ฉบับที่ 139 ถูกยกเลิกเที่ยวบิน แถมคืนเงินไม่ครบ

คุณอาทรร้องเรียนสั้นๆ มาว่า....ผมได้จองตั๋วเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-โคลอมโบ ศรีลังกา เพื่อไปท่องเที่ยวระหว่างวันที่ 26-29 ตุลาคม 2555 ปรากฎว่าทางสายการบินแจ้งยกเลิกครับ และแจ้งว่าจะคืนเงินให้เฉพาะส่วนที่เป็นค่าตั๋วและค่าธรรมเนียมต่างๆ แต่จะไม่คืนเงินในส่วนที่ซื้อเพิ่มเติมคือ ค่าโหลดกระเป๋าและค่าอาหารบนเครื่อง และยังไม่สามารถแจ้งให้โอนเงินเข้าบัญชีได้อีกครับ จะโอนเงินผ่านช่องทางที่ซื้อเข้ามาเท่านั้น คือผ่านทางบัตรเครดิตให้ซึ่งเงินก็จะไปอยู่ในบัตรไม่สามารถเบิกมาได้เป็นเงินสด แถมยังคืนไม่ครบอีกจึงอยากจะขอปรึกษาว่าผมจะดำเนินการอย่างไรได้บ้างครับ รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมและเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคทั้งๆ ที่เป็นความผิดของตนเองแท้ๆ ที่ยกเลิกไฟท์การบิน ทำให้เกิดความเสียหายแถมยังรับผิดชอบแบบครึ่งๆ กลางๆ อีกครับ แนวทางแก้ไขปัญหาปัญหาที่เกิดจากการใช้บริการโดยสาร ไม่ว่าจะเป็นรถ เรือ หรือเครื่องบิน ล้วนอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายในเรื่อง “รับขนคนโดยสาร” ที่มีข้อกำหนดหลักๆ สรุปเป็นภาษาให้พอเข้าใจได้ว่า ผู้ประกอบการรับส่งผู้โดยสารจะต้องรับผิดต่อผู้โดยสารในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวผู้โดยสาร หรือในความเสื่อมเสียอย่างใดๆ ที่เป็นผลโดยตรงจากการที่ต้องชักช้าในการขนส่งผู้โดยสาร เว้นแต่การเสียหายหรือชักช้านั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัยหรือเกิดจากความผิดของผู้โดยสารเอง ในขณะที่กระทรวงคมนาคม ได้ออกประกาศเรื่อง การคุ้มครองสิทธิของผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินของไทย ในเส้นทางบินประจำภายในประเทศ พ.ศ. 2553 แม้จะบังคับใช้เฉพาะสายการบินของไทย และบินในเส้นทางภายในประเทศ แต่ก็พอนำมาเทียบเคียงเรียกร้องสิทธิให้กับผู้โดยสารท่านนี้ได้ประกาศฉบับนี้ได้กล่าวถึงการคุ้มครองสิทธิของผู้โดยสารในกรณีการยกเลิกเที่ยวบิน หรือการปฏิเสธการขนส่ง ว่าสายการบินต้องปฏิบัติต่อผู้โดยสาร โดยมีทางเลือกให้ผู้โดยสาร 2 ทาง ทางเลือกแรกคือ รับเงินค่าโดยสารและค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ถูกเรียกเก็บคืนเต็มตามจำนวนที่จ่ายไป หากสายการบินจะชำระเป็น Travel Vouchers หรือสิ่งอื่นแทนเงินค่าโดยสาร และค่าธรรมเนียม จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้โดยสารก่อนแล้วเท่านั้น ทางเลือกที่สอง คือ การเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่ระบุไว้ในบัตรโดยสาร หรือจุดหมายปลายทางอื่นที่ใกล้เคียงกับจุดหมายปลายทางเดิมโดยเร็วที่สุดภายในวันเดียวกัน วันถัดไป หรือวันอื่นตามความสมัครใจของผู้โดยสาร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้โดยสาร และที่นั่งว่างที่สายการบินสามารถจัดให้ได้ โดยสายการบินต้องไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมไม่ว่าในกรณีใด ๆ แต่หากการเปลี่ยนแปลงเที่ยวบินนั้นมีค่าโดยสารและค่าธรรมเนียมอื่นที่ต่ำกว่าจำนวนเงินค่าโดยสาร และค่าธรรมเนียมที่ผู้โดยสารได้ชำระไว้แล้ว สายการบินต้องชำระเงินส่วนต่างคืนให้กับผู้โดยสารด้วยสำหรับวิธีปฏิบัติในการคืนเงินค่าโดยสารและค่าธรรมเนียมอื่น หรือเงินส่วนต่างให้แก่ผู้โดยสารนั้น สายการบินจะต้องคืนเงินให้ผู้โดยด้วยวิธีการที่ผู้โดยสารเลือก เช่น เงินสด โอนผ่านบัญชีธนาคาร เช็คธนาคาร เป็นต้น ซึ่งประกาศฉบับนี้ยังได้กำหนดระยะเวลาการคืนเงินด้วย คือ(ก) กรณีผู้โดยสารซื้อบัตรโดยสารด้วยเงินสดต้องดำเนินการคืนให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน (ข) กรณีผู้โดยสารซื้อบัตรโดยสารด้วยบัตรเครดิตต้องดำเนินการคืนให้เสร็จสิ้นภายในระยะเวลาไม่เกิน 45 วันระเบียบนี้แม้จะไม่ใช่ระเบียบที่ใช้กับการบินระหว่างประเทศ แต่ก็ใช้เป็นหลักในการเรียกร้องสิทธิของเราได้ เบื้องต้นเมื่อเกิดปัญหาการถูกแจ้งยกเลิกเที่ยวบินและต้องการเรียกร้องเงินคืนให้ผู้โดยสารทำหนังสือจะเป็นจดหมายหรืออีเมล์ก็ได้ไปถึงสายการบินเพื่อแสดงเจตจำนงความต้องการของตนเองให้ชัดเจน และกำหนดวิธีการคืนเงินให้ชัดเจนด้วย เท่านี้ก็ถือเป็นการประกาศสิทธิของผู้บริโภคที่สายการบินจะต้องรับผิดชอบแล้วครับ ผลที่ได้รับก็ไม่นานเกินรอ และดีกว่าโทรคุยอย่างเดียวแน่นอน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 139 เสียความรู้สึกเอทีเอ็มเออเรอร์ ไร้รับผิดชอบ

เดือนนี้ 2 รอบแล้วค่ะ คุณพิมพ์พรผู้ใช้บัตรเอทีเอ็มธนาคารกรุงไทยเธอว่างั้นรอบแรกเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2555 เป็นบัตรประเภทรายปี 200 บาท แล้วได้เข้าไปทำใหม่เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2555 เปลี่ยนเป็นประเภท 500 บาท ฟรีรายปี 3 ปี กดได้ทุกธนาคาร ทุกสาขา ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการกดแล้วล่าสุด โดนยึดเมื่อ 27 มีนาคม 2555 (วันที่ส่งเรื่องร้องเรียน) ตอนประมาณ 12.00 น. ที่ตู้ธนาคารกรุงเทพ สาขาบิ๊กซี จ.ตากเธอบอกว่า กดเอทีเอ็มใส่รหัสถูกต้อง แต่พอจะไปกดไปที่เมนูบัญชีออมทรัพย์ ทันใดนั้นหน้าจอได้ขึ้นข้อความ งดใช้บริการชั่วคราวและไม่ยอมคายบัตรออกมาพอเข้าไปติดต่อที่ธนาคารกรุงเทพเจ้าของตู้ แจ้งว่าเป็นบัตรเอทีเอ็มของธนาคารทหารไทย ได้รับคำตอบว่า รอไปก่อน ไม่รู้ว่าจะไปเปิดตู้เมื่อไหร่ เพราะไม่รู้ว่าเงินจะหมดเมื่อไหร่คุณพิมพ์พรบอกว่า ตอนนี้ตู้ขึ้นข้อความว่า งดใช้บริการชั่วคราวแล้ว ได้รับคำตอบกลับมาว่า “อืมมม นั่นแหละ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะไปแก้ไข ให้รอไปก่อน ไม่ก้อไปติดต่อทำบัตรใหม่”ได้รับคำตอบแบบนี้เลยถึงอึ้งกิมกี่ ไม่รู้จะเซ้าซี้ขอความช่วยเหลือจากธนาคารเจ้าของตู้ยังไงต่อไป คุณพิมพ์พรจึงรีบมาแจ้งทางธนาคารทหารไทย ได้รับคำแนะนำว่า ให้ทำบัตรใหม่ อายัดบัตรเดิม เพราะตู้อื่นยึด เราเอาคืนไม่ได้ “แบบนี้แล้วจะให้เราทำบัตรประเภทกดได้ทุกตู้ทำไมล่ะคะ คุณพี่ แล้วยังจะให้เราทำบัตรใหม่เสียค่าบัตร อีก 500 บาท ทั้งๆ ที่เราเพิ่งทำใหม่ไปเมื่อไม่ถึง 2 อาทิตย์ เราถามว่า ไม่มีทางออกทางไหน อีกเหรอคะ เค้าตอบว่าไม่มี ต้องทำใหม่อย่างเดียวและเสีย 500 บาท ถ้าแบบนี้ เดือนหนึ่ง เราไปกดเงินแล้วโดนยึดบัตรทุกครั้งที่กด เราก้อต้องเสียเงินทำบัตรใหม่ทุกครั้งเหรอคะ ถ้ากด 10 ครั้ง เสีย 10 รอบ รอบละเท่าไหร่คะ เสียดายเงินค่ะ รบกวน ขอคำปรึกษา และคำแนะนำหน่อยค่ะ” แนวทางแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ทำนองนี้ต้องเรียกว่า “ผีซ้ำด้ำพลอย” คือโดนกระทำจากผีนอกบ้านแล้วยังโดนผีเรือนในบ้านเหยียบซ้ำอีก (ด้ำ ภาษาอีสานแปลว่า ผีบ้าน ผีเรือน )เท่าที่ติดตามการร้องเรียนในเรื่องนี้ มีปัญหากันเยอะเหมือนกัน บางรายกดเงิน เงินไหลออกมา แต่ตัวบัตรไม่ยอมคืนออกมา บางรายกำลังทำรายการอยู่ อยู่ๆหน้าจอตู้ดับเครื่องรีเซ็ทใหม่ เงินไม่ได้บัตรไม่ออก เดือดร้อนกันเป็นแถวๆ เพราะไม่มีบัตรกดเบิกเงิน พอไปติดต่อกับธนาคารเจ้าของตู้ก็บอกว่าต้องรออีก 10-15 วันถึงจะมาเปิดตู้ให้ แต่บอกไม่ได้ว่าจะมาเมื่อไหร่เพราะต้องเป็นความลับเดี๋ยวโจรมันรู้ สุดท้ายทนรอไม่ไหวก็ต้องเสียเวลาเสียเงินทำบัตรใหม่กันข้อแนะนำ1.ใช้บัตรเอทีเอ็มของธนาคารไหนก็ควรกดของธนาคารนั้นดีที่สุด จำเป็นหรือหาตู้ไม่ได้จริงค่อยไปกดตู้ของธนาคารอื่น เวลาเกิดเรื่องยุ่งยากจะได้ติดต่อแค่ธนาคารเดียว2.ตู้ที่จะกดเงิน ส่ายสายตาหาดูก่อนว่า มีกล้องวงจรปิดที่สามารถใช้งานได้เป็นปกติ ไม่มีสิ่งกีดขวาง อาทิเช่น รังนกมาบังมุมกล้อง เมื่อเกิดปัญหาให้แสดงอาการฟ้องต่อหน้ากล้องทันที เช่น ได้เงินไม่ครบก็ให้นับเงินหน้ากล้องแล้วชูบอกให้เห็นว่าเงินไม่ครบ เพื่อให้ภาพบันทึกไว้เป็นหลักฐาน3.ถ้าเป็นไปได้เลือกกดตู้ที่ตั้งอยู่หน้าธนาคารนั่นแหละดีที่สุด มีทั้งกล้อง มีทั้งเจ้าหน้าที่ พนักงานรักษาความปลอดภัยคอยให้ความช่วยเหลือ4.หากบัตรเอทีเอ็มถูกยึดไม่ว่าจะเกิดที่ตู้ของธนาคารเจ้าของบัตรเองหรือธนาคารอื่น คนที่จะเอาออกมาได้ก็คือธนาคารที่เป็นเจ้าของตู้ ให้เข้าไปแจ้งพร้อมกรอกเอกสารร้องเรียนทันที ระบุตำแหน่งที่ตั้งและหมายเลขของตู้ พร้อมขอชื่อพนักงานและผู้จัดการสาขา พร้อมเบอร์โทรศัพท์ติดต่อเรื่องการติดตามรับบัตร หากพนักงานบริการไม่เอาอ่าวเอาทะเล ให้รีบติดต่อร้องเรียนกับผู้จัดการสาขาโดยตรงทันที โดยขอให้เร่งรัดติดตามเอาบัตรกลับคืนโดยเร็วและให้นัดหมายวันเวลารับบัตรให้ชัดเจน5.ในกรณีที่ไม่ใช่ความผิดพลาดของผู้บริโภค ไม่ควรใจด่วนทำบัตรใหม่ หากธนาคารไม่มีนโยบายยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับปัญหาเออร์เรอร์ลักษณะนี้ ควรเบิกถอนเงินด้วยสมุดบัญชีก่อน ดังนั้นไม่ควรหลงเชื่อธนาคารง่ายๆ ที่แนะนำให้ทำบัตรเอทีเอ็มโดยไม่มีสมุดบัญชี กันไว้ดีกว่าแก้ครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 139 ปัญหาหนึ่งของบัตรสมาร์ทเพิร์ส บัตรไม่ชำรุดแต่ถูกบอกว่าชำรุด แนะให้ทำบัตรใหม่จ่ายเงินเพิ่ม

คุณยิ่งยศร้องเรียนเข้ามาว่า...ผมได้ซื้อบัตรสมาร์ทเพิร์ส Smart Purse ที่บริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด จำกัด ออกร่วมกับ SF cinema city ก็ใช้ได้ตามปกติตลอดจนมาวันหนึ่งนำบัตรไปแตะกับเครื่องอ่าน แต่เครื่องไม่อ่านแจ้งไปทางบริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด จำกัด เขาให้ไปติดต่อกับเอสเอฟ แต่เอสเอฟไม่รับคืนเพราะเลิกใช้บัตรนี้แล้วทาง บริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด จำกัด จึงให้ไปคืนที่ 7-11 ก่อนส่งบัตรไป ผมให้ทางผู้จัดการร้าน 7-11 ตรวจดูบัตรว่าแตกหักหรือไม่ แต่ก็ไม่มีร่องรอยแตกหัก พอส่งบัตรไป ทาง บริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด จำกัด แจ้งว่าบัตรแตก ให้ซื้อบัตรใหม่ในราคา 160 บาท และบัตรโอนได้แต่เงินคงเหลือในบัตร แต้มไม่สามารถโอนได้ ผมไม่ยอมตอนหลัง บริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด จำกัด จึงให้โอนแต้มได้ แต่ต้องซื้อบัตรใหม่อยู่ดี พร้อมส่งหนังสือและบัตรกลับมาให้ จึงเรียนสอบถามว่าผมจะสามารถทำอะไรได้บ้างกับกรณีนี้ครับ เพราะก่อนส่งไป ผู้จัดการร้าน 7-11 ก็ตรวจสอบแล้วว่าบัตรไม่แตกแต่พอไปถึง บริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด จำกัด กลับแจ้งว่าบัตรแตก แนวทางแก้ไขปัญหาเราได้เข้าไปตรวจสอบข้อมูลที่ http://www.thaismartcard.co.th ได้รับคำอธิบายขยายความว่า บัตรสมาร์ทเพิร์ส คือ การเก็บเงินสดไว้ในบัตรในรูปของเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าและบริการผ่านเครื่อง ณ ร้านค้าที่รับบัตรสมาร์ทเพิร์ส เหมาะสำหรับการใช้จ่ายที่มีมูลค่าไม่มากนักแทนการใช้ธนบัตรหรือเหรียญ โดยมูลค่าในบัตรจะลดลงตามปริมาณการใช้ และสามารถเติมเงินลงในบัตรได้ด้วยเงินสด ที่จุดรับบริการเติมเงิน ได้แก่ ร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ทรูช้อป ยามาฮ่า โชคดีติ่มซำ และSF Cinema ซึ่งการทำบัตรหายเท่ากับการทำเงินหายจึงควรดูแลเหมือนเงินสดและเก็บในที่ปลอดภัยสำหรับข้อดีที่บริษัทใช้ชักชวนผู้บริโภคมีหลายข้อ เช่น- บัตรสมาร์เพิร์สสามารถลดภาระ และความเสี่ยงจากการถือเงินสดช่วยให้ผู้ถือบัตรมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นในการพกพาบัตรเพียงใบเดียวแต่ใช้งานได้หลากหลาย- ผู้ถือบัตรจะได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว แก้ปัญหาการซื้อของแล้วไม่มีเงินทอน- ผู้ถือบัตรสามารถนำบัตรสมาร์ทเพิร์สไปใช้ยังบริการอื่นๆ ที่รับบัตร นับเป็นช่องทางใหม่ในการจับจ่ายใช้สอย เช่น โทรศัพท์ ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม โรงภาพยนตร์ ร้านหนังสือ-บันเทิง ระบบขนส่งมวลชน เป็นต้น- บัตรสมาร์ทเพิร์สช่วยบริหารค่าใช้จ่ายส่วนตัวอย่างมีประสิทธิภาพ- ผู้ถือบัตรสามารถใช้บริการของธุรกิจหลากหลายประเภทที่แยกออกจากกันอย่างชัดเจนภายในบัตรใบเดียวกัน พร้อมระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสูงสุด- ผู้ถือบัตรมีโอกาสได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ เพิ่มเติมสำหรับผู้ถือบัตรจากร้านค้าและเครือข่ายบัตรที่บริษัท ออกร่วมกับองค์กรภาคเอกชน (Co-Branded Card)เมื่อได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วว่าการที่บัตรใช้งานไม่ได้ ไม่ได้เกิดจากการใช้งานหรือความบกพร่องของผู้บริโภค เราจึงได้โทรติดต่อไปที่บริษัท ไทยสมาร์ทคาร์ด จำกัด เพื่อขอให้ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องแจ้งกลับมาว่าจะปรึกษากับผู้ใหญ่และติดต่อมาอีกครั้งหลังจากประสานงานกับทางบริษัทไทยสมาร์ทการ์ดแล้ว ได้มีการชี้แจงว่าได้ดำเนินการเปลี่ยนบัตรใหม่ให้กับทางผู้ร้องเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งนี้ทางบริษัทฯ แจ้งว่าเป็นการเข้าใจผิดระหว่างลูกค้ากับทางส่วนหน้าร้านในการเปลี่ยนบัตร บริษัทฯ ต้องขออภัยทางลูกค้าด้วย จบข่าว สมาร์ทเพิร์ส  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 139 กระแสต่างแดน

ความสะดวกต้องมาก่อน? พาคุณผู้อ่านไปดูสถานการณ์รถโดยสารสาธารณะในจีนกันบ้าง ข่าวว่ามีอุบัติเหตุบ่อยไม่แพ้ที่เมืองไทย แต่มันประหลาดกว่าตรงที่เราเลือกเดินทางกับรถทัวร์เพราะมันถูก แต่คนจีนเขานิยมเดินทางด้วยรถทัวร์กันมากที่สุดทั้งๆที่ตั๋วรถทัวร์แพงกว่าตั๋วรถไฟด้วยซ้ำ เหตุเพราะเวลาของรถทัวร์มันช่างเหมาะกับการใช้ชีวิตเสียจริงๆนะพี่น้อง ไม่ว่าจะมาทำงานหรือมาซื้อของไปขาย ตัวอย่างเช่น รถทัวร์ระหว่างลินเฮกับปักกิ่ง มีให้ขึ้นกันทุกครึ่งชั่วโมง ด้วยค่าโดยสาร 250 หยวน ( ตั๋วรถไฟ ราคาเพียง 150 หยวน เท่านั้น) บรรดาพ่อค้าแม่ขายมาจะถึงปักกิ่งประมาณเที่ยง แล้วเดินจากสถานีขนส่งเข้าตลาดไปหาซื้อของได้เลย ได้ของครบก็กลับมาขึ้นรถที่ออกตอน 16.30 น. กลับบ้านสบายใจเฉิบ แถมบนรถยังมีพื้นให้วางของอีกด้วย ลืมบอกไปว่ารถโดยสารส่วนหนึ่งของที่นี่เขาเป็นรถนอน สองชั้น ขนาด 30 เตียง ส่วนใหญ่พาผู้โดยสารข้ามเมืองผ่านเส้นทางคดเคี้ยว มือใหม่หัดนั่งก็อาจจะนอนไม่ค่อยหลับ แต่หลายคนที่ใช้บริการอยู่บอกเดี๋ยวก็ชิน ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับรถโดยสารสองชั้น 13 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 252 คน สาเหตุหลักมากจากโครงสร้างตัวรถและอาการหลับในของพนักงานขับรถนั่นเอง ทางการเขามีกฎให้เปลี่ยนคนขับทุก 4 ชั่วโมง แต่ความเป็นจริงก็อย่างที่เรารู้ๆกัน ยิ่งช่วงเทศกาลด้วยแล้วยิ่งเป็นโอกาสทองที่คนขับเขาจะทำเงิน มีรายหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าถ้าสภาพร่างกายเขาอึดพอ เขาจะสามารถหาเงินได้ ถึง 20,000 หยวน ซึ่งเท่ากับเงินที่หาได้จากการทำงาน 11 เดือนเลยทีเดียว รัฐบาลเขาก็พยายามอย่างยิ่งที่จะลดอุบัติเหตุ ตั้งแต่การบังคับติดกล้องวงจรปิดบนรถ และห้ามรถวิ่งในระหว่างเวลาตี 2 ถึง ตี 5 (ซึ่งจากสถิติแล้วเป็นเวลาที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด) ไปจนถึงการสั่งเลิกผลิตรถสองชั้นพวกนี้ และไม่รับต่อทะเบียน ขอแสดงความเสียใจกับคนที่อยากไปทดลองขึ้น ลองแสวงหาความตื่นเต้นกันด้วยวิธีอื่นไปก่อนแล้วกัน     เวียดนามอัพเกรดกฎหมายโฆษณา กลับมาที่เพื่อนบ้านใกล้ตัว กฎหมายโฆษณาของเวียดนามฉบับปรับปรุงใหม่ที่จะมีผลวันที่ 1 มกราคมปีหน้า เขาอนุญาตให้สื่อสิ่งพิมพ์เพิ่มหน้าโฆษณาได้ และให้วิทยุ/โทรทัศน์มีโฆษณาได้ร้อยละ 10 ของเวลาออกอากาศ (มากกว่ากฎหมายเดิมซึ่งอนุญาตเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น) ประมาณการณ์ได้ว่าผู้ผลิตจะต้องมีเฮ ... แต่เดี๋ยวก่อน เขาระบุไว้ด้วยว่า ทั้งเจ้าของผลิตภัณฑ์และบริษัทโฆษณาจะต้องร่วมกันรับผิดชอบถ้าโฆษณาดังกล่าวมีข้อมูลอันเป็นเท็จ ค่าปรับตามกฎหมายใหม่นั้น มากกว่าเดิมถึง 5 เท่า ใครลงโฆษณาหลอกลวงผู้บริโภค ท่านก็มีสิทธิถูกปรับถึง 200 ล้านดอง (เกือบสามแสนบาท) ผู้ชมโทรทัศน์บอกว่าโฆษณาทุกวันนี้ ไม่ไหวจะดู แถมยังโผล่มาไม่เป็นเวล่ำเวลาอีกด้วย เห็นบอกว่าดูละครเรื่องหนึ่ง ต้องเจอกับโฆษณาแทรกถึง 4 ครั้ง (นี่แสดงว่ายังไม่เคยดูละครไทยกันล่ะสิ) สื่อเวียดนามเขายังมีข้อสงสัย ว่าผู้บริโภคชาวเวียดนามรู้สึกมั่นใจขึ้นว่าตัวเองจะปลอดภัยจากโฆษณาหลอกลวงเหล่านี้จริงหรือไม่? ใครจะเป็นผู้รับรองคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์? ใครจะเป็นผู้คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคเวลาที่ผู้ประกอบการเผยแพร่ข้อมูลผิดๆในโฆษณา? ข่าวเขายกตัวอย่าง การเสียชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งจากการเข้าไปรับบริการที่มาเรีย คลินิก ซึ่ง โฆษณาว่าเป็นหนึ่งในคลินิกที่ดีที่สุดของเวียดนาม หรือโฆษณาหมวกกันน็อค ที่อ้างว่าได้มาตรฐานความปลอดภัย ที่มาถูกจับได้ในภายหลังว่าเป็นหมวกกันน็อคชนิดที่ใช้สำหรับการขับขี่จักรยานเท่านั้น ผู้ผลิตถูกปรับไปเพียง 27.5 ล้านดอง (ประมาณ 45,000 บาท) ซึ่งเท่ากับเงินเดือนเพียงสองเดือนของคนชั้นกลางในเวียดนามเท่านั้น     ห้าม “อินเตอร์” แค่ชื่อ ขณะที่เรากำลังจะปั้นตัวเองให้เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ มาเลเซียเขาก็ตั้งธงจะเป็นศูนย์กลางทางด้านการศึกษาเช่นเดียวกัน เริ่มจากกระทรวงอุดมศึกษาของเขาประกาศเข้มงวดกับสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาของเอกชน ที่ตั้งชื่อด้วยการใส่คำว่า “นานาชาติ” ว่าต้องมีคุณภาพและมาตรฐานสมระดับ international จริงๆ เขาบอกว่าต่อไปนี้ใครใช้คำที่ว่า ก็แปลว่าต้องมีหน้าที่จัดการเรียนการสอนที่เป็นไปตามมาตรฐานสากลด้วย รวมถึงการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เช่นต้องมีสนามกีฬาทั้งกลางแจ้งและในร่มด้วย จะมามีเฉพาะห้องเรียน ห้องประชุมไม่ได้แล้ว แถมยังบอกว่ากำลังพิจารณาให้มหาวิทยาลัยตามตึกแถว ที่มีคำว่า “นานาชาติ” อยู่ในชื่อ ถอนคำดังกล่าวออกไปด้วย เพราะสถาบันพวกนี้ ตอนที่มาขอจดทะเบียนก็อ้างว่าขอใช้ห้องแถวเพียงชั่วคราว แต่ 15 ปีผ่านไปก็ยังไม่ขยับขยายไปที่อื่น ปัจจุบันมาเลเซียมีมหาวิทยาลัย “นานาชาติ” อยู่ทั้งหมด 109 แห่ง ในกลุ่มนี้เป็น “ห้องแถว” นานาชาติเสีย 48 แห่ง     ขาดแคลนจิตวิญญาณ การสำรวจเมื่อเร็วๆนี้ของกระทรวงการศึกษาและฝึกอบรมของเวียดนามพบว่า ร้อยละ 20 ของคณะต่างๆในมหาวิทยาลัยที่นั่นยังไม่มีห้องสมุด อันนั้นไม่เท่าไร แต่เขาบอกว่าอีกร้อยละ 80 นั้นมีห้องสมุดก็จริง แต่มันเป็นห้องสมุดที่ช่าง “ขาดจิตวิญญาณ” เสียนี่กระไร จากการสำรวจ 196 คณะในมหาวิทยาลัยของกระทรวงฯ (จากทั้งหมด 392 แห่ง) พบว่ามีเพียง ร้อยละ 80.4 เท่านั้นมีห้องสมุด ในขณะที่มหาวิทยาลัยภายใต้สังกัดกระทรวงอื่น หรือภายใต้สังกัดการปกครองท้องถิ่นนั้น มีสถิติการมีห้องสมุดสูงกว่า นอกจากนี้ยังมีเพียงไม่ถึงร้อยละ 40 ในกลุ่มนี้ ที่มี “ห้องสมุดอิเล็กทรอนิ กส์” ให้นักศึกษาได้ใช้กัน ผู้บริหารคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยด้านการศึกษาแห่งฮานอย บอกว่านี่แหละคือสถานการณ์ของมหาวิทยาลัยในเวียดนาม ณ ปัจจุบัน แม้แต่ข่าวห้องเรียนหรืออุปกรณ์การศึกษาไม่เพียงพอ ก็ไม่ถือเป็นเรื่องแปลก เขายกตัวอย่างว่า นักศึกษาจำนวน 10,000 คน ของมหาวิทยาลัยด้านธรณีวิทยาและการทำเหมืองก็ต้องใช้ห้องที่เป็นของโรงแรมแห่งหนึ่งเป็นห้องเรียน อาจารย์จากมหาวิทยาลัยด้านการกีฬาแห่งโฮจิมินห์ซิตี้ ก็บอกว่าปัญหาหลักอีกอย่างหนึ่งคือการมีเงินทุนไม่เพียงพอต่อการซื้อที่ดินมาทำสถานศึกษาด้วย     โชว์ห่วยแดนภารตะ  ผู้อ่านฉลาดซื้อคงจะได้ยินข่าวเรื่องรัฐบาลอินเดียยินยอมให้ห้างค้าปลีกข้ามชาติ อย่างวอลมาร์ท ของสหรัฐฯ หรือเทสโกของอังกฤษเข้าไปตั้งสาขาในแดนภารตะที่มีประชากรกว่า 1,200 ล้านคนได้ โดยให้เหตุผลว่าเพื่อการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยจะโชติช่วงเท่าที่ควร แน่นอนอยู่แล้วว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้รับผลกระทบ และออกมาชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนการตัดสินใจ เพราะตามถนนหนทาง ตรอกซอยต่างๆ ที่อินเดียนั้นล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยร้านโชว์ห่วย ที่ถือเป็นกิจการของครอบครัว สืบทอดกันมากจากรุ่นสู่รุ่น ข้อมูลของสหพันธ์ผู้ค้าแห่งอินเดีย ระบุว่ามีร้านค้าประเภทนี้กว่า 50 ล้านแห่ง และมีผู้คนกว่า 220 ล้านคนที่การทำมาหากินของพวกเขาต้องพึ่งพาร้านเหล่านี้ คนกลุ่มนี้จึงเป็นฐานเสียงขนาดใหญ่ทีเดียว ต้องจับตาดูกันว่ารัฐบาลเขาจะเลือกอย่างไร แม้นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งจะมองว่า สังคมอินเดียน่าจะไม่ถูกผลกระทบจากการมีห้างเหล่านี้ซึ่งคาดว่าต้องออกไปตั้งอยู่ตามชานเมือง ในขณะที่ร้านโชว์ห่วยดั้งเดิมมีทำเลที่ดีกว่า เข้าถึงได้ง่ายกว่า และมีความสัมพันธ์ที่ดีกว่ากับลูกค้า ข่าวบอกว่ารัฐบาลจำกัดให้ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่เปิดได้เฉพาะในเมืองที่มีประชากรมากกว่า 1 ล้านคน (ซึ่งไม่น่าจะหายากนักในอินเดีย) ต้องมีการลงทุนอย่างน้อย 100 ล้านเหรียญสหรัฐ และขายสินค้าที่จากท้องถิ่นอย่างน้อยร้อยละ 30 มาลุ้นกันดูว่าเหตุการณ์จะจบลงคล้ายที่บ้านเราหรือไม่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 139 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือนสิงหาคม 2555 อย.ก็ตรวจสารเคมีในผัก หลังจากที่ฉลาดซื้อของเราได้ทำการสุ่มเก็บตัวอย่างผักสดที่วางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อดัง แล้วพบว่ามีการปนเปื้อนของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเกินมาตรฐานในหลายตัวอย่าง ซึ่งหลังจากฉลาดซื้อนำผลวิเคราะห์ลงในนิตยสารพร้อมทั้งเปิดแถลงข่าวจนเกิดเป็นกระแสตื่นตัวถึงอันตรายของสารเคมีในผักและการขายสินค้าไม่ปลอดภัย โดยหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรงอย่างสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ก็ได้มีการจัดเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบคุณภาพผักผลไม้ที่จำหน่ายในท้องตลาดโดยใช้ชุดทดสอบเบื้องต้น (Test Kit) โดยเป็นการสุ่มเก็บตัวอย่างผัก – ผลไม้ในเขตกทม.จำนวน 1,987 ตัวอย่าง มาตรวจวิเคราะห์ ผลที่ได้พบว่ามีจำนวนตัวอย่างไม่ผ่านเกณฑ์ 69 ตัวอย่าง แบ่งเป็นตัวอย่างที่เก็บจากตลาดสด 60 ตัวอย่าง ตัวอย่างผักสดที่พบสารพิษตกค้างมากที่สุดคือ 1. คะน้า 2. กะหล่ำดอก 3. ต้นหอม ส่วนอีก 9 ตัวอย่างที่พบการปนเปื้อนเป็นตัวอย่างที่เก็บจากซูเปอร์มาร์เก็ต โดยคะน้ายังคงเป็นผักที่พบสารตกค้างมากที่สุด รองลงมาคือ มะเขือพวง และ พริกไทย ซึ่งทาง อย. ก็ได้ตักเตือนไปกับทางผู้จำหน่าย พร้อมทั้งจะทำการสุ่มตรวจซ้ำต่อเนื่อง หากพบการทำผิดซ้ำจะมีบทลงโทษตามกฎหมาย ----------------------------------------------------------------------------------------     ไม่ใช่แค่คนขับ...คนนั่งก็มีสิทธิถูกปรับถ้าเมาบนรถ นักดื่มทั้งหลายรู้กันหรือยัง ตอนนี้มีกฎหมายออกมาแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นคนขับรถหรือเป็นผู้โดยสารถ้าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถือว่ามีความผิด ตาม “ประกาศตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 เรื่อง การห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในทางสาธารณะ ขณะขับขี่หรือขณะโดยสารอยู่ในรถหรือบนรถทุกประเภท” ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคมเป็นต้นไป โดยบทลงโทษสำหรับผู้ที่ทำผิดคือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน และปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งหน่วยงานที่รณรงค์เรื่องปัญหาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) เชื่อว่ากฎหมายนี้น่าจะช่วยลดสถิติการเสียชีวิตและบาดเจ็บที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งสถิติทุกวันนี้จะอยู่ที่เฉลี่ย 30 รายต่อวัน ยิ่งถ้าจะเป็นช่วงเทศกาลจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งความเสียหายต่อทั้งชีวิตและทรัพย์สินที่เกิดขึ้นนั้น บริษัทผู้ผลิตหรือนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่เคยออกมารับผิดชอบแก้ไขใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้กฎหมายอีก 2 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่กำลังรอการบังคับใช้ ประกอบด้วย ร่างประกาศ “ห้ามขายและห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในโรงงานอุตสาหกรรม” ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา มีผลบังคับใช้ในอีก 90 วัน และ ร่างประกาศ “ห้ามขายห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ” ที่ยังไม่ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ---------------------------------------------------------------------------------------     เรื่องร้อนๆ ของ “ผ้าเย็น” “ผ้าเย็น” ถือเป็นสินค้าที่หลายคนใช้โดยมองข้ามเรื่องความปลอดภัย ทั้งที่ความจริงแล้ว ผ้าเย็นจัดเป็นสินค้าในกลุ่ม “เครื่องสำอางควบคุม” ตามประกาศของ อย. ต้องมีการแสดงคำเตือนบนฉลาก เช่น “ห้ามใช้บริเวณรอบดวงตา” พร้องทั้งข้อมูลสำคัญอื่นๆ เช่น ชื่อ – ที่อยู่ผู้ผลิต เลขที่จดแจ้งกับทาง อย. แต่ปัจจุบันเรายังพบเห็นผ้าเย็นที่มีปัญหาเรื่องการแสดงข้อมูลบนฉลากเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผ้าเย็นที่ได้รับแจกตามร้านอาหาร โต๊ะจีน บนรถโดยสาร ซึ่งอันตรายของผ้าเย็นที่ไม่ได้มาตรฐานอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง หรือหากถูกบริเวณก็อาจทำให้แสบตาได้ เนื่องจากสารที่ต้องห้ามในเครื่องสำอางอย่าง เมททิลแอลกอฮอล์ และรวมถึงอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ โดยล่าสุด กองบังคับการปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) ได้ตรวจยึดผ้าเย็นที่เสี่ยงอันตราย จำนวนกว่า 100,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 500,000 บาท ของบริษัทไทยโทเวล หลังจากได้รับการร้องเรียน โดยตรวจสอบพบว่าผ้าเย็นทั้งหมดไม่มีการแสดงฉลาก ---------------------------------------------------     “พาสต้า” น่าเป็นห่วง ใครที่ชอบทานอาหารอิตาเลียนชื่อดังอย่าง “พาสต้า” อ่านข่าวนี้แล้วอาจจะตกใจ เพราะมีการเปิดเผยผลการศึกษาวิจัยในการประชุมวิชาการของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 20 เกี่ยวกับสิ่งแปลกปลอมในพาสต้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยศึกษาสิ่งแปลกปลอมชนิดต่างๆ ในตัวอย่างพาสต้านำเข้าช่วงเดือนตุลาคม 2548-2552 จำนวน 142 ตัวอย่าง พบสิ่งแปลกปลอมขนาดเล็กในทุกตัวอย่าง เช่น ชิ้นส่วนของแมลง ตัวหนอน ตัวไร มด ขนสัตว์ต่าง ๆ ไข่แมลง เป็นต้น ฟังแล้วน่าตกใจ งานนี้ อย. จึงต้องออกมาสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค โดยได้มีการสุ่มเก็บตัวอย่างพาสต้าเพื่อนำมาวิเคราะห์หาสารพิษจากเชื้อราและวัตถุกันเสีย ซึ่งผลการตรวจวิเคราะห์ไม่พบตัวอย่างที่มีการปนเปื้อน พาสต้าจัดเป็นอาหารทั่วไปกลุ่มผลิตภัณฑ์จากแป้ง ไม่มีการกำหนดคุณภาพมาตรฐานเป็นการเฉพาะไว้ แต่ก็มีข้อกำหนดด้านความปลอดภัย เช่น ต้องไม่มีสารปนเปื้อนและจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค แต่ปกติพาสต้าต้องมีการปรุงด้วยความร้อนก่อนทาน ก็น่าจะช่วยฆ่าเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมได้ระดับหนึ่ง ซึ่งหากใครที่ซื้อพาสต้ามาทานแล้วพบเจอสิ่งแปลกปลอมน่าสงสัยให้รีบแจ้งหรือส่งไปให้ทาง อย. ตรวจสอบต่อไป ------------------------------------------------------------------------------------     ระวังสูญเงินฟรีเพราะซอฟต์แวร์เถื่อน ใครที่ใช้งานซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ละเมิดลิขสิทธิ์อยู่ต้องระวัง โดยเฉพาะคนที่ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบอินเตอร์เน็ต อาจมีความเสี่ยงต่อการสูญเงินแบบไม่รู้ตัว เนื่องจากโปรแกรมละเมิดลิขสิทธิ์มักขาดระบบป้องกันที่ได้มาตรฐาน ทำให้บรรดาอาชญากรคอมพิวเตอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้น สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา มีคำแนะนำสำหรับผู้ที่ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ต้องใช้ความระมัดระวังในการให้ข้อมูลที่สำคัญๆ โดยเฉพาะหมายเลขบัญชีธนาคาร และรวมถึงรหัสผ่านต่างๆ นอกจากนี้หากมีการติดต่อจากธนาคารหรือสถาบันการเงินผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิก ก่อนการตอบรับหรือติดต่อกลับต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่าถูกส่งมาจากธนาคารจริง ป้องกันการหลอกลวงจากมิจฉาชีพที่หวังข้อมูลด้านการเงินของเรา หากไม่แน่ใจหรือมีข้อสงสัยในขั้นตอนใดๆ ของการทำธุรกรรมการเงินออนไลน์ ต้องโทรสอบถามกับทางธนาคาร สำหรับอันตรายของการใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ลิขสิทธิ์ คือการส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมของคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะระบบป้องกันข้อมูลต่างๆ มีประสิทธิภาพจะด้อยลง และบ่อยครั้งที่มัลแวร์หรือซอฟต์แวร์ที่ไม่ปลอดภัยมักจะถูกโหลดมาพร้อมกับซอฟต์แวร์ที่ไม่ถูกกฎหมายโดยที่ผู้บริโภคไม่รู้ตัว  ที่สำคัญคือผู้บริโภคเองก็ต้องรู้จักที่จะปกป้องข้อมูลของตัวเอง อย่างเช่นการเปิดระบบ Firewalls และทำการติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสที่มีประสิทธิภาพไว้ในคอมพิวเตอร์ของตัวเอง หมั่นล้างประวัติการใช้งานอินเตอร์เน็ต และเปลี่ยนรหัสผ่านที่ใช้ในการทำธุรกรรมการเงินเป็นประจำ ยิ่งเดี๋ยวนี้หลายคนใช้เว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าง Facebook และ Twitter การแสดงข้อมูลสำคัญต่างๆ ต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะอาจมีผู้ไม่หวังดีเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นแล้วนำไปใช้ประโยชน์จนเกิดความเสียหายกับเราได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 138 เราพบอะไรในชุดชั้นในสีดำ

หลายคนอาจเคยได้ยินข่าวว่าในต่างประเทศมีการทดสอบเสื้อชั้นในสีดำและพบสารก่อมะเร็งในปริมาณสูง และอาจสงสัยว่าเสื้อชั้นในสีดำที่ขายอยู่ในบ้านเรามีสารดังกล่าวหรือไม่ ฉลาดซื้อเก็บตัวอย่างเสื้อในชั้นสีดำทั้งจากตลาดบน ตลาดกลาง และตลาดล่าง* ทั้งหมด 10 ตัวอย่าง (ราคาตั้งแต่ 50 - 790 บาท ทั้งหมดผลิตในประเทศไทย ยกเว้นยูนิโคล่ รุ่นไวร์เลส ที่ผลิตจากประเทศจีน) ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แล้วส่งเข้าทดสอบในห้องปฏิบัติการของศูนย์วิเคราะห์ทดสอบสิ่งทอ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อไขข้อข้องใจในประเด็นเหล่านี้ ชนิดของเส้นใยที่ใช้เป็นไปตามที่แจ้งบนฉลากหรือไม่ มีฟอร์มาลดีไฮด์ (สารที่ใช้เพื่อป้องกันผ้าย่น หรือยับ) หรือไม่ ค่าความเป็นกรด-ด่างเกินมาตรฐานหรือไม่ สารเคมีในสีย้อมที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง จากผลทดสอบในภาพรวม เสื้อชั้นในส่วนใหญ่ผลิตจากเส้นใยตามที่ได้แจ้งไว้ มีเพียงยี่ห้อ Princess ที่ระบุบนฉลากว่าเป็น “ฝ้าย 100%” แต่ทดสอบแล้วพบว่าเป็นเส้นใยโพลีเอสเตอร์ ส่วนชุดชั้นในอีก 3 ยี่ห้อที่ไม่ระบุเส้นใยที่ใช้ก็เป็นโพลีเอสเตอร์ หรือโพลีเอสเตอร์ผสมฝ้าย ซึ่งเรื่องของเส้นใยนั้นต้องแล้วแต่ความชอบของผู้บริโภคแต่ละคน ใครเน้นสวมใส่สบาย ระบายอากาศดีก็เลือกที่เป็นเส้นใยจากฝ้าย แต่ถ้าใครเน้นซักง่ายแห้งเร็วก็คงจะเลือกเส้นใยโพลีเอสเตอร์ สำคัญตรงที่ผู้ผลิตมีการแจ้งต่อต่อผู้บริโภคอย่างตรงไปตรงมาเพื่อการพิจารณานั่นเอง ------------------------------------------------------------------------------- ตลาดชุดชั้นในสตรีในบ้านเราซึ่งมีมูลค่าการตลาดไม่ต่ำกว่า 12,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ : ข้อมูลจากงานวิจัยปี พ.ศ. 2552 โดย ผุสดี ใจแก้วทิ  เรื่อง กลยุทธ์ธุรกิจและกลยุทธ์ทางการตลาดซึ่งสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเลือกซื้อชุดชั้นในสตรีของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร: กรณีศึกษา บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) ลิขสิทธิ์มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ------------------------------------------------------------------------------- จากงานวิจัยเดียวกัน สีเสื้อชั้นในที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือสีเนื้อ (ร้อยละ 37.5) ตามด้วยสีขาว (ร้อยละ 32) สีชมพู (ร้อยละ 13.5) และสีดำ (ร้อยละ 10.5) -------------------------------------------------------------------------------   เสื้อชั้นใน Ne’s bra รุ่น 8802 ราคา 50 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไม่ระบุ ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             โพลีเอสเตอร์ ค่าความเป็นกรดด่าง 6.52 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Princess รุ่น 191 ราคา 79 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก Cotton 100% ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             โพลีเอสเตอร์ ค่าความเป็นกรดด่าง 6.72 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Sister hood รุ่น Sport 072 ราคา 89 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไม่ระบุ ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             โพลีเอสเตอร์ / ฝ้าย ค่าความเป็นกรดด่าง 7.09 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Jintana รุ่น Jina Teen JB 2850 ราคา 260 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไม่ระบุ ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ไนลอน ค่าความเป็นกรดด่าง 7.16 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Sabina รุ่น SBN Sport SBB 374 BK ราคา 440 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ฝ้าย ค่าความเป็นกรดด่าง 7.44 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน POP line รุ่น WL 1799 ราคา 450 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไนลอน ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ไนลอน ค่าความเป็นกรดด่าง 6.10 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Wacoal รุ่น WH 2M03 T-Shrunk ราคา 550 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ฝ้าย ค่าความเป็นกรดด่าง 7.95 สารก่อมะเร็งในสีย้อม 4-chloroaniline 15.35 มก./กก.     เสื้อชั้นใน Elle รุ่น LB 8502 ราคา 650 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ไนลอน ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ไนลอน ค่าความเป็นกรดด่าง 7.16 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน UNIQLO รุ่น Wireless Bra Light ราคา 790 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก โพลีเอสเตอร์ ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             โพลีเอสเตอร์ ค่าความเป็นกรดด่าง 6.85 สารก่อมะเร็งในสีย้อม ไม่พบ     เสื้อชั้นใน Triumph รุ่น Sloggi Organic Cotton ราคา 790 บาท ชนิดเส้นใยที่ระบุบนฉลาก ฝ้าย ชนิดเส้นใยที่ทดสอบได้             ฝ้าย ค่าความเป็นกรดด่าง 6.84 สารก่อมะเร็งในสีย้อม 4-chloroaniline 15.09 มก./กก.   ------------------------------------------------------------------------ ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน ชุดชั้นในสตรี มผช. 837/ 2554 กำหนดไว้ว่า ปริมาณฟอร์มาลดีไฮด์ ต้องน้อยกว่า 75 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ค่าความเป็นกรด-ด่าง ต้องอยู่ระหว่าง 5 ถึง 7.5 สีเอโซที่ให้แอโรแมติกแอมีน 24 ตัว ต้องไม่เกิน 30 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ผลการวิเคราะห์ ในการทดสอบคราวนี้เราไม่พบฟอร์มาลดีไฮด์ในทั้ง 10 ตัวอย่าง และค่าความเป็นกรดด่างของเสื้อชั้นในส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ ยกเว้นวาโก้ WH 2M03 T-Shrunk ที่มีค่า pH สูงเกินเกณฑ์ไปเล็กน้อย   นอกจากนี้เรายังพบสาร 4-คลอโรแอนิลีน (4-chloroaniline) ในชุดชั้นใน 2 รุ่นได้แก่ วาโก้ WH 2M03 T-Shrunk และ ไทรอัมพ์ Sloggi Organic Cotton ในปริมาณ 15.35 มิลลิกรัม/ กิโลกรัม และ 15.09 มิลลิกรัม/ กิโลกรัม ตามลำดับ ปริมาณดังกล่าวถือว่าไม่เกินมาตรฐานที่ประเทศไทย หรือเกณฑ์เบื้องต้นของยุโรปกำหนดให้มีได้ไม่เกิน 30 มิลลิกรัม/ กิโลกรัม)   อย่างไรก็ตาม สารดังกล่าวเป็นหนึ่งในสารอะโรแมติกแอมีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ถ้าอ้างอิงเกณฑ์ของฉลากสิ่งแวดล้อมต่างๆ ของยุโรป จะต้องไม่มีสารดังกล่าวในผลิตภัณฑ์   ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งทอ ผศ.ดร.จันทร์ทิพย์ ซื่อสัตย์ ภาควิชาวิทยาการสิ่งทอ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ความเห็นว่า “สีย้อมประเภทเอโซเป็นสีกลุ่มที่แตกตัวให้สาร Aromatic amine เมื่อย้อมติดบนผลิตภัณฑ์ ไม่ควรก่อให้เกิดสาร Aromatic amine ชนิดที่อยู่ในข่ายสามารถก่อให้เกิดความผิดปกติในมนุษย์ ในปริมาณเกินกว่า 30 ppm สำหรับสาร 4-chloroaniline ที่ตรวจพบในผลิตภัณฑ์เสื้อชั้นในข้างต้น เป็นสารที่ห้ามใช้หรือไม่ควรพบตกค้างในผลิตภัณฑ์สิ่งทอเลยเนื่องจากเป็นสารอันตราย ดังนั้นจึงถือว่าผลิตภัณฑ์เสื้อชั้นในที่ตรวจพบสารดังกล่าวอยู่ในข่ายที่สามารถก่ออันตรายต่อผู้บริโภคได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผลิตภัณฑ์ที่สัมผัสผิวหนังโดยตรงเช่นนี้”   วลัยพร มุขสุวรรณ รองผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ และผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสารเคมี ระบุว่า “ตามเอกสารขององค์การอนามัยโลกและกฎหมายของสหภาพยุโรปที่ออกตามกฎหมาย REACH นั้น สหภาพยุโรปจำกัดการใช้สีย้อมประเภทเอโซ (ซึ่งสาร 4-chloroaniline รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย) คือห้ามใช้สีย้อมเอโซที่อาจปล่อยสารแอมีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งออกมาจากผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเข้าสู่ผู้ใช้ได้ แต่ถ้าเป็นเอโซที่ไม่ปล่อยสารแอมีน จะยอมให้มีในแต่ละส่วนประกอบได้ไม่เกิน 30 พีพีเอ็ม สำหรับเอโซที่ปล่อยสาร 4-chloroaniline ออกมานั้นอยู่ในรายการห้ามใช้เลย ------------------------------------------------------------------------   เรื่องจากคนเย็บชุดชั้นใน -          ปัจจุบันนี้ เสื้อชั้นในหนึ่งตัว มีชิ้นส่วนประมาณ 20 ชิ้น และมีขั้นตอนการเย็บประมาณ 50 ขั้นตอน -          ถ้าเป็นเสื้อชั้นในแบบธรรมดาๆ พนักงาน 50 คน จะสามารถเย็บได้ วันละ 2,000 ตัว แต่ปัจจุบันเริ่มมีชิ้นงานแบบหรูหรา ที่ขายปลีกตัวละ 7,000 – 8,000 บาท พนักงานกลุ่มเดิมสามารถเย็บได้เพียงวันละไม่เกิน 400 ตัว -          ชิ้นงานสีดำหรือสีเข้มอื่นๆ ค่อนข้างลำบากต่อคนทำงาน เพราะมองไม่ค่อยเห็น จึงต้องส่องไฟเพิ่มซึ่งทำให้เกิดแสงสะท้อนเข้าตา -          ก่อนหน้านี้เคยมีผู้บริโภคร้องเรียนว่าพบปลายเข็มในเสื้อชั้นใน ซึ่งน่าจะเกิดจากเข็มที่หักในขั้นตอนการตัดเย็บ ในสายการผลิตจึงมีข้อกำหนดว่าจะต้องหาปลายเข็มที่หักให้เจอก่อนเสมอเมื่อเกิดกรณีที่เข็มหัก นอกจากนี้ยังห้ามไม่ให้พนักงานนำโลหะชิ้นเล็กๆ เช่นลวดเย็บ หรือดินสอกด เข้าไปบริเวณที่ทำงาน -          ขั้นตอนที่มีความเสี่ยง ขั้นตอนการประกอบลูกไม้/ผ้า เข้ากับฟองน้ำด้วยเครื่องพ่นกาว การขึ้นรูปผ้ากับฟองน้ำให้เป็นรูปโค้งตามขนาดคัพ ของเสื้อชั้นใน -          ครึ่งหนึ่งของราคาชุดชั้นในที่เราจ่าย คือค่าแบรนด์ -          เสื้อชั้นในที่เราเห็นนำมาลดราคาตามห้างนั้น ความจริงแล้วก็เป็นไปตามราคาขั้นต่ำที่เขากำหนดไว้แต่แรก บางครั้งการลดราคาก็เพื่อเคลียร์พื้นที่ให้กับรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะผลิตออกมา หรือของค้างที่เก็บไว้ก็มีแต่จะเสื่อมราคาจึงต้องรีบขายออกไป อีกกลุ่มที่นำมาลดราคาคือสินค้าที่มีขนาดไม่ครบนั่นเอง -          ส่วนเสื้อชั้นในที่นำมาขายลดราคาให้กับพนักงงานในโรงงานนั้นอาจมาจากสินค้าตกเครื่องบิน (หรือตกเรือ) เพราะส่งไม่ทันเวลา บางครั้งเป็นสินค้ามีตำหนิ หรือสินค้าตัวอย่าง หรือสินค้าที่ไม่ผ่านคุณภาพส่งออก (เช่นมีสารก่อมะเร็ง) เป็นต้น ขอบคุณ คุณจิตรา คชเดช และคุณวิภา มัจฉาชาติ ผู้ประสานงานและผู้จัดการฝ่ายผลิตชุดชั้นในทางเลือก Try Arm ผู้ให้ข้อมูล  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 138 มาสคารา

ฉลาดซื้อฉบับนี้มีผลการทดสอบเปรียบเทียบมาสคารา ที่องค์กรผู้บริโภคในยุโรปร่วมกับองค์กรทดสอบสากล ICRT ทำไว้ มาฝากสมาชิกสาวน้อยสาวใหญ่ของเรา มีทั้งยี่ห้อที่มีจำหน่ายในประเทศไทยและที่ยังไม่ได้เข้ามาทำตลาด แต่รู้ไว้ไม่เสียหลายเพราะตลาดเครื่องสำอางบ้านเรานั้นมียี่ห้อใหม่ๆ เข้ามาตลอดเวลา หลายคนอาจจะอยากรู้ผลทดสอบของเครื่องสำอางจากเกาหลี เลยต้องบอกไว้ก่อนว่าเงินถึงเมื่อไร (ด้วยเงินจากค่าสมาชิกรายปีของเรา) ฉลาดซื้อจะจัดส่งตัวอย่างไปร่วมทดสอบกับเขาทันที มาสคารา ทั้ง 11 ยี่ห้อ ได้คะแนนรวมไม่ต่างกันมากนัก แต่อาจจะได้คะแนนในแต่ละประเภทแตกต่างกันเล็กน้อย แล้วแต่ว่าสาวๆ คนไหนจะให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพในด้านใดมากกว่ากัน บางคนชอบให้ขนตาหนา บางคนเน้นขนตายาว บางคนต้องการความมั่นใจว่ากันน้ำได้ดี หรือบางคนต้องการผลิตภัณฑ์ที่ล้างออกง่ายไม่เสียเวลา เป็นต้น ใครชอบแบบไหนดูได้ในผลทดสอบหน้าถัดไป การทดสอบครั้งนี้เขาทดสอบหาการปนเปื้อนของจุลินทรีย์และสารเคมีอันตรายหรือโลหะหนักด้วย ทุกยี่ห้อปลอดจุลินทรีย์ ยกเว้น Rimmel และทุกยี่ห้อปลอดสารเคมีอันตรายหรือโลหะหนักยกเว้น Lumene   H&M Full Lashes  12ml ราคา 120 บาท (10 บาท/ml) ขนตาหนา                                  3 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  3 ใช้ง่าย/สะดวก                            3 ล้างออกง่าย                               4           Gosh Show Me Volume  12ml ราคา 290 บาท (24บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  3 ใช้ง่าย/สะดวก                            4 ล้างออกง่าย                               4         Maybelline Jade The Colossal Volum' Express Mascara  10ml ราคา 270 บาท (27 บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    5 กันน้ำได้ดี                                  2 ใช้ง่าย/สะดวก                            4 ล้างออกง่าย                               4     Rimmel Max BoldCurves Extreme Volume & Lift Mascara  8ml ราคา 260 บาท (32.5บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  3 ใช้ง่าย/สะดวก                            3 ล้างออกง่าย                               4       MaxFactor False Lash Effect Fusion Volume & Length  13ml ราคา 465 บาท (35.7บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ขนตาดูเป็นธรรมชาติ                   4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  3 ใช้ง่าย/สะดวก                            3 ล้างออกง่าย                               4       Lumene Blueberry Volume Mascara  7ml ราคา 315 บาท (45บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  4 ใช้ง่าย/สะดวก                            4 ล้างออกง่าย                               3       L'Oréal Volume Million Lashes  9ml ราคา 425 บาท (47.2บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  3 ใช้ง่าย/สะดวก                            4 ล้างออกง่าย                               4       Nilens jord Jumbo Volume Mascara  13ml ราคา 620 บาท (47.6 บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           3 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  3 ใช้ง่าย/สะดวก                            3 ล้างออกง่าย                               4       La Roche-Posay Respectissime Volumizing Mascara Waterproof 8.3ml ราคา 520 บาท (62.6บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  4 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  4 ใช้ง่าย/สะดวก                            4 ล้างออกง่าย                               4       Dr. Hauschka Volume Mascara            6ml ราคา 945 บาท (157.5บาท /ml) ขนตาหนา                                  3 ขนตายาว                                  3 ขนตางอน                                  3 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    3 กันน้ำได้ดี                                  2 ใช้ง่าย/สะดวก                            4 ล้างออกง่าย                               4         Helena Rubinstein Lash Queen Mascara Waterproof  7ml ราคา 1,400 บาท (200บาท/ml) ขนตาหนา                                  4 ขนตายาว                                  4 ขนตางอน                                  3 ดูเป็นธรรมชาติ                           4 สวยนาน                                    4 กันน้ำได้ดี                                  5 ใช้ง่าย/สะดวก                            4 ล้างออกง่าย                               4       ตำนาน “มาสคารา” ยุคอียิปต์ มาสคาราพิทักษ์วิญญาณ คนอียิปต์โบราณ (ช่วง 3,400 – 30 ก่อนคริสตกาล) ทั้งชายและหญิงจะเขียนตาด้วยถ่านและใช้ “มาสคารา” เพื่อทำให้ดวงตาดูลึกขึ้น ด้วยความเชื่อที่ว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของวิญญาณมนุษย์ เพื่อไม่ให้วิญญาณชั่วร้ายแทรกซึมเข้ามาได้โดยง่าย จึงต้องซ่อนดวงตาไว้ให้ดี  คนในยุคนั้นใช้ผงถ่าน เมล็ดอัลมอนด์ มูลจระเข้ น้ำ และน้ำผึ้ง มาผสมเป็น “มาสคารา” และใช้กระดูกสัตว์หรืองาช้างเป็นแปรงปัด บางตำราอธิบายว่า เนื่องจากคนอียิปต์โบราณถือว่าดวงตาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ รา เทพแห่งดวงอาทิตย์ก็ยังถูกแทนสัญลักษณ์ด้วยรูปดวงตา การเขียนตาให้ดำขึ้น จึงหมายถึงการดึงดูดความสนใจขององค์เทพมาสู่ตนเองได้มากขึ้นด้วย ยุคโรมัน มาสคารารับรองพรหมจรรย์ เมื่อ 100 ปีก่อนคริสตกาล “มาสคารา” เคยทำหน้าที่ๆ สำคัญกว่าเครื่องสำอางมาแล้ว คนโรมันเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์มากเกินไป เป็นสาเหตุให้ขนตาหลุดร่วง ดังนั้นหญิงสาวจึงต้องพิสูจน์พรหมจรรย์หรือความซื่อสัตย์ต่อสามี (ที่ไปรบที่อื่นเป็นเวลานาน) ด้วยการมีขนตาที่หนาและดำขลับนั่นเอง “มาสคารา” สูตรโรมันประกอบด้วยกลีบกุหลาบ เมล็ดอินทผลัม เขม่า และพลวง ยุควิคทอเรียน มาสคาราเพื่อลุคสวยสมบูรณ์แบบ ม าสคารากลับมาอินเทรนด์อีกครั้งในยุควิคทอเรียน (ค.ศ. 1830 – 1839) เมื่อสาวๆ หันมานิยมการมีขนตาที่ดูดำและหนาเป็นแพ กว่าออกจากบ้านได้ แต่ละนางจะต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการทำสวย เดาว่าพวกนางน่าจะมีเวลาว่างมากทีเดียว เพราะมีเวลาผสมเครื่องสำอางเอาไว้ใช้เองด้วย “มาสคารา” สูตรวิคทอเรีย ทำจากการนำผงถ่านลงไปเคี่ยวรวมกับลูกอัลเดอร์เบอรี่ ยุคของปิโตรเลียมเจลลี ปิโตรเลียมเจลลีได้รับการจดทะเบียนในปีค.ศ. 1872 หลายปีต่อมามันจะถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมสำคัญของมาสคาราที่เราใช้กันในปัจจุบัน ยูจีน ริมเมล ก่อตั้งบริษัทเมย์บิลีนขึ้นในปี 1915 เครื่องสำอางชิ้นแรกที่บริษัทนี้ผลิตออกจำหน่ายในอีก 2 ปีต่อมา คือมาสคารา นั่นเอง มาสคารายุคแรกเกิดจากการผสมผงถ่านกับปิโตรเลียมเจลลี และยังไม่มีใครสามารถคิดค้นมาสคาราชนิดกันน้ำที่ปลอดภัยพอสำหรับผู้บริโภคได้ก่อนช่วงปีค.ศ. 1960 - 1969 ถ้าสาวๆ ต้องการมาสคาราที่ติดทนนาน พวกเธอต้องใช้มาสคาราผสมน้ำมันสนซึ่งทั้งเหม็นและทั้งเสี่ยงต่ออาการแพ้ด้วย ------------------------------------------------------------------------------- จุลินทรีย์ในมาสคารา เชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในดวงตา เช่น สเตรปโตค็อกคัส และ สตาฟิโลค็อกคัส มีโอกาสที่จะติดอยู่กับแปรงปัดและปนเปื้อนในบรรจุภัณฑ์ของมาสคาราได้ เราจึงไม่ควรใช้มาสคาราร่วมกับใคร และไม่ควรเก็บไว้นานเกินไปด้วย โดยทั่วไปผู้ผลิตจะใส่สารกันเสีย/กันเชื้อราในผลิตภัณฑ์ แต่สารเหล่านี้มีอายุเพียง 3 เดือนเท่านั้น ------------------------------------------------------------------------------- นาทีนี้มาสคาราถูกสังคมคาดหวังไว้สูง ถ้าอยากโด่งดังในสังเวียนของมาสคาราแล้วละก็คุณจะต้องมาพร้อมคำสัญญาว่าจะทำให้ผู้ใช้สร้างความตกตะลึงให้กับฝูงชนได้ด้วยขนตายาวเฟื้อยและงอนงามในสามโลก ที่ผ่านมาจึงมีโฆษณามาสคาราหลายชิ้นถูกองค์กร Advertising Standards Agency ของอังกฤษสั่งหยุดเผยแพร่ เนื่องจากนำเสนอขนตานางแบบที่ดู ยาว หนาและงอนงามด้วยเทคโนโลยีดิจิตัล จนเข้าข่ายเกินจริงไปหน่อย ตั้งแต่โฆษณาของ ลอรีอัล ในปี 2007 ที่มีเพเนโลปี ครูซ เป็นพรีเซ็นเตอร์ หรือโฆษณาของริมเมล ในปีเดียวกันที่มี เคท มอส เป็นนางแบบ ต่อมาในปี 2010 โฆษณาของริมเมล ที่มีพรีเซ็นเตอร์เป็นจอร์เจีย เมย์ แจกเกอร์ ก็ถูกแบนอีก เช่นเดียวกับโฆษณาของคัฟเวอร์ เกิร์ล ที่มีนิโคล ฟอกซ์ ผู้ชนะจากรายการยอดนางแบบอเมริกาเป็นพรีเซ็นเตอร์เมื่อปีที่แล้ว ------------------------------------------------------------------------------- งานวิจัยของบริษัทพร็อคเตอร์แอนด์แกมเบิ้ล ระบุว่า ร้อยละ 40 ของคนที่ใช้มาสคารา ต้องการให้ขนตาดูหนาขึ้น จึงเป็นกลุ่มที่ใช้มาสคาราเปลืองมากๆ  โดยทั่วไปผู้หญิงจะปัดขนตาแต่ละข้างประมาณ 6 ครั้ง แต่กลุ่มนี้จะปัดถึง 30 – 40 ครั้งเพื่อให้ได้ขนตาหนาแน่นสมใจ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 138 ใครไม่เป็นผู้บริโภคบ้าง ยกมือขึ้น

“มนุษย์เกิดมาเป็นเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งเขากลายเป็นผู้บริโภค” คนเราทุกวันนี้ไม่ว่าชาติ ภาษาใด มักเข้าใจ(ไปเอง)ว่าเรามีเสรีที่จะบริโภคอะไรก็ได้ จะเลือกกินเลือกใช้สินค้าใดก็ได้มีหลายแบบหลายชนิดให้เลือก จะไปไหนก็ไม่ติดขัดเพราะมีทั้งรถและเครื่องบิน เจ็บไข้ได้ป่วยก็มีโรงพยาบาลมีหมอช่วยเยียวยารักษา รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันก็ล้วนผลิตออกมามากมายให้เราได้บริโภคกันทั้งสิ้น แต่ในการเป็น ”ผู้บริโภค” ของเรานั้น เรามีเสรีภาพมากมายอย่างที่เราคิดจริงๆ หรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมเหตุการณ์เหล่านี้จึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า   โฆษณาพูดกรอกหูทุกวัน ว่าเราต้องใช้ก๊าซ ราคาตลาดโลก จนทำให้เราเชื่อ ทั้งที่เราใช้ก๊าซแพงกว่าราคาตลาดโลก ผักขายในห้างหรู สารเคมีอันตรายตกค้างพอๆ กับรถพุ่มพวง นอนดูฟรีทีวีปกติ แต่พอมีฟุตบอลยูโรกลับจอดำ เพราะธุรกิจเขาบอกว่าฟรีทีวีเฉพาะหนวดกุ้ง ก้างปลา ต้องเสียเงิน เสียชีวิต เพราะหลงเชื่อโฆษณาเอนไซม์ในเคเบิ้ลทีวี รถตู้ ที่เขียนไว้ข้างรถ ว่า ๑๕ ที่นั่งเอาเข้าจริง ๑๗ ที่นั่งไม่รวมคนขับ แต่ก็ต้องขึ้นไม่งั้นไม่มีวันได้เดินทางแน่นอน ใช้บัตรเอทีเอ็ม(ATM) ช่วยลดต้นทุนธนาคารแต่กลับต้องเสียค่าธรรมเนียมถอนเงินตัวเอง บัตรเติมเงินโทรศัพท์มือถือ วันหมดแต่เงินยังไม่หมด กลับถูกตัดการใช้งาน เมื่อต่างประเทศเรียกรถคืน บ้านเรามักอ้างว่าไม่มีรุ่นนั้น หรือใช้รถยนต์ใหม่ยังไม่ทันไร แต่มีปัญหาตลอด บริษัทไม่รับผิดชอบรถของตนเอง ถ้าไม่มีรถไฟตกราง คงไม่รู้ว่า การรถไฟฯ ไม่เคยทำประกันชีวิตให้ผู้โดยสาร ทั้งที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมแสนแพง ปัญหาข้างต้นไม่มากก็น้อย ทั้งเฉพาะรายและการป้องกันปัญหา น่าจะคลี่คลายหรือน้อยลง หากเรามีกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคที่ดีมากกว่าในปัจจุบัน หรือทำให้ผู้บริโภคเท่าทันไม่ถูกต้มจนสุก ประเทศไทยควรมีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคตามมาตรา ๖๑ ของรัฐธรรมนูญได้แล้ว แต่เป็นเพราะเราหรือผู้บริโภคไม่รู้ว่าหากมีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคแล้วเกี่ยวข้องอย่างไร อ่านปัญหาข้างต้น เชื่อว่า คงไม่มีใครคิดว่าไม่เกี่ยวข้องกับตนหรือไม่จำเป็นต้องมี เสียงของผู้บริโภค คนเล็กคนน้อยที่ประสบปัญหาซ้ำซาก จะไปถึงรัฐสภา ให้เร่งพิจารณากฎหมายฉบับนี้ได้อย่างไร เพราะเดิมอาจจะมีข้ออ้างว่ารัฐบาลเพิ่งจะทำงาน ทั้งที่รัฐธรรมนูญขอให้มีภายใน ๑ ปี เท่ากับอายุของรัฐบาลพอดี ไม่อย่างนั้นผู้บริโภคคงต้องคิดว่า มีใบสั่งจากธุรกิจที่ขอให้ดองหรือแช่แข็ง กลไกใหม่เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคคงเป็นจริง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 138 ข่าวสารผู้บริโภคบนทวิตเตอร์ (Twitter)

ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบติดตามข่าวสารบ้านเมืองผ่านโซเชียลมีเดียหลากหลายรูปแบบ ตื่นเช้ามาสิ่งแรกที่คุณเปิดรับคือการคลิกลงบนจอโทรศัพท์มือถือ แท็ปเล็ต หรืออุปกรณ์ไอทีชนิดอื่นๆ เพื่ออ่านข้อความของใครต่อใครว่ามุมโลกแต่ละมุมเป็นอย่างไรบ้าง ก็คงไม่แปลกอะไรที่คุณจะรู้จัก Twitter แต่เนื่องจากบางท่านอาจไม่รู้จัก twitter จึงขออธิบายความหมายกันสักหน่อย Twitter (ทวิตเตอร์) เป็นบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์จำพวกไมโครบล็อก โดยผู้ใช้สามารถส่งข้อความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร ซึ่งเป็นข้อความสั้นๆ ข้อความอัปเดตที่ส่งเข้าไปยังทวิตเตอร์จะแสดงอยู่บนเว็บเพจของผู้ใช้คนนั้นบนเว็บไซต์ ทวิตเตอร์ถูกสร้างขึ้นโดย Jack Dorsey หรือผู้อ่านสามารถตามทวิตได้ที่ @jack   สำหรับผู้อ่านที่ใส่ใจเรื่องเกี่ยวกับผู้บริโภค ที่ชอบติดตามข่าวสารสิทธิผู้บริโภค ความเป็นไปในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งชื่นชอบการใช้อินเตอร์เน็ตในการท่องโลกออนไลน์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงขอแนะนำทวิตเตอร์ในแวดวงผู้บริโภคที่ต้องการทราบด้านโทรคมนาคมให้ทุกคน following ตามข่าวสารอย่างทันถ่วงที ในส่วนบุคคล คนแรกขอแนะนำ “สุภิญญา กลางณรงค์” หรือทวิตเตอร์ “@supinya” ผู้หญิงคนเดียวจากจำนวน 11 คน ในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยจะอัพเดททุกความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับ กสทช. ซึ่งจะดูแลทางด้านการคุ้มครองผู้บริโภคทั้งในส่วนของวิทยุและโทรทัศน์ คนที่สอง พันเอก ดร. นที ศุกลรัตน์ “@DrNateeDigital” คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)  และคุณฐากร ตัณฑสิทธิ์ “@TakornNBTC” เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ส่วนหน่วยงานที่น่าสนใจแนะนำเป็น “@NBTCrights” และ “@Teleconsumer” สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) เป็นอีกช่องทางสื่อสารกับผู้บริโภค ทั้งปัญหา เรื่องราวอัพเดต ของนโยบายด้านกิจการวิทยุ โทรทัศน์ และโทรคมนาคม  อีกหนึ่งช่องทาง ลองตามข่าวสารทาง twiiter กันดูนะคะ รวดเร็วทันใจจริงๆ **มือถือทุกรุ่นสามารถโหลดแอพพลิเคชั่น twitter ได้ฟรีค๊า

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 138 น้ำบัวบก บำรุงสมอง

สมัยหนึ่งน้ำใบบัวบกมีขายทั่วไปตามรถเข็นริมทาง แต่ปัจจุบันดูจะหาได้ยาก ซึ่งน่าเสียดายเพราะน้ำคั้นจากใบบัวบกนั้นมีสรรพคุณที่มากกว่าที่รู้กันทั่วไปว่า “แก้ช้ำใน” บัวบกเป็นพืชล้มลุกที่เลื้อยแผ่ลำต้นอยู่ทั่วไปบริเวณริมห้วยหนองหรือบริเวณชื้นแฉะ คนในภูมิภาคเอเชียคุ้นเคยกับใบบัวบกเป็นอย่างดี คนพม่ารู้จักการกินยำใบบัวบก คนมาเลเซียนิยมใช้ใบบัวบกผสมลงในเมนูสลัด  คนไทยเรากินใบบัวบกแบบสดๆ เป็นผักแกล้มน้ำพริกและเคียงผัดไท แพทย์พื้นบ้านและแพทย์สายตะวันออกนำใบบัวบกมาคั้นน้ำทั้งพอกทารักษาแผลสด แผลหนอง และดื่มกินแก้อาการฟกช้ำ เพราะบัวบกมีส่วนช่วยให้เลือดกระจายตัว อาการฟกช้ำจึงทุเลา และเนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาเย็นจึงช่วยแก้กระหายน้ำและบำรุงร่างกายได้ด้วย   การสืบค้นงานวิจัยเกี่ยวกับบัวบกพบว่า มีฤทธิ์บำรุงสมองเช่นเดียวกับแปะก๊วย คือ เพิ่มความสามารถในการจำ และการเรียนรู้ มีการจดสิทธิบัตรสารสกัดจากบัวบกในคุณสมบัติช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ การทดลองในสัตว์ทดลอง พบว่า บัวบกทำให้ลูกหนูมีความจำและความสามารถในการเรียนรู้ดีขึ้น ส่วนการศึกษาในคนพบว่า เพิ่มความจำในผู้สูงอายุ โดยใช้สารสกัดบัวบก 750 มก. นาน 2 เดือน พบว่าความจำ การเรียนรู้ อารมณ์ของผู้สูงอายุดีขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่การศึกษาในระดับเซลล์ถึงกลไกการ ออกฤทธิ์บำรุงสมอง พบว่า บัวบกทำให้การหายใจในระดับเซลล์สมองดีขึ้น ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการเสื่อมของเซลล์สมอง คงสภาพปริมาณของสารสื่อประสาทและเสริมฤทธิ์การทำงานของสารสื่อประสาทและยัง ทำให้หลอดเลือดมีความแข็งแรงสามารถนำเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น ผลการศึกษาดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการใช้เป็นอาหารเพิ่มไอคิว ความฉลาด ความสามารถในการจำและการเรียนรู้ในเด็ก โดยเฉพาะเด็กพิเศษ เด็กสมาธิสั้น ส่วนคนทั่วไปบัวบกจะช่วยชะลออาการโรคสมองเสื่อมในวัยชราหรืออัลไซเมอร์ และช่วยคลายเครียด ทำให้มีสมาธิในการทำงาน ปัจจุบันในสหรัฐและหลายประเทศมีบัวบกแคปซูลจำหน่ายในสรรพคุณบำรุงสมอง ข้อควรระวัง คือ บัวบกเป็นยาเย็นและมีการสะสมได้ทำให้หนาว  ดังนั้นไม่ควรกินทีละเยอะๆ ทุกวัน  ถ้ากินสดๆ ทุกวันควรกินแต่น้อยๆ ประมาณ  3-6 ใบก็พอ คนที่อ่อนเพลียหรือร่างกายอ่อนแอมากไม่ควรกิน ถ้ากินแล้วมีอาการเวียนหัว ปวดหัว ใจสั่นหรือเต้นผิดปกติ หน้าแดง คันผิวหนัง ท้องร่วงคล้ายเป็นบิด แสดงว่าแพ้ยาหรือกินยามากเกินไป ให้หยุดกินทันที คนที่ม้ามเย็นพร่องมีอาการท้องอืดแน่นเป็นประจำไม่ควรกิน ผู้ป่วยที่ได้รับยาเบาหวาน ยารักษาโคเลสเตอรอลไม่ควรกินเพราะจะทำให้ผลของยาลดลง คนที่กินยาแก้แพ้ ยากันชัก ยานอนหลับ ไม่ควรกิน เพราะจะไปเสริมฤทธิ์ทำให้ง่วงมากขึ้น และคนท้องหรือหญิงที่ให้นมบุตรไม่ควรกิน บัวบกซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านหากินง่ายนี้ ได้รับการยกย่องให้เป็นยอดสมุนไพร เหมาะแก่การส่งเสริมให้เป็นอาหารบำรุงสมองน่าเสียดายที่คนไทยส่วนใหญ่มองไม่เห็นคุณค่า คิดแล้วก็ช้ำ คงต้องกินน้ำบัวบก แก้ช้ำในไปพลางๆ

อ่านเพิ่มเติม >