หลังจากการมาของนโยบายรถคันแรก รถราบนท้องถนนก็ดูเหมือนจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อรถเยอะขึ้นปัญหาที่ตามมาไม่ได้มีแค่รถติด แต่ยังมีอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่เป็นความทุกข์ของคนมีรถนั้นก็คือ การหาที่จอด เพราะเดี๋ยวนี้ที่จอดรถไม่ได้หาง่ายๆ แถมที่สำคัญที่จอดรถส่วนใหญ่ไม่ได้มีไว้ให้จอดฟรีๆ ต้องมีการจ่ายค่าบริการ แต่ละที่ก็คิดราคาถูกแพงไม่เท่ากัน ฉลาดซื้อ จึงอยากช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของคนมีรถที่ต้องเดินทางไปทำธุระตามที่ต่างๆ อยู่เป็นประจำ ด้วยการสำรวจข้อมูลค่าบริการที่จอดรถของอาคารพาณิชย์ชื่อดังที่ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจสำคัญๆ ในกทม. ว่าแต่ละที่เขาคิดค่าบริการกันยังไง ราคาเท่าไหร่ จะได้เตรียมตังค์ เตรียมใจ ก่อนจะเอารถไปจอด จอดฟรี แต่แค่ 15 นาทีนะ แม้ว่าในการสำรวจครั้งนี้ฉลาดซื้อได้พบว่า “ของฟรียังมีในโลก” แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจแต่อย่างใด เพราะแม้ที่จอดรถหลายๆ ที่จะมีเวลาให้จอดฟรี แต่ส่วนใหญ่ก็อนุโลมให้เฉพาะแค่ 10 – 15 นาทีแรกเท่านั้น เต็มที่ก็คือให้จอดฟรีได้ครึ่งชั่วโมง อาคารที่ให้จอดฟรีได้ครึ่งชั่วโมงก็มีอย่างเช่น อาคารบีบี Bangkok Business Building ถ.อโศก, อาคารสาทรสแควร์ ถ.สาทร, อาคารอิตัลไทย ทาวเวอร์ ถ.เพชรบุรี, อาคารเพลิตจิต ทาวเวอร์ และ อาคารเมืองไทย-ภัทร ถ.รัชดาภิเษก ซึ่งการมีช่วงเวลาที่รถเข้าไปจอดในอาคารโดยไม่เสียค่าบริการ แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ยังถือเป็นประโยชน์กับคนที่ใช้รถ โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ได้จอดที่อาคารนั้นๆ เป็นประจำ คนที่ไม่เคยทราบราคาค่าที่จอดมาก่อน อย่างน้อยๆ ก็จะได้มีโอกาสตัดสินใจเมื่อเห็นราคา ว่าจะเลือกจอดที่นี่หรือย้ายไปจอดที่อื่น เพราะเป็นข้อกำหนดโดยกรมการค้าภายในอยู่แล้วว่า อาคารสถานที่ที่ให้บริการที่จอดรถต้องมีการแจ้งราคากับผู้ใช้บริการ โดยต้องแจงรายละเอียดการคิดราคาค่าบริการทั้งจัดทำเป็นป้ายให้อ่านชัดเจนและทำเป็นข้อมูลลงในบัตรจอดรถที่ต้องได้รับทุกครั้งเมื่อมาใช้บริการ จ่าย 100 ได้จอด 1 ชั่วโมง ใครที่ดีใจที่ได้มีรถไว้ใช้จากนโยบายรถคันแรก ก็อย่าลืมเตรียมใจว่าจากนี้ไปค่าใช้จ่ายต่างๆ กำลังเดินทางมาดูดเงินจากกระเป๋าคุณ ทั้งค่าผ่อนรถ ค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน และที่หลายคนอาจลืมคิดไปแต่ถือเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ไม่น้อยก็คือ รายจ่ายค่าที่จอดรถ อาจจะดูน่าตกใจแต่ว่าเป็นเรื่องจริง ที่เดี๋ยวนี้ค่าบริการที่จอดรถมีราคาสูงถึงชั่วโมงละ 100 บาท ซึ่งจากการสำรวจเราพบหลายอาคารที่คิดค่าบริการจอดรถชั่วโมงละ 100 บาท ไม่ว่าจะเป็น อาคาร Interchange ถ.อโศก-สุขุมวิท, อาคาร Exchange Tower ถ.สุขุมวิท-รัชดาภิเษก, อาคาร Q House ถ.พระราม 4 และ อาคารสาทรสแควร์ ถ.สาทร ที่สำคัญคือเศษของชั่วโมงที่เกินมาก็ถือว่าเป็นหนึ่งชั่วโมง บัตรจอดรถเป็นของมีค่า...ต้องรักษาเท่าชีวิต ค่าจอดรถที่ว่าสูงแล้ว ยังไม่เท่าราคาบัตรจอดรถ ทั้งๆ ที่เป็นแค่กระดาษแผ่นเล็กๆ ใบหนึ่งแต่อาจมีค่าสูงถึง 500 บาท ในกรณีถ้าเราทำบัตรจอดรถที่ได้รับมาหายไป ซึ่งการที่บัตรจอดรถมีค่าสูงขนาดนี้เป็นเพราะนี่คือหลักฐานชิ้นสำคัญที่ไว้แสดงว่าได้มีการทำสัญญาร่วมกันระหว่างเจ้าของรถและอาคารที่ให้บริการที่จอดรถ เผื่อหากเกิดกรณีที่รถหายหรือทรัพย์สินที่อยู่ในรถถูกขโมย บัตรจอดรถจะช่วยยืนยันว่าเราในฐานะเจ้าของรถได้มาใช้บริการจริง นำไปใช้เป็นหลักฐานในการเรียกร้องความรับผิดชอบกับเจ้าของอาคารที่เราไปจอดรถ ไม่ได้ประทับตรา ไม่ได้สิทธิ อาคารต่างๆ ที่ให้บริการที่จอดรถส่วนใหญ่เป็นอาคารพาณิชย์ ที่เป็นที่ตั้งของร้านค้าและสำนักงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งใครที่มาจอดรถแล้วใช้บริการหรือติดต่อธุระต่างๆ ต้องอย่าลืมใช้สิทธิประทับตราลงบนบัตรจอดรถ เพราะมันจะช่วยให้เราสามารถจ่ายค่าที่จอดรถได้ถูกลง บางที่ก็ให้สิทธิจอดฟรีได้นานขึ้นเป็น 1 ชั่วโมง – 2 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นเวลาไปจอดรถไม่ว่าที่ไหนอย่าลืมมองหาจุดประทับตราเพื่อจะได้ช่วยประหยัดค่าจอดรถ สคบ. ขอความร่วมมือ ให้จอดฟรี 1 ชั่วโมง 15 นาที เรื่องของการคิดราคาค่าบริการที่จอดรถนั้น ในบ้านเราไม่ได้มีกฎหมายใดๆ กำหนดเกณฑ์มาตรฐานเอาไว้ จึงทำให้แต่ละที่มีการคิดราคาแตกต่างกันไป แต่เมื่อปลายปีที่แล้วมีข่าวว่าทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมกับ กรมการค้าภายใน และ กระทรวงพาณิชย์ ได้มีการขอความร่วมมือไปยังห้างสรรพสินค้าและผู้ให้บริการที่จอดรถของเอกชนทั่วประเทศ ว่าต้องอนุญาตให้ผู้ใช้รถสามารถจอดรถได้ฟรีเป็นเวลา 1 ชั่วโมงกับอีก 15 นาที หลังจากนั้นจึงค่อยมีการคิดค่าบริการ แต่จากผลสำรวจจะเห็นว่าที่จอดรถทุกแห่งที่เราทำการสำรวจ ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ สคบ.เรียกร้องเลยแม้แต่แห่งเดียว (นอกเสียจากจะเป็นการคิดค่าบริการจอดรถที่มีการประทับตรา) เนื่องจากหลักเกณฑ์ที่ออกมานั้นไม่ได้เป็นข้อกฎหมายหรือข้อบังคับ แต่เป็นเพียงแต่ขอกำหนดแบบสมัครใจเท่านั้น มาตรฐานสถานที่จอดรถ -อาคารจอดรถยนต์ต้องสร้างด้วยวัตถุทนไฟทั้งหมด -อาคารจอดรถยนต์ให้สร้างได้สูงไม่เกินสิบชั้นจากระดับพื้นดิน -อาคารจอดรถยนต์ที่สูงเกินหนึ่งชั้น ต้องมีการเปิดโล่งอย่างน้อยสองด้าน ส่วนเปิดโล่งต้องมีพื้นที่ไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ผนังด้านนั้น -อาคารจอดรถยนต์ที่อยู่ต่ำกว่าระดับพื้นดิน ต้องจัดให้มีเครื่องระบายอากาศภายในชั้นนั้นๆ -ทุกส่วนของอาคารจอดรถยนต์ต้องให้มีแสงสว่างแลเห็นได้ชัดทั้งกลางวันและกลางคืน -ต้องมีอุปกรณ์ดับเพลิงที่เพียงพอ หนึ่งเครื่องต่อจำนวนที่จอดรถยนต์ทุกๆ ห้าสิบคัน -พื้นที่สำหรับจอดรถ 1 คัน ถ้าเป็นแบบที่จอดขนานกับแนวเดินรถ ต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 2.4 เมตร และยาวไม่น้อยกว่า 6 เมตร ส่วนถ้าเป็นแบบพื้นที่จอดที่ขนานกับแนวเดินรถ ต้องมีความกว้างไม่น้อยกว่า 2.4 เมตร และยาวไม่น้อยกว่า 5 เมตร -ที่จอดรถแต่ละคัน ต้องมีเครื่องหมายแสดงลักษณะและขอบเขตของที่จอดรถไว้ให้ปรากฏบนพื้น ที่มา : ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง อาคารจอดรถยนต์ พ.ศ. 2521 และ กฎกระทรวง พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เมื่อ “รถหาย” สถานที่ที่รับจอดรถต้องรับผิดชอบหรือไม่? ถ้าลองสังเกตในบัตรจอดรถ จะเห็นข้อความประมาณว่า “บัตรนี้ไม่ถือเป็นการรับฝากรถ อาคารไม่รับผิดชอบใดๆ กรณีเกิดการสูญหายหรือเสียของรถและทรัพย์สินใดๆ” ทำให้หลายคนมีข้อกังวลว่าถ้าหากนำรถไปจอดแล้วรถหายหรือทรัพย์สินในรถถูกขโมยจะสามารถเรียกร้องความรับผิดชอบจากเจ้าของอาคารได้หรือไม่ ซึ่งแม้เจ้าของอาคารจะมีการระบุข้อความที่ไม่ขอแสดงความรับผิดชอบใดๆ เอาไว้ แต่ในทางกฎหมายเราสามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ เพียงแต่ต้องมีหลักฐานที่ใช้ยืนยันว่าเราได้นำรถไปจอดที่สถานที่ดังกล่าวจริง เช่น บัตรจอดรถ หรือใบเสร็จจากการซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในอาคารนั้นๆ ซึ่งเราสามารถแจ้งเรื่องไปยัง สคบ. ให้ช่วยดำเนินการเรียกร้องตามกฎหมายได้ ข้อมูลสำรวจอัตราค่าบริการที่จอดรถยนต์ของอาคารพาณิชย์ชื่อดังใน กทม. 1. อาคารจัตุรัสจามจุรี สามย่าน ชั่วโมงละ 20 บาท ฟรี 2 ชั่วโมงแรก 2. อาคารเมืองไทย-ภัทร ถ.รัชดาภิเษก 1 ชั่วโมง 10 บาท 2 ชั่วโมง 30 บาท 3 ชั่วโมง 70 บาท ชั่วโมงที่ 4 เป็นต้นไป คิดเพิ่มชั่วโมงละ 50 บาท ฟรี 30 นาทีแรก 3. อาคารเพลินจิต ทาวเวอร์ ชั่วโมงละ 20 บาท ฟรี 30 นาทีแรก ถ้ามีประทับตรา ได้รับส่วนลด (ไม่มีการแจ้งรายละเอียด) 4. อาคารบางกอกทาวเวอร์ ถ.เพชรบุรี เวลา 07.01 – 19.00 น. ชั่วโมงละ 20 บาท เวลา 19.01 – 24.00 น. ชั่วโมงละ 60 บาท เวลา 24.01 – 07.00 น. ชั่วโมงละ 120 บาท 5. อาคารอิตัลไทย ทาวเวอร์ ถ.เพชรบุรี ชั่วโมงละ 30 บาท ฟรี 30 นาทีแรก ถ้ามีตราประทับ ชั่วโมงละ 20 บาท ฟรี 2 ชั่วโมงแรก 6. อาคารยูไนเต็ด เซ็นเตอร์ ถ.สีลม ชั่วโมงละ 30 บาท ฟรี 15 นาทีแรก ถ้ามีตราประทับ ชั่วโมงละ 30 บาท ฟรี 1 ชั่วโมงแรก 7. อาคารสีบุญเรือง ถ.สีลม ชั่วโมงละ 35 บาท ฟรี 10 นาทีแรก ถ้ามีประทับตรา ได้รับส่วนลด (ไม่มีการแจ้งรายละเอียด) 8. อาคารเสริมมิตร ทาวเวอร์ ถ.อโศก ชั่วโมงละ 40 บาท ฟรี 10 นาทีแรก จอดเกิน 8 ชั่วโมง คิดชั่วโมงละ 50 บาท ถ้ามีประทับตรา จอดฟรี 9. อาคารบีบี (Bangkok Business Building) ถ.อโศก ชั่วโมงละ 40 บาท ฟรี 30 นาทีแรก ถ้ามีประทับตรา ลดราคา 50% 10. อาคารลุมพินี ถ.พระราม 4 ชั่วโมงละ 40 บาท ฟรี 15 นาทีแรก ถ้ามีตราประทับ 1 ครั้ง ชั่วโมงแรกฟรี ชั่วโมงต่อไป 20 บาท ถ้ามีตราประทับ 2 ครั้ง จอดฟรี (บริษัทเจ้าของตราประทับนั้นเป็นผู้จ่าย) *หมายเหตุ ตราประทับ 2 ครั้ง ต้องมาจากบริษัทเดียวกัน 11. ที่จอดรถเท็กซัส เยาวราช ชั่วโมงแรก 40 บาท ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ถัดไป 20 บาท 12. อาคารกาญจนทัต ทาวเวอร์ เยาวราช ชั่วโมงละ 50 บาท ถ้ามีประทับตรา ได้รับส่วนลด (ไม่มีการแจ้งรายละเอียด) 13. อาคาร Park Ventures ถ.วิทยุ ชั่วโมงละ 50 บาท ฟรี 15 นาทีแรก 14. อาคารสาทรสแควร์ ถ.สาทร ชั่วโมงละ 100 บาท ฟรี 30 นาทีแรก ถ้ามีประทับตรา ฟรี 1 ชั่วโมงแรก ชั่วโมงต่อไปขึ้นอยู่กับประเภทของตราประทับ 15. อาคาร Exchange Tower ถ.สุขุวิท-รัชดาภิเษก ชั่วโมงแรก 100 บาท ทุกๆ ครึ่งชั่วโมงถัดไป 50 บาท ฟรี 15 นาทีแรก 16. อาคาร Interchange ถ.อโศก-สุขุมวิท ชั่วโมงละ 100 บาท ฟรี 10 นาทีแรก ถ้ามีประทับตรา ชั่วโมงละ 50 บาท ฟรี 1 – 2 ชั่วโมงแรก (ขึ้นอยู่กับประเภทของตราประทับ) 17. อาคารQ House ถ.พระราม 4 ชั่วโมงละ 100 บาท ฟรี 15 นาทีแรก ถ้ามีประทับตรา ได้รับส่วนลด (ขึ้นอยู่กับประเภทของตราประทับ)
อ่านเพิ่มเติม >ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สินค้ามือสอง มีเสน่ห์สำหรับหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นแบบที่ถูกใจหรือราคาที่ถูกมากเมื่อเทียบกับคุณภาพของสินค้า โดยเฉพาะรองเท้ามือสอง ซึ่งคงไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นเท่านั้นที่นิยมรองเท้ามือสอง คนอีกหลายวัยก็นิยมเช่นกัน เพราะสินค้ารองเท้ามือสองนั้นมีความหลากหลายของรูปแบบที่เข้าได้กับทุกกลุ่ม เพศ วัย ไม่ว่าจะเป็นผ้าใบยี่ห้อดัง รองเท้าหนังเท่ๆ หรือส้นสูงสุดเฉี่ยว ถึงจะเป็นที่นิยมมากแค่ไหน แต่รองเท้ามือสองกำลังเป็นคำถามสำคัญที่ผู้บริโภคต้องใส่ใจมากขึ้น ว่าจะยังตระเวนซื้ออย่างสนุกสนานต่อไป หรือว่าควรมีรองเท้ามือสองไว้ในครอบครองแต่พอดี เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีข่าวใหญ่เรื่อง ขยะรองเท้ามือสองกองสูงเป็นภูเขา(ฝ่ายที่กองไว้อ้างว่าอยู่ระหว่างรอการกำจัด) เป็นปัญหาเดือดร้อนรำคาญและก่อผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม ที่จังหวัดสระแก้ว ใกล้ตลาดโรงเกลือ ซึ่งถือเป็นแหล่งค้ารองเท้ามือสองที่ใหญ่สุดในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน ขยะดังกล่าวได้ถูกกำจัดไปส่วนหนึ่งแต่ก็ไม่ทันกับปริมาณของตัวขยะ(ใหม่)ที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน เพราะตลาดของรองเท้ามือสองนั้นติดลมบนและมีมูลค่ามหาศาลไปแล้ว คำถามก็คือ เราจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาขยะรองเท้ามือสองต่อไป หรือเราจะเปลี่ยนตัวเอง ด้วยการซื้อรองเท้ามือสองให้น้อยลงหรือแม้แต่รองเท้าใหม่ก็เช่นกัน และถนอมใช้รองเท้าที่เรามีอยู่ไปจนเปื่อยขาดหมดสภาพแล้วจึงค่อยซื้อใหม่ดี “ปัจจุบันมีโรงเท้ามือสองถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ กระจายไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ภายในตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ วันละ 6-10 ตัน เพื่อนำไปซ่อมแซม และตกแต่ง เพื่อจำหน่ายต่อไป ซึ่งจะมีชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ต้องทิ้งเป็นขยะ ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ ของรองเท้าทั้งหมด” นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว พิสูจน์ความสะอาดของรองเท้ามือสอง ฉลาดซื้อฉบับนี้ไปช้อปปิ้งรองเท้ามือสองจากตลาดนัดที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งของรองเท้ามือสองจำนวน 9 แห่ง โดยเลือกรองเท้าที่ไม่เหมาะกับการซัก แต่อาจต้องทำความสะอาดด้วยวิธีอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อส่องดู เชื้อโรคและเชื้อรา(standard plate count และ Mold) ว่ามีอยู่มากน้อยแค่ไหน การทดสอบทำโดย บริษัท ห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด (Standard plate count / วิธีตรวจนับจุลินทรีย์มาตรฐาน) ผลการทดสอบ วิธีทำความสะอาดรองเท้ามือสอง 1.ถ้าเป็นรองเท้าที่ซักด้วยน้ำและผงซักฟอกได้ เมื่อซื้อมาแล้วให้ซักล้างทำความสะอาด ตากแดดให้แห้งสนิท ก่อนสวมใส่ 2.รองเท้าที่ซักด้วยน้ำและผงซักฟอกไม่ได้ ควรเช็ดถูด้านในรองเท้าด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคหรือแอลกอฮอล์ และนำไปผึ่งแดดจัดๆ แต่ถ้าเป็นรองเท้าหนังไม่ควรผึ่งแดดจัด เพราะจะทำให้เสื่อมสภาพไวขึ้น ควรผึ่งในที่ร่มที่มีลมพัดผ่าน 3.ถ้าภายในรองเท้าเปียกชื้น การซับด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์จะช่วยดูดความชื้นออกไปได้ 4.ควรหมั่นซัก ล้าง ทำความสะอาดรองเท้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขอนามัยอันดีและป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์ -------------------------------------------------------------------------------------------- สิ่งที่อาจมากับของใช้มือสอง 1.อาการภูมิแพ้ ทั้งจากวัสดุ ฝุ่น เชื้อโรคหรือแม้แต่น้ำยาปรับผ้า น้ำยารีดผ้า 2.โรคจากเชื้อรา ชื่นชอบอากาศและความอับชื้นเป็นพิเศษ จึงเจริญเติบโตได้ดีในรองเท้าที่ไม่ค่อยได้ซักทำความสะอาด กรณีรองเท้ามือสอง หากไม่ทำความสะอาดให้ดีก่อนสวมใส่ อาจก่อให้เกิดอาการเท้าเป็นเชื้อรา คันตามบริเวณง่ามเท้า ฝ่าเท้า 3.โรคผิวหนัง เชื้อโรคเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังต่างๆ และเมื่อแบคทีเรียรวมตัวกับความเปียกชื้นจากเหงื่อก็จะทำให้เกิดปัญหากลิ่นอับ ซึ่งเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์
สำหรับสมาชิก >คราวนี้องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ International Consumer Research & Testing เขาได้ทำการสำรวจความรับผิดชอบต่อสังคมของบรรดาผู้ผลิตยางรถยนต์แบรนด์ต่างๆ ที่เรารู้จักกันดี ทั้งจากเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี ฟินแลนด์ อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี สมาชิกฉลาดซื้อคุ้นเคยกันดีแล้วกับการแสดง “ความรับผิดชอบต่อสังคม” ในรูปแบบที่เป็นการรับผิดชอบตั้งแต่กระบวนการสรรหาวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การจ้างงาน การรักษาสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงความโปร่งใสในทุกกระบวนการ เรามาดูกันเลยว่ายางรถยนต์แบรนด์ไหน ให้ความสนใจต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากกว่ากัน เกณฑ์การให้คะแนน นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 40 นโยบายสิ่งแวดล้อม / มาตรฐานการจัดซื้อ / โปรแกรมและเครื่องมือในการเฝ้าระวัง นโยบายด้านสังคมร้อยละ 30 นโยบายแรงงาน / มาตรฐานการจัดซื้อ / โปรแกรมและเครื่องมือในการเฝ้าระวัง การจัดซื้อยางดิบ ร้อยละ 20 เงื่อนไขในการจัดหายางดิบ / เงื่อนไขในการแปรรูปยางดิบ / แนวปฏิบัติต่อชุมชนและต่อการคอรัปชั่น ความโปร่งใส ร้อยละ 10 การมีส่วนร่วมในการตอบแบบสอบถาม / การอนุญาตให้เข้าชมโรงงาน / การรายงานต่อสาธารณะ วิธีการสำรวจ ค้นคว้าหาข้อมูลจากเอกสาร เช่น ข่าว รายงานประจำปี รายงานวิจัย การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ถือหุ้น เป็นต้น ใช้แบบสำรวจ (ระหว่างเดือนกันยายน – ธันวาคม 2555) ด้วยคำถามใน 5 หัวข้อต่อไปนี้ - นโยบาย CSR สะท้อนมาตรฐานหรือระเบียบปฏิบัติสากลหรือไม่ - บริษัทมีการกำกับดูแลสภาพการใช้แรงงานและสิ่งแวดล้อมในสายการผลิตหรือไม่ - บริษัทได้ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการผลิตหรือไม่ - บริษัทออกแบบยางโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศหรือไม่ - มีข้อกำหนดเฉพาะเกี่ยวกับแหล่งที่มาของน้ำยางดิบหรือไม่ การสำรวจนี้จะสมบูรณ์ต่อเมื่อผู้สำรวจได้เยี่ยมชมโรงงานและไร่ยางของบริษัท แต่เนื่องจากบริษัทไม่ยินดีเปิดเผยว่าซื้อยางจากที่ใด มีเพียง 3 บริษัทเท่านั้นจากทั้งหมด 7 บริษัทที่ยินดีเข้าร่วมการสำรวจ ที่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมชมได้ แต่มีเงื่อนไขว่าผู้สำรวจจะต้องลงนามยินยอมว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ลองมาดูกันว่าแต่ละแบรนด์ตอบว่าอย่างไรกันบ้าง Michelin มิชลิน บอกว่า “โดยปกติแล้วเราไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นเข้าชมโรงงาน ด้วยเหตุผลด้านการรักษาความลับของบริษัท กระบวนการทางสิ่งแวดล้อมและสังคมของเรา ผ่านการตรวจสอบโดย PWC และมีการนำเสนอผลในรายงานประจำปีและรายงานด้านความยั่งยืนอยู่แล้ว ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ดูรายงานเล่มล่าสุดของบริษัท (ปีปฏิทิน 2011)” “ส่วนเรื่องการขอเยี่ยมชมสวนยางพารา ซึ่งเป็นไปตามความเข้าใจว่าเราได้ยางดิบจากสวนนั้น ความจริงแล้วบริษัทซื้อจากคนกลางที่รับซื้อน้ำยางจากเกษตรกรรายย่อย” Good Year “น้ำยางดิบ ถือเป็นความลับทางธุรกิจ บริษัทไม่เปิดเผยต่อบุคคลภายนอก” Bridgestone “บริษัทได้ส่งข้อตกลงเรื่องการไม่เปิดเผยข้อมูลให้กับทางผู้สำรวจก่อนการเยี่ยมชม ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติตามปกติของบริษัท แต่ผู้สำรวจไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว” Pirelli “บริษัทมีนโยบายให้ผู้เข้าเยี่ยมชมลงนามรับรองว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูล ก่อนการเข้าเยี่ยมชม” Nokian บริษัทปฏิเสธการให้เข้าเยี่ยมชมโรงงานในฟินแลนด์โดยไม่แจ้งเหตุผล ภาพรวม ไม่มีบริษัทใดเปิดเผยชื่อของซัฟฟลายเออร์หรือผู้จัดหายางดิบให้กับบริษัท ในการจัดซื้อยางดิบนั้นแต่ละบริษัทจะดูเรื่องคุณภาพและราคาเป็นเหลัก ยังไม่เน้นเรื่องความยั่งยืนในการผลิตยางดิบ แม้ประเด็นเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมจะเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมการผลิตยางรถ แต่ยังไม่มีแบรนด์ใดมีนโยบายแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในส่วนที่เกี่ยวกับการผลิตยางดิบ นโยบายสิ่งแวดล้อมของแบรนด์ต่างๆอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดีและครอบคลุมไปถึงผู้จัดหาวัตถุดิบ ในขณะที่นโยบายด้านแรงงานยังอยู่ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น แบรนด์ที่มีนโยบายด้านสังคมและการจัดซื้อที่ดีที่สุดในกลุ่มที่ทำการสำรวจได้แก่ BRIDGESTONE และ PIRELLI PIRELLI 56 คะแนน ผู้ผลิตยางยี่ห้อ Pirelli นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม 5 นโยบายด้านสังคม 5 การจัดซื้อยางดิบ 1 ความโปร่งใส 4 MICHELIN 55 คะแนน ผู้ผลิตยางยี่ห้อ Michelin/ Kleber นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม 5 นโยบายด้านสังคม 5 การจัดซื้อยางดิบ 1 ความโปร่งใส 3 BRIDGESTONE 49 คะแนน ผู้ผลิตยางยี่ห้อ Bridgestone/ Firestone นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม 4 นโยบายด้านสังคม 5 การจัดซื้อยางดิบ 1 ความโปร่งใส 3 Nokian 32 คะแนน ผู้ผลิตยางยี่ห้อ Nokian นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม 4 นโยบายด้านสังคม 2 การจัดซื้อยางดิบ 1 ความโปร่งใส 2 CONTINENTAL 31 คะแนน ผู้ผลิตยางยี่ห้อ Continental/ Semperit/ Uniroyal/ Barum นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม 3 นโยบายด้านสังคม 3 การจัดซื้อยางดิบ 1 ความโปร่งใส 2 Hankook 29 คะแนน ผู้ผลิตยางยี่ห้อ Hankook นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม 3 นโยบายด้านสังคม 3 การจัดซื้อยางดิบ 1 ความโปร่งใส 2 Apollo-Vredestein 27 คะแนน ผู้ผลิตยางยี่ห้อ Apollo/ Vredestein นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม 3 นโยบายด้านสังคม 3 การจัดซื้อยางดิบ 1 ความโปร่งใส 2 GOODYEAR 27 คะแนน ผู้ผลิตยางยี่ห้อ Goodyear/ Dunlop/ Fulda นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม 3 นโยบายด้านสังคม 3 การจัดซื้อยางดิบ 1 ความโปร่งใส 2 Yokohama 18 คะแนน ผู้ผลิตยางยี่ห้อ Yokohama นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม 2 นโยบายด้านสังคม 3 การจัดซื้อยางดิบ 1 ความโปร่งใส 2 Kumho 5 คะแนน ผู้ผลิตยางยี่ห้อ Kumho นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม 2 นโยบายด้านสังคม 1 การจัดซื้อยางดิบ 1 ความโปร่งใส 1 GT Radial 0 คะแนน ผู้ผลิตยางยี่ห้อ GT Radial นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม 1 นโยบายด้านสังคม 1 การจัดซื้อยางดิบ 1 ความโปร่งใส 1 Nexen 0 คะแนน ผู้ผลิตยางยี่ห้อ Nexen นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม 1 นโยบายด้านสังคม 1 การจัดซื้อยางดิบ 1 ความโปร่งใส 1 เรื่องของยาง ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยางและยางรถยนต์แห่งยุโรประบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วยางแต่ละเส้นมียางธรรมชาติเป็นส่วนประกอบร้อยละ18 และยางสังเคราะห์ร้อยละ 25 ของน้ำหนัก แต่ละแบรนด์ จะมีสูตรผสมที่แตกต่างกันไป เช่น ข้อมูลการจัดซื้อของมิชลินในปี 2011 ระบุว่า ในมูลค่าการจัดซื้อวัตถุดิบ ร้อยละ 42 เป็นมูลค่าของยางธรรมชาติ และร้อยละ 24 เป็นมูลค่าของยางสังเคราะห์ ยางที่ใช้ในเมืองหนาวจะมีสัดส่วนของยางธรรมชาติสูงกว่ายางที่ใช้ในเมืองร้อน และยางของรถบรรทุกก็จะมีสัดส่วนของยางธรรมชาติมากกว่ายางของรถยนต์นั่งทั่วไปเช่นกัน ยอดขายยางรถยนต์ในปี 2010 อยู่ที่ 111,000 ล้านยูโร (ประมาณ 4.3 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 20 จากปีก่อนหน้า ฟื้นตัวจากช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในปี 2008 แต่หลังจากเติบโตต่อเนื่องมา 2 ปี บริษัทยางในยุโรปรายงานว่ายอดขายลดลงถึง 2 หลักในปี 2012 ปัจจุบันประเทศไทยรั้งตำแหน่งแชมป์โลกด้านการผลิตและส่งออกยางพารา 10 อันดับบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งยึดครอง 2 ใน 3 ของตลาดยางทั่วโลก (ข้อมูลปี 2553) ได้แก่ บริษัท สำนักงานใหญ่ ยอดขาย (ล้านเหรียญสหรัฐ) Bridgestone Japan 24,400 Michelin France 22,400 Goodyear USA 17,000 Continental Germany 8,100 Pirelli Italy 6,300 Sumitomo Japan 5,900 Yokohama Japan 4,800 Hankook South Korea 4,500 Cooper USA 3,400 Maxxis /Cheng Shin Taiwan 3,400 ---
อ่านเพิ่มเติม >ข่าวเรื่องการประมูล 3G อาจจะเป็นข่าวใหญ่ในแวดวงการสื่อสารในรอบปี 2555 ที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือทุกคนต้องให้ความสนใจ เพราะเกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์ของคนใช้โทรศัพท์มือถือโดยตรง นั่นก็คือการประกาศของคณะกรรมการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เรื่อง “อัตราขั้นสูงของค่าบริการโทรคมนาคมสำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ประเภทเสียงภายในประเทศ พ.ศ. 2555” ที่มีเนื้อหาว่าด้วยการกำหนดค่าโทรสูงสุด โดยตามประกาศฉบับนี้ได้บังคับไว้ว่า ห้ามบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือกำหนดค่าโทรเกินนาทีละ 99 สตางค์ ประกาศฉบับนี้เริ่มมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2555 แต่ว่าทาง กสทช. ก็ผ่อนผันให้กับบรรดาค่ายโทรศัพท์มือถือจนถึงสิ้นปี 2555 ซึ่งเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2556 ที่ผ่าน ถือเป็นวันดีเดย์ที่ทาง กสทช.จะเริ่มบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้อย่างจริงจังและจะมีบทลงโทษกับค่ายมือถือที่ไม่ปฏิบัติตามกฎ แม้ค่ายโทรศัพท์มือถือดูเหมือนจะตื่นตัวรับประกาศฉบับนี้ ด้วยการออกโปรโมชั่นใหม่ๆ รับค่าโทรนาทีละไม่เกิน 99 สตางค์ แต่ว่าก็ยังมีโปรโมชั่นค่าบริการทั้งแบบเติมเงินและแบบรายเดือนอีกเป็นจำนวนมากที่ยังคิดค่าโทรเกินนาทีละ 99 สตางค์ ฉลาดซื้อจึงขออาสาสำรวจโปรโมชั่นโทรศัพท์มือถือว่าตอนนี้มีโปรโมชั่นไหนที่ทำตามประกาศและยังมีโปรโมชั่นไหนยังคิดค่าโทรเกินนาทีละ 99 สตางค์ เพื่อเป็นข้อมูลให้สำหรับคนที่กำลังมองหาโปรโมชั่นค่าโทรมือถือที่น่าจะคุ้มค่าและเหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละคนมากที่สุด โปรโมชั่นค่าโทรแบบเติมเงินที่คิดค่าโทรไม่เกินนาทีละ 99 สตางค์ เครือข่าย ชื่อโปรโมชั่น ค่าโทรหาเบอร์เครือข่ายเดียวกัน ค่าโทรหาเบอร์ต่างเครือข่าย โปรโมชั่นพิเศษที่เกี่ยวข้องกับค่าโทร ดีแทค ซิมปาท่องโก๋ นาทีละ 66 สต. นาทีละ 99 สต. โทรหาอีก 1 เบอร์พิเศษ นาทีละ 2 สตางค์ ซิม 2499 แฮปปี้ทั่วเมือง นาทีแรก 99 สต. นาทีต่อไป 24 สต. นาทีละ 99 สต. - ซิม 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ นาทีละ 15 สต. ช่วง 4 ทุ่ม - 10 โมงเช้า นอกช่วงเวลา นาทีละ 99 สต. นาทีละ 99 สต. - ซิมสามก๊ก นาทีละ 49 สตางค์ ช่วงตี 5 – 5 โมงเย็น นอกช่วงเวลา นาทีละ 99 สตางค์ - ซิมคงกระพัน นาทีละ 99 สต. - เอไอเอส โปร 30 กำลังดี นาทีละ 99 สต. - ทรูมูฟ ซิมฮักกัน นาทีละ 75 สต. เพิ่มค่าโทรให้ตามจำนวนเงินที่เติม ซิมถูกใจ นาทีละ 99 สต. เพิ่มค่าโทรให้ตามจำนวนเงินที่เติม ซิมอะเมซิ่ง นาทีละ 24 สต. นาทีละ 99 สต. - โปรเบิ้ลเบิ้ล นาทีละ 99 สต. เพิ่มค่าโทรให้ตามจำนวนเงินที่เติม โปรโมชั่นค่าโทรแบบเติมเงินที่คิดค่าโทรเกินนาทีละ 99 สตางค์ เครือข่าย ชื่อโปรโมชั่น ค่าโทรหาเบอร์เครือข่ายเดียวกัน ค่าโทรหาเบอร์ต่างเครือข่าย โปรโมชั่นพิเศษที่เกี่ยวข้องกับค่าโทร ดีแทค ซิมม่วนซื่นทั้งปี ตี 5 – 5 โมงเย็น นาทีละ 50 สต. เมื่อโทรเบอร์ในเครือข่ายที่เปิดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นาทีแรก 2 บ. นาทีต่อไป 1 บ. โทรฟรีช่วงเทศกาล 500 นาที ซิมแฮปปี้นาทีละ 40 สต. นาทีแรก 1.80 บ. นาทีต่อ 40 สต. - ซิมเปิ้ล นาทีละ 2 บ. โทร 1 เบอร์พิเศษในเครือข่าย นาทีละ 50 สตางค์ เอไอเอส โปร รักทุกค่าย อัตรานาทีแรก 2 บ.ต่อไปนาทีละ 50 สต. - โปร One-2-Call! Grammy Music SIM ชั่วโมงละ 1 บ. ในเครือข่าย AIS ช่วงเวลา 23.00 น.-17.00 น. (นอกเวลานาทีละ 1 บ.) นาทีละ 1 บ. มีค่าบริการสัปดาห์ละ 29 บ. โปร หวานเย็น ตั้งแต่ 22.00-18.00 น. นาทีแรก 2 บ. นาทีต่อไป 25 สต. นอกช่วงเวลา นาทีแรก 2 บ. นาทีต่อไป 1 บ. - โปร โทรยกแก๊งค์ โทรระหว่างหมายเลขในโปรโมชั่น นาทีแรก 1 บ. นาทีต่อไป 25 สต. โทรหมายเลขอื่น ทุกเครือข่าย นาทีแรก 2 บ. นาทีต่อไป 1 บ. มีค่าบริการเดือนละ 19 บ. โปร รักทุกค่าย นาทีแรก 2 บ. นาทีต่อไป 50 สต. - ทรูมูฟ ซิมสุดคุ้ม นาทีละ 1 บ. นาทีแรก 3 บ. นาทีต่อไป 1 บ. เพิ่มค่าโทรให้ตามจำนวนการใช้ ซิมว้าวว์ นาทีแรก 1.80 บ. นาทีต่อไป 39 สต. - โปรโทรฟรียกก๊วน 24 ชั่วโมง นาทีแรก 1 บ. นาทีต่อไป 50 สต. นาทีละ 1.25 สต. โทร 3 เบอร์คนสนิท นาทีแรก 1 บ. นาทีต่อไป 25 สต. ได้สิทธิ์โทรฟรีเมื่อใช้ตามจำนวนที่กำหนด โปรห่วงใย 39 สต. นาทีแรก 1.80 บ. นาทีต่อไป 39 สต. - โปรเบิ้ลเบิ้ล นาทีละ 99 สตางค์ เพิ่มค่าโทรให้ตามจำนวนเงินที่เติม -โปรโมชั่นค่าโทรที่นำมาเปรียบเทียบเป็นรูปแบบเติมเงินและเป็นโปรโมชั่นที่เน้นการโทรเป็นหลัก -สำรวจล่าสุดเดือนมีนาคม 2556 การห้ามกำหนดค่าบริการโทรศัพท์มือด้วยระบบเสียงเกินนาทีละ 99 สตางค์ มีผลบังคับใช้กับ เอไอเอส และ ดีแทค เท่านั้น ไม่มีผลกับ ทรูมูฟ ตามเงื่อนไขในประกาศที่จะควบคุมเฉพาะผู้ให้บริการที่มีลักษณะเป็น “ผู้มีอำนาจเหนือตลาดอย่างมีนัยสำคัญ” ซึ่งวัดจากส่วนแบ่งทางการตลาด ถ้าเจ้าไหนมีส่วนแบ่งมากกว่า 25% จึงจะถือว่ามีแนวโน้มเป็นผู้มีอำนาจเหนือตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ตามประกาศเรื่อง “หลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณากำหนดผู้มีอำนาจเหนือตลาดในกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2552” ซึ่ง ทรูมูฟ มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ประมาณ 23% ส่วน เอไอเอส อยู่ที่ประมาณ 43% และ ดีแทค อยู่ที่ 30% แพ็คเก็จรายเดือนค่าโทรส่วนเกินยังเกิน 99 สตางค์ จากการสำรวจค่าโทรศัพท์มือถือแบบเหมาจ่ายรายเดือนจะมีค่าโทรเฉลี่ยอยู่ที่ 74 สตางค์ – 1 บาทต่อนาที แต่ยังมีการคิดค่าโทรส่วนเกินอยู่ที่ 1บาท – 1.50 บาทต่อนาที ซึ่งเกิน 99 สตางค์ตามประกาศของ กสทช. ซึ่งเมื่อยังมีการละเมิดคำสั่งอยู่แบบนี้ ทาง กสทช. จะมีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาค่าปรับทางปกครอง โดยมีการกำหนดอัตราค่าปรับวันละ 100,000 บาท สำหรับใครที่พบว่าตัวเองยังใช้โปรโมชั่นมือถือที่คิดค่าบริการเกิน 99 สตางค์ สามารถแจ้งเปลี่ยนแพ็คเก็จหรือย้ายค่ายผู้ให้บริการ ซึ่งหากผู้ให้บริการรายใดปฏิเสธการให้บริการ หรือแม้แต่เห็นว่า กสทช. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประกาศ สามารถร้องเรียนไปได้ที่ สายด่วน กสทช. โทร. 1200, ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคภาคประชาชนในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ สำรวจพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์ของตัวเองก่อนเลือกโปรโมชั่น 1.ปริมาณการโทร – จำนวนเวลาที่ใช้โทรในแต่ละครั้งมากน้อยแค่ไหน เพราะถึงแม้จะเลือกใช้โปรฯ ที่มีค่าโทรนาทีละ 99 สตางค์ แต่ถ้าหากต้องโทรคุยครั้งละ 10 – 20 นาที ค่าโทรที่ต้องเสียก็จะแพงกว่าโปรฯ ค่าโทรที่เริ่มต้นนาทีแรก 2 บาท แต่นาทีต่อไปคิดนาทีละ 50 สตางค์ เพราะฉะนั้นต้องดูให้แน่ใจว่าเรามีพฤติกรรมการใช้งานโทรศัพท์แบบไหน ถ้าเป็นประเภทคุยสั้นคุยไม่นาน ก็ควรเลือกที่คิดค่าโทรถูกตั้งแต่นาทีแรก คือไม่เกิน 99 สตางค์ แต่หากเป็นคนที่คุยนานก็ต้องดูเรื่องค่าโทรเฉลี่ย นอกจากนี้ยังมีโปรฯ ที่ออกแบบเพื่อการโทรหาเบอร์ที่เราเลือกให้เป็นเบอร์พิเศษ เช่น “ซิมปาท่องโก๋” และ “ซิมเปิ้ล” ของดีแทค หรือ “โปรโทรฟรียกก๊วน 24 ชั่วโมง” ของทรูมูฟ ที่ให้สิทธิโทรหาราคาถูกกับเบอร์พิเศษที่เรากำหนดได้เอง 1 เบอร์สำหรับ“ซิมปาท่องโก๋” และ “ซิมเปิ้ล” หรือถึง 3 เบอร์สำหรับ “โปรโทรฟรียกก๊วน 24 ชั่วโมง” แต่แน่นอนว่าเฉพาะเบอร์โทรที่อยู่ในเครือข่ายเดียวกันเท่านั้น ซึ่งโปรฯ แบบนี้ก็ยิ่งทำให้คนที่มีเบอร์ที่ต้องโทรหาประจำใช้งานได้ถูกลงไปอีก 2.ช่วงเวลาที่ใช้งาน – มีหลายโปรฯ ที่มีการใช้เงื่อนของเวลามาเป็นตัวกำหนดการใช้งาน ซึ่งถ้าโทรตามช่วงเวลาที่โปรฯ กำหนดค่าโทรก็จะถูกมาก เช่น “ซิม 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ” ของดีแทค คิดค่าโทรนาทีละ 15 สต. ช่วง 4 ทุ่ม - 10 โมงเช้า, “ซิมสามก๊ก” ของดีแทค คิดค่าโทรนาทีละ 49 สตางค์ ช่วงตี 5 – 5 โมงเย็น หรือ โปรฯ One-2-Call! Grammy Music SIM ของเอไอเอส คิดค่าโทรชั่วโมงละ 1 บ. ช่วงเวลา 23.00 น.-17.00 น. เป็นต้น แต่การใช้โปรฯ เหล่านี้ต้องไม่ลืมดูเรื่องของค่าโทรนอกเวลาโปรฯ และเบอร์ที่โทรหาจำกัดเฉพาะเบอร์ในเครือข่ายเดียวกันเท่านั้นหรือไม่ 3.ลักษณะการใช้งาน - เพราะเดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือถูกยกระดับกลายเป็น “สมาร์ทโฟน” ไม่ใช่แค่ไว้โทรอย่างเดียว แต่ยังใช้ต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อติดต่อหากันได้ เพราะฉะนั้นถ้าใครใช้มือถือเพื่อเล่นอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก ก็ต้องเลือกแพ็คเก็จที่เน้นบริการอินเทอร์เน็ต ส่วนค่าโทรก็ต้องดูตามความเหมาะสม ถ้าให้ดีก็อย่าให้เกินนาทีละ 99 สตางค์
อ่านเพิ่มเติม >ปีที่แล้ว มีคนร้องเรียนรถแท็กซี่ผ่านศูนย์ 1584 กว่า 30,000 ราย ด้วยข้อหาเดิมๆ ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร ปัญหานี้เหมือนจะอยู่คู่บริการรถแท็กซี่ของเรามาตั้งแต่เริ่มใช้มิเตอร์ เพราะแต่เดิมเราต้องต่อรองราคากับโชเฟอร์ก่อนเมื่อพอใจกันทั้งสองฝ่ายก็ไปกันราบรื่น แต่หลายครั้งผู้โดยสารก็อาจหงุดหงิดเพราะไม่รู้ว่า ราคาที่เหมาะสมจริงๆ มันคือเท่าไหร่ เมื่อปรับมาเป็นระบบมิเตอร์ คือ คิดเงินตามระยะทาง ดูเหมือนผู้โดยสารกับโชเฟอร์ไม่ต้องมากังวลกับราคาอีกเพราะมีทางรัฐมาเป็นผู้กำหนดราคาให้ แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อสังคม เศรษฐกิจ ระบบจราจร ตลอดจนค่าพลังงานมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้แท็กซี่หันมาปฏิเสธไม่ยอมรับผู้โดยสารมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคิดว่า ไม่คุ้ม นั่นเอง ข้ออ้างประเภท ต้องไปส่งรถ หรือ แก๊สหมด จึงมาเกือบทุกครั้งที่ผู้โดยสารบอกเส้นทางที่จะไป(แต่แท็กซี่ไม่อยากไป) ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่คนแทบทุกคนต้องเคยเจอ หลังจากไปทบทวนสถานการณ์แล้ว พบว่าหลายฝ่ายได้พยายามแก้ไขปัญหานี้มาตลอด โดยปีที่ผ่านมาก็เช่นกัน ทางการประกาศ 1 กันยายน เป็นต้นไป หากแท็กซี่คันไหนปฏิเสธไม่รับผู้โดยสารจะต้องถูกปรับทันที 1,000 บาท ซึ่งดูเหมือนวูบวาบในระยะแรก แต่นั่นแหละผ่านไปสักพักสถานการณ์ก็เหมือนเดิม เรื่องนี้ถ้าจะแก้ไขคงต้องไปสะสางกันอีกหลายเรื่อง แต่ประเด็นสำคัญที่คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลัก ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องราคาค่าโดยสาร คือ คนขับแท็กซี่หรือพี่โชเฟอร์ ที่เป็นใครก็ได้ ขอแค่ขับรถเป็นและมีใบขับขี่รถสาธารณะ(ส่วนในความเป็นจริงหลายคนไม่มีใบขับขี่สาธารณะหรือบางคนแม้แต่ใบขับขี่รถยนต์ก็ยังไม่มี) ท้าพิสูจน์โชเฟอร์คนนี้ ชัวร์หรือมั่วนิ่ม อาชีพแท็กซี่เป็นอาชีพอิสระ หลายคนก็ทำจริงจัง หลายคนก็ทำเป็นอาชีพเสริม เพราะดูจากการอุดหนุนหลายอย่างของรัฐ ทั้งเรื่องการออกใบอนุญาตทั้งรถ ทั้งคนขับ การอุดหนุนค่าพลังงาน ฯลฯ ทำให้ไม่ยากเลยกับการมาเป็นคนขับแท็กซี่ หลายเสียงพูดว่า ถ้าเป็นคนขับแท็กซี่ที่รักในอาชีพจริงๆ มักไม่ปฏิเสธผู้โดยสารหรือจ้องจะเอาเปรียบผู้โดยสาร แต่ปริมาณรถแท็กซี่กว่า 100,000 คันในขณะนี้ มีแท็กซี่มืออาชีพกันสักกี่คน ถูกแท็กซี่ปฏิเสธก็เป็นทุกข์แบบหนึ่ง ได้ขึ้นไปนั่งแล้วก็สร้างความกังวลได้อีก เพราะไม่รู้ว่า คนขับแท็กซี่คันนี้ เป็นคนดีหรือเปล่า คำแนะนำสำหรับการใช้บริการแท็กซี่อันดับแรกเลยก็คือ ทุกครั้งต้องจำเลขรถและชื่อคนขับให้ได้ แล้วถ้าคนขับกับป้ายหน้ารถที่แสดงใบอนุญาตเกิดไม่ตรงกันล่ะ จะทำอย่างไรดี ปัญหาเรื่องคนขับแท็กซี่เป็นคนละคนกับในใบอนุญาตนั้นจากข้อมูลของกรมการขนส่ง ระบุว่า จากสถิติการขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ (รถแท็กซี่) จนถึงวันที่ 31 พ.ค. 55 มีจำนวน 66,645 ราย ขณะที่ยอดจดทะเบียนรถแท็กซี่ถึงวันที่ 31 พ.ค. 55 มีจำนวน 102,575 คัน เป็นรถแท็กซี่ส่วนบุคคล จำนวน 25,020 คัน และเป็นรถแท็กซี่นิติบุคคล จำนวน 77,555 คัน ชี้ให้เห็นว่า มีผู้ขับรถแท็กซี่จำนวนมากที่ยังไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ ดังนั้นกรมการขนส่งทางบก จึงออกมาตรการตั้งเป้า ผู้ขับรถแท็กซี่ต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ 100% ฉลาดซื้อเราก็อยากพิสูจน์ว่า มาตรการจะได้ผลหรือไม่ เลยชักชวนกันลองนั่งแท็กซี่ช่วงระหว่างวันที่ 8 -17 มกราคม 2555 นั่งกันไปได้ 108 คัน ทั้งแท็กซี่ส่วนบุคคลและนิติบุคคล ในทุกช่วงเวลา การสำรวจครั้งนี้พบว่า ร้อยละ 91.59 (98 คัน) = คนขับเป็นคนเดียวกันกับในใบอนุญาตที่แสดงไว้ด้านหน้า ร้อยละ 6.54 (7 คัน) = ไม่ใช่ และร้อยละ 1.87 (2 คัน) = ป้ายช่างซีดจางอ่านไม่ออกประเมินไม่ได้ว่า ใช่หรือไม่ใช่ การสำรวจในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราทดลองในเรื่อง การใช้บริการแท็กซี่ ซึ่งต่อไปเราคงจะทดลองนั่งกันอีกหลายครั้งเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาของรัฐว่ามาตรการต่างๆ ที่ออกมานั้นแก้ไขปัญหาได้จริงหรือเปล่า โปรดติดตามกันต่อไป ผู้ขับรถแท็กซี่ไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ จะมีความผิดต้องโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องแสดงบัตรประจำตัวผู้ขับรถด้วย หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท ส่วนผู้ประกอบการ หรือเจ้าของรถแท็กซี่ ต้องร่วมรับผิดชอบ โดยหากยินยอมให้ผู้อื่นที่ไม่มีใบอนุญาตขับรถสาธารณะเช่าหรือขับ มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท หากไม่จัดทำประวัติคนขับรถแท็กซี่จะมีความผิดปรับไม่เกิน 1,000 บาท ---------------------------------------------------------------------------------------------------- การร้องเรียนผ่านศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ 1584 ในปี 2555 (เดือนมกราคม –ธันวาคม) พบว่า มีประชาชนร้องเรียนเกี่ยวกับการให้บริการของรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) จำนวน 33,357 ราย ความผิดส่วนใหญ่ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร 17,139 ราย รองลงมาคือแสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ 4,227 ราย ไม่ส่งผู้โดยสารตามสถานที่ตกลงกัน 3,062 ราย ขับรถประมาทหวาดเสียว 2,253 ราย และความผิดด้านอื่น ๆ ที่มา กรมการขนส่งทางบก ---------------------------------------------------------------------------------------------------- พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 93 วรรคหนึ่ง ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ ปฏิเสธไม่รับจ้างบรรทุกคนโดยสารโดยไม่มีเหตุอันควร ถือเป็นความผิด มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท และเป็นข้อหาที่ต้องถูกบันทึกคะแนน 20 คะแนน ถูกยึดใบอนุญาตขับขี่ 15 วัน ---------------------------------------------------------------------------------------------------- (กรุงเทพโพลล์) สำรวจความคิดเห็นเรื่อง “ความพร้อมของประเทศไทยหากมีการเปิดเสรีอาเซียนในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ” เก็บข้อมูลเมื่อวันที่ 11-13 มกราคม 2556 พบว่า ปัจจัยที่อาจทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวในประเทศไทยแย่ลง อันดับแรกคือ การจราจรติดขัด (ร้อยละ 37.2) รองลงมาคือการเอาเปรียบขึ้นค่าโดยสารของ แท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก (ร้อยละ 23.2) ---------------------------------------------------------------------------------------------------- TAXI ที่นั่น ที่นี่ ที่โน้น... กว่าจะขับแท็กซี่ที่ฮ่องกงได้ นอกจากจะต้องผ่านการตรวจร่างกาย สอบภาคปฏิบัติ แล้วยังต้องสอบข้อเขียนด้วย ข้อสอบเขามี 3 ส่วน เป็นคำถามเรื่องกฎระเบียบของรถแท็กซี่ 20 ข้อ คำถามเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ 20 ข้อ (ทั้งสองส่วนนี้ทำผิดได้ไม่เกินส่วนละ 2 ข้อ) นอกจากนี้ยังมีคำถามเกี่ยวกับกฎการใช้รถใช้ถนนอีก 100 ข้อ (ทำผิดได้ไม่เกิน 5 ข้อ) ถ้าคุณนั่งแท็กซี่ที่สิงคโปร์ในช่วงเวลาเร่งด่วน (จันทร์-ศุกร์ 6.00 น. – 9.30 น. / จันทร์ – อาทิตย์ รวมวันหยุดราชการ 18.00 น. – เที่ยงคืน) คุณต้องเตรียมจ่ายเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 25 ของค่าโดยสารที่ปรากฏบนมิเตอร์ ถ้าโบกรถหลังเที่ยงคืน - 5.59 น. ก็ให้เตรียมจ่าย “มิดไนท์ เซอร์ชาร์จ” ไว้ด้วย ไม่มากมาย แค่ร้อยละ 50 ของค่าโดยสารตามมิเตอร์เท่านั้น!! ลืมบอกไปว่าถ้าเรียกแท็กซี่ในเขตเมือง ระหว่าง 5 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน ผู้โดยสารต้องจ่าย “City area surcharge” อีก 3 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 73 บาท) ด้วย รัฐบาลมาเลเซียเอาใจพี่ๆ แท็กซี่ ด้วยการประกาศแจกคูปอง 520 ริงกิต (ประมาณ 5,000 บาท) เอาไว้ใช้เป็นค่าเปลี่ยนยาง มิเตอร์ของแท็กซี่ในเวียดนาม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ของบริษัทใหญ่ๆ อย่างไมลิน หรือวินาซัน) จะเริ่มทำงานเองโดยอัตโนมัติหลังจากรถเคลื่อนตัวออกไป 5 เมตร
สำหรับสมาชิก >ผลทดสอบ Tablet PC กลับมาอีกครั้งในวันที่มันได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่สาวกไอทีหลายคนวางแผนจะซื้อหามาใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ชีวิต จะส่งไฟล์ ตอบอีเมล์ อ่านหนังสือ ถ่ายรูป/วิดีโอ เล่นเกม ดูหนังฟังเพลง ก็ทำได้ทันใจไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เนื่องจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นราคาของมันจึงยังคงสูงอยู่พอสมควร แต่ข้อดีคือการเลือกซื้อจะทำได้ง่ายขึ้น เพราะแต่ละเจ้าไม่มีใครยอมใครเรื่องของการจัดฟังก์ชั่นต่างๆ มาให้ใช้กัน รุ่นไหนได้รับความนิยมมากกว่ากันสมาชิกคงทราบดีอยู่แล้ว แต่หากคุณกำลังสงสัยเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานด้านต่างๆ ของอุปกรณ์เหล่านี้ เราก็ถือโอกาสนี้นำเสนอผลทดสอบที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research & Testing) ทำไว้มาให้พิจารณากัน ด้วยเนื้อที่อันจำกัด เราจึงเลือกมานำเสนอ 17 รุ่น (ราคา 9,900 ถึง 20,500 บาท) ที่ได้คะแนนรวมตั้งแต่ 66 ไปจนถึง 80 จากคะแนนเต็ม 100 โดยการเปรียบเทียบในประเด็นต่างๆ ได้แก่ การถ่ายภาพนิ่ง/ภาพเคลื่อนไหว มัลติมีเดีย อินเตอร์เน็ท วีดีโอคอล การถ่ายโอนไฟล์ ฟังชั่น GPS และรายชื่อติดต่อ/Email Asus Vivo Tab RT (32GB) 80% ราคา 18,500 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 3.5 มัลติมีเดีย 4.5 อินเตอร์เน็ท 5 วีดีโอคอล 5 การถ่ายโอนไฟล์ 4.5 ฟังก์ชั่น GPS 5 รายชื่อติดต่อ/Email 4 Microsoft Surface RT (32GB) 79% ราคา 15,500 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 3.5 มัลติมีเดีย 4.5 อินเตอร์เน็ท 4.5 วีดีโอคอล 5 การถ่ายโอนไฟล์ 5 ฟังก์ชั่น GPS 5 รายชื่อติดต่อ/Email 4 Apple iPad with retina display (16GB+4G) 77% ราคา 20,500 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 4.5 มัลติมีเดีย 4 อินเตอร์เน็ท 5 วีดีโอคอล 5 การถ่ายโอนไฟล์ 3 ฟังก์ชั่น GPS 5 รายชื่อติดต่อ/Email 4 Apple iPad Mini (16GB+4G) 77% ราคา 15,200 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 4.5 มัลติมีเดีย 4 อินเตอร์เน็ท 5 วีดีโอคอล 5 การถ่ายโอนไฟล์ 3 ฟังก์ชั่น GPS 5 รายชื่อติดต่อ/Email 4 Apple iPad 3 (16GB+4G) 77% ราคา 16,500 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 4.5 มัลติมีเดีย 4 อินเตอร์เน็ท 4.5 วีดีโอคอล 5 การถ่ายโอนไฟล์ 3 ฟังก์ชั่น GPS 5 รายชื่อติดต่อ/Email 3.5 Samsung Google Nexus 10 76% ราคา 12,000 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 4.5 มัลติมีเดีย 4 อินเตอร์เน็ท 5 วีดีโอคอล 4.5 การถ่ายโอนไฟล์ 5 ฟังก์ชั่น GPS 5 รายชื่อติดต่อ/Email 3 Sony Xperia Tablet S (3G + 16GB) 76% ราคา 17,500 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 3.5 มัลติมีเดีย 4.5 อินเตอร์เน็ท 5 วีดีโอคอล 4.5 การถ่ายโอนไฟล์ 4.5 ฟังก์ชั่น GPS 5 รายชื่อติดต่อ/Email 3 Asus Padfone 16Gb 75% ราคา 16,900 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 4.5 มัลติมีเดีย 4.5 อินเตอร์เน็ท 5 วีดีโอคอล 4 การถ่ายโอนไฟล์ 4 ฟังก์ชั่น GPS 4 รายชื่อติดต่อ/Email 3.5 Asus Transformer Pad TF300T (16GB + WiFi) 74% ราคา 19,500 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 4.5 มัลติมีเดีย 4 อินเตอร์เน็ท 5 วีดีโอคอล 4 การถ่ายโอนไฟล์ 5 ฟังก์ชั่น GPS 5 รายชื่อติดต่อ/Email 3.5 Samsung Galaxy Note 10.1 73% ราคา 15,500 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 4 มัลติมีเดีย 4.5 อินเตอร์เน็ท 5 วีดีโอคอล 3 การถ่ายโอนไฟล์ 4 ฟังก์ชั่น GPS 4 รายชื่อติดต่อ/Email 3.5 Samsung Galaxy Tab 2 7.0 (16GB+3G) 72% ราคา 10,950 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 4 มัลติมีเดีย 4 อินเตอร์เน็ท 4.5 วีดีโอคอล 4 การถ่ายโอนไฟล์ 4 ฟังก์ชั่น GPS 5 รายชื่อติดต่อ/Email 4 Samsung Galaxy Tab 7.7 Plus (16GB+3G) 69% ราคา 14,200 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 4.5 มัลติมีเดีย 4 อินเตอร์เน็ท 4 วีดีโอคอล 3.5 การถ่ายโอนไฟล์ 4.5 ฟังก์ชั่น GPS 5 รายชื่อติดต่อ/Email 3.5 Toshiba AT300 (16GB) 69% ราคา 18,900 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 3.5 มัลติมีเดีย 3.5 อินเตอร์เน็ท 4.5 วีดีโอคอล 2 การถ่ายโอนไฟล์ 4.5 ฟังก์ชั่น GPS 5 รายชื่อติดต่อ/Email 3.5 Acer Iconia Tab A700 (16GB+WiFi) 68% ราคา 15,900 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 4 มัลติมีเดีย 4 อินเตอร์เน็ท 4 วีดีโอคอล 4 การถ่ายโอนไฟล์ 4.5 ฟังก์ชั่น GPS 5 รายชื่อติดต่อ/Email 4 Motorola Xoom 2 68% ราคา 12,900 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 4 มัลติมีเดีย 4 อินเตอร์เน็ท 4.5 วีดีโอคอล 3 การถ่ายโอนไฟล์ 5 ฟังก์ชั่น GPS 5 รายชื่อติดต่อ/Email 3.5 Asus Google Nexus 7 (32GB) 67% ราคา 9,900 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 3.5 มัลติมีเดีย 4 อินเตอร์เน็ท 4.5 วีดีโอคอล 1 การถ่ายโอนไฟล์ 4 ฟังก์ชั่น GPS 5 รายชื่อติดต่อ/Email 3 Amazon Kindle Fire HD 16GB 66% ราคา 9,900 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว 2.5 มัลติมีเดีย 4 อินเตอร์เน็ท 4.5 วีดีโอคอล 4 การถ่ายโอนไฟล์ 4.5 ฟังก์ชั่น GPS 1 รายชื่อติดต่อ/Email 3 *หมายเหตุ ราคาที่ลงไว้เป็นราคาที่สำรวจ ณ วันที่ 8 มกราคม 2556 อาจมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาตรวจสอบกับทางร้านค้าอีกครั้ง
สำหรับสมาชิก >ฉลาดซื้อฉบับปิดท้ายปี 2555 ขอเกาะกระแสข่าวยอดขายรถยนต์พุ่งกระฉูด ด้วยการนำเสนอผลทดสอบความปลอดภัยรถยนต์ที่ EuroNCAP* ได้ทำไว้ ต้องบอกกันตรงนี้ก่อนว่าตามกฎหมายแล้ว รถยนต์ทุกยี่ห้อต้องผ่านการทดสอบความปลอดภัยก่อนจะนำมาขาย แต่นี่คืออีกระดับของการคุ้มครองผู้บริโภคและการยกระดับคุณภาพสินค้านั่นเอง ผู้ประกอบการเจ้าไหน ใจป้ำจัดเต็มก็จะได้ใจ (พร้อมเงินในกระเป๋า) ผู้บริโภคไป ----------------------------------------------------------------------------------------------------- EuroNCAP คือหน่วยงานอิสระที่ก่อตั้งโดยกรมการขนส่งของอังกฤษใน พ.ศ. 2540 จากนั้นรัฐบาลของฝรั่งเศส เยอรมนี สวีเดน เนเธอร์แลนด์ และแคว้นคาตาโลเนียของสเปน รวมถึงองค์กรผู้บริโภค และสมาคมรถยนต์ในประเทศต่างๆในยุโรปก็เข้าร่วมด้วย หน้าที่ของ EuroNCAP คือการทดสอบความปลอดภัยของรถที่จำหน่ายในยุโรปและเผยแพร่ข้อมูลให้กับผู้บริโภค ย้ำว่าองค์กรนี้ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ หนึ่งในสมาชิกของ EuroNCAP ได้แก่ องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research & Testing) ที่ ฉลาดซื้อ และองค์กรผู้บริโภคในอีก 39 ประเทศเป็นสมาชิกอยู่นั่นเอง ----------------------------------------------------------------------------------------------------- การให้คะแนน EuroNCAP ให้คะแนนรวมจากการทดสอบทั้งหมดเป็นดาว สูงสุดคือ 5 ดาว คะแนนในแต่ละด้าน คิดเป็นคะแนนจากคะแนนเต็ม 100 ได้แก่ ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า ความปลอดภัยของเด็ก (เมื่อนั่งบนเบาะนั่งนิรภัย) ความปลอดภัยของคนเดินถนน อุปกรณ์ความปลอดภัยที่เป็นมาตรฐานในตัวรถ ----------------------------------------------------------------------------------------------------- CRASH TESTS - การชนด้านหน้า ทดสอบด้วยการชนเข้ากับสิ่งกีดขวางแบบยุบตัวได้ ที่ความเร็ว 64 กิโลเมตร/ชั่วโมง - การชนจากด้านข้าง ทดสอบโดยการใช้สิ่งกีดขวางแบบยุบตัวได้พุ่งเข้าชนประตูด้านคนขับ ที่ความเร็ว 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง - การชนเสา ตัวรถจะถูกเหวี่ยงให้ด้านข้างชนกับเสาด้วยความเร็ว 29 กิโลเมตร/ชั่วโมง - การชน “คนเดินถนน” (โดยการพุ่งชนดัมมี่ศีรษะและขา ทั้งของเด็กและผู้ใหญ่) ที่ความเร็ว 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง - อุปกรณ์ความปลอดภัย การใส่ ถอด หรือการเตือนให้คาดเข็มขัดนิรภัย (ความชัดเจนทั้งเสียง และไฟสัญญาณเตือน) อุปกรณ์ช่วยจำกัดความเร็ว (ทั้งแบบที่ไม่ยอมไปเร็วกว่าความเร็วที่ผู้ขับขี่ตั้งไว้ และแบบที่มีเสียงเตือนเมื่อผู้ขับขี่ใช้ความเร็วเกิน) และระบบควบคุมการทรงตัวของรถ (Electronic Stability Control) - การทดสอบความปลอดภัยของเด็ก ใช้ดัมมี่ขนาดเด็กขวบครึ่งและสามขวบนั่งบนเบาะนิรภัย (ชนิดที่ผู้ผลิตรถแต่ละยี่ห้อแนะนำ) ที่เบาะหลังของรถ นอกจากจะให้คะแนนโดยดูพฤติกรรมการเหวี่ยงของเบาะนิรภัยแล้ว ยังให้คะแนนในเรื่องคำแนะนำในการติดตั้ง และคำเตือนเรื่องถุงลมนิรภัย รวมถึงความสามารถของรถในการรองรับการติดตั้งที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กได้อย่างปลอดภัยด้วย ----------------------------------------------------------------------------------------------------- อาการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลถึงปีละหนึ่งหมื่นล้านยูโร ในยุโรป EuroNCAP จึงเพิ่มการทดสอบเรื่องนี้เพื่อให้เกิดการปรับปรุงการออกแบบเบาะนั่งและหมอนรองศีรษะ และให้คะแนนไว้ในเรื่องความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า ----------------------------------------------------------------------------------------------------- Meet the Iron Men: รู้จักกับ สองหุ่นกระดูกเหล็ก Hybrid III และ ES-2 คือหุ่นหลักที่ใช้ในการทดสอบความปลอดภัยภายในห้องโดยสาร โดย Hybrid III จะ เก็บข้อมูลการชนด้านหน้า ในขณะที่ ES-2 ทำหน้าที่เก็บข้อมูลการชนด้านข้าง ส่วนการทดสอบความปลอดภัยของคนเดินถนนนั้นเขาจะใช้เพียงชิ้นส่วนของหุ่นยนต์ในการทดสอบ แม้หน้าตาจะไม่หล่อโดนใจ แต่ขอบอกว่าเขารับได้ทุกอย่าง ส่วนหัวทำด้วยอลูมิเนียม โครงกระดูกทำจากเหล็กกล้าถูกห่อหุ้มด้วย “ผิวหนัง” ที่ทำจากยาง ภายในศีรษะ คอ หน้าอก ช่องท้อง เชิงกราน และขา จะมีอุปกรณ์รับข้อมูลต่างๆ ที่แสดงผลให้เรารู้ถึงอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นกับบริเวณดังกล่าว สนนราคาของหุ่นทรหดแต่ละตัวนั้นไม่ต่ำกว่า หนึ่งแสนยูโร (ประมาณ 4 ล้านบาท) Supermini Chevrolet Aveo รุ่นปี 2011 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 95% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 87% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 54% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 93% Citroen C3 รุ่นปี 2009 คะแนนรวม 4 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 83% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 74% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 33% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 40% Honda Jazz รุ่นปี 2009 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 78% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 79% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 60% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 71% Nissan Micra (Nissan March) รุ่นปี 2010 คะแนนรวม 4 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 84% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 79% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 58% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 57% Suzuki Swift รุ่นปี 2010 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 94% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 82% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 62% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 71% Toyota Yaris รุ่นปี 2011 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 89% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 81% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 60% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 86% Peugeot 208 รุ่นปี 2012 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 88% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 78% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 61% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 83% Ford Fiesta รุ่นปี 2012 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 91% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 86% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 65% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 71% Small Family Car BMW 3 Series รุ่นปี 2012 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 95% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 84% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 78% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 86% Chevrolet Cruze รุ่นปี 2009 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 96% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 84% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 34% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 71% Ford Focus รุ่นปี 2012 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 92% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 82% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 72% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 71% Honda Civic รุ่นปี 2012 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 94% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 83% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 69% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 86% Mazda 3 รุ่นปี 2009 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 86% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 84% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 51% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 71% Mitsubishi Lancer รุ่นปี 2009 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 81% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 80% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 34% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 71% VW Beetle รุ่นปี 2011 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 92% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 90% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 53% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 86% Chevrolet Captiva รุ่นปี 2011 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 88% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 82% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 48% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 71% Large Family Car Audi A4 รุ่นปี 2009 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 93% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 84% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 39% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 71% Honda Accord รุ่นปี 2009 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 86% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 79% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 54% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 86% Peugeot 508 รุ่นปี 2011 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 90% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 81% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 41% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 97% Toyota Prius รุ่นปี 2009 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 88% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 82% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 68% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 86% Volvo V60 รุ่นปี 2012 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 94% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 82% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 64% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 100% Nissan Cube รุ่นปี 2010 คะแนนรวม 4 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 83% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 64% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 56% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 84% Pick-up Ford Ranger รุ่นปี 2012 คะแนนรวม 5 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 96% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 86% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 81% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 71% Isuzu D-Max รุ่นปี 2012 คะแนนรวม 4 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 83% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 67% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 51% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 71% VW Amarok รุ่นปี 2010 คะแนนรวม 4 ดาว ความปลอดภัยของคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า 86% ความปลอดภัยของเด็กเล็ก 64% ความปลอดภัยของคนเดินถนน 47% อุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐาน 57%
สำหรับสมาชิก >คงไม่มีใครในโลกที่ไม่มีเสื้อยืดในครอบครอง หลายคนชอบเสื้อยืดเพราะมันนุ่ม ใส่สบาย ไม่ร้อน ให้ความรู้สึกลำลอง แถมยังแอบอ้วนได้โดยไม่อึดอัด เสื้อยืดนั้นผลิตจากเส้นใยหลายชนิด บ้างก็ทำจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์ผสมเส้นใยฝ้ายเพื่อลดการยับยู่ยี่ บ้างก็ทำจากเส้นใยฝ้ายทั้งหมดอย่างที่พนักงานขายเรียกว่า “ผ้าค้อตตอน 100” ซึ่งแม้จะยับง่าย แต่ระบายอากาศได้ดีเพราะเส้นใยมีรูพรุน แต่ว่า... ฉลากที่เขียนว่า “100%” Cotton” นั้นเชื่อถือได้แค่ไหน มีใครแอบทำเสื้อยืดมาหลอกขายเราหรือเปล่า ฉลาดซื้อ สงสัยจึงสุ่มซื้อเสื้อที่มีการระบุว่าเป็นฝ้าย 100% มา 10 ยี่ห้อ รวมถึงเสื้อยืดรณรงค์ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคอีก 1 ตัว แล้วส่งไปศูนย์วิเคราะห์ทดสอบสิ่งทอ เพื่อหาคำตอบ ข่าวดีนะพี่น้อง เสื้อยืดที่เราส่งไปตรวจสอบนั้นผลิตจากเส้นใยฝ้าย 100 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ระบุในฉลากจริงๆ ไม่มีเส้นใยชนิดอื่นผสม CHIC FORD ราคา 95 บาท ผู้ผลิต/จำหน่าย: บริษัท ดี.แอล. เจ คอมเมอร์เชี่ยล จำกัด ZEG ราคา 135 บาท ผู้ผลิต: บริษัทไทยกุลแซ่ จำกัด ผู้จำหน่าย: ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด TEN & CO BASIC ราคา 390 บาท (ราคาลด 295 บาท) ผู้สั่งผลิต/จำหน่าย บริษัทพีน่า เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) แตงโม ราคา 195 บาท ผู้ผลิต/จำหน่าย บริษัทสยามแฮนดส จำกัด Pena House ราคา 590 บาท (ราคาลด 295 บาท) ผู้สั่งผลิต/จำหน่าย บริษัทพีน่า เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) Rosso ราคา 99 บาท ผู้สั่งผลิต/จำหน่าย บริษัท รอซโซ่ จำกัด U-FO ราคา 390 บาท (ราคาลด 195 บาท) ผู้สั่งผลิต/จำหน่าย บริษัทพีน่า เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) DOUBLE GOOSE (ห่านคู่) ราคา 119 บาท ผู้ผลิต/จำหน่าย บริษัทไทยแลนด์นิตติ้ง จำกัด F&F BODYWEAR ราคา 159 บาท ผู้สั่งผลิต/จำหน่าย บริษัทเอกชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเท็ม จำกัด UNIQLO ราคา 590 บาท ผู้ผลิต/จำหน่าย ผลิตในประเทศจีน เสื้อยืดรณรงค์ Please wear me out ราคา 180 บาท ผู้สั่งผลิต/จำหน่าย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ผ้าฝ้ายได้จากนำปุยฝ้ายมาปั่นให้ได้เป็นเส้นด้าย แล้วทอเป็นผืนผ้า เทคนิคในการทอนี้เองที่เป็นตัวแปรชี้ว่าเสื้อที่เราซื้อมาจะหดหรือไม่ เสื้อยืดที่ผลิตจากผ้าฝ้ายจะมีราคาแตกต่างกันไปตามขนาดเส้นด้าย เสื้อที่ทำจากผ้าที่ทอด้วยเส้นด้ายขนาดเล็ก (เช่นเสื้อผ้าสำหรับเด็กอ่อน หรือเสื้อแบรนด์เนมบางรุ่น) จะมีราคาสูงกว่า เพราะเส้นด้ายขนาดเล็กมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนกว่าเส้นด้ายขนาดใหญ่ ยิ่งต้องการให้เล็กมากก็ต้องสั่งทอเป็นพิเศษ จึงทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ฝ้ายเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่เราใช้ร้อยละ 2.3 ของพื้นที่การเกษตรบนโลกในการปลูก และกว่า 1 ใน 6 ของสารเคมีทางการเกษตรที่ใช้กันอยู่ ก็ใช้เพื่อการปลูกฝ้ายนั่นเอง เพื่อให้ได้ผลผลิตใยฝ้าย 1 กิโลกรัม (สำหรับการผลิตเสื้อยืด 1 หนึ่งตัว และกางเกงยีนส์ 1 ตัว) เราอาจต้องใช้น้ำมากถึง 20,000 ลิตร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ การปลูกฝ้าย ในระดับเกษตรกรรายย่อยที่ปลูกกันด้วยวิธีธรรมดาจะได้ผลผลิตฝ้ายดิบประมาณ 400 -600 กิโลกรัมต่อเฮคตาร์ แต่ถ้าเป็นไร่ฝ้ายในระดับอุตสาหกรรม อาจได้ผลผลิตมากถึง 3,000 กิโลกรัมต่อเฮคตาร์ ผลผลิตฝ้ายรวมทั่วโลกอยู่ที่ 25 ล้านตันต่อปี ปริมาณนี้สามารถผลิตเป็นเสื้อได้ 60,000 ล้านตัว ผู้ผลิตฝ้าย 5 อันดับแรกของโลกได้แก่ จีน อเมริกา อินเดีย ปากีสถาน และบราซิล ตามลำดับ โดยมีบราซิลเป็นประเทศที่มีผลผลิตต่อไร่สูงที่สุด ส่วนประเทศที่มีการบริโภคฝ้ายมากที่สุด 10 อันดับแรกได้แก่ จีน อินเดีย ปากีสถาน อเมริกา ตุรกี บราซิล อินโดนีเซีย เม็กซิโก ไทย และรัสเซีย จีนคือประเทศที่ผลิต นำเข้า และบริโภคฝ้ายมากที่สุดในโลก ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ราคาฝ้ายในตลาดโลกลดลงอย่างมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา ด้วยสองสาเหตุหลักคือ จีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าฝ้ายดิบในปริมาณมากมีความต้องการฝ้ายลดลง และเนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ฝ้ายมีราคาสูง เกษตรกรจึงหันมาปลูกฝ้ายมากขึ้น ผลผลิตฝ้ายในตลาดจึงเพิ่มขึ้น เมื่อฝ้ายราคาถูกลง เราก็น่าจะซื้อเสื้อยืดได้ถูกลง ... ซะที่ไหน เรายังคงจ่ายในราคาเท่าเดิม ในขณะที่ร้านค้าปลีกจะได้กำไรจากส่วนต่างตรงนี้มากขึ้น ถ้าผู้บริโภคอย่างเราจะได้ประโยชน์ก็น่าจะมาจากกระบะเสื้อผ้าที่ทำจากฝ้าย ที่ทางร้านเขาเลือกนำมาลดราคานั่นเอง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ มนุษย์เรารู้จักการนำฝ้ายมาแปรเป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มมา 5,000 ปีแล้ว และเรายังคงพึ่งพาฝ้ายเสมอมา ทุกวันนี้เส้นใยที่ใช้ในการผลิตเสื้อผ้ามากเป็นอันดับหนึ่งก็ยังคงเป็นเส้นใยฝ้าย แต่อาจเป็นเช่นนั้นอีกไม่นาน ด้วยข้อจำกัดทางปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรที่ใช้ในการปลูกฝ้าย บวกกับความพยายามในการลดต้นทุนการผลิต ทำให้ผู้ผลิตหันมาใช้เส้นใยประดิษฐ์ (เส้นใยสังเคราะห์และเส้นใยกึ่งสังเคราะห์) กันมากขึ้น เช่นผสมไลคราลงไปในเนื้อผ้ายีนส์ หรือผสมสแปนเด็กซ์ลงไปในผ้ายืดให้มากขึ้น เป็นต้น สำหรับคนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของฝ้าย วางใจกันได้ว่าจะยังมีเสื้อที่ทำจากเส้นใยฝ้ายอยู่และการปลูกฝ้าย (น่า) จะทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยลง ปัจจุบันมีความพยายามที่จะผลักดันให้เกษตรกรหันมาปลูกฝ้ายโดยไม่ใช้สารเคมีหรือใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการดัดแปรพันธุกรรม แม้ราคาเสื้อยืดที่ทำจากฝ้ายออกานิกจะมีราคาแพงขึ้น แต่ผู้บริโภคจะได้ทั้งเสื้อยืดและได้สนับสนุนให้เกษตรกรได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย ------------------------------------------------------------------------------------------------------------ เสื้อยืดหนึ่งตัวต้องใช้ทรัพยากรในการผลิตไม่น้อยทีเดียว จึงเป็นเรื่องน่าภูมิใจสุดๆ ถ้าเราสามารถใส่เสื้อยืดที่มีอยู่ให้คุ้มค่าเต็มอายุขัยของมัน
อ่านเพิ่มเติม >ฉลาดซื้อฉบับนี้ ขอเปลี่ยนบรรยากาศจากห้องครัว ไปบุกห้องน้ำกันบ้าง ว่ากันว่าโดยเฉลี่ยแล้วคนเรา เข้าห้องน้ำปีละ 2,500 ครั้ง หรือประมาณวันละ 6 ครั้ง หรืออีกนัยหนึ่งคือเราใช้เวลาประมาณ 3 ปีของชีวิตในห้องส้วม นอกจากนี้ข้อมูลจาก www.itthings.com ยังบอกด้วยว่า แต่ละปี มีคนอเมริกันประมาณ 40,000 คนได้รับอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับโถส้วม คนในกองบรรณาธิการฉลาดซื้อก็เคยมีประสบการณ์เจ็บตัวมาอย่างที่บอก เลยเกิดความสงสัยใคร่รู้ว่าอุปกรณ์สำคัญที่เราต้องพึ่งพาอยู่เสมออย่างที่รองนั่งชักโครกยี่ห้อไหนจะทนทานกว่ากันและจำเป็นหรือไม่ที่จะควักกระเป๋าซื้อของแพงมาใช้ คราวนี้เราได้รับความช่วยเหลือจาก เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ในการทดสอบเปรียบเทียบดูความทนทานของวัสดุที่ใช้ในการผลิตที่รองนั่งชักโครกที่เราสุ่มซื้อมา 11 ยี่ห้อได้แก่ 1. American Standard ราคา 1,650 บาทวัสดุ โพลีสเตียรีน ผู้ผลิต/นำเข้า ไม่ระบุ 2. Bathtime 4105-Vราคา 399 บาทวัสดุ ไม่ระบุ ผู้ผลิต/นำเข้า บริษัท นาป้า จำกัด 3. Bemis BM-R70ADราคา 820 บาทวัสดุ ไม่ระบุผู้ผลิต/นำเข้า Bemis Manufacturing, USA/บ.พงศ์ชัยพัฒนา (1977) จำกัด 4. Cotto C-912ราคา 1,835 บาทวัสดุ โพลีโพรพิลีนผู้ผลิต/นำเข้า บริษัท สยามซานิทารีแวร์อินดัสทรี จำกัด 5. Eleganceราคา 199 บาทวัสดุ ไม่ระบุผู้ผลิต/นำเข้า SL Home Products 6. Karat ราคา 1,300 บาทวัสดุ โพลีโพรพิลีนผู้ผลิต/นำเข้า บริษัท โคห์เลอร์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) 7. Kohler ราคา 3,300 บาทวัสดุ ไม่ระบุผู้ผลิต/นำเข้า 8. LW - 555ราคา 220 บาทวัสดุ ไม่ระบุผู้ผลิต/นำเข้า ไม่ระบุ 9. Moya TL-05 ราคา 299 บาทวัสดุ ไม่ระบุผู้ผลิต/นำเข้า บมจ.โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ 10. Nahm ราคา 2,450 บาทวัสดุ ไม่ระบุผู้ผลิต/นำเข้า ไม่ระบุ 11. Pixo TR-03ราคา 399 บาท วัสดุ ไม่ระบุผู้ผลิต/นำเข้า หจก.สหรุ่งอุปกรณ์ ผลการทดสอบ โดยเครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภคการทนต่อแรงกระแทก วัสดุที่ใช้ทำฝารองนั่งชักโครกยี่ห้อ LW สามารถทนแรงกระแทกที่อุณหภูมิห้องได้ดีที่สุด สามารถรับแรงกระแทกได้สูงถึง 11,000 J/m2 รองลงมาคือ วัสดุของฝารองชักโครกยี่ห้อ Elegance สามารถรับแรงกระแทกได้สูงถึง 9,000 J/m2 สำหรับวัสดุในกลุ่มที่สามารถทนแรงกระแทกในระดับรองลงมาคือ วัสดุจากยี่ห้อ American Standard ทนแรงกระแทกได้ 4,900 J/m2 และวัสดุจากยี่ห้อ Cotto ทนแรงกระแทก ได้ 4,500 J/m2 ที่เหลือจัดอยู่ในกลุ่มวัสดุที่สามารถรับแรงกระแทกได้ในช่วง 2,000 แต่ไม่เกิน 4,000 J/ m2 4 อันดับทั้งทนทานและประหยัด 1. LW 220 บาท2. Elegance 199 บาท3. American Standard 1,650 บาท4. Cotto C-912 1,835 บาท ความทนต่อการไหม้ไฟใช้บุหรี่ที่ติดไฟลุกจนแดง (อุณหภูมิประมาณ 230C) จี้ที่บริเวณฝารองนั่ง เป็นเวลา 2 นาที แล้วตรวจดูรอยไหม้ พบว่าชิ้นงานทุกชิ้นมีรอยไหม้ของบุหรี่ แต่ไม่ลุกติดไฟ ------------------------------------------------------------------------------------------การทดสอบแรงกระแทกนำฝาชักโครกมาทำการตัดด้วยเครื่องตัดทางกล Milling Machine ให้ได้ตามแบบมาตรฐาน ASTM D256 ขนาด ดังรูป โดยตัดตามแนวยาวและแนวขวาง นำชิ้นงานมาทำการทดสอบ ด้วยเครื่องทดสอบแรงกระแทกยี่ห้อ Zwick โดยปล่อยฆ้อน ที่มุม 160 องศา กระแทกชิ้นงานที่ทำการติดตั้ง ทำการคำนวณหาค่าพลังงานที่ใช้กระแทกชิ้นงานจนแตกหัก เสร็จแล้วทำการเปรียบเทียบพลังงานที่ใช้ในการกระแทกชิ้นงานพลาสติกจากที่รองนั่งชักโครกแต่ละยี่ห้อ------------------------------------------------------------------------------------------ คำแนะนำในการเลือกซื้อ• เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผิวไม่มีรอยแตกร้าว ไม่หลุดล่อน ไม่มีรอยด่าง ไม่มีรูพรุนและผลิตภัณฑ์ไม่บิดเบี้ยวจนเสียรูปทรง• เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์ เพื่อป้องกันความเสียหายในระหว่างการขนส่ง• มีเครื่องหมายและฉลาก โดยมีตัวหนังสือที่เห็นได้ชัด โดยฉลากอย่างน้อยควรจะมีข้อมูลดังต่อไปนี้คือ ชื่อโรงงานที่ผลิต หรือที่อยู่ที่ทำการผลิต เครื่องหมายการค้า ชนิดหรือสัญลักษณ์ของพลาสติก ประเภทของผลิตภัณฑ์ วิธีทำความสะอาด คำเตือน ข้อแนะนำในการใช้• มีหมายเลขมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. 2118-2545 ซึ่งเป็นมาตรฐานสมัครใจ ------------------------------------------------------------------------------------------ กระบวนการผลิต ที่รองนั่งและฝาพลาสติกสำหรับโถส้วมเนื่องจากที่รองนั่งและฝาพลาสติกสำหรับโถส้วมผลิตมาจากวัสดุประเภทพลาสติก กระบวนการผลิตที่นิยมใช้ในการขึ้นรูปคือกระบวนการหล่อฉีด (Injection Molding) เริ่มจากการนำเม็ดพลาสติกมาผสมกับส่วนผสมอื่นๆเช่น เม็ดสี สารหน่วงไฟ (Flame Retardants) โดยการเติมเม็ดสีลงไปในภาชนะป้อนเติม (Feed hopper) หลังจากนั้นแท่งอัดก็จะทำการอัดและฉีดเม็ดพลาสติกที่ผสมแล้วด้วยความดันสูง โดยจะใช้แรงดัดไฮโดรลิก ผ่านส่วนที่ให้ความร้อน (spreader) บริเวณนี้เม็ดพลาสติกจะหลอมเปลี่ยนสภาพเป็นวัสดุที่เป็นของเหลวความหนืดสูง (viscous liquid) และจะเคลื่อนที่ผ่านหัวฉีด (Nozzle) เข้าไปในแม่พิมพ์ (Mold) จนกระทั่งแบบเต็ม และชิ้นงานเย็นตัวลง จึงนำชิ้นงานออกจากแม่พิมพ์ กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว ทำให้การผลิตชิ้นงานด้วยวิธีนี้เป็นที่นิยม เพราะได้กำลังการผลิตสูง วัสดุที่ใช้ในการผลิตพลาสติกที่ใช้ในการผลิต โดยทั่วไปจะนิยมใช้พลาสติกประเภทเทอร์โมพลาสติก พลาสติกประเภทนี้ ภายใต้อุณหภูมิสูงจะอ่อนตัว สามารถขึ้นรูปได้ง่าย และจะแข็งตัวเมื่ออุณหภูมิลดลงมาที่อุณหภูมิห้อง บางครั้งในการผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ต้องการความอ่อนตัวที่อุณหภูมิห้อง เช่น ตุ๊กตายาง ของเล่น ผู้ผลิตมักจะเติมสารเคมีที่เรียกว่า Plasticizer ลงไป เพื่อทำให้พลาสติกอ่อนตัว แต่สารเคมีดังกล่าว จัดเป็นสารเคมีอันตราย ที่สามารถทำให้เกิดโรคมะเร็ง เป็นหมันถาวร และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบพันธุกรรม เป็นต้น สหภาพยุโรปสั่งห้ามจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีสาร Plasticizer เพื่อป้องกันอันตรายและความเสี่ยงจากสารเคมีดังกล่าวแล้ว------------------------------------------------------------------------------------------ สัญลักษณ์และความหมาย เป็นสัญลักษณ์สำหรับพลาสติกชนิดโพลีโพรพิลีน (Polypropylene, PP) ซึ่งเป็นเทอร์โมพลาสติกที่มีลักษณะเป็นของแข็ง ไม่มีสี มีทั้งโปร่งใสและโปร่งแสง ผิวเป็นมันเงา ทนกรด เบส และสารเคมีต่างๆ ยกเว้นสารละลายกลุ่มไฮโดรคาร์บอน ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโพลีโพรพิลีน ได้แก่ ของเล่นเด็ก ถุงปุ๋ย ไหมเทียม พรมและแผ่นรองพรม ผ้าใบกันน้ำ เชือก สายรัดบรรจุภัณฑ์ ถุงร้อน ขวดใส่เครื่องดื่ม ซองขนม ท่อ ปลอกหุ้มสายไฟและสายเคเบิล งานเคลือบกระดาษ วัสดุอุดรอยรั่ว ขวดใส่สารเคมี อุปกรณ์ของรถยนต์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพราะมีความยืดหยุ่นสูง ทนสารเคมี และสามารถทนความร้อนได้ดี เป็นสัญลักษณ์สำหรับพลาสติกชนิดโพลีสเตียรีน เป็นพลาสติกที่เหมาะสำหรับทำเป็น โฟม กล่อง ถ้วย และจาน เนื่องจากง่ายต่อการขึ้นรูป สามารถพิมพ์สีสันและลวดลายให้สวยงามได้
อ่านเพิ่มเติม >เดี๋ยวนี้การทำธุรกรรมทางการเงินต่างๆ ผ่านตู้เอทีเอ็ม ถือเป็นช่องทางที่ตอบสนองผู้บริโภคในสังคมเมืองที่ต้องการความรวดเร็วสะดวกสบายได้เป็นอย่างดี การมีบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิตช่วยให้การใช้จ่ายเป็นเรื่องง่ายขึ้น แต่บางครั้งความสะดวกสบายก็ทำให้เราหลงลืมบางเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องของ “ค่าธรรมเนียม” ยิ่งเราใช้บริการบ่อยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงต่อการจ่ายค่าธรรมเนียมมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นการรู้ข้อมูลเรื่องค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้บริโภคควรรู้ เงินของเราถ้าเราไม่ใส่ใจดูแล แล้วใครจะมาดูแลให้เรา เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทางการเงินของแต่ละธนาคารผ่านเครื่องเอทีเอ็ม -ค่าธรรมเนียมที่ฉลาดซื้อนำมาสำรวจเปรียบเทียบครั้งนี้ เป็นค่าธรรมเนียมบริการบัตรเดบิตพื้นฐาน (ค่าธรรมเนียมแรกเข้าถูกที่สุด) ของแต่ละธนาคาร ยกเว้นธนาคารซีไอเอ็มบีไทยและธนาคารเกียรตินาคินที่เป็นค่าธรรมเนียมจากบริการบัตรเอทีเอ็ม เนื่องจากธนาคารไม่มีบริการบัตรเดบิต -ธนาคารพาณิชย์ที่นำมาเปรียบเทียบเลือกจากธนาคารที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในประเทศไทย 10 อันดับแรก (ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย) บวกกับธนาคารของรัฐอีกหนึ่งแห่งอย่าง ธนาคารออมสิน -ค่าธรรมเนียมที่สำรวจครั้งนี้เป็นการสำรวจภายในวันที่ 15 ต.ค. 55 เท่านั้น ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลง ธนาคารไทยพาณิชย์ ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 100.- ค่าธรรมเนียมรายปี 200.- ถอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต 15.- / รายการ ถอนเงินต่างธนาคารในเขตเดียวกัน 4 รายการแรกของเดือน ฟรี รายการที่ 5 เป็นต้นไป คิดรายการละ 10.- ถอนเงินต่างธนาคารข้ามเขต 20.- / รายการ โอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต ฟรี รายการแรกของเดือน รายการที่ 2 เป็นต้นไป คิดรายการละ 15.- โอนเงินต่างธนาคาร วงเงินไม่เกิน 10,000.- คิดรายการละ 25.- เกิน 10,000 แต่ไม่เกิน 30,000.- คิดรายการละ 35.- ธนาคารกรุงไทย ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 100.- ค่าธรรมเนียมรายปี 200.- ถอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต 15.- / รายการ ถอนเงินต่างธนาคารในเขตเดียวกัน 4 รายการแรกของเดือน ฟรี รายการที่ 5 เป็นต้นไป คิดรายการละ 10.- ถอนเงินต่างธนาคารข้ามเขต 20.- / รายการ โอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต ฟรี รายการแรกของเดือน รายการที่ 2 เป็นต้นไป คิดรายการละ 15.- โอนเงินต่างธนาคาร วงเงินไม่เกิน 10,000.- คิดรายการละ 25.- เกิน 10,000 แต่ไม่เกิน 30,000.- คิดรายการละ 35.- ธนาคารกรุงเทพ ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 100.- ค่าธรรมเนียมรายปี 200.- ถอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต 15.- / รายการ ถอนเงินต่างธนาคารในเขตเดียวกัน 4 รายการแรกของเดือน ฟรี รายการที่ 5 เป็นต้นไป คิดรายการละ 10.- ถอนเงินต่างธนาคารข้ามเขต 20.- / รายการ โอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต ฟรี รายการแรกของเดือน รายการที่ 2 เป็นต้นไป คิดรายการละ 15.- โอนเงินต่างธนาคาร วงเงินไม่เกิน 10,000.- คิดรายการละ 25.- เกิน 10,000 แต่ไม่เกิน 30,000.- คิดรายการละ 35.- ธนาคารกสิกรไทย ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 100.- ค่าธรรมเนียมรายปี 250.- ถอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต 15.- / รายการ ถอนเงินต่างธนาคารในเขตเดียวกัน 4 รายการแรกของเดือน ฟรี รายการที่ 5 เป็นต้นไป คิดรายการละ 10.- ถอนเงินต่างธนาคารข้ามเขต 20.- / รายการ โอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต ฟรี รายการแรกของเดือน รายการที่ 2 เป็นต้นไป คิดรายการละ 15.- โอนเงินต่างธนาคาร วงเงินไม่เกิน 10,000.- คิดรายการละ 25.- เกิน 10,000 แต่ไม่เกิน 30,000.- คิดรายการละ 35.- ธนาคารธนชาติ ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 100.- ค่าธรรมเนียมรายปี 200.- ถอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต 15.- / รายการ ถอนเงินต่างธนาคารในเขตเดียวกัน 4 รายการแรกของเดือน ฟรี รายการที่ 5 เป็นต้นไป คิดรายการละ 10.- ถอนเงินต่างธนาคารข้ามเขต 20.- / รายการ รายการที่ 5 เป็นต้นไป คิดเพิ่มรายการละ 10.- โอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต ฟรี ครั้งแรกของเดือน ครั้งที่ 2 เป็นต้นไป คิดครั้งละ 15.- รายการที่ 5 เป็นต้นไป คิดเพิ่มรายการละ 10.- โอนเงินต่างธนาคาร วงเงินไม่เกิน 10,000.- คิดรายการละ 25.- เกิน 10,000 แต่ไม่เกิน 30,000.- คิดรายการละ 35.- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 150.- ค่าธรรมเนียมรายปี 300.- ถอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต 15.- / รายการ ถอนเงินต่างธนาคารในเขตเดียวกัน 4 รายการแรกของเดือน ฟรี รายการที่ 5 เป็นต้นไป คิดรายการละ 10.- ถอนเงินต่างธนาคารข้ามเขต 20.- / รายการ โอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต หมื่นละ 10 .- (คิดขั้นต่ำ 10.-) บวกค่าบริการคู่สายอีก 20.- / รายการ โอนเงินต่างธนาคาร วงเงินไม่เกิน 10,000.- คิดรายการละ 25.- เกิน 10,000 แต่ไม่เกิน 30,000.- คิดรายการละ 35.- ธนาคารทหารไทย ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 100.- ค่าธรรมเนียมรายปี 250.- ถอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต 10.- / รายการ ถอนเงินต่างธนาคารในเขตเดียวกัน 4 รายการแรกของเดือน ฟรี รายการที่ 5 เป็นต้นไป คิดรายการละ 10.- ถอนเงินต่างธนาคารข้ามเขต 20.- / รายการ โอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต ฟรี รายการแรกของเดือน รายการที่ 2 เป็นต้นไป คิดรายการละ 15.- โอนเงินต่างธนาคาร วงเงินไม่เกิน 10,000.- คิดรายการละ 25.- เกิน 10,000 แต่ไม่เกิน 30,000.- คิดรายการละ 35.- ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 100.- ค่าธรรมเนียมรายปี 200.- ถอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต 15.- / รายการ ถอนเงินต่างธนาคารในเขตเดียวกัน 4 รายการแรกของเดือน ฟรี รายการที่ 5 เป็นต้นไป คิดรายการละ 10.- ถอนเงินต่างธนาคารข้ามเขต 20.- / รายการ โอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต ฟรี รายการแรกของเดือน รายการที่ 2 เป็นต้นไป คิดรายการละ 15.- โอนเงินต่างธนาคาร วงเงินไม่เกิน 10,000.- คิดรายการละ 25.- เกิน 10,000 แต่ไม่เกิน 30,000.- คิดรายการละ 35.- ธนาคารยูโอบี ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 100.- ค่าธรรมเนียมรายปี 200.- ถอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต 15.- / รายการ ถอนเงินต่างธนาคารในเขตเดียวกัน 4 รายการแรกของเดือน ฟรี รายการที่ 5 เป็นต้นไป คิดรายการละ 10.- ถอนเงินต่างธนาคารข้ามเขต 20.- / รายการ โอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต ฟรี รายการแรกของเดือน รายการที่ 2 เป็นต้นไป คิดรายการละ 15.- โอนเงินต่างธนาคาร วงเงินไม่เกิน 10,000.- คิดรายการละ 25.- เกิน 10,000 แต่ไม่เกิน 30,000.- คิดรายการละ 35.- ธนาคารเกียรตินาคิน ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 100.- ค่าธรรมเนียมรายปี 100.- ถอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต ไม่คิดค่าธรรมเนียม ถอนเงินต่างธนาคารในเขตเดียวกัน ไม่คิดค่าธรรมเนียม ถอนเงินต่างธนาคารข้ามเขต ไม่คิดค่าธรรมเนียม โอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต ไม่คิดค่าธรรมเนียม โอนเงินต่างธนาคาร วงเงินไม่เกิน 10,000.- คิดรายการละ 25.- เกิน 10,000 แต่ไม่เกิน 30,000.- คิดรายการละ 35.- ธนาคารออมสิน ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 50.- ค่าธรรมเนียมรายปี 150.- ถอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต 10.- / รายการ ถอนเงินต่างธนาคารในเขตเดียวกัน 5 รายการแรกของเดือน ฟรี รายการที่ 6 เป็นต้นไป คิดรายการละ 3.- ถอนเงินต่างธนาคารข้ามเขต 20.- / รายการ โอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต ฟรี รายการแรกของเดือน รายการที่ 2 เป็นต้นไป คิดรายการละ 10.- โอนเงินต่างธนาคาร วงเงินไม่เกิน 10,000.- คิดรายการละ 25.- เกิน 10,000 แต่ไม่เกิน 30,000.- คิดรายการละ 35.- -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ฉลาดซื้อแนะนำ -บริการบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิต ไม่ใช่ข้อบังคับว่าต้องทำเมื่อเปิดบัญชีกับธนาคาร หากเราต้องการแค่ออมเงินหรือสะดวกกับการเบิกถอนโดยตรงกับธนาคาร ก็เลือกไม่สมัครบัตรต่างๆ ได้ ช่วยให้เราประหยัดทั้งค่าบัตรและค่าธรรมเนียมรายปี -เวลาที่เราจะขอใช้บริการบัตรเดบิตหรือบัตรเอทีเอ็มครั้งแรก เราจะต้องเสียทั้งค่าธรรมเนียมแรกเข้าบวกกับค่าธรรมเนียมรายปีพร้อมกัน เช่น ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 100 บาท ค่าธรรมเนียมรายปี 200 บาท เท่ากับว่าการที่เราจะมีบัตรเดบิตหรือบัตรเอทีเอ็มไว้ใช้งานก็จะต้องจ่ายทันที 300 บาท (ยังไม่รวมเงินที่จะต้องใช้ในการเปิดบัญชีกับทางธนาคาร) -ค่าธรรมเนียมในส่วนของบริการสอบถามยอดเงินคงเหลือในบัญชีที่เครื่องเอทีเอ็มต่างธนาคารข้ามเขต คิดในอัตราเดียวกับการถอนเงินต่างธนาคารข้ามเขต คือ 4 รายการแรกของเดือน ฟรี รายการที่ 5 เป็นต้นไป คิดรายการละ 10 บาท ซึ่งหากเลือกบริการสอบถามยอดเงินแล้วต่อด้วยการถอนเงิน ถือว่าได้ใช้บริการผ่านเครื่องเอทีเอ็มนั้นไปแล้ว 2 รายการ -การขอทำบัตรใหม่ ไม่ว่าจะทำหายหรือชำรุด ทั้งบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิต มีค่าใช้จ่าย อยู่ที่ 100 บาท เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากเสียเงินส่วนนี้ การดูแลบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตของเราให้ดีจึงถือเป็นภารกิจสำคัญ -หลายคนยังเข้าใจผิดว่าการเลือกใช้บัตรเอทีเอ็มแล้วเลือกปฏิเสธบัตรเดบิตจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า เพราะยังคิดว่าบัตรเอทีเอ็มราคาถูกกว่า แต่ปัจจุบันนี้ราคาค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปีของบัตรเอทีเอ็มและบัตรเดบิตนั้นเท่ากัน แม้ว่าการใช้งานมันต่างกัน เพราะบัตรเดบิตสามารถใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าได้ ซึ่งบัตรเอทีเอ็มทำไม่ได้ แต่ก็ถือเป็นสิทธิของเราที่จะเลือกว่าจะใช้บัตรประเภทไหน (หากธนาคารที่เราใช้บริการมีให้เลือกทั้ง 2 แบบ) บางคนอาจอยากใช้บัตรเดบิตเพราะสะดวกในการใช้จ่าย ไม่ต้องถือเงินสดครั้งละมากๆ หรืออยากใช้แค่บัตรเอทีเอ็มก็พอ เพราะกลัวจะเผลอใจใช้จ่ายเกินตัว อยากได้อะไรก็รูด สุดท้ายเงินหมดไม่รู้ตัว -การโอนเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็มสูงสุดต่อครั้งจะอยู่ที่ไม่เกิน 30,000 บาท หากต้องการโอนเงินจำนวนมากกว่า 30,000 บาท ก็ต้องใช้วิธีการโอนหลายครั้ง ซึ่งค่าธรรมเนียมก็จะถูกคิดทุกครั้งที่ทำการโอน -หากลองเปรียบเทียบดูอัตราค่าธรรมเนียมบริการต่างๆ ผ่านตู้เอทีเอ็มของแต่ละธนาคาร จะเห็นว่าจะมีการคิดค่าธรรมเนียมอยู่ในเกณฑ์เดียวกัน ซึ่งมาจากข้อกำหนดที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย จะมีที่แตกต่างชัดเจนคือ บัตรเอทีเอ็ม ของธนาคารเกียรตินาคิน ที่ไม่มีการคิดค่าธรรมเนียมในการถอนเงินไม่ว่าจะเป็นต่างธนาคาร ข้ามเขต และการโอนเงินธนาคารเดียวกันข้ามเขต ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ธนาคารนำมาใช้เพื่อปิดจุดอ่อนของธนาคาร ตรงที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารยังมีไม่มาก การที่สามารถเบิกถอนเงินได้จากทุกตู้เอทีเอ็มของทุกธนาคารโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของผู้บริโภค -อีกธนาคารที่มีความแตกต่างในเรื่องของอัตราค่าธรรมเนียมชัดเจนก็คือ ธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นธนาคารของรัฐวิสาหกิจ ค่าธรรมเนียมจะถูกกว่าธนาคารพาณิชย์ -สำหรับใครที่กำลังคิดจะเปิดใช้บริการบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิต นอกจากค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมต่างๆ ที่เราต้องรู้ไว้เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจว่าจะเลือกบัตรแบบไหน ธนาคารอะไร อย่าลืมข้อมูลอื่นๆ ที่ก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ความสะดวกในการใช้บริการ และพฤติกรรมการใช้ของตัวเราเอง -ใครที่เกิดทำบัตรเดบิตหายหรือว่าถูกขโมย ต้องรีบทำการโทรแจ้งระงับการใช้งานกับทางธนาคารโดยทันที เพราะบัตรเดบิตของเราอาจถูกผู้ไม่หวังดีนำไปรูดซื้อของจนเงินหมดบัญชี แม้ในบัตรจะมีการเซ็นชื่อกำกับและผู้ถือบัตรต้องเซ็นชื่อยืนยันเมื่อมีการรูดซื้อสินค้า แต่ก็คงป้องกันอะไรไม่ได้ การโทรไประงับการใช้งานบัตรกับทางธนาคารโดยทันทีจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด บัตรเดบิต เลือกที่ใช่ ใช้แล้วคุ้ม ปัจจุบันมีหลายธนาคารที่มีบริการบัตรเดบิตมากกว่า 1 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็มีจุดเด่นจุดขายแตกต่างกัน เช่น บัตรเดบิตที่สามารถใช้ถอนเงินจากเครื่องเอทีเอ็มได้จากทุกธนาคารทุกจังหวัดโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม อย่าง บัตรเดบิต ทีเอ็มบี โนลิมิต ของธนาคารทหารไทย, บัตรเดบิต ยูโอบี อันลิมิต พลัส ของธนาคารยูโอบี หรือ บัตรกรุงศรี เดบิต “ออล เอทีเอ็ม” ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งบัตรประเภทนี้มักจะคิดค่าธรรมเนียมแรกเข้าแพงกว่าบัตรปกติ ถือว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ นอกจากนี้ยังมีบัตรเดบิตที่มาพร้อมประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ อย่าง บัตรเดบิต พลัส ของธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ บัตรเค – แม็กซ์ เดบิต ของ ธนาคารกสิกรไทย หรือแม้แต้บัตรเดบิตที่สามารถใช้บริการผ่อนชำระสินค้าและสินเชื่อเงินสดไม่ต่างจากบัตรเครดิต อย่าง บัตรกรุงศรี เดบิต เฟิร์สช้อยส์ ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ค่าธรรมเนียมการใช้ตู้เอทีเอ็มในต่างประเทศ ไอร์แลนด์ ธนาคารกลางแห่งไอร์แลนด์ ห้ามการคิดค่าธรรมเนียมทุกประเภทจากการใช้บัตร ATM รัฐบาลเรียกเก็บอากรแสตมป์จากบัตรเดบิต/บัตรเครดิต/บัตร ATM ปีละ 5 ยูโร --- โปรตุเกส ตามข้อกำหนดของสหภาพยุโรป ธนาคารสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บัตรได้ แต่รัฐบาลโปรตุเกสมีกฎหมายที่ห้ามการคิดค่าธรรมเนียมใดๆ ก็ตามจากการใช้บัตร --- อินโดนีเซีย ไม่มีการคิดค่าธรรมเนียมการใช้บัตร ATM --- อินเดีย ธนาคารกลางประกาศยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้บัตร ATM ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี พ.ศ. 2552 เป็นต้นมา แต่มีข้อจำกัดให้ใช้บริการได้ 5 ครั้ง (ถ้าเกินจากนั้น ธนาคารเรียกเก็บค่าบริการ 20 รูปี) ก่อนหน้านี้การใช้บริการข้ามธนาคารมีค่าใช้จ่ายครั้งละ 10 – 35 รูปี --- อเมริกา จากการสำรวจของเว็บไซต์ bankrate.com พบว่า ค่าธรรมเนียม ATM ในอเมริกานั้นเพิ่มขึ้นตลอดในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา และพบว่าธนาคารในมลรัฐฟิลาเดเฟียนั้นมีการคิดค่าธรรมเนียมกับลูกค้าของตนเองที่ไปใช้ตู้ ATM ของต่างธนาคารสูงที่สุดในประเทศ เฉลี่ยแล้ว ในการใช้บริการข้ามธนาคารแต่ละครั้ง ลูกค้าจะต้องเสียค่าธรรมเนียมประมาณ 4.50 เหรียญ (ธนาคารที่ตนเองมีบัญชีอยู่เรียกเก็บ 2 เหรียญ ธนาคารเจ้าของตู้ที่ไปใช้บริการเรียกเก็บอีก 2.50 เหรียญ)
สำหรับสมาชิก >