ฉบับที่ 210 มูลค่าเงินชดเชยเมื่อประสบอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ

ประเทศไทยมีกฎหมายหลายฉบับที่ว่าด้วยเรื่อง การชดเชยเยียวยาให้กับผู้ประสบเหตุ หรือผู้ได้รับความเสียหายจากกใช้บริการ เช่น สิทธิตามมาตรา 41 ของกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กรณีประสบเหตุทางถนนหรือรถยนต์ สามารถเบิกค่าเสียหายตามวงเงินที่กำหนดไว้จากพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ หรือการจ่ายเงินชดเชยเยียวยาให้กับผู้เสียหาย(จำเลย) ในคดีอาญาที่สามารถขอรับเงินช่วยเหลือได้ตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา กระทรวงยุติธรรมสรุปว่ามีหลายกองทุนชดเชยเยียวยา ซึ่งแต่ละกองทุนมีกลุ่มเป้าหมายเป็นของตนเอง โดยมีหลักการที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการกำหนดถึงวัตถุประสงค์ รูปแบบ วิธีการ ที่มาของกองทุน จำนวนเงินชดเชย และคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการชดเชยเยียวยาตามข้อบัญญัติของกฎหมายในเรื่องนั้นๆ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าใครอยากจะขอใช้สิทธิในกองทุนไหนก็ได้ หรืออยากใช้หลายกองทุนในเหตุการณ์เดียวกันก็ไม่ได้เช่นกันยกตัวอย่าง กรณีที่ 1 สมชายเป็นผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะแล้วรถโดยสารคันที่นั่งมาประสบอุบัติเหตุ หลังเกิดเหตุสมชายได้รับบาดเจ็บกระดูกแขนขาหัก ม้ามแตก ปอดฉีก ต้องได้รับการรักษาอาการบาดเจ็บ กรณีแบบนี้หลายคนสงสัยว่า สมชายใช้สิทธิบัตรทองเข้ารับการรักษาเลยได้ไหม เพราะฉุกเฉินบาดเจ็บสาหัส ในทางกฎหมายสมชายยังไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทองได้ แม้ว่าจะมีสิทธิและเป็นกรณีฉุกเฉิน กรณีนี้สมชายต้องใช้สิทธิของประกันภัยภาคบังคับ(พ.ร.บ.รถ) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถให้ครบวงเงินความคุ้มครอง 80,000 บาทก่อน เมื่อครบแล้วถึงจะสามารถไปใช้สิทธิอื่นๆ ที่มี เช่น สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม สิทธิราชการ หรือสิทธิประกันอุบัติเหตุต่างๆ ที่มี นอกจากนี้สมชายยังสามารถใช้สิทธิรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมเพิ่มได้ตามเงื่อนไขและระเบียบของกองทุน แต่หากว่าหลังการใช้สิทธิการรักษาของ พ.ร.บ.รถ ครบแล้ว สมชายเข้ารับการรักษาอาการบาดเจ็บต่อด้วยสิทธิบัตรทอง แล้วพบภายหลังว่า สมชายได้รับความเสียหายจากการใช้บริการบัตรทอง เช่น แพทย์ผ่าตัดผิด ลืมอุปกรณ์ไว้ในร่างกาย โดยที่ไม่ใช่เป็นเหตุจากพยาธิสภาพของร่างกาย กรณีนี้สมชายถึงจะสามารถใช้สิทธิขอรับเงินช่วยเหลือตามมาตรา 41 ของพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้กรณีที่ 2 ปรีดาเป็นผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะแล้วรถโดยสารคันที่นั่งมาประสบอุบัติเหตุ หลังเกิดเหตุปรีดาได้รับบาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิต กรณีแบบนี้ทายาทของปรีดาสามารถใช้สิทธิเรียกร้องเงินชดเชยความเสียหายจากประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ. รถ) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยได้ทันทีในวงเงิน 300,000 บาท และสิทธิความคุ้มครองของประกันภัยภาคสมัครใจรถโดยสารคันเกิดเหตุอีก 300,000 บาท รวมกับสิทธิตามประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล PA ของรถโดยสารคันเกิดเหตุอีกอย่างน้อย 50,000 บาท โดยกรณีปรีดาที่เสียชีวิต เมื่อทายาทได้รับเงินชดเชยตามสิทธิทางกฎหมายครบแล้ว จะไม่สามารถได้รับเงินช่วยเหลือจากกองทุนยุติธรรมได้อีก เนื่องจากได้รับการชดเชยเยียวยาตามสิทธิที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว            ทั้งนี้หากพิจารณาเพียงตัวหนังสืออาจจะคิดว่าการขอใช้สิทธิชดเชยเยียวยาความเสียหายนั้นไม่น่าจะมีความยุ่งยาก มีกฎหมายบัญญัติแนวทางวิธีปฏิบัติไว้หมดแล้ว ความคิดนี้ต้องขอบอกเลยว่าคิดผิด!!! เพราะในทางปฏิบัติการขอรับเงินชดเชยเยียวยาความเสียหายในแต่ละกองทุนล้วนมีข้อจำกัดต่างๆที่ผู้บริโภคยังไม่เข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ ครั้งนี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะการชดเชยความเสียหายของ พ.ร.บ.รถ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ที่กำหนดไว้เป็น 2 ส่วน คือ ค่าเสียหายเบื้องต้น และค่าสินไหมทดแทนสูงสุด ค่าเสียหายเบื้องต้น หมายถึง ค่าเสียหายต่อชีวิต – ร่างกาย ของผู้ประสบภัยอันเนื่องจากการใช้รถที่บริษัทประกันภัยต้องจ่ายโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความรับผิด (มาคันไหนเบิก พ.ร.บ. รถคันนั้นได้เลย จ่ายทันทีภายใน 7 วัน) และให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าสินไหมทดแทน กรณีบาดเจ็บจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริงไม่เกิน 30,000 บาท กรณีทุพพลภาพ/สูญเสียอวัยวะหรือเสียชีวิต 35,000 บาท หรือรวมกันแล้วไม่เกิน 65,000 บาท ค่าสินไหมทดแทนสูงสุด (รวมค่าเสียหายเบื้องต้น) หมายถึง ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายต่อชีวิต – ร่างกายของผู้ประสบภัยจากรถที่บริษัทประกันภัยต้องจ่าย เมื่ออุบัติเหตุจากรถนั้นเป็นความผิดของผู้ขับขี่รถที่เอาประกันภัย กรณีบาดเจ็บจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามจริงสูงสุดไม่เกิน 80,000 บาท กรณีเสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวรจ่าย  300,000 บาท กรณีสูญเสียอวัยวะ (เป็นไปตามเงื่อนไขตามอัตราที่กำหนด) จ่าย 200,000 -300,000 บาท กรณีนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล (ผู้ป่วยใน) จ่ายค่าชดเชย 200 บาท/วัน สูงสุดไม่เกิน 20 วัน แต่หากกรณีเป็นผู้ขับขี่ที่เป็นฝ่ายผิด จะได้รับความคุ้มครองเฉพาะค่าเสียหายเบื้องต้นเท่านั้นดังนั้นว่าแค่เรื่องสิทธิตาม พ.ร.บ.รถ เพียงอย่างเดียวก็มีรายละเอียดที่สร้างความงุนงงให้กับผู้บริโภคแล้ว มีทั้งค่าเสียหายเบื้องต้น ที่มีเงื่อนไขไม่ต้องพิสูจน์ถูกผิด จ่ายทันทีภายใน 7 วัน และมีค่าสินไหมทดแทนสูงสุดอีก แม้กฎหมายจะกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิไว้แล้วว่าใครควรจะได้รับสิทธิแบบไหน แต่ในอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะกรณีมีผู้โดยสารได้รับความเสียหาย ไม่ว่ารถโดยสารคันเกิดเหตุจะประสบอุบัติเหตุแบบมีคู่กรณีเฉี่ยวชนหรือพลิกคว่ำล้มเองไม่มีคู่กรณีก็ตาม ผู้โดยสารที่เสียหายมักถูกรวมให้ต้องอยู่ในกระบวนการพิสูจน์ความรับผิดของผู้ขับขี่ทุกครั้งเสมอ ทั้งที่ผู้เสียหายเป็นเพียงผู้โดยสารที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ควรที่จะได้รับการชดเชยเยียวยาความเสียหายได้สูงสุดเต็มวงเงินของ พรบ.รถ ทันที ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาในทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่สถานพยาบาลบางแห่ง ที่แนะนำผู้ประสบภัยให้ใช้สิทธิเบิกค่าเสียหายเบื้องต้นเพื่อรอพิสูจน์ถูกผิดก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายส่วนที่เหลือจะถูกผลักภาระให้ไปใช้สิทธิอื่นๆ ที่มีแทน  ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ ทุกวันนี้ค่ารักษาพยาบาลในแต่ละครั้งแต่ละรายการมีมูลค่าสูงขึ้นกว่าในอดีต การกำหนดจำนวนเงินค่าเสียหายเบื้องต้นไว้เพียง 30,000 บาท ย่อมไม่เพียงพอต่ออาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายที่มีอาการรุนแรงหรือสาหัส อย่างไรก็ตามวงเงินความคุ้มครองของ พ.ร.บ.รถ กรณีบาดเจ็บมีจำนวนเงิน 80,000 บาท รวมถึงค่าเสียหายกรณีเสียชีวิตและทุพพลภาพถาวรที่กำหนดไว้สูงสุด 300,000 บาท ก็ยังถือว่ามีมูลค่าน้อยเมื่อเทียบกับค่าเงินในสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะที่บ้านเรานั้น มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนเกิดขึ้นทุกวันและมีแนวโน้มความรุนแรงที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ดังนั้นน่าจะถึงแล้วเวลาแล้วประเด็นเรื่องวงเงินค่าชดเชยเยียวยา ควรได้มีการพิจารณาปรับให้เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายในปัจจุบัน เพื่อเป็นหลักประกันให้กับประชาชนคนใช้รถใช้ถนนอย่างจริงจังเสียที

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 210 รู้กฎหมายกับทนายอาสา

กฎหมายขายฝากเมื่อทำสัญญากันแล้วกรรมสิทธิ์ในที่ดินตกเป็นของผู้รับซื้อฝากทันที...ต่างจากการทำสัญญาจำนอง ที่เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนจำนองแล้ว กรรมสิทธิ์จะยังไม่ตกเป็นของผู้รับจำนองทันที ต้องไปฟ้องบังคับคดีกับศาลอีกครั้งหนึ่งการขายฝากต้องระวัง อันตรายกว่าสัญญาจำนอง             ครั้งนี้มีเรื่องเกี่ยวกับการทำสัญญามาฝาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชอบเอาที่ดิน เอาบ้านไปประกันเงินกู้ต่างๆ อยากให้ศึกษาไว้นะครับ  อย่างที่เราทราบกัน ว่าเวลาจะไปกู้ยืมเงิน บางคนเครดิตไม่ดี ก็ไม่สามารถไปกู้เงินกับธนาคารรัฐบาลหรือเอกชนได้ ก็ต้องไปหาคนที่รับซื้อฝาก หรือรับจำนองที่ดิน  ซึ่งสังเกตไหมครับว่า สัญญาที่เขาทำกับเรา ทำไมเขาไม่ค่อยทำสัญญาจำนองกัน แต่ชอบทำเป็นสัญญาขายฝาก สาเหตุก็คือ กรรมสิทธิ์ตามสัญญาขายฝาก โอนไวกว่านั่นเอง กล่าวคือ กฎหมายขายฝากเมื่อทำสัญญากันแล้วกรรมสิทธิ์ในที่ดินตกเป็นของผู้รับซื้อฝากทันที ย้ำนะครับว่าทันที ไม่ต้องรอให้มีการผิดสัญญา โดยมีเงื่อนไขว่า ผู้ขายฝากจะมาไถ่ถอนได้ภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา แม้จะเขียนไว้ว่าภายใน 10 ปี แต่ไม่ได้เขียนระยะเวลาขั้นตํ่าเอาไว้ ส่วนใหญ่จึงทำสัญญาในระยะสั้น เมื่อถึงเวลาผู้ขายฝากไม่มีเงินมาไถ่ถอน ที่ดินก็จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อฝาก ซึ่งจริงๆ ก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อฝากตั้งแต่วันทำสัญญาวันแรกแล้ว แต่เมื่อไม่มาไถ่ถอนตามกำหนด ที่ดินก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับซื้อฝากโดยสมบูรณ์ และไม่ต้องไปฟ้องบังคับจำนองเลย ผู้ทำธุรกิจรับซื้อฝากจึงนิยมเรียกร้องให้ผู้ขอกู้เงินทำขายฝากด้วยเหตุผลประการใดประการหนึ่ง มากกว่าทำสัญญาจำนอง เพราะการทำสัญญาจำนองเมื่อครบกำหนดไถ่ถอนจำนองแล้ว กรรมสิทธิ์ยังไม่ตกเป็นของผู้รับจำนองทันที ต้องไปฟ้องบังคับคดีกับศาลอีกครั้งหนึ่ง            มีคดีเรื่องหนึ่ง ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการไถ่ทรัพย์ตามสัญญาขายฝาก โดยผู้ขายฝากได้นำเงินไปไถ่ในวันสุดท้ายตามสัญญา แต่เนื่องจากไปตอนช่วงเย็น เลยเวลาราชการแล้ว ไม่สามารถไปจดทะเบียนไถ่ทรัพย์ได้ ผู้รับฝากก็เลยอ้างว่าไถ่เลยเวลาแล้ว จึงไม่ยอมให้ไถ่คืน ทำให้ผู้ขายฝากมาฟ้องศาล และศาลฎีกาก็ได้ตัดสินเป็นแนวทางไว้ว่า การจดทะเบียนไถ่ทรัพย์ซึ่งขายฝาก กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์คืน โจทก์ย่อมมีสิทธิไถ่ที่ดินซึ่งขายฝากได้คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19332/2556            โจทก์ใช้สิทธิไถ่ที่ดินจากจำเลยเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2554 อันเป็นวันครบกำหนดเวลาไถ่ที่ดิน ซึ่งขายฝาก โดยนำเงินสินไถ่เพื่อไปชำระให้แก่จำเลยที่บ้าน แต่จำเลยบ่ายเบี่ยงอ้างว่าหมดเวลาราชการแล้ว การกระทำของโจทก์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิไถ่ที่ดิน ซึ่งขายฝากต่อจำเลยภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาขายฝากโดยชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา 492 ประกอบมาตรา 498 แล้ว จำเลยต้องรับการไถ่ แม้โจทก์ใช้สิทธิไถ่ที่ดินนั้นในเวลา 18 นาฬิกา ซึ่งล่วงพ้นเวลาราชการแล้ว และไม่สามารถจดทะเบียนการไถ่ขายฝากที่ดินในวันดังกล่าวได้ก็ตาม แต่การจดทะเบียนไถ่ทรัพย์ซึ่งขายฝาก กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์คืน เมื่อโจทก์ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากนั้นต่อจำเลยภายในกำหนดเวลาไถ่ตามสัญญาขายฝากโดยชอบแล้ว จึงมีผลผูกพันใช้ยันได้ระหว่างโจทก์กับจำเลย โจทก์ย่อมมีสิทธิไถ่ที่ดินซึ่งขายฝากได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 210 บ้านเราไม่ต้องมีหมายค้น (2)

ห้องน้ำและห้องนอน (ต่อ) : หลายคนมักเก็บเครื่องสำอาง ซึ่งบางทีเป็นของใช้ส่วนตัวแยกต่างจากเครื่องสำอางที่ใช้ทั่วๆไป เครื่องสำอางเหล่านี้มักเป็นเครื่องสำอางสำหรับผิวกาย ผิวหน้า ฯลฯ ซึ่งแต่ละคนจะหาซื้อมาตามความชอบใจ หากเป็นยี่ห้อที่มีวางขายเปิดเผยตามห้างหรือร้านสะดวกซื้อพวกนี้ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะฉลากจะมีรายละเอียดครบถ้วน ทั้ง เลขจดแจ้ง ชื่อสถานที่ผลิตหรือจำหน่าย วันผลิตวันหมดอายุ ฯลฯ ซึ่งหากเกิดปัญหา เราสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่หรือแจ้งทางห้างหรือร้านที่นำมาจำหน่ายได้แต่เครื่องสำอางที่พบปัญหาเป็นส่วนใหญ่ คือเครื่องสำอางที่ซื้อขายทางอินเตอร์เน็ต ซื้อจากเน็ตไอดอล หรือตามที่ดารามารีวิวแนะนำสินค้า เครื่องสำอางเหล่านี้มีความเสี่ยงสูง เพราะมักจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีสถานที่ผลิตที่เราอาจไม่รู้จัก และจากกรณีที่เป็นข่าวก็ทำให้เราทราบว่า หลายผลิตภัณฑ์ไม่มีสถานที่ผลิตจริง หากแต่ไปจ้างโรงงานผลิต เวลาไปขอจดแจ้งจากราชการ ก็อาศัยช่องโหว่ที่กฎหมายสมัยนั้นไม่ได้กำหนดว่าต้องตรวจสถานที่ เลยแจ้งที่อยู่อื่นๆ ที่ไม่ใช่สถานที่ผลิตจริง ทำให้เจ้าหน้าที่ติดตามตรวจสอบได้ยาก นอกจากนี้พวกเน็ตไอดอลหรือดาราหลายคน ก็ออกมาสารภาพกันแล้วว่าไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เลย (บางคนก็อ้อมๆ แอ้มๆ ว่าเคยใช้แค่ครั้งสองครั้งเอง ซึ่งไม่รู้ว่าโกหกอีกหรือเปล่า) ดังนั้น ถือโอกาสสังคายนา ตรวจสอบเครื่องสำอางประจำตัวของสมาชิกในบ้านเลยว่า มีเครื่องสำอางที่มีความเสี่ยงสูงเหล่านี้อยู่หรือไม่ เพราะเครื่องสำอางเหล่านี้ดูเหมือนจะอยู่ในกลุ่มที่กำพืดไม่ค่อยจะชัดเจน และที่อันตรายอย่างยิ่ง คืออาจมีการเติมสารอันตรายต่างๆ เข้าไปด้วย และหากพบว่าสมาชิกในบ้านใช้ไม่เท่าไร ดันเห็นการเปลี่ยนแปลงทันที เช่น ผิวขาวกะทันหัน ขาวผิดพ่อผิดแม่ ยิ่งส่อให้เห็นว่าแนวโน้มมีสารอันตรายเจือปนสูง ควรกำจัดออกจากบ้านไปเลยพื้นที่อื่นๆ : นอกเหนือจากอาหารและเครื่องสำอางแล้ว เราลองตรวจสอบผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่สมาชิกในบ้านนำมาใช้ด้วย โดยเฉพาะในบ้านที่มีผู้สูงอายุ หรือมีผู้ป่วยโรคเรื้อรังประจำตัว เพราะจะเป็นเป้าหมายหลักในการถูกหลอกให้ซื้อผลิตภัณฑ์เสี่ยงๆ มาใช้ เช่น ยาน้ำสมุนไพรหรือยาลูกกลอนบางชนิด(หรือผลิตภัณฑ์อาหาร) ที่อ้างรักษาอาการปวดเข่า หรือรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น เบาหวาน ไขมัน ความดัน ฯลฯวิธีสังเกตง่ายๆ ก็เหมือนที่เคยบอกไปแล้ว เช่น ถ้าเป็นยาต้องมีเลขทะเบียนยา ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารถ้าอ้างว่ารักษาโรคได้ แสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมายแน่นอน เพราะอาหารรักษาโรคไม่ได้ (ถ้ารักษาได้แสดงว่าต้องเติมอะไรเข้าไปแนอน) และที่ต้องย้ำคือ แม้จะมีฉลากถูกต้อง ระบุสรรพคุณเหมาะสมอยู่ในร่องในรอยแล้ว แต่หากสมาชิกในบ้านรับประทานแล้วเกิดได้ผล อาการป่วยต่างๆ หายอย่างน่าประหลาดใจ ต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่มาช่วยตรวจสอบทันที จำไว้ว่า “ยาเทวดาสุดมหัศจรรย์ไม่มีในโลก” อย่าลืมนะครับ ใช้วิธีการที่เคยแนะนำไปแล้วตรวจสอบผลิตภัณฑ์ต่างๆในบ้านตั้งแต่วันนี้ หากพบ “สี่สงสัย” ให้รีบใช้ “สองส่งต่อ” เพื่อเตือนคนใกล้ตัวและแจ้งเจ้าหน้าที่ด้วยนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 210 ดูแลมืออย่างไรให้ดูสุขภาพดี

        เช่นเดียวกับใบหน้า มือก็ดุจสะพานที่พาคุณเชื่อมต่อกับผู้คน ไม่ว่าจะไหว้ ทักทาย ยื่นของให้ รับสิ่งของหรือการสัมผัสมือ คิดดูสิถ้ามือดูหยาบกร้าน ผิวแห้งตึง หรือลอกเป็นขุย ก็อาจทำให้เสียความมั่นใจได้เช่นกัน        ผิวบริเวณมือนั้น จะมีความพิเศษกว่าบริเวณอื่นตรงที่ฝ่ามือนั้นจะไม่มีรูขุมขน แต่ก็มีรูเปิดสำหรับเหงื่อนะ ด้านฝ่ามือนี้ธรรมชาติออกแบบมาเพื่อการหยิบจับที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามผิวที่มือก็ประกอบด้วย ชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้เช่นเดียวกับผิวส่วนอื่นของร่างกาย การกินอาหารที่ดี การทำความสะอาด และการบำรุงก็ไม่ต่างกันมากนัก เพียงแต่ในชีวิตประจำวันมือจะสัมผัสจับต้องสิ่งต่างๆ มากมาย จึงอาจต้องดูแลเพิ่มมากขึ้นอีกนิด ใส่ใจมากขึ้นหน่อยเพื่อให้เป็นมือที่ดูสุขภาพดี                                  ปัญหาของมือที่พบบ่อย คือ ความแห้งตึงของผิว ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ การล้างมือบ่อยคือสาเหตุหนึ่งที่คุณอาจคิดไม่ถึง เพราะว่าเราถูกสอนกันมาว่า ต้องหมั่นทำความสะอาดมือเพื่อสุขอนามัย แต่การล้างมือบ่อยก็เปิดโอกาสให้ผิวสูญเสียสมดุลของน้ำมันตามธรรมชาติ ผิวจึงแห้งตึง ซึ่งก่อให้เกิดอาการคัน และอาจนำไปสู่ผิวอักเสบได้อีก ดังนั้นเรามาดูขั้นตอนการล้างมือที่จะไม่ทำร้ายผิวก่อน            1.เลี่ยงน้ำอุ่นและสบู่ที่มีค่ากรดด่างสูง เลือกใช้สูตรอ่อนโยน            2.สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรียไม่จำเป็นและอาจทำให้ผิวแห้งมากขึ้น            3.โฟมล้างมือเป็นทางเลือกที่ดี            4.ล้างมือโดยลูบเบาๆ อย่าขัดถูแรง            5.ล้างแล้วควรเช็ดมือให้แห้ง ไม่ปล่อยให้ผิวชื้นนานๆ เสี่ยงต่อการติดเชื้อรา            6.ถ้ารู้สึกผิวแห้งตึงมาก ใช้ครีมทามือเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น        การล้างมือบ่อยทำให้ผิวแห้ง คันได้ แต่ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้ผิวแพ้ แห้งหรือหยาบกร้าน ได้แก่             1.แพ้น้ำหอม สารกันเสียในโลชั่นหรือครีมที่ใช้ทามือ ลองสังเกตดูว่า เราแพ้สินค้าตัวใดควรหลีกเลี่ยง            2.สารเคมีในผลิตภัณฑ์ชำระล้าง เช่น น้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก น้ำยาล้างห้องน้ำ อาจทำให้เกิดอาการแพ้ ควรปรับระยะเวลาการสัมผัสให้น้อยที่สุด การสวมถุงมือช่วยป้องกันได้ แรกๆ อาจอึดอัดแต่บ่อยเข้าจะชินเอง            3.การป้องกันแดดสำหรับผิวบริเวณมือก็สำคัญไม่ควรละเลย            4.บุหรี่และความเครียด เชื่อไหมว่า เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้มือคุณหยาบกร้านไม่น่ามอง        รู้แล้วว่าต้องหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง ดังนั้นมาปิดด้วยการบำรุงรักษา มือนั้นสำคัญยิ่งไม่ควรปล่อยปะละเลย ควรหาเวลาสักนิดในแต่ละวัน ดูแลรักษามือและนิ้วมือบ้าง อย่างน้อยควรใช้ครีมหรือโลชั่น(ที่ไม่ก่ออาการแพ้) นวดมือทุกวันจะช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำมันของต่อมบริเวณผิวหนังที่มือทำให้มือสวยน่าทะนุถนอม

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 210 รู้เท่าทันเห็ดหลินจือ

    ในฉบับก่อน ได้กล่าวถึงเห็ดถั่งเช่าว่าเป็น “ไวอากร้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย” ฉบับนี้ขอนำเรื่องเห็ดหลินจือมาเล่าให้รู้จัก เพราะคนไทยจะคุ้นเคยกับเห็ดหลินจือมากกว่าเห็ดถั่งเช่า จนกระทั่งมีการเพาะปลูกเห็ดหลินจือในประเทศไทยอย่างกว้างขวางพอสมควร เรามารู้เท่าทันเห็ดหลินจือกันเถอะ  เห็ดหลินจือคืออะไร                เห็ดหลินจือมีประวัติการใช้มายาวนานในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเอเชียเพื่อให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว เห็ดหลินจือเป็นเห็ดขนาดใหญ่ สีเข้ม ผิวนอกเป็นเงางาม ในบ้านเราก็มีเห็ดหลินจือเกิดในธรรมชาติ แต่คนละสายพันธุ์กับจีน        รศ.ดร. นพมาศ สุนทรเจริญนนท์  คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับเห็ดหลินจือว่า เห็ดหลินจือ หรือ เห็ดหมื่นปี  จัดเป็นราชาแห่งสมุนไพรจีน ใช้มานานกว่า 4,000 ปี เป็นยาอายุวัฒนะและรักษาโรคต่างๆ  ในเภสัชตำรับของจีนระบุสรรพคุณเป็น  ยาบำรุงร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนเพลีย แก้หลอดลมอักเสบเรื้อรัง รักษาโรคหัวใจ และช่วยให้นอนหลับสรรพคุณของเห็ดหลินจือ   เห็ดหลินจือมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยามากมาย เช่น ฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ฤทธิ์ต้านเนื้องอกและมะเร็ง ฤทธิ์ป้องกันเส้นประสาทเสื่อม ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ฤทธิ์ลดไขมันในเลือด ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านการอักเสบ เป็นต้น     สารสำคัญในเห็ดหลินจือ คือ สารกลุ่มโพลีแซคคาไรด์ ไตรเทอร์พีน สเตอรอล กรดไขมัน โปรตีน เป็นต้น สารสำคัญดังกล่าวจะพบในส่วนสปอร์มากกว่าส่วนดอกเห็ด สปอร์ที่กะเทาะผนังหุ้มมีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและต้านมะเร็งได้ดีกว่าสปอร์ที่ไม่กะเทาะผนังหุ้ม และส่วนดอก (จึงมีผลิตภัณฑ์จากสปอร์เห็ดหลินจือ ออกมาจำหน่าย และมีราคาสูงกว่าเนื้อเห็ดหรือสารสกัดจากเนื้อเห็ด ซึ่งต้องเป็นสปอร์ที่ผ่านการกระเทาะเปลือกหุ้มเท่านั้น จึงจะมีประสิทธิผล)  มีการศึกษาเกี่ยวกับพิษวิทยาของเห็ดหลินจือทั้งพิษแบบเฉียบพลันและพิษแบบเรื้อรัง พบว่า มีความเป็นพิษต่ำมาก และมีความปลอดภัยสำหรับการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน การทบทวนงานวิจัยทางการแพทย์        เนื่องจากเห็ดหลินจือได้รับความนิยมและใช้ในการแพทย์ทางเลือกของประเทศต่างๆ มากขึ้น ห้องสมุดคอเครนจึงได้ทำการทบทวนงานวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับการใช้เห็ดหลินในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจที่มีมาจนถึง 14 มิถุนายน ค.ศ. 2014  พบว่า                มีงานวิจัยทางการแพทย์ 5 รายงาน เปรียบเทียบการใช้เห็ดหลินจือกับยาหลอกในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานประเภท 2 จำนวน 398 ราย ระยะการศึกษา 12-16 สัปดาห์  รายงานการศึกษาไม่ค่อยมีคุณภาพ จึงมีเพียง 3 รายงาน จำนวนผู้ป่วย 157 ราย ที่นำมาวิเคราะห์ผลได้   ผลการศึกษา แสดงว่า เห็ดหลินจือไม่มีประสิทธิผลในการลดน้ำตาลในเลือด ความดันเลือด หรือคอเลสเตอรอล แต่เนื่องจากยังมีรายงานการศึกษาที่น้อย จึงไม่สามารถสนับสนุนประสิทธิผลของเห็ดหลินจือในการรักษาและลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจในผู้ป่วยเบาหวานประเภท 2         นอกจากนี้ ห้องสมุดคอเครนยังทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับเห็ดหลินจือกับการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง พบว่า ยังไม่มีหลักฐานจากการศึกษาที่จะยืนยันประสิทธิผลว่าสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งมีชีวิตยืนยาวขึ้น เพราะงานวิจัยยังมีจำนวนน้อย แต่ก็พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่กินเห็ดหลินจือมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่ากลุ่มควบคุม    สรุปว่า ยังไม่มีผลการวิจัยมากพอที่จะยืนยันประสิทธิผลของเห็ดหลินจือในการรักษามะเร็งและโรคหลอดเลือดหัวใจในขณะนี้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 210 ท่านรู้จัก Pinterest ดีไหม

หนุ่มสาวและผู้ที่กำลังศึกษาในระดับต่างๆ ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่รู้จักการใช้ประโยชน์จากเว็บ Pinterest กันทั้งนั้น ต่างกันตรงที่ว่า ใช้มากหรือใช้น้อย และ ใช้ตื้นหรือใช้ลึก เพียงใด โดย Pinterest นั้นเป็นแหล่งที่นำสู่รูปภาพเป็นหลัก แล้วเสริมด้วยข้อมูลที่ตามมาจากการเข้าเว็บเจ้าของรูปภาพจริง ซึ่งขึ้นกับว่า ข้อมูลนั้นๆ มาจากแหล่งใด เชื่อได้แค่ไหน ดังนั้นในฉลาดซื้อฉบับนี้ผู้เขียน จึงอยากเสนอข้อคิดเห็นบางประเด็นที่ประสบมาจากการใช้บริการของ Pinterestผู้เขียนใช้ Pinterest ค่อนข้างบ่อย แต่เป็นในระดับตื้นมาก คือ เอาแต่รูปมาอย่างเดียว (ไม่ได้เข้าไปสร้างบอร์ดเป็นส่วนตัวเหมือนหลายคน) เพื่อเตรียม power point สำหรับสร้างรูปภาพประกอบการบรรยายในคลิปที่ทำให้สถานีวิทยุแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานีวิทยุที่ไม่มีคลื่นออกอากาศแบบปรกติ แต่ออกใน Facebook live แทน ในการทำ power point นั้นเกือบทุกคนมักใช้บริการหารูปจาก Google เป็นหลัก โดยให้เครดิตว่าได้รูปมาจากเว็บไหน ซึ่งเป็นพื้นฐานที่เข้าใจกันดีว่า เราไม่นำรูปนั้นไปใช้ในทางการค้าหรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียใด ๆ ดังนั้นเจ้าของรูปคงไม่ใจร้ายเก็บค่าลิขสิทธิ์ แต่ในระยะหลังนี้ปรากฏว่า ทุกครั้งที่เลือกรูปที่มีแสดงใน Google นั้น มักเป็นรูปที่มาจากเว็บ Pinterest เป็นส่วนใหญ่ สุดท้ายก็ได้สมัครเป็นสมาชิกฟรี ได้ username และ password มา ซึ่งก็ไม่ทราบว่ามันต่างกับการนำรูปมาโดยไม่ login อย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือ ได้รับจดหมายข่าวแนะนำรูปในแนวที่ Pinterest คิดว่าผู้เขียนสนใจทุกสัปดาห์ คำว่า Pinterest นั้นเป็นการสมาสคำสองคำคือ Pin+Interest แปลตรงตัวง่าย ๆ ว่า เป็นการปักหมุด (Pin) เพื่อดึงรูปภาพที่เราสนใจ (Interest) จากเว็บอื่นมาเก็บไว้บนบอร์ดของเราที่สร้างในเว็บของ Pinterest ดังนั้น Pinterest จึงเป็นแหล่งที่มีรูปภาพเป็นหลัก พร้อมแหล่งที่มาและคำบรรยายสั้นๆ ของรูปภาพที่เราสนใจประเด็นที่เป็นปัญหาของ Pinterest ตามที่ผู้เขียนรู้สึกได้คือ เรื่องของแหล่งที่มาของภาพ มีผู้ใช้บริการของ Pinterest คนหนึ่งบอกว่า หลายคนที่ปักหมุดเอาภาพมาใส่ในบอร์ดของตนนั้น ขาดซึ่งการให้เครดิตว่า ภาพนั้นมาจากที่ใดทำเสมือนเป็นภาพของตนเอง ซึ่งว่าไปแล้วเป็นการทำผิดจริยธรรมของนักท่องเว็บWikipedia กล่าวไว้ในตอนหนึ่งที่บรรยายถึง Pinterest ว่า ในเดือนมีนาคม 2017 ทางการจีนตรวจสอบพบว่า Pinterest มีความผิดตามกฎหมายอินเทอร์เน็ตของจีน ข่าวไม่ได้บอกชัดว่าเป็นไปในแง่ใด แต่คงเป็นไปตามแนวทางการของจีนที่ต้องการเอื้อประโยชน์แก่ Baidu, Youku, Weibo และ Renren ซึ่งเป็นโซเชียลมีเดียของจีน Pinterest จึงถูกระงับการบริการ และในทำนองเดียวกันปรากฏการณ์นี้ก็เกิดในอินเดียซึ่งได้ระงับการบริการของ Pinterest ชั่วคราว ตามคำสั่งของศาลสูงเมือง Madras เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2016 ซึ่งเข้าใจกันว่า เพื่อปิดกั้นการแสดงผลของประมาณ 225 เว็บไซต์ที่อาจมีการขโมย โกง และละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ของภาพจากเว็บอื่น             อีกประเด็นซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากในความรู้สึกของผู้เขียนคือ ไม่มีการกรองข้อมูลที่ติดมากับรูปภาพ ดังนั้นผู้ที่กดตามเข้าไปดูภาพที่สนใจนั้นจึงมักพบว่า Pinterest ได้พาผู้ที่สนใจไปยังเว็บส่วนน้อยที่มีความซื่อสัตย์ให้ข้อมูลที่เป็นจริง แต่เว็บส่วนใหญ่ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพนั้นกลับเป็นเว็บชนิดที่ www.quackwatch.com เตือนให้ระวัง เพราะมีแต่ข้อมูลหลอกลวงทั้งในลักษณะ quack คือแค่หลอกให้เชื่อตามความโง่ของผู้หลอก fraud คือหลอกเพื่อเก็บสตางค์ของผู้หลงเชื่อ  หรือแม้แต่ fad ซึ่งมีผู้แปลในพจนานุกรมอินเทอร์เน็ตว่า ความคิดวิตถาร, เซี้ยว, บ้า, สิ่งที่นิยมกันจนคลั่ง   ขอยกตัวอย่างบางรูปภาพ ซึ่งสามารถตามไปยังต้นตอเพื่อดูข้อมูลลวงต่างๆ ในลักษณะที่เข้าข่ายของ quack คือ     ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดที่ กรมอนามัยคงไม่ปลื้มแน่ เพราะเราพยายามรนณรงค์ให้คนไทยไม่กินหวาน ไม่กินเค็ม แล้วถ้าตื่นเช้ามามีการดื่มน้ำเกลือเข้าไปเป็นประจำ ความพยายามลดจำนวนผู้ป่วยโรคไตคงลำบากแน่  ซึ่งขอเน้นให้ท่านผู้อ่านระวังให้ดีเพราะมันเข้าข่ายที่เรียกว่า Fraud และเหมือนจะมีภาพที่เป็นในลักษณะเดียวกันที่เป็นภาษาไทยได้เผยแพร่ในเน็ทแล้วคือ “The man who shocked the world: cancer can be cured in 3 minutes all you need to do is….” ซึ่งคำอวดอ้างดังกล่าวนี้ไม่จำเป็นต้องตามไปอ่านรายละเอียดให้เสียเวลา เพราะไร้สาระโดยสิ้นเชิง เนื่องจากถ้าใครสามารถพบวิธีบำบัดมะเร็งได้ภายใน 3 นาที เขาผู้นั้นคงต้องได้รางวัลโนเบลสาขาแพทย์ไปแล้ว   ซึ่งเข้าอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า Fad คือ “The tea that heals liver disease, fatty liver and fight cancer cells” ซึ่งคงไม่ต้องตามไปดูข้อมูลให้เสียเวลาเช่นกัน เพราะดอกไม้ดังที่เห็นในรูปนั้นคือ dandelion ซึ่งผู้เขียนเคยอ่านพบว่าเป็นสมุนไพรของชาวอเมริกันอินเดียน อีกทั้งเมื่อค้นข้อมูลใน simplewikipedia.org ก็พบคำอธิบายเป็นแค่ข้อมูลทั่วไป ไม่ได้ระบุถึงคุณสมบัติทางยาแต่อย่างใดซึ่งเป็นที่สุดในการหลอกลวงคนที่หมดหวังในการมีชีวิตยืนยาวแล้วคือ ผู้ที่สูบบุหรี่จนปอดดำแล้วก็มีคนให้ความหวังว่า “10 best foods to cleanse your lungs” สามารถทำให้ปอดกลับมาอยู่ในสภาพดีได้ ในกรณีนี้แค่เห็นภาพ สำหรับคนที่มีสติและความรู้ก็คงดูออกว่า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะถ้าเป็นไปได้ องค์การสหประชาชาติคงต้องเชิญตัวไปรับเหรียญอะไรต่อมิอะไร รวมทั้งได้รางวัลโนเบลสาขาแพทย์ไปแล้วเช่นกัน การมั่วในข้อมูลของเว็บต่างๆ ที่มีผู้ไปปักหมุดภาพแล้วนำมาเก็บในบอร์ดของตนนั้น จริงแล้วไม่ใช่ความผิดหรือความบกพร่องของ Pinterest เนื่องจากผู้เป็นเจ้าของบอร์ดต้องมีวิจารณญานเอง จริงแล้วเมื่อพิจารณาดูรายละเอียดของวิธีใช้ประโยชน์เว็บนี้ ผู้เขียนได้ประเมินเอาเองว่า Pinterest นั้นเป็นช่องทางการแนะนำตนเองหรือองค์กรที่ตนเกี่ยวข้อง เพื่อสร้างภาพในทางที่ดีแก่ลูกค้า ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้ใช้แต่รูปภาพใน Pinterest เพียงอย่างเดียวนั้นจำเป็นต้องคิด ไตร่ตรองโดยอาศัยกาลามสูตร 10 ด้วยว่า ข้อมูลซึ่งได้จากการตามถึงเว็บที่เจ้าของภาพให้ไว้นั้นผิด-ถูกอย่างไร และการเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวให้สังคมทราบนั้น อาจเป็นความรับผิดชอบทางกฏหมายของท่านโดยสิ้นเชิง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 210 เข้าถึงข้อมูลสิทธิประกันสังคมลิขิตรัก : ระหว่าง “หน้าที่” กับ “ความรัก”

ลิขิตรัก : ระหว่าง “หน้าที่” กับ “ความรัก”                                                                                                                        มนุษย์เรามีความต้องการปรารถนาเฉพาะตนกันอยู่แทบจะทุกคน แต่ทราบหรือไม่ว่า เพราะเหตุใดบ่อยครั้งความต้องการของปัจเจกบุคคลจึงมิอาจเป็นไปในแบบที่เราคิดอยากให้เป็นได้?             ด้วยแก่นหลักของเรื่องที่ตั้งคำถามกับความสัมพันธ์ระหว่าง “หน้าที่” กับ “ความรัก” ที่คุกรุ่นอยู่ในจิตใจของ “เจ้าหญิงอลิซ” รัชทายาทแห่งประเทศสมมติที่ชื่อฮรีสอซ กับ “ผู้พันดวิน” พระเอกหนุ่มองครักษ์ผู้พิทักษ์เจ้าหญิงในละครโทรทัศน์เรื่อง “ลิขิตรัก” คงบอกกับเราได้ไม่ยากว่า ความต้องการปรารถนาแห่งปัจเจกไม่เคยเป็นอิสระจากกรอบบางอย่างที่สังคมขีดวงกำหนดเอาไว้ได้เลย            ปมของละครเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเจ้าหญิงอลิซถูกวางตัวและแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทสืบต่อจาก “คิงเฮนรี่” ผู้มีศักดิ์เป็นปู่ เธอจึงต้องเข้าไปอยู่ในวังวนความขัดแย้งกับบรรดาพระญาติคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น “เจ้าชายอังเดร” ผู้เป็นลุง “โมนา” ป้าสะใภ้ รวมไปถึง “เจ้าหญิงเคธ” และ “เจ้าชายอลัน” ลูกพี่ลูกน้อง ที่ทุกคนต่างไม่พอใจและไม่ยอมรับการขึ้นสวมมงกุฎของเจ้าหญิงรัชทายาท            ภายใต้ “บทบาท” และ “หน้าที่” ที่ได้รับแต่งตั้งขึ้นใหม่นี้ เจ้าหญิงอลิซยังต้องเผชิญกับภารกิจที่มากมาย และอันตรายรอบด้านที่มาจากศัตรูซึ่งมองไม่เห็น เธอจึงตัดสินใจหลบหนีมาพักผ่อนชั่วคราวที่ประเทศไทยแบบเงียบๆ             และเป็นเพราะการเมืองที่ไม่เข้าใครออกใคร แถมการเมืองก็ยังไม่เลือกเวลาและพื้นที่ว่าใครจะอยู่ตำแหน่งแห่งที่ใด เมื่อเจ้าหญิงอลิซมาอยู่เมืองไทย เธอก็ยังถูกไล่ล่าหมายชีวิตจากคนร้ายและกลุ่มผู้สูญเสียอำนาจจากฮรีสอซ ซึ่งก็แน่นอนว่า ที่เมืองไทยนี่เอง พระเอกหนุ่มผู้พันดวิน หัวหน้าหน่วย D-Team ก็ได้เข้ามาถวายการอารักขา และเป็นจุดเริ่มต้นการเรียนรู้ความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกันระหว่างตัวเลือกที่เป็น “หน้าที่” กับ “ความรัก” ของเจ้าหญิงและผู้พันหนุ่ม            หาก “ความรัก” เป็นตัวแทนของความต้องการปรารถนาแห่งปัจเจกบุคคลดังที่กล่าวมาแล้ว คำถามก็คือ “หน้าที่” ได้เข้ามากำหนดความปรารถนาของมนุษย์เอาไว้อย่างไร            ตามหลักทฤษฎีสังคมศาสตร์มีคำอธิบายไว้ว่า เงื่อนไขหนึ่งในความเป็นมนุษย์ก็คือ การมีพันธกิจ “หน้าที่” ที่ต้องดำเนินไปตามข้อเรียกร้องบางอย่างของกลุ่มสังคมที่ตนสังกัด และข้อเรียกร้องดังกล่าวนี้ก็สัมพันธ์กับ “บทบาท” ที่ปัจเจกชนแต่ละคนสวมและเล่นอยู่            คำว่า “บทบาท” นั้น เป็นศัพท์ที่มักใช้กันอยู่ในแวดวงศิลปะการแสดง เพื่อสื่อความหมายเมื่อนักแสดงสวมบทบาทหนึ่งๆ เป็นตัวพระ ตัวนาง ตัวร้าย หรือตัวละครใด เธอหรือเขาก็จะมีสคริปต์ให้เล่นไปตามบทบาทที่กำหนดไว้นั้น และเมื่อถอดบทบาทดังกล่าวออกมาสวมบทบาทใหม่ นักแสดงคนเดิมก็จะมีสคริปต์ชุดใหม่ให้ได้เล่นแทน            ฉันใดก็ฉันนั้น ในเงื่อนไขของแต่ละสังคม ปัจเจกบุคคลก็มักถูกกำหนดให้ต้องสวมและเล่น “บทบาท” ทางสังคมไม่ต่างจากนักแสดงละครบนเวทีเลย และด้วย “บทบาท” ที่สังคมขีดวงเอาไว้นี้เอง คนแต่ละคนก็จะรู้ว่าตนต้องมีสคริปต์แบบใดให้ได้เล่นได้แสดงแตกต่างกันไป            เพราะฉะนั้น เมื่อครั้งที่อลิซสวมบทบาทเป็นแค่หลานปู่ของคิงเฮนรี่ เธอก็อาจจะเล่นสคริปต์เป็นหลานสาวที่น่ารักใสซื่อโดยไม่ต้องมีความรับผิดชอบใดๆ มากมายนัก แต่เมื่อถอดบทบาทเดิมออก และหันมา “สวมมงกุฎ” เป็นเจ้าหญิงรัชทายาท บทบาทที่เปลี่ยนไปซึ่งพ่วงมากับหน้าที่ใหม่ๆ ก็ทำให้เจ้าหญิงอลิซต้องมีภาระรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น และถูกเรียกร้องให้ต้องสละความสุขส่วนตัว กลายมาทำหน้าที่เป็นผู้ปกครองในอนาคตของฮรีสอซแทน            กับเรื่องบทบาทที่สวมเข้าออกได้เฉกเช่นนี้เอง เจ้าหญิงอลิซได้รู้ซึ้งยิ่งขึ้นเมื่อเธอต้องมาปลอมตัวเป็นภริยานายทหารเรืออย่างผู้พันดวิน ทั้งนี้ เพื่อหลบซ่อนตัวจากคนร้ายที่ตามล่าชีวิต เจ้าหญิงต้องยอมเข้าพิธีแต่งงานหลอกๆ และเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่เป็น “นางนารี สมุทรยากร”            เพราะบทบาทใหม่กับหน้าที่ทางสังคมที่ต่างออกไป แม่บ้านทหารเรืออย่างเจ้าหญิงอลิซจึงต้องย้ายออกจากพระราชวังมาพำนักอยู่บ้านพักทหารเรือหลังเล็กๆ ที่ไม่มีคนรับใช้ ไม่มีสิทธิพิเศษใดๆ หากแต่ต้องอยู่และทำหน้าที่แบบภริยาข้าราชการด้วยเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงของนายทหารเรือคนหนึ่งเท่านั้น             ประโยคที่เจ้าหญิงอลิซได้พูดกับผู้พันดวิน เมื่อต้องมาสวมบทบาทเป็นตัวละครนารี สมุทรยากร ว่า “ถ้าเราถอดมงกุฎออก เราก็คือคนเหมือนกับนาย” คงบ่งบอกนัยชัดเจนว่า ด้วยบทบาทที่ต่างออกไป ไม่เพียงแต่จะมีสถานภาพและหน้าที่ต่างกันเท่านั้น หากแต่บทบาทก็เป็นเพียงเงื่อนไขที่สังคมหนึ่งอุปโลกน์และขีดเขียนกติกาให้ปัจเจกบุคคลต้องเล่นไปด้วยนั่นเอง            และเมื่อมาถึงช่วงท้ายของเรื่อง ละครได้เริ่มเฉลยให้เห็นว่า ตัวละครที่ต้องเล่นบทบาทต่างกันนั้น ลึกๆ แล้ว ธาตุแท้ของ “จิตมนุษย์นั้นไซร้ ยากแท้หยั่งถึง” จริงๆ แบบที่เจ้าหญิงเคธผู้ไม่พอเพียงกับบทบาทหน้าที่แค่เจ้าหญิงที่ไม่มีใครสนใจ แต่เลือกจะชักใยความขัดแย้งต่างๆ ในเรื่อง เพื่อให้ตนได้ขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าหญิงรัชทายาทแทนน้องสาว ตรงกันข้ามกับเจ้าชายสายปาร์ตี้อย่างอลันก็ยอมละทิ้งความสุขส่วนตัวมาสวมบทบาทใหม่เป็นรัชทายาทแห่งฮรีสอซแทนเจ้าหญิงอลิซ            แต่ในเวลาเดียวกัน เมื่อโครงเรื่องถูกออกแบบให้เป็นละครแนวรักโรแมนติก ประเด็นเรื่องบทบาทและสถานภาพความแตกต่างของชั้นชนที่ค้ำคอทั้งเจ้าหญิงอลิซและผู้พันดวิน ก็ทำให้เธอและเขาเดินมาถึงทางสองแพร่ง ที่ต้องเลือกว่าจะประสานประโยชน์ของ “หน้าที่” กับ “ความรัก” กันได้อย่างไร            บนทางทั้งสองแพร่งที่ตัวละครกำลังเลือกที่จะขีดเขียน “ลิขิตรัก” ของตนอยู่นั้น ในฉากจบของเรื่อง อลิซเองก็ได้เลือกที่จะสละตำแหน่งเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งฮรีสอซ เพื่อหวนกลับมาเล่นบทบาทเป็นภริยานายทหารเรือไทยอย่างผู้พันดวินอีกคำรบหนึ่ง             หาก “หน้าที่” เป็นกฎกติกาที่สังคมกำหนดเอาไว้ และหาก “ความรัก” เป็นปรารถนาและอารมณ์ของมนุษย์แล้ว สำนึกของปัจเจกบุคคลทุกวันนี้ก็น่าจะเชื่อมั่นว่า ทั้ง “หน้าที่” และ “ความรัก” ก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินไปบนเส้นขนาน ซึ่งก็คงไม่ต่างจากประโยคที่ผู้พันดวินได้กล่าวกับอลิซท่ามกลางภูเขา ท้องฟ้า และผืนน้ำที่เป็นฉากหลังว่า “มันก็ห้าสิบห้าสิบ…ชีวิตอาจจะถูกกำหนดมาส่วนหนึ่ง แต่ที่เหลือ เราก็ต้องเลือกด้วยตัวเราเอง”

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 210 เข้าถึงข้อมูลสิทธิประกันสังคม

เมื่อช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ผู้เขียนได้รับเอกสารฉบับหนึ่งจากสำนักงานประกันสังคม เป็นเอกสารแจ้งรายละเอียดเงินสมทบกรณีชราภาพ ตั้งแต่ปีที่เริ่มทำงานจนถึงปัจจุบัน ซึ่งทำให้เกิดกระแสในสังคมเกี่ยวกับการตรวจสอบเงินสมทบว่า สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ที่ใดบ้าง  ฉบับนี้จึงขอมานำเสนอข้อมูลการเข้าตรวจสอบดังกล่าวให้ได้ทราบกันขอให้ความรู้สักนิดเกี่ยวกับสิทธิประกันสังคม โดยปกติการมีสิทธิประกันสังคมได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่ทำงานและเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 (ยังทำงานในสถานประกอบการ) หรือเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 (ออกจากงานและยังส่งเงินประกันสังคมต่อ) แต่ปัจจุบันมีมาตรา 40 ขึ้นมาเพื่อรองรับประชาชนที่ต้องการมีสิทธิประกันสังคมในเรื่องการทดแทนการขาดรายได้ ทุพพลภาพ เงินชราภาพและกรณีเสียชีวิต แต่ใช้สิทธิการรักษาพยาบาลบัตรทอง 30 บาท         กลับมาที่เรื่องการเข้าถึงข้อมูลสิทธิประกันสังคมให้เข้าไปที่เว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม                    ได้ทั้งทางคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน เริ่มต้นจากการคลิกสมัครสมาชิก โดยเว็บไซต์จะให้กรอกเลขบัตรประจำตัวประชาชน รหัสผ่านที่ตั้งขึ้น ชื่อนามสกุล เบอร์มือถือ วันเกิดและเมล จากนั้นระบบจะส่งรหัส OTP เข้าเบอร์มือถือที่ให้ไว้ และนำไปกรอกบนหน้าเว็บไซต์ คลิกยืนยัน  หลังจากนั้นให้กรอกเลขบัตรประจำตัวประชาชน และรหัสผ่านที่ตั้งขึ้น เพื่อเข้าสู่ระบบ ต่อจากนั้นผู้อ่านสามารถคลิกเข้าไปที่คำว่าผู้ประกันตน ซึ่งภายในจะมีข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิประกันสังคม ดังนี้ ข้อมูลผู้ประกันตน ข้อมูลการส่งเงินสมทบ ยื่นแบบขอเปลี่ยนสถานพยาบาล ประวัติการเปลี่ยนแปลงสถานพยาบาล การใช้สิทธิประโยชน์ทดแทน การคำนวณเงินสงเคราะห์ชราภาพ และตรวจสอบข้อมูลใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ในข้อมูลผู้ประกันตน จะแจ้งข้อมูลชื่อนามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน สถานพยาบาลที่เลือกไว้ ในส่วนข้อมูลการส่งเงินสมทบ จะแสดงรายละเอียดงวดเงินสมทบ วันที่ชำระเงิน จำนวนเงินสมทบที่นำส่ง โดยจะมีข้อมูลแยกเป็นรายเดือน สำหรับการใช้สิทธิประโยชน์ทดแทน เป็นการแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิที่ผู้ประกันตนเคยขอรับ อย่างเช่น กรณีการทำฟันที่จะเบิกได้ปีละ 900 บาท เป็นต้น ต่อไปเป็นการคำนวณเงินสงเคราะห์ชราภาพ จะเป็นรายละเอียดเงินสมทบของผู้ประกันตนและนายจ้างเป็นยอดรวมจำนวนเงินในแต่ละปี ซึ่งเป็นหัวข้อที่ทำให้ผู้ประกันตนรู้ว่าเงินออมที่จะได้รับเมื่อสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตนมีจำนวนเท่าไร เรื่องการยื่นแบบขอเปลี่ยนสถานพยาบาล ก็จะใช้เมื่อต้องการเปลี่ยนแปลงสถานพยาบาล ซึ่งจะสอดคล้องกันกับเรื่องประวัติการเปลี่ยนแปลงสถานพยาบาล อันสุดท้ายคือเรื่องตรวจสอบข้อมูลใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ จะใช้สำหรับผู้ที่ต้องการใบเสร็จรับเงินโดยต้องสมัครขอรายละเอียดในเรื่องนี้ตามขั้นตอนต่อไป หลายคนอาจไม่เคยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับการจ่ายเงินประกันสังคมของตนเองเลย หรืออาจไม่เคยเข้าใจว่าเมื่อสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตนแล้วจะมีเงินจำนวนหนึ่งที่เป็นเงินสงเคราะห์ชราภาพหรือเงินออม ดังนั้นการได้รู้และเข้าถึงข้อมูลของตนเองถือว่าเป็นสิทธิและเป็นข้อดีสำหรับเราแม้ว่าคนไหนจะเคยทำงานเมื่อนานมาแล้ว และไม่ได้ทำงานมาหลายปี แต่มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ซึ่งถือว่าสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน ก็สามารถติดต่อขอรับสิทธิเงินสงเคราะห์ชราภาพหรือเงินออมได้ที่สำนักงานประกันสังคมได้เช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 209 บ้านเราไม่ต้องมีหมายค้น (1)

ข่าวทางสื่อมวลชนเกี่ยวกับการดำเนินการเกี่ยวกับเครื่องสำอางและอาหารเสริมผิดกฎหมาย ที่มีดารานักร้องนักแสดงหลายรายเข้าไปเกี่ยวข้อง ทำให้ประชาชนหันมาสนใจและเริ่มตั้งคำถามว่าผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆ ที่เราใช้นั้นปลอดภัยหรือไม่ โอกาสนี้จึงขอเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านหันมาตรวจสอบผลิตภัณฑ์ต่างๆ รอบๆ ตัวเรา เริ่มต้นจากบ้านของเราเอง เพื่อความปลอดภัยของสมาชิกของบ้านเราห้องครัว : เป็นห้องที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องของทุกคนในบ้าน ผลิตภัณฑ์ที่พบในห้องครัวส่วนใหญ่จะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องปรุงรสต่างๆ ถ้าเป็นอาหารสด เราคงรู้อยู่แล้วว่าต้องเก็บรักษาอย่างไรเพื่อไม่ให้เน่าเสีย ก่อนนำมาใช้ก็ต้องล้างให้สะอาด ยิ่งเป็นอาหารที่รับประทานสดๆ ได้โดยไม่ต้องผ่านความร้อน (เช่น ผัก ผลไม้) ยิ่งต้องล้างให้สะอาด เพื่อกำจัดสิ่งอันตราย เช่น ยาฆ่าแมลง ไข่พยาธิ ฯลฯ ส่วนผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ หากบรรจุในภาชนะปิดสนิท เช่น ขวด กระปุก กระป๋อง ฯลฯ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องขออนุญาตก่อนผลิตจำหน่าย ซึ่งเราจะสังเกตได้จากเลขสารบบอาหาร ซึ่งจะแสดงในกรอบเครื่องหมาย อย. แต่เพื่อความปลอดภัย เราควรตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ บนฉลากเพิ่มเติม เช่น มีชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายชัดเจนหรือไม่ ถ้าไม่มีแสดงว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ไม่ถูกต้องตามกฎหมายแน่นอน นอกจากนี้ อย่าลืมดูวันผลิตหรือวันหมดอายุด้วย (ผลิตภัณฑ์บางชนิดที่เก็บได้นานหลายปี กฎหมายยกเว้นไม่ต้องแสดงวันหมดอายุ) และที่สำคัญอย่าลืมดูว่าของที่เหลืออยู่นั้น มันเลยวันหมดอายุที่ระบุตรงฉลากหรือไม่ หรือถ้าเราเก็บมานานหลายปีแล้ว หากไม่มั่นใจก็อย่าเสียดาย นำไปทิ้งดีกว่า เพื่อความปลอดภัยของสมาชิกในบ้านของเรา นอกจากรายละเอียดทั่วๆ ไปบนฉลากแล้ว หากเราลองอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับส่วนประกอบหรือฉลากโภชนาการต่างๆ เราก็จะทราบข้อมูลพวกสารอาหารหรือวัตถุเจือปนต่างๆ ด้วย เช่น ทราบว่ามีน้ำตาล เกลือ ไขมัน หรือพลังงานมากน้อยเพียงใด ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อสมาชิกในครอบครัว หากจะต้องจำกัดการบริโภคอาหารบางอย่าง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจต่างๆนอกจากผลิตภัณฑ์อาหารที่เราใช้ปรุงรับประทานแล้ว พบว่าหลายบ้านยังซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมารับประทานด้วย อย่าลืมว่า “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คือผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารเท่านั้น มันไม่สามารถรักษาโรคได้” เพียงแต่มันอาจมีการเติมวิตามิน แร่ธาตุ หรือสารอาหารบางอย่างเพิ่มเข้าไป เพื่อจูงใจผู้ซื้อหรือประโยชน์ในการอ้างตอนโฆษณา ดังนั้นหากตรวจพบว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของสมาชิกในบ้าน มีการระบุสรรพคุณทางยา เช่น ระบุว่ารักษาโรคต่างๆ หรือลดความอ้วน ได้ แสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผิดกฎหมายแน่นอน หรือแม้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ตรวจสอบจะแสดงฉลากถูกต้อง แต่หากสมาชิกในบ้านรับประทานไปแล้ว มีการเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติหลังรับประทานไปเพียงไม่กี่วัน เช่น ผอมลงทันที หรือผลการตรวจเลือดต่างไปจากเดิม แสดงว่าอาจมียาหรือสิ่งอันตรายเจือปนอยู่ได้ห้องน้ำและห้องนอน : ส่วนใหญ่เรามักจะพบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางต่างๆ ในสองห้องนี้ (บางคนอาจเก็บเครื่องสำอางบางชนิดในตู้เย็น) เครื่องสำอางเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เพื่อความสะอาด ความสวยงาม หรือเพื่อประทินผิว จึงไม่สามารถรักษาโรคหรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างร่างกายได้ โดยทั่วไปแล้ว หากเป็นเครื่องสำอางพื้นฐานที่เราใช้กันอยู่ เช่น สบู่ แชมพู ยาสีฟัน ฯลฯ มักไม่ค่อยพบปัญหา แต่หากเป็นเครื่องสำอางบางชนิด เราต้องระวัง (อ่านต่อฉบับหน้านะครับ) 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 209 “แชทเป็นพิษ”

 “เมื่อบุคคลใดเป็นลูกหนี้ของบุคคลอื่น ก็ย่อมมีหน้าที่จะต้องดำเนินการชำระหนี้ให้ถูกต้อง ไม่ใช่หาช่องทางหลีกเลี่ยงจนก่อให้เกิดความเดือนร้อนแก่ฝ่ายผู้อื่น” “แชทเป็นพิษ”โลกในยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตแทบทุกระดับของสังคม ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ต่างใช้ช่องทางเทคโนโลยี ในการติดต่อและทำธุรกรรมกันอย่างแพร่หลาย แม้กระทั่งเรื่องของการหยิบยืมเงินทองก็ใช้ช่องทางดังกล่าวเป็นจำนวนมาก  เมื่อเร็วๆ นี้ มีการส่งต่อข้อมูลในโลกออนไลน์ “เรื่องการแชทขอกู้ยืมเงินเท่ากับการทำสัญญากู้ยืมเงิน” ซึ่งเปิดเผยข้อมูลโดยสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ มากมายว่า ข้อมูลดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด และมีหลักกฎหมายที่เข้ามาใช้พิจารณาได้จริงหรือไม่ โดยบทความนี้ขอนำเสนอข้อมูลต่อผู้อ่านให้สามารถเข้าใจ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา ดังนี้ข้อเท็จจริงดังกล่าว เป็นเรื่องที่จำเลยได้ขอกู้ยืมเงินโจทก์เป็นเงินกว่าสามแสนบาท โดยมีการขอยืมเงินผ่านช่องทางแชทสนทนาในเฟซบุ๊กส่วนตัว แล้วมีการโอนเงินผ่านธนาคารให้แก่จำเลย ต่อมาจำเลยจึงนำบัตรกดเงินสดควิกแคชไปถอนเงินและใส่รหัสส่วนตัว ทำรายการเบิกถอนเงินตามที่จำเลยประสงค์ และกดยืนยันทำรายการพร้อมรับเงินสดและกดสลิป ภายหลังจำเลยปฏิเสธไม่ชำระหนี้ โดยอ้างเหตุว่าฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคแรก บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” คดีนี้เมื่อโจทก์ไม่ได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จึงฟ้องไม่ได้”ศาลฎีกาในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8089/2556 ได้นำพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาใช้ในการตัดสิน เมื่อพิจารณาจากเหตุผลในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้มีข้อความตอนหนึ่งที่ว่า “…การทำธุรกรรมในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการในการติดต่อสื่อสารที่อาศัยการพัฒนาการเทคโนโลยีทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีความสะดวก รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ แต่เนื่องจากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวมีความแตกต่างจากวิธีการทำธุรกรรม ซึ่งมีกฎหมายรองรับอยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก อันส่งผลให้ต้องมีการรองรับสถานะทางกฎหมายของข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ให้เสมอกับการทำเป็นหนังสือ หรือหลักฐานเป็นหนังสือ การรับรองวิธีการส่งและรับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ การใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนการรับฟังพยานหลักฐานที่เป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเป็นการส่งเสริมการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ให้น่าเชื่อถือ และมีผลในทางกฎหมายเช่นเดียวกับการทำธุรกรรมโดยวิธีการทั่วไปที่เคยปฏิบัติอยู่เดิม….” การใช้กฎหมายฉบับนี้มาใช้บังคับ  จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ในการพัฒนาการใช้และการตีความกฎหมายของไทยอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถทำความเข้าใจผ่านประเด็นสำคัญ ดังนี้ ประเด็นแรก “ฟ้องโจทก์มีหลักฐานเป็นหนังสือหรือไม่” การที่จำเลยสมัครใจขอกู้ยืมเงินจากโจทก์กว่าสามแสนบาทในแชทสนทนาและตกลงปฏิบัติตามเงื่อนไขที่โจทก์กำหนด ถือเป็นการสมัครใจทำธุรกรรมในทางแพ่งและพาณิชย์ที่ดำเนินการโดยใช้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2544 มาตรา 4 มีผลใช้บังคับตามมาตรา 7 ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้ปฏิเสธความมีผลผูกพันและการบังคับใช้ทางกฎหมายของข้อความใดเพียงเพราะเหตุที่ข้อความนั้นอยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์” ประกอบกับมาตรา 8 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 9 ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้การใดต้องทำเป็นหนังสือ มีหลักฐานเป็นหนังสือหรือมีเอกสารมาแสดง ถ้าได้มีการจัดทำข้อความขึ้นเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเข้าถึงและนำกลับมาใช้ได้โดยความหมายไม่เปลี่ยนแปลง ให้ถือว่าข้อความนั้นได้ทำเป็นหนังสือ มีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือมีเอกสารมาแสดงแล้ว” จึงถือว่าโจทก์มีหลักฐานเป็นหนังสือแล้วประเด็นที่สอง “ฟ้องโจทก์มีหลักฐานเป็นหนังสือหรือไม่” การที่จำเลยนำบัตรกดเงินสดดังกล่าวไปใช้เบิกถอนเงินสดรวม 8 ครั้ง ซึ่งการถอนเงินสดดังกล่าวจำเลยจะต้องทำตามขั้นตอนที่ระบุในคู่มือการใช้บริการ ต้องใส่รหัสผ่าน 4 หลัก เลือกรายการถอนเงินจากบัญชีสินเชื่อเงินสด เลือกระยะเวลาการผ่อนชำระ 6 ถึง 36 เดือน ระบุจำนวนเงินที่ต้องการ (5,000 ถึง 20,000 บาท ต่อรายการ) และรับเงินสดพร้อมสลิปไว้เป็นหลักฐานซึ่งในสลิปจะปรากฏอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินในแต่ละครั้งอยู่ด้วย ถือเป็นอักษร อักขระ ตัวเลข ที่สร้างขึ้นให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์  ซึ่งนำมาใช้ประกอบกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุตัวบุคคลผู้เป็นเจ้าของลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้น และเพื่อแสดงว่าบุคคลดังกล่าวยอมรับข้อความในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้น จึงเป็นลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ของจำเลย ตามมาตรา 3 และเมื่อพิจารณาประกอบกับหลักฐานเป็นหนังสือตามประเด็นแรก และมาตรา 9 บัญญัติว่า   “ในกรณีที่บุคคลพึงลงลายมือชื่อในหนังสือ ให้ถือว่าข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีการลงลายมือชื่อแล้ว ถ้า (1) ใช้วิธีการที่สามารถระบุตัวเจ้าของลายมือชื่อ และสามารถแสดงได้ว่าเจ้าของลายมือชื่อรับรองข้อความในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั้นว่าเป็นของตน...” เมื่อโจทก์แสดงใบคู่มือการใช้บริการ อันเป็นหลักฐานที่รับฟังได้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 การที่จำเลยนำบัตรกดเงินสดควิกแคชไปถอนเงินและส่งรหัสส่วนตัวเสมือนลงลายมือชื่อตนเอง ทำรายการถอนเงินตามที่จำเลยประสงค์ และกดยืนยันทำรายการพร้อมรับเงินสดและสลิป การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินจากโจทก์ ประกอบทั้งจำเลยมีการขอขยายระยะเวลาผ่อนชำระหนี้สินเชื่อเงินสดควิกแคชที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ รวม 11 รายการ โจทก์จึงมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยฝ่ายผู้ต้องรับผิดมาแสดง จึงรับฟังเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคแรก ข้อต่อสู้จำเลยฟังไม่ขึ้น และบรรทัดฐานดังกล่าว เป็นที่มาของคำพิพากษาในเวลาต่อมาอีกฉบับหนึ่ง คือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6757/2560 เป็นเรื่องที่โจทก์ประชดจำเลยโดยการปลดหนี้ให้ในแชทสนทนา ศาลก็นำพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 มาตีความว่าเป็นการปลดหนี้โดยได้ทำเป็นหนังสือแล้ว จึงมีผลเป็นการปลดหนี้ที่สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้วจากที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าการตีความข้อความในแชทสนทนาในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ถือเป็นตัวอย่างบรรทัดฐานที่ดีต่อสังคมส่วนรวมและเป็นการชี้แนะแก่ตัวลูกหนี้ด้วยว่า “เมื่อบุคคลใดเป็นลูกหนี้ของบุคคลอื่น ก็ย่อมมีหน้าที่จะต้องดำเนินการชำระหนี้ให้ถูกต้อง ไม่ใช่หาช่องทางหลีกเลี่ยงจนก่อให้เกิดความเดือนร้อนแก่ฝ่ายผู้อื่น” ถือเป็นคำพิพากษาที่พัฒนาการใช้กฎหมายได้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม ในมิติของเทคโนโลยีอย่างเป็นธรรม

อ่านเพิ่มเติม >