส่วนกลุ่มที่ชื่นชอบกลิ่นกาแฟสด แต่เงินน้อย เดี๋ยวนี้แฟรนส์ไชส์ร้านกาแฟสดแบบ “หัวมุมถนน” ก็มีให้เลือกมากมายเช่นกัน หากจะลองแบ่งประเภทของ ธุรกิจร้านกาแฟ อาจพอแบ่งคร่าวๆ ได้ ดังนี้1.ร้านกาแฟที่เป็นแฟรนไชส์จากต่างประเทศ เช่น สตาร์บัคส์ ซึ่งร้านประเภทนี้ ส่วนใหญ่จับกลุ่มลูกค้าระดับบน ราคาสินค้าโดยเฉลี่ย 65 บาทขึ้นไป2.ร้านกาแฟของนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาสร้างแบรนด์ในไทย อาทิ คอฟฟี่ เวิลด์ เน้นจับกลุ่มนักธุรกิจ คนทำงานมากขึ้น ราคากาแฟขายอยู่ที่ 45-65 บาทต่อแก้ว3.ร้านกาแฟที่เป็นจากเชนฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง เช่น แมคโดนัลด์ แบล็คแคนยอน เชสเตอร์กริลล์ ดังกิ้นและทรูคอฟฟี่ ราคากาแฟขายที่ 40-60 บาทต่อแก้ว4.ร้านกาแฟของคนไทยทั้งที่ลงทุนเองและเปิดสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ ร้านกาแฟในกลุ่มนี้มีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ร้านเหล่านี้จำหน่ายกาแฟที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับ กาแฟจากร้านใหญ่ๆ แต่ราคาถูกกว่า สิ่งนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีทางเลือกสำหรับการดื่มกาแฟเพิ่มขึ้น5.ร้านกาแฟของคนไทยที่เปิดร่วมกับปั๊มน้ำมัน เน้นจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักเดินทาง ราคากาแฟจะไม่สูงนัก เฉลี่ยประมาณ 30-45 บาทต่อแก้วนอกจากการแบ่งเป็นกลุ่มดังกล่าวแล้ว ในตลาดยังมีธุรกิจร้านกาแฟรายย่อยอีกเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ร้านเหล่านี้จะลงทุนในรูปแบบมุมกาแฟ (Corner/Kiosk) หรือรถเข็น (Cart) ที่ใช้เงินลงทุนไม่มากนัก ทำไมต้องคิดถึงคนปลูกกาแฟ ต้นกำเนิดของกาแฟนั้นอยู่ในทวีปอัฟริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่เป็นประเทศเอธิโอเปีย แต่เดิมประเทศที่ตกเป็นอาณานิคมจะต้องปลูกกาแฟเพื่อส่งผลผลิตไปยังประเทศแม่ โดยการปลูกนั้นจะเป็นแบบดั้งเดิมคือการปลูกในแนวร่มเงาของไม้อื่น เมื่อถึงช่วงของการปฏิวัติเขียวระหว่างปีค.ศ. 1970 – 1980 นั้น สหรัฐได้เป็นแกนนำการเปลี่ยนแปลงระบบการผลิต ด้วยการสนับสนุนประมาณ 80 ล้านเหรียญให้เกษตรกรปลูกต้นกาแฟในที่โล่งเพื่อเพิ่มผลผลิต จึงนำไปสู่การทำลายป่าและความหลากหลายทางชีวภาพ นอกจากนี้การปลูกพืชเชิงเดี่ยว การพึ่งพาปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงก็ทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย ในปี 1988 เกิดกาแฟยี่ห้อ Max Havelaar โดยองค์กรพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่งในประเทศเนเธอร์แลนด์ Solidaridad ทำให้มีกาแฟที่จัดซื้ออย่างเป็นธรรมเข้ามาขายในซูเปอร์มาร์เกตของเนเธอร์แลนด์ ชื่อยี่ห้อ Max Havelaar นั้นเป็นชื่อของตัวละครที่คัดค้านการเอาเปรียบแรงงานของคนงานในไร่กาแฟในกลุ่มประเทศที่เป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์นั่นเอง ต่อมาแนวคิดดังกล่าวได้ขยายไปยังประเทศอื่นๆในทวีปยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่นด้วย แนวคิดเรื่องแฟร์เทรด หรือการค้าที่เป็นธรรมนั้นมีจุดประสงค์เพื่อลดปัญหาความยากจน และทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการสร้างโอกาสให้เกษตรกรรายย่อยหรือคนงานที่ถูกเอาเปรียบจากระบบการค้าทั่วไป ได้รับค่าตอบแทนจากการขายสินค้าเกษตรในราคาที่เป็นธรรม และเป็นการส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยที่เพาะปลูกอย่างพอเพียงและปลูกกาแฟในไร่นาสวนผสมหรือปลูกแซมภายใต้ร่มไม้แบบดั้งเดิม จริงๆ แล้ว แนวคิดเรื่อง “การค้าที่เป็นธรรม” นั้นมีมากว่า 40 ปีแล้ว แต่การมีตราสัญลักษณ์ที่ชัดเจนเพิ่งจะเกิดขึ้นหลังปีค.ศ. 1980 Fairtrade Labelling Organizations International คือองค์กรที่ตั้งขึ้นที่กรุงบอนน์ เยอรมนี เพื่อดูแลมาตรฐานและการรับรองระหว่างประเทศ มีการใช้เครื่องหมายรับรองแฟร์เทรด FAIRTRADE ขึ้นในปี 2002 สินค้าเกษตรที่มีตราแฟร์เทรดนั้น มีการกำหนดราคาซื้อขั้นต่ำและค่าธรรมเนียมไว้ เช่น เมล็ดกาแฟอาราบิกาธรรมดานั้นจะรับซื้อที่กิโลกรัมละ 2.5 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 90 บาท) ในขณะที่เมล็ดกาแฟอาราบิกาที่ปลูกแบบออกานิกจะรับซื้อที่กิโลกรัมละ 3.2 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 108 บาท) และมีค่าธรรมเนียมแฟร์เทรดกิโลกรัมละ 22 เซ็นต์ (ประมาณ 7 บาท) รายได้จากการขายสินค้า FAIRTRADE จะถูกนำกลับไปใช้ลงทุนในด้านการสาธารณสุข การศึกษา การดูแลรักษาสภาพแวดล้อม และทำให้เกิดการพึ่งพาตนเองได้ทางเศรษฐกิจ กาแฟเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากปิโตรเลียม ในแต่ละปีมีการบริโภคกาแฟถึง 5,400 ล้านกิโลกรัม ประเทศที่มีการบริโภคกาแฟมากที่สุดในโลก ได้แก่ ฟินแลนด์ (คนละ 12 กิโลกรัมต่อปี) คนไทยนั้นสถิติบอกว่าบริโภคคนละ กิโลกรัมต่อปี ในขณะที่คนอเมริกันบริโภคกาแฟคนละ 4.2 กิโลกรัมต่อคนต่อปี (ข้อมูลจาก World Resource Institute 2007) ประเทศที่มีการผลิตเมล็ดกาแฟมากที่สุดในโลกได้แก่ บราซิล รองลงมาได้แก่ เวียดนาม โคลัมเบีย อินโดนีเซีย และเม็กซิโก ตามลำดับ   ประเภทของกาแฟเอสเพรสโซ (espresso) คือกาแฟที่มีรสแก่และเข้ม ซึ่งมีวิธีการชงโดยใช้แรงอัดไอน้ำหรือน้ำร้อนผ่านเมล็ดกาแฟคั่วที่บดละเอียด ที่มาของชื่อ เอสเพรสโซ มาจากคำภาษาอิตาลี "espresso" แปลว่า เร่งด่วน เอสเพรสโซเป็นกาแฟที่นิยมมากที่สุดในแถบประเทศยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะประเทศอิตาลีและฝรั่งเศส การสั่งกาแฟ "caffe" ในร้านโดยทั่วไปก็คือสั่งเอสเพรสโซ อเมริกาโน หรือ คาเฟ่ อเมริกาโน (cafe americano) คือเครื่องดื่มกาแฟชนิดหนึ่ง ซึ่งมีวิธีการชงโดยเติมน้ำร้อนผสมลงไปในเอสเพรสโซ. การเจือจางเอสเพรสโซซึ่งเป็นกาแฟเข้มข้นด้วยน้ำร้อน ทำให้อเมริกาโนมีความแก่พอ ๆ กับกาแฟธรรมดา แต่มีกลิ่นและรสชาติที่เข้มอันมาจากเอสเพรสโซ คาปูชิโน (cappuccino) เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มประเภทกาแฟซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี คาปูชิโนมีส่วนประกอบหลักคือ เอสเพรสโซ และ นมลาเต้ (ภาษาอิตาลี: Latte) เป็นภาษาอิตาลีแปลว่านม ส่วนในประเทศอื่น จะหมายถึง กาแฟลาเต้ หรือเครื่องดื่มกาแฟที่เตรียมด้วยนมร้อน มอคค่า (Mocha) หมายถึงเครื่องดื่มกาแฟซึ่งมี เอสเพรสโซ่ และ โกโก้ เป็นส่วนประกอบ เสิร์ฟทั้งแบบร้อนและแบบเย็นใส่น้ำแข็ง คาเฟอีน (Caffeine) เป็นสารแซนทีนอัลคาลอยด์ มีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7 trimethylxanthine พบได้ในกาแฟ ชา น้ำอัดลมสีดำ เครื่องดื่มชูกำลัง หรือโกโก้ มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและไม่ง่วงนอน แต่ว่าสมองจะมีปฏิกิริยาทางเคมีตอบสนองต่อกาเฟอีน เมื่อได้รับกาเฟอีนครั้งต่อไป ฤทธิ์ของมันจะทำงานน้อยลง เรียกว่า ภาวะทนต่อคาเฟอีน (caffeine tolerance) ทำให้จำเป็นต้องบริโภคกาเฟอีนมากขึ้นเพื่อให้ออกฤทธิ์ การเสพกาเฟอีนมากๆ ในครั้งเดียวจะทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ พูดจาสับสน ปวดท้อง หัวใจเต้นแรง และอาจเลยเถิดถึงขั้นเสียชีวิตBiology Chemistry Food Chemistry Health Heart Disease Medical Yale University รายงานในวารสาร FASEB Journal ว่าการดื่มกาแฟเพียง 2 แก้ว หรือ 1 โดสของกาเฟอีนในระหว่างตั้งครรภ์จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของหัวใจของเด็กในครรภ์ได้ พ่อแม่มักไม่อนุญาตให้ลูกดื่มกาแฟเพราะกลัวผลจากกาเฟอีน แต่พบว่าเดี๋ยวนี้ในขนม ลูกอม เค้ก มีส่วนผสมของกาเฟอีนจำนวนมาก อาจทำให้เด็กมีสมาธิสั้น นอนไม่หลับ และกระทบต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ปริมาณคาเฟอีนในอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ   ผลิตภัณฑ์ ปริมาตร(มล.) ปริมาณคาเฟอีน(มก.) กาแฟผงสำเร็จรูป 150 40-108 ชาซอง 150 28-44 ชาชงจากใบ 150 30-40 ชาเขียวสำเร็จรูป* 500 24-76 โกโก้ร้อน 180 5-30 เครื่องดื่มช็อกโกแลต 180 9-12 ดาร์กช็อกโกแลต แบบแท่ง 60 กรัม 40-50 ช็อกโกแลตนม แบบแท่ง 60 กรัม 3-20 เครื่องดื่มรสโคล่า 355 กรัม 38-46 กาแฟกระป๋อง*** 180 74-212 เครื่องดื่มผสมคาเฟอีน** (เครื่องดื่มชูกำลัง) 100-150 50 ที่มา สำนักงานอาหารและยา สหรัฐอเมริกา*วารสารฉลาดซื้อ**สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)***สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point