ฉบับที่ 102 ข้าวคลุกกะปิรวมมิตร

เรื่องเรียงเคียงจานนก อยู่วนา วันหยุดเมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา ฉันหลบร้อนจากเรื่องราวที่ผ่านตาในหน้าคอมพิวเตอร์และโทรทัศน์ไปอยู่ในสวน เพาะถั่วมะแฮะ ถั่วแปบ ถั่วดาบ ที่เก็บมาจากยโสธร ถั่วพูจากฝักแก่ที่พันเลื้อยต้นมะม่วงในบ้าน และถั่วพุ่มที่เก็บมาจากตลาดสดของชาวบ้านระหว่างทางไปสามพันโบก จ.อุบลฯ พอปลายเดือนเมษายน ต้นถั่วแปบและถั่วดาบก็มีอันเป็นไปเพราะหอยหากอัฟริกันที่แฝงฝังอยู่ในสวนออกมาพาเหรดกันช่วงที่ฉันไม่อยู่บ้านหลายวัน ดีที่ยังมีกล้ามะแฮะที่ฉันแยกเอาไปปลูกลงดินข้างรั้วบ้าน กับถั่วพูที่นอกจากเอาไปลงข้างค้างที่เพิ่งทำขึ้นใหม่เพื่อป้องกันไม่ให้รกเลื้อยไต่ไปบนต้นไม้ใหญ่จนลำบากต่อการเก็บมากิน ยังเหลือเอาไปปันให้พี่ฉัตร แม่ค้าก๋วยจั๊บในหมู่บ้านซึ่งแม้ตัวเองจะบอกว่าไม่ค่อยมีที่จะปลูกก็ยังพยายามปลูกพืชผักสวนครัวแซมแทรกที่หน้ารั้วบ้านของตัวเองด้วยใจรัก ส่วนถั่วพุ่ม ฉันนำกล้าทั้ง 3 ต้นปลูกลงในลอง ซึ่งเป็นท่อซีเมนต์ขนาดใหญ่กว้างเกือบเมตรที่ปกติเขาเอาไว้ทำบ่อพักส้วม ลองซื้อมาหนึ่งอันตกราคาแค่ 80 – 85 บาท นับว่าถูกกว่ากระถางดินขนาดใหญ่หลายเท่าทีเดียวแม้กล้าผักต่างๆ ทั้งใบบัวบก ผักชี ผักชีฝรั่ง ผักคะน้า ผักกาดเขียว กวางตุ้ง ผักกาดฮ่องเต้ และอีกสารพัดชนิดที่ว่านลงดิน ล้วนมีชะตากรรมเดียวกับถั่วแปบและถั่วดาบทั้งสิ้น ซึ่งในการลงมือ “เก็บ” เหล่าเจ้าหอยทากตัวแสบ(มารคอหอยตัวจริง)แทบทุกครั้งเพื่อเอาไปปล่อยนอกบ้าน ฉันจะข่มขู่มันว่าจะเอาไปต้มยำทำแกงเป็นเมนูในคอลัมน์นี้สักครั้งมันก็ยังไม่เข็ด ยังคงพากันแห่แหนเข้ามาเพราะที่สวนของฉันมันทั้งร่มชื้นและมีต้นไม้ เศษซากใบไม้ไว้ให้กินได้อย่างอิ่มหมีพีมัน วิธีกินหอยทากชนิดนี้ ถ้าจะกินให้ดีต้องเอาไปต้ม นึ่งหรือย่างให้สุกดีเสียก่อนแล้วปรุงเป็นอาหารต่างๆ อร่อยไม่แพ้หอยจุ๊บ หรือหอยหวาน แต่แค่เห็นหน้าเห็นหนวดมันแล้ว ออกจะดูน่ารักน่าสงสารแม้จะสร้างความรำคาญและเสียหายให้กันอยู่บ้าง ก็ได้แต่ปลงใจว่ามันทำให้ฉันต้องพยายามค้นหาผักยืนต้นอื่นๆ ที่มันไม่พิสมัยต่อไป พอก่อนจะเข้าพรรษา ต้นถั่วพุ่มก็งามสมบูรณ์ ออกดอกออกฝักให้ได้เห็นชื่นตา ฝักแรกของต้น ฉันปล่อยให้มันแก่แห้งคาต้นไว้ เพื่อเก็บเมล็ดไว้ปลูกครั้งต่อไป ตอนเก็บฝักแดงๆ มากินยังนึกแปลกใจว่าเป็นเพราะพันธุ์ที่ได้มามีแต่ถั่วพุ่มสีแดง หรือว่าถั่วพุ่มสีเขียว ถั่วพุ่มลายที่ปะปนมากันในถุงเมล็ดที่วางขายจะถูกเจ้าหอยทากกินหมด ซึ่งถ้าจะให้รู้คำตอบได้แน่คงต้องลองหาเมล็ดถั่วพุ่มสีอื่นๆ มาทดลองเพาะซ้ำร่วมกับถั่วพุ่มแดงอีกหน แล้วฉันก็หายจากบ้านไป 5 – 6 วัน อีก2 ครั้ง ดีแต่ว่าที่ที่ฉันไม่อยู่มีเทวดาคอยดูแลต้นไม้ในสวนไว้อย่างต่อเนื่อง กลับมาบ้านเที่ยวนี้จึงเห็นสุมทุมพุ่มไม้ในสวนเขียวงามสดสะพรั่ง และดั่งเช่นเคย เจ้าหอยทากก็ออกมาร่าเริงเลยกันเป็นหมู่คณะ ฉันเห็นฝักถั่วพุ่มแดงไสวก็ได้แต่บอกว่าช่างมันเถอะ ถือว่าแบ่งกันกิน แล้วก็เก็บมันไปทิ้งเหมือนเดิม เดินทางหลายวันแบบนี้ ได้ลงมือทำอาหารกินเองสักที ค่อยชื่นใจ มีข้าวเย็นเป็นข้าวหอมมะลิหุงปนกับข้าวกล้องบรือปรุ๊ หรือข้าวหม่นของปกากะญอที่เชียงใหม่ กับยอดของใบชะมวงที่พี่ฝนเอามาให้จากบ้านสิงห์บุรี และกะปิดีของชาวบ้านที่ทำนาอินทรีย์ ต.วัดดาว อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรีติดก้นครัว เมนูวันนี้คงจะเป็นข้าวคลุกกะปิ ฝักถั่วพุ่มที่พองแล้วฉันแกะเอาแต่เมล็ดออกมา เนื้อเมล็ดที่สดยังหวาน มัน ส่วนเปลือกนั้นออกจะเหนียวเกินอร่อย ทดลองกินฝักที่สดกำลังกิน เนื้อจะเหนียวกว่าและหวานน้อยกว่าถั่วฝักยาวนิดหน่อย ฉันเอามาซอยบางๆ ไว้ แล้วเอาใบชะมวงมาซอยหยาบๆ แทนมะม่วงซอย ซอยหอมแดงอินทรีย์จากสุรินทร์ วางข้างพริกที่เก็บมากินจากในสวน แล้วลงมือเจียวไข่ไก่ เป็นไข่จากไก่แจ้ที่ฉันเก็บมาจากบ้านแม่ที่อยุธยา แล้วซอยเป็นเส้นหยาบๆ รอไว้ แกะกระเทียมอินทรีย์สุรินทร์แล้วตี สับกระเทียมเจียวให้หอม ตักกะปิเกือบๆ ช้อนแกงลงไปผัดบนไฟอ่อนๆ ให้หอมดีแล้วเอาข้าวที่ยีเป็นเม็ดลงไปผัดสักครู่แล้วตักขึ้น ฉันเลิกกินหมูมาตั้งแต่เมื่อต้นปี ดีที่ในตู้เย็นยังมีกุ้งแห้งทั้งป่นแล้ว และกุ้งเป็นตัว กับหอยหวานที่ได้มาจากดอนหอยหลอดเมื่อกลางมิถุนายน (คราวหน้าไม่แน่อาจเป็นเจ้าหอยทากตัวแสบ ฮา) ฉันเลือกหยิบมาแต่หอยหวาน จำได้ว่าตอนเลือกซื้อหอยหวานที่ไม่คลุกน้ำตาลนี่ฉันเดินหาอยู่พักใหญ่ หลายร้านกว่าจะได้ เพราะแผงร้านขายอาหารทะเลที่ดอนหอยหลอดส่วนใหญ่จะมีขายชนิดที่ผสมมาเสร็จ “เอากลับไปทำแล้วมันหวานเลยไม่ต้องปรุง” เป็นคำอธิบายของแม่ค้า จนสุดท้ายตอนที่ฉันได้มาเป็นเพราะแม่ค้าด้วยกันเองช่วยถามเพื่อนข้างร้านที่เขามีหอยหวานที่ไม่ปรุงเก็บไว้นั่นแหละ ไม่งั้นอดกินแน่เลยเชียว เทหอยหวานใส่ลงชามแล้วล้าง 2 – 3 ครั้ง ตั้งทิ้งให้สะเด็ดน้ำ แล้วเอาไปทอดในน้ำมันแบบขลุกขลิก ไฟไม่แรงมากเพราะกลัวไหม้ หมั่นใช้ตะหลิวคนเอาไว้ พอสุกเหลืองหอมทั่วทุกตัวดีแล้วตักใส่ถ้วย เอาน้ำผึ้งโตนดราดสัก 1 ช้อนโต๊ะแล้วคลุกให้เข้ากันดี แค่นี้ทุกอย่างก็พร้อมแล้วสำหรับมื้อเช้าเย็นชื้นฝนที่พรมลงมาแต่เมื่อคืน น้ำผึ้งโตนด (หรือคนที่เอามาให้จากคาบสมุทรสทิงพระ สงขลาเรียกน้ำผึ้งโหนด) เป็นน้ำหวานจากจาวตาลที่ถูกเคี่ยวจนเหนียวมีลักษณะคล้ายน้ำผึ้ง คนแถวนั้นคุ้นเคยกับมันดีเพราะมีตาลโตนดปลูกเรียงรายอยู่มากไม่น้อยกว่าที่เพชรบุรีเลยทีเดียว วิธีใช้น้ำผึ้งโหนดของพวกเขามีตั้งแต่เอามาผสมน้ำจิ้มสารพัดชนิด ทำอาจาด ใส่ขนมหวานน้ำแข็งไสเป็นน้ำเชื่อม เชื่อมขนม ตอนที่อ้นยกขวดน้ำผึ้งโหนดให้ฉัน 4 ขวด เธอกังวลว่าขวดจะหนักและต้องแบกขนกัน ซึ่งเป็นข้อจำกัดของการผลิตสินค้าส่งออกขาย แต่ฉันว่าไม่ได้ลำบากอะไรแค่ใส่ไว้ท้ายรถ แล้วพอมาถึงก็แบ่งๆ กับเพื่อนๆ ไปทดลองทำอาหารกินกันดู รสมันหวานและหอมดีแท้ๆ ถ้าจะทำน้ำปลาหวานแบบที่กินกับมะม่วง หรือที่กินกับปลาดุกเผาสะเดาลวก ก็แสนจะสะดวก ไม่ต้องเอาน้ำตาลโตนดที่เป็นปึกเป็นแว่นมาเคี่ยวไฟละลายให้เหนียว แถมยังลดความเสี่ยงจากการใช้น้ำตาลโตนดปึกซึ่งถ้าไม่รู้แหล่งและดูไม่ออก อาจจะได้น้ำตาลโตนด(แว่น) ที่ปนดีน้ำตาลที่เขามาใส่ตอนเคี่ยวให้มันแห้งไฟและจับเป็นก้อน ข้าวคลุกกะปิจานนี้เลยเป็นเมนูรวมมิตรจากผลผลิตทั่วสารทิศตั้งแต่ภูเขาสูงเหนือจรดดินแดน 3 น้ำ ของสงขลาไป อร่อยแบบข้าวคลุกกะปิ แต่แปลกออกไปไม่เหมือนใครดี ซึ่งแบบนี้คุณเองก็ลองแปลงเองได้ ง่ายๆ จริงๆ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 101 แสงสว่างที่อยู่ใต้หลอดไฟ

มีอะไรในโคด สะ นาสมสุข หินวิมานในกลุ่มของนักโบราณคดี มักมีคำถามข้อหนึ่งว่า อารยธรรมของมนุษย์เราก่อกำเนิดขึ้นมาเมื่อใด บ้างก็ว่า ต้องเป็นยุคที่มนุษย์เราเริ่มต้นค้นคิดตัวอักษรขึ้น เพื่อจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ในประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาเอาไว้ แต่บางคนก็แย้งว่า น่าจะเป็นช่วงที่มนุษย์ยุคโบราณเริ่มรวมตัวอยู่กันเป็นกลุ่ม เป็นเหล่า เป็นเผ่า เป็นพันธุ์ จังหวะนั้นแหละที่มนุษย์ได้เริ่มมีการสั่งสมทรัพยากรต่างๆ ขึ้นมา จนเกิดกลายเป็นอารยธรรมสังคม แต่อย่างไรก็ดี มีนักโบราณคดีบางคนที่ยืนยันว่า ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เราคิดประดิษฐ์ตัวอักษรหรือสั่งสมทรัพยากรขึ้นมาหรอก หากแต่อารยธรรมของมนุษย์เกิดขึ้นเมื่อสิ่งมีชีวิตชนิดนี้รู้จักการใช้ไฟในการดำรงชีพ นักโบราณคดีกลุ่มหลังนี้เห็นว่า ในยุคที่มนุษย์เรายังเป็นแค่ไพรเมทอยู่นั้น เราจะถูกจัดให้เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่ดิบเถื่อนอยู่มาก จนกระทั่งวันหนึ่ง ที่คนเรานั้นได้ค้นพบวิธีการจุดไฟหรือก่อไฟขึ้นมา เพื่อให้เกิดเป็นแสงสว่าง หรือเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการหุงหาอาหาร ไฟจึงถือได้ว่าเป็นเครื่องมือแห่งการก่อรูปอารยธรรมของมนุษย์ตั้งแต่ครั้งบุพกาล หากความข้างต้นของนักโบราณคดีกลุ่มหลังนี้เป็นสัจธรรมที่ถูกต้องแล้ว ผมกำลังคิดตามมาว่า แล้วอารยธรรมของมนุษย์เราจะหยุดอยู่แค่ช่วงของการใช้ฟืนไฟในการดำรงชีวิตเท่านั้นเองหรือ ??? โดยส่วนตัวผมแล้วนั้น การค้นพบวิธีก่อไฟอาจเป็นเพียงช่วงเวลาของการเกิดอารยธรรมของมนุษย์ในระลอกแรกเท่านั้น แต่สำหรับระลอกสองของคลื่นอารยธรรมแห่งมนุษย์แล้ว น่าจะเกิดขึ้นเมื่อราวๆ ศตวรรษที่ 19 เมื่อนักประดิษฐ์ชาวตะวันตกอย่าง โธมัส เอดิสัน คิดค้นนวัตกรรมหลอดไฟฟ้าขึ้นครั้งแรกในโลกใบนี้ แล้วหลอดไฟนี้สำคัญอย่างไร และทำไมหลอดไฟจึงสำคัญถึงขนาดที่กลายมาเป็นนวัตกรรมในระลอกหลังของอารยธรรมมนุษย์ไปได้? คำตอบต่อความสองข้อหลังนี้ สาธิตให้เห็นชัดเจนอยู่ในโฆษณาหลอดไฟฟ้าประหยัดพลังงานยี่ห้อหนึ่ง ที่ออกอากาศทางโทรทัศน์มาในช่วงหลายเดือนนี้ โฆษณาเริ่มต้นด้วยเสียงดนตรีคลอเบาๆ ฟังสบายๆ กล้องจับไปที่ภาพของพิธีกรชายผู้ดำเนินรายการสารคดีโทรทัศน์รายการหนึ่ง กล้องมุมเงยช้อนให้เห็นใบหน้าของเขาที่กระทบกับแสงอาทิตย์เป็นประกายสว่างทะลุม่านเมฆเข้ามา และมีเสียงของเขาพูดขึ้นมาว่า “ชีวิตคือการค้นหา...” จากนั้น ภาพชีวิตของพิธีกรหนุ่มที่กำลังค้นหา ก็ตัดสลับมาที่ภาพของขุนเขาดงไพรแห่งหนึ่ง มีฝูงนกบินผ่านเข้ามา มีเด็กนักเรียนชาวเขากำลังกระโดดโลดเต้น หยอกล้อ และจับกลุ่มกันเล่นกลิ้งล้อยางกันอย่างสนุกสนานอยู่ในแดนดอย เรื่องดำเนินต่อไป เมื่อเด็กนักเรียนชาวเขากลุ่มนี้เดินเข้ามาในห้องเรียน แม้แสงอาทิตย์ข้างนอกจะส่องทะลุเข้ามาแบบรำไรๆ อยู่บ้าง แต่หลอดไฟในห้องกลับติดๆ ดับๆ นักเรียนตัวน้อยหลายคนเดินเข้ามาในห้องด้วยความงุนงงหลงทาง เพราะมองอะไรไม่เห็น ห้องเรียนที่ขาดแสงสว่างเช่นนี้ ก็เหมือนกับปัญญาของเด็กชาวเขาที่มีแต่ความมิดมืดและงุนงง เสียงพิธีกรหนุ่มบรรยายต่อออกไปว่า “…แสงสว่างทำให้ผมค้นพบประสบการณ์ใหม่ ๆ...และในที่สุด ผมก็ค้นพบ...” และภาพก็ตัดมาที่คุณพิธีกรหนุ่มยื่นหลอดไฟให้กับเด็กๆ ตัวน้อย และเขาก็นำหลอดไฟอันใหม่นั้นไปเปลี่ยนแทนหลอดที่ติดๆ ดับๆ อยู่ ในฉากจบ เมื่อเด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งเอื้อมมือไปเปิดสวิทช์ไฟ ห้องเรียนทั้งห้องก็พลันสุกสว่างสดใสขึ้นในทันที นักเรียนทั้งห้องต่างส่งเสียงแสดงความดีใจ และบรรยากาศของห้องก็เปี่ยมไปด้วยความสุข พร้อมกับตัดภาพมาที่หน้าของพิธีกรที่พูดปิดท้ายว่า “...ที่สุดของประสบการณ์ความประหยัดที่อยากให้คนไทยได้ลอง ต้อง...(ชื่อยี่ห้อผลิตภัณฑ์)...เท่านั้น” นักวิชาการด้านสื่อสารศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยโตรอนโต ประเทศแคนาดา ที่ชื่อ มาร์แชล แมคลูฮัน ได้เคยสรุปความหมายของสิ่งที่เรียกว่า “เทคโนโลยี” ไว้ด้วยวลีที่สั้นๆ ว่า เทคโนโลยีก็คือ “กระบวนการขยายศักยภาพของมนุษย์ออกไป” เช่นเดียวกับกรณีของหลอดไฟฟ้านั้น ก็คือเทคโนโลยีชนิดหนึ่งที่ช่วยขยายศักยภาพการเห็นของมนุษย์ออกไป จากชีวิตที่ไม่สามารถเห็นได้ในโลกที่ไร้แสง แต่ด้วยการคิดค้นประดิษฐกรรมหลอดไฟฟ้าขึ้นมาของโธมัส เอดิสัน มนุษย์เราตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ก็เริ่มออกห่างความมืดมน และไม่จำเป็นต้องยืนอยู่ภายใต้ความมืดมิดอีกต่อไป คุณลุงแมคลูฮันยังได้เคยอธิบายเจาะจงถึงกรณีของเทคโนโลยีอย่างหลอดไฟฟ้าเอาไว้ด้วยว่า แม้ตัวหลอดไฟเองจะไม่ได้บรรจุคุณค่าความหมายอันใดเอาไว้ในตัว เนื่องจากหลอดไฟก็มีสถานะเป็นแค่หลอดที่บรรจุธาตุบางอย่างที่สามารถแปลงพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานแสงเท่านั้น แต่ทว่า การก่อกำเนิดขึ้นมาของหลอดไฟกลับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ในประสบการณ์และการค้นพบของมนุษยชาติเลยทีเดียว ก็อย่างที่โฆษณาโทรทัศน์เขาสาธิตให้เราเห็นนั่นแหละครับ จากชุมชนชาวเขาที่เคยมืดมิด การเข้ามาของเทคโนโลยีหลอดไฟฟ้าได้กลายมาเป็นช่องทางที่ช่วยขยายสัมผัสทางตาออกไป เด็ก ๆ ตัวน้อยจึงเห็นความสว่างไสวได้แม้แต่ในพื้นที่อับแสง เพราะฉะนั้น แม้หลอดไฟฟ้าจะดูเหมือนไม่มีอะไร หรือเป็นเพียงแค่วัตถุธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง แต่ทว่า วัตถุธรรมดาที่ไม่ธรรมดานี้กลับส่งผลกระทบอย่างมากต่อการรับรู้โลกรอบตัวของเด็กนักเรียนชาวเขากลุ่มดังกล่าว อย่างไรก็ดี คุณลุงแมคลูฮันยังได้ขยายความเอาไว้อีกด้วยว่า แล้วเมื่อการเห็นของมนุษย์เราได้เปลี่ยนไป จิตสำนึกและปัญญาของคนเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ในแง่นี้ หากเด็กนักเรียนต้องใช้ชีวิตอยู่แต่เฉพาะในห้องมืดที่ไร้แสงสว่าง แม้โลกรอบตัวของพวกเด็กๆ จะเป็นขุนเขาและป่ากว้าง แต่ทว่าโลกทัศน์ของพวกเขานั้นกลับจะไม่กว้างขวาง แต่มืดบอดไม่แตกต่างไปจากสภาพแวดล้อมของห้องเรียนที่พวกเขาสัมผัสอยู่ทุกวัน ตรงกันข้าม เมื่อเทคโนโลยีหลอดไฟฟ้าสมัยใหม่เข้ามาสู่ชุมชนขุนเขานั้น หากเทคโนโลยีคือช่องทางแห่งการขยายศักยภาพของมนุษย์ออกไป เมื่อแสงไฟฟ้าสว่างขึ้น ห้องที่เด็กนักเรียนใช้ชีวิตอยู่อย่างสว่างไสว ก็จะทำให้โลกทัศน์และชีวทัศน์ของเด็กๆ เหล่านั้น มีแนวโน้มจะขยับขยายออกไปกว้างไกลมากขึ้น หลอดไฟฟ้าจึงกลายมาเป็นช่องทางที่ทำให้มนุษย์เห็นโลกที่กว้างขึ้น และขยายศักยภาพของพวกเขาในการสร้างสรรค์ปัญญาและอารยธรรมทางสังคมให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป หรืออีกนัยหนึ่ง หลอดไฟฟ้าได้เปลี่ยนโลกที่เป็นอวิชชา ให้เป็นโลกที่เจริญปัญญาของมวลมนุษย์ โดยจุดยืนของผมนั้น แม้ด้านหนึ่งจะเห็นด้วยกับทัศนะของลุงแมคลูฮันที่ว่า เทคโนโลยีอย่างหลอดไฟฟ้านั้นมีคุณูปการอเนกอนันต์ต่อชีวิตของมนุษย์เรา แต่ผมก็มีคำถามตามมาบางประการกับการเข้ามาของเทคโนโลยีสมัยใหม่แบบนี้ แม้หลอดไฟฟ้าจะได้ชื่อว่าเป็นเครื่องมือแห่งการปลดปล่อยมนุษย์ออกจากความงมงายและอวิชชา และนำพามนุษยชาติให้บังเกิดความรู้ที่เป็น “แสงสว่างทางปัญญา” ก็ตาม แต่ความรู้ที่มากับแสงไฟนั้น บ่อยครั้งก็มักจะเป็นความรู้จากโลกภายนอก เพราะเมื่อเทคโนโลยีอย่างหลอดไฟเองก็เป็นศักยภาพที่มาจากคนนอก ดังนั้น วิชชาความรู้ที่แนบมาด้วยก็อาจจะมีไม่มากก็น้อยที่ไม่ได้เป็นอำนาจอันเกิดมาแต่คนในสังคมท้องถิ่นดั้งเดิมเอง นอกจากนี้ ไม่ใช่ว่าชุมชนแบบชาวเขาท้องถิ่นเขาจะไร้ซึ่งองค์ความรู้หรือปัญญาในการเข้าใจโลกแต่อย่างใด แต่ความรู้ที่เขามีอยู่นั้น อาจถูกตีความว่าเป็นความรู้ที่ล้าหลัง ไม่เป็นระบบ และไม่นำไปสู่การพัฒนาความเจริญก้าวหน้าแบบที่โลกทันสมัยเขากระทำกัน หรือเทียบเคียงง่าย ๆ ก็คือ ความรู้แบบนักเรียนชาวเขานั้น เป็นปัญญาที่ติดๆ ดับๆ เหมือนกับหลอดไฟที่ติดๆ ดับๆ จนไม่เอื้อให้เด็กนักเรียนเหล่านี้ได้ “ค้นพบประสบการณ์ใหม่ ๆ” แบบที่คนในอารยธรรมที่เจริญกว่าเขา “ค้นพบ” กันอยู่ทุกวัน ฉะนั้น ในขณะที่มนุษย์เรากำลังแหวกว่ายอยู่ในคลื่นอารยธรรมระลอกใหม่ ที่เปลี่ยนผ่านจากการก่อกองไฟมาเป็นเทคโนโลยีหลอดไฟฟ้าสมัยใหม่นั้น คำถามที่เรายังไม่ได้คำตอบก็คือ แล้วทุกครั้งที่เราเปิดสวิทช์หลอดไฟ ใครกันบ้างที่มีอำนาจในการผลักดันปัญญาและความรู้ของมนุษย์ในคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าเหล่านี้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 101 หูฟัง เงียบ ไม่เหงา

ฉลาดซื้อฉบับนี้เอาใจผู้รักความสงบแต่ชื่นชมในเสียงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดนตรี กีฬา หรือภาพยนตร์ เราขอนำเสนอผลการทดสอบหูฟังทั้งแบบมีสายและไร้สายที่ทำการทดสอบไว้โดยองค์กรทดสอบระหว่างประเทศ International Consumer Research and Testing ที่เราเป็นสมาชิก โดยมีหูฟังทั้งหมด 37 รุ่น (บางรุ่นมีขายที่เมืองไทยด้วย) ที่ราคาตั้งแต่ 790 – 9,000 บาท จากผลทดสอบนี้ทำให้ (คนในกอง บก.) เกิดความหวังว่าถึงเราจะมีงบประมาณไม่เกินหนึ่งพันบาทก็ยังพอมีลุ้นได้หูฟังที่คุณภาพดีพอใช้ แต่คุณผู้อ่านฉลาดซื้อที่มีงบมากกว่านั้นจะลองซื้อหาหูฟังที่ให้คุณภาพเสียงระดับเทพต้องอิจฉามาใช้ก็ไม่ว่ากัน       ข้อสังเกตจากเครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค หูฟังแบบไร้สายมีข้อเสียคือ กินไฟมาก และระยะในการรับสัญญาณไม่ไกล เมื่อเทียบกับหูฟังที่มีสาย จากผลการทดสอบเห็นได้ว่าหูฟังแบบไร้สายมีอัตราการกินไฟสูงมาก ในเรื่องของการกินไฟ ไม่ว่าจะใช้งานอยูใน Mode Standby ขณะชาร์จแบตเตอรี่ หรือ Mode การใช้งานจริง อัตราการกินไฟแทบจะไม่แตกต่างกันเลย เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการประหยัดไฟช่วยชาติและประหยัดเงินค่าไฟ เมื่อเลิกใช้งานควรดึงปลั๊กไฟของหูฟังออก ไม่ควรเสียบปลั๊กค้างไว้ตลอดเวลา ในยุคเศรษฐกิจอย่างนี้ เราอาจจะลองหันมาใช้หูฟังแบบมีสายบ้าง เพราะนอกจากจะได้เสียงที่มีคุณภาพดีแล้ว ยังสามารถประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย ถ้าดูตามผลการทดสอบนี้จะเห็นว่า คุณภาพเสียงของหูฟัง ยี่ห้อ beyerdynamic DTX 800 คุณภาพเสียงดีเลิศเหมือนกับ หูฟังของ Philips Cineos SHP 9000 และ หูฟังของ Sennheiser HD 555 แต่มีราคาถูกกว่าถึงเท่าตัว  นอกจากเรื่องของคุณภาพของเสียงที่ต้องคำนึงเป็นอันดับต้นๆ แล้ว ก่อนซื้อหูฟังเราควรทดสอบดูว่า เมื่อใส่หูฟังดังกล่าวแล้วสบายหูหรือไม่ หูฟังที่ดีไม่ควรกดทับใบหูจนเกินไป นอกจากนี้ สิ่งที่ควรระมัดระวัง คือ ไม่ควรใส่หูฟังเป็นเวลานานๆ เพราะการกดทับบริเวณใบหูนานๆ อาจทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก และใบหูเป็นอวัยวะที่ระบายความร้อนของร่างกาย อาจทำให้ความร้อนที่ใบหูระบายได้ไม่ดี ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่101 ชากับอะฟลาท็อกซิน

ทดสอบกองบรรณาธิการต้นชามีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Camellia Sinensis ชาวจีนโบราณกล่าวไว้ว่าชาเป็น 1 ใน 7 สิ่งสำคัญของชีวิต ตำนานที่คลาสสิกที่สุดของการกำเนิดชาคือเรื่องราวหม้อต้มน้ำของจักรพรรดิ เสินหนง (Shen Nung) ที่บังเอิญมีใบไม้หล่นลงไปทำให้น้ำในหม้อกลายเป็นสีน้ำตาลและมีกลิ่นหอมละมุน   ชาชิง (Cha Ching) หรือ ตำราชา ของ ลู่อวี่ ในสมัยราชวงศ์ถังทำให้เขากลายเป็นเทพแห่งชาของคนจีน และทำให้ชากลายเป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยความซับซ้อนในการเสพ ซึ่งเราอาจพบความพิถีพิถันและซับซ้อนนี้ได้ดีที่สุดในพิธีชงชาของชาวญี่ปุ่น อังกฤษคือผู้ที่ทำให้ชาแพร่หลายไปทั่วโลก และชนชั้นสูงของอังกฤษยังใช้การดื่มชาเป็นเครื่องหมายแห่งรสนิยมอันเลอเลิศ ชากลายเป็นความจำเป็นของคนอังกฤษและอาณานิคม โดยเฉพาะในอเมริกา ชากลายเป็นต้นเหตุของสงครามประกาศอิสรภาพ เชื่อกันว่าชาเข้ามาในไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่การปลูกชาเป็นอุตสาหกรรมเริ่มต้นขึ้นในปี 2480 ที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยบริษัท ใบชาตราภูเขา จำกัด ชานอกจากเป็นเครื่องดื่มระดับตำนาน เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าชา ทั้งชาดำและชาเขียวมีฤทธิ์ต้านมะเร็ง การดื่มชาเป็นประจำช่วยลดการเป็นมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ ได้ เช่น มะเร็งในกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ลำไส้เล็ก ปอด ผิวหนัง ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน และมะเร็งเต้านม ใบชาที่ได้มาตรฐาน สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม ได้กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ชา (มาตรฐานเลขที่ มผช. 120/2549) โดยสรุปคือ - ลักษณะต้องเป็นชิ้นหรือเป็นผงแห้ง ไม่จับตัวเป็นก้อน- สี ต้องเป็นสีธรรมชาติของชา (ไม่มีการเจือสี)- กลิ่นต้องมีกลิ่นที่ดีตามธรรมชาติ ไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์- ไม่มีสิ่งปลอมปน อย่างเส้นผม กรวด ดิน ทราย ฯลฯ - ความชื้นไม่เกินร้อยละ 8 โดยน้ำหนัก- ต้องไม่มีจุลินทรีย์เกินมาตรฐาน (ต้องน้อยกว่า 1x104 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร) - ยีสต์ รา ต้องไม่พบในตัวอย่าง ใบชาที่ชื้นและมียีสต์ รา จะก่อให้เกิดสารพิษ อะฟลาท็อกซิน ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ในขณะที่เชื้อจุลินทรีย์ทั่วไปอาจจะถูกทำลายโดยน้ำร้อนที่ใช้ชงได้ แต่ถ้าราหรือยีสต์เหล่านี้สร้างสารพิษอะฟลาท็อกซินขึ้น น้ำร้อนที่ใช้ชงก็ไม่สามารถทำลายสารพิษได้ “ฉลาดซื้อ” สุ่มเก็บตัวอย่างใบชายี่ห้อดังที่มีวางจำหน่ายทั่วไป หาซื้อได้ง่ายมาทดสอบหาปริมาณของอะฟลาท็อกซิน ซึ่งพบว่า ไม่มีชายี่ห้อใดที่พบการปนเปื้อนของสารอะฟลาท็อกซิน นับว่าเป็นเรื่องดีที่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีการผลิตที่ได้มาตรฐาน อย่างไรก็ตามเมื่อซื้อมาบริโภคควรเก็บในภาชนะที่ปิดสนิทเพื่อกันไม่ให้เกิดความชื้น เพราะความชื้นอาจทำให้เชื้อยีสต์รา สร้างสารพิษอะฟลาท็อกซินขึ้นมาได้ในภายหลัง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 101 โจ๊ก – ซุปกึ่งสำเร็จรูป อร่อยง่ายๆ แต่แฝงอันตราย

เรื่องทดสอบ กองบรรณาธิการ ชีวิตที่เร่งรีบ บีบคั้นทำให้บรรดาอาหารกึ่งสำเร็จรูปทั้งหลายทำมาค้าขายกันคึกคัก อย่างผลิตภัณฑ์ประเภทบะหมี่ โจ๊ก ข้าวต้ม และซุป ที่หาซื้อง่ายๆ จากชั้นวางในร้านค้าและซูเปอร์มาเก็ตทั่วไป ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ส่วนใหญ่มีส่วนประกอบหลักคือ แป้ง หรือคาร์โบไฮเดรต อาจจะมีสารอาหารประเภทอื่นๆ อย่าง โปรตีน วิตามิน หรือแร่ธาตุบางชนิดผสมอยู่บ้างเล็กน้อย ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. จะกำหนดให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต้องมีปริมาณโปรตีนไม่น้อยกว่าร้อยละ 8.5 ของน้ำหนัก ส่วนโจ๊กและข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูปกำหนดปริมาณโปรตีนไว้ที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 8 ของน้ำหนัก ซึ่งโปรตีนในอาหารกึ่งสำเร็จรูปส่วนใหญ่ก็จะมีอยู่ในเนื้อสัตว์อบแห้ง โปรตีนถั่วเหลืองและโปรตีนจากข้าว แต่ก็จัดว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากยิ่งเมื่อเปรียบเทียมกับปริมาณต่อการบริโภค 1 ซอง แต่ส่วนประกอบที่พบมากในบรรดาอาหารกึ่งสำเร็จรูปแทบทุกชนิดคือ เกลือหรือโซเดียม ที่มีอยู่ทั้งในรูปของผงชูรส และในผงปรุงรส ซึ่งมีส่วนทำให้รสชาติของอาหารกึ่งสำเร็จรูปมีรสชาติที่เข้มข้นอร่อยถูกปากถูกใจใครหลายๆ คน เรียกว่าทำก็ง่าย รับประทานก็สะดวก จึงไม่น่าแปลกใจที่อาหารกึ่งสำเร็จรูปจึงเป็นที่พึ่งพาเวลาหิวของใครหลายๆ คน แต่อย่ามัวเพลิดเพลินอยู่กับความอร่อย เพราะอันตราย! อาจจะถามหา โดยเฉพาะเจ้าโซเดียมที่มาพร้อมกับอาหารกึ่งสำเร็จรูปนั้นมีมากเกินไปโซเดียมพอๆ กับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป“ฉลาดซื้อ” เราเคยทดสอบเรื่องความเสี่ยงของปริมาณโซเดียมในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาแล้ว (ฉบับที่ 68 สิงหาคม – กันยายน 2548) ซึ่งผลที่ออกมาก็ต้องชวนให้ผู้นิยมรับประทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต้องตกใจ เพราะเราพบปริมาณโซเดียมในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสูงมากกว่าร้อยละ 50 – 100 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ระบุไว้ในบัญชีสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคประจำวันสำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ว่าปริมาณโซเดียมที่เหมาะสมคือ ไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน) คราวนี้เราออกตามล่าหาโซเดียมในอาหารกึ่งสำเร็จรูปอีกครั้ง โดยเป้าหมายของเราคือ โจ๊ก ข้าวต้ม และซุปกึ่งสำเร็จรูป แม้ความนิยมในการเลือกซื้อหามารับประทานของผู้บริโภคยังไม่สูงเทียบเท่ากับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่อาหารกึ่งสำเร็จรูปกลุ่มนี้ก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มของโจ๊กและข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูป ที่มีทั้งแบบที่แค่ใส่น้ำร้อนก็สามารถรับประทานได้ กับแบบที่ต้องนำไปต้มกับน้ำร้อนก่อน ซึ่งปัจจัยที่ทำให้โจ๊กและข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูปขยายตัวเพิ่มมากขึ้นก็มาจากพฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป พฤติกรรมการกินเน้นไปที่ความสะดวกรวดเร็ว ไม่ค่อยได้คำนึงถึงเรื่องสุขภาพมากนัก รวมทั้งผู้ผลิตเองก็ผลิตตัวสินค้ารสชาติใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคตลอดเวลาส่วนซุปกึ่งสำเร็จรูปแม้ยังไม่ได้รับความสนใจมากในตลาด เนื่องจากซุปไม่ใช่อาหารหลักของคนไทย ยังมีการบริโภคอยู่ในวงจำกัดเฉพาะผู้มีรายได้สูงและในร้านอาหารต่างประเทศเท่านั้น จึงทำให้ยังไม่มีผู้ผลิตรายใดที่ลงมือทำตลาดกับผลิตภัณฑ์ชนิดนี้อย่างจริงจัง และซุปกึ่งสำเร็จรูปส่วนมากจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ทำให้มีราคาค่อนข้างสูง แต่ในอนาคตข้างหน้ามีแนวโน้มที่ตลาดจะขยายตัวขึ้น ตามพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป บวกกับกระแสการบริโภคอาหารตะวันตกซึ่งรวมถึงอาหารจากเกาหลีและญี่ปุ่นซึ่งมีซุปเป็นอาหารเป็นหลักกำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆไม่ว่าคุณจะชอบกินโจ๊ก ข้าวต้ม และซุปกึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารเช้า หรืออาจเลือกเป็นอาหารอ่อนๆ สำหรับเวลาเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเลือกอย่างไร อย่าลืมว่าความอร่อยแบบง่ายๆ อาจเป็นภัยร้ายที่แฝงมากับอันตรายจากโซเดียมสูงผลทดสอบปริมาณโซเดียมโจ๊ก ข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูป- คนอร์ โจ๊กต้มรสหมู (โซเดียมที่ทดสอบพบ 1949 มก./น้ำหนัก 70 ก), ม่ามา ข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูปรสหมู (1569 มก./50 ก.), ม่ามา โจ๊กกึ่งสำเร็จรูปรสหมู (1364 มก./50 ก.) และ เกษตร โจ๊กรสหมู (1132.6 มก./42 ก.) ทดสอบพบว่ามีปริมาณโซเดียมต่อซองมากที่สุดตามลำดับ ซึ่ง คนอร์ โจ๊กต้มรสหมู ระบุว่าสำหรับ 4-5 ที่, ม่ามา ข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูปรสหมู ระบุว่าสำหรับ 2 ที่, ม่ามา โจ๊กกึ่งสำเร็จรูปรสหมู ระบุว่าสำหรับ 3-4 ที่ ขณะที่ เกษตร โจ๊กรสหมู ไม่ได้ระบุ ซึ่งเมื่อคำนวณตามจำนวนเสิร์ฟต่อ 1 ที่จะพบว่า เกษตร โจ๊กรสหมู มีมากที่สุด (1132.6 มก.) รองลงมาคือ ม่ามา ข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูปรสหมู (784.5 มก.), คนอร์ โจ๊กต้มรสหมู (389.8 มก.) และ ม่ามา โจ๊กกึ่งสำเร็จรูปรสหมู (341 มก.)- ลูกเต๋า ข้าว 7 นาที และ ลูกเต๋า ข้าวตุ๋นผสมฟักทอง ทดสอบพบโซเดียมในปริมาณที่น้อย เพราะลักษณะของข้าวตุ๋นที่เป็นข้าวบดอบแห้ง ไม่มีการผสมเครื่องปรุงรสใดๆ ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่อยากเลือกปรุงรสด้วยตัวเอง เพื่อเป็นการควบคุมปริมาณโซเดียมไม่ให้มีมากเกินไป- ลูกเต๋า โจ๊กข้าวกล้องหอมมะลิ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิต ลูกเต๋า ข้าว 7 นาที และ ลูกเต๋า ข้าวตุ๋นผสมฟักทอง ซึ่งก็ทดสอบพบปริมาณโซเดียมในระดับที่ค่อนข้างน้อยเช่นเดียวกัน แม้จะใช้ชื่อว่าโจ๊กแต่เชื่อว่ามีกรรมวิธีแบบเดียวกับข้าวตุ๋น คือ ไม่มีการผสมเครื่องปรุงรสใดๆ ซึ่งวิธีทำด้านหลังซองเองก็ระบุไว้ชัดเจนว่าเมื่อต้มข้าวเสร็จแล้วให้เติมเครื่องปรุงตามชอบใจ และอีกเหตุผลที่ทำให้ ลูกเต๋า ข้าว 7 นาที, ลูกเต๋า ข้าวตุ๋นผสมฟักทอง และ ลูกเต๋า โจ๊กข้าวกล้องหอมมะลิ มีปริมาณโซเดียมน้อยน่าจะมาจากทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ ไม่ใส่ผงชูรส ตามที่ระบุไว้บนซองซุป กึ่งสำเร็จรูป ในกลุ่มของซุปกึ่งสำเร็จรูปทั้ง 3 ยี่ห้อ คือ โวโน ซุปครีมรสเห็ดพร้อมขนมปังกรอบกึ่งสำเร็จรูป, เลดี้แอนนา ซุปครีมเห็ดกึ่งสำเร็จรูป และ แคมเบล์ ซุปข้าวโพดกึ่งสำเร็จรูป ทดสอบพบปริมาณโซเดียมอยู่ในเกณฑ์ที่ใกล้เคียงกัน คือ 465.3 มก., 574.6 มก. และ 619.7 ตามลำดับ แคมเบล์ ซุปข้าวโพดกึ่งสำเร็จรูป เป็นผลิตภัณฑ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ข้อมูลทั้งหมดบนกล่องเป็นภาษาอังกฤษ ยกเว้นเพียงส่วนประกอบสำคัญที่ระบุไว้ว่า ข้าวโพด 20% ครีม 25% และน้ำตาล 10%, ที่อยู่ผู้ผลิตและผู้นำเข้า น้ำหนักสุทธิ และเครื่องหมายรับรองของ อย.ข้อสังเกต1. แม้โจ๊กและข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูปทุกยี่ห้อที่นำมาทดสอบ จะมีการระบุข้อมูลว่า ควรเติม เนื้อสัตว์ ไข่ หรือผัก เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหาร ไว้บนซอง แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกจัดวางอยู่ในบริเวณที่มองไม่ค่อยเห็นและมีขนาดเล็ก เช่น ม่ามา โจ๊กกึ่งสำเร็จรูปรสหมู และ ม่ามา ข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูปรสหมู ที่ตัวอักษรข้อความที่มีขนาดเล็กและกลืนไปกับสีพื้นหลังของซองยากต่อการสังเกต2. ลูกเต๋า โจ๊กข้าวกล้องหอมมะลิ มีปริมาณโปรตีนไม่ผ่านเกณฑ์ตามที่ อย. กำหนดไว้ (ร้อยละ 8 ของน้ำหนัก) โดยพิจารณาจากข้อมูลโภชนาการที่ให้ไว้บนซองผลิตภัณฑ์ คือ ลูกเต๋า โจ๊กข้าวกล้องหอมมะลิ โปรตีน 3 ก./น้ำหนัก 40 ก. คิดเป็นร้อยละ 7.5 ต่อน้ำหนัก     โจ๊กและข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูป - คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากข้าวสารบดที่ผ่านกรรมวิธีทำความสะอาดและอบเพื่อลดความชื้น พร้อมกับทำลายเชื้อจุลลินทรีย์บางชนิด ส่วนใหญ่มักนิยมเติมส่วนผสมจากธรรมชาติชนิดอื่นๆ ลงไป เพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารและเป็นจุดขายเพื่อดึงความสนใจจากผู้บริโภค ซึ่งส่วนผสมอื่นๆ ที่เพิ่มลงไปได้แก่ แป้งถั่วเหลือง ฟักทอง แครอท สาหร่าย หรือธัญพืชนานาชนิด นอกจากนี้ยังมีการเติมเครื่องปรุงรสหรือเนื้อสัตว์อบแห้งเพิ่มลงไป เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็วในการปรุง และเพิ่มรสชาติให้ชวนรับประทานข้าวตุ๋น – คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากข้าวสารบด แบบเดียวกับ โจ๊กและข้าวต้มกึ่งสำเร็จรูป เพียงแต่ไม่มีการปรุงแต่งหรือใส่เครื่องปรุงรสเพิ่มเติมซุปกึ่งสำเร็จรูป – คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากเนื้อสัตว์หรือพืช เช่น ผัก ถั่ว เต้าหู้ ธัญพืช ผสมเข้ากับเครื่องปรุงรส หรืออาจเพิ่มเติมด้วยส่วนประกอบอื่นๆ เช่น แป้ง เส้นบะหมี่ แล้วนำมาผ่านกรรมวิธีทำให้แห้งหรือใช้ส่วนประกอบที่ทำให้แห้งแล้วนำมาผสมกัน โดยยังคงรักษาคุณภาพและกลิ่นรสของส่วนประกอบไว้ โซเดียม เป็นสารอาหารในกลุ่มเกลือแร่ที่ให้ประโยชน์กับร่างกาย แต่หากร่างกายได้รับปริมาณโซเดียมมากเกินไป ก็ส่งผลร้ายกลับมาด้วยเช่นกัน ซึ่ง อย. กำหนดไว้ว่าไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวันโซเดียมกับผลกระทบต่อไตไต ทำหน้าที่ปรับโซเดียมให้กับร่างกาย รักษาปริมาณโซเดียมไว้ใช้ในเวลาที่ร่างกายต้องการหรือขาดโซเดียม รวมทั้งขับโซเดียมที่มากเกินไปออกจากร่างกายออกทางปัสสาวะและเหงื่อ ซึ่งทั้งหมดอยู่ในเงื่อนไขที่ว่าไตอยู่สภาพที่ทำงานได้เป็นปกติ แต่หากไตเสื่อมสมรรถภาพหรือทำงานผิดปกติ ผลเสียจากการที่ได้รับโซเดียมมากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราได้ทันที เมื่อไตไม่สามารถขับโซเดียมส่วนเกินออกไปได้ จะทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ระดับเลือดในร่างกายสูงขึ้นด้วย ทำให้เลือดต้องวิ่งผ่านไปยังเส้นเลือดมากขึ้น เกิดเป็นความดันโลหิตสูง หัวใจทำงานหนักเพราะต้องสูบฉีดเลือดเพิ่มขึ้น เป็นผลทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ อัมพฤกษ์ หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นหัวใจวาย ผู้ป่วยโรคไตและโรคอื่นๆ ดังที่กล่าวมาจึงจำเป็นต้องใส่ใจระมัดระวังในการเลือกรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของโซเดียมเป็นอย่างมากเพื่อความปลอดภัยต่อร่างกาย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 101 เจ้าพ่อศัลยกรรม

ทุกคนมีสิทธิ ชนิษฎา วิริยะประสาท - สัมภาษณ์สุมาลี พะสิม- เรียบเรียง / ถ่ายภาพ   เกิดปัญหาลุกขึ้นมาครับ อย่าเงียบการลุกขึ้นมาใช้สิทธิในฐานะที่เขาเป็นผู้บริโภคคนหนึ่งนั้น เขาให้ความเห็นว่าถ้าหากเกิดเรื่องแล้วเขาเงียบ ทุกอย่างคงจะจบแบบเจ็บปวด แต่การลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของเขาก็ใช่ว่าเขาเป็นคนก้าวร้าว เพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนผิด เพียงแต่ว่าถ้าหากมีการพูดคุย ตกลงกันทั้ง 2 ฝ่ายได้ เรื่องก็สามารถจะจบลงด้วยดีได้ เรื่องนี้หากเกิดกับคนทั่วไปที่ไปทำศัลยกรรมแล้วโชคร้ายเกิดมีความผิดพลาดขึ้นมา อย่านิ่งเงียบควรออกมาใช้สิทธิเรียกร้องแบบเดียวกับที่วรวิทย์ทำ “คือเราก็สงสารหมอนะ ผมพูดเป็นกลางๆ ทั่วๆ ไปนะ เพราะหมอเองก็คงไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้น คงไม่มีหมอคนไหนที่อยากให้เกิดขึ้น เพราะหมอก็คงทำตามระบบที่เขาวางไว้ พอเกิดเรื่องขึ้นหมอกับคนไข้ก็ต้องคุยกัน ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร” สวย – หล่อ แบบเสี่ยงๆด้วยความที่วรวิทย์คลุกคลีในวงการ ”ศัลยกรรม” มานาน ทั้งประสบการณ์ตรง ทั้งจากการรับรู้จากเพื่อนๆ และด้วยความที่เขามีเพื่อนที่ประกอบธุรกิจเหล่านี้ด้วย เขาจึงสามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่า การที่จะสวย หล่อ ด้วยมีดด้วยเข็มนั้น นอกจากจะแพงแล้วยังต้องยอมรับเรื่องความเสี่ยงด้วยเช่นกัน “เดี๋ยวนี้มีพวกหลอกนะ คือบอกว่าฉีดสารนี้ แต่กลับไปฉีดสารอีกอย่างหนึ่งให้คนไข้แทน แบบนี้ผมไม่ชอบมากๆ เพราะเพื่อนรุ่นน้องเคยพบมา อย่างบอกว่าจะฉีดคลอลาเจน แต่กลับไปฉีดซิลิโคนเหลวให้แทน อ้าว…คือพวกเราน่ะ คนทั่วไปน่ะ ไม่รู้หรอกว่าไอ้สารที่อยู่ในหลอดตอนฉีดคืออะไร เขาเข้าไปเตรียมเครื่องมือด้านหลังแล้วค่อยออกมาหาเรา เพราะฉะนั้นก็ต้องระวังพวกหลอกให้มากๆ ” นอกจากเรื่องหลอกแล้ว เรื่อง “ยาปลอม” ก็มีเยอะโดยเขายกตัวอย่างโบท็อกซ์ขึ้นมาเป็นตัวอย่างว่ามีการนำเข้ามาจากหลายประเทศทั้งจากเวียดนาม จากจีน ซึ่งวรวิทย์บอกว่า “ปลอมทั้งนั้น แล้วยังแพงอีก” “การฉีดโบท็อกซ์ต่ำสุดก็หลักหมื่นขึ้น ซึ่งราคาก็แตกต่างกันไปตามเกรดของผลิตภัณฑ์ คือก็ต้องเสี่ยงเอาอีกนั่นแหละ ที่ถามว่าควรจะมีหน่วยงานหรือมาตรการอะไรที่จะออกมาควบคุมให้ผู้บริโภคปลอดภัย ตามความเห็นผมนะ ผมว่ายาก อย่างกระทรวงสาธารณสุขที่ดูแลอยู่ ผมว่ามันหละหลวม คลินิกเถื่อนเพียบ บางแห่งเปิดในคอนโดก็มี แล้วคนฉีดก็ไม่ได้เป็นหมอ แค่เป็นพยาบาลก็ฉีดได้แล้วเพียงแค่รู้ตัวยาแค่นั้นก็ฉีดได้แล้ว ผมว่าทางที่ดีที่สุดก็อยู่ที่ตัวของคนทำเองหรือผู้บริโภคนั่นแหละ ที่จะต้องหาความรู้ก่อนที่จะทำศัลยกรรมเพราะว่าถึงแม้จะเจอหมอดีก็ตามนะครับ แต่ว่าการทำศัลยกรรมมีความเสี่ยง 50 : 50 ครับ ต้องคิดให้ดีก่อนจะตัดสินใจทำ เพราะบางทีเราก็ไปโทษหมอไม่ได้ เพราะสภาพร่างกายของคนเรามันก็ต่างกัน อย่างรุ่นน้อง 2 คนไปทำจมูก อีกคนออกสวย อีกคนออกมาดูไม่ดี ผมเลยอยากบอกไว้เลยนะว่า ถ้าใครที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วกำลังคิดที่จะทำศัลยกรรมอยู่ ให้ทำใจไว้ได้เลยว่าคุณต้องเสี่ยง 50 : 50 ต้องเตรียมใจพร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าดีก็ดีใจ ถ้ามันออกมาไม่ดีก็ต้องทำใจ” ควรทำบุญก่อนทำศัลยกรรมวรวิทย์จะพูดติดตลกเสมอ เวลามีคนโทรมาหาเขาว่าควรจะทำอย่างไรบ้างก่อนจะทำศัลยกรรมอะไรสักอย่าง ซึ่งคนทั่วไปก็จะแนะนำว่าให้เลือกคลินิกที่ไว้ใจได้ หมอที่มีชื่อเสียง แต่สำหรับเขาแล้ว เขาไม่ได้แนะนำอะไรมากนักก็แค่ “ทำบุญไว้เยอะๆ” “อาจจะไปนั่งวิปัสสนาสัก 10 วันแล้วค่อยกลับมาทำก็ได้ คือมันขึ้นอยู่กับดวงจริงๆ คือมีดอยู่ในมือหมอ ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะวาดหน้าคุณเป็นรูปอะไร การทำศัลยกรรมในความหมายของผมก็คือการที่หมอใช้มีดในมือวาดหน้าเราขึ้นมาใหม่น่ะ ไม่ต้องไปทำหรอกศัลยกรรมเกาหลีอะไรนั่นน่ะ จริงๆ คนไทยหน้าตาธรรมชาติสวยมากกว่าไม่สวย ส่วนคนเกาหลี 10 คน ทำศัลยกรรมกันหมดเพราะมันสวยไม่พอในความคิดของพวกเขา แต่ช่วงเด็กวัยรุ่นพ่อแม่เขายังไม่ให้ทำนะ ส่วนเรียนจบแล้วเป็นอีกเรื่องว่าจะทำหรือเปล่า ให้คิดเองแล้วกัน ซึ่งถ้าวัยรุ่นบ้านเราอยากจะทำก็อาจจะใช้แนวคิดข้อนี้ก็ได้ แต่ก็อย่างที่บอกต้องทำใจยอมรับสิ่งที่ตามมาให้ได้และฝากถึงคนที่ทำตา ทำมาแล้วห้ามแก้เลยนะ ถ้าไปแก้แล้วจะพัง และบางคนธรรมชาติก็ดูดีอยู่แล้วอย่าไปหาเรื่องเลย” ประสบการณ์ขาวสั่งได้นอกจากเรื่องศัลยกรรม เรื่องผิวขาวสั่งได้ก็เป็นอีกประสบการณ์ของ วรวิทย์ เพราะเขาเองก็เคยฉีดสารกลูตาไธโอนเช่นกัน “คือต้องทำความเข้าใจก่อนนะ ที่ผมรู้มาก็คือว่า กลูตาไธโอน เขาจะฉีดให้คนที่เป็นมะเร็งตับ คือสารตัวนี้มันจะไปดีท็อกซ์ตับ ขับสารพิษออกมาแล้วทำให้ตับเราทำงานได้ดีขึ้นแล้วพอตับทำงานดีขึ้น ร่างกายของเราก็ดีขึ้นแล้วผลที่ส่งออกมาก็คือทำให้ผิวดูผ่องขึ้นเพราะสุขภาพดีขึ้น แต่อย่าไปฉีดเยอะมันจะให้เป็นมะเร็งผิวหนัง แล้วถ้าฉีดมากเกินไปอีกก็จะส่งผลต่อตาทำให้ตาเราสู้แสงไม่ได้ และมันก็ขาวไม่นานครับ ต้องฉีดซ้ำ ผมว่าอย่าไปทำเลยครับ “อันตราย” ฝากถึงคนที่ต้องการทำศัลยกรรมในฐานะ เจ้าพ่อศัลยกรรม วรวิทย์ฝากถึงคนที่ต้องการทำศัลยกรรมว่า “ความคิดของผมนะ คนที่อยากทำศัลยกรรม ควรไตร่ตรองให้รอบคอบ คิดให้ดี ให้ตกว่า เป็นสิ่งที่เราต้องการทำจริงๆ จำเป็นจริงๆ ไม่ใช่ตามกระแส และต้องทำใจล่วงหน้าด้วยนะ ว่ามันมีความเสี่ยงอย่างที่บอกไปคือ ห้าสิบ ห้าสิบ อีกอย่างมันก็เป็นบริการที่แพง ถ้าคิดรอบคอบแล้วว่าอยากทำ ยอมรับผลที่เกิดขึ้นได้ ก็อย่าไปเห็นกับของถูก ของถูกส่วนมากจะเถื่อน บริการแบบที่ดีๆ มีราคาค่าใช้จ่ายสูงครับ หากไม่มีเงินก็ค่อยๆ เก็บเงิน และถ้าจะทำจริงๆ ล่ะก็ทำที่โรงพยาบาลจะดีกว่ามันแพงก็จริง แต่ถ้าเสียหายขึ้นมาทีมหมอพยาบาลอะไรก็พร้อมกว่า แล้วในการเจรจาเราก็น่าจะได้รับการชดเชยเยียวยามากกว่าคลินิก”   ฉลาดซื้อฉบับนี้มีโอกาสไปจับเข่าคุยกับ คุณวรวิทย์ แก้วเพ็ชร์ หรือใครหลายๆ คนรู้จักเขาในนาม “นายลอย” จากละครดัง “แรมพิศวาส” ซึ่งปรากฏเป็นข่าวดังขึ้นมา เมื่อเขาประสบปัญหาจากการเข้ารับบริการทางการแพทย์ในคลินิกที่เกี่ยวกับความงามแห่งหนึ่ง วันนี้คดีจบลงแล้ว แต่ที่เราอยากนำเสนอคือ มุมมองของการทำศัลยกรรมจากคนในวงการบันเทิงว่า สำหรับพวกเขาแล้วมันมีจำเป็นแค่ไหน และอะไรคือ ความเสี่ยง ที่เขาได้เผชิญมา ลองสัมผัสมุมมองของเขาในฐานะคนในวงการบันเทิงด้วยกันนะคะ เจ้าพ่อศัลยกรรม“ตั้งแต่เกิดเรื่องมา เวลาใครจะไปทำอะไรก็มักจะโทรมาปรึกษาผมก่อน เลยกลายเป็น ‘เจ้าพ่อศัลยกรรม’ ไปเลย ความจริงผมเคยฉีด (โบท็อกซ์) มาก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เพิ่งมาฉีด แต่พอย้ายสถานที่ปุ๊บก็….นะ” วรวิทย์กลายเป็นเจ้าพ่อศัลยกรรมโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งเขาเองก็ได้ให้คำปรึกษาเพื่อนๆ อย่างดีนั่นเพราะเขาเองก็สนใจในเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว ว่างก็หาหนังสือมาอ่าน ที่สำคัญเขาเองก็เป็นคนรักสุขภาพและผ่านการทำศัลยกรรมมาหลายครั้งแล้วเช่นกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

นิตยสารออนไลน์ ฉบับที่ 101 เสียงผู้บริโภค

เสียงผู้บริโภคศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค แบงค์จ่ายเงินให้เช็คปลอม ขอรับผิดครึ่งเดียวอ่านเรื่องนี้แล้วคุณคงนึกถึงนิทานเรื่อง “ชาวนากับงูเห่า” คุณโส่ยเป็นผู้มีอันจะกิน ได้รับเลี้ยงเด็กชายคนหนึ่งไว้เป็นลูกบุญธรรมเลี้ยงจนโตเป็นหนุ่ม เฝ้าฟูมฟักรักถนอมและให้ความไว้วางใจเหมือนลูกในไส้ แต่บุญคุณที่ให้ไปกับลูกบุญธรรมดูเหมือนน้ำที่เติมลงในถังที่มีรูรั่วเต็มไปหมด เติมเท่าไหร่ไม่เคยพอ จนสร้างความทุกข์ใจให้คุณโส่ยและครอบครัวตลอดมา    ท้ายสุดของจุดแตกหักที่คุณโส่ยไม่อาจให้อภัยได้ เมื่อรู้ว่าลูกบุญธรรมแอบย่องเบาเข้าไปในห้องนอนและไปเปิดลิ้นชักลักขโมยเช็คเปล่าของคุณโส่ยออกไปทีละฉบับๆ หายไปถึง 31 ฉบับ ช่างมีความอุตสาหะกระทำการย่องเบาขยันลักเช็คทั้งกลางวันและกลางคืนในช่วงที่ไม่มีคนอยู่ เมื่อคุณโส่ยไปตรวจสอบเงินในบัญชีที่ฝากไว้กับธนาคารกสิกรไทย สาขาสมุทรสาคร พบว่ามีเงินหายไปจำนวนมาก หลายกรรม หลายวาระ ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2551ส่วนใหญ่จะหายไปครั้งละ 20,000-30,000 บาท ทุกครั้งล้วนเป็นฝีมือของเจ้าลูกเนรคุณทั้งสิ้น โดยเป็นผู้สวมลายมือปลอมลายเซ็นของคุณโส่ยสั่งจ่ายเงินตามตัวเลขที่กรอกเอาตามอำเภอใจแล้วนำไปขึ้นเงินกับพนักงานของธนาคาร เมื่อคุณโส่ยเห็นลายเซ็นไม่ได้มีความเหมือนกับลายเซ็นของตัวเอง ก็เฝ้าถามธนาคารว่าปล่อยเงินออกไปได้อย่างไรถึง 20 ฉบับเป็นเงินกว่า 710,000 บาท นี่หากรู้ความจริงช้ากว่านี้คุณโส่ยอาจต้องสูญเงินเพิ่มอีกหลายแสนแน่เพราะยังมีเช็คที่ถูกลักไปเหลืออยู่ในมือลูกเนรคุณอีก 11 ฉบับ คุณโส่ยทั้งช้ำทั้งแค้นเมื่อรู้ความจริง จึงไล่ลูกเนรคุณออกจากบ้านและแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ตำรวจได้ออกหมายจับและสามารถติดตามจับกุมนำตัวลูกบุญธรรมคนนี้มาขึ้นศาลได้ และศาลได้พิพากษาให้ต้องรับโทษจำคุกถึง 22 ปีฐานความผิดปลอมเอกสาร ความผิดใช้เอกสารปลอมและความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน แต่เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพศาลจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 11 ปี และให้ชดใช้ราคาเช็ค 20 ใบเป็นเงิน 300 บาทแก่ผู้เสียหาย ถือเป็นคดีลักทรัพย์เล็ก ๆ แต่โทษสูงมากทีเดียวครับแต่เรื่องนี้ยังไม่จบครับเพราะเงินในบัญชีกว่า 7 แสนบาทที่หายไปจะทำอย่างไร ใครควรรับผิดชอบ ตัวคุณโส่ยหรือธนาคาร แนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วครับซึ่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาออกมาเป็นแนวไว้ตามฎีกาที่ 6280/2538 ว่า จำเลยประกอบธุรกิจธนาคาร การจ่ายเงินตามเช็คที่มีผู้มาขอเบิกเงินเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งของจำเลยซึ่งต้องปฎิบัติอยู่เป็นประจำ จำเลยย่อมมีความชำนาญในการตรวจสอบลายมือชื่อในเช็คว่าเป็นลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายหรือไม่ยิ่งกว่าบุคคลธรรมดา ทั้งจำเลยจะต้องมีความระมัดระวังในการจ่ายเงินตามเช็คยิ่งกว่าวิญญูชนทั่วๆ ไป การที่จำเลยจ่ายเงินตามเช็คพิพาทให้แก่ผู้นำมาเรียกเก็บเงินไปโดยที่ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่ใช่ลายมือชื่อโจทก์ ทั้งที่มีตัวอย่างลายมือชื่อโจทก์ที่ให้ไว้แก่จำเลยกับมีเช็คอีกหลายฉบับที่โจทก์เคยสั่งจ่ายไว้อยู่ที่จำเลย จึงเป็นการขาดความระมัดระวังของจำเลย เป็นการกระทำละเมิดและผิดสัญญาฝากทรัพย์ต่อโจทก์ จำเลยจะยกข้อตกลงยกเว้นความรับผิดตามที่ระบุไว้ในคำขอเปิดบัญชีกระแสรายวันมาอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ ตามแนวฎีกานี้มูลนิธิฯ จึงได้ทำจดหมายเรียกร้องต่อธนาคารเพื่อให้แสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้ประกอบธุรกิจที่ดีที่มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคก่อนเป็นเบื้องต้น หากมามุขปฏิเสธหรือประวิงเวลาผู้บริโภครายนี้สามารถฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคเรียกค่าเสียหายต่อไปได้ครับ อพาร์ตเม้นท์อมเงินประกันคุณเจนรวี เป็นนักศึกษาของสถาบันราชภัฏจันทรเกษม ปีสุดท้าย เข้าทำสัญญาขอเช่าห้องพักกับเอกอาทิตย์อพาร์ตเม้นท์เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2551และสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 1 มีนาคม 2552 ก็เหมือนกับนักศึกษาที่กำลังเดินหาหอพักทั่วไปล่ะครับไม่ค่อยได้อ่านสัญญากันหรอก เห็นมีห้องว่างให้เช่า ราคาห้องไม่แพงพอสู้ไหว ทิศทางลม ทำเล ความสะดวกปลอดภัยเหมาะสม มีเงินค่าเช่าห้องล่วงหน้าพร้อมเงินประกันก็คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรตกลงเซ็นสัญญาไป มันก็แค่เรื่องเช่าห้องพัก ... “ก็เห็นว่าเป็นสัญญาเช่าแค่ปีเดียวค่ะ กะว่าจะเช่าแค่นั้น พอครบปีเราเรียนจบรับปริญญาพอดี พอถึงตอนนั้นก็ไปขอคืนห้อง เอาเงินประกันคืนคงไม่มีอะไรวุ่นวาย วางเงินประกันไว้ 5,000 บาทค่ะ” คุณเจนรวีให้ข้อมูล ล่วงมาถึงเดือนกันยายน 2551 อพาร์ตเม้นท์แห่งนี้ได้ติดตั้งเคเบิลทีวีบริการให้กับผู้เช่าพักอาศัย โดยจะคิดค่าบริการเพิ่มจากค่าห้องอีกเดือนละ 200 บาท และได้จัดโปรโมชั่นให้ชมฟรี 4 เดือนแรกก่อนคิดค่าบริการจริง ๆ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป แต่หากผู้เช่าห้องรายใดมาทำการต่อสัญญาใหม่เพื่อยืนยันการเช่าพักอาศัยต่อ ทางอาร์ตเม้นท์จะยกเว้นค่าบริการเคเบิ้ลให้ตลอดอายุสัญญาฉบับใหม่รวมระยะเวลา 1 ปี คุณเจนระวีเล่าว่าตอนที่ผู้ดูแลอพาร์ตเม้นท์มาแจ้งรายละเอียดของโปรโมชั่นนี้ ตอนนั้นกำลังวุ่นอยู่กับการขยำขยี้เสื้อผ้าอยู่หลังห้องพอดี “เขาบอกว่าให้เอาสัญญาเช่าห้องมาให้เขา แล้วจะได้ส่วนลดค่าเคเบิ้ลทีวีเดือนละ 200 บาท เราอยากได้ก็เลยส่งสัญญาให้เขาไป หายไปสักอาทิตย์หนึ่งเขาก็เอาสัญญามาคืนให้ตอนนั้นจำไม่ได้ค่ะว่าเราได้เซ็นลายมือชื่ออะไรเพิ่มเติมไปหรือเปล่า และไม่ได้เอะใจหรอกค่ะว่ามีการแก้ไขวันเริ่มสัญญาเช่าห้องกันใหม่ ตอนที่รับสัญญาคืนเขาก็มาตอนที่เรากำลังซักผ้าอยู่พอดี” พอถึงเดือนกุมภาพันธ์จึงได้ไปติดต่อขอคืนห้องล่วงหน้าก่อนหมดสัญญาและขอคืนเงินประกันจำนวน 5,000 บาท แต่ทางอพาร์ตเม้นท์แจ้งว่าจะไม่คืนเงินประกันให้เนื่องจากคุณเจนรวีแจ้งการย้ายออกผิดเงื่อนไขเนื่องจากพักอาศัยยังไม่ครบ 12 เดือน “เราก็เถียงเขาใหญ่เลยค่ะว่าเราอยู่มาตั้งแต่เดือนมีนาคมปีที่แล้ว จะออกในเดือนมีนาคมปีนี้ทำไมถึงไม่ครบ 12 เดือน แต่พอเขาให้เราเอาสัญญาขึ้นมาดูก็ตกใจค่ะ เพราะสัญญาที่เราถือไว้มันถูกแก้ไขวันเริ่มสัญญาใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม 2552 ซึ่งก็มีลายเซ็นของเราลงไว้เรียบร้อยเลย ตอนที่เราอยากได้เคเบิ้ลฟรี” คุณเจนรวีพยายามเจรจาต่อรองต่างๆ นานาแต่ท้ายที่สุดทางอพาร์ทเมนท์ยืนกระต่ายขาเดียว ให้คุณเจนรวีจ่ายค่าห้องและค่าใช้จ่ายที่ค้างอยู่ ส่วนเงินประกันขอยึด เมื่อไม่มีทางออกสุดท้ายจึงต้องมาร้องเรียนกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนวทางแก้ไขปัญหาสาระสำคัญของสัญญาที่อพาร์ทเม้นท์ทำกับคุณเจนรวีและใช้เป็นเหตุในการริบเงินมัดจำได้กำหนดไว้ว่า ระยะเวลาการเช่าต้องไม่น้อยกว่า 12 เดือน ถ้าผู้เช่าบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนด ผู้ให้เช่าสามารถริบเงินที่ชำระไว้ทั้งหมด โดยผู้เช่าไม่มีสิทธิโต้แย้งหรือเรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้น ในส่วนของเงินค่าประกันห้องนั้นได้กำหนดว่า เงินค่าประกันห้องที่เหลือจากการหักค่าทำความเสียหายแล้ว จะคืนให้หลังจากที่ผู้เช่าได้ย้ายออกจากหอพักเป็นเวลา 30 วัน ....ซึ่งสัญญาลักษณะนี้หอพัก หรืออพาร์ทเม้นท์หลายแห่งได้ถ่ายแบบใช้เป็นเงื่อนไขเพื่องับเงินมัดจำค่าห้องของเด็กนักศึกษาจำนวนมาก แต่เรื่องนี้มีทางออกครับ เนื่องจากคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาซึ่งอยู่ภายใต้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้ประกาศให้ธุรกิจการให้เช่าที่อยู่อาศัยที่เรียกเงินประกันเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน ประกาศนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 ดังนั้นสัญญาที่คุณเจนรวีทำใหม่กับอพาร์ตเม้นท์เมื่อ 1 มกราคม 2552 จึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของประกาศฉบับนี้ด้วย โดยในส่วนของเงินประกันตามประกาศฉบับนี้ สัญญาการเช่าที่พักอาศัยทุกฉบับจะต้องมีข้อความว่า ผู้เช่ามีสิทธิได้รับคืนเงินประกันทันทีเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาเช่าที่อยู่อาศัยหรือเมื่อสัญญาเช่าที่อยู่อาศัยเลิกกัน เว้นแต่กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจประสงค์จะตรวจสอบความเสียหายที่ผู้เช่าต้องรับผิดชอบ หากผู้เช่ามิได้ทำความเสียหาย ให้ผู้เช่ามีสิทธิได้รับคืนเงินประกันภายใน 7 วัน โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจรับภาระค่าใช้จ่ายในการนำส่งคืนเงินประกันนั้น ตามที่ผู้เช่าแจ้งให้ทราบ ดังนั้นจึงถือว่าสัญญาที่เอารัดเอาเปรียบผู้เช่าของอพาร์ตเม้นท์ในกรณีนี้จึงขัดต่อประกาศดังกล่าวและถือว่าไม่มีข้อความส่วนนี้ในสัญญา ดังนั้นผู้ให้เช่าห้องพักต้องคืนเงินค่ามัดจำให้กับผู้บริโภคโดยไม่มีเงื่อนไขครับ ฮะจิบังเสนอเงินลูกค้า 5 หมื่น จบเรื่องอาหารทำพิษรายงานความคืบหน้า กรณีลูกค้าฮะจิบังร้องเรียนว่ามีอาการท้องเสียอย่างรุนแรงหลังรับประทานอาหารที่ร้านฮะจิบัง ราเมน สาขาเทสโก้ โลตัส พระราม 3 จากความเดิมต่อจากฉบับที่แล้ว กรณีคุณแพรวพรรณ(นามสมมติ) และครอบครัวไปนั่งรับประทานอาหารที่ร้านฮะจิบังสาขาดังกล่าวแล้วเกิดท้องเสียอย่างรุนแรง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552 หลังจากที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ทำหนังฟสือแจ้งไปยังบริษัท ไทยฮะจิบัง จำกัด เพื่อขอให้บริษัทพิจารณาเยียวยาความเสียหายให้กับผู้บริโภคด้วยความเป็นธรรมตามสมควร ต่อมาในวันที่ 2 มิถุนายน 2552 บริษัทไทยฮะจิบัง จึงได้มีหนังสือตอบกลับมาที่มูลนิธิฯ ใจความสรุปได้ว่า ในวันเกิดแหตุที่ผู้บริโภคได้ร้องเรียนนั้น ร้านฮะจิบังสาขาดังกล่าว ได้จำหน่ายอาหารชนิดเดียวกันกับที่ผู้ร้องเรียนและครอบครัวรับประทานให้แก่ลูกค้าอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ปรากฏว่ามีลูกค้ารายใดมีอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับรายของผู้ร้องเรียนและครอบครัวแต่อย่างใด หากการเจ็บป่วยของผู้ร้องเรียนและครอบครัวเกิดจากอาหารที่รับประทานจากร้านของบริษัทจริง ลูกค้ารายอื่น ๆ จะต้องมีอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงด้วย ดังนั้น อาการท้องร่วงของนางสาวพรรณราย และครอบครัวอาจเกิดจากการได้รับเชื้อโรคบิดชนิดเฉียบพลันจากที่อื่นก่อนมารับประทานอาหารที่ร้านฮะจิบัง ราเมน เมื่อยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเชื้อโรคบิดชนิดเฉียบพลันเกิดจากการรับประทานอาหารของร้านฮะจิบังราเมน บริษัทฯจึงยังไม่อาจพิจารณาเยียวยาค่าเสียหายได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยินดีที่จะพิสูจน์หาความจริงจนเป็นที่แน่ชัดเสียก่อน ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2552 ที่ผ่านมา ตัวแทนของบริษัท ไทยฮะจิบัง ได้เข้าเจรจากับผู้ร้องเรียนที่สำนักงานเขตยานนาวา โดยผู้ร้องเรียนได้เสนอเรียกค่าเสียหายไปทั้งสิ้น 168,000 กว่าบาท แต่ทางบริษัทฯ ยินดีที่จะจ่ายเพื่อเป็นการแสดงความมีน้ำใจให้กับลูกค้าที่อาจเกิดความเข้าใจผิดในบริการของร้านฮะจิบัง ราเมนเป็นเงิน 50,000 บาทถ้วน และขอให้ยุติเรื่องพิพาททั้งหมด ผู้ร้องเรียนปฏิเสธและขอเดินหน้าที่จะฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคต่อไป ความคืบหน้าในการตรวจสอบด้านความปลอดภัยของอาหารในร้านฮะจิบัง ราเมน สำนักงานเขตยานนาวา ได้ดำเนินการตรวจสอบสุขลักษณะของร้านฮะจิบัง ราเมน สาขาเทสโก้ โลตัส พระราม 3 และทำการสุ่มเก็บตัวอย่างอาหาร น้ำแข็ง และน้ำดื่ม ไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2552 หลังเกิดเหตุประมาณ 3 สัปดาห์ ผลการตรวจวิเคราะห์พบอาหารจำนวน 8 จาก 11 รายการที่ไม่อยู่ในมาตรฐาน โดยส่วนใหญ่พบเชื้อแบคทีเรียโคลิฟอร์ม เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด ทั้งในน้ำแข็งและอาหารที่สุ่มตรวจ โดย 1 ตัวอย่างพบเชื้อแบคทีเรียอีโคไลเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดสำหรับอาหารปรุงสุก สำนักงานเขตจึงมีคำสั่งให้ร้านอาหารแห่งนี้มีการปรับปรุงแก้ไขกระบวนการผลิตอาหารให้ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค อาทิเช่น การมีคำสั่งให้ไม่แช่สิ่งของอื่นใดในภาชนะที่บรรจุน้ำแข็งที่ใช้ดื่ม ให้ทำความสะอาดวัตถุดิบด้วยน้ำสะอาดทุกครั้งก่อนนำมาปรุงประกอบอาหาร ให้ผู้ที่สัมผัสอาหารทุกคนล้างมือก่อนและหลังสัมผัสอาหาร เป็นต้น ต่อมาในวันที่ 28 เมษายน 2552 สำนักงานเขตยานนาวาได้เข้าตรวจสอบสุขลักษณะของร้านฮะจิบัง ราเมนแห่งนี้อีกครั้ง เพื่อติดตามผลการปฏิบัติตามคำสั่งและสุ่มเก็บตัวอย่างอาหาร รวม จำนวน 11 รายการเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจครั้งนี้พบว่ายังมีการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรียในผักโรยหน้าและน้ำแข็ง ส่วนอาหารชนิดอื่นไม่พบปัญหาใด ๆ สำหรับผลการตรวจสุขภาพของพนักงานในร้าน พบว่า เป็นใบรับรองแพทย์ที่ส่งให้เจ้าหน้าที่มาจากคลินิกเอกชน เจ้าหน้าที่จึงให้ตรวจสุขภาพใหม่ โดยให้เข้ารับการตรวจสุขภาพที่สถานพยาบาลของรัฐ และแนบผลการตรวจ Lab ส่งต่อเจ้าหน้าที่ด้วยทุกคน ซึ่งสำนักงานเขตยานนาวาได้รายงานผลการดำเนินการเฝ้าระวังทั้งหมดนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ไปด้วยแล้ว สิ่งนี้หรือคือเสรีภาพของสื่อมวลชนเรื่องโดยบุญยืน ศิริธรรมหมีแพนด้า หมีแพนด้า หมีๆ แพนด้า...ช่วงนี้พูดได้ว่า ไม่มีข่าวอะไรที่ฮิตฮอต เกินข่าวแพนด้าตัวน้อยที่น่ารัก น่าชัง กับแม่หลินฮุ่ย ที่เล่นเอาพ่อช่วงช่วง ตกกรอบข่าวไปจนหาไม่เจอเลยทีเดียว ความน่ารักของแพนด้าน้อยคงช่วยทำให้ผู้ที่ได้ชมนั่งอมยิ้มทุกครั้งที่ได้เห็นภาพ ความรักความผูกพันระหว่างแม่หมีกับลูกหมี (ถึงแม้เป็นการเห่อตามกระแสก็เถอะ) แต่ก็ถือได้ว่าข่าวแพนด้ายังเป็นข่าวที่ทำให้ผู้รับข่าวสารอ่านแล้ว ดูแล้วมีความสุขพอสมควร ตรงกันข้ามกับอีกข่าวหนึ่ง ดังไม่แพ้กัน แต่กี่ครั้งที่เห็นก็อดที่จะสะท้อนใจไม่ได้และรู้สึกไม่สบายใจ นั่นคือข่าวที่พ่อ-ลูก ของอดีตนักร้องลูกทุ่งชื่อดังออกมาทะเลาะกันเป็นเวลาติดต่อกันหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ทั้งสองข่าวนี้ดังไม่แพ้กัน ต่างกันอยู่ที่ข่าวแพนด้า(ข่าวของสัตว์)นำเสนอให้เห็นมุมของความรักความผูกพันระหว่างแม่หมีกับลูกหมี ที่มีความผูกพันกันอย่างลึกซึ้ง แต่ข่าวหลัง(ข่าวของคน) เป็นการนำเสนอความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างลูกกับพ่อ ผู้เขียนในฐานะผู้บริโภคข่าวสารไม่เข้าใจเลยว่า การสื่อสารเรื่องนี้(ของคน)สู่สังคม สื่อต้องการสื่อสารอะไร การที่ลูกกับพ่อออกมาทะเลาะกัน ไม่ว่าใครจะผิดจะถูกอย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็คือผู้เสียหายและตกเป็นจำเลยของสังคมโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง ดังนั้นมันเป็นการสมควรแล้วหรือ ที่ต้องนำข่าวนี้ออกมาเผยแพร่ แบบเจาะลึกชอนไช ทุกซอกทุกมุมแบบนี้ เรียกได้ว่ามีการเผยแพร่ข่าวสารแบบครบวงจรกันเลยทีเดียวทั้งทางข่าวทีวี ข่าวจากสื่อสิ่งพิมพ์ ไม่เว้นแม้แต่รายการทอล์คโชว์ต่างๆ ดังเสมือนว่า พ่อ-ลูก คู่นี้เป็นเหยื่ออันโอชะ เป็นแหล่งทำมาหากินของวงการข่าวสารของไทยก็ว่าได้ โดยไม่เว้นเวลาให้เขาหายใจหายคอกันเลยทีเดียว สื่อที่เห็นส่วนใหญ่มักทำตัวเป็นบ่างช่างยุ ถามทางโน้นที ยั่วทางนี้ที เหมือนว่ามีความสุขมากมายที่ได้เสนอข่าวนี้ออกไป(หรือว่าเพื่อเงินทำได้หมด) ทั้งๆ ที่ข่าวแบบนี้ ไม่มีใครได้ประโยชน์ใดๆ ทั้งพ่อทั้งลูกก็เสียหาย คนอ่านก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรที่ประเทืองปัญญา ดีไม่ดีเกิดการเลียนแบบขึ้นมาอีก การเสนอข่าวนี้ยิ่งจะเป็นการตอกย้ำจารึกรอยแผล แห่งความล่มสลายของครอบครัวไว้ในสังคม(ต้องการอย่างนั้นกันหรือ) ซึ่งผู้เขียนไม่เข้าใจจริงๆ ว่าวงการข่าวสารไทย ที่ออกมาเรียกร้องว่าผู้สื่อข่าวต้องมีอิสระในการนำเสนอข่าว ปราศจากการแทรกแซงใดๆ (ซึ่งก็เห็นด้วย) แต่ตัวเองอิสระแล้วยังไงล่ะ พวกเขาเคยคิดบ้างไหมที่จะปล่อย(เหยื่อ)พ่อ-ลูกคู่นี้ให้เขาได้มีอิสระที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวเขาเองได้บ้างหรือเปล่า ผู้เขียนซึ่งเป็นผู้บริโภคข่าวคนหนึ่งหวังอย่างยิ่งว่าวงการข่าวสารของไทยจะพัฒนามากขึ้น เสนอข่าวสารอย่างมีสติ จะนำความจริงที่จะเกิดประโยชน์ต่อสังคม ตีแผ่ความฉ้อฉล สร้างการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาสังคมได้มากขึ้น ไม่ใช่เสนอข่าวตามกระแสตลาดอย่างเดียวเหมือนทุกวันนี้ โดยเห็นความจ็บปวดของแหล่งข่าวเป็นอาหารอันโอชะ ก็ไม่รู้ว่าจะฝากเรื่องนี้ไว้กับใคร ผู้บริโภคอย่างเรายังคงต้องบริโภคข่าวแบบไม่มีทางเลือกต่อไป นี่คือเสียงหนึ่งของผู้บริโภคที่อยากบ่นดังๆ ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องตื่นๆๆ กันเสียที เฮ้อ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 101 มหกรรมสมุนไพรครั้งที่ 6

เรื่องเรียงเคียงจานนก อยู่วนาเมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อนพี่น้องในเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก 4 ภาคมานั่งคุยกันว่าจะเตรียมโชว์ผักพื้นบ้านของแต่ละภาคในงานมหกรรมสมุนไพรครั้งที่ 6 ซึ่งจะจัดในอิมแพค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 2 – 6 กันยายน ปีนี้ งานนี้นอกจากจะมีสูตรอาหารท้องถิ่นที่มาจากชุมชนที่รักษาความหลากหลายของพืชพรรณในระบบนิเวศน์ต่างๆ แล้ว ยังมีข้าวมีข้าวพื้นบ้าน และลานสาธิตการปรุงอาหารจากผักพื้นบ้าน และการเตรียมเมล็ดพันธุ์ กล้าไม้ไว้ให้ผู้สนใจได้เอากลับไปปลูกกินเองต่อที่บ้าน คุยกันเล่นๆ ว่า ถ้ายังไม่รู้จักว่าผักพื้นบ้านหน้าตาแปลกๆ นั้นจะนำไปปรุงและกินอย่างไร คำตอบง่ายๆ สำหรับเรื่องนี้มีไข่เป็นตัวช่วยค่ะ “เจียวไข่” กรรมวิธีปรุงอาหารคลาสสิคที่ใครๆ ส่วนใหญ่เคยทำ น่าจะเป็นเมนูแรกๆ ที่คนไม่เคยทำอาหารมาก่อนเลยเลือกทดลอง อาจจะเป็นรองแค่ไข่ต้มและไข่ดาวที่ง่ายกว่า ไข่เจียว กินอร่อย กินง่าย ทำง่าย ใช้เวลาไม่มาก แต่หากพิถีพิถันแล้วเรียนรู้วิธีการเจียวไข่สารพันกับผักก็จะกลับเป็นเรื่องสนุกได้เหมือนกัน เหมาะกับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่อยากจะหัดทำกับข้าวและลองรับประทานผักพื้นบ้าน ในเมืองไทยมีผักพื้นบ้านให้เจียวกับไข่ได้ หลายเมนูไม่ซ้ำกัน ลองมานั่งไล่กันดูนะคะ1.กระถิน เมล็ดอ่อนแกะแต่เมล็ดเจียวกับไข่ 2.กระเทียมเจียว ตีสับๆ หยอดลงกระทะก่อนเทใส่ไข่ หรืออีกวิธีมีกระเทียมดองปอกเปลือกออกแล้วซอยใส่ลงในไข่ที่ตีฟูแล้วเจียว 3.กะเพรา เอาแต่ใบกับยอดใส่ไข่แล้วทอดเหลืองๆ หอมๆ 4.กะทกรก ใส่ไข่เจียวคล้ายๆ กับข้อ 3 5.ชะอมชุบไข่ กินกับน้ำพริก 6.กุยช่าย เหมาะมากกับคุณแม่คลอดลูกใหม่เสริมโปรตีนและขับน้ำนม 7.ปลีกล้วย ซอยถี่ๆ เหมือนจะเอาไปลวกกินกับขนมจีนน้ำพริก แต่คราวนี้ใส่ลงในไข่ปรุงรสน้ำปลา 8.กระสังใบใสๆ กินสดรสจืดๆ กินแก้ไข้ 9.ขจร หรือดอกสลิด ตอกไข่ใส่ชาม ปลิดเอาแต่ดอก 10.ข้าวสาร ปกติต้มกินกับน้ำพริก ลองเปลี่ยนมาฝานบางๆ ใส่ไข่เจียวดู 11.เข็ม ดอกเข็มแดงๆ ในไข่เหลืองฟู น่ากินมาก12.ข้าวโพดข้าวเหนียว ฝานเมล็ดแล้วเจียว...สุดยอด 13.ขนุน ใบอ่อนหรือดอกขนุนตัวผู้ ที่ทางอีสานเรียกหำบักมี้ ซอยใส่ไข่ 14.ดอกแคบ้าน และ15.ดอกแคแดง เจียวในน้ำมันร้อนแรงกับไข่ ไข่เจียวฟูๆ ถ้าไม่มีดอก ใช้ยอดและใบอ่อน รูดเอาแต่ใบนะจ๊ะ 16.งา ทั้งงาขาวและงาดำ 17.ชะพลู อีสานเรียกอีเลิด ซอยฝอยๆ หอมอร่อย 18.ดาวกระจาย เลือกแต่กลีบดอกเส้นเหลืองๆ บางๆ ไม่ใช้เกสร 19.ตะไคร้ ซอยบางๆ เหมาะสำหรับใครบางคนที่เพิ่งเดินทางข้ามทวีปแล้วมีอาการเจ็ตแล็ค 20.ไค สาหร่ายในแม่น้ำทางอีสาน เหนือ และลาว ที่กำลังมีลดน้อยลงทุกที 21.ตำลึง ใส่เป็นใบทอดไข่หนานุ่มกินกับน้ำพริก หรือจะซอยบางๆ โรยเบาๆ ในไข่ฟูๆ ก็ได้ 22.ถั่วฝักยาว23.ถั่วพุ่ม 24.ถั่วพู ถั่ว 3 อย่างนี้ ซอยบางๆ ส่วนถั่วพูถ้ามียอดและใบอ่อนก็เจียวได้ค่ะ ว้า! มาจนถึงหมวด บ.ใบไม้ ครับผม 25.บวบกลม 26.บวบเหลี่ยม 27.บวบงู บวกอีกหนึ่ง ต.แตงอ่อน และแตงกวา เป็นอันดับที่ 28 กับ 29 กลุ่มนี้ไม่เจียวแต่ใช้ท่อนผัดกับน้ำมันแล้วตอกใส่ไข่ มีตัวช่วยเป็นไข่พออนุโลมไหมหนา30.ผักกะเฉด เอาแต่ยอดอ่อนๆ 31.ผักกูด ลวก ราดกะทิกินกับน้ำพริกอร่อย ต้มแกงก็อร่อย แต่วันไหนอย่างกินง่ายๆ ไม่ใช้เวลามากลองผัดไฟแดงหรือเจียวดู! 32.ผักขี้หูด ผักพื้นบ้านภาคเหนือ ขอบอก เลือกฝักอ่อนๆ นะจ๊ะ 33.ผักโขม 34.ผักโขมจีน ซอยแล้วเจียว แข็งแรงอย่างป็อบอายเชียว 35.ผักชี 36.ผักชีล้อม 37.ผักชีลาว she ทั้งสามมีเสน่ห์ความหอมที่แตกต่าง 38.ผักเชียงดา ยอดอ่อนตอนหน้าแล้งรสไม่เฝื่อนเหมือนหน้าฝน 39.ผักบุ้งไทยใบเขียว ซอย ตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำข้นๆ ใส่ลงในไข่สัก 1 – 2 ช้อนโต๊ะเหยาะน้ำปลา เป็นไข่เจียวมรกตฟูๆ 40.ผักบุ้งแดง ซอยเป็นแว่นๆ เจียวเพิ่มวิตามินเอ 41.ผักปลัง ใช้ส่วนยอด 42.หวานบ้าน และ43.ผักหวานป่า จะเจียวหรือผัดไข่ก็อร่อย 44. ผำ ล้างน้ำสะอาดแล้วกรองเอาแต่เม็ดผำใส่ลงในไข่ ไม่ต้องใส่น้ำ เพราะผำฉ่ำน้ำ ไม่งั้นไข่จะนิ่มเละเกินไป ถ้าชอบไข่ฟูใส่แค่ 1 ช้อนโต๊ะต่อไข่ 1 ใบก็ได้ความอร่อยแบบใหม่ 45.พริก อ๊ะ! ใช้ส่วนใบมาเจียวค่ะไม่ใช้เมล็ด 46.เพกา เอาฝักที่ใช้เผากินกับแจ่วแล้วอร่อยสุดๆ นั่นแหละ มาฝานบางๆ แล้วเจียวดูสิ 47.ฟักข้าว ใช้ยอดอ่อนมาเจียวกับไข่ 48.ฟักทอง ถ้าเป็นยอดไม่มีปัญหาในการเจียว แต่ถ้าเป็นผล ฝานบางแล้วซอยเป็นเส้นฝอยๆ เจียวกับไข่ฟูๆ แต่ถ้าชอบไข่นิ่มๆ หั่นบางๆ ก็โอเค 49.มะขามเทศ มะขามเทศต้นข้างทางที่ฝาดๆ พอเอามาใส่ไข่เจียวหนานุ่มแล้ว ...อืม อร่อยลืมฝาด แต่อย่าลืมแกะเปลือกกับเมล็ดออกก่อนนา 50.มะเขือพวง 51.มะเขือเปาะ และ 52.มะเขือยาว จะใส่ไข่เจียวเป็นแพหรือชุบไข่ทอดเป็นคำดี 53.มะระขี้นก ใช้ได้ทั้งยอดและผล ถ้าเป็นผล ผ่ากลางผลแล้วแกะเมล็ดออก ฝานบางๆ 54.มะละกอ บ้างว่าสับ บางว่าซอยเป็นเส้น แล้วแต่ความถนัดและความนิยม จะซอยหรือผัดกับไข่อร่อยมากๆ 55.เหมียง อ้าว! อันนี้ก็ผัดไข่ 56.โหระพา เจียวแล้วหอม 57.อัญชัน ใช้ดอกมาเจียว เลยนึกขึ้นมาได้อีกอันเป็นอันดับที่ 58 คือดอกดาหลา แล้วมาจบที่ 59. ดอกโสน ส่วนวิธีทำและวิธีรับประทานแบบอื่นๆ ค่อยๆ เรียนรู้ดัดแปลงต่อได้หลังจากเราพอจะปรับลิ้น ปรับใจให้คุ้นกับไข่สารพันผัก ซึ่งในงานเราคงจะไม่สาธิตการเจียวไข่กับผักแต่จะเอาเมนูเด่นทั้งแบบพื้นถิ่นและแบบประยุกต์มาสาธิต และพูดคุยกันถึงสรรพคุณอันแสนวิเศษผักอย่าง ตามัด ราน้ำ หญ้าช้อง สะคร้าน เทียมลิง ซึ่งฉันเองไม่เคยรู้จัก คงจะได้รู้จักในงานนี้ ส่วนผักที่บางอันเพิ่งรู้จัก บางอันก็คุ้นเคยมานานนับปี อย่างหัวทือ ทำมัง เต่ารั้ง หวาย คาวตอง ขะแยง สาบ ติ้ว และฯลฯ คงจะมาอวดโฉมพร้อมกับให้ได้ลิ้มรสฝีมือการปรุงจากแม่ครัวท้องถิ่น ขอบอกก่อนว่าไม่ใช่มีแต่เครือข่ายเกษตรทางเลือกที่จะทำให้กิน มีทั้งเครือข่ายหมอยาและกลุ่มชาวบ้านที่รักษาฐานทรัพยากรอาหารอีกหลายแห่งก็เตรียมขนผักกันมามากมาย คาดว่าจะละลานตา .... ละลานใจ ไม่แพ้งานปีก่อนๆ เลย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 101 น้ำมันมะพร้าว….ประกายไฟในสมอง (ตอน 3)

รศ. ดร.แก้ว กังสดาลอำไพสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ฉบับนี้เป็นตอนจบที่เราจะยังวนเวียนอยู่ในหลุมน้ำมันมะพร้าวต่อไป เพื่อตรวจสอบว่าเกิดประกายไฟในสมองท่านผู้อ่านหรือยัง ในการตัดสินใจว่าควรกินน้ำมันนี้แบบผิดมนุษย์มนาต่อไปหรือไม่ จริงอยู่ที่ว่าคนบนเกาะนี้อ้วนเพราะเลิกกินน้ำมันมะพร้าวหันไปกินน้ำมันอื่นกันแต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าถ้าหากหันกลับมากินน้ำมันมะพร้าวและจะผอมได้ เพราะพฤติกรรมความเป็นอยู่แบบชาวเกาะได้เปลี่ยนไปเป็นแบบชาวผิวขาวเสียแล้ว ในเว็บ http://gotoknow.org/ มีบล็อกของ นพ. วัลลภ พรเรืองวงศ์ ซึ่งเป็นแพทย์ที่โรงพยาบาลห้างฉัตร จังหวัดลำปางได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันมะพร้าวอย่างตรงไปตรงมาว่า โคเลสเตอรอลในร่างกายส่วนใหญ่ (70-80 %) สร้างขึ้นเองภายในร่างกาย ส่วนน้อยมาจากอาหาร โคเลสเตอรอลมีเฉพาะในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากพืชไม่มีโคเลสเตอรอลก็จริง ทว่า... ถ้าเรากินไขมันอิ่มตัวเข้าไปมากเกินจะทำให้ตับสร้างโคเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) เพิ่มขึ้น และอาจทำให้ตับสร้างโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดลงได้ การควบคุมโคเลสเตอรอลด้วยอาหารจึงควรเน้นการลดไขมันอิ่มตัวเป็นอันดับแรก อันดับต่อไปให้ลดโคเลสเตอรอลจากสัตว์ เช่น อาหารทะเล(ยกเว้นปลาทะเล ปลิงทะเล) เครื่องในสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์มากเกิน เว็บ http://gotoknow.org/home นี้เป็นเว็บสุขภาพที่น่าสนใจเข้าไปชมครับ ผู้เขียนขอขยายความเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการกินอาหารที่ร่างกายนำไปใช้เป็นพลังงานหลัก คือ แป้งและไขมันต่อการสร้างโคเลสเตอรอลดังต่อไปนี้ เป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า สารตั้งต้นของการสร้างโคเลสเตอรอลนั้นคือ อะเซ็ตติลโคเอนไซม์เอ (acetylcoenzyme A) ซึ่งเป็นตัวกลางที่เกิดระหว่างการเผาผลาญแป้งและการเผาผลาญกรดไขมัน ดังนั้นเมื่อใดที่เรากินแป้งมากไป หรือไขมันมากไป อะเซ็ตติลโคเอนไซม์เอที่เกิดขึ้นจะถูกนำไปใช้เป็นพลังงานไม่หมด ก็จะถูกนำเข้าสู่กระบวนการสร้างโคเลสเตอรอลได้ ดังแผนภาพง่าย ๆ ดังนี้ รายละเอียดนั้นหาดูได้ในหนังสือชีวเคมีทั้งภาษาไทยและเทศ หรือจะเข้าไปดูที่ http://www.cholesterol-and-health.com/Synthesis-Of-Cholesterol.html ก็ย่อมได้ ความรู้ตรงนี้อธิบายความว่า การกล่าวว่าในน้ำมันมะพร้าวไม่มีโคเลสเตอรอลนั้น กินเข้าไปแล้วไม่อันตรายนั้น ไม่ถูกต้องแน่ เพราะพูดไม่จบ ดังที่ผู้ขายน้ำมันกล่าวว่า น้ำมันมะพร้าวกินเข้าไป กรดไขมันถูกใช้ง่ายมากนั้นถูกต้อง แต่ถ้ากินมากไป ต้องไม่ลืมว่า เมื่อร่างกายได้พลังงานพอแล้ว ตัวกลางระหว่างการใช้น้ำมันมะพร้าวในร่างกายคือ อะเซ็ตติลโคเอนไซม์เอ นั้นจะเหลือค้างจนถูกเอาไปสร้างโคเลสเตอรอลได้ ดังนั้นถ้าเราไม่ระวังให้ดี โอกาสที่ระดับโคเลสเตอรอลจะขึ้นสูงก็มีได้ดังนั้นสิ่งที่ถูกต้องคือ ไม่ว่าจะกินน้ำมันหรือไขมันอะไรก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่เกินความ ต้องการของร่างกาย อันตรายย่อมไม่เกิดขึ้น เพราะร่างกายสามารถใช้เป็นพลังงานได้ แต่เมื่อใดที่เหลือ ร่างกายจะนำไปสร้างสารชีวเคมีต่างๆ ที่ร่างกายต้องการเช่น โคเลสเตอรอล ฮอร์โมนเพศ ฯลฯข้อควรสังเกตคือ จากฉลาดซื้อฉบับที่แล้วผู้เขียนได้เกริ่นไว้ว่า กรดไขมันที่ได้จากไขมันนั้น ไม่ว่าจะอิ่มหรือไม่อิ่มตัว สามารถถูกนำไปใช้สร้างเป็นผนังเซลล์ได้ ดังนั้นถ้ากินไขมันไม่อิ่มตัวมากไป ผนังเซลล์จะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดออกซิเดชั่นได้อนุมูลอิสระ ดังนั้นผู้ที่กินน้ำมันพืชที่เป็นไขมันไม่อิ่มตัวสูงเช่น น้ำมันถั่ว น้ำมันงา น้ำมันรำข้าว น้ำมันข้าวโพด จำเป็นตัองกินสารต้านอนุมูลอิสระให้มากพอ ซึ่งไม่ยากที่จะหา เพราะมีในผักผลไม้สีเข้มต่างๆ ไม่จำเป็นต้องไปซื้ออาหารเสริมกินให้แพงและไม่อร่อย   ในเรื่องคุณสมบัติการป้องกันโรคหัวใจนั้น ผู้ขายน้ำมันมักบอกว่า “คนส่วนมากเข้าใจว่าน้ำมันมะพร้าวมีอันตรายต่อหัวใจ ทั้งที่ความจริงเป็นไปในทางตรงกันข้าม เพราะน้ำมันชนิดนี้มี lauric acid ซึ่งป้องกันปัญหาของหัวใจรวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับปริมาณโคเลสเตอรอลและปัญหา ความดันโลหิตสูง ไขมันอิ่มตัวในน้ำมันมะพร้าวนั้นไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรงและไม่เป็นปัจจัยการเพิ่มไขมันไม่ดีคือ LDL นอกจากนี้น้ำมันมะพร้าวยังลดอาการตีบตันของหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ” คำกล่าวของคนขายน้ำมันนั้นบอกเป็นนัยๆ ว่า ตำราและอายุรแพทย์รวมทั้งนักโภชนาการดัง ๆ ของโลกนั้นเข้าใจผิด เพราะไม่ว่าเว็บไหน ตำราเล่มไหน ก็บอกว่า ให้เลี่ยงไขมันอิ่มตัว ใครที่เชื่อคนขายน้ำมัน ก็ตัวใครตัวมันแล้วกันนะครับคนขายน้ำมันมักกล่าวต่ออีกว่า “ในการลดน้ำหนักนั้น น้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์อย่างมากเพราะมีทั้งกรดไขมันสายสั้นและสายปานกลางที่ช่วยลดน้ำหนักตัว เนื่องจากย่อยง่ายและช่วยการทำงานของต่อมไทรอยด์ และระบบเอนไซม์ นอกจากนี้น้ำมันมะพร้าวยังเพิ่มการทำงานของร่างกายโดยลดความเครียดของตับอ่อนทำให้การเผาผลาญพลังงานสูงขึ้น ซึ่งช่วยคนอ้วนให้ลดน้ำหนักได้ ดังที่ได้เห็นจากประชาชนในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรซึ่งกินน้ำมันมะพร้าวเป็นหลักไม่อ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน” ท่านผู้อ่านได้เห็นข้อความดังนี้แล้วต้องเป็นคนหูหนัก พยายามพิจารณาหรือหาข้อมูลอื่นมาประกอบ ทั้งนี้เพราะคนที่อยู่แถบเส้นศูนย์สูตรซึ่งกินน้ำมันมะพร้าวนั้นมักเป็นประเทศยากจน ต้องใช้แรงงานในการดำเนินชีวิต ดังนั้นโอกาสอ้วนจึงน้อยกว่าคนในประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งใช้แรงงานประจำวันน้อยจะไปไหนที่ก็ใช้รถ ขอเสนอว่า ถ้าท่านผู้อ่านเป็นคนที่ใช้แรงน้อยในแต่ละวัน ลองกินน้ำมันมะพร้าวแบบไม่บันยะบันยังแล้วไม่อ้วนให้เห็นภายใน 1 ปี ท่านอาจถูกนำไปออกงานวัดภูเขาทองได้เลย เพราะกลายเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ไปแล้ว ทั้งนี้เพราะมีข้อมูลเกี่ยวกับชาวเกาะทะเลใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกในเว็บของ BBC ว่า ประเทศด้อยพัฒนาเหล่านี้ได้ปรับเปลี่ยนให้การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรม ที่นำรายได้เข้าประเทศเป็นสำคัญ และบางเกาะยังมีทรัพยากรธรรมชาติเช่น น้ำมันดิบ จึงทำให้วัฒนธรรมการกินและความเป็นอยู่เปลี่ยนไป ประเทศที่เป็นเกาะเหล่านี้บางประเทศจึงเป็น the fattest nation on earth. เช่น ประเทศ Nauru ซึ่งประชากรที่เป็นผู้ใหญ่อ้วนถึงร้อยละ 94

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 100 รางปลั๊กไฟสำหรับคอมพิวเตอร์

ได้เวลาทดสอบรางปลั๊กไฟกันอีกครั้ง คราวนี้เอาใจคนใช้คอมพิวเตอร์เป็นหลัก เราเลือกรางปลั๊กไฟที่รองรับเต้าเสียบได้อย่างน้อย 4 ตัว (สมมุติว่าเสียบปลั๊ก ซีพียู จอ ลำโพง เราท์เตอร์ เหลือสำรองไว้อีกหนึ่ง)คราวนี้เราเปลี่ยนกลุ่มสินค้าทดสอบ จากรางปลั๊กราคาย่อมเยาทั่วๆไปที่เราพบในห้างค้าปลีก มาเป็นรางปลั๊กไฟสำหรับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โดยเราเน้นสินค้าที่มีขายอยู่ในแหล่งจำหน่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ประกอบเป็นหลักอย่างที่พันธุ์ทิพย์พลาซ่า แต่ก็มีบ้างที่ซื้อจากจากแผนกไฟฟ้าในห้างค้าปลีกหรือห้างสรรพสินค้าด้วยเช่นกัน   รางปลั๊กไฟที่เราซื้อมาทดสอบในครั้งนี้มีราคาตั้งแต่ 115 บาท ถึง 985 บาท วิธีการทดสอบยังคงเป็นเหมือนครั้งที่แล้วนั่นคือ การทดสอบรางปลั๊กไฟว่าผ่านหรือไม่ใน 5 ประเด็นต่อไปนี้ 1. ความต้านทานของฉนวนและแรงดันไฟฟ้า เพื่อดูว่าวัสดุที่ใช้ทำฉนวนสามารถป้องกันการเข้าถึงส่วนที่มีไฟฟ้า (หรือการเกิดไฟดูด) ได้หรือไม่2. อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น เพื่อดูว่าจะเกิดความร้อนสะสมในขณะที่เราใช้งานจนถึงขั้นทำให้เกิดติดไฟหรือไม่ 3. แรงที่ใช้ในการดึงเต้าเสียบ ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมนั้นเต้ารับไฟฟ้า จะต้องผลิตให้เสียบเข้าและดึงออกได้ง่าย ไม่หลวมหรือแน่นจนเกินไป4. ความทนของวัสดุฉนวนต่อความร้อนผิดปกติ วัสดุที่ดีจะต้องไม่ลุกติดไฟ หรือถ้าติดก็ต้องดับภายในเวลา 30 วินาที5. ความยาวของสายไฟ เป็นไปตามที่แจ้งบนฉลากหรือไม่ จากการทดสอบเราพบว่ามีรางปลั๊กไฟ 3 รุ่น จากทั้งหมด 22 รุ่นที่เราทำการทดสอบ ที่ผ่านมาตรฐานเรื่องความปลอดภัย 4 ข้อแรก ได้แก่ Paco PC-S11 (ราคา 115 บาท), Haco EP-SFE3U (ราคา 495 บาท), และWonpro WES 4.5S (ราคา 985 บาท) แต่ทั้งสามรุ่นนี้ก็ยังให้ความยาวของสายไฟน้อยกว่าที่ระบุในฉลาก เราพบว่ามีรางปลั๊กไฟเพียงรุ่นเดียวที่ให้สายไฟเกินมาจากที่ระบุไว้ นั่นคือ Electon TE 9143 ความรับผิดชอบของผู้ผลิตต่อผู้บริโภค ว่าด้วยข้อมูลบนฉลาก ข้อสังเกตอย่างหนี่งจากการซื้อสินค้ามาทดสอบในครั้งนี้คือ รางปลั๊กไฟที่ขายกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนใช้คอมพิวเตอร์นั้น มักจะมีฉลากที่ดูไม่ธรรมดา มีข้อความทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มาอธิบายสรรพคุณของสินค้ากันมากมาย ซึ่งก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคที่จะได้เรียนรู้ไปด้วย แต่กระนั้นก็ตามเราพบว่าฉลากของรางปลั๊กไฟหลายรุ่นไม่ได้ให้ข้อมูลที่ควรจะให้ ในขณะที่บางรุ่นก็ให้ข้อมูลที่อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดได้ ในประเด็นนี้ อ.ดร.วีระพันธ์ รังสีวิจิตรประภา จากภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้คำแนะนำไว้ดังนี้ ข้อมูลที่ควรแจ้งแก่ผู้บริโภค- “ใช้ได้กับอุปกรณ์ไฟฟ้ารวมกันไม่เกิน 2000 วัตต์”- “ใช้ได้ภายในบ้าน และไม่ควรวางไว้ในบริเวณที่อาจเปียกน้ำได้”- “ควรวางไว้ในที่ปลอดภัย ให้ห่างจากมือเด็กเล็ก”- (กรณีของรางปลั๊กที่มีตัวป้องกันไฟกระชาก) “อุปกรณ์นี้มีตัวป้องกันแรงดันเกินที่เกิดขึ้นในระบบไฟฟ้า และอาจไม่สามารถป้องกันอุปกรณ์หากเกิดฟ้าผ่าลงที่ตัวบ้าน สายโทรศัพท์ หรือเสาอากาศได้”- (กรณีรางปลั๊กสำหรับเต้าเสียบสามขา) “ต้องมีการเชื่อมต่อสายดินที่เต้ารับของบ้านอย่างเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยจากไฟดูด” ข้อมูลที่ไม่ควรแจ้งแก่ผู้บริโภค - ถ้ารางปลั๊กดังกล่าวไม่มีตัวป้องกันไฟกระชาก ไม่ควรระบุว่า “เหมาะสมกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์” เพราะอุปกรณ์ดังกล่าวอาจเสียหายได้เมื่อได้รับแรงดันเกิน- ไม่ควรระบุว่า “ป้องกันไฟฟ้ารั่ว” เพราะไฟฟ้ารั่วนั้นโดยทั่วไปนั้นเกิดจากตัวอุปกรณ์ไฟฟ้า (ไม่ได้เกิดจากรางปลั๊กไฟ) จึงอาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดได้ เรามาดูตัวอย่างของคำเตือนบนฉลากของรางปลั๊กไฟรุ่น Toshino DD-4MSWUSB3M ซึ่งเป็นรุ่นเดียวที่มีการให้ข้อมูลบนฉลากที่ดี (แต่น่าเสียดายที่คำเตือนเหล่านี้เป็นภาษาอังกฤษ มีเพียงสองบรรทัดแรกที่เป็นภาษาไทย) - ไม่ควรใช้งานกับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ไฟเกิน 2000 W - ควรเก็บให้ห่างความชื้น- ควรใช้กับเต้ารับที่ได้มาตรฐาน (โหลดสูงสุด 240 โวลท์ และจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ 10A) และควรมีการติดตั้งสายดินเพื่อความปลอดภัย- รางปลั๊กไฟนี้ไม่สามารถป้องกันอุปกรณ์ของท่านได้ หากเกิดฟ้าผ่าลงที่ตัวบ้าน สายโทรศัพท์ หรือเสาอากาศ- อุปกรณ์ป้องกันกระแสเกินไม่สามารถป้องกันแรงดันเกินที่อาจเกิดขึ้นในระบบไฟฟ้า เช่น การลัดวงจรลงดิน- สำหรับใช้ภายในบ้านและในบริเวณที่แห้งเท่านั้น- ในกรณีที่มีปัญหา ควรปรึกษาช่างไฟผู้มีประสบการณ์ ดาวโหลด ตารางการทดสอบค่ะ 

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า150 Point