ฉบับที่ 140 กล้วยแขก

อาหารว่างที่คงความนิยมมาโดยตลอด กินกันมาตั้งแต่จำความได้พร้อมๆ กับการหาข้อมูลข่าวสารต่างๆ บนถุงกล้วยแขก ที่ว่ากันว่าสร้างนักอ่าน นักเขียน นักวิชาการกันมาหลายคน กล้วยแขกหรือกล้วยน้ำว้าชุบแป้งทอดนี้ มีสันนิษฐานถึงที่มากันหลายสำนัก บ้างก็ว่าน่าจะมาพร้อมๆ กับการมาเยือนของคนต่างถิ่นอย่างชาวอินเดีย ที่คนไทยเรียกว่า แขก (แขกหมายถึงผู้มาเยือน สมัยก่อนคนอินเดียมาค้าขายกับคนไทย ก็มีลักษณะมาๆ ไปๆ ไม่ได้อยู่ประจำ) เพราะวิธีการทำอาหารด้วยการทอดแบบน้ำมันท่วมนั้นทางอินเดียเขาทำกันมานานแล้ว แต่บางหลักฐานก็ว่าน่าจะมาจากอาหารว่างของชาวมลายู ที่เรียกว่า Pisang goreng เป็นกล้วยชุบแป้งทอดเหมือนกัน แต่ของเขาไม่ใส่มะพร้าวและงา และทอดทั้งลูกไม่ได้ฝานบางอย่างไทย Pisang goreng ไม่ใช่อาหารพื้นเมืองของชาวมลายูแท้ๆ แต่เป็นชาวโปรตุเกสที่เข้ามาค้าขายในดินแดนแถบนี้เห็นว่า กล้วยเป็นพืชพื้นเมืองที่มีอยู่ดาษดื่น จึงนำมาชุบแป้งทอดเป็นอาหารเช้า ในพระราชนิพนธ์ของ รัชกาลที่ 5 เมื่อคราวเสด็จประพาสเมืองสิงคโปร์ ปี พ.ศ. 2433 มีบันทึกไว้ว่า ทรงเที่ยวเล่นไปอย่างชาวบ้าน “ไปซื้อซาเต๊ะกับกล้วยแขกตามที่หน้าตึกริมถนนกิน” ซึ่งถึงกับทรงสรรเสริญว่า "กล้วยแขกของเขาดีกว่าของเราร้อยเท่าพันทวี” (พระราชนิพนธ์เรื่องระยะทางเสด็จพระราชดำเนิรประพาสทางบกทางเรือรอบแหลมมะลายู รัตนโกสินทรศก 109) จึงเป็นไปได้ว่า กล้วยแขกอย่างไทยเราอาจเป็นการต่อยอดมาจาก “กล้วยแขก  Pisang goreng” ของชาวมลายู กินกล้วยแขกกันมานานจนชิน แต่หลังๆ หลายคนชักขยาดเพราะกล้วยแขกที่ต้องทอดด้วยน้ำมันท่วมๆ นั้น ถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการทำให้อ้วนและน้ำมันที่นำมาทอดซ้ำๆ นั้นเป็นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็ง ซึ่งจริงๆ ก็ไม่เฉพาะกล้วยแขกเท่านั้น อาหารทอดด้วยน้ำมันท่วมความร้อนสูง ล้วนก่อปัญหาให้สุขภาพได้ทั้งสิ้น ถ้ากินกันแบบจริงๆ จังๆ ทุกมื้อทุกวัน แต่ถ้ากินไม่มาก พอได้รสได้ชาติ ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 140 กาเฟอีนในชาพร้อมดื่ม

เราทราบกันดีว่าเครื่องดื่มผสมกาเฟอีน (เครื่องดื่มชูกำลัง) เป็นเครื่องดื่มที่มีคำเตือน “ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด เพราะหัวใจจะสั่น นอนไม่หลับ เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรดื่ม ผู้ป่วยปรึกษาแพทย์ก่อน” อยู่บนฉลาก อีกทั้ง ด้วยเป็นเครื่องดื่มที่ผสมสารเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงได้ควบคุมปริมาณกาเฟอีนที่เป็นส่วนผสมไว้ว่าห้ามเกิน 50 มิลลิกรัม ต่อขวดหรือกระป๋อง (หน่วยบรรจุ) นอกจากนี้ ยังมีการควบคุมเรื่องการโฆษณาอีกต่างหากเพื่อให้ผู้บริโภคไม่เกิดความเข้าใจที่ขาดเคลื่อนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ เช่น ต้องมีการระบุคำเตือนในสปอตโฆษณาทุกครั้ง และต้องไม่โฆษณาในลักษณะการแถมพก หรือให้รางวัลด้วยการเสี่ยงโชคหรือมีการให้ของแถม เป็นต้น อย่างไรก็ดี เรื่องที่ฉลาดซื้อจะนำข้อมูลมาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกันไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวข้างต้นหากแต่เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีกาเฟอีนเหมือนกันแต่เป็นกาเฟอีน (Caffeine) ตามธรรมชาติ ซึ่งก็คือ ชาเขียว และกาแฟพร้อมดื่ม ด้วยเหตุผลที่ว่า มันไม่มีคำเตือน! และไม่ได้รับการควบคุมครับพี่น้อง   ด้วยกระแสความนิยมชาที่มีมาอย่างต่อเนื่อง (โดยเฉพาะชาเขียว) กับ กระแสกาแฟที่อ้างว่ากินแล้วหุ่นดี ไม่อ้วน ทำให้ผู้บริโภคหลายคนลืมไปว่าสิ่งที่ตนจะดื่มมีสารเสพติดเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย (ถึงแม้จะมีการบังคับให้แสดงปริมาณกาเฟอีนบนฉลาก ชา – กาแฟ ก็ตาม) ผู้บริโภคบางคนถึงขนาดเคยพูดให้ผู้เขียนฟังว่า “ดื่มน้ำอัดลมไม่ดี ดื่มชา (เขียว) ดีกว่า ดีกับสุขภาพด้วย” ฉลาดซื้อฉบับนี้จึงขออาสาเอาฉลากชา แต่ละยี่ห้อ จำนวน 23 ตัวอย่าง (13 ยี่ห้อ) ทั้งชาเขียว ชาขาว ชาดำ ฯลฯ และปิดท้ายด้วยกาแฟกระป๋อง โดยนำฉลากกาแฟจำนวน 3 ตัวอย่างบวกกับฉลากเครื่องดื่มชูกำลังจำนวน 4 ตัวอย่าง มากางเห็นกันอย่างชัดเจนว่า ผลิตภัณฑ์ของเจ้าใด มีกาเฟอีน มากน้อยต่างกันเพียงใด นอกจากนี้ เรามีสมนาคุณพิเศษแถมข้อมูลน้ำตาลบนฉลาก กับการแสดงฉลากโภชนาการ มาให้ท่านผู้อ่านได้ยลกันอีกด้วย     ภาพรวมจากการเปรียบเทียบฉลาก ชาสำเร็จรูปพร้อมบริโภคทั้งหมดที่สุ่มมาจะมีส่วนประกอบหลัก 2 ประการคือ น้ำชาและน้ำตาล (หรือสารอื่นที่ให้ความหวานแทนน้ำตาล) โดยในน้ำชานั้นจะมีกาเฟอีนอยู่ระหว่าง เกือบ 7 ถึง 20 มิลลิกรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร ขณะที่กาแฟกระป๋องมีกาเฟอีนอยู่ที่ 40 – 80 มล.ต่อ 100 มิลลิกรัม หากคำนวณเป็นปริมาณกาเฟอีนต่อภาชนะบรรจุแล้วจะพบว่าอยู่ในช่วง ประมาณ 23 ถึง 101 มิลลิกรัมต่อภาชนะบรรจุ ส่วนกาแฟกระป๋องจะมีกาเฟอีนอยู่ที่ 98 – 144 มิลลิกรัมต่อกระป๋อง และเครื่องดื่มผสมกาเฟอีนทั้งหมดจะมีกาเฟอีนอยู่ที่ 50 มิลลิกรัม/ขวด สำหรับการแสดงฉลากโภชนาการ สัดส่วนอยู่ที่ 1 ต่อ 3 โดยมีการแสดง 1 ส่วน ขณะที่ อีก 2 ส่วนไม่มีการแสดงซึ่งทำให้ผู้บริโภคที่ใช้ฉลากเพื่อการตัดสินใจจะพบความลำบากเมื่อต้องการทราบปริมาณน้ำตาลว่ามีอยู่เท่าไร บทวิเคราะห์ ชาพร้อมดื่ม(ทุกประเภท) เป็นเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนตามธรรมชาติในปริมาณต่อหน่วยบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ต่างกันกับเครื่องดื่มผสมกาเฟอีน นอกจากนี้ยังมีน้ำตาลสูง ยิ่งไปกว่านั้นด้วยมีการบังคับแสดงคำเตือน ว่า “ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวด เพราะหัวใจจะสั่น นอนไม่หลับ เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรดื่ม ผู้ป่วยปรึกษาแพทย์ก่อน” สำหรับเครื่องดื่มผสมกาเฟอีน ดังนั้นชาพร้อมดื่มจึงไม่ใช่เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพตามที่ผู้ประกอบการทำให้เราเข้าใจแต่อย่างใด การบริโภคชาพร้อมดื่มเกินกว่าวันละ 2 ขวดคู่กับการดื่มกาแฟวันละ 1 – 2 แก้ว หรืออาหารอื่นที่มีกาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ อาจจะนำมาซึ่งอาการติดกาเฟอีน (Caffeinism) ได้ (การได้รับกาเฟอีนเกินกว่า 250 มก./วันนำมาซึ่งอาการติดกาเฟอีน : อาการหงุดหงิด ทำงานไม่ได้ จนกว่าจะเพิ่มปริมาณคาเฟอีนในกระแสเลือดก่อน) อีกทั้งยังอาจนำมาซึ่งโรคอ้วนและโรคเบาหวาน (จากการได้รับน้ำตาลมากเกินไป – เกณฑ์น้ำตาลต่อวันที่นักโภชนาการแนะนำคือ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมต่อวัน) หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการแสดงฉลากอาหาร หรือ อย. จึงควรมีการบังคับให้มีฉลากคำเตือนแบบเดียวกันกับที่มีในเครื่องดื่มผสมกาเฟอีนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ฉลาดซื้อแนะนำ 1. ถ้าต้องการดื่มชาเพื่อสุขภาพ ขอแนะนำให้ชงชาดื่มเองเพราะไม่ได้ยุ่งยากอะไรแค่ใส่ใบชาลงในน้ำร้อน ทิ้งไว้ไม่เกิน 3 นาที (เกินกว่านี้ สารแทนนินจะออกมามากทำให้มีรสขม) 2. อย่าเข้าใจว่า ชาเขียวพร้อมดื่มดีต่อสุขภาพ เพราะในระหว่างกระบวนการผลิตชาพร้อมดื่มที่ต้องใช้ความร้อนสูงในการฆ่าเชื้อโรค ทำให้สารที่เป็นประโยชน์ในชาหายไปจนเกือบหมดแล้ว 3. สำหรับผู้ชื่นชอบชาพร้อมดื่ม เราขอแนะนำให้ดื่มไม่เกินวันละ 2 ขวด (แบบไม่มีน้ำตาล) โดยเด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทาน และผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อน 4. สำหรับท่านที่ชอบดื่มชาปกติ (มีน้ำตาล) ฉลาดซื้อแนะว่า ขวดเดียวต่อวันก็เกินพอครับ (หวานเกิ๊น )

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 140 ครีมบำรุงผิว

คงจะไม่ผิดกติกาถ้าเราจะเตรียมตัวป้องกันผิวแห้งตึงรับหน้าหนาวปีนี้กันแต่เนิ่นๆ ฉลาดซื้อฉบับนี้ขอพาคุณลุยน้ำ ฝ่าพายุ ไปเลือกซื้อครีมบำรุงผิวมาทาตัวให้ชิลกันดีกว่า ผิวหนังของเราสูญเสียน้ำมันธรรมชาติซึ่งทำหน้าที่รักษาความชุ่มชื้นด้วยหลายสาเหตุ ตั้งแต่การอาบน้ำ การอยู่ในสภาพอากาศที่แห้งและเย็น รวมถึงการมีอายุมากขึ้นด้วย ครีมบำรุงผิวจึงเป็นตัวช่วยที่สำคัญ นอกเหนือจากการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่และดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT ได้ทำการทดสอบครีมบำรุงผิวทั้งหมด 56 ผลิตภัณฑ์ (เป็นตัวอย่างที่เก็บจากตลาดยุโรป) ว่าครีมไหนสร้างความชุ่มชื้นให้ผิวหนังได้มากกว่ากัน และครีมไหน ตอบสนองความพึงพอใจของผู้บริโภคได้ดีที่สุด ฉลาดซื้อ เลือกมา 20 ผลิตภัณฑ์จากยี่ห้อที่มีจำหน่ายในบ้านเรา สนนราคาก็มีให้เลือกตั้งแต่ 16 บาท ถึง 653 บาท ต่อปริมาณ 100 มิลลิลิตร ผลที่ได้ช่วยย้ำอีกครั้งว่า สำหรับเครื่องสำอางนั้น ราคาไม่ได้บ่งบอกถึงคุณภาพเสมอไป   ---------------------------------------------------------------------------- การทดสอบครั้งนี้มีอาสาสมัครอายุระหว่าง 18 -60 ปี ที่มีสภาพผิวแห้ง เข้าร่วมทั้งหมด 500 คน (แต่ละผลิตภัณฑ์มีผู้ทดสอบจำนวน 20 คน) การทดสอบแบ่งออกเป็น 2 ส่วน การสำรวจความพึงพอใจของอาสาสมัคร หลังจากทาผลิตภัณฑ์ที่ขา วันละครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 15 วัน การทดสอบโดยห้องปฏิบัติการ ด้วยการใช้เครื่องคอร์นิโอมิเตอร์ วัดปริมาณน้ำในผิวหนังของอาสาสมัคร  หลังการทาผลิตภัณฑ์บนท้องแขน 1 ชั่วโมง / 24 ชั่วโมง /และ 15 วันหลังการใช้ เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการและอาสาสมัคร จะไม่ทราบว่าผลิตภัณฑ์นั้นยี่ห้อใด ----------------------------------------------------------------------------   LaRoche-Posay Lipikar milk              277 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      5 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                5 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Vichy NutriExtra fluid                         125 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            5 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Eucerin pH 5 Body lotion 77 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Garnier Body Intensive 7 days                      77 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Nivéa Smooth Milk Tripple Action 56 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4   L'Oréal Nutri Soft 24H 106 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Biotherm Oil Therapy Body Balm      630 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Roc Enydrial mosturizing body lotion 306 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Neutrogena Deep Moisture 75 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     3 Dove Body Milk essential 54 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     3 Nivéa Pure & Natural body milk 68 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Yves Rocher Nutrition                                    188 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         5 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            2 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Nivéa Nourishing body milk 79 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 5 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            2 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     3   Dove Body Lotion Hydro nourishment 35 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Clarins  Moisture-rich body lotion 653 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     5   Nivéa Express Moisturizing Lotion 63 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     3   Carrefour  discount Moisturizing body milk 16 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 3 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            3 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4   Nivéa Cream 76 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      4 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 3 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            2 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     3   Johnson's Body Care  moisturizing 24 hours 44 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      3 ผิวนุ่ม                                         4 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                3 ไม่มันเยิ้ม                                     5   The Body Shop White musk 206 บาท / 100 มิลลิลิตร ความชุ่มชื้นของผิวหนัง                      3 ผิวนุ่ม                                         3 ผิวเรียบเนียน                                 4 ซึมลงผิวได้รวดเร็ว                            4 ไม่เหนอะหนะ                                4 ไม่มันเยิ้ม                                     4

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 140 ช่วยจับตา...การตัดตอนการคุ้มครองผู้บริโภค

รัฐธรรมนูญปี 40 เปิดโอกาสเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนไว้มากในหลายๆด้าน โดยเฉพาะด้านการคุ้มครองผู้บริโภคถึงกับกำหนดให้มีการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคไว้ในมาตรา57 โดยให้มีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค เพราะในหลายสิบปีนับตั้งแต่ พ.ศ. 2522 ถูกพิสูจน์แล้วว่ารัฐมีข้อจำกัดในการทำงานคุ้มครองฝ่ายเดียว เพราะหากกลไกรัฐในการคุ้มครองผู้บริโภคมีประสิทธิภาพ บังคับใช้กฎหมายได้เป็นอย่างดีกลไกใหม่ๆเหล่านี้ก็ไม่จำเป็น ดังนั้นการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค การรู้เท่าทันความตื่นตัวในการใช้สิทธิ จึงมีความสำคัญในระบบการคุ้มครองผู้บริโภคในเมืองไทย แต่เกือบสิบปีในการใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็ไม่สามารถทำให้เกิดองค์การอิสระได้ เพราะไม่ยอมรับวิธีการเกิด และถกเถียงกันเรื่องความเป็นอิสระขององค์กรนี้ จนทำให้เกิดข้อเสนอในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันปี พ.ศ. 2550 มาตรา 61 ให้มีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐ เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่าต้องทำให้เกิดภายในหนึ่งปี แต่เราใช้รัฐธรรมนูญมาเกือบ 5 ปีสิ่งนี้ก็ยังไม่เกิด   การไม่เกิดวิเคราะห์ได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางเทคนิคเช่น ความต่อเนื่องในการทำกฎหมายเนื่องจากมีการยุบสภา คนส่วนหนึ่งคิดว่าองค์กรนี้เป็นเอ็นจีโอ หรืออ้างเหตุทำงานซ้ำซ้อนกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) หรือกลัวเอ็นจีโอว่าจะมีเครื่องไม้เครื่องมือมากขึ้นเสียงจะดังปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคได้มากขึ้น จนทำให้กระบวนการทำกฎหมายในขั้นตอนกรรมาธิการร่วมของสองสภาดูไม่มีอนาคตเพราะฝ่ายที่ต้องทำจ้องรื้อกฎหมายทั้งฉบับ ใช้เทคนิคยื้อการประชุม ไม่ตัดสินใจ เรียกหาข้อมูลไม่ต่างจากการทำกฎหมายในขั้นตอนของสภาผู้แทนหลังรับหลักการกฎหมาย ต้องการแก้ไขแม้แต่มาตราที่ไม่ได้มีการแก้ไขจากทั้งสองสภา ความพยายามในการลดหรือตัดตอนบทบาทของคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ให้ตรวจสอบภาคธุรกิจ ไม่ให้มีอำนาจในการเปิดเผยชื่อสินค้า โดยอาศัยหน่วยงานของรัฐในการให้ความเห็นว่าอำนาจหน้าที่ที่เขียนไว้ในร่างกฎหมายอาจขัดรัฐธรรมนูญ อีกทางหนึ่งในการตัดตอนที่ต้องจับตาไม่กระพริบ อาศัยการปรับแก้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ให้สมาคมหรือมูลนิธิที่ได้รับอนุญาตจากสคบ.ฟ้องคดีแทนได้ แต่ก่อนฟ้องต้องขออนุญาตและได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือจำกัดกรอบว่าให้ฟ้องเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งทำให้โอกาสในการฟ้องคดีแทบจะเกิดขึ้นได้ยาก กฎหมายฉบับหนึ่งหากออกก็คงมีแต่องค์กรแต่ไม่รู้จะทำอะไร อีกฉบับกำลังถูกตัดสมองและหัวใจในการทำงาน ดูแล้วเป็นนโยบายตัดตอนการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชนชัดๆ ใครต้องการสนับสนุนการผลักดันการคุ้มครองผู้บริโภคที่เป็นอิสระ เข้ามาร่วมลงชื่อได้ที่ www.consumerthai.org ต้องการไม่น้อยกว่าแสนรายชื่อ ด่วนที่สุดก่อนถูกตัดตอน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 140 ใกล้ชิดผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กับแอพฯ Thai Police Phonebook

“เหตุด่วน เหตุร้าย แจ้งศูนย์รับบริการแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191” ประโยคเด็ดที่ใครหลายคนจำได้ขึ้นใจ เวลามีเหตุการณ์คับขัน ดูไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน หมายเลข 191 ต้องผุดอยู่ในความคิดเป็นอันดับแรก  เพราะน้อยคนนักที่จะทราบเบอร์สถานีตำรวจในพื้นที่นั้นๆ เพื่อที่จะโทรแจ้งเหตุการณ์ต่างๆ ในเวลาอันสั้นและทันท่วงทีได้ วันนี้ผู้เขียนจึงขอแนะนำแอพพลิเคชั่นเกี่ยวกับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์กันสักหน่อย แอพพลิเคชั่นนี้มีชื่อว่า “Thai Police Phonebook” ผลิตขึ้นโดย กองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นแอพฯ ที่เก็บข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ติดต่อข้าราชการตำรวจ ตั้งแต่ระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จนถึง สารวัตร จากทุกกองบัญชาการทั่วประเทศ   ขั้นตอนแรกผู้อ่านต้องดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น “Thai Police Phonebook” โดยคลิกที่ App Store หรือ Android Market บนโทรศัพท์มือถือ หรือคลิกโหลดได้ที่ play.google.com สำหรับระบบแอนดรอยด์ หรือคลิกโหลดที่  http://itunes.apple.com/th/app/thai-police-phonebook/id544328261?mt=8  สำหรับระบบ iOS  แบบไม่ต้องเสียค้าใช้จ่ายใดๆ ภายในแอพพลิเคชั่น จะมี 2 เมนู คือ เมนูสมุดโทรศัพท์ตำรวจ (Police Phonebook) ซึ่งจะมีข้อมูลรายละเอียดของข้าราชการตำรวจแต่ละท่าน ทั้งตำแหน่ง สังกัด เบอร์โทรศัพท์สำนักงาน เบอร์โทรศัพท์มือถือ เพียงพิมพ์ชื่อหรือนามสกุลบุคคลที่ต้องการในช่องค้นหา หรือถ้าต้องการค้นหาแบบละเอียดก็สามารถคลิกแถบด้านบนขวามือ เท่านี้ก็จะทราบรายละเอียดของข้าราชการตำรวจคนนั้น อีกเมนู คือ เมนูเกี่ยวกับกองสารนิเทศ (About us) เป็นเมนูบอกสถานที่ตั้งของกองสารนิเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เบอร์ติดต่อ เมล พร้อมเมนูลิ้งไปยังเว็บไซต์ facebook  twitter และ Google Map เพื่อแสดงแผนที่ที่ตั้งของหน่วยงาน แม้ว่าเหตุการณ์คับขันไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่อย่างน้อยการมีเบอร์โทรหรือเบอร์สำนักงานตำรวจของพื้นที่ที่อยู่อาศัย และบริเวณสถานที่ทำงาน ก็ถือว่าช่วยเพิ่มความอุ่นใจขึ้นมาระดับหนึ่ง อ้อ เอาไว้ตรวจสอบพวกชอบแต่งตัวเป็นตำรวจมาหลอกชาวบ้านได้ด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 140 Social TV เมื่อผู้บริโภค มีช่องทางในการสื่อสารเพิ่มมากขึ้น

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการตอนนี้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) มีมติเห็นชอบในหลักการของ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับการให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิตัล และ มีมติเห็นชอบในหลักการของ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตเพิ่มเติมในส่วนการให้บริการโครงข่ายโทรทัศน์ประเภทที่ใช้คลื่นความถี่ภาคพื้นดินในระบบดิจิตัล พร้อมให้นำร่างประกาศทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง จะเห็นได้ว่าสังคมกำลังเดินหน้าไปสู่การสื่อสารยุคดิจิตัล การให้ความรู้ความเข้าใจเบื้องต้นกับผู้บริโภค เพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ยุคทีวีดิจิตัลเป็นสิ่งสำคัญ วันนี้ผมขอนำสถานการณ์เกี่ยวกับ เรื่อง Social TV ของเยอรมนี ที่อยู่ในยุคทีวีดิจิตัลมานำเสนอครับ การบริโภคสื่อโดยเฉพาะการดูโทรทัศน์ในเยอรมนี ได้เปลี่ยนรูปแบบการรับชมเนื่องมาจาก การเข้ามามีบทบาทของ Social Network ได้แก่ Facebook และ Twitter ตลอดจนการขยายตัวของ smart phone ที่ เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสื่อสารของผู้บริโภค   คำว่า Social TV เกิดขึ้นจากการหลอมรวมของเทคโนโลยีระหว่าง โทรทัศน์ และ Social Media จากผลสำรวจของบริษัท Viacom Media Network ของเยอรมนี ซึ่งได้ทำการสำรวจและวิเคราะห์พฤติกรรม การบริโภคสื่อในรูปของ Social TV ผลการสำรวจกิจกรรมที่ผู้บริโภคนิยมมากที่สุดมีดังต่อไปนี้ รับชมรายการพร้อมกับเพื่อนๆ 85 % สืบค้นเนื้อหาและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับรายการทีวี 61% ดูวิดิโอบันทึกรายการ ผ่าน Social Media 58 % โดยผู้บริโภคที่รับชมรายการ Social TV ให้ความสำคัญกับ สามเรื่องดังนี้ การติดต่อสื่อสาร (Communication) สำรวจความเห็น (Check Comment) และ เนื่อหาของรายการ (Consume Content ) เรียกว่า เป็นสามเหลี่ยม สามซี ของการเสพสื่อของผู้บริโภคในยุคนี้ที่เดียว การที่ผู้บริโภครับชม รายการผ่าน Social TV ก็เนื่องจากต้องการข้อมูลและเนื้อหาเพิ่มเติม ที่ไม่ใช่เนื้อหาทั่วๆ ไป ยกตัวอย่างเช่น Behind the scene material, Episode หรือ Clip ที่เป็น Highlight  และด้วยความสามารถของ Smart Phone ที่เป็นเครื่องมือสื่อสารของคนในยุคดิจิตัล จึงสามารถใช้เครื่องมือนี้ ผ่านโปรแกรม ที่เรียกว่า Second Screen App ที่สามารถไปควบคุมการทำงานของโทรทัศน์ในบ้าน (First TV) สืบค้นเนื้อหาข้อมูล และแนะนำรายการต่อๆ ไปได้ นอกจากนี้ หัวใจของ Social TV คือ พฤติกรรมลักษณะ Socialize ได้แก่ การแลกเปลี่ยน ถกเถียง อภิปรายและแสดงความรู้สึกนึกคิดในสังคมออนไลน์เป็นวงกว้างได้  และที่สำคัญสำหรับในภาคธุรกิจที่สำคัญก็คือ การสั่งซื้อสินค้าและเล่นเกมส์ได้อีกด้วย ตัวอย่างของ App ที่เป็น Social TV คือ Zeebox, GetGlue Shazam และ Tweek (เป็น App ของเยอรมนี) IntoNow เป็น App ที่ทำหน้าที่ของ Social TV ที่มีอยู่ในตลาดขณะนี้ มีฟังค์ชัน ให้คำแนะนำสำหรับผู้บริโภคในราย (TV Guide) และสามารถจัดเก็บสถิติต่างๆ ไว้ด้วย บทสรุป Social TV เป็นความท้าทายของรายการทีวีที่มีจำนวนผู้เข้าชมรายการเป็นจำนวนมาก เช่น Academy Fantasia, Thailand Got Talent หรือ การแข่งขันกีฬาแมตช์สำคัญๆ ว่าจะใช้ Social TV เป็นเครื่องมือสำคัญในการมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive) ระหว่างรายการทีวีและผู้บริโภคสื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและแสดงตัวตนได้อย่างไร  เพราะปัจจุบันช่องทางที่ผู้บริโภคใช้ในการสื่อสารไปยังรายการต่างๆ คือ SMS ซึ่งยังเป็นการสื่อสารแบบทางเดียวอยู่ ยังมีข้อจำกัดมากในเรื่องของการเข้ามาร่วมเล่นในรายการที่เป็น Social Event ในขณะนี้ และที่สำคัญ ส่ง SMS มันครั้งละสามบาทครับ ในโลกออนไลน์และยุคดิจิตัล ถือว่ามันยังแพงเกินไปครับ แหล่งข้อมูล Guido Bülow, Das Fernsehen im Wandel- Second Screen Apps für das Social TV, 21. Symposium Deutsche TV-Plattform, 2012  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 140 สะระแหน่ แก้ปวด

ใบอะไรเอ่ย...กลิ่นหอมคล้ายใบมะนาว แต่มีรสชาติคล้ายกับตะไคร้หอม คำตอบนั่นก็คือ ใบสะระแหน่ นี้นี่เอง ใบเล็กๆ เขียวเข้ม ขอบย่นๆ หยักๆ อยู่ในพล่า ยำ นั้น เห็นหลายคนชอบเขี่ยออกไปไม่ยอมกิน เห็นแล้วให้นึกเสียดาย เพราะสะระแหน่นั้นมีสรรพคุณที่ช่วยเพิ่มความหอมให้กับอาหาร นั่นเป็นเพราะว่า ใบสะระแหน่มีน้ำมันหอมระเหยมาก น้ำมันหอมระเหยของสะระแหน่นี้ ประกอบด้วยสารเมนทอล (Menthol) ไลโมนีน (Limonene) นีโอเมนทอล (Neomenthol) อยู่มาก จึงไม่เพียงช่วยให้อาหารมีความหอมยังช่วยดับกลิ่นปากได้ดีอีกด้วย   สารเมนทอล(รสเย็นซ่า) ในสะระแหน่มีคุณสมบัติเย็นจึงใช้รักษาอาการอ่อนเพลีย บรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน หลอดลมอักเสบ และหอบหืดได้ นอกจากนี้หลายสำนักวิจัยเรื่องสมุนไพรยังยกย่องให้สะระแหน่เป็นเจ้าแห่งการบรรเทาอาการปวดต่าง ๆ ทั้งปวดศีรษะ ปวดฟัน โดยดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง หรือปวดท้อง จากบิด ท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด โดยนำใบสะระแหน่ต้มดื่มแต่น้ำ เมนทอลของสะระแหน่นั้นเขาสรรเสริญกันว่าสุดยอด มีการนำใบสะระแหน่มาสกัดทำหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น นำไปผสมในยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก หมากฝรั่ง ลูกอม เจลอาบน้ำ สบู่ ยาแก้ไอ หรือแม้แต่ครีมลดการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ ทั้งนี้ก็เพราะเมนทอลในสะระแหน่นี่เอง ปัจจุบันได้มีการสกัดสารจากสะระแหน่ในรูปแบบของลูกอมสะระแหน่ไว้ใช้อม หรือที่เรียกว่า ลูกอมมินต์ ที่ทำให้เราทั้งรู้สึกสดชื่น และระงับเชื้อแบคทีเรียในปากได้ สะระแหน่ยังปลูกง่าย เป็นพืชสวนครัวที่แทบไม่ต้องดูแลอะไรมาก เคยได้ยินไหมที่เขาพูดเปรียบรถเก่าๆ ว่าน่าจะเอาไปปลูกสะระแหน่ได้แล้ว แสดงถึงความนิยมในเรื่องของการปลูกทั้งเป็นไม้ประดับและพืชสวนครัว พืชนี้ชอบน้ำชุ่ม คนโบราณจะปลูกไว้ใกล้ครัวและมักใช้น้ำคาวปลา(น้ำล้างปลา)รดสะระแหน่ เชื่อว่าจะทำให้แตกยอดและใบงาม สะระแหน่ขยายพันธุ์โดยใช้ไหลแยกไปปลูก(ปักชำ) ในบริเวณที่ต้องการได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร นอกจากหยิบจับใช้ทำอาหารแล้ว เวลาฉุกเฉินแมลงสัตว์กัดต่อย ขอให้รีบหยิบใบสะระแหน่มาขยี้หรือตำให้ละเอียดพอกบริเวณที่โดนกัด จะแก้พิษ บรรเทาอาการปวดแผลได้ผลชะงัดนัก รู้อย่างนี้แล้ว ถ้ามีสะระแหน่ประดับในจานอาหารขออย่าได้เขี่ยทิ้ง มันเสียของ จงกินมันเข้าไป และหากได้ไหลของต้นสะระแหน่ติดมือกลับมาบ้านก็ให้ปักชำทำเป็นพืชสวนครัวเสีย มีประโยชน์มากๆ เลย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 140 วิตามินสารพัดเรียว

อิทธิพลของค่านิยมต่างๆ ที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ทำให้ผู้หญิงหลายคนต้องตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาหลอกลวง ยิ่งในยุคหลังๆ ที่สังคมพยายามยัดเยียดค่านิยมว่า หากจะสวยอย่างแท้จริงก็จะต้องผอมเพรียวด้วย ยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ที่พร้อมจะหลอกลวงต่างๆ ผุดขึ้นมามากมาย ผลิตภัณฑ์ที่นำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ คือผลิตภัณฑ์ “วิตามินสารพัดเรียว” วิตามินชนิดนี้มีการนำไปเสนอขายทางอินเตอร์เน็ต โดยหลังจากสั่งซื้อแล้ว จะส่งสินค้าให้ทางไปรษณีย์ เน้นกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการความเรียวทุกประเภท มีทั้ง วิตามินแขนเรียว วิตามินแขนเรียว วิตามินหน้าเรียว วิตามินลดหน้าท้อง ราคาเม็ดละประมาณ 8 บาท โดยแนะนำว่า “ให้รับประทานวันละ 1 - 2 เม็ด ก่อนอาหารมื้อแรก 30 นาที สำหรับลูกค้าท่านใดไม่เคยรับประทานยาลดน้ำหนักมาก่อนเลย ให้รับประทานวันละ 1 เม็ด แล้วดื่มน้ำตามเยอะๆ” มีผิดสังเกตตรงที่ในโฆษณานั้นย้ำว่าหลังทานยาอย่าลืมทานข้าวทุกมื้อ (ไม่รู้ว่ากลัวคนกินเกิดอาการผิดสำแดงอย่างไร?) นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่านำเข้ามาจากเกาหลี ทั้งผลิตภัณฑ์ Slimming  Diet ที่อ้างว่ารับประทานแผงเดียวลดได้ 5 กิโลกรัม และผลิตภัณฑ์ กลูต้าหิมะ Gluta 100000 Super   Whitening Snow ที่โฆษณาว่าจะทำให้ผิวขาวเนียนนุ่มดุจหิมะ ผิวขาวใสอมชมพู ขาวเปล่งประกายอย่างมีมีออร่า ลบริ้วรอย จุดด่างดำ จากสิวฝ้า กระ ช่วยเร่งให้ผิวขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แถมยังอ้างว่าจะ Detox ตับ และป้องกันการเกิดมะเร็ง ทั้งๆที่ส่วนประกอบที่แสดงบนฉลากคือ แอล กลูต้าไธโอน (L-Glutathione 100000 mg) ซึ่งเคยมีรายงานว่ามีผู้ป่วยได้รับอันตรายต่อตับจากการใช้อย่างไม่ถูกต้องมาแล้ว และที่เสมอต้นเสมอปลายคือ ภาพจากโฆษณาเหล่านี้ไม่มีเลขทะเบียนยา หรืออาหารแต่อย่างใด แต่ฉลากที่แสดงเป็นภาษาไทยน่าจะเชื่อได้ว่าแอบลักลอบผลิตในประเทศนี่เอง ใครมีลูกหลานวัยรุ่น วัยที่รักสวยรักงาม รีบไปเตือน “อย่าไปเสี่ยงเรียวเชียวนะหนู” และใครทราบแหล่งผลิต แหล่งจำหน่าย ขอให้รีบแจ้งเบาะแสให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทราบด้วยนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 140 วิธียื่นฎีกาต่อศาลฎีกาในคดีผู้บริโภค

ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ได้เปลี่ยนแปลงระบบการฎีกาสำหรับคดีผู้บริโภคโดยให้ศาลฎีกามีอำนาจกลั่นกรองเฉพาะคดีผู้บริโภคที่มีความสำคัญหรือเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะขึ้นสู่ศาลฎีกาเท่านั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการฎีกาจากเดิมในคดีแพ่งสามัญ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ป.วิ.พ.)มาตรา 248 ที่ใช้ “ ระบบสิทธิ” ซึ่งถือหลักว่า การฎีกาเป็นสิทธิของคู่ความ การห้ามฎีกาเป็นข้อยกเว้นมาเป็น “ ระบบอนุญาต “ ซึ่งถือว่า การฎีกาเป็นสิ่งที่กฎหมายห้าม คู่ความจะสามารถฎีกาได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา เหตุผลก็เนื่องจากระบบการฎีกาแบบเดิมคู่ความที่แพ้คดีมักใช้สิทธิฎีกาเป็นช่องทางในการประวิงคดี ทั้งๆ ที่คดีนั้นไม่เป็นสาระอันควรขึ้นสู่ศาลฎีกา ทำให้การพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาเกิดความล่าช้าโดยไม่จำเป็นและก่อให้เกิดความเดือดร้อนเสียหายแก่คู่ความที่สุจริต ดังนั้น มาตรา 51 แห่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ จึงได้กำหนดให้คู่ความที่ประสงค์จะยื่นฎีกาต้องขออนุญาตจากศาลฎีกาก่อนคดีนั้นจึงจะขึ้นสู่ศาลฎีกาได้ ส่วนวิธีการยื่นฎีกาต่อศาลฎีกานั้นจะต้องทำอย่างไรนั้นก็ศึกษาได้จากกรณีศึกษาดังนี้   คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5344/2554 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภคฯ ได้บัญญัติไว้ในหมวด 4 ว่าด้วยฎีกา และข้อกำหนดของประธานศาลฎีกาว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานคดีในคดีผู้บริโภคฯ ได้บัญญัติไว้ในหมวด 8 ว่าด้วยฎีกา ไว้เป็นการเฉพาะ ดังนั้น ในการยื่นฎีกาคดีผู้บริโภคจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติเหล่านั้น บทบัญญัติใน มาตรา 248 แห่ง ป.วิ.พ. จึงไม่อาจนำมาใช้บังคับในคดีผู้บริโภคได้ และตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติให้คดีที่ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคและศาลอุทธรณ์ภาคแผนกคดีผู้บริโภคได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้วคู่ความอาจยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาเกินสองแสนบาทหรือในปัญหาข้อกฎหมายภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคและศาลอุทธรณ์ภาคแผนกคดีผู้บริโภค โดยในวรรคสองได้บัญญัติไว้อีกว่า การยื่นคำร้องตามวรรคหนึ่ง ให้คู่ความยื่นฎีกาไปพร้อมกับคำร้องนั้นด้วย โดยยื่นต่อศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้นแล้วให้ศาลชั้นต้นรีบส่งคำร้องพร้อมฎีกาดังกล่าวไปยังศาลฎีกาเพื่อพิจารณาโดยเร็ว กับมาตรา 52 บัญญัติว่า ศาลฎีกาอาจอนุญาตให้ฎีกาตาม มาตรา 51 ได้ เมื่อเห็นว่าปัญหาตามฎีกานั้นเป็นปัญหาซึ่งเกี่ยวพันกับประโยชน์สาธารณะ หรือเป็นปัญหาสำคัญอื่นที่ศาลฎีกาควรวินิจฉัย จากบทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่า เมื่อศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคและศาลอุทธรณ์ภาคแผนกคดีผู้บริโภคมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว คู่ความจะยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ คดีนั้นต้องมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาเกินกว่าสองแสนบาทหากทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินกว่าสองแสนบาท คู่ความก็ไม่อาจฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้เลย ส่วนฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายนั้น ไม่ว่าคดีนั้นจะมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาเพียงใดก็ตาม คู่ความสามารถยื่นฎีกาได้เสมอ ไม่มีข้อจำกัดห้ามฎีกาแต่อย่างใด แต่ทั้งนี้คดีที่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่สามารถยื่นฎีกาได้ คู่ความที่ฎีกาต้องยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลฎีกาพิจารณาอนุญาตให้ฎีกาพร้อมกับฎีกาด้วย ศาลชั้นต้นจะด่วนมีคำสั่งรับฎีกาของคู่ความโดยที่คู่ความมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวเสียก่อนให้ครบถ้วนหาได้ไม่ คดีนี้แม้โจทก์จะฎีกาอ้างว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและในปัญหาข้อกฎหมายโดยทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาเกินกว่าสองแสนบาทก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาดังกล่าวโดยที่โจทก์มิได้ยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลฎีกาพิจารณาอนุญาตให้ฎีกาพร้อมกับฎีกา จึงเป็นกรณีที่โจทก์ฎีกาโดยมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์จึงเป็นการรับฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย หมายเหตุ ต่อมามีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5359/2554 วินิจฉัยในทำนองเดียวกัน

อ่านเพิ่มเติม >