ฉบับที่ 174 “เอ๊ะ ทำไมปลากระป๋องนี้ดูเหมือนมีพยาธิ”

เชื่อว่าใครหลายคนอาจติดใจในรสชาติปลากระป๋อง เพราะไม่ว่าจะนำไปใส่ในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ทำเป็นยำแซ่บ หรือกินคู่กับข้าวเปล่าร้อนๆ ก็อร่อยไปหมด ซึ่งหลักการสำคัญในการเลือกปลากกระป๋องมารับประทานก็เป็นเรื่องทั่วไป เช่น การดูวันเดือนปีที่ผลิต หมดอายุ กระป๋องอยู่ในสภาพดี อย่างไรก็ตามหากเราเลือกแล้วอย่างรอบคอบ แต่กลับพบว่าเมื่อเปิดมารับประทาน ปลากระป๋องนั้นมีสิ่งแปลกปลอม ที่ดูคล้ายกับพยาธิอยู่ด้วย เราจะทำอย่างไรคุณนกได้ซื้อปลากระป๋องยี่ห้อ อะยัม (AYAM) มารับประทาน จากห้างสรรพสินค้าเทสโกโลตัส สาขาปิ่นเกล้า ราคากระป๋องละ 32 บาท ซึ่งหลังจากรับประทานก็รู้สึกว่ารสชาติผิดปกติไปจากที่เคยกิน และเมื่อตรวจสอบปลาชิ้นนั้นดีๆ ก็พบสิ่งแปลกปลอมที่มีลักษณะเป็นเส้นๆ อยู่ในน้ำซอส จึงคาดเดาไปว่าเจ้าสิ่งนี้มันคือพยาธิแน่ๆ ถึงจุดนี้บางคนอาจจะนำไปทิ้งอย่างรวดเร็วด้วยความขยะแขยง แต่คุณนกผู้ร้องได้เก็บชิ้นส่วนที่น่าตกใจนั้นไว้ และนำมาร้องเรียนกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อหาความเป็นธรรมแนวทางการแก้ไขปัญหาหลังจากศูนย์พิทักษ์สิทธ์ได้รับเรื่องร้องเรียน จึงส่งตัวอย่างที่ผู้ร้องนำมาให้กองตรวจสอบคุณภาพสินค้าประมง ช่วยตรวจสอบหาข้อเท็จจริงว่าใช่พยาธิหรือไม่ พร้อมเชิญทุกฝ่ายมาร่วมฟังผลการทดสอบ ซึ่งผลปรากฏว่า ตัวอย่างดังกล่าวไม่มีลักษณะที่บ่งชี้ว่าเป็นกลุ่มพยาธิ แต่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของกล้ามเนื้อปลาที่เปื่อยยุ่ยเท่านั้น พอได้ฟังอย่างนี้หลายฝ่ายต่างก็พากันโล่งใจ อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีนี้ทางบริษัทผู้ผลิตก็ไม่ได้นิ่งเฉย โดยมีการชี้แจงเพิ่มเติมว่า ชิ้นเนื้อที่เปื่อยยุ่ยนั้นอาจเกิดจากคุณภาพและขนาดปลาแต่ละรอบที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งได้ประสานงานไปยังบริษัทใหญ่ที่ประเทศอินโดนีเซีย ให้ควบคุมดูแลปลาแต่ละรอบให้มีความสมบูรณ์เท่ากันมากขึ้น นอกจากนี้ยังชดเชยผู้ร้องด้วยปลากระป๋องใหม่อีกด้วย ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้เห็นผู้ผลิตไม่ละเลยเรื่องทุกข์ร้อนของผู้บริโภค ซึ่งต้องขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ และตัวผู้บริโภคเองที่ไม่ละเลยสิทธิของตัวเอง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 143 แค่ส้มตำปลาร้า ทำให้กระเป๋าฉีกได้

 และแล้วปี 2012 ก็ผันผ่านไป โดยที่โลกยังปลอดภัย “ไม่แตก” ไปตามคำทำนายที่หลายคน  หวาดหวั่น    หลังจากเทศกาลปีใหม่  ที่หลายคนได้หยุดพักผ่อนไป  ลัลลา......  ท้าลมหนาว  กลับไปหาความอบอุ่นกับครอบครัวที่ต่างจังหวัดให้หายคิดถึง เรียกได้ว่าเป็นเทศกาลชาร์ตพลัง และการเคลื่อนย้ายผู้คนครั้งยิ่งใหญ่   การพักผ่อน การหาความสุขในช่วงสั้นๆ (ที่หาไม่ค่อยได้ในสังคมเมือง)ผู้เขียนจึงขอหยิบยก เรื่องอาหารการกิน ที่คนเมืองอพยพ ได้ไปลิ้มรสชาติ ท่ามกลางบรรยากาศที่สดชื่น     ที่เกริ่นเรื่องนี้มาคืออยากบอกว่า    ผู้บริโภค ที่ต้องบริโภคอะไรก็ตาม ยังคงต้องระมัดระวัง  ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของพวกฉวยโอกาสขายสินค้าราคาเกินจริงด้วยตัวเองอยู่เช่นเดิมๆ ที่ผ่านมา    เพื่อนมาเล่าให้ฟังว่าปีใหม่ ได้เดินทางไปเที่ยวที่เกาะสีชังจังหวัดชลบุรี  ผ่านหาดบางแสนเลยแวะไปนั่งกินข้าวที่ชายหาด เป็นร้านแผงลอยเล็กๆ บริเวณนั้น   สิ่งที่เจอก็คือ หากจะนั่งกินอาหารที่ชายหาดต้องเสียค่าที่นั่งเก้าอี้ตัวละ 30 บาท(โอเคปรกติ) ตามมาด้วยเมนูอาหารที่ไม่บอกราคา  เมื่อถามว่าทำไมไม่เขียนราคา ก็ได้คำตอบว่ามันมีจานใหญ่จานเล็ก ราคาไม่เท่ากัน เลยไม่ได้เขียนราคา    แต่ด้วยกลุ่มที่ไปกินกลัวว่า ราคาอาหารทะเลจะแพงมาก(เพราะไม่มีราคาบอกไว้)   ก็เลยสั่งประเภทส้มตำ หมูน้ำตก  หอยนางรมสด  มากินกัน เพราะเห็นว่าราคาน่าจะเป็นมาตรฐานสักพักเพื่อนในทีมที่เดินไปซื้อข้าวกล่องเดินหน้ามุ่ยกลับมา  พร้อมคำบ่นว่าไปซื้อข้าวกินเหมือนโดนปล้นเลย ข้าวกะเพราไข่ดาวกล่องละ 60 บาท หลายคนพูดตรงกัน ”แพงอ่ะ”   เพื่อนในกลุ่มหัวเราะเยาะสมน้ำหน้าที่ไปซื้อของแพง   และแล้วอาหารที่สั่งก็มาส่งทุกคนก็กินกันอย่างครื้นเครง   แต่เมื่อถึงเวลาจ่ายเงิน  ทั้งกลุ่มตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก   เพิ่งตระหนักว่าข้าวของเพื่อนที่ไปซื้อมาไม่แพงเลย   เพราะส้มตำไทยปู ส้มตำปูปลาร้า (ไมใช่ส้มปูม้าดอง) ราคา 60 บาท ทุกจาน  หอยนางรมสดตัวเล็กๆประมาณ 18 ตัว ราคา 150  บาท(ตัวละเกือบ 10 บาท)  หมูน้ำตกจานเล็กนิดเดียวมีหมูไม่กี่ชิ้นจานละ 80 บาท  บวกรวมๆ อาหารไม่กี่จานเกือบ 800 บาท (เหงื่อตกทั้งกลุ่ม) ก่อนจ่ายเงินได้ถามว่าทำไมราคาอาหารถึงแพงมากอย่างนี้คำตอบคือ  “ราคานี้เป็นราคาที่เทศบาลตำบลแสนสุขเป็นผู้กำหนด” ทุกร้านต้องขายแพงอย่างนี้เหมือนกันทั้งหมดเพื่อนจึงได้โทรประสานไปที่เทศบาลตำบลแสนสุข (038-193500) เพราะอยากทราบว่า เทศบาลฯเป็นผู้กำหนดราคาจริงดังที่แม่ค้ากล่าวอ้างหรือไม่   โทรติดก็มีการโอนสายไปมาหลายครั้งกว่าจะมีคนรับสายก็หมดค่าโทรไปหลายบาท ที่สุดก็ได้คุยกับกองสาธารณสุข   จนได้คำตอบว่าเทศบาลกำหนดราคาจริง คือเป็นส้มตำมะม่วงปูม้าดองให้ขายไม่เกิน 60 บาท  ส้มตำทั่วไปให้ขายไม่เกิน 50 บาท  เราก็ตั้งคำถามว่าราคาที่เทศบาลกำหนดแพงกว่าราคาที่กรมการค้าภายในกำหนดหรือไม่?  คำตอบคือ ไม่ทราบ เพราะราคานี้นายกเทศมนตรีเป็นผู้กำหนดเมื่อข้อมูลไม่ครบก็ต้องหาต่อ  ก็เลยโทรไปที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน   และก็ได้ข้อมูลจริงๆ ว่ากรมการค้าภายในไม่มีการกำหนดราคาอาหารเหล่านี้  ผู้ขายสามารถตั้งราคาได้อย่างอิสระ แต่ต้องเขียนราคากำหนดไว้ เพื่อให้เป็นข้อมูลการตัดสินใจของผู้บริโภค  หากร้านไหนไม่เขียนสามารถสั่งปรับได้ไม่เกิน 10.000 บาท  ดังนั้นผู้บริโภคต้องดูแลตัวเองก่อนซื้อสินค้า “ให้ตรวจสอบราคาก่อน”ได้ฟังข้อมูลแล้วก็ได้แต่สะท้อนใจ     ก็ไหนกระทรวงพาณิชย์ออกมาตีปี๊บโครมๆ ผ่านสื่อ  เรื่องการควบคุมราคาอาหารไม่ให้สูงเกินจริง  แต่สิ่งที่เห็นคือ ดีแต่ตีปี๊บ แต่ “ทำไม่ได้จริง” บางแสนคงเป็นแค่กรณีตัวอย่าง เห็นชัดเจนว่าผู้บริโภคยังไม่มีที่พึ่ง ที่แท้จริง  สิ่งที่ทำได้คือต้อง “พึ่งตัวเองไปก่อน” ทำตัวเป็นผู้บริโภคที่รู้ทัน   ไม่เช่นนั้นก็จะกระเป๋าฉีกเช่นนี้แล

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 91 ความไวไปรษณีย์ไทย

จดหมายถึงไว วัดใจโลกไซเบอร์เมื่อ 7 ปีก่อน ครั้งที่บริการไปรษณีย์ยังอยู่ภายใต้การบริการของการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) และบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงยังไม่แพร่หลายอย่างทุกวันนี้ ฉลาดซื้อเคยทดสอบบริการไปรษณีย์ไทยมาแล้ว (ฉลาดซื้อฉบับที่ 44 ปกน้ำยาล้างจานไร้สารตกค้าง) ซึ่งผลทดสอบที่ออกมาชี้ชัดเจนว่าบริการไปรษณีย์ไทยสามารถตอบรับความต้องการให้จดหมายถึงเร็วของผู้บริโภคได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้บริการด่วนพิเศษ (EMS) ถ้าผู้บริโภครู้เคล็ดไม่ลับบางประการ เช่น ควรส่งจดหมายในช่วงวันจันทร์ – พุธ เพราะยอดการส่งไปรษณีย์ในช่วงวันปลายสัปดาห์จะหนาแน่นกว่าต้นสัปดาห์มาก เจ็ดปีให้หลัง บริการไปรษณีย์ไทยได้แปรรูปจากรัฐวิสาหกิจ เป็นบริษัท ไปรษณีย์ไทย (ปณท.) จำกัด (มหาชน) และแยกตัวออกจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย (ซึ่งก็แปรรูปเป็นบริษัทไปแล้วเช่นเดียวกัน) เมื่อรูปแบบการบริหารจัดการเปลี่ยนไป ความเปลี่ยนแปลงรอบด้านก็เกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการของบริษัท ที่พ้นสภาพขาดทุนในยุคของ กสท. เข้าสู่ผลกำไรสุทธิติดกันหลายปี ไปจนถึงบริการใหม่ๆ ที่ ปณท. ผลักดันออกมา ในยุคที่เทคโนโลยีสารสนเทศก้าวล้ำขึ้น เช่น บริการส่งพัสดุขนาดใหญ่ทางไปรษณีย์ หรือลอจิสโพสต์ (LogisPost) บริการโอนเงินด่วนพิเศษ และบริการรับชำระค่าบริการสาธารณูปโภค (Pay-@-Post) จนทำให้บริการไปรษณีย์ในรูปแบบทั่วๆ ไป เช่น จดหมายส่วนบุคคล หรือโทรเลขที่เพิ่งยกเลิกการให้บริการไปดูจะล้าสมัยไปแล้ว อย่างไรก็ตามบริการไปรษณีย์ก็ยังเป็นที่นิยม และจำเป็นสำหรับหลายคน เช่น การส่งโปสการ์ดจากสถานที่ท่องเที่ยว การส่งจดหมายติดต่อธุรกิจและราชการที่มีรายละเอียดมาก การส่งจดหมายชิงโชค และการสั่งซื้อสินค้าทางไปรษณีย์ ซึ่งล่าสุดเพิ่งเปิดตัวบริการ “อร่อยทั่วไทย” รับสั่งซื้ออาหารยอดนิยมจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศ แล้วขนส่งไปรษณีย์ทางอากาศมายังผู้รับ โดยผู้รับไม่ต้องไปรับที่ร้านอาหารหรือสนามบินเพื่อร่วมฉลองครบรอบ 125 ปี “ไปรษณีย์ไทย” ฉลาดซื้อฉบับนี้จะนำเสนอผลสำรวจเล็กๆ เพื่อ “ลองของ” บริการไปรษณีย์ในปัจจุบันว่ามีคุณค่าเพียงพอต่อการเป็นเครื่องมือสื่อสาร ในยุคที่การสื่อสารพุ่งเข้าไปสู่โลกไซเบอร์มากขึ้นเรื่อยๆ ได้หรือไม่ การเดินทางของจดหมายน้อย ฉลาดซื้อร่วมมือกับเครือข่ายใน 14 จังหวัดที่จากภาคต่างๆของประเทศไทย ทั้งเหนือ ใต้ ออก ตก ทำการทดสอบการส่งจดหมายด้วยบริการต่างๆ ของบริษัทไปรษณีย์ไทย ยุคหลังปรับปรุงโครงสร้าง โดยทางเครือข่ายจากจังหวัดต่างๆ ส่งจดหมายจากที่ทำการในเขตที่ตนเองสะดวกมาหาเราที่ที่อยู่ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค อันเป็นที่สิงสถิตของกองบก. วารสารฉลาดซื้อ ในขณะที่เราก็ฝากจดหมายไปกับที่ทำการไปรษณีย์ที่อยู่ใกล้ๆ บ้านของเจ้าหน้าที่กองบก.เรา เช่น ที่ทำการไปรษณีย์มักกะสัน สามเสนใน งามวงศ์วาน ดอนเมือง หรือร้านไปรษณีย์ไทยในห้างเซียร์รังสิต เป็นต้นบริการต่างๆ ที่เราทดสอบ พร้อมค่าใช้จ่าย (ยกตัวอย่างกรณีปลายทาง อ.เมือง ขอนแก่น)

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 172 ปลาริวกิว

หรือปลาหวาน คือปลาทะเลที่นำเนื้อมาแล่แล้วเชื่อมน้ำตาลตากแดดให้แห้ง  ปลาริวกิวของแท้ทำจากเนื้อปลาเรียวเซียว หรืออาจเรียกว่า ปลาลู่ทู่ (GIANT CATFISH) ซึ่งเป็นปลาในวงศ์ปลากดทะเลปลาหวานหรือปลาริวกิวนี้ เชื่อกันว่าเป็นของนำเข้ามาจากดินแดนที่เรียกว่า อาณาจักรริวกิว(ปัจจุบันคือจังหวัดโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น) ชาวริวกิวติดต่อค้าขายกับไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยหลักฐานเก่าแก่สุดของริวกิวเองระบุว่า พวกเขามาทำการค้าที่สยามในปี ค.ศ. 1419 ส่วนสินค้าเอ็กซพอร์ตสำคัญของไทยที่ไปเติบโตและยาวต่อมาถึงปัจจุบันในจังหวัดโอกินาวาหรืออดีตอาณาจักรริวกิว ก็คือ ข้าวไทย ที่ใช้สำหรับการทำเหล้า “อาวาโมริ” (Awamori) เหล้าชั้นดี ราคาแพง ของดังประจำถิ่นโอกินาวานั่นเองปลาริวกิวแท้แผ่นจะหนา เมื่อทอดแล้วเนื้อจะฟูร่วน ไม่คาว กินกับข้าวต้มอร่อยมาก ถ้าเลือกซื้อต้องดูลักษณะแผ่นปลาที่ขรุขระไม่เป็นแผ่นเรียบ  แผ่นปลาค่อนข้างหนาและมีความโปร่งแสงน้อย มีความมันเยิ้มของน้ำตาล แต่เพราะปลาเรียวเซียวที่นำมาทำปลาริวกิว มันหายากขึ้นเรื่อยๆ  ปลาฉลามและปลากระเบน จึงรับเคราะห์แทน ซึ่งเนื้อปลาหวานพวกนี้แผ่นปลาจะมีผิวค่อนข้างเรียบ แผ่นบางและมีความโปร่งแสงมากกว่า ส่วนกลิ่นคาวแน่นอนว่าจัดมาเต็มๆ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 147 ปลาแมกเคอเรล

ชื่อแมกเคอเรลนี้ น่าจะคุ้นหูคนไทยกันมากแล้ว เพราะเมื่อพลิกไปดูฉลากปลากระป๋อง อาหารที่นิยมแจกกันในยามยากหรือประสบภัยต่างๆ  ก็จะเห็นว่าเป็นปลาแมกเคอเรลในซอสมะเขือเทศกันเสียส่วนใหญ่ สมัยก่อนเราจะคุ้นกับปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศมากกว่า แต่มันมามีเรื่องฮือฮาเอาเมื่อประมาณ 8 ปีก่อน โดยผู้เชี่ยวชาญเรื่องปลาทะเลท่านหนึ่งสังเกตพบว่า ปลากระป๋องยี่ห้อดังที่ระบุว่า ปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศนั้น น่าจะโกงผู้บริโภคเสียแล้ว ด้วยการใช้ปลาทูแมวมาผลิตแทนปลาซาร์ดีน สืบไปสืบมาความเลยแตกว่า ปลาซาร์ดีนนั้นมันหายากนักหนา ปลาทู นี่แหละ ถึงไม่ใช่ก็แทนกันได้(บางคนก็ว่าอร่อยกว่าด้วย) อ้าว...เขียนเรื่องปลาแมกเคอเรล แล้วไปเกี่ยวอะไรกับปลาทู คือเรื่องมันมีอยู่ว่า แมกเคอเรล นั้นเป็นชื่อเรียกปลาทะเลที่มีลักษณะคล้ายกันคือ ผิวเป็นเกล็ดละเอียดสีเงินมันวาว ตัวเรียวยาวกลมคล้ายทรงกระบอก หัวแหลมท้ายแหลม มีครีบกระโดงหนึ่งครีบ ครีบท้องหนึ่งครีบ ครีบข้างหนึ่งคู่ หางสองแฉก ซึ่งอาศัยอยู่ทั่วไปตามชายฝั่งทะเลอยู่รวมเป็นฝูงใหญ่ ดังนั้นปลาทูที่เราคุ้นเคยไม่ว่าจะปลาทูแมว ปลาทูลัง หรือปลาทูแขก จึงจัดว่าเป็นปลาแมกเคอเรลเช่นกัน อ้อ ! ปลาซาบะ ก็เป็นปลาแมกเคอเรล ด้วยเหมือนกันนะ(คนญี่ปุ่นเรียกปลาพวกแมกเคอเรลทั้งหลายว่า ปลาซาบะ) ปลาแมกเคอเรลนั้นประชากรโลกนิยมกินกันมาช้านานแล้ว เมื่อนิยมกินกันมากๆ ก็เลยเกิดปัญหาใหญ่ตามมา คือว่า ปลาแมกเคอเรล กำลังใกล้จะสูญพันธุ์ คาดว่าในอีกไม่กี่ปีนี้แหละ ปัญหานี้ใหญ่หลวงนักขนาดสมาคมการอนุรักษ์ทางทะเล หรือ MSC ของอังกฤษ ได้ประกาศลดระดับปลาแมกเคอเรล จากเดิมที่แนะนำว่าเป็นอาหารสุขภาพที่มีความยั่งยืน "ควรรับประทานเป็นประจำ" กลายเป็น "ควรรับประทานเป็นครั้งคราว"  แทน ปลาแมกเคอเรลพันธุ์ไทย อย่างปลาทู ก็แว่วๆ ว่าใกล้จะหมดอ่าวเหมือนกัน ทั้งจากสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและจากชาวประมงที่ไม่แคร์สื่อ จับปลาไม่เลือกฤดูกาล ไม่เลือกวิธีการ ผู้บริโภคเองก็คงต้องเปลี่ยนหันมารับประทานปลาให้หลากหลายชนิดกันมากขึ้น เพราะปลานั้นมีประโยชน์ไม่ว่าจะปลาน้ำจืดหรือปลาน้ำทะเล ต่างล้วนแต่กินแล้วดีต่อสุขภาพด้วยกันทั้งนั้น  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 153 เช็คสารตะกั่วใน “ปลาทูน่ากระป๋อง”

ถ้าย้อนไปเมื่อก่อน คนไทยเราอาจไม่ค่อยคุ้นเคยกับปลาทูน่า เพราะคนไทยไม่ค่อยนิยมทานปลาทะเล ด้วยราคาที่แพงกว่าปลาน้ำจืด แม้ชื่อจะคล้ายกับปลาทูบ้านเรา แต่เราก็แทบไม่เห็นบ้านไหนเสิร์ฟเมนูที่ทำจากปลาทูน่าเป็นกับข้าวมื้อเย็น วันเวลาเปลี่ยนไป เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็รู้จักปลาทูน่า ไปต้องลำบากไปเดินเลือกซื้อในตลาด ไม่ต้องเหนื่อยขอดเกล็ด ล้างหั่นทำความสะอาด เพราะเดี๋ยวนี้ปลาทูน่าหาทานง่ายยิ่งกว่าปลาชนิดไหนๆ เพราะมันถูกบรรจุมาในกระป๋อง  แค่แวะร้านสะดวกซื้อก็ได้ทานปลาทูน่าสมใจ แต่ปัญหาก็แอบมากลับทูน่ากระป๋องเหมือนกัน เรามักจะได้ยินข่าวอยู่เรื่อยๆ ว่ามีการตรวจพบสารปนเปื้อนทั้งในทูน่าสดและทูน่ากระป๋อง อย่างเมื่อปีก่อนเคยมีข่าวว่าหลายประเทศในสหภาพยุโรปต้องสั่งระงับการนำเข้าปลาทูน่ากระป๋องจากประเทศไทย เพราะตรวจพบสารฮีสตามีน (histamine) ซึ่งเป็นสารพิษที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ นอกจากนี้ทั่วโลกยังมีการเฝ้าระวังเรื่องของการปนเปื้อนสารตะกั่วในอาหารทะเล เพราะสารตะกั่วที่เกิดจากบรรดาโรงงานอุตสาหกรรมต่างไหลลงสู่ทะเล แล้วแทรกซึมเข้าสู่สิ่งมีชีวิตในทะเล ซึ่งปลาทูน่าถือเป็นอาหารทะเลที่มีผู้นิยมบริโภคกันมาก การจับตาดูจึงมีมากเป็นพิเศษ เกริ่นมาซะยาวเพราะอยากจะบอกว่า “ฉลาดซื้อ” ฉบับนี้จะพาไปดูกันว่า ปลาทูน่ากระป๋องที่วางขายอยู่ในท้องตลาดบ้านเรานั้น มีการปนเปื้อนของสารตะกั่วหรือเปล่า ไขข้อข้องใจให้กับผู้บริโภค ต่อไปจะได้ทานปลาทูน่ากระป๋องได้อย่างมั่นใจ แถมด้วยการเช็คปริมาณโซเดียม ดูสิว่าทานปลาทูน่ากระป๋องแล้วจะสุขภาพดีเพราะมีคุณค่าทางอาหาร หรือจะต้องป่วยเสียก่อนเพราะร่างกายดันได้รับโซเดียมมากเกินไป   ผลการทดสอบ ฉลาดซื้อได้สุ่มตัวอย่างปลาทูน่ากระป๋องจำนวน 16 ตัวอย่าง 8 ยี่ห้อ โดยแต่ละยี่ห้อจะแบ่งเป็นปลาทูน่ากระป๋องชนิดที่ปรุงในน้ำมันพืช และชนิดที่ปรุงในน้ำเกลือ อย่างละ 1 ตัวอย่าง โดยการตรวจวิเคราะห์หาการปนเปื้อนของสารตะกั่วนั้น ฉลาดซื้อได้ส่งไปตรวจยัง ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 จ.อุบลราชธานี ส่วนการตรวจดูข้อมูลปริมาณโซเดียม ฉลาดซื้อใช้วิธีคำนวณจากปริมาณโซเดียมที่แจ้งไว้ในฉลากโภชนาการข้างกระป๋อง   การปนเปื้อนสารตะกั่ว สำหรับผลวิเคราะห์การปนเปื้อนสารตะกั่ว ถือว่าเป็นข่าวดีของผู้บริโภคเพราะปลาทูน่ากระป๋องทุกตัวอย่างที่เราส่งตรวจ ไม่พบการปนเปื้อนของสารตะกั่ว จากนี้ไปเราก็สามารถทางปลาทูน่ากระป๋องกันได้อย่างสบายใจ แต่แม้จะปลอดจากสารตะกั่ว แต่อาจต้องระวังการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์อื่นๆ ที่อาจป่นเปื้อนมากับเนื้อปลา ซึ่งเกิดขึ้นได้จากขั้นตอนการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะฉะนั้นวิธีแก้ง่ายๆ คือการปรุงเนื้อปลาทูน่าให้สุกก่อนทาน แม้ปลาทูน่ากระป๋องจะผ่านกรรมวิธีทำให้เนื้อปลาสุกมาแล้ว แต่เพื่อความไม่ประมาท ทำให้สุกอีกทีเพื่อความปลอดภัย   ปริมาณโซเดียม ส่วนเรื่องของปริมาณโซเดียมในทูน่ากระป๋อง ซึ่งถือเป็นสิ่งที่คนชอบทานปลาทูน่ากระป๋องต้องระวังเป็นพิเศษ  เพราะในปลาทูน่า 1 กระป๋องอาจมีโซเดียมถึง 1 ใน 4 ของปริมาณโซเดียมที่เหมาะต่อร่างกายคนเราใน 1 วัน (ไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัม) จากการตรวจเช็คปริมาณโซเดียมในปลาทูน่ากระป๋องจากข้อมูลในฉลากโภชนาการ พบว่าประมาณโซเดียมจะอยู่ที่ประมาณ 300 – 600 มิลลิกรัมต่อ 1 กระป๋อง (น้ำหนัก 185 กรัม แต่ถ้าเฉพาะน้ำหนักเนื้อปลาจะอยู่ที่ 140 กรัม) เพราะฉะนั้นเราควรทานทูน่ากระป๋องแต่พอดี ควรทานให้เป็นอาหารมื้อหลักมากว่าเป็นเมนูทานเล่น ทานเต็มที่ไม่ควรเกินวันละ 1 กระป๋อง และต้องควบคุมปริมาณโซเดียมในอาหารประเภทอื่นๆ ควบคู่กันไปด้วย สำหรับใครที่คิดว่าปลาทูน่ากระป๋องชนิดที่ปรุงในน้ำมันพืชจะมีปริมาณโซเดียม น้อยกว่าปลาทูน่ากระป๋องที่ปรุงในน้ำเกลือคงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะจากการตรวจเช็คปริมาณโซเดียมที่แจ้งในฉลากโภชนาการ  พบว่าปลาทูน่าในน้ำมันพืช 1 กระป๋องมีปริมาณโซเดียมมากกว่าปลาทูน่าในน้ำเกลือถึง 50 -100 มิลลิกรัมเลยทีเดียว   ---------------------------------------------------- ฉลาดซื้อแนะนำ -ปลาทูน่ากระป๋องที่ดี ต้องไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดๆ ปนเปื้อนมากับเนื้อปลา -เนื้อปลาต้องสุก ต้องไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น กินเหม็น หรือ กลิ่นหืน -เนื้อปลาต้องไม่นิ่มเละ หรือ กระด้างเกินกว่าที่ควรจะเป็น เนื้อไม่มีลักษณะพรุนแบบรังผึ้ง -เนื้อปลาต้องไม่เป็นสีที่ชวนให้น่าสงสัยว่าเกิดการผิดปกติ เช่น สีเขียว หรือสีที่มีลักษณะคล้ำ -เนื้อปลาต้องไม่มีผลึกใส ซึ่งเป็นผลึกเกลือ ของสารประกอบของแมกนีเซียม ฟอสเฟต และแอมโมเนีย มักเกิดกับอาหารที่มีเกลือเป็นส่วนประกอบ ทำปฏิกิริยากับโปรตีน สาเหตุของการเกิดผลึกเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของจุลินทรีย์ เป็นการบ่งชี้ว่าวัตถุดิบไม่สด มีคุณภาพไม่ดี หรือขั้นตอนการผลิตไม่เหมาะสม -เลือกกระป่องที่อยู่ในสภาพดี ไม่บวม บุบ เบี้ยว ไม่มีสนิม -อ่านฉลากให้ละเอียดทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ บนฉลากต้องมี ชื่อสินค้า ชื่อของเหลวที่ใส่มาพร้อมเนื้อปลา เช่น ปลาทูน่าในน้ำเกลือ ปลาทูน่าในน้ำมัน ฯลฯ ต้องบอกส่วนประกอบ มีฉลากโภชนาการ บอกชื่อที่อยู่ผู้ผลิต วันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุ -ปลาทูน่ากระป่องที่เปิดกระป๋องแล้วแต่ยังทานไม่หมด ควรเก็บเข้าตู้เย็นและเปลี่ยนมาใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด ป้องกันเชื่อโรคเข้าไปปนเปื้อน -----------------------   ปลาทูน่ากระป๋องที่เรากินส่วนใหญ่ ทำจากปลาทูน่านำเข้า แม้ประเทศไทยเราจะได้รับการยกย่องให้เป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่ส่งออกปลาทูน่ากระป๋องออกไปขายทั่วโลก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศไทยเรายังคงต้องใช้วัตถุดิบหลักในการผลิตอย่างเนื้อปลาทูน่าสดปริมาณมากกว่า 8 แสนตันต่อปี คิดเป็นร้อยละ 80 ของปลาทูน่าที่ใช้ในการผลิตปลาทูน่ากระป๋อง เท่ากับว่ามีเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่เป็นปลาทูน่าที่เราจับได้จากประมงไทย เหตุผลที่ไทยเรายังคงต้องสั่งนำเข้าปลาทูน่ามากมายขณะนี้ เป็นเพราะด้วยคุณภาพของปลาทูน่าที่จับได้ในทะเลไทยส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก และมีปริมาณน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ที่สำคัญคือความด้อยด้านเทคโนโลยีและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการจับปลาทูน่า การประมงน้ำลึกของไทยยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ การเลือกนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศจึงดูเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์การผลิตได้มากกว่า   ข้อมูลปี 2553 ประเทศไทยเรานำเข้าปลาทูน่าปริมาณรวม 816,473 ตัน คิดเป็นมูลค่าที่ต้องจ่ายไป 35,656 ล้านบาท ขณะที่ ปริมาณการส่งออกทูน่ากระป๋องในปีเดียวกัน อยู่ที่ 521,205 ตัน คิดเป็นรายได้กลับเข้าประเทศ 51,942 ล้านบาท ที่มา : กรมการค้าต่างประเทศ   รู้จักกับปลาทูน่าที่ถูกจับลงกระป๋อง -ปลาทูน่าท้องแถบ (Skip-Jack Tunas) ถือเป็นสายพันธ์ปลาทูน่าที่นิยมใช้ในการผลิตปลาทูน่ากระป๋องมากที่สุดในปัจจุบัน ถึงเกือบร้อยละ 80 ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ตัวหนึ่งหนักประมาณ 3 – 7 กิโลกรัม เนื้อปลาจะมีค่อนข้างดำ -ปลาทูน่าครีบเหลือง (Yellow Fin Tunas) สายพันธ์นี้จะอาศัยอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกทั้งตะวันตกและตะวันออก ลำตัวมีความยาวประมาณ 27-60 นิ้ว เป็นสายพันธ์ปลาทูน่าที่มีขนาดใหญ่ บางตัวหนักถึง 20 กิโลกรัม เนื้อจะมีสีขาว คุณภาพดีกว่าปลาทูน่าท้องแถบ แต่ราคาก็สูงกว่าตามไปด้วย -ปลาทูน่าครีบยาว (Albacore or Long Finned Tunas) อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนเหนือ ลักษณะและขนาดจะคล้ายกับปลาทูน่าครีบเหลือง -ปลาทูน่าชนิดอื่นๆ ได้แก่ ปลาทูน่าตาโต ทูน่าครีบน้ำเงิน เป็นต้น ซึ่งเป็นปลาขนาดใหญ่ ส่วนใหญ่จะเอาไปทำปลาดิบมากกว่าบรรจุลงกระป๋อง เพราะคุณภาพจะดีกว่า ราคาก็จะแพงกว่า   ---------------------------------------------------- กินปลาทูน่าแบบรักษ์โลก ถ้าสังเกตที่ข้างกระป๋องปลาทูน่าดีๆ จะเห็นสัญลักษณ์ "Dolphin Safe" ที่เป็นรูปปลาโลมา เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงการทำประมงจับทูน่าแบบอนุรักษ์ ไม่ทำร้ายปลาโลมา ซึ่งเป็นข้อตกลงทีมาจากบัญญัติคุ้มครองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลของสหรัฐฯ  (Marine Mammal Protection Act-MMPA)  ที่กำหนดห้ามไม่ให้ขายปลาทูน่าที่จับโดยเรือประมงทั้งในหรือต่างประเทศที่ใช้อวนแบบ purse seine  หรืออวนที่ดักล้อมเป็นระยะทางยาวเป็นไมล์   เพราะอวนชนิดนี้ไม่ได้จับได้เฉพาะปลาทูน่าเท่านั้น แต่ยังจับเอาปลาโลมาติดมาด้วย เพราะปลาทูน่าถือเป็นอาหารของปลาโลมา ในฝูงปลาทูน่าจึงมักมีปลาโลมาเกาะกลุ่มอยู่ด้วย ที่ผ่านมามีปลาโลมาที่ต้องตายเพราะอุตสาหกรรมประมงทูน่าหลายล้านตัว สหรัฐอเมริกาจึงทำมาตรการณ์ร่วมกับองค์การการค้าโลก (WTO) ให้ทุกประเทศที่จะทำการค้าปลาทูน่าทั้งสดและบรรจุกระป๋องต้อง ทำประมงจับทูน่าแบบอนุรักษ์ ไม่ทำร้ายปลาโลมา รวมถึงจับปลาทูน่าเท่าที่จำเป็น   ประโยชน์ของปลาทูน่า ความนิยมในการทานทูน่ากระป๋องที่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช้เฉพาะแค่เมืองไทย แต่คนทั่วโลกก็ชื่นชอบปลาทูน่ากระป๋อง ไม่ใช่แค่เพราะความสะดวก แต่ยังรวมถึงเรื่องของคุณประโยชน์ที่ได้ ปลาทูน่าไม่ว่าจะเป็นแบบสดหรือที่บรรจุกระป๋อง จะมีกรดไขมันกลุ่มโอเมก้า 3 และมีดีเฮชเอ (Docosahexaenoic acid (DHA)) ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแต่ร่างกายเราไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ประโยชน์ของกรดไขมันเหล่านี้ ช่วยเสริมสร้างความแข้งแรงให้กับเซลล์ ช่วยในการทำงานของระบบสมอง ระบบประสาท ที่สำคัญในโอเมก้า 3 ยังมีสาร เอชดีแอล โคเลสเตอรอล (HDL cholesterol) ซึ่งเป็นโคเลสเตอรอลชนิดดี ที่จะไปช่วยจัดโคเลสเตอรอลชนิดเลวออกไปจากร่างกาย ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ แถมปลาทูน่ายังให้โปรตีนที่สูงอีกต่างหาก   ตารางแสดงผลทดสอบปริมาณโซเดียมและการปนเปื้อนของสาตะกั่วในทูน่ากระป๋อง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 127 โซเดียมในปลากระป๋อง

  ปลากระป๋องถือเป็นอีกหนึ่งอาหารที่อยู่คู่ครัวคนไทย ยิ่งในยุคที่ข้าวยากหมากแพง หมูแพง ผักแพง น้ำมันก็แพง จะซื้อหาอะไรมาทำกับข้าวก็ปวดหัวปวดใจ จะกินอะไรก็ต้องคิดแล้วคิดอีกเป็นห่วงเงินในกระเป๋า ปลากระป๋องนี่ล่ะ เป็นทางเลือกสำหรับคนงบน้อยแต่อร่อยแล้วก็อิ่มด้วย ในยามยากปลากระป๋องยังเป็นที่พึ่งพาสำหรับผู้ประสบภัยต่างๆ  ในเวลาที่บ้านเมืองเจอภัยพิบัติ ทั้งน้ำท่วม ดินถล่ม หรือแม้แต่คนที่เดินทางไกล เข้าป่าฝ่าดง ซึ่งการหุงหาอาหารกินเองเป็นเรื่องลำบาก ปลากระป๋องและรวมถึงอาหารกระป๋องชนิดอื่นๆ นับเป็นตัวช่วยที่ดี เพราะจะเปิดกินเมื่อไหร่ก็ได้สะดวกสบาย แถมเก็บไว้ได้นานเป็นปี ที่สำคัญคือราคาไม่แพงมาก แต่ปลากระป๋องก็คืออาหารแปรรูปชนิดหนึ่ง คุณค่าทางอาหารที่มีก็ต้องสูญเสียไปตามขั้นตอนการผลิต เรียกว่าเทียบไม่ได้กับอาหารที่ทำสดๆ ใหม่ๆ แถมถ้ากินมากเกินไปร่างกายของเราก็มีสิทธิเสี่ยงโรคร้ายทั้ง โรคไต โรคหัวใจ ความดัน จาก “โซเดียม” ที่มีอยู่ในปลากระป๋อง   ปลากระป๋องถือเป็นอาหารที่ผลิตในระบบอุตสาหกรรม ผลิตเพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศและส่งขายออกไปทั่วโลก โรงงานผลิตปลากระป๋องในบ้านเราก็จะตั้งอยู่ในจังหวัดที่อยู่ใกล้หรือติดกับทะเล โดยเฉพาะหลายจังหวัดในภาคใต้ รวมถึงจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร และกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ใกล้กับทรัพยากรในการผลิต ส่วนประกอบหลักๆ ในการผลิตปลากระป๋องก็คือ ปลา ที่เรารู้จักกันดีก็คือ ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล และปลาทูน่า แต่ผู้ผลิตบางรายก็เลือกใช้ปลาทูแขกหรือปลาทูลังแทนปลาซาร์ดีน เพราะปลาซาร์ดีนหายากมากในทะเลบ้านเรา ซึ่งปลาทูแขกหรือปลาทูลังก็จัดอยู่ในสายพันธุ์เดียวกันกับปลาซาร์ดีน ส่วนประกอบถัดมาที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ซอสปรุงรส ที่นิยมกันมากๆ ก็คือ ซอสมะเขือเทศ น้ำมัน หรือน้ำกลือ แต่เดี๋ยวนี้ก็พัฒนาดัดแปลงทำเป็นสูตรแกงต่างๆ ทั้ง พะแนง มัสมั่น แกงเขียวหวาน ฉู่ฉี่ เป็นการเพิ่มรสชาติใหม่ๆ ไม่จำเจอยู่แค่ปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ และอย่างสุดท้ายก็คือ กระป๋อง ทำจากดีบุกหรืออะลูมิเนียมซึ่งกระป๋องที่ใช้สำหรับบรรจุอาหารส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี----------------------------------------------- ผลทดสอบปริมาณโซเดียมในปลากระป๋อง +ฉลาดซื้อสุ่มตัวอย่างปลากระป๋องที่ขายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาดจำนวน 18 ยี่ห้อ แบ่งเป็น ปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ 12 ยี่ห้อ และปลาแมคเคอเรลในซอสมะเขือเทศอีก 6 ยี่ห้อ + Thai RDI (Thai Recommended Daily Intakes) แนะนำปริมาณโซเดียมที่เหมาะสมกับการบริโภคต่อวันสำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป คือไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัม  +ซูเปอร์ซีเชฟ ปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ พบมีปริมาณโซเดียมต่อ 1 กระป๋องมากที่สุดคือ 823.05 มิลลิกรัม หรือประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณที่แนะนำในการบริโภคต่อวัน ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างสูง เพราะอย่าลืมว่าอาหารเกือบทุกอย่างที่รับประทานในแต่ละวันที่โซเดียมเป็นส่วนประกอบเกือบทุกชนิดมากน้อยแตกต่างกันไป โดยเฉพาะอาหารจานหลักต่างๆ ที่ต้องมีการเติมเครื่องปรุงรส ไม่ว่าจะเป็น น้ำปลา ซีอิ้ว ให้โซเดียมสูง น้ำปลาหรือซีอิ้ว 1 ช้อนชามีโซเดียมประมาณ 350 – 500 มิลลิกรัม นี่ยังไม่รวมพวกขนมขบเคี้ยวต่างๆ ที่หลายๆ ชอบรับประทานเป็นอาหารว่าง ซึ่งมีโซเดียมอยู่สูงเช่นกัน  +ส่วนประกอบหลักของปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศก็คือ ปลาและซอสมะเขือเทศ ซึ่งในซอสมะเขือเทศนั่นแหละที่เป็นแหล่งของโซเดียม นอกจากนี้ผู้ผลิตเค้ายังมีการเติมทั้งเกลือและโมโนโซเดียมกลูตาเมต ที่ล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งของโซเดียมอีกด้วย +เพราะคนไทยเราพิถีพิถันในเรื่องอาหารการกิน ปลากระป๋องก็เลยต้องเอามาปรุงใหม่เพื่อให้อร่อยถูกใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีที่นำปลากระป๋อ งมาอุ่นร้อนก่อนรับประทาน เมนูยอดฮิตก็ต้องให้ต้มยำปลากระป๋อง แต่ต้องระวังเวลาปรุงรสด้วยนะอย่าให้เค็มเกินไป เพราะปลากระป๋องก็มีโซเดียมสูงอยู่แล้ว เติมโซเดียมจากน้ำปลาเข้าไปอีกจะยิ่งอันตราย  +อีกเมนูปลากระป๋องสุดโปรดของหลายๆ คนก็คือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับปลากระป๋อง เพราะแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 1 ซอง ก็มีโซเดียมอยู่ถึง 1,500 – 1,800 มิลลิกรัม ถ้ารวมกับปลากระป๋องเข้าไปอีก รับรองโซเดียมพุ่งปี๊ดแน่นอน โปรดระวัง+อายุของปลากระป๋องจะอยู่ที่ 2 ปี แต่ปลากระป๋องที่เก็บไว้นานๆ หรือใกล้วันหมดอายุก็ไม่ควรรับประทาน เพราะยิ่งนานๆ เนื้อปลาก็จะยิ่งเสื่อมสภาพไปเรื่อยๆ   วิธีเลือกซื้อปลากระป๋อง+ต้องมีฉลากแสดงข้อมูล ชื่ออาหาร ชื่อ - ที่อยู่ผู้ผลิต วันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุ ส่วนประกอบ ข้อมูลโภชนาการ ที่สำคัญที่สุดคือฉลากต้องเป็นภาษาไทย  +ดูความเรียบร้อยของกระป๋อง ว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่ กระป๋องต้องไม่บุบหรือบวม หรือมีรอยขีดข่วน ต้องเช็คดูตามตะเข็บของกระป๋องว่าไม่มีรอยรั่วซึม ซึ่งอาจทำให้อากาศและเชื้อจุลินทรีย์เข้าไปในกระป๋องทำให้อาหารเน่าเสีย ซึ่งสาเหตุมักเกิดจากขั้นตอนการขนส่งหรือจัดเก็บ ส่วนการที่กระป๋องบวมอาจมีสาเหตุจากขั้นตอนการไล่อากาศออกไม่หมด ทำให้ยังมีออกซิเจนหลงเหลืออยู่ในกระป๋องซึ่งจะไปทำปฏิกิริยากับสารเคลือบในกระป๋องทำให้เกิดก๊าซไฮโดรเจนทำให้กระป๋องบวม  +ลักษณะของกระป๋องที่ดีต้องมีลักษณะมันแวววาว ไม่มีรอยผิดปกติบนพื้นผิวกระป๋องทั้งภายนอกและภายใน +เมื่อเปิดกระป๋องแล้ว กลิ่นและสีของอาหารต้องอยู่ในลักษณะปกติ ไม่ผิดเพี้ยน สีไม่คล้ำ ไม่มีกลิ่นเหม็น ถ้าหากเปิดกระป๋องออกมาแล้วดูน่าสงสัยก็ไม่ควรรับประทาน +ปลากระป๋องควรนำไปใส่ในภาชนะอุ่นให้ร้อนอีกครั้งก่อนรับประทาน หรือถ้าเปิดแล้วกินไม่หมด ควรเทเปลี่ยนใส่ในภาชนะอื่น แล้วนำไปแช่ในตู้เย็น ป้องกันเชื้อจุลินทรีย์ในอากาศทำปฏิกิริยากับสารเคลือบที่อยู่ในกระป๋อง +ส่วนเรื่องการเก็บรักษานั้นต้องเก็บในอุณหภูมิห้อง อย่าเก็บในที่ที่มีอากาศร้อน เพราะจะทำให้อาหารที่อยู่ในกระป๋องเน่าเสียได้ ยิ่งถ้าอากาศร้อนหรืออยู่ในที่ที่อุณหภูมิสูงมากๆ กระป๋องอาจระเบิดได้---------------------------------------------------------   ปลาซาร์ดีน เป็นชื่อเรียกของปลาขนาดเล็กมีหลากหลายสายพันธุ์ คำว่าซาร์ดีนมาจากชื่อเกาะซาร์ดีเนียซึ่งอยู่ในทะเลเมอร์ดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นแหล่งที่มีปลาซาร์ดีนอุดมสมบูรณ์ ปลาซาร์ดีนเป็นอาหารที่มีประโยชน์มาก มีโอเมก้า – 3 ที่ช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ ช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ แถมยังมีวิตามินดี วิตามินบี 12 และโปรตีน ส่วน ปลาแมคเคอเรล เป็นปลาที่อยู่ในสายพันธุ์เดียวกับปลาซาร์ดีนแต่ว่าจะมีขนาดใหญ่กว่า ปลาทูก็อยู่ในสายพันธุ์เดียวกันกับปลาแมคเคอเรล ทั้งปลาซาร์ดีนและปลาแมคเคอเรลถือเป็นสัตว์ลำดับแรกๆ ในห่วงโซ่อาหาร ทำให้การปนเปื้อนของปรอทที่มักพบในอาหารทะเลมีค่อนข้างน้อย   คนไทยชอบกินปลากระป๋องอะไรกัน?ปลาซาร์ดีน 67%ปลาแมคเคอเรล 18%ปลาทูน่า 12% อื่นๆ 3% ข้อมูลจาก บทความเรื่อง “ผลวิจัย Most Admired & Why We Buy 2008” นิตยสาร brandage มกราคม 2551   ชื่อสินค้า ปริมาณ ราคา ผู้ผลิต ส่วนประกอบ ปริมาณโซเดียม / 1 กระป๋องตามที่แจ้งในฉลาก (มิลลิกรัม) ผลทดสอบ ข้อมูลโภชนาอื่นๆ ที่ระบุบนฉลาก มีที่เปิดแบบฝาดึง ปริมาณโซเดียม / 100 กรัม(มิลลิกรัม) ปริมาณโซเดียม เมื่อเทียบ / 1 กระป๋อง (มิลลิกรัม) ปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ 1.ซูเปอร์ซีเชฟ น้ำหนักเนื้อ 93 กรัม น้ำหนักสุทธิ 155 กรัม   บ.ไอ.เอส.เอ.แวลู จำกัด ปลาซาร์ดีน 60% ซอสมะเขือเทศเข้มข้น 35% เกลือแกง 2.5% น้ำมันถั่วเหลือง 1.5% น้ำ 1% 780 มก. 531 มก. 823.05 มก. ไม่ใช้วัตถุกันเสีย มี 2.รูปสามเหลี่ยม น้ำหนักเนื้อ 75 กรับ น้ำหนักสุทธิ 125 กรัม 14 บ. บ.เจริญอุตสาหกรรม จำกัด ปลาซาร์ดีน 60% ซอสมะเขือเทศ 32% อื่นๆ 8% ไม่ระบุ 497 มก. 621.25 มก. เจือสี ไม่มี 3.ซูมาโก น้ำหนักเนื้อ 75 กรับ น้ำหนักสุทธิ 125 กรัม 15 บ. บ.เจริญอุตสาหกรรม จำกัด ปลาซาร์ดีน 60% ซอสมะเขือเทศ 32% อื่นๆ 8% ไม่ระบุ 494 มก. 617.5 มก. เจือสี ไม่มี 4.บิ๊กซี น้ำหนักเนื้อ 93 กรัม น้ำหนักสุทธิ 155 กรัม   บ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ปลาซาร์ดีน 60% ซอสมะเขือเทศ 37% น้ำมันถั่วเหลือง 2% เกลือ 1% 700 มก. 443 มก. 686.65 มก. ไม่ระบุ ไม่มี 5.ตราแฮปปี้มาก น้ำหนักเนื้อ 87 กรัม น้ำหนักสุทธิ 145 กรัม   บ.ทูพลัส ฟู้ด อินดัสเตรียล จำกัด ปลาซาร์ดีน 60% ซอสมะเขือเทส 38% น้ำตาล 1% เกลือ 1% ไม่ระบุ 430 มก. 623.5 มก. เจือสีธรรมชาติ ไม่มี 6.ซีเล็ค น้ำหนักเนื้อ 93 กรัม น้ำหนักสุทธิ 155 กรัม   บ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ปลาซาร์ดีน 60% ซอสมะเขือเทศ 37% น้ำมันถั่วเหลือง 2% เกลือ 1% ไม่ระบุ 424 มก. 657.2 มก. ไม่ใช้วัตถุกันเสีย มี 7.แม็กกาแรต น้ำหนักเนื้อ 90 กรัม น้ำหนักสุทธิ 140 กรัม 11 บ. บ.วี เค แฟคตอรี่ จำกัด ปลาซาร์ดีน 65% ซอสมะเขือเทศ 30% น้ำมันถั่วเหลือง 4.6% ผงชูรส 0.1% ไมระบุ 394 มก. 551.6 มก. ไมระบุ ไม่มี 8.ซีคราวน์ น้ำหนักเนื้อ 93 กรัม น้ำหนักสุทธิ 155 กรัม 14.50 บ. บ.สมุยฟูดส์ จำกัด ปลาซาร์ดีน 60% ซอสมะเขือเทศ 27% เกลือ 1% 760 มก. 392 มก. 607.6 มก. ใช้โมโนโซเดียมกลูตาเมต มี 9.ท๊อปส์ น้ำหนักเนื้อ 93 กรัม น้ำหนักสุทธิ 155 กรัม 15 บ. บ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ปลาซาร์ดีน 60% ซอสมะเขือเทศ 39.95%   700 มก. 378 มก. 585.9 มก. ใช้โมโนโซเดียมกลูตาเมต, ไดโซเดียม 5 กัวไนเลต, ไดโซเดียม 5 ไอโนชิเดต มี 10.สามแม่ครัว น้ำหนักเนื้อ 93 กรัม น้ำหนักสุทธิ 155 กรัม   บ.รอยัลฟู้ดส์ จำกัด ปลาซาร์ดีน 60% ซอสมะเขือเทศเข้มข้น 36.47% เกลือ 1.14% น้ำตาล 0.72% 800 มก. 374 มก. 579.7 มก. ใช้โมโนโซเดียมกลูตาเมต มี 11.โฮม เฟรช มาร์ท น้ำหนักเนื้อ 93 กรัม น้ำหนักสุทธิ 155 กรัม 13.50 บ. บ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) ปลาซาร์ดีน 60% ซอสมะเขือเทศ 37% น้ำมันถั่วเหลือง 2% เกลือ 1% ไม่ระบุ 348 มก. 539.4 มก. ไม่ใช้วัตถุกันเสีย มี 12.อะยัม น้ำหนักเนื้อ 93 กรัม น้ำหนักสุทธิ 155 กรัม 28 บ. บ.ผลิตภัณฑ์ปลากระป๋องสยาม จำกัด ปลาซาร์ดีน 60% ซอสมะเขือเทศ 36% น้ำมันถั่วเหลือง 2.9% เกลือ 1% 700 มก. 330 มก. 511.5 มก. ไม่ใช้วัตถุกันเสีย, ผงชูรส ไม่เจือสี มี ปลาแมคเคอเรลในซอสมะเขือเทศ 13.ไฮคิว น้ำหนักเนื้อ 93 กรัม น้ำหนักสุทธิ 155 กรัม   บ.ไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ปลาแมคเคอรเล 65% ซอสมะเขือเทศ 30% เกลือ 2.50% น้ำมันปาล์ม 2.50% 600 มก. 484 มก. 750.2 มก. ไม่เจือสี ไม่ใช้วัตถุกันเสีย มี 14.ตราคุ้มค่า เทสโก้ น้ำหนักเนื้อ 87 กรัม น้ำหนักสุทธิ 145 กรัม   บ.สมุยฟู้ดส์ จำกัด ปลาแมคเคอเรล 60% ซอสมะเขือเทศ 6% เกลือไอโอดีน 1% 620 มก. 456 มก. 661.2 มก. ใช้โมโนโซเดียมกลูตาเมท เจือสีธรรมชาติ ไม่มี 15.โรซ่า น้ำหนักเนื้อ 93 กรัม น้ำหนักสุทธิ 155 กรัม   บ.ไฮคิว แคนนิ่ง (ปัตตานี) จำกัด ปลาแมคเคอเรล 65% ซอสมะเขือเทศ30% เกลือ 2.5% น้ำมันปาล์ม 2.5% 540 มก. 447 มก. 692.85 มก. ไม่เจือสี ไม่ใช้วัตถุกันเสีย มี 16.นกพิราบ น้ำหนักเนื้อ 93 กรัม น้ำหนักสุทธิ 155 กรัม 13.50 บ. บ.สันติภาพ (ฮั่วเพ้ง 1958) จำกัด ปลาแมคเคอเรล 60% ซอสมะเขือเทศ 38% เกลือแกง 1.1% กัวร์กัม 0.5% 490 มก. 444 มก. 688.2 มก. ใช้โมโนโซเดียมกลูตาเมต ไม่ใช้วัตถุกันเสีย มี 17.ปุ้มปุ้ย   น้ำหนักเนื้อ 93 กรัม น้ำหนักสุทธิ 155 กรัม 13 บ. บ.ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) ปลาแมคเคอเรล 60% ซอสมะเขือเทศ 37% น้ำมันถั่วเหลือง 1.6% เกลือ 1.4% 680 มก. 438 มก. 678.9 มก. ไม่ใช้วัตถุกันเสีย ไม่ใช้วัตถุปรุงแต่งรสอาหาร มี 18.ทีซีบี น้ำหนักเนื้อ 93 กรัม น้ำหนักสุทธิ 155 กรัม 14.25 บมจ.ทรอปิคอล เคนนิ่ง (ประเทศไทย) ปลาแมคเคอเรล 66% ซอสมะเขือเทศ 30.8% น้ำมันถั่วเหลือง 2.6% เกลือ 0.6% 580 มก. 360 มก. 558 มก. ไม่ใช้วัตถุกันเสีย มี   ผลทดสอบเฉพาะตัวอย่างที่ส่งตรวจเท่านั้น ทดสอบโดย สถาบันโภชนาการ ม.มหิดล

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 112-113 ปลาหมึกแห้ง ของดีแต่มีเสี่ยง

ปลาหมึกแห้ง จัดเป็นอาหารแปรรูปที่ขายดีอันดับหนึ่ง หาซื้อไม่ยากจะเอามาทำอะไรกินก็ง่ายจะทอดหรือย่างก็อร่อย ปลาหมึกที่นำมาทำปลาหมึกแห้งมีหลายชนิด แต่ที่นิยมกันมากๆ ก็คือ  ปลาหมึกกล้วย และปลาหมึกสาย ผลการทดสอบที่นำเสนอนี้เป็นผลจากการทดสอบตัวอย่างอาหารจำนวน 8 ตัวอย่างจาก 8 จังหวัด ซึ่งดำเนินการภายใต้โครงการพัฒนากลไกการเฝ้าระวังฯ โดยเก็บตัวอย่างในเดือนมกราคม 2553 ครับ   ปลาหมึกแห้งที่เก็บตัวอย่างนี้เรานำมาทดสอบหาสิ่งปนเปื้อนในอาหาร 3 กลุ่ม คือ สารพิษจากเชื้อรา-อะฟลาท็อกซิน ซึ่งอาจจะมาจากการเก็บรักษาที่ไม่สะอาด โลหะหนักในอาหาร ซึ่งมักปนเปื้อนในอาหารทะเลและสารปรุงแต่งรส สีผสมอาหาร และสารเคมีทางการเกษตรที่พ่อค้า-แม่ค้าบางรายมักฉีดพ้นเพื่อป้องกันแมลงมาตอมปลาหมึกแห้งในร้านครับ   ผลการทดสอบ - ข่าวดี ไม่พบการปนเปื้อนของสารพิษจากเชื้อรา-อะฟลาท็อกซินในทุกตัวอย่างที่ทดสอบ (8 ตัวอย่าง) - ข่าวร้าย พบการปนเปื้อนของโลหะหนักประเภทแคดเมียมในทุกตัวอย่างที่ทดสอบ คิดเป็นร้อยละ 100 โดยมีค่าเฉลี่ยของแคดเมียมที่พบอยู่ที่ 3.43 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (ค่ามาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ-CODEX อยู่ที่ 2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) และหากนำค่ามาตรฐานอาหารระหว่างประเทศมาเป็นตัวชี้วัดจะพบว่ามีตัวอย่างที่พบค่าแคดเมียมเกินกว่า 2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จำนวน 4 ตัวอย่าง ได้แก่ (1) ตัวอย่างจากร้านเจ๊ต้อย ซึ่งเก็บจากตลาดสดมหาสารคาม พบแคดเมียมที่ปริมาณ 13 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (2) ตัวอย่างจากร้านเจ๊ดม ซึ่งเก็บตัวอย่างจากร้านพรพัฒนา จังหวัดสมุทรสงคราม พบแคดเมียมที่ปริมาณ 4.77 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (3) ตัวอย่างจากตลาดเมืองใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พบแคดเมียมที่ปริมาณ 3.36 มิลลิกรัม/กิโลกรัม (4) ตัวอย่างจากตลาดสดเทศบาล 3 จังหวัดขอนแก่น พบแคดเมียมที่ปริมาณ 2.05 มิลลิกรัม/กิโลกรัม -พบการปนเปื้อนของโลหะหนักประเภทตะกั่วในทุกตัวอย่าง (8 ตัวอย่าง) คิดเป็นร้อยละ 100 โดยมีค่าเฉลี่ยของปริมาณตะกั่วที่พบเท่ากับ 0.137 มิลลิกรัม/กิโลกรัม อย่างไรก็ตามไม่มีตัวอย่างใดที่มีการปนเปื้อนสูงเกินกว่ามาตรฐานกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 98 (พ.ศ. 2529) กำหนดที่ 1 มิลลิกรัม/กิโลกรัม โดยมีปริมาณตะกั่วสูงสุดที่พบในตัวอย่างที่เก็บจากตลาดสดตำบลจำปาหวาย จังหวัดพะเยาที่ปริมาณ 0.46 มิลลิกรัม/กิโลกรัม - พบการปนเปื้อนของโลหะหนักประเภทปรอทในทุกตัวอย่าง (8 ตัวอย่าง) คิดเป็นร้อยละ 100 โดยมีค่าเฉลี่ยของปริมาณที่พบเท่ากับ 0.03 มิลลิกรัม/กิโลกรัม อย่างไรก็ตามไม่มีตัวอย่างใดที่มีการปนเปื้อนสูงเกินกว่ามาตรฐานกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 98 (พ.ศ. 2529) กำหนดที่ 0.5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม สำหรับอาหารทะเล โดยมีปริมาณปรอทที่พบสูงสุดในตัวอย่างที่เก็บจากตลาดสดเทศบาล 3 จังหวัดขอนแก่นที่ปริมาณ 0.06 มิลลิกรัม/กิโลกรัม - พบการปนเปื้อนของสารตกค้างทางการเกษตรกลุ่มไพรีทอยด์ (ยาฆ่าแมลง) จำนวน 5 ตัวอย่างจาก 8 ตัวอย่างที่ทดสอบ คิดเป็นร้อยละ 62 โดยพบสารตกค้างชนิดเพอร์เมทริน (Permethrin) ในตัวอย่างจากตลาดสดตำบลจำปาหวาย จังหวัดพะเยา และ ตัวอย่างจากผู้ผลิต บมจ.สยามแมคโคร กรุงเทพฯ โดยมีปริมาณที่พบเท่ากับ 0.18 และ 0.15 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ตามลำดับ นอกจากนั้นยังพบสารตกค้างชนิดไซไฟทริน (Cyflythrin) ในตัวอย่างจากร้านเจ๊ดม จังหวัดสมุทรสงครามและตัวอย่างจากตลาดเมืองใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ที่ปริมาณ 0.12 และ 0.10 มิลลิกรัม/กิโลกรัมตามลำดับ ท้ายที่สุด พบสารพิษตกค้างชนิดไบเฟนทริน (Bifenthrin) ในตัวอย่างเก็บจากร้านป้าอร ตลาดสดละงู จังหวัดสตูล ที่ปริมาณ 0.03 มิลลิกรัม/กิโลกรัม - พบการปนเปื้อนของสารตกค้างทางการเกษตรประเภทคาเบนดาร์ซิม (ยากันรา) ในตัวอย่างจำนวน 3 ตัวอย่างจาก 8 ตัวอย่างที่ทดสอบ คิดเป็นร้อยละ 37.5 โดยมีค่าเฉลี่ยของปริมาณที่พบเท่ากับ 0.2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ปริมาณสูงสุดของสารเคมีที่พบคือ 0.44 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จากตัวอย่างที่เก็บในตลาดเมืองใหม่ จังหวัดเชียงใหม่   ข้อสังเกต- ตัวอย่างที่เก็บจากตลาดเมืองใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และตัวอย่างที่เก็บจากห้างแมคโคร กรุงเทพฯ พบการปนเปื้อนทั้งแคดเมียม สารตกค้างทางการเกษตรกลุ่มไพรีทอยด์ และยากันรา-คาร์เบนดาซิมในปริมาณที่ค่อนข้างสูงและอาจก่อให้เกิดอันตรายหากมีการบริโภคติดต่อกันเป็นระยะเวลานานได้ - ตัวอย่างที่เก็บจากร้านเจ๊ดม จังหวัดสมุทรสงคราม พบการปนเปื้อนของแคดเมียมในปริมาณที่สูงเกินกว่าที่มาตรฐานอาหารสากล (CODEX) กำหนด (2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม) โดยพบในปริมาณที่สูงถึง 4.77 มิลลิกรัม/กิโลกรัม นอกจากนี้ยังพบการปนเปื้อนของตะกั่วและปรอทในระดับพอสมควร อีกทั้งยังพบการปนเปื้อนของสารเคมีทางการเกษตรกลุ่มไพรีทอยด์ในตัวอย่างอีกด้วย - ตัวอย่างกว่าร้อยละ 90 ที่ทำการทดสอบไม่ระบุยี่ห้อ ไม่ทราบผู้ผลิต และไม่ทราบวันผลิตและวันหมดอายุ ----------------------------------------------------------------------------------------------------- อันตรายของโลหะหนักที่ปนเปื้อนในปลาหมึกแห้งอันตรายจากแคดเมียม – ทำให้เกิดความเจ็บปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างมาก ทำให้กระดูกและไตพิการ อันตรายจากตะกั่ว – จะทำให้เบื่ออาหาร ปวดท้อง มือเท้าอ่อนแรง เลือกจาง ถ้าเป็นเด็กจะทำให้สมองพิการได้ การเรียนรู้ด้อยลงอันตรายจากปรอท – เกิดอาการชาตามปลายมือปลายเท้า รวมไปถึงแขน ขา ริมฝีปากและเป็นอัมพาตในที่สุด ---------------------------------------------------------------------------------------------------- *จากผลทดสอบจะเห็นว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในปลาหมึกแห้งก็คือ การปนเปื้อนของแคดเมียม และสารเคมีในกลุ่มไพรีทอยด์ ซึ่งเป็นสารเคมีในกลุ่มยากำจัดศัตรูพืช การปนเปื้อนของแคดเมียมส่วนหนึ่งก็มาจากเหตุผลเรื่องธรรมชาติความสะอาดในท้องทะเล เพราะมนุษย์เรานี่แหละที่ทำร้ายธรรมชาติชอบทิ้งสารเคมีลงในทะเล ถ้าอยากกินอาหารทะเลดีๆ ที่ปลอดภัยก็ต้องช่วยกันดูแลรักษาท้องทะเล ส่วนเรื่องสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ ก็ต้องฝากวอนไปถึงพ่อค้า-แม่ค้าอย่าได้ใส่อะไรไม่พึ่งประสงค์ลงไปเลย ผู้บริโภคเราอยากรับประทานของสะอาดและมาจากธรรมชาติจริงๆ ครับ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- -ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 98 (พ.ศ.2529) เรื่อง มาตรฐานอาหารที่มีสารปนเปื้อนข้อ 4 (2) ระบุการปนเปื้อนของ อฟลาทอกซิน ได้ไม่เกิน 20 ไมโครกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัมข้อ 4 (1) (ง) ระบุการปนเปื้อน ตะกั่ว ได้ไม่เกิน 1 มิลลิกรัม ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม เว้นแต่อาหารที่มีสารตะกั่วปนเปื้อนตามธรรมชาติในปริมาณสูง ให้มีได้ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาข้อ 4 (1) (ฉ) ระบุการปนเปื้อน ปรอท   ได้ไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัม ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม สำหรับอาหารทะเล และไม่เกิน 0.02 มิลลิกรัม ต่ออาหาร 1 กิโลกรัม สำหรับอาหารอื่น -ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่288  (พ.ศ. 2548) เรื่องอาหารที่มีสารพิษตกค้าง ไม่ระบุว่าอนุญาติให้มีการปนเปื้อนของสารเคมีทางการเกษตรในอาหารทะเลแห้ง ดังนั้นจึงไม่ควรมีปนเปื้อนมาในอาหาร -ค่ามาตรฐานอาหารสากล (CODEX)กำหนดค่าการปนเปื้อนของ แคดเมียม ในอาหารประเภทปลาหมึก อยู่ที่ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม(ผลรายงานเฉพาะตัวอย่างที่ส่งวิเคราะห์เท่านั้นโดย สถาบันโภชนาการ ม.มหิดล ภาควิชาเทคโนโลยีอาหาร คณะเทคโนโลยี ม.ขอนแก่น คณะอุตสาหกรรมการเกษตร ม.สงขลานครินทร์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ ม.เชียงใหม่) วิธีการทำปลาหมึกแห้ง ไม่ยากแต่อาจจะมีหลายขั้นตอนอยู่สักหน่อย เอาปลาหมึกไปตากแดดแล้วก็คอยพลิกกลับตัวปลาหมึกเพื่อให้ปลาหมึกแห้งทั่วกัน ถ้าแดดดีๆ 20 -30 ชั่วโมงก็ถือว่าใช้ได้ แต่ยังกินไม่ได้นะ ต้องนำปลาหมึกที่ตากแล้วนำมาวางซ้อนทับกันแล้วใช้ผ้าใบหรือพลาสติกคลุมไว้แล้วหาอะไรหนักๆ ทับไว้ ทิ้งไว้ 2 – 3 วัน ปลาหมึกจะยืดหยุ่นมากขึ้นเพราะความชื้นเกิดขึ้นในเนื้อปลาหมึก หลังจากนั้นก็นำมาตากแดดให้แห้งอีกครั้งประมาณอีก 2-3 วัน ที่นี้ก็นำมาทำอาหารรับประทานได้แล้ว

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 91 ปลาเส้นปรุงรส รสยิ่งเข้มยิ่งมีปัญหา

ปลาเส้นปรุงรส เป็นอาหารว่างอีกชนิดหนึ่งที่นิยมรับประทานกันมาก โดยเฉพาะเด็กๆ และสาวกลัวอ้วนทั้งหลาย เพราะนักโฆษณาเขานำจุดขายไขมันต่ำ โปรตีนสูงมาเรียกความสนใจจากผู้บริโภค เพื่อให้แทนที่ขนมขบเคี้ยวที่มีทั้งแป้ง น้ำตาลและไขมัน ซึ่งล้วนส่งเสริมความอ้วนและโดนโจมตีหนักว่าทำให้เด็กไทยกลายเป็นเด็กอ้วน แต่…ข้อด้อยสำคัญของปลาเส้นปรุงรส ที่ถูกละเลยไปจากโฆษณาคือ ปริมาณโซเดียมที่สูงจนน่าเป็นห่วง ยิ่งประเภทรสจัดจ้าน รสเข้มข้นยิ่งมีปัญหา หลายคนอาจมองว่า ปลาเส้นก็เป็นอาหารว่างประเภทหนึ่ง มันคงไม่มีอะไรนักหนา อย่าประมาทไปนะ ถ้าลองพลิกดูฉลากด้านหลังซองแล้วเพ่งมองดูปริมาณโซเดียมตรงฉลากโภชนาการสักนิด จะรู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของมัน เพราะอาหารชนิดนี้มีปริมาณโซเดียมสูงมากๆ ความจริงแล้วถ้ามีการระบุทุกฉลากก็น่าจะดีใช่ไหมคะ เพราะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจให้ผู้บริโภคได้ แต่บางฉลากก็ละเลยไม่มีรายละเอียดอะไรเลย นอกจากแสดงวิธีกินและการดัดแปลงเป็นอาหารแบบต่างๆ ฉลาดซื้อเลยนำผลิตภัณฑ์ปลาเส้นปรุงรส ยี่ห้อยอดนิยมบวกด้วยยี่ห้อของห้างสรรพสินค้าที่เรียกว่า โลคอลแบรนด์ มาทดสอบหาปริมาณโซเดียม พร้อมกับปริมาณโปรตีนที่อ้างว่ามีสูง และแถมด้วยผลิตภัณฑ์ที่ใกล้เคียงกันได้แก่ ปลาหมึกปรุงรส อีก…  ตัวอย่างเพราะเห็นว่ามีคนนิยมชมชอบไม่แพ้กัน ผลทดสอบปริมาณโปรตีนและโซเดียมในผลิตภัณฑ์ ปลาเส้นปรุงรสและปลาหมึกปรุงรส 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 177 กระแสต่างแดน

ขับช้าลดมลพิษ?ต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เทศบาลเมืองมาดริด ประเทศสเปน ประกาศลดอัตราความเร็วสูงสุดบนท้องถนนเหลือ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง (จากเดิม 90 กิโลเมตร 100 กิโลเมตร และ 120 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงแล้วแต่ประเภทของถนน) ... นี่ถือเป็นครั้งแรกของเมืองนี้เลยทีเดียวเทศบาลมาดริดออกประกาศดังกล่าว หลังจากพบว่าระดับไนโตรเจนไดออกไซด์ใน 11 สถานีตรวจวัด (จากทั้งหมด 24 สถานี) ทั่วเมือง มีค่าสูงเกินเกินกำหนด 200 ไมโครกรัม ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย เขาถึงขั้นประกาศให้ชาวเมืองที่มีปัญหาระบบทางเดินหายใจงดออกกำลังกายในที่โล่งแจ้งกันไปสักพัก การปราศลดความเร็วนั้นเป็นหนึ่งในความพยายามที่จะลดมลพิษ แต่ถ้าวิธีนี้ยังไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ ขั้นต่อไปเขาจะประกาศห้ามผู้ที่ไม่ได้อยู่อาศัยในเขตใจกลางเมืองนำรถเข้ามาจอดในเมืองด้วย นี่ยังไม่นับว่าทุกวันนี้ เวลาชาวมาดริดเขาขับรถไปไหนมาไหน ก็จะเจอแต่ป้ายบิลบอร์ดที่ขอร้องให้คนช่วยกันจอดรถไว้บ้าน แล้วหันมาใช้การขนส่งสาธารณะเพื่อช่วยกันลดมลภาวะด้วย ถามว่าเรื่องนี้เข้าตานักสิ่งแวดล้อมไหม เขาตอบเลยว่าด้วยความยินดี เพียงแต่ยังรู้สึกว่าวิธีลดปริมาณก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ในบรรยากาศของเมืองนี้ได้ดีที่สุดคือการห้ามใช้รถยนต์ไปเลยมากกว่า    ของแท้อยู่ยากชาวเวียดนามบริโภคน้ำปลาปีละประมาณ 200 ล้านลิตร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 12,600 ล้านบาท แต่เชื่อหรือไม่ว่าร้อยละ 75 ของน้ำปลาที่บริโภคกันอยู่นั้นเป็นน้ำปลาผสม น้ำปลาแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์แบบดั้งเดิมกำลังจะหายไปจากตลาดเวียดนาม ผู้บริหารระดับสูงของโรงงานน้ำปลาแท้ยี่ห้อยอดนิยม ที่เป็นที่รู้จักกันในเวียดนามมานานก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์ยอมรับว่ารายได้ของบริษัทในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ลดลงไปถึงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เขาบอกว่ามีเพียงผู้บริโภคที่เข้าใจเรื่องน้ำปลาจริงๆ เท่านั้นที่ยังควักกระเป๋าซื้อน้ำปลาแท้แบบดั้งเดิมแม้จะราคาแพงกว่า ในขณะที่คนส่วนใหญ่มักเลือกน้ำปลาราคาถูก ที่ได้ของแจกของแถมหรือส่วนลดมากกว่า ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมของบริษัทก็ถูกเบียดตกชั้นในซูเปอร์มาร์เก็ตไปหลายตัวแล้วจะให้ของดีมีราคาถูกก็เป็นไปได้ยาก เขาบอกว่ากระบวนการทำน้ำปลาของโรงงานต้องเริ่มตั้งแต่จัดซื้อเกลือแล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1 ปีให้หมดกลิ่นของแม็กนีเซียมก่อน จึงนำมาหมักกับปลาในช่วงเดือนเมษายนถึงสิงหาคม แล้วจึงนำมาบรรจุขายได้ ในขณะที่โรงงานน้ำปลาผสมแค่ซื้อน้ำปลาแท้มาเติมรสแล้วผสมออกมาขายได้วันละหลายแสนลิตร มันก็ต้องถูกกว่าเป็นธรรมดา บางที่ทำออกมาขายได้ในราคาเพียงขวดละ 8,000 ด่อง(13 บาท) เท่านั้น   ด้วยกำลังซื้อที่ลดลงของผู้คน ซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ จึงกดดันให้ผู้จัดส่งน้ำปลาแท้เหล่านี้ลดราคาลงประมาณร้อยละ 25 ทำให้หลายเจ้าตัดสินใจไม่วางแผงในห้าง และอีกหลายเจ้าก็มีทีท่าว่าจะเลิกผลิตน้ำปลาแท้ไปเลย ทำให้มีเพียงบริษัทใหญ่ๆ ที่ทำน้ำปลาผสมเท่านั้นที่ยังอยู่ได้ และบริษัทเหล่านี้ทุ่มเงินมหาศาลไปกับการโฆษณาและการตลาดเป็นหลัก ไม่ใช่คุณภาพของน้ำปลา รถนักเรียนต้องรับรองผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่กำลังจะได้รับการรับรองจากสมาคมผู้บริโภคสิงคโปร์ Consumer Association of Singapore (CASE) คือรถนักเรียน หลังจากมีกรณีร้องเรียนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา 39 กรณี ประมาณ 10 กรณีเป็นเรื่องของการปิดกิจการกะทันหันของผู้ประกอบการรถนักเรียนหลังจากเรียกเก็บเงินจากผู้ปกครอง อีก 6 กรณีเป็นการขอขึ้นราคาหลังจากได้ทำสัญญากันไปแล้ว ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของคุณภาพบริการและการคิดราคาค่าบริการแพงเกินไป  พ่อแม่ผู้ปกครองและเด็กๆ ที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อสมาชิก 18 รายของสมาคมรถนักเรียนสิงคโปร์ Singapore School Transport Association เข้าร่วมลงนามในโครงการรับรองดังกล่าวกับ CASE ว่าปัญหาต่างๆที่ว่ามานั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก หนึ่งในเงื่อนไขการรับรองคือการให้ผู้ประกอบการวางเงิน 100,000 เหรียญ(ประมาณ 2.5 ล้านบาท) เป็นประกันกรณีที่เลิกกิจการไว้ด้วย การรับรองนี้จะมีผลในอีก 6 เดือนข้างหน้า ใส่แล้วร้อน  ในที่สุดโรงงาน KinTai Garment ในกรุงพนมเปญ ผู้ผลิตเสื้อผ้าให้กับแบรนด์อาร์มานี ได้ประกาศปิดกิจการลงอย่างเป็นทางการแล้ว ก่อนหน้านั้นมีข่าวออกมาเป็นระยะว่าสภาพการทำงานที่นี่สุดแสนจะทานทน ด้วยการไม่มีระบบระบายอากาศจึงทำให้อุณหภูมิในพื้นที่ทำงานบางครั้งสูงเกิน 37 องศา เป็นเหตุให้พนักงานสาวน้อยสาวใหญ่เป็นลมคาจักรเย็บผ้ากันไปบ่อยๆ  แต่ต่อมาในเดือนมิถุนายน พนักงานก็ได้เฮ เพราะโรงงานประกาศจะติดตั้งระบบสปริงเคิลเพื่อทำให้โรงงานเย็นสบายขึ้น แถมยังจะให้โบนัสตามอายุงาน และทำสัญญาจ้างระยะยาวจากเดิมที่เป็นสัญญาจ้างแบบแค่ 3-6 เดือนด้วยน่าเสียดายที่เฮกันได้ไม่นาน เจ้าของโรงงานซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติไต้หวันก็โยกออเดอร์จากอิตาลีไปยัง Golden Plus Textile โรงงานใหม่ที่ตั้งอยู่ในเมืองกันดาลแทน แล้วก็ประกาศปิดโรงงานแห่งเดิมไป พนักงานหลายร้อยคนจึงต้องตกงาน ผู้นำสหภาพฯ ของโรงงาน KinTai Garment บอกว่า แม้โรงงานประกาศว่าจะจ่ายเงินที่ค้างไว้ให้กับพนักงานทุกคน แต่เธอเชื่อว่าเงินที่โรงงานเตรียมไว้ไม่เพียงพอจ่ายพนักงานแน่นอน ข่าวบอกว่าโรงงานติดค้างค่าจ้างและโบนัสไม่ต่ำกว่า 50,000 เหรียญ (ประมาณ 1.8 ล้านบาท)ที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้นคือเธอและเพื่อนๆ พบว่า บริษัทไปประกาศรับพนักงานจำนวนมากที่เมืองกันดาล เพราะต้องการขยายกิจการ แถมยังบอกว่าก็ไม่ได้ห้ามพนักงานเก่ามาสมัคร ใครไม่อยากย้ายมาจากพนมเปญก็ช่วยไม่ได้ ... อ้าว     “เตรียมตัวตั้งครรภ์” นาทีนี้ในประเทศจีน ผลิตภัณฑ์ไหนก็ไม่ฮิตไปกว่าคำว่า “ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ต้องการตั้งครรภ์” แล้ว หลังจากรัฐบาลประกาศยกเลิกนโยบาย “ลูกคนเดียว” เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา สถิติคำค้น “เตรียมตัวตั้งครรภ์” ในเว็บไซต์ของอาลีบาบา ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 148 จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา หลังบรรดาคู่สมรสทราบว่าพวกเขาสามารถมีบุตรได้ 2 คนผลิตภัณฑ์ยอดฮิต 3 อันดับแรกที่ถูกซื้อในอาลีบาบา ได้แก่ ชุดตรวจการตั้งครรภ์ ชุดคำนวณวันไข่ตก ชุดตรวจการตกไข่ด้วยน้ำลาย ข้อมูลนี้ยังบอกอีกว่าผู้คนในภาคเหนือและภาคกลางมีความสนใจอยากมีลูกคนที่สองมากกว่า คนในเมืองใหญ่ๆ อย่าง ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ หรือกวางโจว  ทั้งนี้เพราะผู้คนในเมืองเล็กๆ รู้สึกว่าด้วยค่าครองชีพที่ถูกกว่า พวกเขาจึงน่าจะสามารถเลี้ยงดูลูกคนที่สองได้โดยไม่ลำบาก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ สื่อจีนรายงานว่าแผนนี้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วยุทธภพ ราคาหุ้นทั้งในตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นในต่างประเทศต่างก็พากันถีบตัวสูงขึ้น นโยบาย “ลูกคนเดียว” ที่ใช้มากว่า 35 ปีสามารถป้องกันการเกิดของเด็กได้ไม่ต่ำกว่า 400 ล้านคน แต่ถ้าดูโครงสร้างประชากร ณ ปัจจุบัน จะพบว่าร้อยละ 9 ของประชากรจีน มีอายุมากกว่า 65 ปี และเด็ก 1 คน จะต้องเป็นผู้ดูแล พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา และ ยาย ... เรียกว่า 1 ต่อ 6 กันเลยทีเดียว  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 163 กระแสต่างแดน

ดีเซลไม่ดีจริง ทุกปีมีชาวลอนดอนประมาณ 4,300 คนเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่เกี่ยวเนื่องกับมลภาวะทางอากาศ และสภาพอากาศในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาของเมืองนี้ก็เลวร้ายถึงขั้นต้องประกาศให้ผู้คนงดออกจากบ้านกันเลยทีเดียว ลอนดอนมีระดับมลพิษเกินเกณฑ์ของสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี 2010 แล้ว นายกเทศมนตรีของลอนดอน นายบอริส จอห์นสันก็ยอมรับว่าเขาคิดว่ามหานครแห่งนี้คงจะลดการปล่อยไนโตรเจนไดออกไซด์ให้อยู่เกณฑ์ได้ก่อนปี 2030 แน่นอน แนวคิดล่าสุดที่เขาเสนอเพื่อลดมลพิษในเมือง คือการจ่ายเงินให้กับเจ้าของรถที่ใช้เครื่องดีเซลให้เปลี่ยนไปใช้รุ่นที่ปล่อยมลพิษน้อยลง โดยเริ่มจากรถรุ่นที่ผลิตก่อนปี 2013 เขาคาดว่าแผนการที่อาจต้องใช้งบประมาณถึง 300 ล้านปอนด์นี้ น่าจะลดจำนวนรถเก่าออกไปจากท้องถนนลอนดอนได้ประมาณ 150,000 คัน (ทั้งนี้ค่าชดเชยอยู่ที่คันละไม่เกิน 2000 ปอนด์) นายบอริสบอกว่า เขาเห็นใจคนที่โดนกล่อมให้ซื้อรถดีเซลด้วยความเชื่อว่ารุ่นใหม่ๆ จะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วยมลพิษที่น้อยกว่าและค่าเชื้อเพลิงที่น้อยลง และเขาก็บอกด้วยว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องตระหนักว่ามันคือความผิดพลาดทางนโยบาย (ปัจจุบันรถดีเซลมีส่วนแบ่งถึงร้อยละ 50 ของตลาดในอังกฤษ) ทั้งนี้แผนส่งเสริมการใช้รถพลังไฟฟ้าที่เขาประกาศไว้เมื่อ 5 ปีก่อน ก็ยังไม่ได้ผล จากที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องมี 25,000 คันภายในปี 2015 ขณะนี้ยังมีเพียง 1,400 คันเท่านั้น เรื่องนี้เขาบอกว่าต้องโทษกลไกตลาด ที่ยังไม่สามารถกำหนดราคาขายได้ต่ำเท่าที่ควร     ซูเปอร์ฟู้ดเอาตัวไม่รอด ปีนี้แคลิฟอร์เนียกำลังเผชิญกับภัยแล้งอย่างหนัก และมันจะส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง เพราะร้อยละ 80 ของเมล็ดอัลมอนด์ที่มีขายอยู่ในตลาดโลกมาจากที่นี่ เมื่อน้ำในแม่น้ำและทะเลสาบพากันเหือดแห้ง เกษตรกรผู้ปลูกอัลมอนด์จึงสูบน้ำจากใต้ดินขึ้นมาใช้ และตกเป็นจำเลยข้อหาเอาน้ำใต้ดินที่ควรเป็นแหล่งน้ำสำรองของผู้คนรัฐแคลิฟอร์เนียมาใช้เพื่อผลิต “ซูเปอร์ฟู้ด” ราคาถูกออกมาป้อนตลาดโลก มีผู้ให้ความเห็นว่าเมื่อเกษตรกรไม่มีต้นทุนค่าน้ำ พวกเขาจึงสามารถขายอัลมอนด์ให้พ่อค้าที่ราคาขายส่งแค่ 3 – 4 เหรียญต่อปอนด์เท่านั้น แต่ถ้ามีการคิดต้นทุนที่แท้จริงแล้วละก็ ผู้บริโภคจะต้องจ่ายมากกว่านั้นถึง 3 เท่า ด้านสมาคมผู้ปลูกอัลมอนด์แห่งแคลิฟอร์เนียบอกว่า อัลมอนด์เป็นพืชที่ทนแล้งได้ดี และปีนี้เกษตรกรก็ใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เขาใช้น้ำน้อยลงถึงร้อยละ 33 ต่อการผลิตอัลมอนด์หนึ่งปอนด์ และตั้งคำถามกลับว่าการที่น้ำจะไม่พอใช้นั้นอาจเป็นเพราะการบริหารจัดการน้ำที่ไม่ดีของรัฐเองหรือเปล่า ความจริงแล้วแคลิฟอร์เนียสามารถผลิตนมและองุ่นได้ในปริมาณสูงกว่าอัลมอนด์ด้วยซ้ำ แต่ช่วงหลังนี้อัลมอนด์ได้รับความนิยมสูง(ด้วยสรรพคุณมากหลายตั้งแต่ลดโคเลสเตอรอล ลดความอยากอาหาร บำรุงผิว ฯลฯ) จึงมีคนนิยมปลูกมากขึ้น และทำรายได้ถึง 4,300 ล้านเหรียญต่อปีจากพื้นที่เพราะปลูกประมาณเกือบหนึ่งล้านเอเคอร์ ปีนี้ราคาอัลมอนด์สูงที่สุดในรอบ 9 ปี(ตันละ 10,500 เหรียญ) แต่ปัญหามันอยู่ที่มีเงินก็อาจจะซื้อไม่ได้ เพราะมีแนวโน้มว่าอาจไม่มีผลผลิตออกสู่ตลาดในคริสต์มาสนี้   ผลพลอยได้ ผู้ผลิตปลาทูน่าอันดับหนึ่งของโลก คืออินโดนีเซียเพื่อนบ้านของเรา มีเกาะอยู่ทั้งหมด 17,000 เกาะ และมีประชากรหลายสิบล้านคนที่ทำประมงเลี้ยงชีวิต ปัจจุบันเขามีเรืออวนไม่ต่ำกว่า 33,000 ลำ และทุกครั้งที่เรืออวนออกไปจับปลาทูน่า ก็มักมีผลพลอยได้เป็นปลาฉลามมาด้วย ปลาทูน่าจะถูกส่งไปขายในญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา ส่วนปลาฉลามที่ติดมาด้วยนั้น ชาวบ้านที่นั่นเขาก็นำมากินกันเป็นเรื่องธรรมดา หนังปลาฉลามยังเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญของผู้คนในชุมชนริมทะเล และถ้าคุณไปตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ตก็หาซื้อลูกชิ้นปลาฉลาม หรือลูกปลาฉลามได้ไม่ยาก อินโดนีเซียจับปลาฉลามได้ปีละ 109,000 ตัน(น่าจะเป็นประเทศที่จับปลาฉลามได้มากที่สุดในโลกด้วย) และสามารถจับได้อย่างเสรี ไม่มีโควตา ไม่กำหนดขนาดของปลา จึงทำให้นักอนุรักษ์เริ่มวิตก สำหรับชาวอินโดนีเซียแล้ว ปลาฉลามจะเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ไม่ได้เป็นอาหารเหลาเหมือนในอีกหลายๆ ประเทศที่เราเคยได้ยินข่าวการรณรงค์ให้ลด ละ เลิก แต่นักวิชาการเขาก็ยืนยันว่าถ้าเราคิดให้ถี่ถ้วน เราจะพบว่า ฉลามตัวเป็นๆ ที่ยังโลดแล่นอยู่ในทะเลนั้นมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่าฉลามที่ตายแล้วหลายเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลของออสเตรเลียพบว่า นอกจากมันจะช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศน์ทางทะเลแล้ว ตลอดอายุขัยของมัน ฉลามหนึ่งตัวจะสร้างมูลค่าได้ถึง 1.9 ล้านเหรียญ ขาปั่นทำป่วน เราอาจรู้จักโคเปนเฮเกนในฐานะเมืองหลวงจักรยานของยุโรป และเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้จักรยานมากที่สุดในโลก แหม่ ... ก็เขามีเลนจักรยานที่มีความยาวรวมกันทั้งหมดถึง 400 กิโลเมตรเชียว ไม่อยากจะคุยต่อว่าเทศบาลเขาประกาศว่าปีหน้าจะจัดงบให้อีก 75 ล้านโครน เพื่อเพิ่มเส้นทางและขยายช่องทางจักรยานด้วย ว่ากันว่าผู้คน 1 ใน 3 ของเมืองนี้เดินทางด้วยจักรยานเพราะมันถูกและเร็ว แต่นั่นก็ยังไม่สาแก่ใจเทศบาลโคเปนเฮเกนที่ต้องการให้ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นไปเป็นร้อยละ 50 เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ภายในปี 2020 แต่เดี๋ยวก่อน ... หลายคนเริ่มสงสัยว่าพวกเขาหมกมุ่นกับการสร้าง “เมืองสองล้อ” มากเกินไปหรือเปล่า ... คุณอาจคิดว่ามันเป็นสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของนักปั่น แต่พักหลังนี้เสียงบ่นทั้งจากตัวผู้ใช้จักรยานและผู้คนที่ร่วมใช้เส้นทางกลับเพิ่มมากขึ้นทุกที นักปั่นเริ่มฝ่าฝืนกฎจราจรกันมากขึ้น เดือนมกราคมที่ผ่านมาเทศบาลต้องมีมาตรการลงโทษผู้ใช้จักรยานที่ละเมิดกฎหมาย เช่น ถ้าฝ่าไฟแดงจะถูกปรับ 1,000 โครน (ประมาณ 5,600 บาท) ถ้าขึ้นมาขี่บนฟุตบาทก็จะโดนค่าปรับ 700 โครน (ประมาณ 4,000 บาท) นอกจากนี้ยังมีบริษัทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อคอยยกจักรยานที่จอดในสถานที่ส่วนบุคคลไปเก็บ และคิดค่าไถ่จักรยานคันละ 187 โครน (ประมาณ 5,600 บาท) เป็นต้น เริ่มมีเสียงร้องเรียนว่าคนใช้จักรยานทำเหมือนตัวเองมีสิทธิพิเศษ ใครๆ ก็ต้องหลีกทางให้ ขึ้นรถไฟก็ต้องได้ที่นั่งและที่เก็บจักรยาน ปั่นอยู่บนถนนก็ไม่ต้องหยุดรอให้ผู้โดยสารที่ลงจากรถเมล์เดินขึ้นฟุตบาทก่อน เจอผู้พิการก็ไม่ชะลอ ... แหม่ ... นี่เข้าข่าย “เมืองดีแล้ว แต่ประชากรยังต้องปรับปรุง” เหมือนกันนะ เรื่องกินสอนกันได้ เด็กๆ ที่ฝรั่งเศสจัดอยู่ในกลุ่มที่มีสุขภาพดีที่สุดเมื่อเทียบกับเด็กในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เพราะมีอัตราน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนต่ำกว่าร้อยละ 20 ว่ากันว่าเรื่องนี้อยู่ในวิถีชีวิต คนฝรั่งเศสเชื่อว่าเด็กๆ ควรจะได้รับการสอนให้กินอาหารเป็น เช่นเดียวกับที่พวกเขาถูกสอนให้สามารถอ่านหนังสือได้นั่นเอง และการรักในรสชาติของอาหารก็เป็นหนึ่งในทักษะที่จำเป็นจะต้องสอนกันตั้งแต่เล็กๆ พ่อแม่ชาวฝรั่งเศสมักจะไม่ถามลูกว่า “อิ่มหรือยัง?” แต่จะถามว่า “ยังหิวอยู่ไหม?” และเวลาจะชักชวนลูกให้ทานอะไรสักอย่าง เขาก็จะบอกว่า “ทานสิลูก อร่อยนะ” ไม่ใช่ “ทานสิลูก มีประโยชน์นะ” นอกจากนี้ในร้านอาหารของฝรั่งเศสเขาจะไม่มี “เมนูสำหรับเด็ก” เพราะเชื่อว่าเด็กควรทานทุกอย่างได้เหมือนกับผู้ใหญ่ (แม้ว่าพวกเขาจะไม่ชอบมันในตอนแรกก็ตาม) ทั้งนี้เพราะเด็กที่นี่ได้เรียนรู้การกินอาหารเพื่อสุขภาพทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน สำหรับเด็กประถมนั้น เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวันพวกเขาก็จะได้รับประทานอาหารกลางวันแบบ 4 คอร์ส (สลัด จานหลักที่มักประกอบด้วยเนื้อสัตว์ จานชีส และของหวานที่มีผลไม้) และเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียวบนโต๊ะอาหารคือน้ำเปล่า กระทรวงศึกษาฯ เขามีนโยบายที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น โรงเรียนจะต้องให้เด็กได้ใช้เวลาทานอาหารกลางวัน อย่างต่ำ 30 นาที และเวลาพักกลางวันจะต้องไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง เพื่อให้เด็กมีเวลาเล่น และห้ามตั้งเครื่องเครื่องขายขนมอัตโนมัติในโรงเรียนด้วย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 136 กระแสต่างแดน

ทำเองใช้เอง จะมีสักกี่คนที่รู้จักเมือง อีสต์ ลิเวอร์พูล บนฝั่งแม่น้ำโอไฮโอ ก่อนหน้านี้เคยได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ “จัดโต๊ะอาหารให้กับอเมริกา” ด้วยโรงงานถ้วยชามในเมือง ที่มีถึง 48 แห่ง แต่ปัจจุบัน เศรษฐกิจที่นี่แตกสลาย ไม่ต่างอะไรกับถ้วยชามที่ถูกทำหล่น เมืองนี้กลายเป็นจุดอับของอเมริกา ประชากร(ซึ่งมีทั้งหมด 11,000 คน) มีรายได้เฉลี่ยเพียง 1 ใน 3 ของรายได้ของผู้คนในรัฐโอไฮโอทั้งหมด คนส่วนใหญ่ข้ามแม่น้ำไปหางานทำในคาสิโน ในเวอร์จิเนียตะวันตก บ้างก็ไปทำงานที่สนามบินพิทส์เบิร์ก อัตราว่างงานที่นี่สูงถึงร้อยละ 10 โรงงานเซรามิกก็เหลืออยู่เพียง 2 เจ้าเท่านั้น หนึ่งในนั้นได้แก่ The American Mug and Stein เกือบจะปิดตัวลงเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา   ที่ว่า “เกือบ” ก็เพราะ อูลริค โฮนิกเฮาเซน เจ้าของบริษัทเฮาเซนแวร์ ในคาลิฟอร์เนีย ที่เป็นผู้จัดหาเครื่องถ้วยชามเซรามิกให้กับห้างค้าปลีกรายใหญ่ๆ มีแผนจะให้โรงงานนี้ผลิตถ้วยส่งให้กับร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ถ้วยดังกล่าวจะเริ่มวางขายในสาขาต่างๆ ทั่วอเมริกา ในเดือนมิถุนายน ภายใต้แบรนด์ Indivisible ที่เป็นโครงการสร้างงานให้กับคนอเมริกัน ของสตาร์บัคส์นั่นเอง นี่เป็นตัวอย่างการตอบสนองเสียงเรียกร้องให้ผู้ประกอบการทั้งได้มีส่วนช่วยกันแก้ปัญหาการว่างงานในอเมริกา บริษัท GE ก็ตั้งโรงงานเพิ่มอีก 2 แห่งเพื่อผลิตแบตเตอรี่คุณภาพสูง ที่แต่ก่อนเคยสั่งผลิตจากจีน ทำให้มีคนว่างงานน้อยลงไปอีก 800 คน เป็นต้น เรื่องนี้เป็นไปได้ด้วยหลายปัจจัย ตั้งแต่ค่าแรงในสหรัฐฯ ที่ลดลง ในขณะที่ค่าแรงในจีนแพงขึ้น นอกจากนี้ระยะทางและเวลาในการขนส่งที่น้อยกว่าก็มีส่วนจูงใจผู้ประกอบการไม่น้อย (เช่น ถ้าสั่งทำถ้วยที่อีสต์ ลิเวอร์พูล จะใช้เวลารอเพียง 4 วัน ถ้าสั่งจากจีนจะต้องรอถึง 3 เดือน เป็นต้น)   จับไป .. อย่าให้เสีย นักวิชาการเขาบอกว่า ถ้าเราเรียนรู้ที่จะกินปลาชนิดใหม่ๆ กันบ้าง เราจะสามารถรอดพ้นจากวิกฤติอาหารได้ อย่างน้อยๆ ก็ที่ทะเลเหนือ ที่แต่ละปีมีการทิ้งปลาที่จับขึ้นมาได้กลับลงทะเลไป ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตัน ด้วยวิธีการทำประมงแบบปัจจุบัน ทำให้ชาวประมงมักจะได้ปลาที่ไม่ได้ตั้งใจจับ (เพราะมันนำมาขายใครไม่ได้) ขึ้นมาด้วยเสมอ สถิติบอกว่ามีปลาที่ถูกจับผิดตัวอยู่ประมาณร้อยละ 50 แถมบางประเทศยังมีกฎหมายห้ามจับปลาบางชนิด หรือไม่ก็มีโควตาห้ามจับปลาบางชนิดเกินปริมาณ ก็ต้องจัดการทิ้งปลาพวกนี้ไปซะก่อนจะถึงฝั่ง คำถามคือ ทำไมเราต้องเลือกด้วย? การนำปลาที่ว่ามากินเป็นอาหาร ย่อมดีกว่าปล่อยพวกมันกลับลงทะเลไป รอเวลาสิ้นลม เสียของเปล่าๆ นอกจากเรื่องภาวะเศรษฐกิจ เรื่องฟุตบอลแล้ว ระยะนี้สมาชิกสหภาพยุโรปก็กำลังถกเถียงกันว่าจะประกาศห้ามการจับปลาแบบทิ้งๆ ขว้างๆ นี้ดีหรือไม่ นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ค แบนไปแล้ว ในขณะที่ สก็อตแลนด์ ฝรั่งเศส โปรตุเกส และโปแลนด์อยู่ฝ่ายที่ยังไม่ค่อยจะเห็นด้วย นักวิชาการยืนยันว่าต้องแบนเท่านั้นยุโรปถึงจะมีทางรอด และมีปลาบริโภคกันอย่างพอเพียงในอนาคต     ผู้ดีเชิดใส่วันหมดอายุ สิ่งที่สำคัญที่สุดบนฉลากอาหารสำเร็จรูปคือ วันหมดอายุ แต่พักหลังๆ นี่ผู้บริโภคชาวอังกฤษดูเหมือนจะใส่ใจกับมันน้อยลง ต้องกินให้หมด แม้มันจะเสี่ยง องค์การมาตรฐานอาหารของอังกฤษเขาทำสำรวจพบว่าร้อยละ 97 ของผู้บริโภคเชื่อว่าราคาอาหารนั้นเพิ่มขึ้นมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา(ข่าวไม่ได้บอกว่านายกอร์ดอน บราวน์ สั่งการให้บรรดา รมต.ไป เดินตลาดสำรวจราคาด้วยตนเองหรือเปล่านะ) และเมื่อถามว่าผู้บริโภคมีมาตรการที่จะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร ร้อยละ 47 บอกว่าตนเองใช้วิธี “บริการจัดการ สต๊อค” หรือพูดอีกอย่างคือเก็บของเหลือในตู้เย็นกินให้เกลี้ยงนั่นแหละ ปัญหามันอยู่ที่เขากินทุกอย่างแม้จะเลยวันหมดอายุที่ระบุไว้บนฉลาก คือถ้าดูแล้วยังหน้าตาเหมือนเดิม กลิ่น ยังไม่เปลี่ยน หรือจำได้ว่าเอาใส่ตู้เย็นไว้ไม่นาน ก็เป็นอันว่าลงมือกินได้ แต่ทางการเขาเป็นห่วง เพราะผู้ดีเหล่านี้ลืมใช้วิจารณญาณในการกินไปนิด เพราะอันตรายบางอย่างนั้นไม่สามารถบอกได้ด้วยลักษณะภายนอก เช่น คุณไม่มีทางดมดูแล้วรู้ว่าอาหารนั้นมี อีโคไล หรือซัลโมเนลลา เด็ดขาด ข่าวเขาฝากเตือนมาว่าใครก็ตามที่ไปลอนดอนเพื่อดูกีฬาโอลิมปิกในปีนี้ อย่าลืมสังเกตดูว่ารถเข็นขายอาหารที่เข้าไปรุมซื้อนั้นมีใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบหรือไม่ อาหารเป็นพิษขึ้นมาจะเชียร์กีฬาไม่สนุกซะเปล่าๆ     อีบุ๊คส์ บุกโรงเรียนฮ่องกง ฮ่องกงก็เป็นอีกที่ๆ มีปัญหาเรื่องราคาหนังสือเรียนแพงเหลือหลาย ปีที่แล้ว ก็ออกประกาศห้ามโรงเรียนใช้ระบบการรับแจกคู่มือครูฟรีจากสำนักพิมพ์ เพื่อแลกกับการขายหนังสือฉบับนักเรียนในราคาที่สูงกว่าปกติ แต่ปัญหาก็ยังไม่หมดไป รมต.ศึกษาธิการของที่นั้นจึงหันมาชงข้อเสนอให้รัฐส่งเสริมการพัฒนาหนังสือในรูปแบบอิเลคทรอนิกส์แทน เขาบอกว่าตั้งแต่ปีการศึกษาหน้าเป็นต้นไป โรงเรียนประถมและมัธยมในฮ่องกง อย่างน้อย 50 โรงจะเปลี่ยนจากหนังสือในรูปแบบดั้งเดิมมาเป็นอีบุ๊คส์ทั้งหมด ทั้งนี้กำลังรอให้รัฐบาลอนุมัติงบประมาณ 50 ล้านเหรียญฮ่องกง (ประมาณ 200 ล้านบาท) ให้มหาวิทยาลัยและองค์กรไม่แสวงหากำไรนำไปเป็นทุนพัฒนาอีบุ๊คส์เล่มใหม่ๆ ขึ้นมาให้ตอบสนองกับหลักสูตรในโรงเรียนมากขึ้น ที่น่าสนใจคือ เขาบอกว่าอุปกรณ์ที่ใช้ในการอ่านอีบุ๊คส์นั้น ไม่จำเป็นต้องมีกันคนละเครื่อง เด็กๆ สามารถใช้อุปกรณ์ร่วมกันเป็นกลุ่มได้ จะได้แบ่งเบาภาระของผู้ปกครองด้วย ไม่น่าเชื่อว่าฮ่องกงที่รวยขนาดนั้น เขาไม่แจกแท็บเล็ตให้เด็กคนละเครื่องเหมือนที่เมืองไทยหรอกหรือนี่     รักคงยังไม่พอ โคลเอตต้า ผู้ผลิตช็อคโกแล็ต สัญชาติสวีเดน โฆษณาว่าในซองขนมหวานรสช็อคโกแลต Mini Plopp ของเขาจะมีถ้อยคำ 4 คำบรรจุอยู่: LOVE HUG KISS และ JOY บรรยากาศรักนะจุ๊บๆ นี้ควรจะทำให้ทุกฝ่ายรื่นรมย์ แต่ปรากฏการณ์รักคุดก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อผู้บริโภคชาวสวีเดนรายหนึ่งร้องเรียนต่อองค์กรผู้บริโภค Konsumentverket ว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรม(หรือจะบอกว่าไม่ได้รับความรักดี?) จากโคลเอตต้า เพราะเธอลงทุนไปซื้อ Mini Plopps มาหลายห่อ เพื่อนำมาใช้ในงานแต่งของเธอ ซึ่งคิดมาแล้วว่าจะต้องอบอวลไปด้วยความรัก แต่ปรากฏว่าไม่ว่าจะเปิดสักกี่ซอง แขกเหรื่อทั้งหลายรวมทั้งตัวเธอเองก็ยังไม่พบคำว่า LOVE และ JOY เสียที เมื่อสืบสาวราวเรื่องไปก็พบว่าเกิดความผิดพลาดขึ้นในกระบวนการผลิต ทำให้โรงงานใส่แต่คำว่า HUG และ KISS ลงไปในซองเท่านั้น โฆษกบริษัทออกมาขอโทษ และสัญญาว่าคราวหน้าจะไม่ให้พลาดอีก ... เขาคงหมายถึงการผลิตครั้งต่อๆ ไป ไม่ใช่งานแต่งครั้งหน้าหรอก

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 110 กระแสต่างแดน

เกลือต้องห้าม แม้ครั้งหนึ่งเกลือจะเคยมีค่าดั่งทองและมีเครดิตเป็นหนึ่งในรากฐานของอารยธรรมมนุษย์ แต่วันนี้เกลืออาจมีโอกาสตกอับถึงขั้นโดนห้ามใช้ในร้านอาหาร ถ้าคุณเป็นแฟนกระแสต่างแดน คงจำกันได้ว่ารัฐนิวยอร์คของอเมริกานั้นช่างเป็นรัฐที่เป็นห่วงเป็นใยสุขภาพประชากรดีจริงๆ ขณะนี้มีประชากรนิวยอร์คที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่ถึง 1.5 ล้านคน รัฐบาลท้องถิ่นที่นั่นจึงออกมารณรงค์ให้ผู้คนบริโภคเกลือให้น้อยลง โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะลดการบริโภคเกลือลงให้ได้ร้อยละ 25 ภายในเวลา 5 ปี นายฟิลิกส์ ออร์ทิส สมาชิกสภาจากเขตบรู๊คลิน เลยคิดจะจัดการกับปัญหานี้อย่างเด็ดขาดด้วยการเสนอร่างกฎหมายห้ามร้านอาหารในนิวยอร์คใช้เกลือเสียเลย ถ้าจับได้ว่าร้านไหนแอบใส่ก็จะลงโทษด้วยการปรับ 1,000 เหรียญ (ประมาณ 32,000 บาท) คุณออร์ทิสแกบอกว่าสำหรับผู้บริโภคนั้นไม่มีปัญหา ถ้าใครอยากได้รสเค็มก็เติมเองได้จากกระปุกเกลือที่มีวางไว้คู่กับกระปุกพริกไทยบนโต๊ะ จุดประสงค์ของเขาคือต้องการให้ผู้บริโภคเป็นคนที่ควบคุมปริมาณเกลือด้วยตนเอง แต่บรรดาพ่อครัวในร้านอาหารต่างก็หงุดหงิดไปตามๆ กัน พวกเขามองว่าเป็นการห้ามที่เหลวไหลที่สุด และเผลอๆ อาจจะบ่อนทำลายธุรกิจอาหารของเมืองไปด้วย คนอเมริกันบริโภคเกลือวันละ 3,400 มิลลิกรัม ซึ่งเกินจากปริมาณที่แนะนำ 2,300 มิลลิกรัมไปเยอะทีเดียว     รวยเกินไป หัวใจว้าวุ่นข่าวดีสำหรับประเทศที่ยังไม่รวยทั้งหลาย งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารอิโคโนมิก เจอร์นัล พบว่าความมั่งคั่งนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาวะของคนในชาติ อาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์สองคน เคอร์ทิส อีตัน จากมหาวิทยาลัยคาลการี และมูเคช เอสวารานจากมหาวิทยาลัยบริติช โคลัมเบีย เขาฟันธงว่าคนอังกฤษมีสุขภาวะที่แย่ลงสืบเนื่องจากความอยากได้อยากมี และเขาคาดว่านโยบายรัดเข็มขัดที่รัฐบาลอังกฤษจะนำมาใช้นั้นจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ อีตันและเอสวาราน เสนอแนวคิดว่าเมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งมีมาตรฐานการใช้ชีวิตของประชากรที่ดีในระดับหนึ่งแล้ว การสร้างความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นให้ประชากรก็แทบจะไม่เกิดประโยชน์อะไร โดยทั่วไปเมื่อประเทศร่ำรวยเกินภาวะอยู่ดีกินดี การบริโภคของคนในชาติก็จะเปลี่ยนเป็นการซื้อสิ่งที่เรียกว่า “สัญลักษณ์ทางสถานภาพ” เช่น เสื้อผ้าแบรนด์เนม เครื่องประดับล้ำค่า หรือรถหรู มากกว่าการซื้อคุณค่าการใช้สอยตามปกติของสินค้านั้น ทฤษฎีการบริโภคเพื่อความโดดเด่น บอกว่าคนเราแสวงหา “สถานภาพ” ผ่านทางการบริโภคแบบนี้ ซึ่งคุณค่านั้นไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของสิ่งที่เราบริโภค หากแต่เป็นเพราะมันทำให้คนที่บริโภคได้รู้สึกว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่น ที่สำคัญคือคนเราจะแสวงหาสินค้าประเภทนี้กันมากขึ้นเมื่อเศรษฐกิจขยายตัว รวมๆ แล้วงานวิจัยของพวกเขาช่วยยืนยันว่าเวลาที่ความมั่งคั่งโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นนั้น ประชากรจะมีเงินในกระเป๋ามากขึ้นแต่ไม่ได้มีความสุขมากขึ้นไปด้วย และเมื่อคนมุ่งแสวงหา “สัญลักษณ์ทางสถานภาพ” ที่ว่านี้ ก็จะมีเวลาใส่ใจกับเพื่อนบ้าน ชุมชนและสังคมน้อยลง ส่งผลให้ภาวะความอยู่ดีมีสุขร่วมกันลดลงไปโดยปริยาย เฮ้อ รอดตัวไป ดีนะที่ยังไม่รวย บอลลิวูดก็โดนผีหลอกไม่ใช่แค่ฮอลลิวูดเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับภัยแผ่นผี ธุรกิจภาพยนตร์อินเดียที่มีมูลค่าสูงถึง 2,300 ล้านเหรียญก็ต้องสูญเสียรายได้ไปไม่น้อยกับการลักลอบดาวน์โหลดหรือปั๊มแผ่นเช่นกัน สถานการณ์เรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ในอินเดียแย่ลงฮวบฮาบ เพราะความเร็วในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่จำนวนครัวเรือนที่มีเครื่องเล่นดีวีดีก็เพิ่มจาก 4 ล้านครัวเรือน เป็น 45 ล้านครัวเรือนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ข่าวบอกว่าการอัพโหลดไฟล์หนังขึ้นไปบนอินเตอร์เน็ตจะมีขึ้นทุกๆ 5 นาที และมีการประมาณการว่าภารตะชนซื้อแผ่นผิดกฎหมายประมาณปีละ 700 ล้านแผ่น สร้างรายได้ให้กับผู้ผลิตแผ่นปลอมไป 330 ล้านเหรียญชิลๆ ด้านฮอลลิวูดก็ดีใจที่จะได้บอลลิวูดมาเป็นพันธมิตรในการปราบปรามการละเมิดลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ โดยทั้งนี้ก็จะพยายามลืมๆ ไปว่าครั้งหนึ่งเคยเคืองบอลลิวูดอยู่ไม่น้อยที่ชอบก็อปปี้หนังดังๆ ของตนเองมาทำเป็นฉบับภารตะ เพราะถ้าอินเดียสามารถปราบปรามได้ก็จะเป็นผลดีต่อตนเองไปด้วย ใครจะไม่อยากได้ตลาดอินเดียที่มีประชากร 1,000 ล้านคนที่ชื่นชอบการดูหนังเป็นชีวิตจิตใจมากกว่าที่ใดๆ ในโลก แต่คงจะเป็นงานหนักอยู่เหมือนกัน แม้ข่าวจะไม่ได้บอกว่าตั๋วหนังที่อินเดียราคาเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆแผ่นผีซึ่งราคาประมาณ 2 เหรียญ (ประมาณ 65 บาท) ก็ทำให้คนไม่อยากเข้าโรงหนังสักเท่าไร คล้ายๆ ที่ประเทศไหนน้า.... ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ช้อปได้แม้อยู่ในห้องน้ำห้องน้ำที่สถานีรถไฟโอซาก้า ในย่านกินซ่าของญี่ปุ่นกำลังเป็นสถานที่แฮงเอาท์แห่งใหม่ของทั้งเด็กมัธยมและสาววัยทำงาน บริการห้องน้ำ “แองเจิลบี” ที่เปิดบริการมาได้ 3 ปีกว่านี้คิดค่าบริการประมาณ 100 บาทต่อหนึ่งชั่วโมง นอกจากเข้าไปทำธุระส่วนตัวแล้ว สาวๆ ยังจะสามารถนั่งจิบชาสมุนไพรชิลๆ  เรียนเทคนิคการแต่งหน้า ทำผม หรือแม้แต่เลือกซื้อชุดชั้นในกันได้ ผู้ประกอบการห้องน้ำดังกล่าวได้แก่บริษัทเวสต์ เจแปน เรลเวย์ ที่ให้บริการรถไฟในฝั่งตะวันตกของเกาะฮอนชู บอกว่าที่เปิดบริการนี้ก็เพราะได้รับเสียงเรียกร้องจากบรรดาผู้โดยสารหญิงว่าไม่มีสถานที่ให้พวกเธอได้เติมหน้าเติมปากหรือแต่งผมหลังการเดินทางยาวไกลเลย บ้างก็บอกว่าไม่มีกิจกรรมอะไรจะทำเพื่อฆ่าเวลาขณะรอรถไฟ ทุกวันนี้กิจการดีมาก สาวๆ เข้ากันหัวบันไดไม่แห้ง จนมีผู้ประกอบการอื่นๆ เข้ามาทำการตลาดกันในห้องน้ำกันด้วย เช่น พานาโซนิคก็ส่งช่างผมมืออาชีพมาแนะนำวิธีการใช้เครื่องรีดผมของตัวเอง หรือบริษัทเสื้อชั้นในวาโก้ก็มีเสื้อชั้นในรุ่นใหม่ๆ มาให้สาวๆ ได้ลอง รวมถึงชิเซโด้ที่มาตั้งเคานท์เตอร์เครื่องสำอางด้วยเช่นกัน ข่าวไม่ได้บอกว่าค่าบริการจะลดลงหรือไม่หลังจากมีสปอนเซอร์แล้ว หรือสาวๆ จะต้องเสียเงินเข้าไปทำอย่างเดียวกับที่ทำได้ในห้างโดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายใดๆ เลย +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ เมืองปลาที่ไม่มีปลา อีกครั้งที่ผู้บริโภคต้องเตือนตนเองว่าสิ่งที่เห็น อาจไม่เป็นจริงเสมอไป นักท่องเที่ยวมากมายที่ไปเยือนฟลอริด้าจะต้องไม่พลาดการสั่งอาหารทะเลมารับประทาน ไม่อย่างนั้นจะเหมือนไปไม่ถึง แต่ขณะนี้ชาวประมงในรัฐที่เรียกตนเองว่า “เมืองหลวงแห่งการตกปลาของโลก”  จับปลาได้น้อยลง เพราะภาวะอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติในบางช่วง รวมถึงกฎระเบียบที่เพิ่มขึ้นเช่นข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาในการจับปลา หรือชนิดของปลาที่อนุญาตให้จับได้ ชาวประมงที่นี่เคยชุมนุมประท้วงต่อต้านนโยบายเรื่องการจับปลามาแล้ว เพราะไม่ใช่แค่ห้ามจับปลาชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่เป็นการห้ามจับปลาทุกชนิดในบริเวณที่ปลาชนิดนั้นๆอาศัยอยู่ด้วย ปัจจุบันชาวประมงจำนวนไม่น้อยจึงเลิกอาชีพนี้ไป และเรือที่ลอยอยู่ในน่านน้ำฟลอริด้านั้นส่วนใหญ่เป็นพวกล่องเรือตกปลาเล่นๆ มากกว่าจะเป็นประมงตัวจริง สรุปว่าปลาที่เสิริ์ฟในร้านอาหารที่ฟลอริด้านี้เป็นปลานำเข้าจากที่อื่น เช่น แซลมอนจากนอร์เวย์หรือสก็อตแลนด์ ทูน่าครีบเหลืองและโลมาจากเอกวาดอร์ ปลาเก๋าจากเม็กซิโกหรือไม่ก็เวียดนาม เป็นต้น ทางร้านอาหารบอกว่าปลาที่ไหนมันก็ปลาเหมือนกัน(ถ้างั้นกินที่บ้านก็น่าจะได้หรือเปล่า) แต่ตามความเห็นของนักชีววิทยาทางทะเลแล้วปลาที่เดินทางไกลเหล่านี้จะมีคุณภาพลดลง หนึ่งเพราะระยะเวลาและสองกฎระเบียบที่ควบคุมการจับปลาในบางประเทศนั้นไม่เข้มงวดเท่าที่ฟลอริด้าอีกด้วย +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ร่วมใช้ร่วมจ่ายเขตปกครองพิเศษฮ่องกงประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคให้ลดการใช้ถุงพลาสติกด้วยการเก็บภาษีถุงพลาสติกในราคาใบละ 50 เซ็นต์ ( 2 บาท) ไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาจึงคิดจะเริ่มปฎิบัติการขั้นต่อไปในการสร้างจิตสำนึกของการบริโภคอย่างรับผิดชอบ (ค่าใช้จ่าย) ต่อไปผู้บริโภคที่ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการรีไซเคิลเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นนั้นในวันที่เราไม่ต้องการมันอีกต่อไป เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างโทรทัศน์จะมีค่าจัดการ 100 เหรียญฮ่องกง (ประมาณ 420 บาท) หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ขึ้นมาอย่างตู้เย็นจะมีค่าจัดการเพิ่มขึ้นอีกเท่าเป็น 200 เหรียญ แต่รายละเอียดนั้นเขายังเถียงกันไม่จบ เช่น ค่าธรรมเนียมที่ว่านั้นจะถูกลงหรือไม่ถ้าเราใช้มันนานขึ้นและจะเก็บค่าธรรมเนียมเท่ากันหรือไม่สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างขนาด ต่างกำลังไฟ ร้อยละ 86 ของขยะอิเล็กทรอนิกส์ในฮ่องกงนั้นเป็น โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และคอมพิวเตอร์

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 145 ความจำเป็นของเสาหนวดกุ้ง ก้างปลา สำหรับการรับสัญญาณโทรทัศน์แบบดิจิตอล

 โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการ โดยปรกติการเลือกซื้ออุปกรณ์รับสัญญาณนั้น ถ้าอยู่ในบริเวณที่มีสัญญาณแรง เช่นในเขตกรุงเทพมหานคร ก็ใช้อุปกรณ์แบบ Inner Antenna ได้ แต่ถ้าอยู่ในบริเวณที่สัญญาณอ่อนก็ต้องใช้อุปกรณ์แบบ Outer Antenna แต่ถ้าใครมีหนวดกุ้ง ก้างปลาอยู่แล้วก็ไม่ต้องตกใจว่าจะต้องเปลี่ยนนะครับ เพราะอุปกรณ์รับสัญญาณนั้น ยังสามารถใช้ต่อไปได้   สัญญาณแบบอนาลอก เป็นสัญญาณโทรทัศน์ที่จะหมดยุคภายใน 4-5 ปีนี้ เนื่องจากประเทศไทยเราจะก้าวเข้ามาสู่ยุคโทรทัศน์แบบดิจิตอล ซึ่งผู้บริโภคที่มีความรู้ในเรื่องเทคนิคอย่างค่อนข้างจำกัดนั้น สมควรที่จะต้องหาความรู้พื้นฐาน ตลอดจนการเตรียมการในการที่จะรับสัญญาณแบบใหม่นี้ ซึ่งความรู้พื้นฐานที่ผู้บริโภคควรมีไว้กับตัวนั้น ผมนำมาจากความรู้ขององค์กรผู้บริโภคภาคเอกชนของเยอรมนี (Stiftung Warentest) มานำเสนอแด่เพื่อนสมาชิก องค์กรนี้ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นรายปี แต่รายได้หลักขององค์กรนี้จะมาจากสมาชิกที่สมัครรับวารสาร ทำหน้าที่เหมือนกับหนังสือฉลาดซื้อของเรานี่แหละครับ   การทดสอบแต่ละครั้งจะทดสอบสินค้าเชิงคุณภาพ และเปรียบเทียบเทียบความคุ้มค่าที่เรียกว่า cost effectiveness ในการเลือกซื้อเลือกจ่ายแต่ละครั้งคนเยอรมัน จะมีข้อมูลรอบด้าน ครบถ้วน สำหรับผู้บริโภคที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเป็นผู้กำหนดตลาดที่มีการแข่งขันตัวจริงเสียงจริง เป็นองค์กรที่ช่วยราษฎร์ เสริมรัฐ และผมหวังว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิประชาชนขั้นพื้นฐานจะให้การสนับสนุนองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่กำลังค้างอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร ให้กฎหมายนี้ผ่านมาได้ และทำหน้าที่ปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของบริโภคเฉกเช่นกัน   บทความในวันนี้ มีวัตถุประสงค์ในการแนะนำผู้บริโภคในการเลือกชมรายการโทรทัศน์ผ่านอุปกรณ์สัญญาณภาคพื้นดิน (Digital Video Broadcasting: Terrestrial DVB-T)   การรับสัญญาณโทรทัศน์ในยุคดิจิตอลนั้นหากเป็นการรับสัญญาณโทรทัศน์ภาคพื้นดิน ก็ต้องมีอุปกรณ์รับสัญญาณเช่นเดียวกับการรับสัญญาณแบบอนาลอกคือ เสาก้างปลา (Outer Antenna) (ดูรูปที่ 1)   สำหรับรับสัญญาณภายนอกอาคาร และเสาหนวดกุ้งที่เรียกว่า (Inner Antenna) (ดูรูปที่ 2)   ปัจจุบันเทคโนโลยีของอุปกรณ์รับสัญญาณทั้งสองแบบได้พัฒนาการไปจนรูปร่างลักษณะจะไม่เหมือนกับหนวดกุ้ง ก้างปลาในอดีตแล้วครับ โดยปรกติการเลือกซื้ออุปกรณ์รับสัญญาณนั้น ถ้าอยู่ในบริเวณที่มีสัญญาณแรง เช่นในเขตกรุงเทพมหานคร ก็ใช้อุปกรณ์แบบ Inner Antenna ได้ แต่ถ้าอยู่ในบริเวณที่สัญญาณอ่อนก็ต้องใช้อุปกรณ์แบบ Outer Antenna แต่ถ้าใครมีหนวดกุ้ง ก้างปลาอยู่แล้วก็ไม่ต้องตกใจว่าจะต้องเปลี่ยนนะครับ เพราะอุปกรณ์รับสัญญาณนั้น ยังสามารถใช้ต่อไปได้ แต่ถ้าใครต้องการเปลี่ยนเพราะ เราใช้อุปกรณ์ดังกล่าวมานานแล้วคุณภาพในการรับสัญญาณเริ่มจะลดลงก็ลองหันมาดู อุปกรณ์ใหม่ๆ ดังกล่าวได้เช่นกัน   ความจำเป็นในการติดตั้งอุปกรณ์รับสัญญาณแบบ เสาหนวดกุ้งก้างปลายังคงมีอยู่ ในเยอรมนีเองการรับสัญญาณผ่านเสาสัญญาณแบบนี้ ถือได้ว่ามีสัดส่วนสูงที่สุดสูงกว่ารับสัญญาณผ่านจานดาวเทียม หรือผ่านเคเบิล ถ้าพิจารณาจากการส่งสัญญาณโทรทัศน์แบบภาคพื้นดินของช่องฟรีทีวีในเยอรมนีแล้ว จะเห็นว่าครอบคลุมพื้นที่ มากกว่า 95 % (รูปที่ 3) การติดตั้งจานดาวเทียมในเยอรมนีนั้นไม่ได้ติดตั้งกันง่ายๆ เหมือนบ้านเรา ส่วนใหญ่ต้องขออนุญาตทั้งจากรัฐและเจ้าของอาคารก่อน เพราะจานดาวเทียมนั้น ถ้าติดตั้งโดยไม่ควบคุมจะเป็นมลพิษอย่างหนึ่ง เรียกว่ามลพิษทางทัศนียภาพ ที่กำลังเกิดขึ้นและกำลังจะมีแนวโน้มที่รุนแรงขึ้นในเมืองหลวงของเรา (เราจะเห็นจานดาวเทียมที่มีสีต่างๆ ผุดขึ้นเหมือนกับเชื้อรา ตามตึก อาคารต่างๆ ซึ่งเป็นภาพที่ไม่งามตาเลย)   สำหรับประเทศไทยนั้นก็ยังมีความจำเป็นเช่นกันสำหรับการรับสัญญาณโทรทัศน์ภาคพื้นดิน หากเราดูปรากฎการณ์จอดำ เมื่อปีผ่านมา และคาดว่าก็อาจประสบปัญหาจอดำอีก แต่ถ้าเราสามารถรับสัญญาณโทรทัศน์ผ่านหนวดกุ้ง ก้างปลาได้ ก็จะไม่เจอกับปัญหาจอดำ ตอนนี้ในขั้นตอนการประมูลช่องโทรทัศน์ดิจิตัล กสทช. สามารถออกกฎเกณฑ์ให้ช่องสถานีฟรีทีวี หรือช่องสถานีสาธารณะทั้งหลาย ต้องสามารถส่งสัญญาณให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งประเทศเหมือนที่เยอรมนี ก็จะสามารถลดปัญหาได้ระดับหนึ่งเช่นกัน คาดว่าปัญหาจอดำและปัญหาพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ (White Spot) ก็จะไม่เกิดเช่นกันครับ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point