ฉบับที่ 199 ว่านหลงปะทะว่าน 500 ผัว

ผมได้รับภาพผลิตภัณฑ์สะท้านใจสองชนิด จากน้องเภสัชกรท่านหนึ่ง ผลิตภัณฑ์แรกเป็นว่านสาวหลง ส่วนผลิตภัณฑ์ชนิดที่สองเป็นว่าน 500 ผัว ด้วยความสงสัยในฐานะคนทำงานคุ้มครองผู้บริโภค(ไม่ใช่ในฐานะผู้อยากใช้...ฮา) ผมจึงตามไปสืบค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต จนได้ข้อมูลเบื้องต้นว่านสาวหลง ราคาซองละ 50 บาท(มี 10 แคปซูล) บอกส่วนประกอบหลายชนิด เช่น ถังเช่า โสม กระชายดำ ใบแปะก๊วย กำลังเสือโคร่ง กำลังช้างสาร ตังกุย หรือโกฐเชียง กวาวเครือแดง แถมท้าทายด้วยประโยคที่อาจแทงใจชายไทยหลายๆ คน เช่น น้องชายมีขนาดเล็ก แข็งตัวได้ไม่เต็มที่ เกิดอาการหลั่งเร็วกว่ามาตรฐาน เกิดอาการเข่าอ่อน หรือหมดแรงทันทีที่เสร็จภารกิจ เหนื่อยง่ายกว่าปกติ ไม่อึดเหมือนแต่ก่อน  หมดความมั่นใจ เมื่อสาวข้างกายส่ายหน้า (แค่อ่านยังเหนื่อย) แถมบรรยายสรรพคุณเย้ายวนให้ระทวยในหัวใจอีก เช่น  เพิ่มขนาด เพิ่มน้ำเชื้ออสุจิ เเข็งไวขึ้น อึดทนนาน เเก้อาการนกเขาไม่ขัน  ป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ด้วยฮอร์โมนเพศชาย  ผิวขาว ใสเนียนมีออร่า กระตุ้นน้ำเชื้ออสุจิให้เเข็งเเรง ที่น่าสนใจคือ ในโฆษณามีการแจ้งว่า เลขทะเบียนยา G326/255 ซึ่งผมตามเข้าไปค้นในฐานข้อมูลยากลับไม่พบข้อมูลนี้แต่อย่างใด แต่พอค้นในฐานข้อมูลเครื่องสำอาง กลับพบว่ามีการรับจดแจ้งเครื่องสำอางว่านสาวหลงแทน สรุปว่าตอนนี้สาวอาจยังไม่หลง แต่ผมเองกลับหลงงงงวยกับข้อมูลแทนผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ว่าน 500 ผัว(แค่ชื่อก็ตะลึง) ขนาดบรรจุ 30 แคปซูล ราคา 250บาท  แจ้งว่าในกล่องจะมี 2 แบบ(เม็ดสีขาว เพิ่มขนาดหน้าอก 15 แคปซูล และเม็ดสีน้ำตาล น้องสาวฟิต รัด กระชับ 15 แคปซูล) มีส่วนประกอบจาก ว่าน 500 นาง กวาวเครือขาว ว่านชักมดลูก ว่านมหาเมฆ ลูกชัด ตังกุย สรรพคุณ ช่วยทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ไม่ปวดประจำเดือน   แก้ตกขาว คันในช่องคลอด ช่องคลอดมีกลิ่น เป็นสมุนไพรที่เหมาะกับผู้หญิงทุกคนทุกวัย เพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล ไม่เหี่ยวย่น ระบบภายในสะอาด และมดลูกแข็งแรง  ช่องคลอดฟิตกระชับ หน้าอกเต่งตึง ยังไม่หมด ยังมีต่อให้ตะลึงกว่าเดิมอีกเช่น  เพิ่มเนื้อหน้าอก สัมผัสนุ่มขึ้น รูฟิต รัด ตอด ใครมีปัญหาหน้าอกเล็กหย่อนยาน อยากหน้าอกใหญ่เต่งตึง เจ็บน้องสาวเวลาทำการบ้านกับแฟน ผิวกระกร้าน เป็นกระ ฝ้า ไม่ออร่าไม่ใส วัยทอง เลือดจะไปลมจะมา ฮอร์โมนไม่ปกติ มีลูกยาก  ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ ตกขาว มีเชื้อรา มีกลิ่น มดลูกต่ำ หอยไม่กระชับ มีลมออกช่องคลอด ช่องคลอดหลวม ก่อนตบท้ายให้โลกตะลึงไปอีกว่า “ต้องทาน!!! มีผัวต้องทาน ไม่มีผัวก็ทานได้ เพราะมันเป็นสมุนไพร!” ผมพยายามเพ่งดูที่ฉลาก ก็ไม่พบเลขทะเบียนยา หรือเลขสารบบในเครื่องหมาย อย. แต่อย่างใด นี่เป็นเพียงข้อมูลที่ผมค้นเจอในอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีมากมาย หากผู้บริโภคท่านใด เจอผลิตภัณฑ์สองชนิดนี้ในพื้นที่ ช่วยส่งให้เจ้าหน้าที่ติดตามตรวจสอบเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไปเลยครับ จะได้รู้กันไปเลยว่า ระหว่างสองว่าน กับกฎหมาย อะไรจะชนะกัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 ช็อกโกแลตปนเปื้อนสารแคดเมียม ตะกั่ว ภัยแฝงที่ต้องระวัง

จากข่าวดัง องค์กร As You Sow ทดสอบพบช็อกโกแลต18 ยี่ห้อดัง มีตะกั่ว-แคดเมียมประกอบในระดับอันตรายนั้น สร้างความวิตกกังวลให้กับเหล่าช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ทั้งหลายโดยเฉพาะสายดาร์ก เพราะยิ่งมีปริมาณโกโก้แมสมากก็ยิ่งเสี่ยงพบโลหะหนักทั้งสองชนิดมากขึ้น อ้างอิง http://www.asyousow.org/our-work/environmental-health/toxic-enforcement/lead-and-cadmium-in-food/  ดังนั้นเพื่อเป็นการเฝ้าระวังปัญหาการปนเปื้อนของสารแคดเมียมและตะกั่วในผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตที่วางจำหน่ายในประเทศไทย ทางโครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการ เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ โดยนิตยสารฉลาดซื้อ จึงได้สุ่มเก็บตัวอย่างช็อกโกแลตจำนวน 19 ตัวอย่าง โดยแบ่งเป็น ดาร์กช็อกโกแลต 10 ตัวอย่าง และช็อกโกแลตอื่นๆ อีก 9 ตัวอย่าง ในเดือนสิงหาคม-กันยายน 2560 มาทดสอบหาการปนเปื้อนของโลหะหนักทั้งสองชนิด (ดูผลจากตาราง) ซึ่งเมื่อเทียบกับค่ามาตรฐานในประเทศและต่างประเทศแล้ว พบว่า ผ่านเกณฑ์มาตรฐานทุกตัวอย่าง  อย่างไรก็ตาม สารแคดเมียมนั้น ประเทศไทยยังไม่มีการกำหนดค่ามาตรฐานในผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลต และในระดับสากลก็ยังไม่มีผลบังคับใช้ ณ ปัจจุบัน ผู้บริโภคจึงควรตระหนักว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตหรืออาหารที่มีการผสมช็อกโกแลต จะยังมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะเด็กๆ จะอ่อนไหวเป็นพิเศษ ผู้ปกครองจึงควรให้ความสนใจและฝึกให้รับประทานแต่พอดี แคดเมียม คืออะไร         เป็นโลหะมีสีเงิน มีอยู่น้อยตามธรรมชาติ โดยทั่วไปแคดเมียมที่ปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมจะพบในแหล่งทำเหมืองสังกะสีและตะกั่ว ในอุตสาหกรรม ยาสูบและบุหรี่ พลาสติกและยาง นอกจากนี้ยังนิยมใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่ อุปกรณ์ไฟฟ้า โลหะผสม อะไหล่รถยนต์ โลหะผสมในอุตสาหกรรมเพชรพลอยอีกด้วย แคดเมียมที่ปนเปื้อนในน้ำ อาหาร และในยาสูบเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมในกระเพาะอาหาร แล้วแพร่กระจายไปที่ตับ ม้ามและลำไส้ และสะสมเพิ่มขึ้นในปริมาณสูงจะทำให้เกิดมะเร็ง ไตทำงานผิดปกติ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง ปวดกระดูกสันหลัง แขนขา ซึ่งจะทำให้ไตพิการได้ โรคที่เกิดจากพิษของแคดเมียมเรียกว่า โรคอิไต-อิไต (Itai Itai disease) (ขอบคุณข้อมูลจาก สถาบันนวัตกรรมการเรียนรู้ ม.มหิดล https://goo.gl/DVeWuS ) ตะกั่ว (Pb) คืออะไร       ตะกั่ว  (Pb)  เป็นโลหะหนักมีสีเทาเงิน หรือแกมน้ำเงินเกิดขึ้นตามธรรมชาติ  ปัจจุบันอุตสาหกรรมหลายประเภทมีการใช้ตะกั่วเป็นวัตถุดิบเป็นจำนวนมาก  เช่น ใช้สังเคราะห์สารเตตะเอทิลเลด(tetraethyllead, TEL Pb(C2H5)4) ในเบนซินเพื่อเพิ่มค่าออกเทน    (octane number)     เมื่อมีการออกซิไดซ์จะได้ PbO ซึ่งจะถูกรีดิวซ์ได้โลหะตะกั่ว  ออกสู่สภาวะแวดล้อม  ตะกั่วยังใช้ทำอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคและคอมพิวเตอร์ ซึ่งทำให้เกิดการปลดปล่อยตะกั่วและสารประกอบของตะกั่วในรูปของสารมลพิษออกสู่สภาวะแวดล้อม ทำให้มีการปนเปื้อนของตะกั่วทั้งในดิน น้ำ และอากาศ ตะกั่วสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง คือ ทางอาหาร ทางการหายใจ และทางผิวหนัง เมื่อสาร ตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย  ส่วนใหญ่จะจับยึดอยู่กับเม็ดเลือดแดงจะไปลดการสร้าง heme ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของเม็ดเลือดแดงโดยไปยับยั้งเอ็นไซม์ที่เกี่ยวกับการสร้าง heme นอกจากนี้ ตะกั่วยังมีผลต่อตับ หัวใจและเส้นเลือด ภาวะเจริญพันธุ์ โครโมโซม และเป็นก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และความพิการแต่กำเนิดอีกด้วย (ขอบคุณข้อมูลจากสถาบันนวัตกรรมการเรียนรูมหิดล https://goo.gl/DVeWuS ) แคดเมียมและตะกั่วในช็อกโกแลตมาจากไหน EFSA หรือ กลุ่มงานความปลอดภัยอาหารแห่งสหภาพยุโรป รายงานว่า พบปริมาณแคดเมียมในช็อกโกแลตชนิดต่างๆ มีค่าสูงมาก และยังมีความแตกต่างไปตามปริมาณของโกโก้ที่ผสมในผลิตภัณฑ์ โดยเมล็ดโกโก้(cocoa bean) นั้นเป็นแหล่งสะสมของแคดเมียม ทำให้ช็อกโกแลตที่มีปริมาณโกโก้แมสระหว่าง 35-70% พบแคดเมียมสูงกว่าช็อกโกแลตนมหรือช็อกโกแลตอื่นแคดเมียมและตะกั่วในช็อกโกแลตนั้น ส่วนใหญ่มาจากแหล่งปลูกโกโก้ ซึ่งเป็นการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม โลหะหนักทั้งสองเมื่อเข้าไปปนอยู่ในน้ำและในดินหากมีปริมาณสูง การปลูกพืชบริเวณนั้นจะมีปริมาณโลหะทั้งสองในพืชสูงตามไปด้วย แน่นอนว่าการปนเปื้อนโลหะไม่อาจทำลายได้ด้วยความร้อนอย่างจุลินทรีย์ ดังนั้นผู้ผลิตจึงจำเป็นต้องคัดเลือกวัตถุดิบจากแหล่งที่ปลอดภัย เพื่อลดการปนเปื้อนของแคดเมียมและตะกั่วร้อยละ 70 ของโกโก้ในตลาดโลกมาจากแถบอัฟริกาตะวันตก ประเทศที่มีผลผลิตโกโก้เป็นอันดับหนึ่งได้แก่ ไอโวรีโคสต์ ตามด้วยกาน่าเกณฑ์มาตรฐานปริมาณตะกั่วและแคดเมียมช็อกโกแลต มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 83 (พ.ศ.2527) กำกับโดยเฉพาะ ซึ่งปริมาณสารตะกั่ว ต้องตรวจพบไม่เกิน  1 มิลลิกรัม ต่อ 1 กิโลกรัม เว้นแต่ช็อกโกแลตชนิดไม่หวาน ตรวจพบได้ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม ต่อ 1 กิโลกรัม สารแคดเมียมไม่มีเกณฑ์กำหนดในช็อกโกแลตสำหรับประเทศไทย ส่วนในสหภาพยุโรป (EC) No 1881/2006 (อัปเดต 2014) กำหนดค่ามาตรฐานเฉพาะในผลิตภัณฑ์เนื้อ ผักและอาหารทะเล อย่างไรก็ตามคณะกรรมการผู้จัดทำเกณฑ์มาตรฐาน(The EU regulator) ได้เตรียมประกาศสำหรับ ค่ามาตรฐานแคดเมียมในช็อกโกแลตไว้สำหรับปี 2019 ดังนี้  ช็อกโกแลตนม ที่มีโกโก้แมสต่ำกว่า 30% มีแคดเมียมได้ไม่เกิน 0.10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ช็อกโกแลต ที่มีโกโก้แมส 30-50% มีแคดเมียมได้ไม่เกิน 0.30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ช็อกโกแลต ที่มีโกโก้แมส 50% ขึ้นไป มีแคดเมียมได้ไม่เกิน 0.80 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ช็อกโกแลตผงสำหรับชงดื่ม มีแคดเมียมได้ไม่เกิน 0.60 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ค่าแคดเมียมที่กำหนดไว้นี้จะลดลงอีกเมื่อเป็นผลิตภัณฑ์ที่เด็กบริโภคอ้างอิง http://www.confectionerynews.com/Regulation-Safety/How-to-avoid-cadmium-and-lead-in-chocolate-Safety-recall-preventionแค่ไหนถึงเป็นดาร์กช็อกโกแลต เกณฑ์ส่วนใหญ่ทั้งในอเมริกาและยุโรปคือ มีส่วนผสมที่เป็นโกโก้แมสไม่ต่ำกว่า 35 % ของอเมริกา มีผลิตภัณฑ์นมผสมได้ไม่เกิน 12% ในขณะที่ของ EU ไม่ให้มีเลย เรื่องขมๆ ที่อาจยังไม่เคยรู้ทุกวันนี้ ร้อยละ 70 ของโกโก้ในตลาดโลกมาจากแถบอัฟฟริกาตะวันตก ในพื้นที่ของเซียร่าเลโอนไปจนถึงคาเมรูน ประเทศที่มีผลผลิตโกโก้เป็นอันดับหนึ่งได้แก่ไอโวรีโคสต์ ตามด้วยกาน่าเป็นที่รู้กันว่าการปลูกโกโก้กับการบุกรุกป่าสงวนนั้นมีความเกี่ยวข้องกันมานาน ไอโวรี่โคสต์ ซึ่งผลิตร้อยละ 40 ของโกโก้สูญเสียพื้นที่ป่าฝนไปอย่างน่าตกใจ จากที่เคยมีพื้นที่ป่าถึงหนึ่งในสี่ของประเทศ ปัจจุบันเหลือเพียงร้อยละ 4 เท่านั้น ชาวบ้านนิยมโค่นต้นไม้ใหญ่ทีละต้นสองต้น เพื่อปลูกต้นโกโก้เพราะเชื่อว่าดินที่เพิ่งผ่านการแผ้วถางนั้นจะทำให้ได้ผลผลิตเมล็ดโกโก้ที่ใหญ่ขึ้น แม้ปัจจุบันจะมีการส่งเสริมการปลูกโกโก้แบบยั่งยืนที่ไม่เอาเปรียบทั้งสิ่งแวดล้อมและเกษตรกร การผลิตแบบ “ผิดกฎหมาย” ก็ยังมีอยู่มาก เราแทบจะไม่สามารถแยกแยะได้เพราะผลผลิตจากการปลูกทั้งสองลักษณะถูกนำมาผสมรวมกันก่อนจำหน่ายจากการสำรวจของหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดี้ยน บริษัทผู้ผลิตช้อคโกแลตรายใหญ่รับรู้เรื่องการบุกรุกป่าสงวนมาโดยตลอด บางเจ้า (เช่น เนสเล่ และมอนโดเลซ) ประกาศจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวอย่างชัดเจน บางรายอย่างเฮอร์ชีย์ ก็ตั้งเป้าหมายว่าภายในปี ค.ศ. 2020 จะจัดซื้อแต่โกโก้ที่ผลิตมาจากแหล่งที่ถูกต้องเท่านั้น ส่วนแบรนด์หรูอย่างเฟอเรโร่ โรเชอร์ ยังไม่มีความเห็นรูปนี้มีสีหากท่านต้องการเห็นสีที่ชัดเจนให้กด Save ภาพโดยโครงการเฝ้าระวังสินค้าและบริการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 รู้เท่าทันการใช้เท้าเหยียบรักษาโรค (ตอนที่ 1)

ระยะนี้มีข่าวดังทั้งในโลกออนไลน์และโทรทัศน์ มีการแชร์ภาพชายที่อ้างตัวว่ามีพลังจิต ใช้เท้าเหยียบหัว หน้า หรือตามร่างกายเพื่อบำบัดรักษาโรคได้  ชายดังกล่าวอ้างว่า ตนมีพลังจิตที่สามารถบำบัดผู้ป่วยให้หายจากโรคได้ ด้วยพิธีการสื่อสารพลังจิตจาก สมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าองค์แรก โดยการใช้มือ หรือเท้า เป็นสื่อกลางไปที่ผู้ป่วยให้หายจากโรคหรือดีขึ้นในทันที โรคหรือการป่วยไข้ต่างๆ มาจากโรคเวรโรคกรรมที่ต้องอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ทำให้หายจากโรคได้หลายชนิด เช่น กระดูกหัก เอ็นขาด ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต เมื่อรับบำบัดแล้วก็สามารถลุกขึ้นเดินได้ปกติในทันที เรามารู้เท่าทันการรักษาโรคด้วยการใช้เท้าเหยียบกันเถอะพระพุทธเจ้าโปรดการรักษาโรคด้วยการใช้เท้าเหยียบจริงหรือ  ชายผู้นี้อ้างการรักษานี้ว่าใช้การสื่อสารพลังจิตจากสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าองค์แรก  เราต้องมาดูหลักฐานกันว่า พระพุทธเจ้าโปรดการใช้เท้าเหยียบเพื่อการรักษาโรคจริงหรือไม่ การแพทย์ดั้งเดิมในอินเดียก่อนกำเนิดพระพุทธศาสนานั้นเป็นการแพทย์ในยุคพระเวทตอนต้น คือ เชื่อว่า โรคเกิดจากภูติผีปีศาจและพิธีกรรมทางไสยศาสตร์  จะมีการท่องคาถาที่มีพลัง รวมทั้งการใช้เครื่องรางของขลังเพื่อขับไล่ภูติผีปีศาจที่ทำให้เจ็บป่วยและป้องกันไม่ให้มารบกวนอีก เมื่อเกิดพระพุทธศาสนาขึ้น ได้มีการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพภายในวัดวาอาราม ทำให้ การแพทย์อายุรเวทของฮินดูที่เป็นการแพทย์แบบไสยศาสตร์-ศาสนา เปลี่ยนมาเป็นการแพทย์แบบประจักษ์นิยมและเหตุผล ซึ่งพัฒนามาจากจากปรัชญาคำสอนของพุทธศาสนา ในพระไตรปิฎก พบหลักฐานสำคัญว่า1) พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้พระภิกษุต้องดูแลพระภิกษุที่อาพาธ โดยตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไม่มีมารดา ไม่มีบิดาผู้คอยพยาบาล ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจะคอยพยาบาลพวกเธอ ภิกษุทั้งหลาย ผู้จะพยาบาลเราก็จงพยาบาลภิกษุไข้เถิด  สงฆ์ต้องพยาบาลภิกษุไข้นั้น ถ้าไม่พยาบาล ต้องอาบัติทุกกฎ”2) พระพุทธเจ้าทรงห้ามภิกษุจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา โดยเฉพาะ การแก้บน ร่ายมนต์ขับผี ปรุงยา ทำการผ่าตัด เป็นหมอตา หมอผ่าตัด หมอรักษาเด็ก เป็นต้น  3) พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้การนวดในหมู่ภิกษุณีทั้งหลาย (ใช้ภิกษุณี สิกขมานา สามเณรี คฤหัสถ์ ให้บีบบ้าง ให้นวดบ้าง ฯลฯ) เป็นอาบัติ ยกเว้นการนวดในภิกษุณีที่อาพาธ  จากหลักฐานต่างๆ แสดงว่า • การแพทย์ในสายพระพุทธศาสนาเป็นการแพทย์ที่มีเหตุมีผล ไม่ใช่การแพทย์แบบไสยศาสตร์ เพราะไม่ใช่หนทางสู่ความจริงแท้และเป็นอิทัปปัจจยตา• พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้พระภิกษุดูแลพระภิกษุที่อาพาธ แต่ไม่ส่งเสริมให้ภิกษุประกอบวิชาชีพที่เป็นแพทย์โดยตรง• พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้การนวดในหมู่ภิกษุณีที่ไม่อาพาธเป็นอาบัติ ดังนั้นการใช้เท้าเหยียบเพื่อความงามจึงเป็นอาบัติพุทธศาสนาได้เปลี่ยนแปลงการแพทย์จากไสยศาสตร์ของฮินดูมาสู่การแพทย์แบบประจักษ์นิยมของพุทธศาสตร์ การอ้างพลังจิตของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะองค์ไหนก็ตาม  จึงเป็นมิจฉาทิฎฐิติดตามฉบับหน้าครับ ว่าการใช้เท้าเหยียบนั้นมาจากการการแพทย์แผนไทยหรือไม่ 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 ข้อควรระวัง:พยานอิเล็กทรอนิกส์

การเปลี่ยนแปลงทางการสื่อสารในยุคดิจิทัล คือยุคแห่งการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสาร จากเดิมที่เราสื่อสารโดยการพึ่งพาภาษาและตัวหนังสือเป็นหลักมาเป็นการสื่อสารด้วยภาษาอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการประมวลผล จนหลายคนมีการตั้งคำถามว่า ถ้าโดนตำรวจยึดมือถือไป มือถือของคุณจะผ่านมือใครบ้างจนกระทั่งถึงศาล? หรือการแอบใส่ข้อมูลใหม่ที่ผิดกฎหมายเข้าไปในอุปกรณ์ของเราเหมือนกับการยัดยาบ้าหรือไม่? ปัจจุบันมีการกำหนดให้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ใช้เป็นพยานหลักฐานได้ในการพิจารณาคดี นอกจากพยานวัตถุ พยานเอกสาร หรือพยานบุคคล และพยานนิติวิทยาศาสตร์ แต่ข้อที่ต้องพิจารณาต่อมาคือ จะต้องมีวิธีการนำสืบและหลักในการรับฟังพยานฯ อย่างไร ผู้ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ควรจะต้องทราบวิธีการเก็บรักษาหรือการได้มาซึ่งพยานอิเล็กทรอนิกส์อย่างไร เหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคอย่างเราๆ ทุกคนควรจะต้องรู้ไว้เบื้องต้นในการรับฟังพยานอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีหลักกฎหมายสำคัญ 3 ประการที่ใช้ในการพิจารณาและสามารถยืนยันความแท้จริงของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ได้ประกอบด้วย1. เนื้อหาของเอกสารไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง2. ข้อมูลในเอกสารเป็นไปตามเจตนาที่แท้จริงของผู้สร้างเอกสารนั้น ทั้งนี้ไม่ว่าผู้สร้างเอกสารจะเป็นมนุษย์หรือคอมพิวเตอร์3. ข้อมูลพิเศษในเอกสาร อันได้แก่ วันเดือนปีที่ถูกสร้าง นั้นถูกต้องพยานอิเล็กทรอนิกส์ที่ดีควรมี 3 ข้อนี้ แต่หากเราถูกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมาย เช่น มีผู้แอบอ้างใช้เฟชบุ๊กของเราเพื่อหลอกลวงผู้อื่น มีคำถามว่า ภาระการพิสูจน์หากเราไม่ได้ทำผิดเป็นหน้าที่ของใครจะต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ กฎหมายยึดหลักที่ว่า หากใครกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ผู้นั้นต้องเป็นผู้พิสูจน์ การที่ผู้ถูกกล่าวหาคือ เราจะกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าเราไม่ได้หลอกลวงใครแต่มีผู้อื่นเข้าไปในเฟชบุ๊กของเราแล้วไปหลอกลวงผู้อื่น ตามหลักเจ้าของเฟชบุ๊กจะต้องพิสูจน์ว่า มีคนลักลอบเข้าไปในเฟชบุ๊กของตน ด้วยวิธีการใด ฟังดูแล้วก็เหนื่อยนะครับ แต่กฎหมายไทยบัญญัติไว้เช่นนี้จริงๆ แม้มันจะแสดงถึงความไม่เสมอภาคในการต่อสู้คดีก็ตามเพราะชาวบ้านอย่างเราคงจะลำบากในการที่จะพิสูจน์ในทางเทคนิค ซึ่งคดีในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะมากหรือน้อยรวมทั้งสมาร์ทโฟนและข้อมูลที่อยู่ในระบบทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องทั้งหมดเพราะสิ่งแรกที่จะต้องตรวจสอบคือ ข้อมูลในเครื่องว่าผิดหรือเกี่ยวข้องกับการทำผิดกฎหมายหรือไม่อย่างไรดังนั้นอุปกรณ์เหล่านี้ถือเป็นหลักฐานในการที่ศาลจะชั่งน้ำหนักพยานอิเล็กทรอนิกส์ ในการที่ลงโทษผู้กระทำผิดแต่ทั้งนี้ ก็ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานต่างๆ ด้วยเช่นกัน เราจึงควรทราบกันก่อนว่าพยานหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์ที่ศาลจะรับฟังนั้นจะต้องมีความน่าเชื่อถือรับฟังได้ในเนื้อหาสาระ โดยเป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ในมาตรา 10 กล่าวคือ ข้อมูลนั้นต้องได้ใช้วิธีการที่เชื่อถือได้ในการเก็บรักษาความถูกต้องของข้อความ ตั้งแต่การสร้างข้อความเสร็จสมบูรณ์และสามารถแสดงข้อความนั้นได้ในภายหลัง โดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใดๆ ของข้อความได้ ทั้งนี้ให้พิจารณาถึงพฤติการณ์อื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงพยานอิเล็กทรอนิกส์จึงไม่เหมือนกับ “การยัดยาบ้า” เนื่องจากคอมพิวเตอร์  เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในระบบความเปลี่ยนแปลงนั้นจะถูกบันทึกไว้ในคุณสมบัติของไฟล์ เช่น ไฟล์ใหม่ที่ใส่เข้ามานี้ถูกนำเข้าเมื่อใด ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ สาระสำคัญพยานอิเล็กทรอนิกส์ต้องมีความเชื่อมโยงกับการกระทำความผิดจึงจะสามารถกล่าวหาเจ้าของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นั้นได้ว่าเป็นผู้กระทำความผิด ฉะนั้นอย่างประมาทให้ใครยืมโทรศัพท์เคลื่อนที่(มือถือ) หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์นะครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นผู้ต้องหาโดยไม่รู้ตัว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว หัวใจฟรุ้งฟริ้ง : ก็เพราะแม่เป็นยิ่งกว่าแมวเก้าชีวิต

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานนิยามศัพท์เอาไว้ว่า “ผู้หญิง” หมายถึง “เพศที่ออกลูกได้” และเพราะภายใต้การกำหนดนิยามว่าเป็น “เพศที่ออกลูกได้” ดังกล่าว ก็ดูเหมือนว่า จะมีระบบวิธีคิดหลายประการที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้น ตั้งแต่ระบบคิดที่ว่า ถึงแม้ผู้หญิงจะ “ออกลูกได้” แต่ก็ต้องอาศัยผู้ชายในการ “ผลิตลูก” ออกมา หรือถ้าผู้หญิงเป็นเพศที่ “ออกลูกได้” แล้ว หน้าที่ทางสังคมของการเลี้ยงดูกุลบุตรกุลธิดาก็จะถูกมอบหมายเอาไว้ให้กับผู้หญิงเป็นลำดับแรก ไปจนถึงระบบคุณค่าที่อธิบายว่า ถ้าจะเป็นผู้หญิงที่ดีและเป็นที่พึงปรารถนาของสังคมแล้วไซร้ ต้องพยายามสรรค์สร้างครอบครัวแบบ “พ่อแม่ลูก” จนเกิดขึ้นเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบให้จงได้ และเพราะคุณค่าความเป็น “ครอบครัวสมบูรณ์แบบพ่อแม่ลูก” ได้ถูกอุปโลกน์เอาไว้เช่นนี้เอง จึงกลายเป็นกรอบที่สังคมไทยใช้กำหนดผู้หญิงเอาไว้ไม่ให้คิดเป็นอื่น นั่นหมายความว่า หากผู้หญิงคนใดที่ริจะหย่าร้างหรือมิอาจประคับประคองชีวิตครอบครัวให้เป็นไปตามมาตรวัดดังกล่าวได้ เธอก็จะถูกตีตราว่าผิดพลาดใน “ความเป็นเพศหญิง” ตามที่สังคมได้ออกแบบไว้ จะมีตัวอย่างก็คือกรณีของ “มุลิลา” (หรือ “มู่ลี่”) ที่ดูจะเป็นตัวแทนของผู้หญิงคนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาท้าทายบรรทัดฐานของสังคมเสียใหม่ว่า แม้แต่สิ่งที่เรียกว่า “ความเป็นแม่” ก็ใช่ว่าสังคมจะเข้ามากำหนดได้เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ 100% เพราะด้วยสองมือของผู้หญิงที่สร้างโลกอยู่นั้น ก็สามารถออกแบบ “ความเป็นแม่” แบบที่เธอมีอำนาจเลือกเองได้เช่นกัน  มุลิลาคือตัวละครผู้หญิงวัย 30 ต้นๆ เป็นนักการตลาดในบริษัทธุรกิจใหญ่แห่งหนึ่ง ที่ดูเหมือนหน้าที่การงานน่าจะรุ่งเรืองก้าวหน้าไปได้อีกไกลเมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาโรมรันพันตู กลับทำให้ชีวิตครอบครัวและชีวิตการงานของเธอต้องเป็นทั้ง “unlucky in love” และ “unlucky in game” ไปพร้อมๆ กัน  เปิดฉากเริ่มเรื่องของละครออกมา มุลิลาที่แต่งงานอยู่กินกับ “พงศ์พิศุทธิ์” และมีลูกชายวัย 5 ขวบคือ “น้องปลื้ม” ต้องเผชิญกับสถานการณ์ปัญหาชีวิตถาโถม เพราะด้านหนึ่งชีวิตแต่งงานก็ไม่มีความสุขนัก ชีวิตครอบครัวที่เธอต้องดูแลงานทุกอยู่ในบ้านแบบ “ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ” ไปจนถึงชีวิตการงานที่เพราะเธอต้องดูแลลูกและครอบครัว จนไม่มีเวลาให้กับภาระงานนอกบ้านได้อย่างเต็มที่ วันเดียวกับที่มุลิลาถูกให้ออกจากงานประจำ เพราะเงินเดือนสูงแต่เวลาทำงานถูกเจียดไปดูแลลูกชายคนเดียว เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอก็เข้ามาเห็นภาพของสามีกำลังฟีเจอริ่งอยู่กับผู้หญิงคนอื่นอยู่ มุลิลาจึงตัดสินใจหย่าร้างกับพงศ์พิศุทธิ์ และก้าวเข้าสู่สถานภาพใหม่ของ “ซิงเกิ้ลมัม” นับจากนั้นเป็นต้นมา แม้ว่าสายตาสังคมจะตำหนิติฉินว่า เธอมีวัตรปฏิบัติเบี่ยงเบนไปจากมาตรวัดบรรทัดฐานที่ผู้หญิงดีๆ พึงกระทำกัน แต่ “คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว” อย่างมุลิลา ก็เห็นว่าเธอยังคงมี “หัวใจฟรุ้งฟริ้ง” แม้จะยืนอยู่นอกขนบที่สังคมพยายามขีดเส้นยัดเยียดเอาไว้ให้ เหมือนกับภาพในฉากต้นเรื่องหลังจากเธอตัดสินใจจะมารับสถานภาพ “คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว” ที่มุลิลาพูดกับตัวเองและหันมาทางกล้องเพื่อพูดกับผู้ชมไปพร้อมๆ กันว่า “ฉันชื่อมุลิลา...มุลิลาแปลว่าแมว” และหาก “แมวมีเก้าชีวิต” การหย่าร้างและลุกขึ้นมายืนหยัดเลี้ยงลูกน้อยด้วยตนเอง ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเธอถึงกับพังพาบสิ้นสุดลงแต่อย่างใด เมื่อต้องมาสวมบทบาทใหม่เป็น “ซิงเกิ้ลมัม” เพราะเป็นบทบาทที่เบี่ยงเบนไปจากจารีตปฏิบัติของสังคม มุลิลาจึงถูกบททดสอบมากมาย เพื่อจะให้เธอตั้งคำถามกับตัวเองว่า จะทนทายาทอยู่เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวได้นานเพียงใด เริ่มต้นจาก “บุปผา” มารดาของมุลิลาเอง ที่แม้จะเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมาก่อน แต่มิไยก็พยายามหน่วงรั้งพูดกรอกหูลูกสาวให้กลับไปคืนดีกับสามีตลอดเวลา หรือ “บริสุทธิ์” อดีตแม่สามีที่วางแผนทุกทางเพื่อช่วงชิงน้องปลื้มกลับมาอยู่ในความดูแลของพงศ์พิศุทธิ์ บททดสอบถัดมา เมื่อต้องเลี้ยงดูลูกน้อยเพียงลำพัง เงื่อนไขทางเศรษฐกิจก็บีบให้คุณแม่ต้องออกทำงาน และมาเผชิญกับความอิจฉาริษยาของเพื่อนร่วมงานใหม่ ไม่ว่าจะเป็น “ตรีดาว” “พราวฟ้า” “รักชนก” และ “แพตตี้” ที่ร่วมกันใช้เหตุผลความเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเพื่อขจัดมุลิลาออกไปจากสนามแข่งขันในที่ทำงาน แต่อย่างไรก็ดี บททดสอบสุดท้าทายของคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวก็คงหนีไม่พ้นการเข้ามาของผู้ชายหลายคนในชีวิตของมุลิลา นอกจากพงศ์พิศุทธิ์สามีเก่าที่ปรารถนาจะกลับมาใช้ชีวิตคู่กันอีกครั้งแล้ว ยังมี “ชิษณุ” ซีอีโอหนุ่มใหญ่เจ้าของบริษัทที่เธอทำงานอยู่ กับ “อัศวิน” ชายหนุ่มรุ่นกะเตาะลูกชายเจ้าของร้านซาลาเปา ที่ดูจะเข้ากันได้ดีกับน้องปลื้มลูกชายของเธอ ชายคนแรกที่อายุเสมอกันคือคนที่เลิกร้างไป ชายคนที่สองอายุมากกว่าแต่ก็มีสถานะเป็นเจ้านายของเธอ และชายคนสุดท้ายที่อายุน้อยกว่าแต่ก็ริมาหลงรักคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวรุ่นพี่ สามตัวเลือกของชายที่ต่างวัยกันได้กลายมาเป็นข้อสอบปรนัยให้มุลิลาเลือกตัดสินใจว่า จะกากบาทไปที่คำตอบข้อใดกัน เพราะเชื่อมั่นว่าผู้หญิงมีศักยภาพที่จะเป็นยิ่งกว่า “แมวเก้าชีวิต” เมื่อมุลิลาพบว่า ภาระงานและปัญหารุมเร้าจากตัวเลือกผู้ชายทั้งสามคน ได้บั่นทอนเวลาที่เธอจะมีให้ลูกน้อยมากเกินไป ในที่สุด มุลิลาก็ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาทำกิจการเล็กๆ ส่วนตัว ควบคู่ไปกับการยืนหยัดในบทบาท “คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว” ด้วย “หัวใจฟรุ้งฟริ้ง” ต่อไป และที่สำคัญ ในท่ามกลางปัญหาที่คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวต้องเผชิญอยู่นั้น ละครได้ชี้ให้เห็นอีกด้านของความหวังด้วยว่า สำหรับผู้หญิงแล้ว “you will never walk alone” ด้วยเหตุนี้ มุลิลาจึงมีบรรดาเพื่อนๆ ทั้งเพื่อนผู้หญิงอย่าง “ต้องตา” เพื่อนผู้ชายอย่าง “พี่ยักษ์” และเพื่อนเพศที่สามอย่าง “ดอลลี่” ที่คอยเป็นกำลังใจและเป็นกองหนุนอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา สำหรับบรรดา “ซิงเกิ้ลมัม” ทั้งหลายนั้น กฎเกณฑ์ของสังคมอาจมิใช่กฎของธรรมชาติที่แปรเปลี่ยนไม่ได้ ตราบใดที่ผู้หญิงยังมีตัวเลือก ยังรู้จักคิดที่จะเลือก และตัดสินใจลงมือเลือกได้ตามที่ต้องการ ตราบนั้น แม้ผู้หญิงจะเลือกยืนอยู่นอกอาณัติของกฎสังคม แต่ก็เป็นการเลือกยืนอยู่ได้ด้วย “หัวใจฟรุ้งฟริ้ง” นั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 นพ.พูลชัย จิตอนันตวิทยา เมื่อ “วิถีเธอ” สู่วิถีของสังคมที่ยั่งยืน

ใครเดินทางผ่านบริเวณใต้ทางด่วนแยกสามเหลี่ยมดินแดง คงเคยเห็น”คลินิกทางด่วนเพื่อชุมชน บ้านกึ่งวิถี SHE ( เธอ)” ซึ่งที่นี่คือจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมการนวดดัดจัดสรีระ สูตรเร่งรัด  10 นาที “เจ็บแต่จบ” หายเมื่อยล้าในเวลารวบรัด และฉลาดซื้อจะพาทุกท่าน ไปพูดคุยกับ นพ.พูลชัย จิตอนันตวิทยา ประธานฝ่ายการแพทย์วิสาหกิจสุขภาพชุมชน แพทย์ด้านโรคหัวใจ ผู้ก่อตั้งบ้านกึ่งวิถี SHE ( เธอ) และวิสาหกิจสุขภาพชุมชนแห่งแรกของประเทศ บ้านวิถีเธอเกิดขึ้นได้อย่างไรเดิมผมเป็นคุณหมออยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข ทำงานเรื่องหลักประกันสุขภาพ ที่ สปสช. แต่ลาออกจาก สปสช. มานานแล้ว ในระยะ 10 ปีหลังนี้ ผมพบว่ามีคนไข้ที่ยังหนุ่มสาวไปพบผมด้วยความที่สงสัยว่าตัวเองจะเป็นโรคหัวใจ อาการที่มามีทั้งความดันสูง ปวดหัวเรื้อรัง กลางคืนนอนหลับไม่สนิท ปัสสาวะบ่อย ชาตามมือ แขนขา ก็สงสัยไปว่าตัวเองจะเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์หรือเปล่า ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้บางคนก็ออกกำลังกายประจำ แต่ที่สังเกตคือ ส่วนใหญ่เลยเป็นคนที่ทำงานออฟฟิศหรือเป็นคนที่ขับรถนานๆ ตอนนั้นผมก็รักษาแบบหมอทั่วไป ให้ยาคลายกล้ามเนื้อ ให้ยาลดความดัน มันก็ดูจะคุมตัวเลขความดันได้แต่มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าเขามีความสุข เมื่อพูดคุยผมถึงเห็นว่า สาเหตุแท้จริงอาการต่างๆ น่าจะมาจากการทำงาน  คุณเคยกินยาแล้วรู้สึกง่วงๆ ทั้งวันไหม หรือทั้งๆ ที่ตัวเองจะต้องขับรถ มันจะรู้สึกเพลีย อาการพวกนี้ เกิดจากความเครียด เพราะเวลาเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่เอาไว้จัดการกับความเครียด ฮอร์โมนเหล่านี้จะทำให้ร่างกายเราสะสมพลังงานไว้ หัวใจจึงเต้นเร็ว ความดันเพิ่มสูงขึ้น กล้ามเนื้อตึงพร้อมที่จะกระโจนออกไปแต่มันไม่กระโจนไปไหนไง มันนั่งอยู่เฉยๆ อยู่กับที่ ผลก็คือกล้ามเนื้อมันแข็งอย่างต่อเนื่อง เมื่อมันแข็งอย่างต่อเนื่อง เช่น กล้ามเนื้อหน้าอกที่เวลาเรานั่งพิมพ์คีย์บอร์ดแล้วห่อไหล่เข้ามา การห่อไหล่ทำให้กล้ามเนื้อดึงกล้ามเนื้อที่สะบัก กล้ามเนื้อบ่า สะบักก็ต้องพยายามยึดดึงกลับ ผลก็คือหน้าดึงเข้า หลังก็พยายามดึงกลับ ทั้งสองอันสู้แรงกันเองโดยที่ไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนเลย ดังนั้นแม้คนไข้ที่ได้ยาแล้วมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขนั้น ก็เพราะกล้ามเนื้อมันตึงแข็งไปหมดทั้งตัว ให้ก้มแตะพื้นยังไม่ได้เลย ห่างจากพื้นเป็นฟุตเลย พอผมเห็นแบบนี้ในฐานะที่เราเป็นหมอเลยมองว่า เราจะไม่ใช้ยานะ จึงปรับเปลี่ยนหันมารักษาด้วยการคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งก็ลงตัวที่การนวด กดจุด และแนะนำการจัดท่าทางการทำงานให้ถูกต้อง   เทคนิกของที่นี่คือ  ปลดปล่อยคำสั่งจากสมองโดยการกดที่จุดที่ผมได้แสดงไว้ที่ซอฟแวร์ที่เรียกว่า Trigger point หรือถ้าหากว่าจะใช้คำโดยทั่วไปจะใช้คำว่า ตะคริวจิ๋วๆ มันอยู่ในกล้ามเนื้อที่คอ ถ้าตะคริวใหญ่ๆ มันจะอยู่ที่น่องเป็นลูกๆ  เคยไหม? ตอนที่เรากำลังใกล้จะตื่นนอนอยู่ดีๆ เราฝันอะไรก็ไม่รู้แล้วเราเหยียดขาหรือพลิกตัว จะมีอาการแบบน่องมันเกร็ง ปวด แล้วเราจะสะดุ้งตื่นด้วยความปวดนั้น กล้ามเนื้อน่องจะขึ้นเป็นลูกเลย สิ่งนั้นเรียกว่า ตะคริว ซึ่งมันเกิดขึ้นจากคำสั่งของสมอง เราจึงต้องหากลไกหรือวิธีการบอกให้สมองสั่งให้มัน(กล้ามเนื้อ)ปล่อย เมื่อสักครู่ผมลองกดที่น่องคุณ นั่นเป็นวิธีการหนึ่งที่บอกให้สมองมันปล่อย เพราะสมองเวลามันโดนกดในจุดที่ใช่ แล้วมันเจ็บมากๆ มันจะบอกว่าไม่ได้แล้วนะ กล้ามเนื้อต้องคลายตัวไม่อย่างนั้นจะบาดเจ็บได้ ต้องใช้แรงกดเยอะไหมคะและแต่ละครั้งใช้เวลานานไหม  ถามว่าแรงที่กดเยอะไหมคือไม่เยอะ แต่ว่ามันเป็นจุดพิเศษ จุดที่กระตุ้นลงไปปุ๊บ สมองจะบอกว่าวิกฤติแล้วต้องเปลี่ยนคำสั่งมาที่กล้ามเนื้อให้กล้ามเนื้อคลาย แล้วเวลาสมองสั่งมามันไม่ได้สั่งเฉพาะกล้ามเนื้อน่อง มันสั่งตั้งแต่กล้ามเนื้อต้นขาลงไปเลย ตรงไหนที่ตอนกดแล้วมันเจ็บ มันร้าวระบม มันจะส่งคำสั่งทั้งชุดเหล่านั้นไปที่สมองและสมองก็เปลี่ยนคำสั่งทั้งชุดลงมาที่ขาทั้งข้าง จึงทำให้เราสามารถทำให้แขนขาโล่งได้ใน 10 นาที ตอนแรกหมอก็พัฒนาการนวดเหลือ 1 ชม. จากเมื่อก่อนทั่วไป 2 ชม. แต่หมอก็พยายามลดเวลาเพราะคนเราไม่ค่อยมีเวลาใช่ไหม จึงทำให้มันเหลือ 1 ชม. ก็ยังเจอว่า คนก็ยังไม่มีเวลาอีก  มีการต่อรองขอครึ่งชั่วโมง เพราะมีคนถามว่า เอาวิธีการของคุณหมอเข้าไปในออฟฟิศในโรงงานเขาได้ไหม แต่ถ้าต้องนวด 1 ชม. เจ้านายคงไม่ยอมเพราะเจ้านายจะรู้สึกว่าอู้งานไปนวดตั้ง 1 ชม. เราก็เลยบอกว่า เราไม่ใช่การนวดแต่เราเป็นการ Human maintenance เราก็ทำออกมาเหลือ 20 นาที ซึ่งก็เป็นที่ชื่นชมมากเหมือนว่าคุณหมอจะลดเวลาลงมาอีกให้เหลือ 10 นาที แล้วจะได้ผลจริงไหม เราเคยเข้าไปโรงงานขนาด 1,000 คน พอแต่ละคนใช้เวลา 20 นาที วันหนึ่งจะให้บริการได้แค่ 20 คน ถ้าเรา(ผู้ให้บริการ) ไป 5 คนก็ได้วันละ 100 คน ถ้าจะให้ครบเราต้องไปถึง 10 วัน บริษัทเขาก็รู้สึกว่า จัดมหกรรมสุขภาพ 10 วันมันนานเกิน เราก็เลยลดเวลาลงมาเหลือ 10 นาที พอ 10 นาทีก็เหลือแค่ 5 วัน อาทิตย์หนึ่งได้พอดี 1,000 คน นี่คือการเรียกร้องของผู้บริโภคทำให้หมอต้องใช้สมองให้มากขึ้น กลั่นกรองให้ชัดเจนว่ากล้ามเนื้อชุดไหนบ้าง ที่เป็นต้นเหตุหลักของความตึง ของความเครียดในร่างกายของคนที่ทำงานแล้วตึงเครียด การลดเวลาบำบัดลงมาเหลือ 10 นาทีได้นั้น เป้าหมายของเราอย่างหนึ่งก็คือ เพื่อคนใช้บริการจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนชุด เราเองก็ไม่ต้องเสียน้ำซักชุดอีก และก็คิดราคาให้ประหยัดลง ทีนี้พอได้แบบนี้แล้ว เราเชื่อว่าทำให้เรามีลูกค้าจำนวนมากขึ้นแล้วผู้ให้บริการจะเพียงพอกับความต้องการของลูกค้าไหม หมอจะเอาคนให้บริการมาจากไหน  นี่แหละคือที่เป็นจุดเด่นของสถานที่แห่งนี้  คือมีอยู่ปีหนึ่งที่ผมเคยเข้าไปตรวจสุขภาพในเรือนจำ   แล้วพบว่า มีนักโทษหญิงอยู่ในนั้นเยอะมากๆ เฉพาะที่ธัญบุรีมีอยู่ 2,000 กว่าคน ถ้าเป็นเรือนจำหญิงกลางมีอยู่ 5,000 กว่าคน ทั้งประเทศเรามีผู้ต้องขังหญิงอยู่ 40,000 กว่าคน ผมจึงมีความคิดว่า แล้วทำไมเราไม่เอาคนเหล่านี้มาทำงานเพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งกับตัวเองและคนอื่น แต่ถ้าเป็นการไปให้บริการในที่ที่มันลึกลับซับซ้อนกั้นเป็นห้อง คนเหล่านี้อาจจะไม่เหมาะ เพราะคนที่ไปรับบริการก็อาจจะหวาดกลัว เพราะว่าบางคนก็มีรอยสักเต็มตัวเลย แต่ถ้าหากว่าบริการกลางแจ้งแค่ 10 นาทีตามวิธีของเรา ก็น่าจะได้ เราก็เลยไปสอนอาชีพให้กับผู้ต้องโทษตั้งแต่เขายังอยู่ในเรือนจำ พอเขาออกมาแล้วเราก็รับเขามาเป็นพนักงานของเรา  และจ้างเขาในอัตราเหมือนคนทั่วไปเลย ทุกคนโอเคไหมคะรวมถึงผู้รับบริการด้วย ผมคิดมากกว่าการจ้างงานนะ  คือพิเศษกว่าเรื่องค่าแรง เรามีบ้านให้อยู่ด้วย เราจัดที่พักพิงให้เพราะว่า หลายคนนั้นถ้าเขากลับไปบ้านของเขาเอง สภาพแวดล้อมที่บ้าน เพื่อนข้างบ้านที่ไม่ดีก็จะมาลากเอากลับไปให้เขาอยู่ในวงจรเดิม เมื่อเป็นแบบนี้พบว่า พวกเขามีความสุขมากเลย พ่อแม่เขาก็มีความสุขเพราะถ้าลูกเขากลับบ้านทีไรมีเรื่องทุกที เราจึงเรียกที่นี่ว่า บ้านกึ่งวิถี คุณออกมาจากเรือนจำคุณไม่มีอนาคตมาพักที่นี่ เรามีอาชีพที่ดีให้ ส่วนคนที่มารับบริการ  เคยนะพอบำบัดให้เสร็จแล้วยังจะยกมือไหว้ขอบใจเลย บอกว่ามันโล่งจริงๆ ความรู้สึกแบบนี้คือ ความสุข สิ่งที่มันเกิดขึ้นในสังคมไทย คือคนของเราให้บริการเสร็จคนส่วนใหญ่ก็ลุกมาขอบใจนะ บางคนก็ยกมือไหว้ คุณลองนึกถึงคนที่เมื่อก่อนเราอาจจะเรียกพวกเขาว่า คนขี้คุก การเรียกแบบนั้น ทำให้เขารู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนที่ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีคุณค่าอะไร ในชีวิตมีแต่เสียงด่าทอจากคนรอบข้าง แต่พอมีคนมายกมือไหว้ บอกขอบคุณ สิ่งเหล่านี้มันช่วยยกระดับคุณค่าจิตใจของเขาขึ้นมา ใครจะไปอยากทำไม่ดีอีก ในเมื่อสิ่งนี้ให้ความสุขกับพวกเขา  ตอนนี้เราก็มีอยู่ประมาณ 40 คนที่ทำงานกับเรา และยังมีอีกเป็นร้อยคนที่เราฝึกเขา แต่เขาไม่สะดวกที่จะมาอยู่ที่นี่ เขาก็อาจจะย้ายไปอยู่อีกที่หนึ่งแล้วเอาวิชานี้ไปหากินด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสัมมาชีพ เป็นอาชีพที่ลงทุนน้อยมากแต่ต้องบริการด้วยใจที่ดี บริการที่ดีมันจะหล่อหลอมให้เขาเป็นคนที่จิตใจดีตอนนี้ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นพวกพนักงานบริษัทใช่ไหมคะ ครับ ส่วนหนึ่งก็เกิดขึ้นจากผู้บริหารของบริษัทเลยนะ ที่อยากเพิ่มประสิทธิภาพคนทำงาน ตอนปี 2016 องค์กรนานาชาติหรือ ILO-International Labour Organization ได้ออกรณรงค์ในวันความปลอดภัยของแรงงานทั่วโลกว่า วิกฤติจากความเครียดในที่ทำงาน หรือ Workplace Stress ทำให้เกิดโรคตามมาเยอะแยะทั้งความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วน ซึมเศร้า โรควิตกกังวล ติดสุรา ติดบุหรี่ ส่วนใหญ่มาจากความเครียด อย่างวันนี้พวกเราก็ไปกันที่ สาทรสแควร์ ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนได้รับการแนะนำจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาทำสิ่งที่เรียกว่า Human maintenance service เพื่อให้พนักงานคลายเครียด ซึ่งจะมีผลกับการทำงาน ได้งานดีขึ้น และยังจะได้สิ่งที่เรียกว่า CSR in Process ด้วย  ยกตัวอย่างวันนี้ ที่ทีมเราไปตั้งบูธ แล้วที่ตึกนั้นก็ให้คนมาลงทะเบียนขอรับบริการ Human maintenance service ฟรี เชื่อไหมแค่ 2 วันเท่านั้น ลือกันทั้งตึกว่า ตั้งแต่จัดกิจกรรมมากิจกรรมนี้ดีที่สุดตั้งแต่เคยจัดมา พนักงานชอบมาก มันคุ้ม คุ้มกับการที่เอาความโล่งสบายมาให้ ดีกว่าเลี้ยงอาหารอีก อย่างที่สอง CSR in Process บริษัทฯ ต่างๆ ก็ตระหนักรู้ได้ว่า การที่เขาช่วยให้คนที่เคยก้าวพลาดมีงานทำที่ดีแบบนี้นั้น มันทำให้ช่วยสังคมข้างนอกให้ลดปัญหายาเสพติดลงไปได้ด้วย(ส่วนใหญ่เคยต้องคดียาเสพติด) จำนวนคนที่คิดดี ทำดี กลายเป็นคนดีก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี สิ่งนี้ดีมากๆ คุณหมอเชื่อมั่นว่าทุกคนจะไม่กลับไปสู่วิถีชีวิตเดิมๆ คุณรู้ไหม คนที่เคยอบรมกับผม เมื่อออกมาเขาจะกลับไปทำ 2 เรื่อง คือขอไปเป็นครูสอนในเรือนจำ โดยเอาประสบการณ์นี้ไปเล่าให้คนที่ยังไม่เคยรู้ว่า มันมีสังคมให้โอกาสพวกเขาอย่างไร เราออกรายการเดินหน้าประเทศไทย ลองไปดูคลิปวันที่ 14 สิงหาคม 60 มีน้องๆ 3 คนที่เล่าว่าชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงอย่างไรกับการที่เขาได้โอกาสนี้จากสังคม ได้โอกาสจากการที่วิสาหกิจสุขภาพชุมชน ที่จัดการเพื่อสังคมเข้าไปช่วยเขา และถ้าหากมองภาพใหญ่ให้ออกสิ่งที่หมอทำนั้นเป็นเรื่องใหม่ หมอทำเหมือนที่พ่อสอน ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทำให้เราดูแล้วว่าพระองค์เห็นปัญหาภูเขาถูกรุกปลูกฝิ่น แทนที่จะไปจับเขา ก็ให้โอกาสกับให้อาชีพสุจริตแทน กลุ่มอดีตผู้ต้องโทษหญิงนี้เราก็เอาอาชีพที่ดีไปแก้ไขปัญหายาเสพติดเช่นเดียวกัน จะมีการสอนการนวดตัวเองสำหรับให้คนที่ทำงานแล้วเครียดดูแลตัวเองเป็นบ้างไหมตอนนี้เราเริ่มทำกับสำนักงานประกันสังคม แต่พบว่า จริงๆ มันดูเหมือนง่ายนะ แต่ท่าจุดบำบัดของเรานั้นมันต้องการการฝึกฝน ต้องมีความแข็งแรงของร่างกายมาก เมื่อกี้เห็นไหมตอนที่ผมยืดหลังรู้สึกไหมว่าคุณหมอต้องแข็งแรงมากๆ เลยถึงยืดหลังได้ ดังนั้นการเลียนแบบเลียนท่าได้บางท่า แต่เลียนผลคงได้ยาก เพราะฉะนั้นให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็นอาชีพของคนด้อยโอกาสในสังคมดีกว่า แต่ผมอยากจะแนะนำเรื่องหนึ่งที่คิดว่า ช่วยได้มาก คือการเลือกเก้าอี้นั่งทำงานและท่าทางการนั่งทำงานจริงๆ แล้วท่าที่ดีในการใช้คีย์บอร์ด ก็คือท่าที่วางมือไว้เป็นปกติ แขน 90 องศา มือก็ไม่ควรที่จะหักมือ นั่งให้พอดี วางแขนให้พอดี คอมพิวเตอร์อยู่ระดับสายตา ไม่ใช่พิมพ์แล้วชะโงกหน้าไป คุณลองชะโงกหน้าไปคุณจะรู้เลยว่าคอมันตึง แต่ถ้านั่งปกติ แขนวางปกติสามารถเห็นงานที่หน้าจอได้ เก้าอี้ที่ดีปัจจุบันผมแนะนำเลยว่า เลิกเอาเก้าอี้มีล้อมาใช้ เก้าอี้ที่เป็นเก้าอี้ทรงแข็งมีเบาะรองบางๆ ก็พอ ไม่ต้องให้เอนหลังได้ ยิ่งเอนได้เราก็จะเลื้อย พอเลื้อยก็ต้องเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องแล้วก็ชะโงกไหล่ไป ผลักทั้งตัวล้อมันก็เลื่อน เราก็ต้องคอยพยุงล้อไว้ ดังนั้นสังเกตว่าหมอ นั่งเก้าอี้ที่ขาเป็นแบบนี้(ไม่มีล้อ) ความรู้สึกมันนั่งได้สบาย มั่นคง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 มาตรการเพื่อลดความเสี่ยงจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากอุปกรณ์การสื่อสาร

การใช้มือถือ สมาร์ตโฟน และแทบเบล็ต ซึ่งเป็นอุปกรณ์การสื่อสารของผู้คนในยุคนี้ แม้จะทำให้มีความสะดวกสบาย และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมก็ตาม แต่ประเด็นเรื่องความเสี่ยงต่อสุขภาพก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ และยังหาข้อสรุปทางวิชาการไม่ได้ ในฐานะผู้บริโภคที่มีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์การสื่อสาร จึงควรมีมาตรการในการลดอัตราการรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(Specific Adsorption Rate: SAR) เพื่อป้องกันตัวตัวเองจากความเสี่ยงดังกล่าวตรวจสอบค่า SAR จากอุปกรณ์การสื่อสารของเราตามข้อแนะนำจากอียู ควรเลือกซื้อเลือกใช้อุปกรณ์สื่อสารที่มีค่า SAR ไม่เกิน 2 วัตต์ต่อกิโลกรัม (น้ำหนักตัวมนุษย์) กรณีของหน่วยงานภาครัฐเยอรมนีที่กำกับดูแลเรื่องนี้ คือ Bundesamt fÜr Strahlenschutz (The federal office for radiation protection) ได้เผยแพร่ฐานข้อมูลให้กับประชาชนทั่วไป ได้ทราบถึงค่า SAR ของ อุปกรณ์สื่อสารกว่า 2800 รุ่น ซึ่งเราสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ตามเว็บไซต์ นี้ http://www.bfs.de/SiteGlobals/Forms/Suche/BfS/EN/SARsuche_Formular.htmlนอกจากนี้ มีเพียงมือถือเพียงรุ่นเดียวเท่านั้น ที่ได้รับผลิตภัณฑ์ฉลากฟ้า (Blauer Engel) ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพราะมีค่า SAR ต่ำมาก (ยี่ห้อ Fairphone 2)ใช้และพกพาอุปกรณ์สื่อสารเท่าที่จำเป็นหลักการนี้คือ ระยะห่างระหว่างอุปกรณ์สื่อสารและร่างกายมนุษย์ยิ่งห่างยิ่งมีความเสี่ยงน้อย ถ้าเพิ่มระยะห่างเป็น 2 เท่า อัตราการดูดซับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะลดลงถึง 4 เท่า ดังนั้น ไม่ควรพกพาอุปกรณ์การสื่อสารไว้ในห้องนอน และการใช้งานอุปกรณ์การสื่อสาร ก็ใช้เท่าที่จำเป็น และควรใช้อุปกรณ์สื่อสารบริเวณที่มีสัญญาณดี เพราะจะส่งคลื่นออกมาน้อยกว่าบริเวณที่สัญญาณไม่ดีมาตรการการเฝ้าระวังเป็นเรื่องจำเป็นรูปแสดงผลการวัดค่า SAR ของโทรศัพท์มือถือรุ่นต่างๆ ในปี 2008 ของ องค์กรภาคประชาสังคม เยอรมนี Stiftungwarentestนอกเหนือจากการทำงานด้านเฝ้าระวังของภาครัฐแล้ว ในประเด็นการเฝ้าระวังผลกระทบจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากอุปการณ์สื่อสารของภาคประชาสังคมก็เป็นเรื่องที่จำเป็น กรณีของเยอรมนีที่บทบาทของภาคประชาสังคมที่มีความเข้มแข็งทั้งทางด้านการเมือง ทางวิชาการ และการได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ ได้ตรวจติดตาม การปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของอุปกรณ์การสื่อสารเป็นระยะๆ ตัวอย่างคือ การแสดงผลของค่า SAR ที่ได้จากการทดสอบทั้งการทดสอบที่ออกแบบขึ้นเอง ในปี 2008 ภายใต้การดูแลของนักวิชาการ ได้ทำให้ข้อกังวลของประชาชนในเรื่องนี้ ลดลงไป แต่อย่างไรก็ตามนักวิชาการทางด้านสุขภาพ และภาคประชาสังคม ก็ติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิดและสื่อสารกับสังคมอย่างสม่ำเสมอ(แหล่งข้อมูล: วารสาร Test ฉบับที่ 8/2017)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 ไฟโตสเตอรอล

ไฟโตสเตอรอล (phytosterol น่าจะออกเสียงว่า ไฟ-โต-สะ-เตีย-รอล) เป็นพฤกษเคมีที่เข้ามาสู่วิถีชีวิตของผู้บริโภคหลายท่าน ที่ปรับตัวให้เข้ากับความเป็นอยู่แบบไทยแลนด์ 4.0 โดยใช้บางช่วงของชีวิตล่องลอยไปกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต จนทำให้กลายเป็นคนลดพฤติกรรมสร้างเสริมสุขภาพ เกิดโรคเนื่องจากความเสื่อมของร่างกายเร็วกว่าที่ควรเป็น เช่น มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูง มีข้อมูลบอกกล่าวในเว็บที่โฆษณาขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งมีไฟโตสเตอรอลเป็นองค์ประกอบว่า ราว 50 ปีมาแล้ว ชาวฟินแลนด์เคยมีปัญหาโคเลสเตอรอลในเลือดสูงมาก่อน จนทำให้คนวัยทำงานเสียชีวิตสูงที่สุดในโลก ด้วยโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด รัฐบาลฟินแลนด์และเอกชนได้ระดมนักวิจัยมาคิดหาสิ่งที่ช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด จนปี 1972 นักวิจัยก็ประสบความสำเร็จค้นพบว่า ไฟโตสเตอรอล มีผลในการลดโคเลสเตอรอลในเลือดของชาวฟินแลนด์ ส่งผลให้ภายใน 5 ปีหลังจากนั้น อัตราการตายเนื่องจากโรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดของชาวฟินแลนด์ในวัยทำงาน ลดลงถึงร้อยละ 70 ซึ่งทำให้องค์การอนามัยโลกจัดอันดับคุณภาพชีวิตของชาวฟินแลนด์ว่า ดีเป็นที่ 11 ของโลกผู้เขียนได้ข้อสังเกตหนึ่งจากการเข้าไปดูเว็บขายผลิตภัณฑ์ที่มีไฟโตสเตอรอลเป็นองค์ประกอบ คือ ชนิดของพฤกษเคมีที่อยู่ในโฆษณาในบ้านเรานั้นมักเป็น แพลนท์สตานอล (แต่ในต่างประเทศนั้นมีแพลนท์สเตอรอลด้วย) จึงฉุกใจว่า ชื่อต่างๆ ของพฤกษเคมีกลุ่มนี้ น่าจะมีความหมายในส่วนลึก ใช่แต่ว่าจะพูดแค่ ไฟโตสเตอรอล เท่านั้นอะไรคือ ไฟโตสเตอรอลคำว่า สเตอรอล นั้นเป็นชื่อของกลุ่มสารเคมี(ที่เป็นอนุพันธ์แอลกอฮอล์ของสารกลุ่มที่เรียกว่า steroid ซึ่งน่าจะออกเสียงว่า ส-เตีย-รอยด์) มีองค์ประกอบค่อนข้างซับซ้อนแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ซึ่งเมื่อนักวิทยาศาสตร์ที่สนในเรื่องนี้เห็นสูตรโครงสร้างแล้วควรจำได้ทันที สเตอรอลที่เรารู้จักดีมากๆ คือ โคเลสเตอรอล ส่วนในกรณีของ ไฟโตสเตอรอล นั้นมีความหมายว่าเป็น สเตอรอลที่ถูกสร้างขึ้นในพืช ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อยคือ แพลนท์สเตอรอล (plant sterol) และแพลนท์สตานอล (plant stanol) ซึ่งอาจเรียกสั้น ๆ ว่า สเตอรอลและสตานอล ตามลำดับ สำหรับสูตรโครงสร้างทางเคมีของสารทั้งสองนั้น มีความต่างกันเล็กน้อยแต่มีผลต่างกันทางชีวเคมีพอควรไฟโตสเตอรอลทั้งสองกลุ่มนั้น ขณะผ่านเซลล์ลำไส้เล็กเพื่อเข้าสู่กระแสเลือด ส่วนใหญ่ถูกระบบชีวเคมีของเซลล์ขับสารกลุ่มนี้กลับออกไปสู่ลำไส้เล็ก จึงมีเพียงส่วนน้อยที่เข้ากระแสเลือด กลุ่มนักวิจัยอเมริกันกล่าวว่า อาหารที่มีปริมาณไฟโตสเตอรอลและโคเลสเตอรอลใกล้เคียงกันนั้น มีเพียงร้อยละ 5 ของแพลนท์สเตอรอลและร้อยละ 0.5 ของแพลนท์สตานอล เท่านั้น ที่ผ่านเข้าสู่กระแสเลือดของเรา เมื่อเทียบกับโคเลสเตอรอลจากอาหารที่ผ่านเข้าสู่กระแสเลือดถึงร้อยละ 50แพทย์คนหนึ่งในอินเทอร์เน็ตตั้งข้อสังเกตว่า แพลนท์สเตรอลส่วนที่เข้าสู่ระบบโลหิตได้นั้น อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อร่างกายได้ถ้ามีมากไป ทั้งนี้เพราะสารนี้มีสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกับโคเลสเตอรอล ดังนั้นเมื่อมีปริมาณในเลือดมากก็อาจเกาะผนังหลอดเลือดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ประเด็นข้อสังเกตนี้เป็นที่สนใจอย่างยิ่งของนักวิจัยที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้ ในขณะที่แพลนท์สตานอลนั้นยังไม่มีข้อมูลที่เป็นสัญญานบ่งว่าก่อปัญหาดังกล่าวไฟโตสเตอรอลที่ขายในตลาดส่วนใหญ่ ได้จากการแยกออกมาจากน้ำมันพืชระหว่างการปรับสภาพให้น้ำมันพืชดูใสขึ้น สารที่แยกได้เหล่านี้ถูกขายให้กับโรงงานผลิตอาหาร เพื่อใช้เสริมให้อาหารนั้นดูดีขึ้นในลักษณะที่อาจเรียกว่า อาหารวัตถุประสงค์พิเศษ หรือใช้ผลิตเป็น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม โดยตรง เพื่อขายแก่ผู้ที่หวังว่า สารเคมีธรรมชาตินี้น่าจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดซึ่งสูงผิดปรกติการยับยั้งการดูดซึมโคเลสเตอรอลในลำไส้เล็กเกิดเนื่องจาก ไฟโตสเตอรอลสามารถเข้าไปแย่งที่โคเลสเตอรอลในส่วนที่เป็นไขมันของ ไมเซลส์ (micelles คือ ของผสมของสิ่งที่ได้จากอาหารที่กินเข้าไปแล้วไม่ละลายน้ำผสมกับน้ำดีที่ส่งมาจากถุงน้ำดี) ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่ไขมันถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เล็ก ส่งผลให้โคเลสเตอรอลจากอาหารที่ไม่ถูกรวมเข้าไปในไมเซลส์ต้องออกจากร่างกายไปพร้อมกับอุจจาระอาหารที่มีสเตอรอลและสตานอลสูงคือ ถั่วและพืชน้ำมันอื่นๆ (เช่น งา เมล็ดฝ้าย มะกอกฝรั่ง) ธัญพืชที่ไม่ขัดสีรวมทั้งผลิตภัณฑ์จากธัญพืช ผักหลายชนิดและผลไม้(เช่น กล้วย ส้ม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่)ปริมาณไฟโตสเตอรอลจากอาหารธรรมดานั้น อาจเพียงพอกับความต้องการของคนธรรมดาที่ กินอาหารอย่างระวังแหล่งของโคเลสเตอรอล แต่สำหรับคนที่กินไม่เลือกหรือมีปัญหาโคเลสเตอรอลในเลือดสูงเองตามพันธุกรรมนั้น แค่อาหารธรรมดานั้นอาจไม่พอในการช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มองเห็นโอกาสรวย จึงนำเอาพฤกษเคมีที่ถูกสกัดออกออกจากน้ำมันมันพืชมาเติมลงในอาหารบางชนิดที่เหมาะสม เช่น เนยเทียม มายองเนส โยเกิร์ต น้ำส้มคั้น ขนมอบกรอบหรือเป็นผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยตรงการยอมรับถึงประโยชน์และความปลอดภัยที่สามารถใช้อ้างบนฉลากของผลิตภัณฑ์ที่มีการเติมไฟโตสเตอรอลเป็นองค์ประกอบนั้น Wikipedia ได้กล่าวถึงหลักเกณฑ์ที่ถูกกำหนดโดยองค์กรสำคัญๆ เช่น EFSA (The European Foods Safety Authority) ของสหภาพยุโรปที่ดูแลเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (US.FDA) และกระทรวงสาธารณสุขของแคนาดา สำหรับรายละเอียดนั้นท่านผู้อ่านสามารถเข้าไปอ่านหาความรู้ได้ด้วยตนเองอ่านมาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงพอเข้าใจว่า บทความนี้เขียนเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่า เมื่อท่านมีระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงแล้ว อาจมีแพทย์บางคนแนะนำให้ท่านกินผลิตภัณฑ์ดังกล่าว แทนยากลุ่ม สแตติน (เพื่อเลี่ยงผลข้างเคียงของยา) แต่ท่านก็มีสิทธิเลือกทางอื่นเพิ่มได้ ด้วยข้อมูลดังต่อไปนี้ปรกติแล้วร่างกายเราผลิตน้ำดีที่ตับ โดยใช้โคเลสเตอรอลจากเลือดเป็นวัตถุดิบ น้ำดีนั้นมีส่วนสำคัญต่อการดูดซึมไขมันผ่านลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด โดยหลังการทำงานแล้วน้ำดีจะเคลื่อนลงสู่ลำไส้ใหญ่ แล้วถูกดูดซึมกลับไปที่ถุงน้ำดี เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ดังนั้นวิธีลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดจึงสามารถทำได้ ด้วยการรบกวนการดูดซึมกลับของน้ำดีที่ลำไส้ใหญ่โดยอาศัยเพกติน(ซึ่งมีในผักและผลไม้หลายชนิด) เป็นตัวจับน้ำดีแล้วพาออกจากร่างกายไปพร้อมกับอุจจาระ ส่งผลให้มีการนำโคเลสเตอรอลจากเลือดมาสร้างน้ำดีที่สูญเสียไป ดังนั้นโคเลสเตอรอลในเลือดจึงลดลงได้ในชีวิตประจำวัน เราสามารถเพิ่มปริมาณของเพกตินในลำไส้ใหญ่จากการกินถั่วต่างๆ ผลไม้ตระกูลส้ม แครอท ฟักทอง กล้วย มัน แอปเปิล สตรอเบอร์รี่ ถั่วเขียว มะเขือเทศ องุ่น แตงโม แตงกวา สับปะรด เป็นต้น(อาหารเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วมีไฟโตสเตอรอลธรรมชาติอยู่แล้วเช่นกัน) ดังนั้นแพทย์หลายท่าน จึงแนะนำคนไข้ให้เพิ่มการกินผักและผลไม้ที่มีเพกตินสูง เพื่อแก้ไขปัญหาโคเลสเตอรอลสูงในเลือดเป็นลำดับแรกก่อนการใช้ยาแหล่งหาความรู้เพิ่มเติมข้อมูลที่ท่านสามารถสืบค้นจากอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการที่เพกตินสามารถลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้นั้น เช่น Pectin penta-oligogalacturonide reduces cholesterol accumulation by promoting bile acid biosynthesis and excretion in high-cholesterol-fed mice ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Chemico-Biological Interactions ชุดที่ 272 (2017) หน้าที่ 153-159 และ The Interaction Between Insoluble and Soluble Fiber ในหนังสือ Dietary Fiber for the Prevention of Cardiovascular Disease หน้าที่ 35-59 ซึ่งพิมพ์ในปี 2017 และข้อมูลในวารสาร Foods, Nutrients and Food Ingredients with Authorised EU Health Claims ชุดที่ 2 หน้า 153-174 ในปี 2015 ซึ่งระบุว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีเพกตินสามารถใส่ข้อความบนฉลากอาหารว่า “Pectins contribute to the maintenance of normal blood cholesterol concentrations” ถ้ามีเพกตินเป็นองค์ประกอบที่สามารถทำให้ผู้บริโภคได้รับเข้าร่างกาย 6 กรัมต่อวัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 ภัยไม่เงียบ รถโดยสารสองชั้น ตอนที่ 1!!

เข้าใกล้สิ้นปีเมื่อใด นั่นหมายความว่าเทศกาลเดินทางการท่องเที่ยวเริ่มมาแล้ว และแน่นอนเมื่อมีการท่องเที่ยวกันมากขึ้น การต้องเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะเพื่อการเดินทางก็มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นตามการใช้งานไปด้วย และรถโดยสารยอดนิยมที่เป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ในการเลือกใช้โดยสารนั่นก็คือ รถโดยสารสองชั้น! แล้วทำไมรถโดยสารสองชั้นถึงเป็นที่นิยมของคนจำนวนมาก ??ตอบได้เลย เพราะตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการรองรับคนเดินทางได้ครั้งละจำนวนมาก และประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่ายที่ไม่ต้องเช่ารถโดยสารจำนวนหลายคัน เช่น นักท่องเที่ยวเพื่อทัศนาจร นักเรียน-นักศึกษาเพื่อทัศนศึกษา เจ้าหน้าที่หรือพนักงานเพื่อศึกษาดูงาน หรือการรับส่งพนักงานในกลุ่มบริษัทหรือโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ และด้วยความต้องการใช้รถโดยสารสองชั้นของกลุ่มผู้บริโภค ทำให้ที่ผ่านมาปริมาณรถโดยสารสองชั้นมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มผู้ใช้บริการจากข้อมูลจำนวนรถที่จดทะเบียนสะสมกับกรมการขนส่งทางบก ณ วันที่  31 ธันวาคม 2559  พบว่า มีรถโดยสารสองชั้นที่จดทะเบียนทั่วประเทศทั้งหมด 7,324 คัน   โดยแบ่งเป็นรถโดยสารประจำทาง 1,947 คัน  รถโดยสารไม่ประจำทาง 5, 314 คัน และรถโดยสารส่วนบุคคล 63 คัน สาเหตุที่กลุ่มผู้ใช้บริการนิยมเลือกใช้รถโดยสารสองชั้นพบว่า ส่วนใหญ่เลือกจากความสะดวกสบายของตัวรถ สภาพรถใหม่  ที่นั่งชั้นสองมองเห็นวิวข้างทางได้  มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆรองรับความต้องการครบครัน  เช่น เบาะนวดไฟฟ้า คาราโอเกะ ดนตรี อินเทอร์เน็ต ไวไฟ ขณะที่มีพื้นที่ชั้นล่างในการทำกิจกรรมร่วมกันในขณะเดินทางได้แต่หลายคนจะรู้หรือไม่ว่า รถโดยสารสองชั้นที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้นั้น ส่วนใหญ่มีความสูงขนาดไหนกัน  กฎกระทรวง ฉบับที่ 60 ตามพระราชบัญญัติกรมการขนส่งทางบก  พ.ศ. 2522  กำหนดคุณสมบัติของรถโดยสารสองชั้นไว้ว่า เมื่อวัดส่วนที่กว้างที่สุดของตัวถัง จะต้องไม่เกิน  2.55 เมตร ความสูงภายนอกของตัวรถที่ใช้ในรถโดยสารเมื่อวัดจากพื้นที่ราบถึงส่วนที่สูงที่สุดของรถจะต้องไม่เกิน  4.30 เมตร และความยาวต้องไม่เกิน 12 เมตร  ซึ่งเมื่อดูจากขนาดของรถโดยสารสองชั้นที่ให้บริการอยู่ในปัจจุบันต้องบอกเลยว่ามีความเสี่ยงไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับรถโดยสารชั้นเดียวที่มีขนาดเล็กกว่า  สอดคล้องกับข้อมูลของศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย  ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุรถโดยสารสาธารณะ ในปี 2559 ที่ผ่านมา พบว่า รถโดยสารสองชั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุสูงกว่า รถโดยสารชั้นเดียว ถึง 6 เท่า” ส่วนอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถโดยสารสองชั้นนั้น ก็สูงกว่าอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถโดยสารชั้นเดียว ถึง 6 เท่า เช่นเดียวกัน สาเหตุของอุบัติเหตุจากรถโดยสารสองชั้นเมื่อวิเคราะห์ถึงอุบัติเหตุรถโดยสารที่เกิดกับรถโดยสารสองชั้นในรอบหลายปีที่ผ่านมา พบว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่จะเกิดกับรถโดยสารสองชั้นไม่ประจำทางมากกว่ารถโดยสารสองชั้นประจำทาง ด้วยจำนวนและปัจจัยเสี่ยงที่มากกว่า ดังนั้นอุบัติเหตุที่เกิดกับรถโดยสารสองชั้นไม่ประจำทาง จึงเป็นส่วนที่น่าเป็นห่วงและต้องให้ความสำคัญ ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ ถ้าเป็นรถโดยสารประจำทางจะมีเส้นทางวิ่งที่แน่นอน มีกฎหมายควบคุมเส้นทางที่ขออนุญาตประกอบการเดินรถ ซึ่งรถโดยสารประจำทางจะไม่สามารถวิ่งออกนอกเส้นทางได้  แต่สำหรับรถโดยสารไม่ประจำทางแล้วนั้น เป็นการว่าจ้างให้เดินทางไปที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ  ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก่อนเดินทาง ซึ่งบางครั้งผู้ขับรถอาจไม่มีความชำนาญในเส้นทางนอกพื้นที่ และอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ เมื่อลองพิจารณาปัจจัยการเกิดอุบัติเหตุกับรถโดยสารสองชั้นทั้งหมดแล้ว แม้ปัจจัยความเสี่ยงของผู้ขับขี่จะดูเป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ ทั้งหลับใน ขับรถเร็ว ประมาทเลินเล่อ ไม่เคารพกฎจราจร แต่สภาพรถโดยสารสองชั้นที่มีความสูง โดยเมื่อประกอบกับความเร็วในการขับขี่และสภาพถนนที่เป็นทางโค้งลาดชัน ก็มีส่วนที่ทำให้รถโดยสารสองชั้นเกิดอุบัติเหตุเสียหลักหรือพลิกคว่ำได้ง่าย ด้วยเหตุผลจากความชำรุดบกพร่องของตัวรถโดยสารสองชั้นเอง (ติดตามต่อในตอนที่ 2) 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 198 สารกันบูดใน “เฉาก๊วย”

“เฉาก๊วย” 1 ในขนมหวานที่อยู่คู่กับคนไทยมานาน ด้วยรสสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์ นุ่มเหนียวเคี้ยวอร่อย นำมารับประทานพร้อมน้ำแข็ง น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำเชื่อม ได้รสชาติหวานเย็นชื่นใจ เหมาะกับอากาศร้อนๆ ของเมืองไทยเฉาก๊วย หาทานได้ทั่วไป ที่เห็นบ่อยก็น่าจะเป็นตามร้านขายขนมหวานจำพวกหวานเย็น นอกจากนี้ยังที่ปรับปรุงสูตรให้กลายมาเป็นครื่องดื่ม ใช้เฉาก๊วยเส้นเล็กๆ ใส่ในน้ำเชื่อม เพื่อรับประทานง่ายยิ่งขึ้น เดี๋ยวนี้ เฉาก๊วย ถูกทำให้เพิ่มมูลค่า นำมาใส่ในเครื่องดื่มอย่าง ชา กาแฟ นมสด ก็อร่อยไปอีกแบบ ฉลาดซื้อฉบับนี้ ขอนำเสนอผลทดสอบ “สารกันบูดในเฉาก๊วย” ลองไปดูกันสิว่าขนมหวานในดวงใจของใครหลายๆ คน ปลอดภัยจากการใช้สารกันบูดหรือเปล่า?ผลทดสอบ- จำนวนตัวอย่าง เฉาก๊วย ที่นำมาทดสอบครั้งนี้มีทั้งหมด 30 ตัวอย่าง มีตัวอย่างที่ไม่พบการปนเปื้อนของสารกันบูด ทั้ง เบนโซอิก และ ซอร์บิก ถึง 14 ตัวอย่าง หรือเกือบ 50% ของตัวอย่างทั้งหมดที่นำมาทดสอบ ถือว่าเป็นข่าวดีของผู้บริโภค- นอกจากนี้ยังพบว่ามีอีก 5 ตัวอย่าง ที่พบการปนเปื้อนของ เบนโซอิก น้อยกว่า 1.50 มิลลิกรัมต่อ 1 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่น้อยมาก- มีตัวอย่างเฉาก๊วยที่พบปริมาณสารกันบูด เบนโซอิก และ ซอร์บิก เกินมาตรฐาน เพียงแค่ 1 ตัวอย่างเท่านั้น คือ เฉาก๊วยอาโก ศูนย์การค้าบางประกอก ที่พบปริมาณเบนโซอิก 1,387.37 มิลลิกรัมต่อปริมาณเฉาก๊วย 1 กิโลกรัม เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดที่สูงสุดไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อปริมาณเฉาก๊วย 1 กิโลกรัมข้อสังเกตเรื่องการแสดงฉลาก-ตัวอย่างที่พบการปนเปื้อนของ เบนโซอิก และ ซอร์บิก จำนวน 16 จาก 30 ตัวอย่าง มีเพียง 4 ตัวอย่างที่แจ้งข้อมูลบนฉลากว่ามีการใช้สารกันบูด ประกอบด้วย1.ยี่ห้อ ปุ้น & เปา แจ้งว่า ใช้วัตถุกันเสีย INS202, 211 หรือ โปแตสเซียม ซอร์เบต และ โซเดียม เบนโซเบต ซึ่งเป็นสารในกลุ่มสารกันเสีย เบนโซเอต ทั้ง 2 ชนิด โดยผลทดสอบพบ เบนโซอิก 219.56 มก./กก. และพบซอร์บิก 180.17 มก./กก.2.เฉาก๊วย (jelly glass) ของ นิตยาวุ้นมะพร้าว แจ้งว่า ใช้วัตถุกันเสีย โซเดียเบนโซเอท (INS211) ผลทดสอบพบ เบนโซอิก 292.03 มก./กก. และพบซอร์บิก 231.05 มก.กก.3.ยี่ห้อ แม่ปิงเฉาก๊วย แจ้งว่า ใช้วัตถุกันเสียโซเดียเบนโซเอท (INS211) ผลทดสอบพบ เบนโซอิก 321.05 มก./กก. และพบซอร์บิก 260.19 มก.กก.4.เฉาก๊วยอาโก ศูนย์การค้าบางปะกอก แจ้งว่า มีโซเดียมเบนโซเอท 0.02% ผลทดสอบพบ เบนโซอิก 1,387.37 มก./กก. ข้อสังเกตเกี่ยวกับ ฉลากสินค้าที่แจ้งว่าไม่มีวัตถุกันเสียมีกลุ่มตัวอย่างที่แจ้งว่า “ไม่มีวัตถุกันเสีย” บนฉลากแต่จากผลทดสอบพบว่า มีการปนเปื้อน ได้แก่ 1.ยี่ห้อ นายอุ๋ย เฉาก๊วยโบราณ ผลทดสอบพบ เบนโซอิก น้อยกว่า 1.50 มก./กก.2.ยี่ห้อ เมจิกฟาร์ม ดีเซิ้ดทคัพ ขนมเยลลี่คาราจีแนน ผสมบุกผง ถั่วแดงและน้ำเฉาก๊วย 15% ผลทดสอบพบ เบนโซอิก 6.53 มก./กก. และพบซอร์บิก 3.74 มก./กก.3.ยี่ห้อ เฉาก๊วยดอนเมือง (แบบถัง) ผลทดสอบพบ เบนโซอิก 68.85 มก./กก. 4.ยี่ห้อ เฉาก๊วยดอนเมือง (แบบถุง) ผลทดสอบพบ เบนโซอิก 79.41 มก./กก.มาตรฐานการใช้สารกันบูดใน เฉาก๊วย เฉาก๊วย จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับผลิตภัณฑ์ เยลลี่ เพราะมีกรรมวิธีในการผลิตในลักษณะเดียวกัน ซึ่งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 213) พ.ศ. 2543 เรื่อง แยม เยลลี่ และมาร์มาเลด ในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท นิยามความหมายของ เยลลี่ ไว้ว่า ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากน้ำผลไม้ล้วนที่ได้จากการคั้นสดหรือสกัดจากผลไม้ หรือทำจากน้ำผลไม้ล้วนที่ผ่านกรรมวิธี หรือทำให้เข้มข้น หรือแช่แข็ง ซึ่งผ่านการกรองและผสมกับ น้ำตาลทำให้มีความข้นเหนียวพอเหมาะ (ส่วนเฉาก๊วยทำจากพืชที่เรียกว่า หญ้าเฉาก๊วยหรือGrass Jelly )สำหรับข้อกำหนดเรื่องการใช้สารกันบูด กรดเบนโซบิก และ กรดซอร์บิก ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 381) พ.ศ. 2559 เรื่อง วัตถุเจือปนอาหาร (ฉบับที่ 4) กำหนดไว้ อาหารกลุ่ม แยม เยลลี่ และมาร์มาเลด สามารถใช้ กรดเบนโซอิก ได้สูงสุดไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อปริมาณอาหาร 1 กิโลกรัม ส่วน กรดซอร์บิก สามารถใช้ได้สูงสุดไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อปริมาณอาหาร 1 กิโลกรัม เช่นกัน ทั้งนี้หากมีการใช้วัตถุเจือปนอาหารในกลุ่มหน้าที่เดียวกันรวมกันตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ปริมาณรวมที่ใช้ต้องไม่เกินปริมาณสูงสุดที่กฎหมายอนุญาตของสารตัวใดตัวหนึ่ง (อิงตัวที่ปริมาณน้อยที่สุด) ซึ่งในกรณีของ เฉาก๊วย อนุญาตให้ใช้สารกันเสีย กรดเบนโซบิก และ กรดซอร์บิก รวมกันสูงสุดไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม -------------------------------------------------------------ฉลาดซื้อแนะนำ1.เฉาก๊วย ชนิดที่จำหน่ายในภาชนะบรรจุ นอกจากจะมีมาตรฐานที่ควบคุมโดยกระทรวงสาธารณสุขแล้ว ยังมีมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ที่ออกโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เป็นมาตรฐานแบบสมัครใจที่ช่วยทั้งยกระดับคุณภาพของผู้ผลิตสินค้า และสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์2.มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) เฉาก๊วย จะดูเรื่องการบรรจุ ภารชนะบรรจุที่สะอาด แห้ง ปิดสนิท สามารถป้องกันการปนเปื้อนจากสิ่งสกปรกภายนอกได้ นอกจากนี้ยังดูเรื่องของการแสดงเครื่องหมายและฉลากบนบรรจุภัณฑ์ ต้องมีข้อมูล คือ -ชื่อเรียกผลิตภัณฑ์ เช่น เฉาก๊วย วุ้นดำ เฉาก๊วยหวาน-ส่วนประกอบที่สำคัญ-น้ำหนักสุทธิ-วัน เดือน ปีที่ผลิต และวัน เดือน ปีที่หมดอายุ หรือข้อความว่า “ควรบริโภคก่อน (วัน เดือน ปี)”-ข้อแนะนำในการบริโภคและการเก็บรักษา เช่น ควรเก็บไว้ในตู้เย็น-ชื่อสถานที่ผลิต พร้อมสถานที่ตั้ง หรือเครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียนในกรณีที่ใช้ภาษาต่างประเทศ ต้องมีความหมายตรงกับภาษาไทยที่กำหนดไว้ข้างต้น3.คุณลักษณะที่ดีของเฉาก๊วย ที่กำหนดไว้ในมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน มีดังนี้ สี     ต้องมีสีที่ดีตามธรรมชาติของส่วนประกอบที่ใช้กลิ่นรส     ต้องมีกลิ่นรสที่ดีตามธรรมชาติของส่วนประกอบที่ใช้ ไม่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ ปราศจากกลิ่นรสอื่นที่ไม่พึงประสงค์เนื้อสัมผัส    ต้องนุ่ม หยุ่นตัว ไม่แข็งกระด้าง ต้องไม่พบสิ่งแปลกปลอมที่ไม่ใช่ส่วนประกอบที่ใช้4.ข้อนี้ แค่มองด้วยตาเปล่าอาจดูไม่เห็น แต่ในมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนกำหนดการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ในเฉาก๊วยเอาไว้ด้วย -จำนวนจุลินทรีย์ทั้งหมด ต้องไม่เกิน 1X104  โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 กรัม-เอสเชอริเชีย โคไล โดยวิธีเอ็มพีเอ็ม ต้องน้อยกว่า 3 ตัวอย่าง 1 กรัม-ยีสและรา ต้องไม่เกิน 100 โคโลนีต่อตัวอย่าง 1 กรัมอันตรายของ เบนโซอิก และ ซอร์บิกเป็นกลุ่มสารกันเสียที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้ในอาหาร ซึ่งนิยมใช้ใน แยม เยลลี่ ผักผลไม้ดอง เครื่องดื่ม น้ำหวาน น้ำอัดลม แต่หากได้รับสารทั้ง 2 ชนิดจากการรับประทานอาหารในปริมาณสูง อาจส่งผลเสียต่อร่างกายทำให้เกิดการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย วิงเวียน และปวดศีรษะผลวิเคราะห์เฉพาะตัวอย่างที่ส่งตรวจเท่านั้นสำรวจเมื่อเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2560

อ่านเพิ่มเติม >