ฉบับที่ 100 100 สิ่งที่ไม่ต้องทำ (ก็ได้) ก่อนตาย

ฉลาดซื้อฉบับที่ 100 มองหาเรื่องอะไรที่เข้ากับสมาชิก มองไปมองมา 100 สิ่งที่ควรทำคนก็ทำไปแล้ว ฉลาดซื้อมองไม่ธรรมดาอยู่แล้วค่ะ เลยมองมุมกลับมาดู 100 เรื่องที่ไม่ต้องก่อนตายกันดูบ้าง 1. เชื่อหนังสือ 100 สิ่งที่ต้องทำก่อนตาย ผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย หรือการใช้ชีวิตที่กระตุ้นต่อมตื่นเต้นให้ทำงานอยู่เสมอๆ เริ่มหวั่นไหวต่อข้อความในหนังสือใหม่ๆ ที่ออกมาเร่งเร้าความอยากเที่ยวอยากรู้อยากเห็น ให้เราต้องดั้นด้นไปแสวงหาให้ครบถ้วน ...แต่ ถ้าบางอย่างที่ไม่คุ้มค่าน่าเที่ยวน่าทดลองล่ะ ท่านจะรู้ได้อย่างไร เช่น - (ฝันเฟื่องว่าจะ) พิชิตเขาเอเวอร์เรสให้ได้ไม่ต้องก็ได้ นอกจากเสียเงินมหาศาลอย่างไร้สาระแล้ว ถ้ามีชีวิตรอดกลับมา อาจจะมีเซลล์สมองน้อยลงไปอีกนะ นักวิจัยชาวอิตาลีพบว่า นักปีนเขามืออาชีพที่ไปเหยียบยอดเขาเอเวอร์เรสและเคทูมาแล้ว มีเซลล์สมองที่หดหายไปและมีปัญหากับความจำและความว่องไวของสมองเนื่องจากต้องไปอยู่ในพื้นที่ระดับสูงที่มีอากาศเบาบางไปเวลานาน แม้แต่นักกีฬาที่ไปแข่งบริเวณที่มี high altitude ก็มีโอกาสเสี่ยงต่ออาการทางสมองที่อาจถึงตายได้ - ดูวิวที่ตึกเปโตรนาสไม่ต้องไปเที่ยวตึกเปสโตรนาสที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ก็ได้ เพราะที่ตึกแฝดที่สูงอันดับสี่ของโลก(สูง 452 เมตร) นั้น เปิดให้ขึ้นไปแค่ชั้น 49 ตรงบริเวณสะพานเชื่อมที่เป็นกระจกทั้งสองด้านเท่านั้น เหตุที่ไม่ควรเสียเวลาไปที่นั่นเพราะคนที่จะไปดูวิวตึกที่สูงเป็นอันดับสี่ของโลก ก็ย่อมอยากไปอยู่บนยอดตึกแล้วมองลงมา แต่ไม่ใช่ไปดูแค่ชั้น 49 ซึ่งไม่ได้มีวิวอะไรที่น่าตื่นเต้น แถมต้องรอคิวอีกต่างหาก สาเหตุที่เจ้าของตึกไม่ยอมให้ขึ้นไปยอดตึก เป็นเพราะเรื่องความปลอดภัย เพราะตรงนั้นเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทน้ำมันเปโตรนาส 2. กินหอยเอสคาโก้ของฝรั่งเศสเวลาเข้าหน้าฝนทีไร เราจะเห็นญาติของหอยทากเอสคาโก้ของฝรั่งเศสออกมาเดินนวยนาดตามทางเดินสุมพุ่มไม้เต็มไปหมด ลูกเด็กเล็กแดงที่เป็นหอยทากจิ๋วก็ช่วยกันสร้างความลำบากใจให้แก่มนุษย์เป็นอย่างยิ่ง หลายคนเถียงว่า นี่มันสุดยอดอาหารฝรั่งเศสนะ ก็จริงอยู่ว่า อาหารฝรั่งเศสเป็นอาหารที่มีรสชาติเอร็ดอร่อยถูกปากคนทั้งโลก แต่ก็มีอย่างอื่นให้เลือกอีกมากมายที่ไม่ใช่หอยทาก เพราะรสชาติเอสคาโก้ก็ไม่ได้พิเศษกว่าอาหารจานอื่นๆ ที่ปรุงโดยพ่อครัวฝรั่งเศสเลย จานเอสคาโก้ราคาแพงแสนแพง แต่ทำใจยากมากที่จะรู้สึกว่ามันสุดยอดจริงๆ ก็หน้าตามันเหมือนๆ กับหอยทากที่เดินไปเดินมาอยู่ตามสวนที่เมืองไทยคิดยังไงก็รู้สึกอร่อยยากไปหน่อย 3.เที่ยวป่าอะเมซอนถ้ายังมีที่อยากไปเที่ยวอีกเยอะล่ะก็นะ ยังไม่ต้องไปท่องป่าอะเมซอนก็ได้ เพราะแม้การไปป่าเขตร้อนที่อะเมซอน ฟังดูดีมากๆ แต่พอไปจริงๆ ก็เหมือนกับป่าเขตร้อนชื้นแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่เรายังไปได้อย่างถูกๆ เช่นที่อินโดนีเซียหรือบอร์เนียว ป่าอะเมซอนแม้จะมีนกแก้ว (Amazon parrot) แต่ที่โรงแรมในป่าลึกนี่ก็ใช้วิธีคลิปปีกหรือผูกนกเอาไว้ให้นักท่องเที่ยวดู เหมือนกับเวลาเราไปสวนสนุกหรือสวนสัตว์ในเมืองไทยเช่นกัน ส่วนกิจกรรมการตกปลาปิรันย่า ก็ยากมากที่เราจะได้แม้แต่ตัวเดียว แถมเวลาไปตามหมู่บ้าน เราก็จะพบว่าชาวบ้านก็อยู่เหมือนชาวบ้านเมืองไทย คือแต่งตัวปกติ มีความสะดวกครบครัน แล้วยังทำสวนยางแบบเดียวกับเมืองไทยอีกต่างหาก อันที่จริง อเมริกาใต้ คือต้นตำหรับของการทำสวนยางนั่นเอง 4.กินเป็ดปักกิ่งในปักกิ่งการกินเป็ดปักกิ่งนั้น ขอย้ำว่ากินในเมืองไทยอร่อยที่สุดแล้ว เพราะที่อื่นไม่มีใครทำรสชาติซอสเป็นได้ถูกปากคนไทยเท่ากับร้านอาหารจีนในเมืองไทย ส่วนที่ปักกิ่งนั้น ทำให้นักรับประทานชาวไทยอาจต้องผิดหวังไปตามกันเพราะน้ำซอสเค็มมาก หนังเป็นก็แล่ไม่บางเท่าเมืองไทย แถมมีเนื้อติดมาเยอะแยะอีก อุดหนุนคนไทยดีกว่า 5.กินตับห่าน fois grasอาหารจานเด็ดจานนี้ เขาเอาตับห่านไปทอดพอสุกแล้วปรุงด้วยซอส เวลามาเสิร์ฟ ผู้กินก็จะได้ลิ้มรสชาติตับห่านทั้งชิ้นที่นุ่มลิ้น ละลายในปาก เรื่องความอร่อยน่ะไม่ต้องพูดถึง มีอยู่เรื่องเดียวที่คนกินควรทราบไว้ ก็คือว่า ในระหว่างที่ห่านถูกเลี้ยงให้สร้างตับที่หวานอร่อย นุ่มลิ้นนั้น มันต้องถูกจับกรอกอาหารตลอดเวลา แล้วไม่ได้รับอนุญาตให้ขยับเขยื้อนจนกว่าจะถูกพาไปขึ้นเขียง เอาตับมาให้พวกเรากิน 6.ขึ้นไปบนยอดหอไอเฟิล เมืองปารีส เป็นเมืองสวรรค์ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพราะนอกจากชื่อเสียงในด้านความโรแมนติกแล้ว ยังเป็นเมืองที่มีความสวยงาม น่าเดินน่าเที่ยวไปหมด ไม่ว่าจะเดินเล่นริมแม่น้ำแซน ไปโปสถ์นอร์ทเทอร์ดัม ไปพิพิธภัณท์ลูฟ สำหรับหอไอเฟิลนั้นจะสวยที่สุด เมื่อเราเงยหน้ามองจากพื้นถนน เพราะหอนี้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองปารีสที่ชวนหลงใหล แต่…อย่าพลั้งเผลอไปต่อแถวขึ้นไปดูให้เสียเวลาไปเที่ยวที่อื่นเลย เพราะขึ้นไปแล้วก็ไม่ได้มีอะไรให้ดูเท่าไรนัก7.สะสมแสตมป์สมัยเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ในยุคก่อนเมื่อคำว่าคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ เป็นความคิดที่ไกลพอๆ กับการเดินทางไปดวงจันทร์ เด็กๆ ทุกครอบครัวจะถูกสอนให้มีงานอดิเรกเช่น สะสมแสตมป์เพื่อใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ แต่สมัยนี้อาจไม่จำเป็นแล้ว 8.เที่ยวแหลมกู๊ดโฮปใครที่ได้เดินทางไปอัฟริกาใต้ ย่อมได้รับมนต์เสน่ห์แห่งความงามที่ชวนหลงใหลของธรรมชาติที่นั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมชาติที่งดงาม ภูเขา ดอกไม้ สัตว์ป่า ทะเล แต่จุดท่องเที่ยวที่ฟังแล้วยิ่งใหญ่อย่างแหลมกู๊ดโฮป ที่มีชื่อเสียงมากในอดีต เพราะเป็นจุดการเดินทางที่อันตรายมากหากจะล่องเรือจากยุโรปไปเอเชีย แต่ครั้นพอได้ไปเที่ยวชมจุดนั้นจริงๆ สิ่งที่พบก็คือแนวหินระเกะระกะที่ยื่นไปในทะเลแค่นั้น ซึ่งไม่มีความงามหรือความยิ่งใหญ่อย่างที่คาดหวังแต่อย่างใด ไปเที่ยวจุดอื่นในประเทศนี้คงจะน่าสนใจกว่า 9.ใช้สบู่ผสมยาฆ่าเชื้อโรค อย่าดีกว่า ยังไงสบู่ทั่วไปก็ใช้ทำความสะอาดได้เหมือนกัน ลดปริมาณแบคทีเรียไปได้มากอยู่แล้ว การใช้สบู่ฆ่าเชื้อนั้น มันอาจจะไปฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์โดยธรรมชาติออกไปด้วย การกำจัดไปหมด อาจยิ่งทำให้ส่งผลไม่ดีมากกว่า งานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้สรุปว่า แม้สบู่ผสมยาฆ่าเชื้อจะกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้จริง แต่ก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคดีไปกว่าสบู่ธรรมดาแต่อย่างใด สบู่ธรรมดาก็สามารถกำจัดเชื้อโรคและเชื้อไวรัสต่างๆ รวมถึงไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ได้เช่นกัน 10.ใช้น้ำยาบ้วนปาก เช่นเดียวกับสบู่ผสมยาฆ่าเชื้อโรค น้ำยาบ้วนปากจะทำให้แบคทีเรียตัวดีโดนฆ่าไปด้วยนะอย่าลืม การให้เวลาแปรงฟันอย่างพอเพียง (นาน 2 นาที) อย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละสองครั้ง และใช้ไหมขัดฟันขจัดเศษอาหาร บวกกับการป้วนปากหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง และหมั่นไปหาทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันทุก 6 เดือน ถือว่าเพียงพอที่จะขจัดของเสียในปากที่จะทำให้เกิดกลิ่นปากได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาป้วนปากอีก11.ดื่มน้ำแร่ถ้าจะดื่มน้ำแร่เพื่อเติมแร่ธาตุที่ร่างกายขาดไป คุณจะต้องดื่มน้ำแร่เป็นปริมาณมากๆ ต่อวัน ซึ่งอาจไม่จำเป็น เพราะแร่ธาตุที่มีในน้ำแร่นั้นมีอยู่ในอาหารที่เรารับประทานอยู่ทุกวัน ถ้ามีแร่ธาตุเกินจำเป็นในร่างกายมันจะถูกขับออกมาเป็นปัสสาวะ แทนที่จะไปซื้อน้ำแร่ที่มีราคาแพงและมีแร่ธาตุไม่เท่าไหร่ (น้ำแร่สำหรับบริโภคไม่สามารถจำกัดแร่ธาตุที่ผสมอยู่ในน้ำได้ เพราะแหล่งน้ำแต่ละแหล่งให้แร่ธาตุที่ต่างกันไปตามสภาพทางธรณีวิทยา) ควรไปซื้อผักและผลไม้สดมารับประทานดีกว่า 12.ใช้แชมพูผสมครีมนวดผม ถ้าคาดว่าสระแล้วนวดพร้อมกันไปเลยจะดี ก็ต้องบอกว่าอาจจะไม่ได้ผลทั้งคู่ การสระผมคือการทำความสะอาดผมซึ่งแชมพูอย่างเดียวจะทำได้มีประสิทธิภาพมากกว่า การที่เอาครีมนวดผมมาผสมในแชมพูนั้น ทำให้เสียประโยชน์ทั้งสองส่วน เพราะครีมผมนวดช่วยให้ผมมันขึ้นลื่นขึ้นด้วยส่วนผสมของไขมัน 13.แชมพูผสมวิตามิน อย่าหลงไปกับคำโฆษณา อยากได้วิตามินก็ต้องกินอาหารที่มีวิตามิน เพราะวิตามินในแชมพูไม่สามารถซึมซาบเข้าไปในเส้นผมได้ แต่จะถูกชะล้างออกไปโดยไม่เกิดประโยชน์อันใดทั้งสิ้น 14.ใช้ครีมทาหน้าขาว ไม่มีครีมที่ทำให้เราหน้าขาวกว่าผิวที่แท้จริงของเราได้ ถ้าอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้คนหน้าขาวกว่าผิวจริงได้ สิ่งนั้นก็ต้องมีส่วนผสมของสารอันตรายที่สามารถฟอกผิวเหมือนการฟอกกระดาษหรือผ้า ให้ขาว ก็ลองนึกภาพดู คุณอาจจะคิดใหม่ก็ได้ อยากให้หน้าขาวขึ้น ก็แค่ทาครีมกันแดด และคอยหลบแดดหน่อยก็จะขาวขึ้นได้อยู่แล้ว 15.น้ำที่ผสมวิตามินซี บางทีนะอาจจะได้สารกันเสียแถมมาด้วย วิตามินซี ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคก็จริง แต่หากมารวมกับสารกันเสีย อาจกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้ อีกอย่างวิตามินซี สลายตัวได้ง่ายมากๆ ไม่แน่ว่าน้ำผสมวิตามินซีนั้น อาจไม่เหลือคุณค่าวิตามินซีอยู่แล้วก็ได้ 16.ดื่มน้ำลูกพรุนก่อนนอนอย่าไปเชื่อโฆษณา กินองุ่นคุ้มกว่าเยอะ น้ำลูกพรุนที่โฆษณาว่าเพิ่มวิตามิน ทำให้ไม่ท้องผูกนั้นมีราคาแพงเกินไปเพราะต้นทุนมีทั้งค่าโฆษณาและค่าขวดและหีบห่อ การกินองุ่นสด หรือกินลูกพรุนแห้ง ก็ได้ผลเท่าๆ กันแต่ประหยัดเงินได้มากกว่า 17.กินรังนก ในการวิเคราะห์จากห้องทดลอง รังนกที่เป็นส่วนของน้ำลายนกนั้น มีคุณค่าอาหารเพียงน้อยนิด หากเทียบกับราคาแล้วแทบจะเรียกได้ว่าไม่คุ้มค่า เพราะราคานั้นส่วนมากตกไปอยู่กับงบโฆษณาเป็นส่วนใหญ่ 18. กินอาหารแช่แข็ง อย่าลืมว่าอาหารแช่แข็งนั้น มันดูน่าอร่อยแต่ในภาพโฆษณาเท่านั้น ของจริงน่ะรสชาติเทียบไม่ติดกับอาหารที่ทำสุกใหม่ที่ขายอยู่ทั่วไป แถมยังถูกกว่าที่โฆษณาเสียอีก ไม่ต้องเห่อตามโฆษณาก็ได้ ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาชวนเชื่อ 19. เข้าฟิตเนสราคาแพง จ่ายเงินแล้วค่อยได้เหงื่อนั้น ไม่มีความจำเป็นเลย การออกกำลังกายเพื่อความแข็งแรงหรือการลดน้ำหนักล้วนทำได้ตามที่สวนสาธารณะอยู่แล้ว ถ้าจะออกกำลังกายจริง ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ก็ได้ 20. กินบุฟเฟ่ต์ ก่อนไปลองกินบุฟเฟ่ต์ คิดดูใหม่ว่า คุ้มหรือไม่คุ้ม อย่างแรกคุณต้องจ่ายเงินมากกว่าอาหารมื้อธรรมดาๆ กว่า 2-10 เท่าของราคาอาหารมื้อปรกติ ยิ่งบุฟเฟ่ต์ราคาแพงก็ยิ่งไม่คุ้ม เพราะไม่ว่าอาหารมีมากแค่ไหน เราก็กินไม่ได้มากกว่าที่เคยกินโดยปรกติแค่หนึ่งหรือสองเท่า และเป็นโอกาสที่ทำให้เรารับประทานสิ่งที่เป็นอันตรายได้มากกว่าปรกติเช่นกัน ไม่ว่าไขมัน แป้งและน้ำตาล แล้วลองคิดถึงของเหลือทิ้งอีกล่ะ อาหารบุฟเฟ่ต์เป็นแหล่งที่มีของเหลือทิ้งทำลายสิ่งแวดล้อมได้มากที่สุด 21.ฝันลูกเป็นเด็กอัจฉริยะเด็กสมัยนี้น่าสงสาร เกิดมาพ่อแม่ก็มีความคาดหวังให้เก่งอะไรสักอย่าง ก็เลยมีการผลักดัน จับไปเรียนโน่นฝึกนี่ เอาไปประกวดนั่นนี่ หวังว่าลูกตัวเองจะเป็น “เด็กอัจฉริยะ” จนเด็กไม่มีเวลาเล่นซนตามวัย มีความเครียดกันตั้งแต่ยังเล็กๆ การเล่นและอารมณ์ที่แจ่มใสจะทำให้เด็กเกิดพัฒนาได้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นควรจะเน้นที่ความต้องการของเด็กมากกว่าความต้องการของพ่อแม่ 22.ใช้โหมดสแตนบายในเครื่องใช้ไฟฟ้าคนสมัยนี้ลืมไปว่าเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง เรามีเครื่องใช้ไฟฟ้าสักเครื่องสองเครื่องในบ้านก็รุมกันใช้ ไม่ว่ามันจะใหญ่เทอะทะแค่ไหน ฟังก์ชั่นอะไรก็แทบจะไม่มี เดี๋ยวนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งดีทั้งถูก ประสิทธิภาพเต็มเพียบ แต่ที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพคือผู้คน ที่ไม่ยอมแม้กระทั่งเดินไปเปิดหรือปิดเครื่องไฟฟ้า ล้วนแต่ใช้ รีโมตเปิดปิดแทน ซึ่งทำให้สิ้นเปลืองพลังงานไฟ เพราะเครื่องต้องเปิดระบบสแตนบายไว้ ครั้งต่อไปลองเดินไปเปิดปิดเสียหน่อย อาจทำให้ประหยัดสตางค์ไปได้หลายเหมือนกันนะ 23. ดูหนังต้นโปรแกรม (ก่อนใครๆ)แย่งกันไปดูตอนนั้นทำไม ชีวิตไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้ ค่อยดูอีกอาทิตย์ถัดมา ก็ไม่ทำให้เสียหายอะไรกับคอหนังหรอก 24. สะสมหนังสือธรรมะหลายคนชอบงานสะสมหนังสือธรรมะ มีกันเต็มตู้เต็มบ้าน แต่ไม่ค่อยมีเวลาไปปฏิบัติธรรม หรือแม้แต่ใช้ธรรมะในชีวิตประจำวัน ซื้อมาก็อ่านซะ แล้วไปปฏิบัติจริงดีกว่าสะสมไว้เฉยๆ ในตู้นะ25. ทุ่มทำบุญในหลักพุทธศาสนานั้น การได้บุญที่ต้องใช้เงินมีอย่างเดียวคือการให้ทาน นอกนั้นเป็นเรื่องที่เกิดจากการปฏิบัติเช่น การให้ธรรมะ การฝึกสมาธิวิปัสสนา การแบ่งบันให้คนรอบข้างที่มีความทุกข์ อาจจะดีกว่าการทุ่มทำบุญกับวัตถุเช่นสร้างโบสถ์สร้างวิหารก็ได้ 26. แต่งชุดหนังหรือใส่เสื้อสองชั้นเมืองไทยร้อนจะตาย ใส่เสื้อสองสามชั้น แถมมีผ้าพันคออีก ร้อนแบบไทยๆ คงไม่ต้องการ 27. ไปเมืองปายพร้อมกันวันปีใหม่ปายกลายเป็นจุดศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและฝรั่งในช่วงปีใหม่ แต่มันจะสวยได้อย่างไรถ้าทุกคนแห่กันไปพร้อมๆ กัน และธรรมชาติที่สวยงามก็จะต้องถูกย่ำยีไปในช่วงไม่กี่วัน ที่คนไปกินไปเที่ยว ไปทิ้งขยะพร้อมๆ กันที่นั่น 28. ให้ลูกเรียนพิเศษเพื่อสอบเข้า ป.1 ต้องเตือนคุณแม่ทั้งหลายว่า ป.1 ไม่ใช่ ป.ตรี ยังไม่ต้องกดดันเด็ก ให้เด็กมีพัฒนาการ มีความสุขตามวัยเด็กอย่างที่เขาควรจะเป็น เด็กหลายคนเรียนไม่เก่งแต่พอโตเมื่อถึงเวลาที่พร้อม เขาก็จะกลายเป็นเด็กเรียนเก่งได้ และในชั้นประถมควรให้เรียนในโรงเรียนที่เน้นพัฒนาการวัยเด็กมากกว่าเน้นตำราเรียน 29. ต้องมี Hi 5 ,face book, you tubeไม่ต้องมีก็ได้ ติดต่อกับผู้คนในโลกแห่งความจริงให้ได้ ชีวิตก็เป็นสุขได้เช่นกัน 30. รอชายในฝันเพื่อแต่งงานและมีลูก เดี๋ยวนี้ครอบครัวสมบูรณ์แบบมักจะอยู่ในฝันเท่านั้น เพราะความจำเป็นทางเศรษฐกิจทำให้พ่อแม่ต้องวิ่งหาเงินมาเลี้ยงลูก ส่วนลูกเมื่อโตขึ้นก็มีแต่เงินแต่ขาดรัก ดังนั้นการมีครอบครัวอาจไม่ใช่เป้าหมายอีกต่อไป แถมมีข้อวิจัยได้ชี้ชัดว่า ผู้หญิงที่ต้องทำงานปากกัดตีนถีบ (ไม่ว่าจะอยู่ตำแหน่งไหน) และเลี้ยงลูกในเวลาเดียวกันจะมีสิทธิจะมีอาการซึมเศร้าและมีแนวโน้มฆ่าตัวตายมากกว่าหญิงโสดที่ไม่มีภาระ 31. อายถ้าต้องไปหาจิตแพทย์ การป่วยทางอารมณ์ เครียด ซึมเศร้า ไม่ได้หมายความว่าคนเราเสียสติ แต่อาจจะเกิดจากสังคมที่มีแรงกดดันสูง หรือการขาดฮอร์โมนในสมอง ที่เดี๋ยวนี้มียาดีๆ กินแล้วก็หาย หากรู้สึกว่าต้องการความช่วยเหลือก็รีบไปหาแพทย์ได้ ไม่เสียหน้าอะไร 32. ต้องนอนมากๆ พวกที่นอนมากๆ มักเชื่อว่าตัวเองสุขภาพดีกว่าพวกนอนไม่หลับหรือนอนไม่พอ แต่เพราะนอนมากเกินไปอาจกลายเป็นปัญหาได้ นอนมากจะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่างแรกคือ จะรู้สึกว่านอนเท่าไหร่ก็ไม่พอ และเป็นปัญหาในเรื่องการควบคุมเครื่องจักรหรือการขับรถที่ต้องการความว่องไวคล่องแคล่ว ดังนั้นอย่ายืดเยื้อบนที่นอน เมื่อถึงเวลาตื่นก็ต้องพร้อมจะลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง 33. ซื้อครีมกันแดดยี่ห้อแพงของแพงไม่ได้แปลว่าดีกว่าของถูกเสมอไป ครีมกันแดดโดยพื้นฐานมีองค์ประกอบที่ไม่ต่างกัน แต่ของแพงนั้นนอกจากที่เราจะต้องจ่ายเงินมากกว่าแล้ว เรามักจะคิดว่าของดีใช้เล็กน้อยก็พอ แต่หมอผิวหนังยืนยันว่า ถ้าทาครีมกันแดดให้หนาๆ ถึงของถูกก็มีประสิทธิภาพมากกว่าทาของแพงเพียงบางๆ 34. ทำผมแบบดาราที่เราชื่นชอบ ถ้าเห็นดาราที่เราชอบสุดๆ กับทรงผมแหล่มมาก อย่ารีบตัดรูปดาราคนนี้แล้ววิ่งเข้าร้านทำผมให้ตัดผมของเราแบบดารา ต้องคิดเสมอว่าทรงผมต้องเข้ากับรูปหน้า ตา หู จมูกของท่านด้วย มันจึงเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งที่ท่านจะตัดผมทรงเดียวกับดารา ถ้าท่านไม่ได้มีรูปทรงใบหน้าที่คล้ายคลึงกัน หาทรงผมที่เข้ากับหน้าท่าน อาจจะทำให้ท่านดูเด่นกว่า เป็นดาราในหมู่เพื่อนก็ได้ 35. ซื้อรถยนต์แพงๆ วิ่งเร็วๆ มาวิ่งในกรุงเทพฯ ดูราคาน้ำมันที่วิ่งขึ้นเอาขึ้นเอา ท่านจะเอารถแพงๆ ที่เอามาจอดกลางถนนเพราะรถติดให้ซดน้ำมันเล่นไปทำไม อีกประการถนนในกรุงเทพฯ ก็ไม่เหมาะกับวิ่งเร็วๆ อยู่แล้วนะจ๊ะ 36. กินแครอทเพื่อจะได้เบต้าแคโรทีนเยอะๆ แม้มีความเชื่อว่าเบต้าแคโรทีนในแครอทช่วยทำให้สายตาดีขึ้น แต่ถ้ารับประทานมากไปก็อาจจะก่อให้เกิดอาการวิตามินเอเป็นพิษได้ รวมทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทเบต้าแคโรทีนด้วย กินมากไปแทนที่จะช่วยป้องกันมะเร็งกลับกลายเป็นสารก่อมะเร็งเสียเอง 37. ไปเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงเทศกาล ในวันสงกรานต์ วันปีใหม่ วันตรุษจีน มีคนจำนวนมากหยุดงาน หยุดกิจการ หรือลาพัก (ลูกจ้างร้านอาหาร หรือโรงแรม) พวกที่ออกไปกิน-เที่ยวในช่วงนี้จึงต้องแย่งกันกิน แย่งกันนอนตามสถานที่ท่องเที่ยว ที่มักจะสร้างความเครียดและความหงุดหงิดที่เกิดจากการแย่งกันกินแย่งกันนอน มิหนำซ้ำ เวลาไปสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมบางแห่ง ท่านจะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากฝูงชน ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าท่องเที่ยวได้อย่างไร 38. เห่อสินค้าที่ใส่น้ำหอม เดี๋ยวนี้สินค้าตั้งแต่ครีมทาผิวไปจนถึงผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ ครีมโกนหนวด ล้วนแต่ใส่ส่วนประกอบที่เป็นน้ำหอมที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ ส่วนประกอบหลายๆ อย่างมีความเป็นพิษต่อร่างกาย น้ำหอมบางทีก็ทำให้เราหลงลืมความเป็นพิษของผลิตภัณฑ์อันตรายบางอย่างที่เราใช้อยู่ เช่น ยาฆ่ายุง น้ำยาล้างห้องน้ำ เป็นต้น 39. จาริกแสวงบุญ พระอริยะสงฆ์จำนวนมากสามารถบรรลุธรรมได้ทั้งที่ไม่เคยไปจาริกแสวงบุญที่อินเดีย หากปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่พอเพียง ก็ไม่จำเป็นต้องไปแสวงบุญที่อินเดีย แต่ให้ฝึกปฏิบัติทางธรรม ซึ่งสามารถบรรลุได้โดยไม่ต้องใช้เงินแม้แต่น้อย 40. กระโดดบันจี้จั๊ม หรือทำอะไรที่เสี่ยงตายเพื่อความเท่ หากยืนอยู่ข้างหน้าเครื่องกระโดดบันจี้จั๊ม อย่ายอมทำเพียงเพราะเพื่อนๆ ยุ หรือท้าหากเราไม่พร้อม เครื่องเล่นสมัยใหม่ของตะวันตกที่ทำกันออกมาเพียงเพราะเขาเชื่อว่า การท้าทายกับความกลัวถึงที่สุด และจะมีเครื่องแบบนี้ออกมาเรื่อยๆ เชื่อเถอะว่ามันไม่พิสูจน์ความเก่งหรือกล้าของใครเลย 41. ใช้บัตรเครดิตหลายใบที่มีกันอยู่หลายๆ ใบน่ะ ลองคิดใหม่ซิว่าถ้าไม่มีเลย ชีวิตจะเป็นอย่างไร – ไม่ต้องเอาเงินอนาคตมาใช้ก่อน ไม่ต้องโดนกิเลสยั่วให้ซึ้อของทั้งๆ ที่ไม่มีเงิน ไม่ต้องโดนหลอกว่ายิ่งใช้มากยิ่งดีได้โน่นได้นี่ แต่ลืมไปว่าถ้าผิดนัดจ่ายเงินก็ดอกเบี้ยอาน หลายคนมีชีวิตที่บัดซบต้องหมดตัว โดนฟัอง โดนยึดบ้านยึดรถ หมดเนื้อหมดตัว ก็เพียงเพราะมีบัตรเครดิตใบเล็กๆ นี่แหละ 42. ทำศัลยกรรม ไม่ว่าเพื่อนจะพูดอะไร หมอจะบอกอย่างไร ต้องจำไว้หนึ่งอย่างว่าการทำศัลยกรรมตกแต่งหรือเสริมความงามทั้งหลาย ล้วนมีความเสี่ยง แปลว่าทำออกมาแล้วกลายเป็นคนขี้เหร่ไปกว่าเดิมหรือจากสาวการเป็นแก่ไปเลยก็ได้ หรือทำแล้วไม่ดี ต้องแก้แล้วแก้อีก อย่างที่เป็นคดีความตามหน้าหนังสือพิมพ์ คนที่คิดจะทำศัลยกรรมมักคิดแง่เดียวว่าจะต้องดี ที่หนักกว่านั้นก็คือว่า คุณรู้หรือไม่ว่าหมอศัลยกรรมความงามหลายคนไม่ได้เรียนจบมาทางศัลยกรรมความงาม แต่ฝึกเอาเองเนื่องจากงานนี้รายได้ดี มีคนพร้อมทุ่มหมดตัว ขอให้สวยเท่านั้น 43. รับประทาน(ยา) วิตามิน อี หรือ ซี เพื่อป้องกันมะเร็งอย่าดีกว่า เสียสตางค์ฟรี เพราะในการทดสอบที่สหรัฐอเมริกาที่ทำกับหมอ 15,000 คนที่รับประทานวิตามิน อี และ ซี มาสิบปี ปรากฏว่าไม่มีผลที่แสดงว่าวิตามินเหล่านี้ช่วยลดอัตราการเป็นมะเร็ง ในทางกลับกัน การรับประทานวิตามินมากเกินไปอาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคได้ 44. ซื้อเครื่องสำอางที่เขียนว่าผ่านการทดสอบจากห้องทดลองแล้ว ไม่มีอะไรขายง่ายเท่าผลิตภัณฑ์ความงาม ดูตามซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านขายยาสมัยนี้ เครื่องสำอางได้แทรกเข้ามาขายง่ายๆ เหมือนขายนมกระป๋อง หรือยาธาตุน้ำแดง ขอเพียงแต่มีคนเชียร์แขก มีคำโฆษณาฝันหวานและคำรับประกันที่หาคนพิสูจน์ไม่ได้ว่าจริง เช่นเครื่องสำอางนี้ผ่านการทดสอบวิจัยจากห้องแลปทดลองที่ประเทศ ...อะไรก็ได้ที่ฟังแล้วดูดี ก็จะขายได้ทันที แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่อ้างมามักจะเป็นแค่มุขใหม่ของการตลาดเท่านั้นเอง 45. กินอาหารเสริมก็เราจ่ายเงินซื้ออาหารรับประทานวันละ 3 มื้ออยู่แล้ว เราไม่มีความจำเป็นจะต้องจ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (อาหารเสริม) ที่ไม่ได้มีอะไรมากกว่าอาหารที่เรารับประทานปรกติ อาหารเสริมนอกจากแพงแล้ว ยังไม่มีประโยชน์ สู้จ่ายเงินซื้อผัก ผลไม้ดีๆ มารับประทานพร้อมๆ มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอดีกว่า 46. มีนาฬิกาแพงๆนาฬิกาแพงๆ นั้น เป็นค่านิยมที่คนขายพยายามทำให้คนทั้งโลกเชื่อว่าเขาจะเป็นคนพิเศษทันทีด้วยนาฬิการุ่นนี้ แต่การเป็นคนพิเศษไม่ควรตัดสินด้วยนาฬิกา (อย่างที่คนเชื่อกัน) อย่าลืมว่าไอ้ราคา 199 กับ 19,999 ก็ดูเวลาได้เหมือนกัน 47. ซื้อหนังสือยอดนิยมทุกเล่มหนังสือยอดนิยมทุกเล่มแปลว่าแต่ละเล่มมีคนจำนวนมากซื้ออ่าน แต่อย่าลืมว่าคนแต่ละกลุ่มจะเลือกซื้อหนังสือที่เหมาะกับตัวเอง หรืออ่านแล้วสนุก แปลว่าเราไม่ต้องมีหนังสือยอดนิยมทุกเล่มหรอก หาหนังสือที่ตัวเองชอบ แม้ไม่ได้เป็นหนังสือยอดนิยมก็ตาม 48. ซื้ออาหารฟาสต์ฟู้ดเอาของแถมต้องยอมรับว่านักการตลาดต่างประเทศมีมุขล่อผู้บริโภคอย่างชาญฉลาด มีหลายครั้งที่เขาปั่นยอดขายอาหารฟาสต์ฟู้ด โดยเอาของกระจุกกระจิกมาแถม โดยที่ในแต่ละชุดจะมีแบบออกใหม่ทุกอาทิตย์ ทำให้คนสะสมต้องกลับมากินทุกอาทิตย์ แล้วของเหล่านั้นท้ายที่สุดก็มาเก็บไว้ก็รกบ้าน กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าเป็นเหยื่อนักการตลาดอีกแล้วอาจจะติดรสชาติอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ไม่มีคุณค่าอาหารไปเรียบร้อยแล้ว 49. กินแบรนด์หรือซอยเปปไทด์ก่อนสอบ ไม่ต้องกินของเหล่านี้ก็ได้ หากขยันและมีการเตรียมตัวที่ดีก็สอบได้แน่นอน ของพวกนี้ทำมาเพื่อการขายน่ะ ราคามันแพงและไม่มีการันตีว่าจะสอบได้จริงหรอก 50. ไม่ต้องผอมเหมือนนางแบบ ถ้าอาชีพคุณไม่ใช่นางแบบ มันก็ไม่มีเหตุผลที่คุณจะต้องอดอาหาร ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ นางแบบมีลูกยากเพราะร่างกายจะขาดสารอาหารตั้งแต่อายุน้อยๆ แล้วหากคุณมีโอกาสไปพูดคุยกับนางแบบบางคนเขาจะสารภาพว่าเขาทรมานแค่ไหนที่ต้องอดอาหารอร่อยๆ เพียงเพราะว่าเขาต้องรักษาอาชีพนี้ไว้ด้วยรูปร่างที่ผอมเพียว 51. กินขนมเค้กวันเกิดมีอย่างอื่นที่ประหยัดและถูกกว่า มีข้อคิดอีกอย่างเรื่องวันเกิดว่าแทนที่เราจะไปฉลองการเกิดตัวเอง เราควรพาคุณพ่อคุณแม่ไปเลี้ยงขอบคุณที่ให้ชีวิตและเลี้ยงดูเราแทน 52. เจิมรถ ถ้าคนขับรถขับด้วยความประมาท หรือขับไปคุยโทรศัพท์ไป หรือขับรถเร็วเกินพิกัด การเจิมรถก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ 53. ซื้อหวยเคยรู้จักใครที่ซื้อหวยเป็นประจำแล้วรวยได้บ้าง ส่วนมากจะถูกเล็กๆ น้อยๆ แต่กลับกลายเป็นคนติดการซื้อหวยจนใกล้กับการติดพนัน แต่แม้กระทั่งคนที่ถูกหวยที่หนึ่ง มักจะกลายเป็นคนไม่มีเงินเหลือหรือก็เป็นคนไม่มีความสุข อย่างคนที่คนถูกหวยที่อเมริกาได้เงินหลายสิบล้านดอลล่าร์ ท้ายสุดกลายเป็นคนไม่มีเพื่อน (เพราะทุกคนเข้ามาขอเงิน) และไม่มีความสุข (เพราะไปไหนคนก็ขอเงิน) 54. เป็นหนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ความสามารถของพวกนายทุนหนึ้คือการทำให้การเป็นหนี้กลายเป็นสิ่งที่ดูดีในสังคมสมัยใหม่ เพราะมาในรูปแบบ บัตรเงินสดที่ดูทันสมัย เก๋ไก๋ หรือบัตรเครดิต บัตรสมาชิก ล้วนแล้วแต่ชักชวนให้คนมาเป็นหนี้ ทำให้เอาเงินออกมาใช้ให้ง่ายที่สุด กว่าจะรู้ตัว เราก็กลายเป็นหนี้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด 55. เล่นหุ้นการเล่นหุ้นเคยเป็นความมั่นคงในชีวิตสำหรับหลายคนที่คิดว่าจะเอาเงินไปทำงานให้ แต่วันดีคืนดี ตลาดหุ้นก็ล้มโครม คนที่เคยร่ำรวยจากการได้เงินง่ายๆ กลับกลายเป็นคนหมดตัว สูญเสียทรัพย์สิน ถ้าไม่รู้จริง อย่าเสี่ยงดีกว่า 56. อ่านหนังสือ gossip ดาราที่ชอบลงรูปฝีมือปาปาราชซี่ก็เพราะคนอ่านแบบเราๆ ที่สนับสนุนหนังสือพวกนี้นะซิ ถึงทำให้มีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของพวกดาราที่โดนรังควานโดยช่างภาพที่ต้องการหาเงินจาก ช็อตเด็ด ซึ่งบางครั้งทำให้ครอบครัวแตกแยก หรืออาชีพล่มสลาย มีหนังสือที่สร้างสรรมากกว่านั้นมากมายที่น่าอ่าน 57. ไหว้นักการเมืองขี้โกง พินอบพิเทาข้าราชการขี้ฉ้ออย่าทำให้นักการเมืองขี้โกง หรือข้าราชการขี้ฉ้อ ที่เชื่อมั่นว่า ไม่ว่าจะโกงแค่ไหน โดนเปิดโปงอย่างไรถ้าตำแหน่งใหญ่ซะอย่าง คนไทยก็ยังกราบยังไหว้เพราะมีมารยาทดี ถ้าเป็นต่างประเทศ พวกนี้อยู่ในตำแหน่งไม่ได้แล้ว 58. ต้องมีโทรศัพท์ 3Gคำถามแรก คุณต้องใช้โทรศัพท์มือถือเพื่อทำอะไรบ้าง มีโทรศัพท์ที่มีทุกอย่างอยู่แล้ว แล้วทำไมต้อง 3G59. กินมันฝรั่งทอด (potato chip)มันฝรั่ง potato chip นั้น ทำมาจากมันฝรั่งจีเอ็มโอทั้งนั้น มันยังไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าพืชดัดแปลงนี้กินแล้วปลอดภัย มีแต่รายงานการแพ้และผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกับแมลงที่มีประโยชน์ต่อธรรมชาติ แม้แต่ผีเสื้อก็ตายได้เพราะไปตอมพืชพวกนี้ และอาจจะมีผลกระทบต่อจุลินทรีย์ในดินของแปลงที่ปลูกพืชดัดแปลงพันธุกรรมด้วย 60. ใส่เสื้อผ้ายี่ห้อ หิ้วกระเป๋าแบรนด์เนม โดยเฉพาะรุ่น limited editionอะไรกันนี่ คนไทยชอบเอาเนื้อหนูไปปะเนื้อช้าง เจ้าของสินค้ายี่ห้อที่ร่ำรวยมหาศาลจากการจ้างคนออกหัวคิดแพงๆ แล้วมาทำสินค้าให้แพงเว่อร์ๆ มากๆ มาขายทั่วโ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 100 หูฟังบลูทูธ 2009

กลับมาอีกครั้งกับผลทดสอบหูฟังบลูทูธ ประจำปีนี้ โดยองค์กรทดสอบ International Consumers Research and Testing (หรือ ICRT ที่วารสารฉลาดซื้อและวารสารเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกเป็นสมาชิก)   คราวนี้มีหูฟังมานำเสนอสมาชิกทั้งหมด 23 รุ่น (แบบธรรมดา 18 รุ่น และแบบที่เป็นหูฟังสเตอริโออีก 5 รุ่น) ฟังก์ชั่นพื้นฐานที่ทุกรุ่นมีเหมือนกันได้แก่การโทรออกด้วยเสียงและปรับความดังของเสียง ส่วนการเรียกซ้ำหมายเลขสุดท้ายที่โทรออกนั้นทุกรุ่นสามารถทำได้ ยกเว้นบลูเทรค metal และทุกรุ่นมีการแจ้งเตือนในรูปแบบของสัญญาณไฟหรือเสียงเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด ยกเว้นจาบรา BT2050   เอาล่ะ หูฟังบลูทูธรุ่นไหนมีความโดดเด่น และมีลักษณะเฉพาะตัวอย่างไร ดูได้จากตารางข้างล่างนี้>> ดาวโหลด ตารางผลการทดสอบ ค่ะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า150 Point

ฉบับที่ 100 น้ำตาลในอาหารเสริมสำเร็จรูปของเด็กเล็ก

  “อาหารเสริม” เวลาที่พูดถึงคำๆ นี้มักจะชวนให้คิดถึง บรรดาผลิตภัณฑ์ที่อ้างสรรพคุณว่ากินแล้วดีต่อสุขภาพ ทำให้สวย ขาว หรือแข็งแรงเว่อร์ๆ อะไรประมาณนั้น ซึ่งในทางกฎหมายเขามีชื่อที่นิยามไว้เฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์ที่กล่าวมานี้ว่า “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” ไม่ใช่ “อาหารเสริม” เพราะอาหารเสริม โดยแท้จริงแล้วจะหมายถึง อาหารที่ให้เด็กรับประทานเสริมจากนมแม่หรือนมผสม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถเตรียมขึ้นเอง หรือบางครั้งก็เลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบบสำเร็จรูปที่ขายในท้องตลาดแทน จากงานวิจัยของกองทันตสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2551 พบว่า เด็กอายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไปเริ่มมีการบริโภคอาหารเสริมถึงร้อยละ 52.7 ปัญหาคือ เป็นอาหารเสริมปรุงสำเร็จ หรือกึ่งสำเร็จรูป ที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลักในปริมาณสูง ซึ่งมันมีผลต่อการ “ติดรสหวาน” ของเด็กในอนาคต ฉลาดซื้อได้ทดลองหยิบผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่วางขายทั่วไป และมียอดขายลำดับต้นๆ มาทดสอบหาปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ว่าจะ “หวาน” กันสักแค่ไหน ผลปรากฏว่า หวานมากเมื่อคิดว่าเป็นอาหารที่ป้อนให้ลูกน้อยรับประทานเสริมในช่วงปีแรกของชีวิต เรียงลำดับ 3 อันดับหวานมาก ได้แก่ 1. เนสท์เล่ ซีรีแลค สูตรผสมน้ำผึ้ง ปริมาณน้ำตาล 19.9 กรัม/ผลิตภัณฑ์ 100 กรัม หรือประมาณ 5 ช้อนชา2. เนสท์เล่ ซีรีแลค สูตรผลไม้รวม ปริมาณน้ำตาล 18.8 กรัม/ผลิตภัณฑ์ 100 กรัม หรือประมาณ 4 ช้อนชาครึ่ง 3. เนสท์เล่ ซีรีแลค ข้าวโอ๊ต&ลูกพรุน ปริมาณน้ำตาล 18.2 กรัม/ผลิตภัณฑ์ 100 กรัม หรือประมาณ 4 ช้อนชา อย่าปล่อยให้เด็กติดหวาน การดูแลเรื่องอาหารการกินในวัยต้นของชีวิต โดยเฉพาะช่วงขวบปีแรกถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากพ่อแม่คิดจะสร้างความแข็งแรง ความมีสุขภาพดีให้แก่ลูกรักที่จะเติบโตต่อไปเป็น “เด็กฉลาด แข็งแรง” และ “ผู้ใหญ่สุขภาพดี” หลังคลอดอาหารที่ดีที่สุดคือ นมแม่ ซึ่งสามารถให้ได้ถึง 6 เดือน โดยไม่ต้องกินอย่างอื่น จากนั้นจึงค่อยๆ เสริมด้วยอาหารอื่นเพื่อให้เด็กได้รับสารอาหารที่เพียงพอสมวัย หรือหากไม่ได้กินนมแม่ตลอดมีการให้นมผงผสมผสานในการเลี้ยงดู ก็จำเป็นต้องให้อาหารอื่นเสริมไวขึ้น  อาหารเสริมที่คุ้นเคยกันดี ก็เช่น กล้วยน้ำว้าบด ข้าวบด ไข่แดงบด และอาจรวมไปถึงเนื้อสัตว์ผัก และปลา ซึ่งเตรียมเองได้ง่ายๆ ในครัวเรือน แต่ด้วยสภาพสังคมที่อาจจะไม่เอื้อต่อคุณพ่อคุณแม่หลายท่าน ส่งผลให้พ่อแม่ไม่มีเวลามากพอในการจัดเตรียมอาหารเสริมแบบปรุงเองเพื่อป้อนให้ลูกน้อยได้ ก็จำเป็นต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ปรุงสำเร็จรูปมาป้อนเข้าปากลูกแทน ซึ่งจุดนี้อาจถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง “ติดรสหวาน” จากการศึกษา พบว่า เด็กไทยอายุมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป ร้อยละ 52.7 เริ่มบริโภคอาหารเสริมสำเร็จรูป นั่นเท่ากับว่า เด็ก 1 ใน 2 คน มีโอกาสได้ลิ้มรสชาติ “น้ำตาล” ตั้งแต่อายุเพียง 6 เดือนเท่านั้น เพราะอาหารเสริมปรุงสำเร็จส่วนใหญ่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบเพื่อเพิ่มรสชาติ ติดรสหวานไม่ดีอย่างไร เรื่องนี้พิสูจน์ได้ด้วยสถานการณ์สุขภาพเด็กไทยในปี พ.ศ.2545 ที่พบเด็กฟันผุมากถึงร้อยละ 72 จนหน่วยงานทั้งหลายต้องเร่งออกมาศึกษาและหาทางแก้ไขกันยกใหญ่ ซึ่งจุดหนึ่งของปัญหาคือ พบว่า เด็กไทยเริ่มกินนมสูตรต่อเนื่องที่มีน้ำตาลผสมในปริมาณสูง ทำให้น้ำตาลสะสมในช่องปากก่อให้เกิดฟันผุ แต่หลังจากที่หลายองค์กรทางด้านสุขภาพได้ช่วยกันรณรงค์ผลักดันให้กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศ สธ.ที่ 286 ห้ามไม่ให้เติมน้ำตาลในนมสูตรต่อเนื่องสำหรับเด็ก รวมทั้งเร่งให้การศึกษาพ่อแม่ให้ดูแลสุขภาพภายในช่องปากของลูก ทำให้พบว่า เด็กไทยมีแนวโน้มฟันผุน้อยลงมาหน่อย คือ ร้อยละ 62.8 ในปี พ.ศ. 2550 ติดรสหวานไม่เพียงทำให้ฟันผุ (ซึ่งอาจแก้ได้ด้วยการแปรงฟันที่ถูกวิธี) แต่ยังทำให้เด็กปฏิเสธอาหารรสชาติธรรมชาติ ตลอดจนอาหารอื่น โดยเรียกร้องแต่จะกินอาหารที่หวานด้วยน้ำตาลเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นขนมขบเคี้ยว ขนมถุง น้ำหวานหรือน้ำอัดลม ส่งผลให้เด็กมีภาวะน้ำหนักเกิน ขาดสารอาหาร และมีแนวโน้มเจ็บป่วยด้วยโรคที่ไม่ควรเกิดในเด็กเล็ก อย่าง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ดังนั้นหากไม่อยากให้ลูกติดรสหวาน ถ้าจำเป็นต้องเลือกอาหารเสริมสำเร็จรูป ก็ควรเลี่ยงที่มีส่วนผสมของน้ำตาล พยายามทำอาหารให้ลูกกินเองให้ได้มากที่สุด ใช้อาหารเสริมเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อไม่ให้ลูกของคุณกลายเป็นเด็กที่อ้วนแต่อ่อนแอ และหากพ่อแม่คนไหนยังมีความเชื่อว่าอาหารเสริมกึ่งสำเร็จรูปสำหรับเด็กเป็นอาหารที่ดี มีประโยชน์มากกว่าอาหารปกติ ขอให้ข้อคิดว่า อาจไม่เป็นเรื่องจริงก็ได้ เพราะความจริงคือ ไม่น่าจะมีอะไรวิเศษไปกว่าอาหารสดที่เราหาซื้อได้จากตลาดและนำมาปรุงเอง อาหารที่เตรียมเองไม่ต้องผ่านกระบวนการผลิต การบรรจุขวด ซึ่งผ่านขั้นตอนที่ทำลายคุณค่าอาหารและยังอาจมีสารกันบูดผสมด้วย ดังนั้นในยุคเศรษฐกิจฝืดๆ แบบนี้ อาหารเสริมสำเร็จรูปจากต่างประเทศ “ราคาแพงเกินไป” ทำเองดีกว่า ถูกกว่าและปลอดภัยกว่าแน่นอน ผลทดสอบปริมาณน้ำตาลในอาหารเสริมกึ่งสำเร็จรูปสำหรับเด็ก   ผลิตภัณฑ์ น้ำหนัก (กรัม) ราคาต่อหน่วย (บาท) วันผลิต – วันหมดอายุ น้ำตาล (กรัมต่อ 100 กรัม) เนสท์เล่ ซีรีแลค สูตรผสมน้ำผึ้ง 120 38.75 10-11-08 09-02-10 19.9 เนสท์เล่ ซีรีแลค สูตรผลไม้รวม 120 38.75 19-11-08 18-02-10 18.8 เนสท์เล่ ซีรีแลค ข้าวโอ๊ต&ลูกพรุน 150 120.75 16-05-08 15-08-09 18.2 เนสท์เล่ ซีรีแลค ข้าว แอปเปิลและแครนเบอรี่ 150 120.75 29-05-08 28-08-09 16.2 ไฮนซ์ แอปเปิ้ลผสมบลูเบอร์มูสลี่ 110 41.25 01-07-08 01-07-10 7.8 ไฮนซ์ คัสตาร์ด กลิ่นวานิลลา 110 41.25 04-06-08 04-06-10 6.7 ไฮนซ์ คัสตาร์ด รสไข่ 110 41.25 06-06-08 06-06-10 5.8   อายุ อาหารเสริม ครบ 4 เดือน ข้าวบดใส่น้ำแกงจืด สลับกับกล้วยน้ำว้าสุกครูด ข้าวบดกับไข่แดงต้มสุก ข้าวบดกับตับ หรือข้าวบดกับถั่วต้มเปื่อย ครบ 5 เดือน เริ่มอาหารปลา และควรเติมฟักทองหรือผักบดละเอียดในข้าวด้วย ครบ 6 เดือน ให้อาหารเสริมเป็นอาหารหลัก 1 มื้อ และให้กล้วย มะละกอสุก องุ่น มะม่วงสุก เป็นอาหารว่างอีก 1 มื้อ โดยตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ถ้วยให้ลูกหยิบรับประทานเองได้ และให้เริ่มดื่มน้ำส้มได้โดยผสมกับน้ำสุก 1 เท่าตัว ควรเริ่มทีละน้อยก่อน เช่น 1 ช้อนชา ครบ 7 เดือน เริ่มเนื้อสัตว์บดผสมในข้าว เริ่มให้ไข่ทั้งฟองได้ แต่ต้องต้มสุก ครบ 8-9 เดือน อาหารมื้อหลัก 2 มื้อ ถ้าลูกน้ำหนักตัวน้อย อาหารอาจเป็นของทอดที่มีน้ำมันด้วย ครบ10-12 เดือน อาหารมื้อหลัก 3 มื้อ และเปลี่ยนจากบด หรือสับละเอียดมาเป็นอาหารอ่อนนิ่มธรรมดาได้แล้ว   ปัจจุบันผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับเด็กมีมูลค่าตลาดราว 427 ล้านบาท โดยมีผลิตภัณฑ์ภายใต้เนสท์เล่ เป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 97% หลักเกณฑ์ทั่วไปการให้อาหารเสริมแก่ทารก      1) เริ่มให้อาหารเสริมทีละอย่าง ไม่ควรให้พร้อมกันหลายอย่าง เพราะถ้าเด็กเกิดอาการแพ้ จะได้ทราบว่าเกิดจากอาหารอะไร     2) การเริ่มให้อาหารเสริมแต่ละชนิด ควรเว้นห่างกัน 1-2 สัปดาห์ เพื่อคอยสังเกตดูว่าเด็กมีอาการผิดปกติอะไรหรือไม่ เช่น มีผื่นตามผิวหนัง ร้องกวนมาก ไอ หอบ     3) เริ่มให้ทีละน้อยจากครึ่งช้อนชา แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น     4) เตรียมอาหารให้เหมาะกับอายุและพัฒนาการของเด็ก     5) ต้องระวังสนใจเรื่องความสะอาดให้มาก ผู้ปรุงต้องล้างมือให้สะอาดก่อนปรุง ภาชนะต้องต้มฆ่าเชื้อให้สะอาด แยกต่างหากจากของผู้อื่น อาหารต้องใหม่สด และต้มให้สุกอย่างทั่วถึง และเมื่อปรุงเสร็จแล้วต้องมีฝาปิดมิดชิดกันแมลงวันตอม     6) อาหารของทารกต้องรสไม่จัด ปรุงรสเพียงเจือจาง และไม่ใส่ผงชูรส     7) ให้เด็กรับประทานอาหารเป็นเวลา เป็นที่เป็นทาง ไม่เล่นไปด้วย ควรสร้างบรรยากาศให้เพลิดเพลินสนุกสนาน และหากเด็กปฏิเสธให้หยุดไปก่อน แล้วค่อยเริ่มใหม่ในอีก 3-4 วัน     8) ให้เด็กหัดช่วยตัวเอง หัดถือช้อนเอง หัดหยิบอาหารเข้าปากเอง โดยทั่วไป เด็ก 6-7 เดือนจะนั่งได้ และเริ่มอยากจะช่วยตัวเอง นำอาหารเข้าปากเอง     9) ไม่ควรให้น้ำหวาน กลูโคส น้ำอัดลม เพราะไม่มีประโยชน์ ทำให้ไม่อยากรับประทานอาหารอื่นที่มีประโยชน์(ข้อมูล ภญ. อ. ดร. สุญานี พงษ์ธนานิกร ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)   วิเคราะห์โดย สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดลผลการวิเคราะห์เฉพาะตัวอย่างที่ส่งตรวจเท่านั้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

นิตยสารออนไลน์ ฉบับที่ 100 เสียงผู้บริโภค

เสียงผู้บริโภคศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค เที่ยวเกาะหลีเป๊ะแบบเปลือยๆ กับบริการพิเศษไทยแอร์เอเชีย“กระเป๋าของฉันอยู่ไหน”คุณอิสริยาเดินจูงมือน้องชายที่บินมาด้วยกันจากสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อสอบถามกับพนักงานของบริษัทไทยแอร์เอเชียที่ประจำอยู่ที่สนามบินหาดใหญ่ว่า ทำไมไม่เห็นกระเป๋าเสื้อผ้าของตนและน้องชายที่เตรียมไว้สำหรับไปเที่ยวเกาะหลีเป๊ะที่จังหวัดสตูลจำนวน 5 วันเสียที ทั้งๆ ที่ลงเครื่องมานานแล้ว พนักงานให้คำตอบอันสุดแสนประทับใจว่า ทางสายการบินไม่ได้โหลดกระเป๋าขึ้นเครื่องมาด้วย และวันนี้ก็คงจะส่งตามมาไม่ทัน “แล้วอย่างงี้จะเที่ยวได้ยังไงเนี่ย” คุณอิสริยารำพึงกับตัวเอง รู้สึกว่าทำไมเช้านี้ชีวิตถึงได้อับโชคขนาดนี้ กะว่าจะเที่ยวเกาะหลีเป๊ะกับน้องชายให้ครึกครื้นเศรษฐกิจไทยคึกคักตามคำคุยของ ททท. เสียหน่อย แต่ต้องมาเจอบริการพิเศษที่ไม่ได้สั่งจองจากไทยแอร์เอเซียที่ให้บินมาได้แต่ตัว แต่กระเป๋าเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นอื่นๆ ไม่บินมาด้วย พอสอบถามเพิ่มเติมว่าจะได้เห็นกระเป๋าเมื่อไหร่ พนักงานบอกว่า คงจะได้รับในช่วงบ่ายของวันรุ่งขึ้นโดยทางสายการบินจะฝากกระเป๋าไปกับเรือส่งให้ถึงรีสอร์ตบนเกาะ คุณอิสริยากับน้องชายไม่มีทางเลือกเพราะต้องเดินทางไปที่ จ.สตูลให้ทันเรือรอบ 11.30 น. เพื่อไปพักที่เกาะหลีเป๊ะ จึงได้ทำเรื่องทิ้งไว้และไปปักหลักรอกระเป๋าเสื้อผ้าที่เกาะ ซึ่งคืนนั้นคุณอิสริยาและน้องชายต้องแก้ปัญหาด้วยการซื้อเสื้อผ้ามาใส่ประทังไปก่อน พอถึงวันรุ่งขึ้นแทนที่จะได้ออกไปเที่ยวทะเลดำน้ำเหมือนนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ คุณอิสริยาต้องมานั่งรอกกระเป๋าอยู่ในที่พัก รอจนถึงบ่ายสองโมงก็ยังไม่เห็นกระเป๋าสุดที่รัก จึงโทรไปถามกับพนักงานไทยแอร์เอเชีย ได้รับแจ้งว่า ได้ทิ้งกระเป๋าไว้ให้กับบริษัทเรือที่จะมาเกาะหลีเป๊ะแล้วแต่บริษัทเรือไม่ได้นำลงเรือไปเกาะด้วย ทำให้คืนนั้นคุณอิสริยาและน้องชายต้องซื้อเสื้อผ้าใส่กันอีกหนึ่งชุด คุณอิสริยามาได้กระเป๋าในวันที่สามของการท่องเที่ยวครั้งนี้ในเวลาประมาณบ่ายสามโมงกว่าๆ สรุปว่ามาเที่ยว 5 วัน ใช้เวลา 3 วันเพื่อรอกระเป๋าและได้เที่ยวจริงๆ เพียงแค่ 2 วัน ด้วยอารมณ์บูดสุดๆ พอถึงวันเดินทางกลับคุณอิสริยาได้ร้องเรียนเรียกค่าเสียหายกับไทยแอร์เอเชียที่ทำกระเป๋าตกทั้งเครื่องบิน ตกทั้งเรือจนไม่มีเสื้อผ้าใส่ ซึ่งไทยแอร์เอเชียแสดงความรับผิดชอบชดใช้เงินให้กับคุณอิสริยาและน้องชายคนละ 300 บาท บวกค่าเรือไปรับกระเป๋าอีก 100 บาทรวมเป็นเงิน 700 บาท พร้อมสำทับว่านี่คือมาตรฐานความรับผิดชอบค่าเสียหายของบริษัท คุณอิสริยาเห็นหลักในการชดใช้ดังกล่าวของไทยแอร์เอเชียแล้วต้องบอกว่า รับไม่ได้ “ถ้าดิฉันเป็นคนหาดใหญ่แล้วไม่ได้รับกระเป๋าจะต้องรอกี่วันก็ไม่เดือดร้อน เพราะรออยู่ที่บ้านตัวเอง แต่นี่ดิฉันและน้องชายเดินทางไปพักผ่อนในเวลาจำกัดและไปพักบนเกาะ ความเดือดร้อนและความเสียหายมันต่างกัน แล้วไม่ใช่แค่วันเดียว แต่เป็น 2 คืน 3วันที่กว่าจะได้รับกระเป๋า...” เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ท้ายสุดคุณอิสริยาจึงร้องเรียนมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อให้ช่วยแก้ปัญหานี้ แนวทางแก้ไขปัญหามูลนิธิฯ ได้ช่วยทำจดหมายประสานไปยังไทยแอร์เอเชีย ซึ่งในเวลาต่อมาสายการบินราคาประหยัดแห่งนี้ได้มีจดหมายชี้แจงถึงสาเหตุที่กระเป๋าผู้โดยสารมีอันต้องตกเครื่องบินและตกเรือว่า ปัญหาเริ่มต้นมาจากระบบการลำเลียงสัมภาระได้ส่งสัมภาระมาล่าช้า จึงเป็นสาเหตุให้สัมภาระที่ลงทะเบียนไม่ได้ถูกส่งไปพร้อมกับเที่ยวบินที่ผู้เสียหายเดินทาง บริษัทฯ ได้รีบดำเนินการจัดส่งไปในเที่ยวบินถัดไปของวันเดียวกันซึ่งออกจากกรุงเทพฯเวลา 10.40 ถึงหาดใหญ่เวลา 12.05 น. และนำไปส่งบริษัทเรือที่ท่าเรือปากบารา จังหวัดสตูล เพื่อส่งขึ้นเรือและนำไปส่งที่หลีเป๊ะ แต่มาไม่ทันเวลาเรือที่ออกไปหลีเป๊ะ จึงแจ้งให้บริษัทเรือจัดส่งให้ในวันถัดไป จนกระทั่งได้รับการติดต่อจากผู้ร้องว่ายังไม่ได้รับกระเป๋า ไทยแอร์เอเชียจึงติดต่อไปยังบริษัทเรือ ถึงทราบว่าบริษัทเรือลืมนำสัมภาระลงเรือ จึงต้องจัดส่งให้ในวันต่อไป อย่างไรก็ดี ไทยแอร์เอเชียได้พิจารณาให้ผู้ร้องเป็นกรณีพิเศษ โดยชดเชยค่าเสียหายให้เป็นจำนวนเงิน 1,100 บาท เป็นทั้งค่าเสื้อผ้าและค่าเรือที่ผู้ร้องจ่ายเพื่อไปรับกระเป๋า ซึ่งเป็นจุดที่คุณอิสริยาพอที่จะรับได้จึงยินยอมรับเงินชดเชยค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวในท้ายที่สุด ตกร่องน้ำในห้างดัง เรียกค่าเสียหายได้หรือไม่พื้นที่ในห้างสรรพสินค้าถือเป็นพื้นที่ของเอกชนที่เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าใช้บริการได้ตามเวลาที่กำหนด ซึ่งเจ้าของพื้นที่มีหน้าที่ต้องดูแลรับผิดชอบความปลอดภัยให้กับผู้ใช้บริการอย่างเหมาะสม หากวันใดคุณเกิดอุบัติเหตุหกล้มหัวร้างข้างแตกเพราะทางห้างมิได้จัดอุปกรณ์ป้องกันภัยให้เหมาะสม ในฐานะผู้ใช้บริการสามารถใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ ในเวลาเย็นย่ำของวันที่ 12 มกราคม 2550 ระหว่างที่คุณสุดา กำลังเดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อไปยังจังหวัดลำปาง เธอได้ขับรถยนต์แวะเข้าไปใช้บริการที่ห้างบิ๊กซีซูปเปอร์ สาขาลำปาง เพื่อซื้อเครื่องใช้ส่วนตัว ครั้นซื้อสินค้าเสร็จสิ้นและกำลังเดินทางกลับมาขึ้นรถที่บริเวณลานจอดรถ ตรงทางสามแยกปรากฏว่ามีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งตรงมาตามทางเดินรถที่ไม่มีลูกระนาดด้วยความเร็วในระยะประชิด คุณสุดาตกใจเกรงว่าตนจะถูกรถชน จึงก้าวขึ้นไปบนเกาะกลางถนนที่ไม่มีไฟฟ้าส่องสว่างเพื่อหลบรถยนต์ที่วิ่งเข้าใส่ “เฮ้อ....” คุณสุดา ถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่ต้องถูกรถมาเชี่ยวชน เพื่อความปลอดภัยเธอจึงตัดสินใจหลบไปอีกด้านหนึ่งและก้าวลงจากเกาะกลางถนนด้านที่มืดสลัว โดยไม่ทันได้สังเกตว่าจุดที่ก้าวเท้าเหยียบลงไปนั้นเป็นร่องรางน้ำรูปตัววีที่ไม่มีฝาปิด ทำให้เท้าทั้งสองข้างลื่นไถลตกลงร่องรางน้ำรูปตัววีต่างระดับนั้นและเสียหลักลื่นล้มลงอย่างแรง กระดูกข้อเท้าขวาหลุดและแตกหัก อาการหนักพอดู.... หลังเกิดเหตุคุณสุดาถูกนำตัวส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเขลางค์นครราม-ลำปาง แต่ถึงอาการจะหนัก เธอยังพอมีสติที่จะถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวแทนของห้างฯที่มาเยี่ยม “เอ่อ..ทางห้างฯ ต้องขอยอมรับกับสภาพที่เกิดเหตุที่มีปัญหาและจะเร่งแก้ไขนะครับ และสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นทางห้างฯ จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเองครับ โดยเราขอให้คุณพักรักษาตัวที่ลำปางนี้นะครับ” ตัวแทนของห้างแจ้งให้ทราบ ในขณะที่คุณสุดายังไม่ได้คิดอะไร เพราะมึนกับอาการบาดเจ็บ วันต่อมาคุณสุดา ครุ่นคิดในใจหลังได้ปรึกษากับญาติและทีมแพทย์ของโรงพยาบาลพระมงกุฎฯที่กรุงเทพ ที่แนะนำให้มาฟื้นฟูร่างกายที่กรุงเทพฯ จะดีกว่า เนื่องจากเธอเป็นคนสูงอายุและไม่ใช่คนในพื้นที่ การที่ญาติจะมาดูแลย่อมเป็นเรื่องที่ลำบาก เธอจึงตัดสินใจแจ้งกับตัวแทนของห้างฯ เพื่อขอย้ายตัวมารักษาฟื้นฟูร่างกายที่กรุงเทพฯ แทน “ทางเรายังคงขอให้คุณรักษาตัวที่นี่ต่อไปนะครับ ห้างฯ สาขาลำปางไม่สามารถรับผิดชอบค่าใช้จ่ายนอกพื้นที่จังหวัดลำปางได้ครับ แต่ยังไงต้องขอนำข้อเสนอนี้กลับไปเรียนผู้บริหารอีกครั้งก่อน และจะแจ้งกลับมาให้ทราบอีกครั้งครับ “ ตัวแทนระดับหัวหน้าผู้ดูแลลูกค้าแจ้งให้ทราบ คุณสุดา เฝ้ารอคำตอบจากห้างอยู่สองวันก็ยังไม่มีคำตอบใดๆ จึงตัดสินใจเดินทางเพื่อมารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ กรุงเทพฯ ตามคำแนะนำของญาติและแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด ในเวลาเดียวกัน คุณโสภณเพื่อนของคุณสุดาที่อยู่ลำปางนั้นได้เข้าพบตัวแทนของห้างระดับผู้บริหารเพื่อรับฟังคำอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งคำอธิบายที่ได้รับฟังนั้นสอดคล้องกับหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงของห้างที่มีถึงคุณสุดาว่า บริษัทมีความมั่นใจโดยสุจริตว่า บริษัทมิได้มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบต่อความบาดเจ็บทั้งหมด.....” สรุปง่ายๆ คือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นคุณสุดาทำเองไม่เกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยของห้างฯ เลย และจากคำชี้แจงฉบับลายลักษณ์อักษรของห้างฯ นับเป็นการแสดงความรับชอบแต่ไม่รับผิด ในฐานะผู้ประกอบการที่ปราศจากความระมัดระวังในการให้บริการประชาชนผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการแต่อย่างใด คุณสุดา จึงแจ้งเรื่องเข้ามาที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค เพื่อขอเรียกร้องสิทธิทางกฎหมายและความรับผิดชอบจากทางห้าง และอยากให้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการสู้เพื่อพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค แนวทางแก้ไขปัญหาศูนย์พิทักษ์สิทธิฯ ร่วมกับศูนย์ทนายความอาสาเพื่อผู้บริโภค ได้ดำเนินการสรุปเรื่องและส่งฟ้องบริษัทบิ๊กซีซูปเปอร์เซ็นเตอร์เป็นจำเลยในคดีต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เรียกค่าเสียหายจำนวน 1,231,205 บาท ในประเด็นความผิดพลาดและความประมาทในฐานะผู้ประกอบการที่มีพื้นที่ให้ประชาชนจำนวนมากเข้าใช้บริการ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายของผู้ใช้บริการ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นมีเหตุผลอันควรที่ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบ จากความประมาทและผิดพลาดในการจัดการพื้นที่ภายในห้างสรรพสินค้า ศาลจึงมีคำพิพากษาให้บริษัทบิ๊กซีซูปเปอร์เซ็นเตอร์ในฐานะจำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับคุณสุดาเป็นเงินจำนวน 405,808.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5% นับแต่วันที่ละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น และดอกเบี้ยถึงวันฟ้องไม่เกิน 81,275 บาท ภายหลังสิ้นสุดคดีในศาลชั้นต้น คู่ความทั้งสองฝ่ายต่างใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาล ทั้งนี้จำเลยได้ขอใช้สิทธิทุเลาการบังคับคดีเพื่อไม่ให้ต้องชำระเงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งศาลได้ให้โอกาสจำเลยในการนำหลักทรัพย์มาวางประกันต่อศาล แต่จำเลยกลับประวิงเวลาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลในการนำหลักทรัพย์มาวางประกันในชั้นทุเลาบังคับคดี ดังนั้นศาลอุทธรณ์ จึงมีคำสั่งยกคำร้องขอทุเลาบังคับคดีของจำเลยเสีย.... ซึ่งแสดงว่า โจทก์ในคดีนี้สามารถตั้งเรื่องยึดทรัพย์บังคับคดีจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ในระหว่างอุทธรณ์นั่นเอง.... เป็นเวลาเกือบสองปีสำหรับการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิของคุณสุดา “ประเด็นสำคัญของการใช้สิทธิทางกฎหมายคือ เราอยากให้เรื่องนี้เป็นประเด็นสาธารณะ ให้สังคมได้รับรู้ในสิ่งที่ห้างสรรพสินค้าในฐานะผู้ประกอบการจะต้องมีความรับผิดชอบที่ดีต่อประชาชนผู้บริโภค ซึ่งถือว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง“ คุณสุดากล่าวทิ้งท้าย   ลูกค้าฮะจิบังท้องร่วงอย่างแรงเหตุอาหารทำพิษเวลาประมาณ 6 โมงเย็นของวันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2552 คุณแพรวพรรณ พร้อมสามีและลูกสาว ได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านฮะจิบัง ราเมน สาขาเทสโก้ โลตัส พระราม 3 ครอบครัวของคุณแพรวพรรณได้สั่งอาหารมารับประทานทั้งหมด 6 รายการ คือ ซารุเซ็ท ที่ประกอบด้วยซารุราเมนและเกี๊ยวซ่า 2 ชุด , ฮะจังเมน , เนงิเรเมน และทาโกะยากิ อย่างละ 1 ชุด นอกจากนี้ยังมีน้ำดื่มยี่ห้อน้ำทิพย์ 2 ขวดและน้ำแข็งเปล่า 3 แก้ว โดยคุณแพรวพรรณรับประทานเกี๊ยวซ่าและทาโกะยากิ สามีรับประทานซารุเซ็ท ฮะจังเมนและเนงิเรเมน ส่วนลูกสาวรับประทานซารุ ราเมน ปรากฏว่า เวลาประมาณตี 1 เศษย่างเข้าวันที่ 10 มีนาคม 2552 คุณแพรวพรรณและสามีเริ่มมีอาการท้องร่วง ถ่ายเป็นน้ำอย่างต่อเนื่องหลายครั้งจนถึงเวลาตีห้า พร้อมอาเจียนมีเลือดปน ในขณะที่ลูกสาวอาเจียนถึง 3 ครั้ง (และมาถ่ายท้องที่โรงพยาบาลอีก 3 ครั้ง) ทั้งหมดถูกส่งเข้าโรงพยาบาลในเช้าตรู่ของวันนั้นนั่นเอง ผลการวินิจฉัยของแพทย์พบว่ามีเชื้อบิดชนิดเฉียบพลันและรุนแรงที่ลำไส้ใหญ่ โดยตัวคุณแพรวพรรณมีอาการรุนแรงที่สุดกว่าทุกคน คือมีอาการท้องร่วงถึงเวลา 6 โมงเช้าของวันที่ 12 มีนาคม 2552 รวม 3 วันนับตั้งแต่วันที่รับประทานอาหารชุดพิเศษจากฮะจิบัง สาขาดังกล่าว ต่อมาคุณแพรวพรรณได้ทำเรื่องร้องเรียนไปที่สำนักงานเขตยานนาวา กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ตั้งของห้างฯ ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ฝ่ายสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาล สำนักงานเขตยานนาวา ได้ทำการตรวจสอบสุขลักษณะของร้านและทำการสุ่มเก็บตัวอย่างอาหาร น้ำแข็งและน้ำดื่มจากร้านอาหารดังกล่าว เพื่อไปตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการจำนวน 10 รายการ ผลปรากฏว่ามีอาหารถึง 7 ตัวอย่างที่ไม่อยู่ในค่ามาตรฐานที่กำหนด ซึ่งแสดงว่าอาจมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียในลำไส้หรือจุลินทรีย์อื่นๆ ที่เป็นพิษจนทำให้เกิดโรคหรืออาการเจ็บป่วยในผู้บริโภคได้ อาหารที่ตกมาตรฐาน 7 รายการคือ บะหมี่(ซารุเซ็ท) , บะหมี่และน้ำซุป (ฮะจังเมน), เนงิเรเมน , ทาโกะยากิ , ซาฮั่ง(ข้าวผัดหมูอบซีอิ๊วญี่ปุ่นไข่) ,ทาราเมน(บะหมี่แห้งราดซอสหมูทันตัม) และ ดาโมะนิราเมน (บะหมี่น้ำหน้าเป็ดพะโล้และเห็ดหอม) นอกจากนี้ยังพบว่าน้ำแข็งหลอดที่จำหน่ายในร้านไม่อยู่ในมาตรฐานอีกด้วย คุณแพรวพรรณได้พยายามเรียกร้องให้ทางร้านฮะจิบังแสดงความรับผิดชอบด้วยการชดใช้ค่าเสียหายซึ่งส่วนใหญ่คือค่ารักษาพยาบาลของสามคนพ่อแม่ลูกจำนวนห้าหมื่นกว่าบาท แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ จากทางร้านฮะจิบัง จึงได้ส่งเรื่องร้องเรียนมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อขอความช่วยเหลือ แนวทางแก้ไขปัญหาข้อเท็จจริงในทางกฎหมาย การผลิตและจำหน่ายอาหารของร้านฮะจิบังราเมน สาขาดังกล่าว อาจเข้าข่ายเป็นการผลิตและจำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 ผู้กระทำผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นโทษทางอาญาที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการต่อไป ส่วนความรับผิดในทางแพ่งนั้นมูลนิธิฯ ได้ติดต่อประสานงานไปยังบริษัท ไทยฮะจิบัง จำกัด เพื่อเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบด้วยการชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ร้องตามสมควร ล่าสุดไทยฮะจิบังได้ติดต่อผ่านเทสโก โลตัสสำนักงานใหญ่ ขอนัดเจรจากับผู้ร้องรายนี้แล้ว ผลความคืบหน้าเป็นอย่างไรจะนำมารายงานในฉลาดซื้อฉบับต่อไป แต่ที่ต้องนำเรื่องนี้มาลงโดยเร่งด่วนเพราะเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอเป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจเลือกใช้บริการของผู้บริโภครายอื่น ๆ ต่อไป เพราะเป็นปัญหาที่มีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของผู้บริโภค   ขออภัย ที่เราติดตามทวงหนี้ด้วยความไม่เคารพขอแสดงความเสียใจ และขออภัยอย่างสูงตามที่ท่านได้กรุณาให้เกียรติเป็นลูกค้าของบริษัท อีซี่บายจำกัด(มหาชน) เลขที่ 3969-000-000000000 ต่อมาได้มีเหตุการณ์ไม่เหมาะสมเกิดขึ้น ทำให้ท่านรู้สึกไม่พอใจอย่างมากนั้น บริษัท สยามวรินทร์นิติการ จำกัด รับทราบปัญหาดังกล่าวด้วยความไม่สบายใจ และตระหนักในปัญหาที่เกิดขึ้น โดยได้พยายามป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไป ทั้งนี้ บริษัทฯ รู้สึกเสียใจต่อท่านอย่างมากต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงเรียนมาเพื่อขออภัยอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอแสดงความนับถืออย่างสูงบริษัท สยามวรินทร์นิติการ จำกัด เป็นหนึ่งในจดหมายขออภัยของสำนักงานติดตามทวงหนี้หลาย ๆ ฉบับที่ทางมูลนิธิฯ เริ่มได้รับทั้งจากลูกหนี้และจากบริษัทสำนักงานทวงหนี้โดยตรงในปริมาณที่มากขึ้นตามลำดับ หลังจากที่ได้ให้คำแนะนำกับลูกหนี้ในการจัดการปัญหาอันเกิดจากพนักงานทวงหนี้ของสำนักงานทวงหนี้ต่างๆ ซึ่งใช้วิธีการทวงหนี้ที่ไร้มารยาทและผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการประจาน การใช้วาจาจาบจ้วง การข่มขู่กดดันทางด้านจิตใจหรือสิทธิเสรีภาพ ไม่ว่าจะมาจากการถูกสั่งสอนหรืออบรม หรือเป็นเองโดยธรรมชาติก็ตาม เราได้ให้ข้อแนะนำว่าการกระทำดังกล่าวเหล่านี้ล้วนเป็นวิธีการที่ผิดกฎหมายอาญาทั้งสิ้น ลูกหนี้ที่ถูกละเมิดสามารถที่จะดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายได้ทั้งกับพนักงานทวงหนี้ สำนักงานทวงหนี้และบริษัทเจ้าหนี้ แต่การไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็อาจถูกพิจารณาได้ว่าองค์ประกอบในการกระทำผิดทางอาญายังไม่ครบถ้วนอาจทำให้เสียเวลาไปเปล่าๆ ได้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหามีประสิทธิผลจึงให้ข้อแนะนำว่า เมื่อเกิดปัญหาขึ้นลูกหนี้สามารถใช้เหตุผลในเรื่องของการกระทำผิดกฎหมายอาญาที่ได้กล่าวไปแล้วแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังสำนักงานทวงหนี้และบริษัทเจ้าหนี้ได้โดยตรงเพื่อให้ยุติการกระทำดังกล่าวได้ ซึ่งบริษัทเจ้าหนี้หลายๆ บริษัทไม่อยากให้ตัวเองต้องมาเสียภาพพจน์ในเรื่องนี้ จึงมักจะยุติการติดตามทวงหนี้ที่ผิดกฎหมายในลักษณะดังกล่าวโดยทันทีปรากฏว่าในขณะนี้ลูกหนี้ที่ถูกละเมิดจากการติดตามทวงหนี้ที่ผิดกฎหมายและใช้วิธีนี้ปกป้องตัวเองได้รับการปฏิบัติที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในการติดตามทวงหนี้ นับเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยินดีและควรส่งเสริมให้ปฏิบัติโดยทั่วถึงกันทุกบริษัท ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้มีทัศนคติที่ดีและตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเก็บเงินมาชำระหนี้ได้ในเร็ววัน ขอแสดงความนับถืออย่างสูงมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค   16 ปี ฉลาดซื้อเรื่องโดยบุญยืน ศิริธรรม ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับหนังสือ “ฉลาดซื้อ” หนังสือที่ดีมีประโยชน์ เป็นอิสระไม่ถูกครอบงำจากกลุ่มทุน เหมือนหนังสือทั่วๆ ไป ที่มีอยู่เกลื่อนประเทศไทย ฉลาดซื้อจึงเป็นหนังสือที่ไม่ใช่หนังสือทั่วไป แต่เป็นหนังสือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นสามารถติดอาวุธทางปัญญาให้ผู้อ่านอย่างแท้จริงตลอด 16 ปีที่ผ่านมา จึงขอปรบมือดังๆ ให้และขออวยพรให้หนังสือเล่มนี้ยืนหยัดอยู่คู่กับสังคมไทยต่อไป เพื่อเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบในสังคมไทยยังมีอยู่อีกมากมาย หนังสือฉลาดซื้อจึงยังคงต้องทำหน้าที่ให้ข้อมูล หยิบยื่นอาวุธ(ข้อมูล)ที่ทำให้ผู้บริโภคตื่นรู้ (รู้เท่าไว้ป้องกัน/รู้ทันไว้แก้ไข) และไม่สยบยอมต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบ ร่วมกันลุกขึ้นมาปกป้องคุ้มครองสิทธิของตนเองอย่างแข็งขัน เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างแท้จริง เอ้าๆ ฉบับนี้ครบรอบ16 ปี “ฉลาดซื้อ” ก็อดพูดถึง “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” ไม่ได้ เพราะพี่ๆน้องๆ ในมูลนิธิฯ มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภคอย่างแท้จริง ทั้งงานข้อมูล งานด้านกฎหมาย งานรณรงค์ การผลักดันให้เกิดกฎหมายใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ตลอดจนประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนทำให้กระแสสิทธิผู้บริโภคกระจายไปสู่สังคมไทยอย่างกว้างขวาง เรียกได้ว่าปัจจุบันเป็นยุคทองของการทำงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคก็ว่าได้ และจากการทำงานอย่างแข็งขันของมูลนิธิฯ ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตื่นตัว ที่เห็นชัดเจนก็ สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) ที่ออกประกาศที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น การออกประกาศเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อ ยกตัวอย่างการเช่าซื้อรถ(รถทุกชนิด)ซึ่งเมื่อก่อนเราเช่าซื้อมาในสัญญาจะระบุไว้ชัดเจนว่า หากรถสูญหายผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น พูดง่ายๆ คือเช่าซื้อรถมาแล้วรถหายไป ผู้เช่าซื้อก็ต้องรับภาระผ่อนต่อ(ผ่อนกุญแจ) จนครบตามราคาในสัญญาเช่าซื้อนั้นๆ แต่ปัจจุบันประกาศของ(สคบ.)เขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามเขียนสัญญาที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค จนทำให้ผู้บริโภคที่เช่าซื้อรถยนต์ มีโอกาสหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้น ตอนนี้หากเราเช่าซื้อรถยนต์(ผ่อนรายเดือน) และรถเกิดสูญหายโดยที่พิสูจน์ได้ว่าการสูญหายนั้นไม่ได้เกิดจากการประมาทเลินเล่อของเรา เราก็ไม่ต้องผ่อนกุญแจอีกต่อไป เพราะทรัพย์ตามสัญญาไม่มีแล้ว ถือได้ว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ ไม่ต้องผ่อนกุญแจเหมือนเดิมอีกแล้วล่ะ ถึงคราวไชโยกันแล้วใช่ไหมล่ะพี่น้อง ผู้บริโภคเป็นอิสระจากสัญญาไม่เป็นธรรมแล้วจริงๆๆ ขอปรบมือดังๆ ให้ สคบ. และขอตะโกนดังๆ แทนผู้บริโภคว่า.... ไชโยๆๆๆๆๆๆ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 100 “ย่านแห่งนี้” ที่ชื่อว่า “ปั๊มน้ำมัน”

มีอะไรในโคด สะ นาสมสุข หินวิมาน ...ที่แห่งนี้ ที่ทำให้สองเราเจอกัน ได้ผูกพันพึ่งพา ที่แห่งนี้ ที่เติมเต็มความประทับใจ ทุกเวลา ที่แห่งนี้สำหรับพรุ่งนี้ จะดูดียิ่งกว่า ที่แห่งนี้ก็จะคงอยู่ในใจ ตลอดไป... ถ้าใครสักคนเปิดดูโทรทัศน์ในช่วงเวลานี้ ก็คงจะได้ยินเสียงเพลงโฆษณาที่ให้อารมณ์ความรู้สึกอบอุ่น ขับกล่อมขับขานเข้ามากระทบโสตประสาทของเรา แต่ถ้าใครที่ไม่ได้ดูโฆษณาโทรทัศน์ช่วงนี้ ก็อาจจะสงสัยขึ้นได้ว่า “ที่แห่งนี้” ที่เราสองคนมาเจอกัน มาผูกพันกัน มาเติมเต็มความประทับใจระหว่างกัน และมาสร้างความอบอุ่นในใจตลอดกาล “ที่แห่งนี้” จะเป็นที่แห่งไหนกันเล่า คำตอบที่โฆษณาให้กับเราก็ชวนประหลาดใจยิ่งนัก เพราะสถานที่อันอบอุ่นใจแห่งนี้ก็คือ ปั๊มน้ำมัน นั่นเอง แล้วปั๊มน้ำมันมาเกี่ยวข้องกับความรู้สึกอบอุ่นติดตรึงใจนี้ได้อย่างไร คำตอบก็อยู่เรื่องราวที่โฆษณาชิ้นนี้ได้ผูกขึ้นมา และเป็นเรื่องราวของพัฒนาการชีวิตตัวละครชายคนหนึ่งที่ผูกพันกับปั๊มน้ำมันตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ โฆษณาเริ่มต้นด้วยเสียงเพลงที่ขึ้นคำร้องว่า “เรื่องแห่งความผูกพันของเรา จากรอยยิ้มเล็กๆ ที่เราให้กัน คอยดูแลหัวใจ และนับตั้งแต่นั้น ผ่านไปทุกวัน ผ่านเดือนและปี...” และตัดต่อมาด้วยภาพรถเก๋งสีขาวรุ่นโบราณคันหนึ่ง แล่นลัดเลาะผ่านถนนคดโค้งมากลางภูเขาและป่าดิบเขียว รถเก๋งแวะมาจอดที่ปั๊มเพื่อเติมน้ำมัน ขณะที่คุณพ่อคุณแม่กำลังถามทางกับเจ้าของปั๊มอยู่นั้น เด็กน้อย (หรือพระเอกของเรื่อง) ก็เอารถเก๋งเด็กเล่นสีขาวคันจิ๋วมาเล่นแล่นไปแล่นมา พนักงานหนุ่มผู้มีสำนึกแห่งการให้บริการ ส่งรอยยิ้มให้กับเด็กชาย แล้วก็ขยับตัวจากหัวปั๊มฉีด เอาผ้ามาเช็ดรถเก๋งเด็กเล่นคันน้อย อันเป็นจุดเริ่มต้นความประทับใจที่เด็กน้อยมีต่อปั๊มน้ำมัน “แห่งนี้” ตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต กาลเวลาผ่านไป เด็กน้อยเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เสียงเพลงก็ยังคงคลอต่อมาว่า “...เรายังเจอกัน เจอกันที่เดิม ได้เติมทุกอย่างจากใจที่ดี ได้มีพลังแข็งแรง เข้มแข็งได้กว่านี้ เพิ่มพูนด้วยวันเวลา...” ปั๊มน้ำมันก็เริ่มเปลี่ยนผ่านจากยุคเบนซินธรรมดามาสู่ยุคเบนซินไร้สารตะกั่ว ขณะเดียวกัน ผู้ชมก็จะได้เห็นภาพของมนุษย์ตะกั่วที่โด่งดังในอดีต และหวนรำลึกถึงของพรีเมี่ยมอย่างหุ่นยนต์ก็อตซิลล่าที่เดินท่อง ๆ กระดุ๊ก ๆ อยู่ และที่สำคัญ ความเป็นไปของปั๊มน้ำมันได้พัฒนาควบคู่มากับชีวิตตัวละครเอก ที่ตกหลุมรักครั้งแรกกับสาวน้อยเจ้าของรอยยิ้มพริ้มเพราที่เดินออกมาจากปั๊มน้ำมัน “แห่งนี้” นี่เอง เมื่อมาถึงปัจจุบัน ในขณะที่เพลงยังคงดำเนินต่อไป จากน้ำมันซูเปอร์ 97 กลายมาเป็นเบนซินไร้สารตะกั่ว จนมาถึงน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 พร้อมๆ กับชีวิตของเด็กหนุ่มก็เติบโตมาเป็นชีวิตครอบครัว ตัวละครเอกกลายเป็นพ่อที่มีภรรยาและลูกน้อย ขับรถยนต์รุ่นใหม่แวะมาที่ปั๊มน้ำมัน เป็นชีวิตครอบครัวที่มาจับจ่ายซื้อของกันที่ปั๊ม มากินอาหารกลางวัน กดเงินเอทีเอ็ม เดินเลือกซื้อหนังสือ แวะเข้าห้องน้ำ แวะจิบกาแฟ เจอะเจอกับผองเพื่อนที่มานั่งใช้โน้ตบุ๊คทำงาน กิจกรรมทุกอย่างในชีวิตปัจจุบันเกิดขึ้นและกำลังเป็นไปภายในปั๊ม “แห่งนี้” จนมาถึงฉากจบ จากกลางวันเป็นกลางคืน ก็ยังมีรถเก๋งคันผ่านคัน แวะเวียนเข้ามาใช้บริการภายในปั๊มน้ำมัน พร้อมๆ กับเสียงเพลงที่จบลงอย่างมีความสุขว่า “…ที่แห่งนี้ เราได้เติมความผูกพัน ตลอดไป” สำหรับคนในยุคหนึ่งสมัยหนึ่งเมื่อครั้งอดีตนั้น หากเราจะบอกพวกเขาว่า “ที่แห่งนี้” ที่ประทับใจที่สุด อบอุ่นที่สุด และสร้างความผูกพันในชีวิตได้ดีที่สุด ก็คือที่ที่เรียกว่า “ปั๊มน้ำมัน” นั้น คนในยุคอดีตก็คงหัวร่องอหายเป็นอย่างยิ่งว่า จะเป็นไปได้อย่างไรกัน เพราะสถาปัตยกรรมที่ชื่อว่าปั๊มน้ำมันนั้นช่างอยู่ห่างไกลจากชีวิตของบรรพชนในอดีตเสียเหลือเกิน แต่ก็อย่างที่โฆษณาสร้างภาพเอาไว้นั่นแหละครับ เมื่อรถยนต์กลายมาเป็น “ปัจจัยที่ห้า” แห่งการดำรงชีวิต ควบคู่กับบ้านที่อยู่อาศัย อาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรคแล้ว พื้นที่อย่างถนนที่มีปั๊มน้ำมันให้แวะจอดเป็นระยะๆ รายทาง ก็ได้สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็น “ความจำเป็นพื้นฐานใหม่” ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ยุคนี้ไป หากเราลองมองย้อนกลับไปในอดีต ย้อนกันไปถึงยุคสังคมเกษตรกรรมโน่นเลย เราก็จะพบว่า ก่อนหน้าที่ถนนจะตัดผ่านเข้าสู่ชุมชนเกษตรนั้น ชาวบ้านชาวนายุคก่อนเขาจะใช้ทางเกวียนและคันนาเล็กๆ เพื่อสัญจรไปมาหาสู่กัน เพราะฉะนั้น พื้นที่สาธารณะที่รวมทุกอย่างในชีวิตของผู้คนเอาไว้ ก็มักจะเกี่ยวพันกับวิถีการผลิตแบบปลูกข้าวทำนา และการเคลื่อนย้ายไปมาหากันภายในชุมชนชาวนาเอง และเนื่องจากในวิถีแบบนี้ ข้าวเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่สำคัญของมนุษย์ ดังนั้น ลานพิธีกรรมข้าวจึงถูกใช้เป็นพื้นที่สาธารณะในการก่อกำเนิดความผูกพันและความอบอุ่นของชุมชนชาวนาสมัยก่อนไปโดยปริยาย พ่อแม่ลูกจะผูกพันกันในวิถีเกษตรกรรม ชาวนาและเพื่อนบ้านจะช่วยแรงเอาแรงกันในการลงแขกเกี่ยวข้าวดำนา หนุ่มสาวพบรักกันก็ในพื้นที่ลานนวดข้าว คติความเชื่อต่าง ๆ เองก็เกิดขึ้นผ่านลานประเพณีข้าวนั่นเอง และเมื่อสายสัมพันธ์ระหว่างกันกระชับแนบแน่นขึ้น ชุมชนชาวนาโบราณก็จะค่อย ๆ เติบขยายกลายเป็น “ย่าน” หรือเป็น “บาง” ไปในที่สุด แต่ก็อย่างที่ผมบอกไว้ตั้งแต่ตอนต้น เมื่อวัฒนธรรมข้าวเริ่มลดบทบาทลง และเมื่อปัจจัยที่ห้าอย่างรถยนต์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตยุคใหม่ ผู้คนก็จะค่อยๆ ผันตัวเองออกจากลานนวดข้าวและพิธีกรรมการทำนาดั้งเดิม และพวกเขาก็ได้สร้างปั๊มน้ำมันขึ้นมาเป็นพื้นที่พิธีกรรมในชีวิตของคนสมัยใหม่ แทนที่ความเป็น “ย่าน” เป็น “บาง” แบบที่เคยสัมผัสเป็นมาในอดีต “ย่านแห่งนี้” ก็เลยกลายเป็นย่านที่ชื่อว่า “ปั๊มน้ำมัน” ในท้ายที่สุด ในฐานะที่ผมเองก็เป็นคนที่อยู่และเติบโตมาในสังคมเมืองสมัยใหม่เหมือนกัน เมื่อได้ดูโฆษณาชิ้นนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับว่า รู้สึกชื่นชมและชื่นชอบกับหนึ่งนาทีที่ได้สัมผัสจากโฆษณาชิ้นดังกล่าวไม่มากก็น้อย แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ได้ย้อนกลับมาคิดและเกิดคำถามขึ้นมาว่า เมื่อปั๊มน้ำมันเข้ามาเป็นพื้นที่ทางสังคมแห่งใหม่แทนที่ลานประเพณีข้าวนั้น ปั๊มน้ำมันได้ทำหน้าที่อันใดให้แก่คนยุคนี้บ้าง ซึ่งถ้ามองจากโฆษณาโทรทัศน์ เราก็จะได้รับคำตอบอย่างน้อยสามประการด้วยกัน ดังนี้ ประการแรก โฆษณาฉายภาพให้เห็นว่า ปั๊มน้ำมันดูจะกลายเป็น “ย่าน” เป็น “บาง” หรือเป็น “ชุมชน” แห่งใหม่ ที่ทำหน้าที่ผลิตสายใยความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน เพื่อนของมนุษย์ในสังคมท้องถนนก็ไม่ใช่แบบ “เพื่อนบ้าน” เช่นเดิม หากแต่เป็นเพื่อนที่พบพากันได้ตามรายทาง ตั้งแต่เจ้าของปั๊ม พนักงานบริการของปั๊ม พนักงานขายของ พนักงานร้านอาหาร ไปจนถึงเพื่อนร่วมงานที่มาเจอกันที่ปั๊มน้ำมันโดยบังเอิญ ประการถัดมา โฆษณาก็บอกเราต่อไปด้วยว่า เมื่อปั๊มน้ำมันได้กลายมาเป็นย่านที่ผู้คนสัญจรไปมากันบนถนนแล้ว ปั๊มน้ำมันก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ความทรงจำแบบใหม่ขึ้นมา เป็นความทรงจำจากการเคยใช้บริการในปั๊มตั้งแต่ยุคอดีต มีรถเก๋งเด็กเล่น ตุ๊กตาก็อตซิลล่า ไปจนถึงรูปแบบการใช้ชีวิตแบบใหม่ต่าง ๆ เอาไว้ให้ผู้คนได้ถวิลหา และประการสุดท้าย ภายใต้ชุมชนใหม่แบบปั๊มน้ำมัน ชีวิตครอบครัวของคนยุคนี้ก็ได้ก่อร่างสร้างรูปกันขึ้นมาท่ามกลางการให้และรับบริการด้านพลังงาน จนดูเหมือนว่า ไม่มียุคสมัยใดอีกแล้ว ที่ชีวิตครอบครัวจะถูกแยกออกมาจากพื้นที่ของบ้าน และทดแทนด้วยกิจกรรมใหม่ๆ นอกครัวเรือนได้ เท่ากับยุคที่เรากินดื่มและเสพปัจจัยทั้งห้ากันตามท้องถนนแบบนี้อีกแล้ว อย่างไรก็ดี แม้ว่าปั๊มน้ำมันจะกลายเป็นสถาบันใหม่แห่งการดำเนินชีวิต แต่ผมก็มีข้อสังเกตอยู่ว่า สถาบันแห่งนี้ก็เป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้นแบบชั่วครั้งชั่วคราว เหมือนกับรถเก๋งที่แล่นเข้ามาสักพัก แล้วก็ขับจากไป แม้ไออุ่นที่ได้จากปั๊มน้ำมันจะดูน่าประทับใจ แต่คำถามก็คือ ปั๊มน้ำมันจะเป็นสถาบันที่หยั่งรากฝังลึกได้แบบเดียวกับที่สถาบันครัวเรือนและบรรดาย่านบางหรือชุมชนต่างๆ เคยเป็นมาได้จริงหรือ ???

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 100 ทอดมันแปลงกาย กับคำแนะนำของผู้ชายในตลาด

เรื่องเรียงเคียงจานนก อยู่วนาวันไหนพอจะมีเวลาและไม่ตื่นสาย ฉันก็จะมีโอกาสได้ไปเดินดูข้าวปลาอาหารในตลาดสดบางบัวทอง ตลาดซึ่งเมื่อฉันกลับมาถึงบ้านทีไร ก็อยากจะหาโอกาสได้ไปเดินดูอะไรต่อมิอะไรบ่อยๆ กว่าที่เป็นอยู่ เอาเข้าจริงๆ แล้วที่ว่าตื่นไม่สายสำหรับฉัน มันคือช่วงแสงแดดเริ่มแย้มออกมาได้สักพัก ฉันเลยมักกำหนดโปรแกรมการเดินตลาดสดแบบอาศัยมื้อเช้าที่ร้านอาหารเล็กๆ ที่มีอยู่หลายเจ้าในตลาดนั่นแหละ กินไปดูผู้คนไป บางทีก็ไพล่ไปคิดถึงตลาดสดที่บ้านในวัยเด็ก เวลาจะผ่านเลยไป ฉันก็ยังคงรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาได้อย่างไม่ต่างกันกับตอนนี้แม้นานๆ จะไปเดินตลาดสักที แต่หลายๆ ทีที่ไปฉันมักโชคดีอยู่บ่อยๆ เช่น ไปเจอร้านอาหารมุสลิมที่เอานมแพะมาตั้งขาย ไปทีไรมีวางขายอย่างมากก็ไม่เกิน 4 – 5 ขวด ยังไม่ได้สบโอกาสถามสักทีว่าทำไมจึงมีแค่นี้ แต่ถ้าวันไหนได้ไปตลาด ฉันก็จะต้องซื้อกลับมากินทุกที เพราะมันเป็นนมแพะแท้ๆ ไม่มีกลิ่นอื่นปนติดมา ราคาไม่แพง แถมยังมีโอกาสเสี่ยงที่จะพบยาปฏิชีวนะกันโรคเต้านมอักเสบน้อยกว่าในนมวัวอีกต่างหากอีกคราวที่ไปเดินตลาด กำลังเพลินกับการเลือกซื้อลูกแผงแตงไทยใบไม่ใหญ่ที่ลุงคนขายวางให้เลือกซื้อไว้ราว 10 กว่าลูก แต่ละลูกมีรูปทรงแตกต่างกันไปไม่เหมือนกันสักลูก กลมบ้าง เรียวบ้าง ผิวเปลือกก็มีสีแตกต่าง เลือกมาได้ขนาดกำลังกิน 1 ลูก แล้วตาก็พลันไปเหลือบเห็นเห็ดรูปทรงประหลาดหัวใหญ่ดำทะมึนวางแอบอยู่ข้างกองใบแมงลัก ลุงคนขายบอกว่ามันเป็นเห็ดตับเต่าซึ่งปีหนึ่งจะออกดอกมาให้กินหนหนึ่ง ฉันเคยได้ยินแต่ชื่อ เลยถือโอกาสทำความรู้จักวิธีกินมันเบื้องต้นจากลุงคนขายนั่นเองกลับมาบ้านฉันจึงนึกได้ เสียดายว่าลืมถามชื่อแกเอาไว้ อารามด้วยความตื่นเต้นดีใจกับเห็ดแปลกๆมื้อกลางวันวันนั้น ฉันทำทอดมันแปลงกาย ส่วนผสมที่ใช้ทำทอดมันแปลงกายมีปลากรายขูด ซึ่งตอนซื้อก็เป็นธรรมดาที่พ่อค้าอยากจะขายให้ได้มาก เขาเสนอให้ฉันเอากองปลากรายที่ปั้นเป็นก้อนๆ มา 2 ขีด 50 บาท แต่ฉันขอซื้อตามปริมาณที่ต้องการเพราะอยู่คนเดียว กินไม่หมด และยังไม่มีเมนูสำรองเพื่อการกักตุนใดๆ จริงๆ ก็เกือบๆ 2 ขีดนั่นแหละ แต่จ่ายไป 45 บาท สบายอกสบายใจทั้งคนขายและคนซื้อปกติเวลาได้ปลากรายมา ถ้าจะเอามาทำลูกชิ้นสำหรับแกง ก็เคยถูกสอนมาให้เอาเนื้อปลากรายขูดมาตำแล้วเจือโดยน้ำเกลือ ตำให้เนื้อนุ่ม เหนียว เมื่อนำไปต้มแล้วจะฟู แต่คราวนี้ฉันเอาปลากรายขูดใส่ครกหิน แล้วใส่พริกแกงปลาที่มีติดอยู่ในตู้เย็นลงไปพร้อมๆ กับใบมะกรูดซอย ตำแบบหนืดๆ หนักๆ เพื่อให้ปลากับเครื่องแกงเข้ากันดีอยู่พัก แล้วตักขึ้นมาจับเป็นแผ่นวางลงบนใบเล็บครุฑ กับใบพริกใบพริกจากต้นซึ่งมีแต่ใบใหญ่ๆ ดกสะพรั่ง เจ้าต้นพริกที่เกิดขึ้นเองอยู่ดาษดื่นในสวนราวกับจะเย้ยเจ้าหอยทากอัฟริกัน alien ตัวสำคัญที่ฉันต้องขอบคุณพวกมันทุกๆ วันขณะเก็บมันไปทิ้งนอกบ้าน เพราะมันได้สอนให้ฉันได้ค้นพบวิธีการจัดการสวนที่ไม่สามารถปลูกผักใบอย่างคะน้า กวางตุ้ง ผักชี เพราะฝีปากของพวกมันได้ตอนจับเนื้อปลากรายที่เข้าเครื่องแกงดีแล้ว วางบนใบเล็บครุฑ และใบพริก ต้องคอยจุ่มมือลงในน้ำสะอาดเพราะเนื้อปลาเหนียวได้ใจ จับเป็นคำขนาดพอกินได้หนึ่งจานพอดี เสร็จจากนี้ก็ใส่น้ำมันลงกระทะตั้งไฟพอให้ร้อนอย่าแรงจัด รอจนน้ำมันร้อนแล้วจึงค่อยๆ จับมันลงทอด ตอนนี้แหละ เนื้อปลาดูฟูน่ากินมาก แต่พอตักขึ้นมาสักพักก็ยุบไปเองโดยปริยาย แต่เหนียว นุ่ม อร่อยและกินได้แบบแทบไม่อยากหยุดปากตอนทอดมันใบเล็บครุฑนั้นระวังนิดนะคะ เพราะจะกระเด็นมากกว่าใบพริกสักหน่อย แต่ความอร่อยทั้งใบพริกกับใบเล็บครุฑสูสีกัน เปลี่ยนรสอร่อยจากที่เคยใช้ถั่วฝักยาว ถัวพุ่ม ถั่วพู และโหระพา กะเพรา ใส่ลงในทอดมันกินไปได้ตั้งครึ่งค่อนจานแล้ว เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าลืมอาจาด! น้ำส้มโหนด หรือน้ำหมักจากน้ำตาลโหนดสดๆ ที่ได้มาจากลงไปเยี่ยมโครงการฟื้นฟูคาบสมุทรสทิงพระยังอยู่ในตู้เย็น (ไม่มีก็ใช้น้ำส้มสายชูแท้แทนไป) ชาวบ้านที่บ้านบ่อกุล อ.สิงหนคร เคยนำกุ้งเคยสดๆ ที่เพิ่งตักได้จากอ่าวไทยมาผสมแป้ง ไข่ และเครื่องแกงทอดแล้วทำน้ำจิ้มให้กิน โดยใส่น้ำส้มโหนดกับน้ำผึ้ง (น้ำตาลโตนดเคี่ยว) ซอยพริก ซอยแตงกวา หอมใหญ่ใส่ไปก็ได้แล้วตอนกินทอดมันกุ้งเคยกับน้ำส้มโหนดปรุงรส ฉันได้แต่พยักหน้าตาโต พึมพำย้ำซ้ำไปซ้ำมาว่า อืม...อร่อย... จนได้หิ้วเอาส้มโหนดกลับมา กะว่าจะเอามาลองทำอาหารที่ใช้แทนน้ำส้มหมักจากแอ็ปเปิ้ล หรือน้ำส้มสายชูดูบ้าง หลังจากที่ได้ไปดู วิถีการทำมาหากินของชาวบ้านในพื้นที่ที่มีลักษณะ “โหนด – นา – เล” และกินมาจนลืมอายเสร็จจากกินทอดมันมื้อบ่ายแล้วฉันก็จ่อมจมกับเครื่องมือหากินบนโต๊ะทำงานไปทั้งวัน ตกตอนค่ำของวันนี้ ฉันนึกได้อีกทีว่าลืมเรื่องสำคัญอย่างที่ 3 ไปจนได้เช้าวันถัดมา วันที่ฉันไม่ได้ไปตลาด หยิบเห็ดตับเต่าที่ล้างและตัดเอาส่วนโคนที่ติดดินออกแล้ววางผึ่งทิ้งไว้จนลืมทำกินมา หั่นเป็นชิ้นๆ ใส่น้ำลงกระทะกะพอลวกเห็ด 1 ดอก ราคา 20 บาท หั่นเป็นชิ้นพอคำได้จานพูนๆ พอน้ำเดือดจัดฉันก็เอาเห็ดลงไปลวกกะให้สุกแล้วตักชิ้นเห็ดขึ้นมาวางพักเพื่อถ่ายรูป น้ำลวกกลายเป็นสีแดงเข้มเกือบน้ำตาลอย่างที่ลุงคนขายบอกไว้แต่ฉันไม่ได้ทิ้งน้ำที่ลวกไปอย่างที่ลุงแนะ กลับเอามันมาปรุงเป็นน้ำแกงโดยต้มกับใบหอมแดง ยอดหม่อนและตะไคร้ ปรุงน้ำแกงด้วยน้ำปลาเพราะปลาร้าขาดครัว ดียังพอมีใบโหระพาที่หามาได้ในสวนใส่แทนแมงลัก แต่ทำแบบชุ่ยๆ ขนาดนี้ก็ยังพอกินได้ นึกเสียดายที่น่าจะทำเห็ดตับเต่ากินครั้งแรกเสียแต่เมื่อวานรสชาติเห็ดก็อยู่ในขั้นปานกลาง และแม้จะสู้เห็ดฟาง เห็ดโคนไม่ได้ แต่กินไปแล้วฉันกลับนึกได้ว่าถ้าเอาไปทำเห็ดตับเต่าน้ำแดง อย่างกระเพาะปลาน้ำแดงแล้วจะเป็นอาหารจานเหลาได้สบาย คงต้องรอปีหน้าละกันนะ... ถ้าไม่ลืม

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 100 น้ำมันมะพร้าว….ประกายไฟในสมอง (ตอน 2)

ของฝากจากอินเตอร์เน็ตรศ. ดร.แก้ว กังสดาลอำไพสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลถ้าท่านผู้อ่านเข้าไปในเว็บขายน้ำมันมะพร้าวของคนไทย จะพบว่ามีนักวิชาการหลายคน ออกมากล่าวถึงข้อดีของน้ำมันมะพร้าวหลายประการ ซึ่งถ้ามองด้วยความเป็นธรรมแล้ว หลายๆ ประเด็นน่าจะมีความเป็นจริงอยู่ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า หาคำยืนยันในข้อมูลดังกล่าวที่ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการได้ยาก ตัวอย่างเช่น มีผู้กล่าวว่า “จากการศึกษาเรื่องนี้มา 30 ปี พบว่า แม้น้ำมันมะพร้าวจะประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัว แต่มีกรดลอริกสูง และวิตามินอีที่มีอานุภาพสูง จึงมีบทบาทอย่างมากต่อสุขภาพ และความงามของมนุษย์ ไม่ว่าจะใช้บริโภคเป็นอาหาร หรือเป็นอาหารที่เป็นยา และการใช้ภายนอกโดยการถูตัวหรือ ชโลมผม เนื่องจากมีแคลอรีต่ำจึงให้พลังงานน้อยกว่าน้ำมันพืชอื่น ๆ มีโคเลสเตอรอลน้อยที่สุด กระตุ้นขบวนการเผาผลาญในร่างกาย ป้องกันการสะสมไขมันทำให้ไม่อ้วน มีสารปฏิชีวนะช่วยต่อต้านเชื้อโรค มีวิตามินอีช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ไม่หืนเมื่อเก็บไว้นานๆ เพิ่มคุณค่าอาหารโดยเพิ่มการดูดซึมวิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโน ทำให้อาหารมีรสชาติอร่อย แม้น้ำมันมะพร้าวจะมีฤทธิ์เป็นยา แต่ไม่ใช่ยา ดังนั้นไม่ควรบริโภคเกินความจำเป็น อัตราที่แนะนำคือไม่เกินวันละ 3.5 ช้อนโต๊ะต่อวัน ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลควรส่งเสริม และทำให้น้ำมันมะพร้าวเป็นสินค้าโอทอปเพราะมีประโยชน์” ประเด็นที่ได้ขีดเส้นใต้นั้น อ่านดูแล้ว น่าจะผิดแน่ ๆ เพราะในตำราชีวเคมีไม่ว่าเล่มไหนก็บอกว่า น้ำมันนั้น 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี ไม่เห็นมีเล่มไหน (ที่ใช้ในมหาวิทยาลัยที่เป็นที่ยอมรับว่ามีระดับ) กล่าวยกเว้นน้ำมันมะพร้าวในเรื่องการให้พลังงานเลย อีกทั้งการปรากฏตัวของโคเลสเตอรอลนั้นก็มีเฉพาะในไขมันที่มาจากสัตว์ เพียงแต่ว่าการกินไขมันมากเกินความต้องการของร่างกายนั้น ส่งผลให้ร่างกายนำไขมันที่เกินไปสร้างเป็นไขมันอื่นๆ รวมทั้งโคเลสเตอรอลได้ ดังนั้นไม่ว่ากินไขมันจากอะไรก็ตาม อ้วนได้ทั้งนั้น แล้วเพราะเหตุใดนักวิชาเกินเหล่านี้จึงยอมทำเรื่องผิดให้เหมือนถูกนี้ คำตอบน่าจะเป็นเพราะ เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับชีวเคมีดีหรือเพราะว่าน้ำมันมะพร้าวเป็นของถูก สามารถขายแพงได้กำไรดี อาจกล่าวได้ว่านักวิชาเกินพวกนี้ชอบเขียนความรู้ทางวิชาการไม่ครบ ซึ่งเป็นไปตามหลักการโฆษณาขายสินค้าที่มักบอกแต่สิ่งดีๆ ให้ผู้บริโภคสบายใจ สิ่งไหนไม่ดีเก็บไว้ให้คนขายเป็นทุกข์ฝ่ายเดียว ช่างใจบุญกระไรเช่นนี้ ผู้ขายน้ำมันมะพร้าวมักกล่าวว่า “ประโยชน์ต่อสุขภาพของน้ำมันมะพร้าวได้แก่ บำรุงผม รักษาผิวกาย ลดความเครียด รักษาระดับของโคเลสเตอรอลในร่างกาย ลดน้ำหนัก เพิ่มระดับภูมิต้านทาน ช่วยในการย่อยอาหารและการใช้สารอาหารให้เป็นประโยชน์ ลดปัญหาที่เกิดกับไต โรคหัวใจ ความดับโลหิตสูง เบาหวาน รักษาโรคเอดส์และมะเร็ง รักษาฟัน และบำรุงกระดูกให้แข็งแรง เหตุที่น้ำมันมะพร้าวดีได้ถึงเพียงนี้เป็นเพราะมันมี lauric acid, capric acid และ caprylic acid พร้อมทั้งมีสารต้านจุลชีพ สารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านเชื้อรา สารต้านแบคทีเรีย เป็นต้น”ร่างกายมนุษย์สามารถเปลี่ยน lauric acid ไปเป็น monolaurin จึงมีผู้เชื่อว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้นี้สามารถต่อสู้กับไวรัสหลายชนิดเช่น herpes, influenza, cytomegalo virus, ตลอดจนสู้ HIV และสามารถสู้แบคทีเรียตัวร้ายหลายชนิดเช่น listeria monocytogenes และ heliobacter pylori แพทย์ ด้านอายุรเวชของอินเดีย (Ayuraveda) จึงเลือกน้ำมันมะพร้าวเป็นตัวยาสำคัญในการรักษาโรค อย่างไรก็ดี กลไกการออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ยังไม่เป็นที่ทราบดีนัก ความจริงที่ท่านผู้อ่านควรรู้ก็คือ กรดไขมันทุกชนิดก็ว่าได้ มีความสามารถในการป้องกันการเจริญของจุลชีพ ตัวอย่างเช่น กรดไขมันที่ชื่อ ซอร์บิก ได้ถูกนำมาใช้เป็นสารต้านเชื้อราในอาหาร อีกทั้งอาหารที่ผ่านการทอดและอมไขมันไว้ เช่น ไก่ทอด ทอดมันปลากราย หรือแม้แต่โรตี ก็สามารถเก็บไว้ได้นานกว่าอาหารต้ม เพราะมันมีความชื้นต่ำและมีไขมันเป็นตัวป้องกันการเจริญของแบคทีเรีย คนขายน้ำมันมักกล่าวว่า “นักกรีฑาและนักเพาะกายนิยมบริโภคน้ำมันมะพร้าวเช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ระหว่างการจำกัดอาหาร ด้วยเหตุผลที่ว่า น้ำมันมะพร้าวมีพลังงานต่ำกว่าน้ำมันชนิดอื่น องค์ประกอบนั้นง่ายต่อการเปลี่ยนไปเป็นพลังงานทำให้ไม่เกิดการสะสมเป็นไขมันในหัวใจและเส้นเลือด น้ำมันมะพร้าวช่วยในการเร่งพลังงานออกมาใช้ในนักกีฬา และช่วยให้นักกีฬามีความอึดในเกมส์” จึงต้องขอย้ำว่า คนขายน้ำมันนั้นพยายามไม่บอกว่า ถ้ากินน้ำมันมากเกินพอ ส่วนเกินก็จะถูกนำไปสร้างเป็นไขมันใหม่ในร่างกายทำให้อ้วนได้ องค์ประกอบของน้ำมันมะพร้าวนั้นกว่าร้อยละ 90 เป็นไขมันอิ่มตัว มีไขมันไม่อิ่มตัวเล็กน้อย กรดไขมันอิ่มตัวนั้นส่วนใหญ่มีขนาดไม่ใหญ่นัก เรียกว่า medium chain triglycerides ซึ่งมีจำนวนคาร์บอน 6-12 ตัว โดยราวร้อยละ 40 เป็น lauric acid ตามด้วย capric acid, caprylic acid, myristic acid and palmitic ส่วนที่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวคือ linoleic acid และมี กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวคือ oleic acid การมี medium chain triglycerides นั้นทำให้วงการอาหารการแพทย์เห็นประโยชน์ สกัดกรดไขมันกลุ่มนี้ไปเป็นแหล่งพลังงานของอาหารการแพทย์สำหรับผู้ป่วย ซึ่งต้องการแหล่งพลังงานที่สลายให้พลังงานอย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยในการฟื้นตัวของผู้ป่วยเท่านั้น ส่วนผู้ (ปรกติ) ดีทั้งหลายกินก็ได้ ไม่กินก็ได้ น้ำมันมะพร้าวมีสารต้านอนุมูลอิสระคือ polyphenol เช่น gallic acid ซึ่งอาจทำหน้าที่เป็นกลิ่นและรสของน้ำมันมะพร้าว นอกจากนี้ยังมีอนุพันธุ์ของกรดไขมันอีกหลายชนิด รวมทั้งมีวิตามินอีด้วย ประเด็นดังกล่าวนี้ทำให้ คนขายน้ำมันมักอ้างว่า น้ำมันมะพร้าวป้องกันการแก่ก่อนวัย เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งความจริงแล้ว ปริมาณมันไม่ได้มากเหมือนกับการไปรับ ประทานอาหารอื่น ที่เป็นแหล่งที่แท้จริงของวิตามินอี ขอให้ท่านผู้อ่านดูจากตารางต่อไปนี้แล้วกันแหล่งที่มา http://whqlibdoc.who.int/publications/2004/9241546123_chap5.pdf จากตารางดังกล่าวเห็นได้ว่า ปริมาณวิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวเทียบกับพืชที่เป็นอาหารอื่นๆ แล้ว ปริมาณวิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวนั้น จิ๊บ ๆ เมื่อเทียบกับพืชอื่น ดังนั้นท่านผู้อ่านคงเห็นแล้วว่า ความหวังว่าจะได้อะไรจากน้ำมันมะพร้าวนั้น ก็คงเป็นแค่ “ชีวิตที่มีหวัง” เท่านั้น ฉบับหน้าผู้เขียนจะยังขอนำความหวัง (ลมๆ แล้งๆ ) เกี่ยวกับน้ำจุดตะเกียงนี้มาให้ท่านผู้อ่านฟังต่อ เป็นฉบับที่สาม

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 100 อานันท์ ปันยารชุน อยู่ให้ได้ในโลกที่มีแต่คนเอาเปรียบ

ถอดความจากปาฐกถา ในงานเปิดบ้านใหม่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2552สวัสดีทุกท่านเพื่อนสนิทมิตรสหายในกระบวนการให้ความคุ้มครองดูแลสิทธิของผู้บริโภคนะครับ ผมเองไม่ใช่เป็นนักเคลื่อนไหวหรือเป็นคนที่มีความรู้อะไรพิเศษเกี่ยวกับเรื่องของสิทธิผู้บริโภค แต่มันมาจากจุดหนึ่งในใจซึ่งมีมาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็คือว่าในโลกที่เราอยู่นั้นก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนเอาเปรียบ การเอาเปรียบผู้อื่นมีเหตุผล เจตนาหรือเปล่า แต่คนที่ถูกเอาเปรียบคือคนที่ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพื่อให้มีความแข็งแกร่งในวิชาชีพ แข็งแกร่งในทางรายได้ แข็งแกร่งในทางมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับคนภายนอก ผู้ถูกเอาเปรียบในตอนนี้นั้นก็สามารถจะต่อสู้ด้วยตัวเองได้ ในสังคมไทยยังมีผู้ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่มากและยังอยู่ในสภาพที่ ถ้าไม่มีคนอื่นเข้ามาช่วยคงจะไม่สามารถรักษาสิทธินั้นได้จากความรู้สึกอันนี้มันก็เลยทำให้เกิดความรู้สึกลึกลงไปว่ากระบวนการของการมีองค์กรที่ไม่หาผลกำไร เป็นองค์กรที่ไม่ได้อยู่ในเครือข่ายของรัฐนั้นมีความจำเป็นสำหรับคนไทยมากกว่าประเทศอื่นๆ แล้วเครือข่ายเหล่านี้ก็จะเรียกว่าอยู่ในวงการของประชาสังคม ผมก็ดีใจที่มีความตื่นตัวในเรื่องของการรักษาสิทธิของผู้บริโภค แต่ผมว่าอนาคตยังไปอีกไกลเพราะว่าเราต้องเริ่มต้นจากจุดแรกซึ่งลำบาก เราต้องเริ่มต้นจากจุดที่เรียกว่าต้องให้ประชาชนส่วนใหญ่หรือให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต่างรู้และสำนึกในสิทธิของตน เรายังไปไม่ถึงก้าวที่สอง เราเป็นเพียงแต่การพยายามให้คนเข้าใจ ให้คนรู้ว่าสิทธิของผู้บริโภคนั้นคืออะไรและก็เราจะดูแลรักษามันยังไง เพราะฉะนั้นในขั้นต้นนี้การทำงานก็ค่อนข้างจะไปในหลายกระแสหลายทิศทาง แต่อย่างหนึ่งที่ผมอยากให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคทำหน้าที่ก็คือว่า ไปในเรื่องใหญ่ๆ ในเรื่องของทิศทางที่ไม่ใช่เป็นเพียงแต่คุ้มครองผู้ถูกรังแกอยู่ในคอนโดก็ดี หรือผู้ถูกรังแกทางด้านอาหารก็ดี ทางด้านเกษตรก็ดี แต่อยากจะให้เห็นว่ามันจะเป็นกระบวนการสุดท้ายที่ไม่ต้องอาศัยองค์กรนี้เป็นผู้ปกป้องให้ แต่เราปกป้องกันเองโดยที่องค์กรนี้จะทำหน้าที่ข้างเคียงไปกับสภาโดยตรงเลย เพราะว่าทั้งหมดนี้ขั้นสุดท้ายก็อยู่ที่ว่าปัญหาของการเอารัดเอาเปรียบนั้นมันเกิดจากช่องโหว่ของกฎหมายด้วย แล้วถ้าเผื่อนักการเมืองเขาไม่ดูแลเรื่องนี้ให้เรา มันก็มีความจำเป็นที่เราจะต้องเข้าไปใกล้ชิดกับสาขาในหน่วยงานคุ้มครองของนิติบัญญัติที่จะให้มีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติต่างๆ ที่ไม่ให้ความเป็นธรรม ที่สร้างความอยุติธรรมกับสังคมไทยในเรื่องของผู้บริโภค หรืออาจจะมีการแนะนำเสนอให้มีการออกกฎหมายออกพระราชบัญญัติใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อเสริมสร้างให้กระบวนการของการดูแลสิทธิของผู้บริโภคนั้นมีความมั่นคงและมีความยั่งยืนมากขึ้น …อันนี้ผมว่ายังไปอีกไกล แต่เราทำเป็นจุดๆ ไป ที่ทำมาผมก็ว่าเป็นประโยชน์มาก แต่ในใจผมยังว่ามันยังคงสะเปะสะปะไป ถ้าเกิดเราคิดทำทุกอย่างมันคงจะลำบาก แต่ถ้าเผื่อเราไม่ปลุกจิตสำนึกไม่ปลุกให้คนไทยด้วยกันตื่นขึ้นมาว่า เรื่องการดูแลสิทธิของผู้ที่ซื้อบ้านจัดสรร ถ้าให้มูลนิธิฯ ท่านดูแล ท่านก็เหนื่อย เพราะบ้านจัดสรรไม่รู้มีกี่พันแห่งในเมืองไทย เราคงจะไปดูทุกอันไม่ได้ แต่เราควรไปดูที่ต้นตอว่ากฎหมายปัจจุบันมันให้ความคุ้มครองและดูแลสิทธิของผู้เช่าผู้ซื้อบ้านจัดสรรหรือเปล่า แล้วแต่ละบ้านจัดสรรผู้บริโภคก็ดูแลกันเอง ตามข้อความของกฎหมายที่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจ ฝันอยู่ในใจแล้วก็เริ่มคุยบ้าง แต่ก็คงอยู่ไม่ทันที่จะเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตผม ก็ต้องขอฝากไว้กับท่านทั้งหลาย ผู้ที่อยู่ในมูลนิธิฯ ก็คงเป็นผู้จุดประกาย ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายท่านก็มีความเป็นธรรมอยู่ในใจแล้วท่านก็พยายามที่จะผลักดันในสิ่งที่ถูกต้อง แต่สุดท้ายเราหวังพึ่งใครไม่ได้หรอกครับ ต้องพึ่งตัวเอง ในการพึ่งตัวเองนั้นก็ต้องพูดมากขึ้น เขียนมากขึ้น อ่านมากขึ้นและก็ต้องให้ประเด็นเรื่องของการสร้างวัฒนธรรมใหม่ ผมไม่อยากจะใช้คำว่าการเมืองใหม่เพราะว่าปัจจุบันใช้คำว่าการเมืองใหม่ค่อนข้างจะบ่อยครั้ง ซึ่งบางครั้งก็มีการถามว่าอะไรคือการเมืองใหม่ แต่ผมว่าวัฒนธรรมใหม่ของเมืองไทยที่เราอยากจะสร้างก็คือวัฒนธรรมของการเรียนรู้ของการแสวงหาความถูกต้องของการดูแลสิทธิ ไม่ใช่ดูแลผลประโยชน์นะ ผมขอให้เข้าใจคำนี้ด้วย ที่ทำมาทั้งหมดนี่มันไม่ใช่ผลประโยชน์นะ แต่ถ้าคุณจะดูแลสิทธิให้ถูกต้อง แล้วสิทธินั้นก่อประโยชน์ให้กับเรา อันนั้นผมเรียกว่าเป็นผลพลอยได้ แต่จุดเริ่มต้นไม่ใช่หาผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เพื่อสิทธิ ผมมาวันนี้ผมก็ดีใจได้เห็นบ้านใหม่ ผมไม่รู้ว่าเคยมีบ้านเก่าหรือเปล่า ได้เห็นบ้านใหม่ถึงแม้ไม่ได้อยู่ติดถนนก็มาตรงนี้ก็โชคดีนะ กันฝุ่น กันแดด กันเสียงด้วย ก็ตกแต่งซะดีเชียว ก็ยินดีนะ ขอให้เป็นบ้านใหม่ที่มีความสุขกายสบายใจ เป็นบ้านใหม่ที่สามารถทำประโยชน์ให้กับหลักการที่พวกเรายึดถือไว้ ขอให้ช่วยส่งเสริมให้สิทธิของคนไทยในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการบริโภค มันเป็นสิทธิที่มันฝังอยู่ในจิตใจไม่ใช่แต่ในพวกเราเท่านั้น แต่ในระบบการเมือง ในระบบยุติธรรม ในระบบบริหารต่างๆ ทั้งหมด ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วยทำให้กระบวนการนี้สำเร็จด้วยดี …ระหว่างที่นั่งฟังวิดีโอเทป (นานาทัศนะของบุคคลต่างๆ ต่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่ได้ถ่ายทอดไปเมื่อฉบับที่แล้ว) ผมนึกอะไรบางอย่างซึ่งเป็นสิ่งที่ผมคิดมานานและเป็นหลักการที่ผมใช้ในการทำงานส่งเสริมกระบวนการ องค์กร ภายใต้ของภาคประชาสังคมนะครับคือในสังคมทุกสังคมมีความขัดแย้งหรือความเห็นที่ไม่ตรงกันเป็นของธรรมดา แต่สิ่งที่สำคัญคือว่าถ้าเกิดสังคมไหนที่มีสติพอ แล้วก็มีทางออกเพียงพอ ทางออกนี้สำคัญมาก ความขัดแย้งก็ดี ความเห็นที่แตกต่างกันก็ดี มันจะไม่เกิดไปจนถึงขั้นที่ต้องแตกหัก ทุกๆ ประเทศในประวัติศาสตร์มันต้องผ่านมาทั้งนั้น มันพูดง่ายแต่บางทีทำลำบาก เพราะฉะนั้นทุกๆ ชาติถ้าไปดูประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ของการพัฒนาสังคมมานั้น มันมีการถึงขั้นแตกหักมาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันในสังคมไหนที่มีสติมากขึ้น มีความรู้และมีการเข้าถึงข้อมูลก็ดี มีการเข้าถึงความยุติธรรมก็ดี โอกาสที่จะถึงขั้นแตกหักก็จะน้อยลงไปขอบคุณครับ...  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 99 มือถือถ่ายรูป

วารสารฉลาดซื้อได้ลงผลทดสอบเรื่องโทรศัพท์มือถือไปหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ธรรมดา หรือโทรศัพท์ที่ทำได้หลายๆ ฟังก์ชั่น (สมาร์ทโฟน) ยังค่ะ ยังไม่พอ…คราวนี้ขอนำเสนอโทรศัพท์เฉพาะรุ่นที่สามารถใช้ถ่ายรูปได้มาฝากกัน ข้อมูลมาจากนิตยสาร Choice ของออสเตรเลีย ที่ได้ทดสอบโทรศัพท์ไว้ทั้งหมด 21 รุ่น ซึ่งมีขายอยู่ในบ้านเราด้วยสนนราคาตั้งแต่ 7,900 – 22,400 บาท เป็นโทรศัพท์ที่สามารถถ่ายภาพได้ที่ความละเอียดตั้งแต่ 3.2 ไปจนถึง 8.1 พิกเซลเลยทีเดียว เรียกว่าถ้าเจอภาพเด็ดๆ ที่ไหนแล้วก็สามารถถ่ายเก็บไว้ได้ทันที เนื่องจากโทรศัพท์แต่ละรุ่นก็มีความโดดเด่นในแต่ละด้านแตกต่างกันไป เราจึงขอนำเสนอหัวข้อการทดสอบผ่านการใช้งานในฟังก์ชั่นต่างๆ (โทรศัพท์ ส่งข้อความ ถ่ายภาพ ฟังเพลง) รวมถึงแบตเตอรี่และ การเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ไว้ เพื่อให้ผู้อ่านฉลาดซื้อได้เลือกรุ่นที่ตรงกับการใช้งานและกระเป๋าเงินของตนเองมากที่สุด

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า150 Point

ฉบับที่ 99 มาทำเครื่องสำอางผิดกฎหมายกันเถอะ

มาทำเครื่องสำอางผิดกฎหมายกันเถอะโดย แนวร่วมส่งเสริมประชาธิปไตยในการผลิตเครื่องสำอางผิดกฎหมายแห่งชาติ “กระตุ้นเศรษฐกิจของชาติด้วยกัน จงขยันผลิตจำหน่าย”สวัสดี ครับ พ่อแม่พี่น้องทุกท่าน กระผมในนามของประธานแนวร่วมส่งเสริมประชาธิปไตยในการผลิตเครื่องสำอางผิด กฎหมายแห่งชาติ ขอเชิญชวนท่านทั้งหลาย มาร่วมกันกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติ โดยการผลิตเครื่องสำอางกันเถอะครับ เพราะในยุคนี้ สมัยนี้ ใครๆ ต่างก็รักสวยรักงามกันทั้งนั้น ไม่เชื่อก็ดูเอาซิครับ เครื่องสำอางน่ะโฆษณากันโครมๆ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ใครๆ ไม่ว่าหญิงหรือชาย เด็กหรือแก่ ก็แย่งกันซื้อมาใช้ แต่ท่านสมาชิกครับ ขืนเราลงไปแข่งกับเขา ก็ตายซิครับ เราต้องหาช่องว่างทางการตลาดที่จะแย่งส่วนแบ่งส่วนนี้ให้ได้ กระผมพบแล้วครับ ช่องทางการตลาดที่เหมาะกับเรามากที่สุดคือ ช่องทางของเครื่องสำอางผิดกฎหมายไงครับ   ท่าน สมาชิกอย่าเพิ่งเบ้หน้าซิครับ อย่ากลัวครับ อย่ากลัว รักจะทำผิดแล้วจะกลัวได้อย่างไร ท่านไม่เห็นหรือครับว่าทุกวันนี้หน่วยราชการเขาก็เที่ยวไล่ตามจับเครื่อง สำอางผิดกฎหมายกันอยู่ทุกวัน แล้วเป็นไงครับ มันหมดหรือเปล่า ไม่หมดใช่มั้ยครับ นั่นย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนได้เลยว่าตลาดของเครื่องสำอางผิดกฎหมายของเรายัง สามารถเติบโตได้อีกเยอะครับ   แม้ จะเป็นการเสี่ยงกฎหมาย แต่เพื่อเป็นการส่งเสริมให้สมาชิกทุกท่านมีโอกาสร่ำรวยแบบกระผม ในโอกาสนี้ กระผมขอแนะนำเคล็ดลับในการผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอางผิดกฎหมาย เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้นำกลับไปทำมาหากินเพื่อตัวท่านเอง และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติ อันเป็นการช่วยประเทศได้อีกทางเลยนะครับ และไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ออกนะครับ เพราะวันนี้กระผมจะแนะนำให้ครบวงจร หมดไส้หมดพุงเลยครับ เรียกว่ามางานนี้ครั้งเดียวกลับไปรวยและเลยครับ หมายถึงรวยเห็นๆ นะครับไม่ใช่รวยจนเละตุ้มเป๊ะนะครับ ขั้นตอนที่หนึ่ง หาวัตถุดิบสรรพคุณวิเศษประการ แรกเลย ท่านสมาชิกต้องตั้งสติให้ดีก่อนนะครับว่าจะผลิตผลิตภัณฑ์อะไร งานนี้คนธรรมดาทำไม่ได้นะครับ ต้องมีสมองและยิ่งขี้โกงนิดๆ จะยิ่งแจ๋วไปเลยครับ เคยมีสมาชิกบางท่านไปทำดินสอพองผสมสีย้อมผ้า แม้ว่าจะเป็นนวัตกรรมผิดกฎหมายที่เยี่ยมยอด แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดครับ นึกดูซิครับใครจะไปใช้ดินสอพองได้ทุกวัน กลายเป็นขายได้เฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น ต้องนี่ครับ กระผมขอแนะนำ เครื่องสำอางสำหรับใบหน้าและผิวขาว ครับ เพราะยุคนี้ใครๆ ก็อยากหน้าขาวผิวขาวกันทั้งนั้น ถึงจะบางคนพ่อดำ แม่ดำ ก็ยังอยากจะขาวตะเกียกตะกายขวนขวายซื้อมาใช้จนได้ วัตถุ ดิบก็ไม่ยากครับ มีสารตั้งหลายตัวที่เราซื้อมาใช้ได้ พวกนี้แม้ราชการเขาจะห้ามใช้ในเครื่องสำอาง แต่เขาไม่ห้ามที่ผลิตเป็นยา ก็เลยมีสารเคมีเหล่านี้วางจำหน่ายได้ เวลาไปซื้อเราก็บอกว่า จะซื้อไปให้คุณหมอที่คลินิกซิ ไอ้ครีมที่หน้าขาวๆ ที่จ่ายตามคลินิกน่ะบางตัวเขาก็ผสมสารพวกนี้นะ แล้วก็อ้างว่าใช้รักษาคนไข้เฉพาะราย ทั้งๆ ที่ เห็นๆ ใครๆ ก็เข้ามาขอซื้อได้ ความจริงการผลิตยาขายเขาต้องมาขออนุญาตผลิตก่อนนะ แต่ใครจะไปตามจับตามตรวจได้หมดล่ะ พูด ไปเรื่อย แนะนำสารเคมีดีกว่า สมาชิกรู้จักมั้ย สารไฮโดรควิโนน น่ะ ตัวนี้เจ๋งมากนะครับ ทาไม่เท่าไหร่หน้าจะขาววอกเลย แต่อย่าเผลอไปบอกคนใช้ล่ะ ว่าถ้าใช้ไปนานๆ หน้าจะด่างแบบถาวรรักษาไม่หาย อีก ตัวก็ ปรอทแอมโมเนีย ไอ้ตัวนี้ใช้เยอะมันจะซึมเข้าไปถึงไต ไตพังนะ แต่อย่ากังวลครับ คนยุคนี้เขากินโน่นใช้นี่มากมาย เวลาเจ็บป่วยชอบมาโบ้ยโทษว่าเกิดจากสารปรอทแอมโมเนียของเรา จริงๆ มันก็มีส่วนนะแหละ แต่ทำไมไม่คิดล่ะว่าชาติที่แล้วไปทำกรรมอะไรไว้ก่อน ตัว สุดท้ายก็ กรดวิตามินเอ ตัวนี้สุดยอด สิวหายหน้าใสเลยล่ะ แต่อาการข้างเคียงคือ ปวดแสบปวดร้อนตรงผิวที่ทาเจ้าตัวนี้ลงไปครับ และปกติเขาห้ามใช้ในคนท้องนะ เพราะมันจะซึมไปถึงลูกในท้องจนพิการ แต่อย่าคิดมากครับ คนท้องคนไส้ที่ไหนจะมาทาครีมผิวขาว ขืนคิดมากจะไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจนะอย่าลืม ขั้นตอนที่สอง ผลิตง่ายๆ ไม่ต้องจ่ายภาษีพอ ได้สารสำคัญๆ ครบแล้ว ก็เข้าสู่การผลิตเลย ทำไม่ยากหรอกครับ เดี๋ยวผมจะให้สูตรนะครับ สถานที่ก็ไม่ต้องใหญ่โตหรอก ขืนใหญ่โตเกินไปสรรพากรจะตามมาเก็บภาษี เจ้าหน้าที่จะตามกลิ่นได้ เอาแบบนี้เลยครับ ที่นิยมมากๆ คือไปเช่าทาวน์เฮ้าส์ว่างๆ แล้วผลิตที่นั่นเลย แต่แนะนำให้ทำหลังบ้านนะครับ ล็อคประตูบ้านให้ดีล่ะ เผื่อเจ้าหน้าที่ดมกลิ่นตามมาถูก แต่กว่าจะพังเข้ามาได้ เราจะได้หนีทัน แต่ที่ประหยัดที่สุด แนะนำให้ผลิตในรถตู้เลยครับ มีเตาแก๊ส กาละมัง กระบวย ไม้พาย แค่นี้ก็ต้มๆ กวนๆใส่กระปุกขายได้แล้ว สุดยอดไหมล่ะครับ เจ้าหน้าที่ก็ตามจับไม่ได้หรอกเพราะรถมันไม่ได้อยู่กับที่น่ะ แถมทำปุ๊บส่งของได้ปั๊บเลยเด็ดมั้ยครับ ผลิต เสร็จแล้วต้องหาภาชนะบรรจุสวยๆใส่นะ ขืนใส่ถุงพลาสติกรัดยางขาย ดูมันจะกระจอกเหมือนน้ำมันทอดซ้ำที่ขายแบกะดินชอบกล พยายามหน่อยนะท่านสมาชิก หากระปุก หาขวดที่รูปร่างสวยงามกันหน่อย กระปุกแบบใส่ดินสอพอง ใส่เต้าหู้ยี้ไม่เอานะครับ เอากระปุกแบบยี่ห้อดังๆ เลย อย่าลืมว่าคนสมัยนี้บางคนเขาเลือกซื้อเครื่องสำอางตามหน้าตาของภาชนะบรรจุ ด้วย เสร็จแล้วก็ออกแบบฉลากให้มันสวยงามทันสมัยหน่อย แม้กฎหมายจะบังคับให้เครื่องสำอางต้องแสดงฉลากเป็นภาษาไทย และต้องมีรายละเอียดให้ครบถ้วน เช่น ชื่อเครื่องสำอาง ส่วนประกอบ ปริมาตรปริมาณที่บรรจุ วันผลิตหรือหมดอายุ รวมทั้งสถานที่ผลิต แต่เพื่อความปลอดภัยจากเงื้อมมือของกฎหมาย กระผมแนะนำให้แสดงฉลากเป็นภาษาประกิตเลย ผู้ซื้อจะได้ดูว่าเป็นของนอก ถ้าคิดไม่ออกก็ทำฉลากปลอมยี่ห้อดังๆ เลยง่ายดี ส่วนที่อยู่ผู้ผลิตท่านสมาชิกก็อย่าซื่อเกินเหตุไปบอกที่อยู่จริงล่ะ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะตามมาเยี่ยมถึงบ้าน ใส่ให้มันคลุมเครือหาไม่เจอเอาไว้ก่อนดีกว่า ไม่ต้องกลัวว่าลูกค้าจะหาซื้อไม่ได้ เรามีวิธีขายครับ ขั้นตอนที่สาม ขายง่าย ขายดี เขาทำกันแบบนี้การ ขายเครื่องสำอางผิดกฎหมายนั้น จะให้วางขายแบบปกติคงไม่ได้ เราต้องมีวิธีการขายที่แยบยล ยิ่งฉลาดกว่าเจ้าหน้าที่ เราจะยิ่งประสบความสำเร็จครับ กระผมขอแนะนำวิธีขาย 2-3 แบบครับ แบบ แรก เราก็วางขายหน้าร้านไปเลย วางในจุดที่เด่น ไม่ต้องหลบซ่อน เพราะเดี๋ยวจะมีพิรุธ ถ้าเจ้าหน้าที่มาตรวจ เราก็อ้างว่า มีคนมาฝากวางขาย เราไม่รู้หรอกว่ามันถูกหรือผิดกฎหมาย ใครจะไปรู้ ถ้าเจ้าหน้าที่ถามว่า ทำไมไม่ใช้ชุดทดสอบเครื่องสำอางที่ราชการแจกไปทดสอบก่อนขายล่ะ เถียงไปเลยครับว่า ทุกวันนี้ก็แทบไม่มีเวลาทำมาหากินแล้วยังจะให้มาทดสอบอีก แล้วใครจะไปจำวิธีทดสอบได้ล่ะ ดูสีอะไรกันแยกไม่ถูกหรอก มันไม่ได้จำง่ายๆ แบบแทงหวยนี่นา และ หากจะเพิ่มยอดการจำหน่ายให้มากขึ้น แนะนำให้วางในที่ที่เจ้าหน้าที่นึกไม่ถึง เพราะส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ก็จะมาตรวจตามร้านเสริมสวย ร้านขายของชำหรือตามตลาดนัด สมาชิกของเราบางท่านเคยนำไปวางขายในร้านเบเกอรี่ ร้านขายเครื่องเขียน กระบะขายผักก็มีมาแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่เคยมาตรวจพบ ไหมล่ะ เจ๋งไหมครับวิธีนี้ ท่านสมาชิกครับ อย่าเพิ่งหยุดแค่นี้นะ กระผมแนะนำให้ท่านสมาชิกนำผลิตภัณฑ์ไปขายตรง แบบปากต่อปากเพื่อส่งเสริมธุรกิจไปด้วย เพราะการขายแบบนี้ มันโฆษณาตัวต่อตัวได้เวอร์มากกว่าวิธีอื่นๆ แถมไม่ต้องเสียค่าแผง ไม่ต้องเสียภาษี ไปไหนก็เอาไปด้วยได้ง่ายๆ เวลาขายก็อ้างพวกดาราหน้าสวยๆ งามๆ ได้เลย ลูกค้าที่ไหนเขาจะโทรไปเช็คกับดาราล่ะ หรือไม่ก็อ้างว่าได้มาจากคลินิกก็ได้ ดูมันขลังดีเหมือนกันเพราะเหมือนผ่านมือหมอมาแล้ว แถมก็ไม่ต้องกังวลเรื่องฉลากที่ไม่ครบถ้วนอีกด้วย ไม่เชื่อไปดูซิ พวกที่หลุดมาจากคลินิกน่ะ ฉลากถูกกฎหมายมีมั้ย น้อยมากใช่มั้ยครับ หรือจะอ้างว่าผลิตโดยทีมอาจารย์จากหมา เอ๊ย มหาวิทยาลัยดังๆ แค่นี้คนก็อยากได้กันจะแย่แล้ว ขั้นตอนที่สี่ การขยายธุรกิจที นี้ถ้าธุรกิจเราเริ่มเติบโตขึ้นไปอีก เราก็ต้องเริ่มมีโฆษณาแล้ว ตอนนี้ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเพราะถือว่าเราอยู่ในที่โล่ง เจ้าหน้าที่อาจจะมาตรวจสอบได้ ไม่เป็นไรครับ อย่ากลัว จำคำขวัญของเราให้ดี “กระตุ้นเศรษฐกิจของชาติด้วยกัน จงขยันผลิตจำหน่าย”   ก็ เราก็มีสถานที่และเครื่องสำอางให้เขาตรวจตอนขออนุญาตแล้วนี่ ส่วนที่จะทำขายจริงๆ น่ะ เราก็แอบไปหาที่อื่นทำก็ได้ ให้มันรู้กันไปเลยว่า ใครจะฉลาดกว่ากัน เราหรือเจ้าหน้าที่ ส่วน การโฆษณาน่ะไม่ยากถ้าทำเป็นเอกสาร ใบปลิวหรือสิ่งตีพิมพ์ก็ทำให้มันสวยงามน่าเชื่อถือ ใส่ภาษาอังกฤษไปเยอะๆ แล้วก็ใส่ข้อความตามใจชอบที่จะสามารถดึงดูดใจลูกค้าให้ได้ อ้างผลการทดลองต่างๆ จริงบ้างเท็จบ้างไม่เป็นไร คนซื้อเขาชอบ ยิ่งโฆษณาโอ้อวดว่า ผลิตภัณฑ์ของเรามันรักษาโรคโน้นโรคนี้ได้ยิ่งดี แม้ว่ามันจะผิดกฎหมายก็อย่าไปกลัวครับ เพราะมันจะดูน่าเชื่อถือ คุ้มครับคุ้มมากๆ แต่ที่สำคัญ เราอย่าเผลอไปลงชื่อของเรา หรือสถานที่ผลิตของเราล่ะ เดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะตามมาถึงเรา สมาชิก บางท่านถามกระผมถึงการทำสปอตโฆษณาทางวิทยุ ก็เหมือนกันครับ ทำไปเถอะ กว่าเจ้าหน้าที่จะรู้ กว่าจะตามอัดเทปโฆษณา กว่าจะเชิญเราไปพบ เราก็หนีหายได้ทัน ส่วน การโฆษณาทางโทรทัศน์อันนี้ต้องลงทุนหน่อย อย่าหาพรีเซนเตอร์เพียงคนเดียว มายืนพูดปาวๆ อันนั้นมันเก่าไปแล้ว เดี๋ยวใครเขาจะคิดว่าเราขายเครื่องสำอางแผนโบราณ ต้องแบบนี้เลยครับ ไปจ้างดาราและนักวิชาการที่น่าเชื่อถือมาพร้อมๆ กันเลย อ้อ! ลืมบอกไปว่าต้องเอาดาราที่หน้าสวยๆ งามๆ หล่อๆหน่อยนะ หน้าตาเห่ยๆ อย่าเผลอไปจ้างมาล่ะ แต่นักวิชาการหากเห่ยไปบ้างพอรับได้ครับเพราะมันดูน่าเชื่อถือว่าเป็นตัว จริง แล้วก็ไปแทรกในรายการสุขภาพต่างๆ เวลาจัดรายการก็ให้โฆษกมันต่อยหอยพูดเจื้อยๆไปเถอะ เพ้อเจ้ออะไรก็ได้ ขอให้สนุกและน่าสนใจ แต่อย่าลืม ให้โฆษกพูดชื่อสารที่มีในเครื่องสำอางของเรากรอกหูคนดูไปบ่อยๆ และพอได้จังหวะคนดูเริ่มเคลิ้ม ก็ให้หันมาถามนักวิชาการว่าไอ้สารตัวนี้มันคืออะไร มันดีอย่างไร ตรง นี้ต้องเตี๊ยมกับนักวิชาการทั้งหลายก่อนว่า ไม่ได้จ้างมาโฆษณานะ จ้างมาให้พูดแนะนำความรู้เกี่ยวกับสารต่างๆ ให้ประชาชนรู้จัก เพราะนักวิชาการพวกนี้ บางคนเขามีสภาของเขาดูแลอยู่ ขืนไปโฆษณาการันตีสินค้าสุ่มสี่สุ่มห้าจะถูกลงโทษได้ พวกนี้เขาจะกลัว อันนี้ต้องชี้แจงเขาให้ดี พอนักวิชาการพูดเสร็จ ก็ถึงท่อนฮุคแล้วครับ ให้โฆษก ถามดาราเลยว่าไอ้ที่หน้าตาสวยๆ งามๆ หล่อๆ แบบนี้เขาใช้อะไร ที นี้ก็ให้ดาราที่จ้างมา กระหน่ำพรั่งพรูถึงสารเคมี ยี่ห้อ สินค้า สรรพคุณ เรียกว่าพูดน้ำไหลไฟดับให้คุ้มค่าจ้างไปเลยยิ่งดี พวกนี้เขาเก่งครับ เล่นได้สมบทบาท ส่วนของจริงเขาจะใช้หรือใม่ใช้ ไม่ต้องไปกังวลครับ ไม่มีใครตามมาเช็คหรอก และขอให้จบตรงที่โฆษกมอบของที่ระลึกให้ทั้งนักวิชาการและดารา ไม่ต้องไปหาถ้วยชามสังคโลกหรือพระเครื่องอะไรมามอบนะ เอาไอ้เครื่องสำอางของเรานั่นแหละมอบให้ ไปเลย เหมือนบอกคนดูแบบอ้อมๆ ว่าสุดท้ายก็ไปไหนหรอก ใช้ของเราหมดเลย ทั้งดาราและนักวิชาการ ลืม บอกไปอีกอย่าง พวกอุปกรณ์ประกอบฉาก ต้องหาให้เกี่ยวหรือเชื่อมโยงกับผลิตภัณฑ์ของเราให้ได้ เช่น รูป สี ข้อความ หรือแม้กระทั่ง ฉากหลัง ภาษาวงการเขาเรียกว่า โฆษณาแฝง อย่าคิดมาก ขนาดละครโทรทัศน์ทุกวันนี้มันยังโฆษณาแฝงมากกว่าเราอีก เป็น ไงครับ สมาชิกเรา เริ่มมีความหวังที่จะร่ำที่จะรวยกันแล้วใช่มั้ยครับ แต่ยังครับ เราต้องป้องกันความเสี่ยงด้วย เพราะเราทำผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมาย ขืนไม่บอกเคล็ดลับสุดท้าย ก็แย่ซิ เราต้องหาทางป้องกันความเสี่ยงของธุรกิจไว้ด้วย   ขั้นที่ห้า ปฏิบัติการแก้ต่างเพื่อพ้นผิดถ้า ลูกค้ามาโวยวายว่าใช้เครื่องสำอางของเราแล้วแพ้ อย่าตกใจครับ ตั้งสติให้ดี ค่อยๆ บอกเขาว่า ตัวยากำลังออกฤทธิ์ ผิวหน้าผิวหนังกำลังลอกคราบ พยายามอ้างโน้นอ้างนี้ บอกให้ใจเย็นๆ แต่ถ้าลูกค้าดันไป โวยวายร้องเรียนกับเจ้าหน้าที่ อ้างไปเลยว่า รู้ได้อย่างไรว่าเกิดจากเครื่องสำอางของเรา มีพยานพิสูจน์หรือเปล่า หรือเอาสูตรสำเร็จไปอ้างเลยว่า เอาของคนอื่นมาปลอมเพื่อมาเรียกร้องรีดเงินจากบริษัทรึไง แต่ต้องระวังหน่อยนะตอนนี้เขามีกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคที่ทางศาลเขา จะรับเรื่องได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งจะมีกฎหมายความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ ปลอดภัย ซึ่งถ้าผู้บริโภคเขาเสียหายก็จะมาร้องให้เราต้องรับภาระพิสูจน์ ดังนั้นเตรียมอะไรในเบื้องต้นให้มันคลุมเครือสับสนไว้ก่อนจะยิ่งปลอดภัยแก่ ตัวเราเอง แต่ ถ้าเจอของแข็ง โดนเจ้าหน้าที่ตรวจจับ ตั้งสติให้ดีนะครับ ถ้าเขาจับผลิตภัณฑ์ของเราได้จากที่อื่น ให้อ้างไปเลยครับว่า ของปลอม เราทำของถูกกฎหมายนะ ไอ้ที่เจ้าหน้าที่จับมาได้เป็นของคนอื่นมาปลอมของเราต่างหาก เขาก็อ้างอย่างนี้กันทั้งนั้นแหละ เห็นมั้ย ไอ้ที่เจ้าหน้าที่เขาประกาศกันโครมๆ ไม่เห็นมีเจ้าของรายไหนยอมรับว่าเป็นของตนเองสักราย อ้างแต่ว่าคนอื่นมาปลอม ทั้งๆ ที่ตนเองก็เป็นผู้เสียหาย เสียชื่อเสียง แต่ไม่เห็นเดือดร้อน ถ้าเป็นสินค้าอื่นๆ เจ้าของเขาให้สินบนนำจับไปแล้ว อ้างไปเถอะอย่าอาย ต้องด้านๆ เข้าไว้ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ดันมาจับได้ในสถานที่ของเราเอง ให้เตรียมจ้างคนไว้เลยให้มันรับเป็นเจ้าของสถานที่ไปเลย แล้วเราก็รีบแว่บหนีไป พวกรับจ้างติดคุกแทนน่าจะหาไม่ยากนะ เป็น ไงครับ วันนี้กระผมแนะนำกลเม็ดเด็ดพราย ทลายทะลุทะลวงยอดขายให้แล้วนะครับ ก่อนปิดการประชุมในวันนี้ กระผมก็ขออวยพรให้สมาชิกของเราทุกท่าน ประสบความสำเร็จในธุรกิจอันนี้ อย่าลืมนะครับ “กระตุ้นเศรษฐกิจของชาติด้วยกัน จงขยันผลิตจำหน่าย” ถึงจะเสี่ยงแต่ก็คุ้มใช่มั้ยครับ สวัสดี หมายเหตุบท ความนี้ไม่ได้มีเจตนาอยากให้ใครไปทำเครื่องสำอางผิดกฎหมายจริงๆ หรอกนะครับ เพียงแต่ต้องการจะบอกความจริงว่า การทำเครื่องสำอางผิดกฎหมายออกมาหลอกลวงขายให้กับผู้บริโภคนั้น มันง่ายมากๆ เจ้าหน้าที่ตรวจจับปราบปรามกันเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะไม่มียุบ มีหยุด กี่ปีๆ เราก็ได้ยินแต่ข่าวเจ้าหน้าที่ตรวจจับเครื่องสำอางผิดกฎหมาย ที่มีมูลค่าร่วมๆ สิบล้านบาท เพราะฉะนั้นคงต้องหวังพึ่งพลังของประชาชนนั่นแหละครับ อย่าได้ไปซื้อใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไอ้ที่บอกเห็นผลในสามวัน เจ็ดวัน มันผสมสารต้องห้ามทั้งนั้นแหละ หน้าคนนะครับไม่ใช่กระดาษจะได้ขาวได้เหมือนฟอกสี ดังนั้นอย่าหลงไปเป็นเหยื่อของพวกทำเครื่องสำอางผิดกฎหมายเข้าล่ะ แล้วถ้าเจอเบาะแสที่ไหน ก็อย่าลืมช่วยกันแจ้งเจ้าหน้าที่นะครับ สงสัยว่าเครื่องสำอางใดอาจมีสารห้ามใช้ โทร.ที่กลุ่มงานเครื่องสำอาง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา 02-590-7277 หรือ ตรวจสอบได้ที่ www.fda.moph.go.th/ ข้อหาฐานผลิตเพื่อขายเครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในการใช้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2535

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point