ฉบับที่ 142 YellowPages Live ติดตามตัว

ผู้อ่านจำหนังสือเล่มหนาๆ ปกเหลืองๆ ที่ถูกแจกจ่ายไว้ตามบ้านทุกหลังคาเรือนได้ไหมค่ะ คุณสมบัติของเล่มนี้จะช่วยค้นหาเบอร์ติดต่อร้านค้า สำนักงาน โรงพยาบาล สถานีตำรวจ หรือแม้แต่เบอร์โทรศัพท์บ้านของเราก็มีระบุไว้ สมุดเล่มนี้มีชื่อว่า “สมุดหน้าเหลือง” หรือเรียกว่า เยลโล่เพจเจส (YellowPages) เป็นชื่อที่ผู้เขียนและผู้อ่านรู้จักเป็นอย่างดี  ซึ่งเป็นหนังสือขนาดเล่มหนา มีปกสีเหลือง โดยได้รวบรวมรายชื่อธุรกิจ สินค้า และบริการ มาเรียบเรียงไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อแจกจ่ายไปตามบ้านเรือน บริษัท ห้างร้าน และแหล่งธุรกิจ  ภายหลังสมุดหน้าเหลืองได้ถูกพัฒนาเป็นรูปแบบออนไลน์ บน  http://www.yellowpages.co.th แต่ด้วยความทันสมัยของเทคโนโลยีบนสมาร์ทโฟนในโลกปัจจุบัน  สมุดหน้าเหลือง จึงถูกพัฒนามาเป็น YellowPages Live Application และสามารถรองรับทุกระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์มือถือ ไม่ว่าจะเป็น iOS (iPhone หรือ iPad), Android OS, BlackBerry OS, Windows Phone, Windows Mobile และ สมาร์ทโฟน หรือฟีเจอร์โฟน ที่รองรับ J2ME  จะสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นนี้จาก http://www.typlive.com/mobile  มาติดตั้งใช้งานได้ทันที แอพพลิเคชั่น YellowPages Live มีอยู่ 5 ส่วน คือ ส่วนแรก Highlight เป็นส่วนที่อัพเดทข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจ ส่วนที่สอง Search จะเป็นส่วนค้นหาหมายเลขสำคัญ เบอร์ฉุกเฉิน คำค้นยอดนิยม ส่วนลดร้านอาหาร และโปรโมชั่นต่างๆ โดยสามารถคลิกรับโปรโมชั่นที่ต้องการได้ทันที ส่วนที่สาม Map สามารถค้นข้อมูลและให้แสดงผลในรูปแบบแผนที่ได้ เพิ่มความสะดวกให้กับผู้ที่ต้องการทราบเส้นทางการเดินทาง ส่วนที่สี่ Content อัพเดทราคาน้ำมัน ราคาทอง อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงิน เลขหมายน่าสนใจ 4 หลัก รวมถึงสลากกินแบ่งรัฐบาล ส่วนที่ห้า Member เป็นส่วนของการ log in สำหรับสมาชิก ผู้อ่านสามารถสมัครเป็นสมาชิกกับแอพพลิเคชั่น YellowPages Live ได้ทันที ผู้อ่านลองดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นนี้มาใช้กันนะคะ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับการค้นหาเบอร์ติดต่อในกรณีเหตุสุดวิสัยและสามารถพกพาไปได้ทุกสถานที่ แถมแอพพลิเคชั่น YellowPages Live ยังสามารถรองรับได้ทุกระบบปฏิบัติการได้ขนาดนี้ มีแอพฯ นี้ไว้ในมือถือก็ดีไม่น้อยนะคะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 156 กระแสในประเทศ

ประมวลเหตุการณ์เดือน มกราคม 2557 “บ้านและที่อยู่อาศัย” กับปัญหายอดฮิตปี 56 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้สรุปเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภคตลอดปี 2556 ที่ผ่านมา พบว่า ปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยกลายเป็นปัญหากวนใจผู้บริโภคมากที่สุด แซงหน้าแชมป์เก่าอย่างปัญหาจากการใช้รถยนต์ เนื่องจากโครงการรถยนต์คันแรกที่เริ่มหมดลง ประกอบกับคนหันมาซื้อคอนโดมากขึ้น และเมื่อเกิดปัญหาเพียง 1 ยูนิต ผู้บริโภคที่อยู่ในโครงการเดียวกันก็มักจะตามกันมาร้องเรียนด้วย สำหรับเรื่องร้องเรียนในปี 2556 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 20 ธันวาคม มีผู้บริโภคร้องเรียนทั้งสิ้น 3,150 ราย โดยเรื่องร้องเรียนที่มากที่สุดคือเรื่อง อสังหาริมทรัพย์ 1,324 ราย แบ่งเป็น 3 ประเภทปัญหา คือ 1.อาคารชุด 629 ราย 1,390 เรื่อง เช่น ไม่เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาหรือโฆษณา ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จยกเลิกสัญญา  2.บ้านจัดสรร 392 ราย 1,019 เรื่อง เช่น ไม่ดำเนินการตามที่โฆษณา มีการชำรุดหลังก่อสร้าง กู้ได้ไม่เต็มจำนวนตามที่ประกาศ ขอยกเลิกสัญญา และ 3.เช่าพื้นที่ เช่าช่วง 303 ราย 608 เรื่อง   สคบ.ดำเนินการไกล่เกลี่ยตามที่ผู้ร้องต้องการและเรื่องยุติแล้ว 60% เหลืออีก 40% โดยหลังจากนี้ทาง สคบ. จะส่งเจ้าหน้าที่จะลงสุ่มตรวจโครงการที่อยู่อาศัยที่พบปัญหาร้องเรียกซ้ำซาก แล้วจะมีการแจ้งชื่อโครงการที่มีปัญหาให้กับประชาชนทั่วไปได้รับทราบ     ผิวขาวออร่า แต่หน้าพัง กระแสความนิยมอยากจะมีผิวขาวของวัยรุ่นไทย กำลังเป็นเรื่องน่าห่วง หลังจากที่มีวัยรุ่นจำนวนมากตกเป็นเหยื่อของโฆษณาหลอกลวงชวนเชื่อ ผลิตภัณฑ์ผิวขาว ที่โอ้อวดว่าใช้แล้วผิวขาวสว่าง “ออร่า” แต่กลับต้องเจอผลข้างเคียง นอกจากผิวจะไม่ขาวแล้ว ยังต้องเสียโฉม หน้าพัง ผิวที่หวังว่าจะขาวก็ยิ่งคล้ำดำลงกว่าเดิม ล่าสุดมีกรณีที่วัยรุ่นอายุ 16-18 ปีที่ จ.เพชรบุรี ให้ครีมที่อ้างสรรพคุณช่วยให้ผิวขาวแล้วเกิดอาการแพ้ ผิวลายแตกงา เมื่อเก็บตัวอย่างครีมผิวขาวที่น่าจะเป็นปัญหาไปตรวจสอบยังศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 สมุทรสงคราม พบว่า ตัวอย่าง ครีมและโลชั่นทาผิวที่อ้างว่าช่วยให้ผิวขาว จำนวน 11 ตัวอย่างที่วางขายในจังหวัดเพชรบุรี ประกอบด้วยครีม 4 ประเภท ได้แก่ 1.ครีมผสมเองแบ่งขายใส่กระปุกที่ไม่มีฉลาก 2.ครีมที่ผสมเองแบ่งขายใส่กระปุกที่มีฉลากแต่ไม่ได้จดแจ้ง  3.ครีมที่มีฉลากภาษาจีน และ 4.ครีมที่มีฉลากภาษาจีนที่เป็นยาใช้ภายนอก มีการใช้สารสเตียรอยด์ชนิดโคลเบทาซอล โพรพิโอเนต (Clobetasol propionate) ในครีมทั้ง 11 ตัวอย่าง ในปริมาณตั้งแต่ 8.0-449.8  มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นส่วนผสมที่สูงมาก นอกจากนี้ยังตรวจพบสารคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ซึ่งจัดเป็นยาในทุกตัวอย่าง และบางตัวอย่างตรวจพบว่ามีการใส่วัตถุกันเสีย 2 ชนิดคือ เมทิลพาราเบน (Methylparaben) และโพรพิลพราราเบน (Propylparaben) ด้วย สำหรับ สารโคลเบทาซอล โพรพิโอเนตเป็นสารห้ามใช้ในเครื่องสำอาง ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องกำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตเครื่องสำอาง สารดังกล่าวเป็นยาสเตียรอยด์ ใช้ทาภายนอกที่มีความแรงสูงสุด ที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน โรคผื่นผิวหนังที่ดื้อยาสเตียรอยด์ชนิดรุนแรงปานกลาง หรือใช้ในบริเวณผิวหนังที่หนา เช่นที่ขาหรือส้นเท้า สารชนิดนี้เมื่อใช้ไปนานๆ จะทำให้ผิวหนังบางลง เกิดจ้ำเลือดง่าย หรือมีรอยแตกที่ผิวหนัง     ระวัง!!!ใช้สมุนไพรขัดหน้า การใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ขัดหน้า ขัดตัว หลายคนอาจจะคาดไม่ถึงว่า ตรวจพบการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ในระดับสูงจนน่าตกใจ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) หรือ สทน. โดยนักวิจัยของศูนย์ฉายรังสี ได้ทำการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นทางจุลชีววิทยาในวัตถุดิบสมุนไพรและส่วนผสม ชนิดอื่น ๆ ที่มักใช้ผลิตเป็นเครื่องสำอางสมุนไพรไทยจำนวน 10 ชนิด ได้แก่ ไพล ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ว่านนางคำ ทานาคา กวาวเครือ จันทน์หอม เปลือกมังคุด ดินสอพอง และจันทน์เทศแดง โดยพบว่าในวัตถุดิบทั้ง 10 ชนิด มีจำนวนแบคทีเรียทั้งหมดในระดับที่สูงมาก คือ 1,000-1,000,000 โคโลนีต่อกรัม ทั้ง ๆ ที่ค่ามาตรฐานของไทยที่กำหนดคือ ต้องมีไม่เกิน 1,000 โคโลนีต่อกรัม  และพบการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ Clostridium spp. ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคบาดทะยัก ในวัตถุดิบ 4 ชนิด คือ ไพล  ทานาคา กวาวเครือ และ ดินสอพอง นอกจากนี้ยังได้สุ่มตรวจเครื่องสำอางสมุนไพรไทยที่สามารถหาซื้อตามตลาดทั่วไป ได้แก่ ครีมโคลนสมุนไพรพอกตัว จำนวน 12 ตัวอย่าง พบว่ามีจำนวนเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมดเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ 5 ตัวอย่าง (ร้อยละ 41.67) แป้งสมุนไพรพอกหน้าและขัดตัวจำนวน 40 ตัวอย่าง พบว่ามีจำนวนเชื้อจุลินทรีย์ทั้งหมดเกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ 27 ตัวอย่าง (ร้อยละ 67.5)  และพบการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ Clostridium spp. ถึง 22 ตัวอย่าง (ร้อยละ 55) ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมด     ทุกข์ของผู้ป่วย การรักษาไม่ได้มาตรฐาน ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้เปิดเผยข้อมูลร้องเรียนด้านสุขภาพปี 2555 – 2556 พบว่ามีเรื่องร้องเรียนจากทุกสิทธิการรักษาคือ สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิประกันสังคม สิทธิสวัสดิการข้าราชการ และกลุ่มที่จ่ายเงินเอง ทั้งจากโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน และคลินิก รวมทั้งหมด 38 เรื่อง ปัญหาที่พบมากที่สุด คือเรื่องมาตรฐานการรักษา 18 เรื่อง เช่น ผิดพลาดในการรักษา การผ่าตัด ทำให้แผลติดเชื้อ แพทย์จ่ายยาผิด เข้ารักษาโรงพยาบาลตามสิทธิแต่แพทย์ตรวจไม่ละเอียดให้แต่ยาแก้ปวด จ่ายยาให้ยาไม่ตรงชื่อหน้าซอง ทำให้คนไข้เกิดอาการการแพ้ยา ซึ่งมีอยู่กรณีหนึ่งแพทย์ถึงขั้นลืมผ้าก๊อตไว้ในช่องคลอดหลังทำคลอดให้กับคนไข้ ตามมาด้วยปัญหามาตรฐานการบริการ 9 เรื่อง เช่น เจ้าหน้าที่ไม่บริการ พูดจาไม่สุภาพ ไม่เอาใจใส่ผู้ป่วย  นอกจากนี้ยังพบปัญหาเรื่องระบบส่งต่อผู้ป่วย ระบบการใช้สิทธิ และปัญหาอื่นๆ เช่น เรื่องค่ารักษาพยาบาลแพง กรณีการให้การช่วยเหลือที่ล่าช้า พบว่าเกิดจาก การขาดแคลนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการอ่านเวชระเบียน ร่วมทั้งหน่วยงานภาครัฐล่าช้ากรณีส่งต่อเรื่องร้องเรียน แล้วไม่ได้รับการตอบรับ ทำให้การดำเนินการช่วยเหลือผู้เสียหายบางรายทำได้ลำบาก ล่าช้า และผู้เสียหายยังติดปัญหาเรื่องการขอเวชระเบียน ที่สำคัญคือผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ได้รับความเสียหายยังไม่รู้ช่องทางการร้องเรียน     7 วิธีปิ้งย่างลดเสี่ยงมะเร็ง พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล นักวิชาการโครงการ “รวมพลัง ขยับกาย สร้างสังคมไทย ไร้พุง” เครือข่ายคนไทยไร้พุง ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แนะนำ 7 ข้อควรทำสำหรับคนที่ชอบกินอาหารปิ้งย่าง 1.เลือกสถานที่ปิ้งย่างที่มีอากาศถ่ายเทดี เพราะควันจากอาหารก็ส่งผลต่อร่างกายได้ 2. เน้นเนื้อสัตว์ประเภทปลา หรือไก่ไม่ติดหนัง ซึ่งมีปริมาณไขมันน้อยกว่า 3. เลี่ยงการรับประทานเนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก เบคอน ไส้กรอกอีสาน เพราะมีไขมันและโซเดียมสูง 4. อย่าใช้ไฟแรงเกิน หรือปิ้งจนเกรียม หมั่นทำความสะอาดคราบเขม่าและรอยไหม้ต่างๆ ที่ติดอยู่บริเวณตะแกรง 5. หมักเนื้อด้วยน้ำมะนาว สะระแหน่ มินต์ โรสแมรี จะช่วยลดการเกิดของสารก่อมะเร็งในกลุ่มเอมีนส์ 6. ตัดเนื้อส่วนที่มีมันออกก่อนนำไปปิ้งย่าง หรืออบให้สุกนิดหน่อยก่อนเพื่อลดเวลาปิ้ง และ 7. เน้นกินผักสดๆ ควบคู่ด้วยเสมอ และเลือกดื่มน้ำเปล่า แทนน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะยิ่งเพิ่มปริมาณแคลอรีที่เกินความต้องการของร่างกาย อนึ่ง การรับประทานอาหารปิ้งย่างประจำจะมีผลกระตุ้น เซลล์มะเร็ง คือ สารในกลุ่มไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic aromatic hydrocarbons หรือ PAH) ซึ่งพบในควันที่เกิดจากไขมันสัตว์ที่โดนความร้อนสูง โดยพบว่ามีความสามารถในการก่อมะเร็งได้ไม่แพ้ควันบุหรี่ และสารในกลุ่มเอมีนส์ (Heteocyclic amines) ที่พบมากในเนื้อแดงที่ถูกความร้อนสูง มีงานวิจัยหลายแหล่งระบุว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็ง //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 133 กระแสในประเทศ

 ประมวลเหตุการณ์เดือนกุมภาพันธ์ 2555 คุณพ่อก็ลาคลอดได้รู้กันหรือยังว่า คุณพ่อก็ลาคลอดได้ ไม่ต้องสงสัยว่าผู้ชายจะคลอดลูกได้ไง เพราะสิทธิที่ได้คือการลาหยุดเพื่อไปดูแลภรรยาในช่วงหลังคลอดบุตร ซึ่งสิทธิประโยชน์นี้ได้ถูกประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 24 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยคุณพ่อสามารถลาหยุดไปดูแลคุณแม่และลูกน้อยได้ 15 วัน โดยไม่ถือเป็นวันหยุด ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมากที่ให้คุณพ่อได้ไปช่วยแบ่งเบาภาระการดูแลลูกทำให้คุณแม่สามารถพักฟื้นร่างกายได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยที่บอกว่า การที่สามีอยู่ใกล้ชิดภรรยาหลังคลอดจะทำให้ภรรยารู้สึกดีมีกำลังใจในการเลี้ยงลูก โดยภาวะหลังคลอดของผู้หญิง จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้เกิดความวิตกกังวล เกิดอาการซึมเศร้า เหนื่อยล้า ซึ่งอาจส่งผลทำให้ปริมาณน้ำนมแม่ลดลง แต่ก็ยังเป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะสิทธิวันหยุดนี้ยังให้สิทธิเฉพาะข้าราชการเท่านั้น พนักงานและลูกจ้างบริษัทเอกชนยังไม่มีโอกาสได้ใช้ ก็หวังว่าหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะช่วยกันผลักดันสิทธิวันหยุดลาคลอดของผู้ชายให้ทุกคนได้ใช้กันอย่างเท่าเทียม-------------   ขนมจากชายแดน...วายร้ายอิมพอร์ต เรื่องขนมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากซื้อมารับประทานสุ่มสี่สุ่มห้าระวังโรคร้ายถามหาไม่รู้ตัว ยิ่งตอนนี้ขนมที่ไม่ได้มาตรฐานที่ทะลักเข้ามาจากชายแดนกำลังระบาดหนัก ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน ขนมที่ลักลอบจากประเทศเพื่อนบ้านแล้วนำมาขายในบ้านเรามักเป็นเป็นขนมที่มีคุณภาพต่ำ  ไม่มีการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ไม่มีการแสดงฉลากภาษาไทย ซึ่งเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายจากสารปนเปื้อน ทั้งเชื้อรา แบคทีเรีย และสีผสมอาหาร แถมยิ่งถ้ารับประทานแล้วเกิดเจ็บป่วยก็ยากที่จะหาผู้รับผิดชอบ เพราะไม่มีข้อมูลที่อยู่ผู้ผลิตที่จะเอาผิดได้ นอกจากขนมที่ลักลอบนำเข้ามาตามชายแดนแล้ว ทาง อย. ยังฝากเตือนให้ระวังอันตรายของขนมที่นำมาแบ่งขายหรืออยู่ในบรรจุภัณฑ์ที่น่าสงสัย ไม่ได้มาตรฐาน และไม่มีการบอกข้อมูลใดๆ ทั้งชื่อผู้ผลิต ส่วนประกอบ และวันเดือนปีที่ผลิตหรือหมดอายุ เพราะตอนนี้มีผู้ประกอบการที่ไม่หวังดีไปตระเวนรับซื้อขนมที่หมดอายุ ผลิตไม่ได้มาตรฐาน หีบห่อฉีกขาดจากโรงงาน จากนั้นนำมาใส่บรรจุภัณฑ์ใหม่และวางขายในราคาถูก------------------   แต่งไฟหน้ารถ ระวังผิดกฎหมายใครที่กำลังคิดจะแต่งหรือดัดแปลงโคมไฟหน้ารถสุดรักของตัวเอง อย่าลืมศึกษาข้อมูลทางกฎหมาย รวมทั้งอย่ามองข้ามเรื่องความปลอดภัย เพราะตอนนี้กองบังคับการตำรวจจราจรเขาเอาจริง เร่งกวดขันรถยนต์ที่ดัดแปลงไฟหน้าให้มีความสว่างมากกว่าปกติ ซึ่งแสงที่มีความสว่างมากเกินไปจะรบกวนการมองเห็นของผู้ขับขี่รายอื่นทำให้เกิดอันตราย ซึ่งสีของโคมไฟหน้ารถยนต์ที่ถูกต้องตามกฎหมายคือ สีขาวหรือสีเหลืองอ่อนเท่านั้น ถ้าเป็นสีอื่นนอกเหนือจากนี้ถือว่าผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก นอกจากนี้กองบังคับการตำรวจจราจรยังฝากเตือนถึงสินค้าตัวใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่คนที่ชอบแต่งรถอย่าง ไฟซีนอนวงแหวน 2 ชั้น หรือที่นิยมเรียกกันว่า “ไฟทรานส์ฟอร์เมอร์” เพราะมีลักษณะคล้ายดวงตาของหุ่นยนต์ในภาพยนตร์เรื่องทรานส์ฟอร์เมอร์ ซึ่งมีผลิตออกมาหลายสี ถ้าหากใช้สีอื่นๆ นอกจากสีขาวและสีเหลืองอ่อนถือว่าผิดกฎหมาย สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับโคมไฟรถยนต์ที่ถูกต้องตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก โคมไฟแสงพุ่งไกลหน้ารถต้องมีความสูงจากพื้นถึงจุดศูนย์กลางดวงโคมไม่น้อยกว่า 0.6 เมตร แต่ไม่เกิน 1.35 เมตร โคมไฟทั้งสองข้างต้องอยู่ในระดับเดียวกัน ใช้ไฟแสงขาว มีกำลังไฟเท่ากัน ไม่เกินดวงละ 50 วัตต์ โดยขณะนี้นักวิชาการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) พยายามเรียกร้องให้กรมการขนส่งทางบกแก้ไขความสูงไฟหน้ารถจากพื้นราบถึงจุดศูนย์กลางดวงโคม จากเดิมกำหนดไม่เกิน 1.35 เมตร เปลี่ยนเป็นไม่เกิน 1.2 เมตร เพื่อให้เกิดความปลอดภัยบนท้องถนน โดยเฉพาะรถยนต์ประเภทกระบะหรือโฟร์วีล เมื่อบรรทุกสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก รถยนต์จะเงยสูงขึ้นไปอีก ทำให้ทิศทางของแสงไฟหน้ารถรบกวนรถยนต์คันอื่นๆ---------------- เจ็บป่วยไม่สบาย รักษาหายด้วยการแพทย์แผนไทย กระทรวงสาธารณสุขเดินหน้าพัฒนาการแพทย์แผนไทย ประกาศให้การรับรองการรักษาจากภูมิปัญญาพื้นบ้านสามารถนำไปใช้รักษาผู้ป่วยควบคู่กับการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยขณะนี้มี 8 โรคที่กระทรวงฯ ให้การรับรอง ได้แก่ 1.งูพิษกัด 2.โรคกระดูกหัก 3.โรคอัมพฤกษ์/อัมพาต 4.อาการปวดเมื่อย 5.ไหล่ติด 6.โรคเรื้อรังอาทิเบาหวาน 7.โรคสะเก็ดเงิน 8.โรคตับแข็ง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการดูแลสุขภาพแม่และเด็ก การบำรุงน้ำนมแม่หลังคลอด ซึ่งมีโรงพยาบาลที่รับรองการรักษาแล้วทั้งหมด 23 แห่ง ใน 16 จังหวัด  โดยแต่ละโรงพยาบาลก็จะให้การรักษาในแต่ละโรคแตกต่างกันไป ตามความถนัดของหมอพื้นบ้านในพื้นที่นั้นๆ ประกอบด้วย การรักษากระดูกหักที่โรงพยาบาลได้แก่ 1.รพ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี 2.รพ.ม่วงสามสิบ จ.อุบลราชธานี 3.รพ.กันทราลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ 4.รพ.สูงเม่น จ.แพร่ 5.รพ.สอง จ.แพร่ 6.รพ.พิชัย จ.อุตรดิถต์ 7.รพ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา 8. รพ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี 9.รพ.เทพา จ.สงขลา และ 10.รพ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา 11.รพ.ชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จ.ชุมพร 12.รพ.หลังสวน จ.ชุมพร  13.รพ.ละแม จ.ชุมพร การรักษาปัญหาไหล่ติดที่ รพ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี, รักษาอัมพฤกษ์/อัมพาตที่ รพ.เทิง จ.เชียงราย รักษาโรคเรื้อรังเช่นเบาหวานที่ รพ.คลองใหญ่ จ.ตราด,  และโรคปวดเมื่อยด้วยวิธีย่ำขางที่ รพ.แม่ลาว จ.เชียงราย, รักษาโรคสะเก็ดเงินและโรคตับแข็งที่ รพ.พระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี ซึ่งจัดเป็นโรงพยาบาลศูนย์แห่งเดียวที่บริการด้านนี้, การรักษางูพิษกัด สัตว์พิษกัด ที่รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ และรพ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ------------- “เลิกเก็บ 30 บาท” “เครือข่ายประชาชนคนรักหลักประกันสุขภาพ” คือเครือข่ายที่เกิดจากการรวมตัวกันของภาคประชาชนที่ทำงานด้านสุขภาพจากทั่วประเทศ ที่ขอทำหน้าที่แทนคนไทยทั้งประเทศในการเป็นกระบอกเสียงส่งต่อไปถึงภาครัฐ เรื่องความคิดเห็นที่เกี่ยวข้องกับการบริการด้านการรักษาพยาบาลของประเทศไทย โดยมุ่งหวังให้เกิดการบริการด้านการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ เท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ โดยเรื่องเร่งด่วนที่ทางเครือข่ายฯ กำลังเดินหน้าเรียกร้องกับรัฐบาล คือเรื่องการขอให้ยกเลิกการเก็บค่าบริการ 30 บาทจากผู้ป่วยในระบบหลักประกันสุขภาพ เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งผู้ที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อย และสิทธิในเรื่องการรักษาพยาบาลถือเป็นสิทธิพื้นฐานที่ภาครัฐต้องจัดสรรให้กับประชาชนคนไทยทุกคน นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอด้านบริการสาธารณสุขอื่นๆ ที่เครือข่ายฯ วอนให้ภาครัฐช่วยปรับปรุงพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นการขอให้รัฐบาลเร่งผลักดันให้มีระบบสุขภาพของประเทศ ที่มีคุณภาพเพียงมาตรฐานเดียว ซึ่ง ณ เวลานี้ประเทศไทยเรายังมีการแบ่งเรื่องการรักษาพยาบาลออกเป็นหลายระบบ ทั้งระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ระบบประกันสังคม ระบบราชการ ทำให้ระบบการรักษาพยาบาลของบ้านเรามีหลายมาตรฐาน รวมทั้งการขอให้รัฐบาลสนับสนุนและผลักดันให้รัฐสภาเร่งพิจารณา(ร่าง)พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากบริการสาธารณสุข พ.ศ. .... ที่จะช่วยชดเชยผู้ป่วยในกรณีเกิดความผิดพลาดจากการรักษาพยาบาล โดยจะไม่มีการเอาผิดจากแพทย์ ซึ่งช่วยให้ไม่ต้องนำไปสู่การฟ้องร้องอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 175 น้ำ....ไม่ธรรมดา

ความกังวลเกี่ยวกับการที่หน้าแล้งต่อหน้าฝนปีนี้ คนเมืองกรุงอาจขาดน้ำประปาได้หมดไปแล้ว เพราะผู้ว่าการประปานครหลวงออกมายืนยันว่า คนเมืองหลวงจะมีน้ำใช้แบบสบายต่อไปอีกปี (ส่วนปีหน้าค่อยว่ากันใหม่ แบบว่าคิดถึงอนาคตทีละช็อต) แล้วผู้เขียนก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นข่าวเรื่อง “เตือนแชร์ดื่มน้ำรวด 2 ลิตร แพทย์ชี้อันตราย-เสี่ยงสูง !!” ในหนังสือพิมพ์ออนไลน์ของมติชน เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 08:40:47 น.เนื้อข่าวรายงานว่า มีการแชร์ข้อมูลแนะนำวิธีดูแลสุขภาพมากมาย ซึ่งบางอย่างมีความแปลกประหลาดเช่น ล่าสุดมีการระบุว่า "ดื่มน้ำอุ่นอย่างน้อยลิตรครึ่ง หรือมากกว่านั้นจะส่งผลดีต่อร่างกาย โดยในช่วงแรกอาจจะเริ่มจากทีละนิดก่อน เช่น ดื่มน้ำอุ่น 1 ลิตรครึ่ง ภายใน 1 ชั่วโมง (ให้ดื่มรวดเดียวหมดภายใน 2-3 อึดใจ) โดยน้ำอุ่นจะส่งผลดีต่อระบบทางเดินหายใจ น้ำจะเข้าไปชำระล้างสิ่งสกปรกต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างกายออก เพื่อให้ทำงานได้ตามปกติ ช่วยเรื่องความชุ่มชื้น เนื่องจากน้ำอุ่นช่วยขยายหลอดเลือดและเพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือด ส่งผลดีต่อโรคเกาต์ ความดัน คอเลสเตอรอล" จากประเด็นดังกล่าวนักข่าวมติชนได้สัมภาษณ์อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งกล่าวประมาณว่า ผู้บริโภคไม่ควรเชื่อข้อมูลเหล่านี้ เพราะการดื่มน้ำนั้นควรขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของแต่ละคน และการดื่มน้ำนั้นไม่น่าเกี่ยวกับการรักษาโรค เพราะคุณสมบัติของน้ำต่อร่างกายคือ หล่อเลี้ยงเซลล์และปรับสมดุลของร่างกาย โดยในคนปรกติหากดื่มน้ำมากๆ ไตก็จะทำงานและขับออกมาในรูปปัสสาวะมาก แต่ผู้ที่เป็นโรคไตต้องระวังอาจทำให้เกิดอาการบวมน้ำ หรือผู้ป่วยโรคหัวใจอาจหัวใจวายได้เช่นกัน นอกจากนี้ในข่าวเดียวกันยังบอกอีกว่า อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขก็ได้กล่าวว่า การดื่มน้ำมากถึง 2 ลิตร ในครั้งเดียวคงทำให้จุกมากกว่าจะช่วยรักษา มะเร็ง วัณโรค เพราะดูเกินจริงกว่าการบอกว่า ดื่มน้ำช่วยให้ระบบขับถ่ายดีซึ่งน่าจะถูกต้องกว่า นอกเหนือจากความกลัวดังกล่าวข้างต้นแล้ว คนทั่วไปยังมีความกลัวกันอีกว่า น้ำดื่มอาจไม่สะอาดพอสำหรับร่างกาย เพราะข่าวการปนเปื้อนของระบบน้ำประปาที่มีการแตกรั่วจนน้ำใต้ดินเข้าปนเปื้อน หรือการปนเปื้อนในแหล่งน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาได้เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก จึงทำให้พบว่า หลายๆ บ้านมีเครื่องกรองน้ำ ทั้งที่เป็นเครื่องที่กรองน้ำประปาให้สะอาดขึ้น แต่บางครั้งกลับเป็นเครื่องที่กรองน้ำแล้วได้น้ำที่ปนเปื้อนมากกว่าเดิม เช่น เครื่องกรองน้ำผ่านหินภูเขาไฟจากบางประเทศ ที่กล่าวข้างต้นนั้นเป็นแค่ตัวอย่างความตระหนกในระดับธรรมดา แต่มีความตระหนกในระดับวิลิสมาหราที่บางคนต้องการ น้ำดื่มที่เป็นอะไรมากกว่าน้ำธรรมดา โดยเฉพาะคนมีสตางค์และพอมีความรู้ทางเคมีของน้ำบ้าง กลับต้องการน้ำมหัศจรรย์ระดับโมเลกุล เพื่อให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ในร่างกายตน ความมหัศจรรย์ของน้ำนั้นที่มีการมโน แบบหลากหลายละลานตาบนเน็ทนานพอควรแล้ว ดังนั้นผู้เขียนจึงขอนำท่านผู้อ่านไปหาความรู้เพิ่มเติมจากเว็บที่หลายท่านคงคุ้นเคยดี เพราะเป็นเว็บที่ให้ข้อมูลเพื่อลดความเสี่ยงการถูกหลอกให้เสียเงิน เว็บนั้นคือ www.quackwatch.com เรื่องเกี่ยวกับน้ำ...ไม่ธรรมดานั้น ใน www.quackwatch.com มีบทความซึ่งจะพาท่านทะลุผ่านมิติไปยังเว็บอื่น ๆ เพื่อให้ได้ทราบว่า “จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง ที่จะกินเงินจากท่าน” โดยบทความนั้นชื่อ Index of Water-Related Frauds and Quackery บทความนี้สั้นมากๆ เพราะมีแค่ข้อมูลที่จะทำให้ท่านสามารถก้าวต่อไปถึงเว็บไซต์อื่น ที่นำเอาน้ำที่อ้างว่าไม่ธรรมดามาหลอกลวงเอาสตางค์จากผู้บริโภค เว็บที่ผู้เขียนสนใจชื่อ www.chem1.com/CQ/clusqk.html ของศาสตราจารย์ด้านเคมีท่านหนึ่งที่เกษียณอายุแล้วแต่มีความรู้สึกว่า การหลอกหากินเกี่ยวกับน้ำนั้นมันน่าสมเพศ จนต้องออกมาแถลงความจริงที่ประชาชนควรทราบในเว็บดังกล่าวนั้นกล่าวถึงคำ ๆ หนึ่งคือ Cluster water ซึ่งคำว่า cluster นั้น Cambridge Advanced Learner’s Dictionary ให้ความหมายว่า a group of similar things that are close together, sometimes surrounding something ซึ่งถ้าพูดเป็นไทยแบบเข้าใจง่าย ๆ น่าจะหมายถึง การที่โมเลกุลของน้ำมารวมอยู่เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างซับซ้อน ในขณะที่อาจารย์สอนเคมีพื้นฐานได้สอนว่า โมเลกุลของน้ำในสภาวะปรกติที่เป็นของเหลวนั้นจะมีพันธะที่เรียกว่า พันธะไฮโดรเจน (hydrogen bonding) ต่อโมเลกุลของน้ำเข้าเป็นสาย ซึ่งมีความหมายต่างจากน้ำที่เรียกว่า cluster water ซึ่งเป็นคำบัญญัติโดย Doctor Masuro Emoto หนึ่งในสุดยอดของผู้คิดค้นวิจัยเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์เทียม (Pseudoscience) ที่ Wikipedia บันทึกประวัติความเป็นมาและผลงานเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างให้ผู้สนใจเข้าไปอ่าน การโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับ cluster water นั้นน่าทึ่งอึ้งเสียวเพราะบอกว่า น้ำนั้นเสมือนมีจิตวิญญาณ น้ำที่มาจากแหล่งต่างกันสามารถมีผลึกรูปแบบต่างกันเมื่อดูจากกล้องจุลทรรศน์ โดยอาจเป็นผลึกเหมือนหิมะหรือผลึกรูปแบบอื่น ๆ และเมื่อผ่านกรรมวิธีต่าง ๆ เช่น การให้น้ำได้ฟังเพลง การบรรยายที่ดี (น่าจะหมายถึงการฟังเทศน์เพื่อนิพพานที่เป็นอัตตา) หรือแม้แต่ (น้ำได้) เห็นภาพที่กำหนดไว้ ซึ่งพูดแบบตรงไปตรงมาคือ ปรมาจารย์ชาวญี่ปุ่นผู้นี้คิดว่า น้ำนั้นมีจิตวิญญาณรับรู้สิ่งที่ดีเลวจากสิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้นถ้าเราได้ดื่มน้ำที่มาจากสิ่งแวดล้อมที่ดี ร่างกายก็จะดีด้วย และน้ำที่ว่านี้สามารถบำบัดโรคเรื้อรังต่างๆ ได้ ซึ่งถ้าเป็นจริงโรงเรียนแพทย์ต่างๆ ก็ควรถูกปิดเพื่อความประหยัด แล้วนำงบประมาณไปใช้เรื่องอื่นที่สำคัญของประเทศ (ความคิดเรื่องน้ำประหลาดนี้อาจเข้ามาในประเทศไทยแล้ว ใครใคร่เชื่อก็เชื่อเถอะ เพราะมันคงไม่ต่างไปจากการกราบไหว้เห็ดรูปพญานาคเพื่อขอหวย) ในเรื่องของ cluster water นั้น มีเรื่องที่เหลือเชื่อเกิดขึ้นคือ มีชายคนหนึ่งได้ทำการจดลิขสิทธิ์เครื่องผลิต cluster water ซึ่งอ้างว่าน้ำที่ได้จากเครื่องมีลักษณะการเรียงโมเลกุลเป็นวงเกาะติดสารอินทรีย์ที่ทำหน้าที่เป็นแกนกลางได้แก่ โปรตีน สายกรดอะมิโน (น่าจะหมายถึงเป็บไตด์) สารสกัดจากว่านหางจระเข้และอื่น ๆ โดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ที่ทำให้ดูน่าเชื่อถือว่า เป็นน้ำชนิดที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ปรับปรุงอวัยวะภายในต่าง ๆ ท่านผู้สนใจอ่านรายละเอียดได้ในเรื่อง How is Clustered Water™ made? สามารถอ่านได้จากเว็บ www.chem1.com/CQ/clusterpats.html โดยขอให้ยึดกาลามสูตร 10 ของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งด้วยนอกจากนี้ยังมีการเสนอน้ำที่ดีอย่างสมบูรณ์แบบ (Perfect water) แก่ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้ายี่ห้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเครื่องปรับสภาพน้ำของบริษัทหนึ่งในสหรัฐอเมริกา บริษัทนี้อ้างว่าสามารถเปลี่ยนโครงสร้างของน้ำเพื่อทำให้พลังงานของน้ำเปลี่ยนไป จนสามารถขจัดความทรงจำที่เป็นพิษ (toxic memory) ได้ อีกทั้งน้ำที่ถูกเปลี่ยนโครงสร้างไปแล้วนั้นสามารถทำให้เซลล์ได้น้ำนิ่ม (soft water) ซึ่งผู้เขียนก็นึกไม่ออกว่าน้ำนี้เป็นอย่างไรเว็บดังกล่าวข้างต้นให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรรมวิธีผลิตน้ำชนิดพิเศษซึ่งดูแปลกดี โดยเริ่มต้นจากการเอาน้ำไปต้มจนได้ไอน้ำ แล้วนำไอน้ำไปผ่านสนามแม่เหล็กจนไอนั้นกลั่นตัวเป็นหยดน้ำที่อุณหภูมิมากกว่า 0 องศาเซลเซียสภายใต้แสงอินฟราเรดไปจนถึงแสงอัลตร้าไวโอเล็ท ก็จะได้น้ำวิเศษสมปรารถนาคำโฆษณาสินค้าที่เป็นเครื่องมือปรับโครงสร้างน้ำในลักษณะต่างๆ นั้นมักเหมือนกันคือ น้ำที่ผ่านเครื่องมือจะทำให้สภาพร่างกายกลับคืนสู่สภาพที่ดีเหมือนยังหนุ่มสาวผลเสียเนื่องจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (เรื่องนี้น่าสนใจเพราะทุกท่านนั้นต่างก็อยู่ในสนามพลังอะไรต่อมิอะไร ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ มือถือ ตลอดจนถึงสนามแม่เหล็กจากสายไฟฟ้าแรงสูงที่ผ่านกลางหมู่บ้าน ดังนั้นอาจมีใครสักคนที่จะนำสิ่งเหล่านี้ไปเป็นข้ออ้างในการชวนให้ท่านผู้อ่านซื้อสินค้าประเภทนี้) เพิ่มระบบภูมิต้านทาน ทำให้ผิวกลับสู่สภาพเต่งตึง (โดยอุปกรณ์มีลักษณะเป็นฝักบัวอาบน้ำ) เป็นต้น ท่านที่สนใจคิดว่าทนอ่านข้อความลักษณะนี้ได้สามารถไปที่ www.thewellnessenterprise.com ซึ่งคงต้องตัดสินเองว่าเชื่อได้หรือไม่ ที่ซ้ำร้ายคือ ยังมีน้ำอีกหลายชนิดเช่น photonic structured water, ultra-hydrating super liquid, MRET water, hexagonal water, Energized Vibrational Healing Water และอื่น ๆ อีกสุดจะพรรณนา กำลังดาหน้าเข้ามาหาท่านในอนาคต  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 170 หน้าร้อนแล้ว ดื่มอะไรดี

ผู้ที่ชอบดื่มน้ำอัดลมสีดำอาจไม่สบายใจนัก เพราะมีนักข่าวชื่อ Rachef Arthur รายงานใน www.beveragedaily.com เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2015 ว่า อาจารย์ของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอบกินในสหรัฐอเมริกาชื่อ Keeve Nachman ออกมาให้ข่าวถึงความเสี่ยงต่อการได้รับสารก่อมะเร็งของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นจากการดื่มน้ำอัดลมสีดำ พร้อมตั้งความหวังว่าหน่วยงานรัฐควรลดความเสี่ยงโดยการพิจารณากฎหมายลดการที่ผู้บริโภคได้รับสาร 4-methylimidazole ในน้ำอัดลมที่ใช้สีคาราเมลชนิดที่ 3 และชนิดที่ 4 จากข่าวดังกล่าวทำให้บริษัทขายน้ำดำยี่ห้อหนึ่งรีบออกมาตอบโต้ว่า ข้อมูลดังกล่าวนั้นล้าสมัยแล้ว เป็นเรื่องเก่าที่มีการพูดถึงมานานและก็จบไปแล้ว น้ำอัดลมสีดำนั้นไม่ปาราชิกแน่ ทั้งนี้เพราะสินค้าของบริษัทนั้นได้มาตรฐานระดับโลกตลอดเวลา ในรายงานวิจัยเรื่อง Caramel Color in Soft Drinks and Exposure to 4-Methylimidazole: A Quantitative Risk Assessment ของ Tyler J. S. Smith และคณะ จากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอบกิน (มี Keeve Nachman ซึ่งเป็นผู้ให้ข่าวแก่สาธารณะข้างต้นร่วมเป็นผู้นิพนธ์ด้วย) ตีพิมพ์ในวารสารออนไลน์ชื่อ PLOS One  เมื่อวันที่ February 18, 2015  มีข้อมูลที่ได้จากการทำวิจัยว่า ผู้บริโภคในรัฐแคลิฟอร์เนียได้รับสารพิษ 4-methylimidazole นี้จากเครื่องดื่มน้ำดำในปริมาณซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเพราะพบว่า ประชาชนในรัฐดังกล่าวได้รับสารพิษนี้เกิน 29 ไมโครกรัมต่อวัน ซึ่งตามข้อบัญญัติของกฎหมายชื่อ California’s Proposition 65 law นั้น กำหนดว่าเครื่องดื่มที่ทำให้ประชาชนได้รับ 4-methylimidazole เกินกว่า 29 ไมโครกรัมต่อวัน (ซึ่งทำให้ความเสี่ยงของผู้บริโภคต่อการเป็นมะเร็งเกินกว่า 1 คนต่อ 100,000 คน) นั้นต้องติดฉลากเพื่อเตือนอันตราย เว็บของบริษัทขายสีคาราเมลเว็บหนึ่งกล่าวว่า สีคาราเมลนั้นเป็นสีที่ถูกใช้มากที่สุดในโลก เพราะเครื่องดื่มที่มีการดื่มมากที่สุดในโลกนั้นมีสีดำ จึงต้องใช้สีคาลาเมลแต่งสีให้น้ำนั้นดำตามมาตรฐานของสินค้านั้นๆ ตามข้อบัญญัติเกี่ยวกับสารเจือปนในอาหารของสหรัฐอเมริกานั้น สีคาราเมลเป็นของเหลวหรือของแข็งสีน้ำตาลเข้มซึ่งมักได้จากการให้ความร้อน(ที่ควบคุมอุณหภูมิได้)แก่น้ำเชื่อมทำจากน้ำตาลเด็กโตรส (อีกชื่อของกลูโคส)ที่ได้จากข้าวโพด แล้วได้คาราเมลที่อยู่ตัวและไม่เหนียวเกินไป ที่น่าสนใจคือ ในการผลิตนั้นยังมีการใช้ กรด ด่างหรือเกลือบางชนิดช่วยเร่งให้สารตั้งต้นเปลี่ยนเป็นสีคาราเมล สีคาราเมลถูกจัดให้เป็นสารเจือปนในอาหารที่ปลอดภัยมากในระดับ GRAS (generally recognized as safe) ทั้งนี้เพราะเป็นสารเจือปน 1 ใน 700 ชนิดที่ถูกจัดว่ามีความเป็นธรรมชาติ (เหมือนกับ คำแสด(annatto) เบต้าแคโรทีน และน้ำจากหัวบีท เป็นต้น) ที่ใช้กันมานานก่อนที่รัฐบัญญัติ U.S. Food Drug and Cosmetic Act มีผลในวันที่ 1 มกราคม 1958 ซึ่งหมายความว่า สารเหล่านี้ไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบความเป็นพิษด้วยสัตว์ทดลอง เนื่องจากคนที่กินมันตั้งแต่ก่อนปี 1958 นั้นได้เป็นเสมือนเป็นสัตว์ทดลองไปเรียบร้อยแล้ว สีคาราเมลที่มีการขายเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารนั้นแบ่งเป็น 4 ชนิดคือ ชนิดที่ 1 (มีรหัสของอียูว่า E150a บนฉลากอาหาร) ได้จากการให้ความร้อนแก่คาร์โบไฮเดรตโดยอาจมีการใช้กรดหรือด่างที่มีการยอมให้ใช้ได้ในอาหารเป็นตัวช่วย แต่ไม่มีการใช้เกลือแอมโมเนียหรือเกลือซัลไฟต์ในการผลิต สีที่ได้นั้นมีประจุไฟฟ้าเป็นกลางหรือลบนิดหน่อย สีคาราเมลชนิดที่ 2 (มีรหัสเขียน E150b บนฉลากอาหาร) หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า caustic sulfite caramel ดูตามชื่อแล้วท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่า ได้จากการให้ความร้อนแก่คาร์โบไฮเดรตโดยมีการเติมเกลือซัลไฟต์ลงไป สีที่ได้นั้นมีประจุไฟฟ้าเป็นลบ สีคาราเมลชนิดที่ 3 (มีรหัสเขียน E150c หรือ ammonia caramel colors) ได้จากการให้ความร้อนแก่คาร์โบไฮเดรตโดยผสมหรือไม่ผสมกรดหรือด่างลงไปแต่ที่ผสมแน่ๆ คือ เกลือแอมโมเนีย ได้สีคาราเมลที่มีประจุไฟฟ้าเป็นบวก สีคาราเมลชนิดที่ 4 (มีรหัสเขียนE150d หรือ sulfite ammonia caramel colors) จากชื่อของสีท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่า ในการเตรียมนั้นมีการใช้ทั้งเกลือแอมโมเนียและเกลือซัลไฟต์ ทำให้ได้สีที่มีประจุไฟฟ้าเป็นลบ สีคาราเมลชนิดนี้แหละที่มีการผลิตให้ผู้บริโภคกินมากที่สุด เพราะเป็นสีที่มีความเสถียรที่สุดและหนืดน้อยที่สุด สิ่งที่เป็นปัญหาของสีคาราเมล ซึ่งรู้กันมานานพอควรแล้วคือ ในการผลิตสีชนิดที่ 3 และ 4 ซึ่งมีการใช้เกลือแอมโมเนียนั้น ก่อให้เกิดสารปนเปื้อนชนิดหนึ่งคือ 4-methylimidazole หน่วยงาน National Toxicology Program (NTP) ของสหรัฐอเมริกาได้จัดให้สาร 4-methylimidazole เป็น "possibly carcinogenic to humans" ซึ่งหมายความว่า มีข้อมูลการก่อมะเร็งแล้วในสัตว์ทดลอง แต่ยังขาดข้อมูลระบาดวิทยาในคน โดยผลการศึกษาในการประเมินความเป็นพิษของ 4-methylimidazole ในหนู rat ซึ่งใช้เวลา 2 ปีนั้น ยังสรุปไม่ได้ถึงอันตรายในการก่อมะเร็ง แต่ข้อมูลจากศึกษาในหนู mouse ซึ่งใช้เวลา 2 ปีเช่นกันนั้นพบว่า สารนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดอย่างชัดเจน อย่างไรก็ดีมีนักวิทยาศาสตร์บางคนได้ตั้งประเด็นว่า ผลการศึกษานั้นไม่น่าเชื่อถือเพราะการประเมินความเสี่ยงของสารเจือปนในอาหารนั้น มักใช้ปริมาณสารมากเกินกว่าที่มนุษย์จะได้รับจริงเช่น เป็นพันเท่าขึ้นไปของปริมาณที่จะมีการใช้ในอาหาร การโต้แย้งในลักษณะนี้กลายเป็นความเคยชินแล้วสำหรับนักพิษวิทยา เพราะผู้โต้แย้ง (ซึ่งมักมีผลประโยชน์ทับซ้อน) มักทำเป็นลืมไปว่า จำนวนประชากรในโลกตอนนี้มีกว่า 7000 ล้านคน ในขณะที่การศึกษาความเป็นพิษของสารเคมีทั่วไปนั้นใช้หนูทดลอง(ซึ่งมีสุขภาพดีและกินดีอยู่ดี)เพียงพันกว่าตัวถึงสองพันตัว  เพื่อรับบทบาทเป็นตัวแทนของมนุษย์กลุ่มที่อ่อนแอที่สุดซึ่งไวต่อการเป็นมะเร็ง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ปริมาณสารในปริมาณที่สูงมากเพื่อให้ได้เห็นศักยภาพความเป็นพิษของสาร ซึ่งถ้าผลการทดลองไม่พบความเป็นพิษก็จะทำให้สบายใจได้ว่า ประชากรทั้งแข็งแรงและอ่อนแอไม่ต้องเสี่ยงมากนักต่อการเป็นมะเร็งเนื่องจากกินสารที่ถูกทดสอบ สำหรับผลการศึกษาที่ Keeve Nachman แถลงข่าวนั้นเป็นผลจากการวิเคราะห์ความเข้มข้นของ 4-methylimidazole ในน้ำอัดลม และนำไปคำนวณความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในผู้บริโภค ซึ่งพบว่าความเสี่ยงสูงกว่าที่ยอมรับได้คือ คำนวณได้ว่า ในผู้บริโภคล้านคนมีมากกว่าหนึ่งคนที่จะเป็นมะเร็งเนื่องจากการบริโภคสินค้าดังกล่าว ท่านผู้อ่านสามารถตามไปดูบทความวิจัยชื่อดังกล่าวได้โดยอาศัยอากู๋เกิ้ลช่วยพาไป ข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตกล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้ออกมาสรุปผลจากงานวิจัยของ Tyler J. S. Smith และคณะว่า ความเสี่ยงที่คำนวณได้ว่าการดื่มน้ำอัดลมที่ถูกศึกษาแล้วจะเป็นมะเร็งนั้น ผู้บริโภคต้องดื่มน้ำอัดลมถึง 1,000 กระป๋องต่อวัน ถึงจะได้ 4-methylimidazole ถึงระดับที่ก่อปัญหาได้ (ซึ่งคงไม่มีคนบ้าคนไหนดื่มได้) ซึ่งการสรุปนี้ว่าไปก็ถูกในแง่การเอาใจผู้ประกอบการแต่ผิดในแง่ที่ อย.มะกันอาจลืมคิดไปว่า แม้ว่าพลโลกส่วนใหญ่จะมีร่างกายแข็งแรงกำจัดสารพิษทิ้งได้ไม่ยาก แต่ก็มีส่วนน้อยที่อาจมีระบบกำจัดสารพิษในร่างกายไม่ดีอยู่บ้าง ที่น่าสนใจคือ ในปี 2011 รัฐบัญญัติ California’s Safe Drinking Water and Toxic Enforcement Act (Proposition 65) ได้เพิ่มสาร 4-methylimidazole เป็นสารก่อมะเร็งในบัญชีสารก่อมะเร็งเรียบร้อยโรงเรียนมะกันไปแล้ว ซึ่งทำให้กลุ่มโรงงานผู้ผลิตน้ำอัดลมน้ำดำจำใจต้องประกาศว่า จะลดความเข้มข้นของ 4-methylimidazole ในผลิตภัณฑ์ของตน (ซึ่งน่าจะหมายความว่าใช้สีน้อยลง) ข้อมูลที่นำเสนอนี้ ไม่ได้หมายความว่าต้องการก่อความกังวลให้แก่ผู้นิยมบริโภคน้ำอัดลมสีดำของบ้านเรา ทั้งนี้เพราะผู้บริโภคคงไม่มีโอกาสทราบว่า สีคาราเมลที่ใช้ในเมืองไทยนั้นเป็นสีคาราเมลชนิดใด เมื่อไม่รู้และไม่มีทางรู้ก็อย่ากังวลไปเลย หาวิธีลดความเสี่ยงเอาเอง แบบว่าเมื่อผู้เขียนกระหายต้องการน้ำตาลหลังออกแรงก็ดื่มเฉพาะน้ำอัดลมชนิดน้ำใสเท่านั้น จึงทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายจากกลิ่นและรสสังเคราะห์เท่านั้น (ความรู้ด้านพิษวิทยาสอนให้รู้ว่า เมื่อมีอะไรเข้าปากเรา ความเสี่ยงย่อมเกิดขึ้นทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเราจะยอมรับหรือไม่เท่านั้น)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 182 อุปกรณ์แต่งหน้า เก็บรักษาอย่างไรดี

สาวๆ ที่ชื่นชอบการแต่งหน้าส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการใช้อุปกรณ์แต่งหน้า ไม่ว่าจะเป็นแปรง ฟองน้ำ หรือที่ดัดขนตา เพราะอุปกรณ์เหล่านี้อาจถือได้ว่าเป็นอาวุธสำคัญ ที่สามารถช่วยให้เราแต่งหน้าได้สะดวกรวดเร็วขึ้น ทั้งยังช่วยสร้างความงามที่เราพอใจให้กับใบหน้าเราได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามอุปกรณ์แต่งหน้าก็เหมือนเครื่องมืออื่นๆ ที่เราต้องดูแลรักษาและทำความสะอาด ซึ่งหากเราละเลยอาจทำให้ผลลัพธ์ของการใช้งานไม่เป็นไปตามที่เราหวังไว้ เช่น เป็นสิว หรือมีอาการแพ้ผื่นขึ้นที่ผิวหน้า โดยมีสาเหตุมาจากเชื้อโรคหรือเชื้อแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในอุปกรณ์เหล่านั้น แล้วอย่างนี้เราควรทำอย่างไรเพื่อให้อุปกรณ์แต่งหน้ามีความปลอดภัยต่อใบหน้าของเรามาเริ่มตรวจสอบอุปกรณ์แต่งหน้าที่เรามีกันก่อน อุปกรณ์แต่งหน้าสามารถแบ่งได้กว้างๆ ดังนี้1. แปรงแต่งหน้าแปรงแต่งหน้าสามารถช่วยให้เราควบคุมปริมาณเครื่องสำอาง หรือแต่งแต้มให้ตรงตำแหน่งที่เราต้องการ รวมทั้งยังช่วยผสมหรือเบลนด์ (Blend) เครื่องสำอางที่มีเนื้อครีมให้เรียบเนียนไปกับใบหน้าของเรา ซึ่งเราสามารถแบ่งประเภทของแปรงแต่งหน้าได้ตามการใช้งานได้เช่น แปรงลงรองพื้น จะมีลักษณะแบนและโค้งมน ใช้เพื่อเกลี่ยรองพื้นให้เรียบเนียนยิ่งขึ้น หรือแปรงทาคิ้ว ที่มักมีลักษณะขนแข็งและสั้น ตัดเป็นมุมเอียง เพื่อให้เราวาดทรงคิ้วได้สะดวก 2. ฟองน้ำแต่งหน้าฟองน้ำแต่งหน้ามีทั้งแบบธรรมดา(Puff) ที่อยู่ในตลับแป้งหรือในคุชั่น(Cushion) และฟองน้ำรูปไข่ ซึ่งสามารถใช้เพื่อซับแป้งให้ติดหน้า หรือเบลนด์เครื่องสำอางเนื้อครีมให้เข้ากับผิวหน้าเรา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าถนัดการใช้แปรงหรือฟองน้ำมากกว่ากัน 3. ที่ดัดขนตา ที่ดัดขนตาสามารถช่วยให้เราขนตายาวขึ้นได้ แต่หากเราใช้แล้วพบว่าขนตาไม่ยาวงอนยาวขึ้นอย่างที่ต้องการ อาจมีสาเหตุจากการเลือกที่ดัดขนตาที่ไม่เหมาะสมกับรูปตาของเรา หรือหากที่ดัดขนตาพังง่ายผิดปกติ อาจมีสาเหตุจากวัสดุที่ใช้ไม่มีความแข็งแรงทนทาน ซึ่งเราควรเลือกที่ดัดขนตาที่ทำจากโลหะมากกว่าพลาสติกหรือยาง และควรเลือกแบบที่มีแผ่นยางรองบนที่หนีบการวิธีเก็บรักษาอุปกรณ์แต่งหน้าให้เหมาะสมวิธีการเก็บรักษาอุปกรณ์เครื่องสำอางสามารถทำได้ง่ายๆ ตามขั้นตอนดังนี้1. ล้างให้สะอาดไม่ว่าจะเป็นแปรงหรือฟองน้ำแต่งหน้า เราควรทำความสะอาดอย่างน้อยเดือนละครั้ง หรือในกรณีที่เห็นว่าขนแปรงไม่ค่อยนุ่มหรือเริ่มติดกันเป็นก้อนก็สามารถทำความสะอาดได้ทันที โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าหรือสบู่อ่อนๆ เช่น สบู่เด็ก ซึ่งเราควรถูแปรงหรือฟองน้ำกับสบู่ไปเรื่อยๆ จนกว่าคราบเครื่องสำอางจะหลุดออกจนหมด จากนั้นจึงล้างให้สะอาดอีกครั้งด้วยน้ำเปล่า ทั้งนี้เราควรคว่ำขนแปรงลง เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าไปทำลายกาวที่ยึดเกาะแปรงกับด้ามให้หลุดออกจากกัน ส่วนที่ดัดขนตาควรทำความสะอาดก่อนใช้อยู่เสมอ เพราะอาจมีฝุ่นละอองหรือสิ่งสกปรกจากคราบมาสคาร่าติดอยู่ ซึ่งมีวิธีง่ายๆ คือ นำสำลีชุบน้ำยาเช็ดรอบดวงตาหรืออายรีมูฟเวอร์ (Eye remover) มาเช็ดบริเวณส่วนที่เลอะหรือบนแผ่นยางรองหนีบ จากนั้นเช็ดออกให้สะอาดด้วยกระดาษทิชชู่ 2. ตากให้แห้งหลังล้างทำความสะอาดเรียบร้อย เราควรเช็ดและตากอุปกรณ์แต่งหน้าให้แห้งสนิทก่อนเก็บรักษา หรือนำไปใช้ในครั้งต่อไป เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราหรือการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย 3. เก็บรักษาในที่เหมาะสมอุปกรณ์แต่งหน้าต่างๆ ควรอยู่ในที่อากาศถ่ายเท หรือในกล่องที่สามารถระบายอากาศได้ เพราะหากเราเก็บไว้ในที่อับชื้น เช่น ในห้องน้ำหรือในถุงซิบล็อกอาจทำให้ขึ้นราได้ หรือในสถานที่มีขี้ฝุ่นเยอะก็อาจทำให้เชื้อโรคและแบคทีเรียเกิดการสะสมรวดเร็วขึ้น ทั้งนี้หากพบว่าอุปกรณ์เหล่านั้นเสื่อมสภาพก็ควรเปลี่ยนใหม่ เช่น ขนแปรงแต่งหน้าหลุดหักงอ หรือยางรองที่ดัดขนตาฉีกขาด  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 168 เปลี่ยนความเชื่อเกี่ยวกับการล้างหน้า

ใบหน้าคนเรานั้นอาจไม่ได้มีความสวยงามตามคตินิยมกันทุกคน แต่การที่มีใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลา หรือหน้าใสๆ ก็เป็นที่ชื่นชมของคนทั่วไปได้ ดังนั้นการทำความสะอาดผิวหน้าเพื่อให้มีใบหน้าสดใส จึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่หลายคนก็มุ่งมั่นกับการล้างทำความสะอาดหน้ามากเกินไป จนเกิดปัญหาตามมา ฉลาดซื้อขอทบทวนเรื่องหลักการพื้นฐานในการล้างหน้าอีกสักครั้ง รวมทั้งปรับเรื่องความเชื่อที่เพี้ยนๆ ของคนทั่วไปเกี่ยวกับการล้างหน้า   ความเชื่อ  ครีมหรือโฟมล้างหน้า ควรเปลี่ยนบ่อยๆ เพราะใช้ไปนานๆ จะแพ้ เรื่องจริง   เราสามารถใช้ยี่ห้อเดียวกันต่อเนื่องไปได้ ถ้าใช้แล้วถูกใจ หากไม่แพ้แต่แรก ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนยี่ห้อ ซึ่งจะเสี่ยงมากกว่า ความเชื่อ  หน้ามันจึงต้องล้างหน้าบ่อยๆ ความจริง ยิ่งล้างบ่อย หน้าจะยิ่งมันเพราะเมื่อน้ำมันที่ผิวถูกล้างออกไป ต่อมไขมันจะยิ่งผลิตน้ำมันออกมาชดเชย ยิ่งทำให้หน้ามันมากขึ้น ความเชื่อ ล้างหน้าจนผิวตึง คือสะอาดหมดจด ความจริง ผิวตึงมากๆ หลังล้างหน้า เกิดจากค่าพีเอชที่สูงในสบู่หรือโฟมล้างหน้า อาจมีผลทำให้ผิวระคายเคือง ผิวลอกเป็นขุย ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่าพีเอชเหมาะสม ไม่ทำให้ผิวหน้าแห้งตึงเกินไปหลังล้างหน้า   ความเชื่อ  น้ำเกลือล้างแผล ใช้ทำความสะอาดผิวหน้า ช่วยรักษาสิว ความจริง น้ำเกลือไม่ได้มีส่วนช่วยฆ่าเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว มันได้ผลเท่ากับการล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดธรรมดาๆ ความเชื่อ  ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้รูขุมขนเล็กลงได้ถาวร ความจริง   การที่รูขุมขนเล็กลงหลังล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเป็นผลเพียงชั่วคราว สักพักรูขุมขนก็จะกลับมาเท่าเดิม   การล้างหน้าให้ถูกวิธี เพื่อใบหน้าสะอาดใส 1.ล้างหน้าเพียงวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว คือเวลาตื่นนอนตอนเช้า 1 ครั้ง และอาบน้ำตอนค่ำก่อนนอนอีกครั้ง เราไม่ควรล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้ง หรือคนที่ผิวมันอยู่แล้ว ผิวจะยิ่งมันมากขึ้น แต่ก็อาจเพิ่มเติมในกรณีที่ต้องทำกิจกรรมที่ทำให้ผิวหน้าสกปรก เช่น มีเหงื่อออกมากหลังเล่นกีฬา ทำงานบ้าน ทำสวน เป็นต้น 2.ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีค่าพีเอชเหมาะสม เช่น สบู่เด็ก คือล้างแล้วหน้าไม่ตึงเกินไป(เกิดจากสบู่ที่มีค่าพีเอชสูง) ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำอุ่น ผู้ที่ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นติดต่อกันนานๆ มีโอกาสมากที่ผิวหน้าจะหยาบกร้านได้  และไม่ควรขัดถูใบหน้าด้วยความรุนแรง 3.หลังล้างหน้า ควรซับผิวหน้าผ้าขนหนูอย่างเบามือ ไม่จำเป็นต้องขัดถูแรงๆ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 163 สิ่งที่ควรระวังจากการนวดหน้า

ปัจจุบันการเข้าสปาหรือร้านเสริมสวยเพื่อนวดหน้า นวดตัว เป็นเรื่องที่ใครหลายคนนิยมชมชอบ เพราะการนวดนั้นมีประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องการทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ช่วยให้ร่างกายคลายจากอาการล้า อาการเครียด ที่เกิดจากกล้ามเนื้อตึงได้ดี จนบางคนอาจมีอาการ “ติด การนวดได้ การนวดนั้นหากแบ่งประเภทก็คงมีอยู่สองลักษณะ คือ การนวดเพื่อรักษาหรือบรรเทาอาการ กับการนวดเพื่อความงาม กล่าวเฉพาะนวดหน้า ส่วนใหญ่ที่ให้บริการกันอยู่ในปัจจุบันจะเน้นเรื่องความงามเป็นหลัก มีทั้งโฆษณาว่าทำให้หน้าเด็ก หน้าเรียว หน้าใส ซึ่งมีส่วนจริงถ้าสถานบริการนั้นมีการนวดที่ถูกต้อง และไม่ใช้สารเคมีที่อาจเป็นอันตรายกับผิวหน้าอันบอบบางของเรา ประโยชน์ของการนวดหน้าคือ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดให้มาเลี้ยงบริเวณใบหน้าได้ดีขึ้น จึงทำให้ใบหน้าดูสดใส อ่อนวัย ลดริ้วรอย และลดการหมองคล้ำของใบหน้าได้ดี นอกจากนี้ยังเป็นการคลายเครียดบริเวณผิวหน้าได้ด้วย ซึ่งในขั้นตอนการนวดหน้ามักมีการนำเครื่องสำอางหรือสมุนไพรมาใช้ร่วมด้วย กรณีต้องการให้ผิวหน้านุ่มมักใช้ครีมน้ำนมหรือโลชั่น เพราะน้ำที่อยู่ในส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์จะซึมเข้าสู่เซลล์ของผิวพรรณ ทำให้เซลล์เต่งตัวขึ้นหรือพองขึ้นชั่วระยะเวลาหนึ่งถึงสองวัน การพองตัวของเซลล์ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าดูอิ่มเอิบ แต่ไม่ถาวร เมื่อส่วนน้ำออกจากเซลล์ก็จะกลับสู่สภาพผิวเดิม กรณีต้องการให้หน้าขาว มักใช้สารประเภท กรดผลไม้ Nicotinamide, Abutin, Licorice, Kojic ซึ่งสถานบริการที่ดีจะไม่ใช้สารเคมีที่แรงเกินไป เพราะผิวแต่ละคนมีความไวไม่เหมือนกัน แต่หากโชคร้ายเจอสถานบริการไม่รับผิดชอบกะเอาแค่หน้างานดี มักใช้สารเคมีชนิดแรง ก่อให้เกิดผลเสียต่อใบหน้าได้   มีหลายคนทีเดียว ที่พบอาการภายหลังจากการนวดหน้า ที่ทำให้รู้สึกว่า “ไม่น่าเลย” เริ่มตั้งแต่เบาะๆ คือ 1.เป็นสิว อาจเกิดเนื่องจากแบคทีเรียในสมุนไพรที่เตรียมไม่ดี หรือจากการอุดตันของครีมที่ใช้ 2.เกิดฝ้าบนใบหน้าเนื่องจากผิวบางลงจากการใช้สารจำพวกกรดอ่อน ทำให้ผิวไวต่อแดดและเป็นฝ้าได้ง่าย 3.หน้าด่าง การใช้กรดอ่อน กรดผลไม้ หรือสารเคมีที่เข้มข้นร่วมกับการนวดหน้า เพื่อให้ขาวใส บางทีอาจกลายเป็นผลร้าย ก่อให้เกิดอาการหน้าด่างแทน  และหากดูแลไม่ดีอาจกลายเป็นรอยด่างถาวร 4.แพ้สารเคมีที่นำมาใช้ร่วมกับการนวดหน้า พบบ่อยๆ คือ อาการคัน หน้าบวม มีผื่นแดง หรือตาบวม กรณีคัน ไม่ควรเกาจนเกิดเป็นแผล จะยิ่งก่อความเสียหายควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาอาการ อันตรายอีกรูปแบบหนึ่งจากการนวดหน้า คือ วิธีการนวด การนวดหน้าที่ใช้แรงมากเกินไปจะไปกระตุ้นให้เกิดฝ้าบนใบหน้าได้ โดยเฉพาะผิวหน้าบริเวณรอบดวงตาและโหนกแก้ม รวมทั้งอาจทำให้เกิดอาการช้ำบนผิวหน้าได้ รักจะนวดหน้าต้องระวังสิ่งที่กล่าวมาด้วยนะคะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 159 พอกหน้าด้วยสมุนไพรให้ถูกวิธี

สาวชาวเอเชียนั้นไม่ว่าจะสีผิวขาวหรือผิวคล้ำต่างก็ให้ความสำคัญกับผิวที่เรียบเนียน และใสสว่าง เครื่องสำอางที่เกี่ยวกับการทำความสะอาดและการบำรุงเพื่อให้ผิวดูสดชื่น ไม่หมองคล้ำจึงเป็นสินค้าขายดีมาโดยตลอด ความนิยมให้การดูแลผิวโดยเฉพาะส่วนใบหน้าโดยการมาร์คหรือพอกหน้า ก็เป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญเพราะเชื่อว่า การให้อาหารแก่ผิวโดยตรงจะช่วยให้ผิวดูสดชื่นขึ้นแบบทันตา อันที่จริงจะเรียกว่า “ให้อาหาร” ก็คงไม่จริงนัก เพราะผิวคนเรามีความหนาของชั้นผิวที่ไม่ยอมให้อะไรผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ การพอกหน้าจึงเป็นได้เพียงแค่ ”การกระทำ” กับผิวชั้นนอกสุด คือเหมือนการเร่งให้ชั้นผิวบนสุดนี้ผลัดผิวได้เร็วขึ้น ผิวเก่าที่หมองคล้ำเมื่อหลุดออกไป ผิวใหม่ที่ปรากฏขึ้นย่อมดูสดใสกว่าแน่นอน ทันตาเห็น ในประวัติศาสตร์ยุคโบราณสตรีชั้นสูงก็นิยมเรื่องการบำรุงผิว พอกผิวเช่นกัน เพราะความสวยย่อมประกันเรื่องสถานะในชนชั้นของตนได้ สมุนไพรและอาหารหลายชนิดจึงถูกคัดสรรมาเพื่อเสริมความงามให้กับสตรีเหล่านี้ นม ไข่มุก ทองคำ น้ำผึ้ง ปรากฏในตำราความงามในหลายเชื้อชาติ ทั้งในอียิปต์ จีน อินเดีย สำหรับสตรีสาวในแถบสุวรรณภูมิ ต้องยกให้สมุนไพรพื้นบ้าน ดูได้จากวรรณคดียุคเก่าเวลานางในวรรณคดีทั้งหลายจะเข้าพิธีสำคัญอย่างการแต่งงาน สมุนไพรอย่าง มะขาม ขมิ้น ฯลฯ จะต้องถูกกล่าวถึง สิ่งเหล่านี้ถูกถ่ายทอด บันทึกผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน ดังนั้นหากจะเลือกนำมาใช้เพื่อการพอกหน้า ขัดผิว ย่อมรับประกันเรื่องความปลอดภัยได้ แต่ท่านไม่ควรประมาท เพราะยังไงก็ต้องคำนึงถึงสิ่งที่ไม่มีในยุคโบราณแต่มันมีอยู่จริงในปัจจุบันคือ การปนเปื้อนของสารเคมีต่างๆ ทั้งโดยจงใจและการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ฉลาดซื้อจึงนำข้อคิดดีๆ มาแนะนำไว้เพื่อเป็นการประเมินในเบื้องต้น ก่อนที่จะหยิบเอาสมุนไพรหรืออาหารมาใช้เพื่อการพอกหน้าบำรุงผิว การใช้สมุนไพรสำหรับผิวหน้ามีหลักการง่ายๆ ดังนี้ 1.อยู่บนพื้นฐานของความสะอาด สิ่งที่ต้องคำนึงคือ การปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ โดยเฉพาะเชื้อรา เพราะฉะนั้นของสดใหม่ย่อมดีกว่า เก่าเก็บ หรือการปนเปื้อนของสารเคมีอย่างสารเคมีการเกษตร ผัก ผลไม้บางอย่างเหมือนเป็นของพื้นบ้าน แต่บางทีท่านอาจนึกไม่ถึงว่า เป็นผักที่มีการใช้สารเคมีสูงสุดก็เป็นได้ เช่น ใบบัวบก 2.เป็นสมุนไพรที่ปลอดภัย หมายความว่า ควรมีการสืบทอดทางภูมิปัญญาหรือมีข้อมูลยืนยันว่าปลอดภัยในการใช้ อย่าเป็นหนูทดลองกับสมุนไพรบางอย่างที่มีคนฉวยโอกาสโฆษณาเพื่อ “ขาย” สินค้า สมุนไพรที่มีความปลอดภัย จำง่ายๆ ก็คืออะไรที่กินได้ สามารถใช้เป็นเครื่องสำอางได้ 3.อย่าทำบ่อยเกินไป ต้องเชื่อมั่นธรรมชาติของผิวหนังที่มีกลไกดูแลตัวเองอยู่แล้ว ต้องรักษากลไกนั้นไว้นานๆ การทำซ้ำ ทำบ่อยเกินไปอาจเป็นการทำลายสิ่งดีๆ ที่ผิวของเรามีอยู่ก็ได้ 4.ภูมิแพ้ สมุนไพร ทุกอย่างอาจมีบางคนที่แพ้ได้ การทดสอบว่าแพ้หรือไม่ให้นำส่วนผสมที่จะใช้ทาที่ท้องแขนก่อน เพราะผิวหนังบริเวณนี้จะเป็นส่วนที่บางกว่าหน้า ทิ้งไว้สักพักหนึ่งถ้าไม่เกิดอาการแสบร้อน มีผื่น ถือว่าไม่แพ้ 5.ระยะเวลาในการพอกไม่มีสูตรตายตัว การใช้สมุนไพรเพื่อความงามส่วนใหญ่เป็นผลไม้หรือผักที่ไม่ได้ตายตัว สามารถที่ปรับได้ ขึ้นกับสภาพผิวของแต่ละคน คนที่ผิวแพ้ง่ายควรใช้เวลาน้อยกว่า และการใช้ในช่วงแรกไม่ควรพอกหรือทาทิ้งไว้นานๆ โดยเฉพาะตำรับที่มีกรดผลไม้ การใช้ช่วงแรกๆ ต้องใช้ปริมาณน้อยๆ ไปก่อน และในช่วงเวลาสั้นๆ -------------------------------------------------------------------------------- ครีมมะขาม ปลอดภัยและไม่แพง มะขาม Tamarindus indica Linn. สรรพคุณ ลดรอยด่างดำบนใบหน้า เพิ่มความชุ่มชื้น ป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวหน้าเรียบลื่น ทำให้ผิวหนังสดชื่นลดจุดด่างดำ ฝ้า กระ เพิ่มความชุ่มชื้น ลบรอยเหี่ยวย่น ตำรับความงามที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งพบตำรายาสมุนไพรเขียนด้วยภาษาล้านนาว่า "มะขาม ฝักกระดาน สักกำมือแช่น้ำอุ่น ทาตัวทาหน้า ผิวดำและฝ้าย่อมเสี้ยงไป" (เสี้ยง หมายถึง หมดไป) ที่เป็นเช่นนี้เพราะในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว มะขาม จะมีกรดเอเอชเอ (AHA หรือ alpha hydroxy acid) ซึ่งเป็นกรดอ่อนๆ จะช่วยขัดผิว ลอกผิวด่างดำ และฝ้า            การเตรียมมะขาม การใช้มะขามให้ใช้มะขามเปรี้ยวสุก (มะขามหวานใช้ไม่ได้เพราะกรดผลไม้มีน้อย) น้ำคั้นมะขามเปียกที่ดีมีคุณภาพ ต้องได้จากการคั้นมะขามเปียกสดใหม่ และใช้ทันที ถ้าเก็บในตู้เย็นต้องไม่เกิน 1 สัปดาห์ ถ้าหากจะกวนเก็บไว้ใช้นานๆ ต้องกวนจนเกือบแห้งซึ่งมักจะกวนใส่นมหรือน้ำผึ้งก็ได้ การใช้มะขาม มะขามเปียก 1 กำมือ นมสด 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นำเนื้อมะขามเปรี้ยวสุก ไม่ต้องแกะเมล็ดปั้นเป็น ก้อนกลม ห่อด้วยผ้าขาวบาง ฟอกขัดตัวเมื่ออาบน้ำ จะทำให้ผิวที่คล้ำด้วยแดด หรือลม เป็นผิวที่นวลผ่อง น้ำมะขามเปียกผสมน้ำพอเจือจางล้างหน้าเป็นประจำ ช่วยขจัดความมันบนใบหน้า และสิวให้หลุดออกไปอย่างหมดจด                  หรือทำเป็นครีมมะขาม โดยใช้มะขามเปียกที่แกะเมล็ดแล้วขนาดประมาณ 1 กำมือ นมสด 1 กล่อง ขยำเข้ากัน กรองด้วยตะแกรง เพื่อเอาซังมะขามออก นำไปเคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ พอใกล้งวด เติมน้ำผึ้งลงไป 1 ช้อนโต๊ะ อาจเติมขมิ้นชันลงไปประมาณ ¼ ช้อนชา (ระวังอย่าใส่มากเกินไปจะทำให้หน้าเหลือง) เคี่ยวต่อจนงวด แต่อย่าให้ข้นเกิน สังเกตว่ายังสามารถแตะขึ้นมาได้ง่าย เสร็จแล้วบรรจุลงในกระปุกสะอาด ถ้าไม่เปิดเลยจะอยู่ได้ประมาณ   6 เดือน ใช้ล้างหน้าทุกวันทำให้หน้าขาวขึ้น ที่มา มูลนิธิสุขภาพไทย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 152 เรื่องหนักอกของคนอกไม่หนัก

เรื่องหน้าอกที่ไม่ฟู อึ๋ม อย่างดารานางแบบ มันเป็นปัญหาหนักอกหนักใจของสาวๆ สมัยนี้ ไหนจะต้องผอม ขาว และยังต้องมีหน้าอกใหญ่ด้วย ซึ่งวิธีคิดแบบนี้มันผิดตั้งแต่แรกแล้ว สาวผอมแห้งคนไหนกันจะมีหน้าอกใหญ่ฟูในเมื่อ หน้าอกของสาวๆ นั้นประกอบด้วย ไขมัน เป็นส่วนสำคัญ คนที่ผอมแห้ง(เพราะลดน้ำหนัก ไม่กินไขมัน) แล้วนมฟู ก็คงไม่น่าจะพ้นมือหมอทำ ธรรมดาเมื่อผู้หญิงย่างเข้าวัยสาว สะโพกและหน้าอกจะขยายเนื่องจากการสะสมของไขมัน แต่ไม่ได้หมายความว่าหน้าอกจะมีแต่ไขมันล้วนๆ หน้าอกยังประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อ ต่อมและเนื้อเยื่อต่างๆ แต่ตัวที่กำหนดขนาดจริงๆ ก็คือไขมัน จนกว่าจะอายุ 20 ปี กล้ามเนื้ออกจึงจะมีผลต่อขนาดของเต้านม สำหรับคนที่รับประทานอาหารปกติ มีไขมันบ้าง หน้าอกก็จะมีขนาดพอสมควร แต่ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ด้วย ถ้าสาวน้อยทั้งหลายยังอดมื้อกินมื้อ เพื่อหวังความผอมเพรียว แน่ล่ะว่าหน้าอกมันต้องเล็กลงไปด้วย แต่ในเมื่อไม่เข้าเทรนด์ ผอม ขาว อึ๋ม บางคนจึงต้องมองหาผลิตภัณฑ์มาช่วยเพิ่มขนาดหน้าอก เพราะอาจยังไม่กล้าพอที่จะทำศัลยกรรม เลยเป็นโอกาสให้พวกขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเข้ามาชวนเชื่อ ให้ซื้อผลิตภัณฑ์ไปรับประทาน ด้วยการโฆษณาว่า ใช้แล้ว อกจะฟู และเพื่อให้ขยายกลุ่มเป้าหมาย จึงเพิ่มไปเรื่องกระชับช่องคลอด(รูฟิต) ด้วย ผลิตภัณฑ์พวกนี้แม้บางชนิดจะมีการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แต่สาวๆ ต้องเข้าใจนะว่า การขึ้นทะเบียนกับ อย. นั้น อย. ไม่ได้ให้สิทธิมาหลอกว่าทำนั่นนี่ได้ อย. ก็แค่รับรู้ว่าพวกนี้มีบริษัทผลิตสินค้าเป็นหลักแหล่ง เลขทะเบียนที่ให้ก็เพื่อใช้ในการกำกับดูแล แต่ไม่ได้รับรองว่า กินแล้วจะเป็นจริงดังที่โฆษณา  เพราะการโฆษณาว่าชี้ชวนว่า ทำให้นมใหญ่ได้นี่ ผิดกฎหมายชัดเจน แต่เพราะเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้ อย. จับได้แต่ไล่ตามไม่ทัน ดังนั้นผลิตภัณฑ์ประเภทนี้จึงโฆษณากันอย่างคึกคัก ขนาดที่ว่า เดี๋ยวนี้มาโฆษณาในฟรีทีวีได้แล้ว โดยไม่ต้องบอกสรรพคุณอะไรเลย แค่บอกชื่อสินค้า หลายคนก็ร้องอ๋อแล้วว่าสินค้านี้มีขึ้นเพื่อขายอะไร   แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า ผลิตภัณฑ์ประเภทเสริมอาหารนี้ไม่มีผลจริงต่อการขยายขนาดหน้าอก ดีไม่ดีอาจได้ผลข้างเคียงไม่พึงปรารถนา เช่น ตกขาวมากขึ้น ตกขาวปนเลือด อาการปวดท้องอย่างรุนแรงเนื่องจากมดลูกอักเสบ  เพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มนี้ บางตัวลักลอบใส่ฮอร์โมน(ที่เป็นยา) ในปริมาณที่สูง หรือสมุนไพรที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนอย่างกวาวเครือ หรือสารสกัดจากถั่วเหลือง ในปริมาณที่มากเกินไป จนส่งผลกระทบต่อร่างกาย สาวๆ ทั้งหลายจึงไม่ควรไปฝากความหวังไว้กับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอกฟูทั้งหลาย เพราะมันไม่จริง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 147 การลอกผิวหน้าด้วยสารเคมี ให้กระจ่างใส เนียน ไร้ริ้วรอย และ จุดด่างดำ

โดยทั่วไป เซลล์ผิวหนังจะมีการผลัดเซลล์ผิวเป็นวงจรทุก 28 วันโดยธรรมชาติ เห็นได้จากขี้ไคลที่เราขัดออกเวลาอาบน้ำ แต่เมื่อคนเราอายุมากขึ้น วงจรการผลัดเซลล์ผิวจะใช้เวลานานขึ้นเนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตลดลงในทุกระบบของร่างกาย ทำให้เซลล์เก่าบนผิวหนังสะสม ไม่หลุดลอกออกตามที่ควรเป็น ผิวหน้าหรือผิวกายจึงไม่สดใส เกิดริ้วรอย แลดูหยาบกร้าน และหมองคล้ำได้เนื่องจากการอุดตันตามรูขุมขน เกิดเป็นสิวเสี้ยน และรอยด่างดำ นอกจากนี้ ฝ้า หรือ กระ บนผิวหนัง รวมทั้งรอยแผลจากสิว ทำให้ผิวหน้าไม่กระจ่างใส อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง และวงการแพทย์อันเกี่ยวเนื่องกับความสวยความงาม จึงมีการคิดค้นสินค้าและบริการทางการแพทย์เพื่อทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส โดยการลอกเซลล์ผิวหน้าที่มีปัญหาออก วิธีการลอกเซลล์ผิวหน้าในปัจจุบัน มี 2 วิธี คือ วิธีการทางกายภาพ (Physical Peel) โดยใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น การกรอผิวหน้าด้วยแสงเลเซอร์ ฯลฯ วิธีนี้จะสามารถเจาะลึกลงสู่ผิวหนังชั้นล่างหรือชั้นหนังแท้ ซึ่งต้องทำหัตถการโดยแพทย์ผู้ชำนาญในคลินิกเท่านั้น วิธีการทางเคมี (Chemical Peel) โดยใช้สารเคมีเป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์ผิวเกิดร้อน อักเสบ พอง และหลุดลอกออก วิธีนี้ ประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับชนิดของสารเคมี ความแรงและความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้ เทคนิคการใช้สารเคมี (Chemical peel) ในการลอกเซลล์ผิวหน้า เพื่อทำให้ผิวหน้ากระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย และจุดด่างดำนั้น มีมาช้านานนับแต่ยุคอียิปต์โบราณ คนในยุคนั้นใช้น้ำนมในการอาบน้ำขัดผิวกาย โดยหารู้ไม่ว่าเซลล์ผิวจะถูกขัดลอกออกให้เนียนนุ่ม โดยมีกรดแลคติคในน้ำนม ซึ่งเป็นกรดอ่อนในการช่วยขจัดเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวที่อาบน้ำนมเนียนนุ่ม และการใช้ผลองุ่นขัดและทาถูที่ผิวหนังก็เช่นกัน ผลองุ่นมีกรดผลไม้คือ กรดทาร์ทาริค เช่นเดียวกับกรดอ่อนที่พบในมะขาม ด้วยกลไกที่มีฤทธิ์กรดอ่อน กรดจะระคายเคืองผิวหนัง ทำให้ผิวหนังร้อน พุพองเล็กน้อย และทำให้เซลล์ผิวชั้นบนๆหลุดลอกออก เผยให้เห็นผิวใหม่ที่สดใสและเนียนนุ่ม ริ้วรอยเล็กๆ น้อยๆ รวมทั้งจุดด่างดำ และสิวเสี้ยนที่ตำแหน่งผิวหนังตื้นๆจะหลุดลอกออกไปด้วย   สารเคมีที่ใช้ลอกเซลล์ผิวหน้า -  จากธรรมชาติ ได้แก่ กรดผลไม้ชนิดต่างๆ (AHA, alpha-hydroxy acid) เช่น กรดไกลโคลิค จากน้ำอ้อย กรดแลคติคจากนมเปรี้ยว กรดซิทริคจากส้มและมะนาว กรดผลไม้เหล่านี้มีพบเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางทั่วไป ไม่ได้เป็นสารห้ามใช้ตามประกาศ พรบ.เครื่องสำอาง - จากการสังเคราะห์ สารเคมีสังเคราะห์ที่นิยมใช้มากในคลินิกปัจจุบัน ได้แก่ ทีซีเอ (TCA, trichloroacetic acid) กลไกการทำงาน กรดอ่อนเหล่านี้ จะมีผลทำให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างเซลล์ผิวลดลง ทำให้หลุดลอกออกง่าย นอกจากนี้การที่เซลล์ผิวหลุดลอกออกเร็วก่อนเวลา จะเป็นการกระตุ้นการเร่งสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นแทนที่เซลล์เก่าที่หลุดลอกออก พร้อมทั้งกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าเนียน เรียบ กระจ่างใส ผิวหน้าที่มีสิว หัวสิวจะนุ่มลง และหลุดออกง่าย ฝ้า และกระที่อยู่ตื้นๆ หรือไม่ลึกเกินไปจะสามารถหลุดลอกออกได้ ทั้งนี้ประสิทธิผลการรักษา จะขึ้นอยู่กับความแรงและความเข้มข้นของสารเคมีที่ใช้ ข้อควรระวังและอาการข้างเคียง 1. วิธีการใช้สารเคมีเพื่อลอกผิวหน้าให้ขาวใส จะให้ผลเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะเป็นการลอกเซลล์ผิวดำคล้ำ ออกชั่วคราวเท่านั้น สีผิวที่ดำสามารถกลับมาใหม่ได้อีกเมื่อผิวหน้าถูกกระตุ้นด้วยรังสีดวงอาทิตย์ นอกจากนี้ผิวหน้าที่บางลงเนื่องจากเซลล์ผิวชั้นบนถูกลอกออกไป จะทำให้ผิวหน้าอ่อนไหวง่ายเมื่อสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่มีมลภาวะ อาจติดเชื้อแทรกซ้อนหลังการทำหัตถการ 2. ไม่ควรซื้อมาทำเองที่บ้าน ควรอยู่ภายใต้การดูแลรักษาโดยแพทย์ผิวหนังผู้ชำนาญการเท่านั้น เพราะอาจทำให้ผิวหน้าไหม้ พุพอง และเป็นอันตรายได้ 3. ไม่ควรทำซ้ำบ่อยๆ เพราะจะทำให้ผิวหน้าบางลง     เอกสารอ้างอิง http://www.medicinenet.com/chemical_peel/article.htm

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 119 ทองคำบริสุทธิ์ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าให้เต่งตึงได้ จริงหรือ?

  ทองคำ นับเป็นอัญมณีล้ำค่าตลอดกาล มนุษย์มักจะให้ความสำคัญกับอัญมณีที่มีค่าและหายากมาสัมพันธ์กับสุขภาพกายและความงามเสมอ มีประวัติการนำทองคำบริสุทธิ์มาดัดแปลงใช้กับส่วนต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้า โดยเชื่อว่าจะช่วยชะลออายุผิวพรรณตั้งแต่ครั้งยุคของพระนางคลีโอพัตรา และมีใช้ในระดับผู้นำสูงสุดอีกหลายทวีป เช่น จีน อัฟริกา รวมทั้งยุโรป  แม้จะยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ว่าทองคำจะช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของผิวหนังได้อย่างไร แต่ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของทองคำได้ออกสู่ตลาดในหลายรูปแบบ ทั้งครีมทาผิว ครีมพอกหน้า รวมทั้งแผ่นทองคำเปลวบริสุทธิ์ 24 เค สำหรับพอกหน้า เราจะมาดูว่ามีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อะไรบ้างที่พอจะเชื่อถือได้ว่าทองคำมีส่วนดีต่อสุขภาพทางกายและความสวยงาม และก่อให้เกิดอาการข้างเคียงได้หรือไม่ การนำทองคำมาใช้ประกอบอาหารและเครื่องดื่มจากหลักฐานทางการวิทยาศาสตร์ พบว่าโลหะทองคำบริสุทธิ์ จะไม่มีปฏิกิริยากับสารเคมีใดๆ หรือต่อเซลล์ของร่างกายเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรืออาการข้างเคียง สหภาพยุโรป หรือ อียู ได้รับรองและอนุญาตให้ทองคำจัดอยู่ในกลุ่มสารเติมแต่งผสมในอาหารได้ (Food Additives) ในประเทศเยอรมนีและยุโรปหลายประเทศ มีการนำแผ่นทองคำเปลวหรือในรูปผงบดละเอียดมาประยุกต์ใช้ตกแต่งอาหาร รวมทั้งการผสมในเครื่องดื่มยี่ห้อเก่าแก่   เช่น  Goldschläger, Gold Strike, and Goldwasser. ซึ่งจัดอยู่ในประเภทเครื่องดื่มสุขภาพที่แพงจัด ในประเทศทางแถบเอเชีย เช่น บาหลี มีการนำทองคำมาผสมในการทำขนมหวาน อย่างไรก็ตามเนื่องจากโลหะทองคำมีคุณสมบัติเฉื่อย จึงไม่มีปฏิกิริยากับสิ่งแวดล้อมในร่างกาย  ดังนั้นจึงไม่มีรสชาติ และไม่มีคุณค่าทางอาหาร และจะถูกขับออกจากร่างกายได้โดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลงใดๆ   ทองคำกับการรักษาโรค เป็นความเชื่อของคนยุคโบราณว่าทองคำมีศักยภาพของการสมานโรค (Healing power) ช่วยให้สุขภาพที่แย่ดีขึ้น ทางการแพทย์ได้มีการทดลองนำแร่ทองคำมาเตรียมให้อยู่ในรูปของเกลือ (Goldsalts) พบว่าอนุพันธ์ดังกล่าวมีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบและบวมช้ำของโรคเก๊า (Rheumatoid arthritis) ซึ่งได้มีการทดลองนำมารักษาโรคดังกล่าวไม่น้อยกว่า 80 ปีที่ผ่านไป กลไกยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่าแร่ทองคำสามารถต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากข้อกระดูกที่อักเสบ ทำให้บรรเทาความเจ็บปวดและบวมช้ำได้ผล อย่างไรก็ตาม การฉีดแร่ทองคำในรูปแบบของเกลือหรือโกลด์ซอล์ท จะก่อให้เกิดอันตรายข้างเคียงในการยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวได้ และยังมีผลสะสมในตับและไตอีกด้วย ผู้ที่ได้รับการรักษาจึงควรจะคอยตรวจเช็คเลือดอย่างสม่ำเสมอ   ทองคำกับการลดเลือนริ้วรอยจากการค้นพบทางการแพทย์ที่ว่า ทองคำสามารถต้านอนุมูลอิสระได้และส่งผลให้เกิดกลไกในการต้านอาการอักเสบของข้อกระดูกในโรคเก๊าได้ผลดี ทำให้นักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางเชื่อว่า “ด้วยกลไกเดียวกันนี้โลหะทองคำน่าจะมีประสิทธิภาพต้านอนุมูลอิสสระของผิวหนังและต้านอาการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากรังสียูวีได้” จึงมีการนำทองคำมาประยุกต์ใช้ผสมในเครื่องสำอางที่มีราคาแพงในรูปแบบต่างๆ เพื่อประโยชน์ของการยืดอายุผิวพรรณและลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย ปัจจุบันยังไม่มีการพิสูจน์ที่แน่ชัดทางวิทยาศาสตร์ว่าประสิทธิภาพการชะลออายุผิวพรรณเมื่อใช้ทองคำเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์อื่นๆว่าจะคุ้มราคาหรือไม่   ความเป็นพิษและอาการข้างเคียงแม้ว่าแร่ทองคำบริสุทธิ์ไม่เป็นพิษหรือไม่ระคายเคืองต่อเซลล์ร่างกาย แต่ถ้าแร่ทองคำได้ถูกเปลี่ยนแปลงโดยกระบวนการทางเคมีให้อยู่ในรูปของเกลือหรือโกล์ดซอล์ท จะมีอันตรายต่อไต ต่อตับ และยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดหากได้รับเข้าสู่ร่างกาย นอกจากนั้นยังพบว่าแร่ทองคำมีผลทำให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองผิวหนังได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลข้างเคียงดังกล่าวมักพบในผู้หญิง จนได้รับการโหวตให้เป็นสารก่อภูมิแพ้ในปี 2001 โดยสมาคมโรคผิวหนังของสหรัฐอเมริกา   เอกสารอ้างอิง1. Gold: From Wikipedia, the free encyclopedia2. Rheumatoid arthritis and metal compounds—perspectives on the role of oxygen radical detoxification Analyst, January 1998, Vol. 123 (3–6).

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 109 6 ขั้นตอนสปาผิวหน้าเพื่อผิวสวยอ่อนเยาว์

สปา กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ความเครียดและความเร่งรีบจากการทำงานส่งผลทำให้ทุกคนอ่อนล้าทั้งสุขภาพกายและใจ การบำบัดด้วยการเข้ารับบริการสปา จะช่วยให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย สถานที่ให้บริการสปามักจะถูกจัดเตรียมและตกแต่งไว้ด้วยดอกไม้ เครื่องหอมทั้งหลาย เช่น น้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรธรรมชาติ รวมถึงการตกแต่งด้วยแสงไฟสีนวลตา ทั้งหมดเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เข้าไปรับบริการได้ผ่อนคลายตั้งแต่วินาทีแรกเลยทีเดียว การทำสปาผิวหน้า มีประโยชน์นอกจากจะเป็นการผ่อนคลายแล้ว ยังมีส่วนอย่างมากในการช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส กระชับ ผิวหน้าชุ่มฉ่ำ ลดริ้วรอยที่แห้งกร้านได้อย่างเห็นผล ควรให้เวลากับตัวเราเองอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ทำสปาผิวหน้า ขั้นตอนโดยทั่วไปมีดังนี้ 1. เริ่มต้นด้วยการล้างทำความสะอาดผิวหน้า ควรใช้ครีมหรือโลชั่นชนิดสำหรับเช็ดเครื่องสำอางออก (ไม่แนะนำให้ใช้สบู่เหลว/สบู่ก้อน หรือโฟมล้างหน้าในขั้นตอนการทำสปา)  ใช้นิ้วมือนวดคลึงครีมล้างหน้าลงบนผิวหน้าให้ทั่วใบหน้า และเช็ดออกด้วยผ้าชื้นหรือฟองน้ำ 2. ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยสครัป ซึ่งมีผงขัดเซลล์ผิวเป็นองค์ประกอบหลัก เลือกที่ได้จากธรรมชาติ เช่น เปลือกผลไม้ตากแห้งและบดให้มีขนาดเล็ก หรืออาจได้มาจากการสังเคราะห์ ผงขัดมีขนาดต่างๆ กัน อนุภาคของผงเหล่านี้มักจะมีรูปร่างบิดเบี้ยวและมีผิวขรุขระ เมื่อถูกนำไปทาถูบนผิวหน้า ผงเหล่านี้จะทำหน้าที่ช่วยขัดผิวหน้า ทำให้เซลล์เก่าบนผิวหน้าหลุดลอกออกเร็วและง่ายขึ้น การทาสครัปต้องทาให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบดวงตา แล้วใช้นิ้วมือนวดคลึงผิวหน้าไปมาเบาๆ คนที่มีผิวอ่อนไหวควรเลือกใช้สครัปที่มีผงขัดชนิดละเอียดมากขึ้น หลังถูนวดสครัป ให้เช็ดสครัปออกด้วยผ้าชื้น 3. นวดกดจุดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตา หน้าผาก ขมับทั้งสองข้าง ท้ายทอย 10-15 นาที จะช่วยให้อาการตึงเครียดหรือปวดหัวรวมทั้งไมเกรนผ่อนเบาลงได้มาก 4. การให้ผิวหน้าได้รับไอน้ำที่ร้อนชื้น ความร้อนจะช่วยให้รูขุมขนที่ผิวหน้าเปิดกว้างออก และวิธีที่ดีที่สุดคือการพ่นไอน้ำที่ร้อนแก่ผิวหน้า เพราะไอน้ำจะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นอีกด้วย ควรให้เวลาอย่างน้อย 10-15 นาที หากทำเองที่บ้าน สามารถใช้ผ้าขนหนูแช่น้ำอุ่นและบิดแห้งให้หมาดๆ นำผ้าขนหนูไปอบใบหน้า ก็ใช้แทนไอน้ำได้เช่นกัน 5. การพอกผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นผิวได้อย่างรวดเร็ว เช่น แผ่นคอลลาเจนเจล หรือคอลลาเจนครีม ผิวหน้าในขั้นตอนนี้ซึ่งรูขุมขนเปิดกว้างออกเต็มที่ภายหลังจากได้รับไอน้ำร้อน คอลลาเจนซึ่งมีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นได้มากและให้ความยืดหยุ่นผิวหนังได้ดีเยี่ยมจะสามารถแทรกซึมสู่ผิวชั้นบนสุดของผิวหน้าได้ แม้ว่าคอลลาเจนจะมีโมเลกุลสูงและไม่สามารถแทรกซึมสู่ผิวชั้นล่างของผิวหนังได้ แต่การหมักผิวหน้าด้วยคอลลาเจนอย่างน้อย 20-40 นาที จะพบว่าผิวหน้าจะนุ่มนวลและชุ่มฉ่ำอย่างทันตาเห็นเลยทีเดียว 6. การบำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ประเภทครีมบำรุงผิวประกอบไปด้วยสารอาหาร  วิตามิน น้ำมันและน้ำ ครีมบำรุงผิวจะไปเคลือบอยู่ผิวหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหน้าสูญเสียความชุ่มชื้น และช่วยหล่อลื่นผิวหน้าให้เนียนนุ่ม น้ำมันหล่อลื่นจะทำหน้าที่ปกคลุมเซลล์ผิวหน้าเพื่อลดการสูญเสียน้ำจากเซลล์ผิว หกขั้นตอนของการทำสปาผิวหน้า ใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าๆ หรือไม่เกินชั่วโมงครึ่ง แต่จะมีผลทำให้ผิวหน้าได้พักผ่อนและกระชับผิวหน้าอย่างได้ผล การทำสปาผิวหน้าเดือนละหนึ่งครั้งคุณจะพบว่าผิวหน้าจะกระจ่างใส กระชับ ชุ่มฉ่ำ ริ้วรอยจะจางลงสีหน้าจะสดชื่นขึ้น นั่นอาจเพราะว่าเป็นวิธีการผ่อนคลายร่างกายด้วยอย่างหนึ่งก็เป็นได้ คำแนะนำสำหรับผู้ที่เข้ารับการทำสปา -หากใส่คอนแทคแลนควรถอดออก -ผู้ที่ผิวหน้ามีแผลสดหรือแผลเปิด สิวอักเสบ และโรคผิวหนังอื่นๆ ควรงดทำสปาผิวหน้าอย่างเด็ดขาด -ท่าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำสปาผิวหน้า คือการนอนลงบนเตียงนวดในท่านอน 180 องศา จะสบายที่สุดทั้งสำหรับผู้ให้บริการและผู้รับบริการ -ควรเลือกสถานที่ให้บริการที่น่าเชื่อถือ โดยพิจารณาจากความสะอาดของสถานที่ การแต่งกายที่สะอาดของพนักงานให้บริการ และในระหว่างการทำสปา พนักงานควรมีผ้าปิดจมูกและปากตลอดเวลา - ก่อนลงมือใช้เครื่องสำอางตัวใดควรทดสอบด้วยการป้ายที่ผิวหนังบริเวณท้องแขนก่อนเพื่อดูว่ามีอาการแพ้สารเคมีหรือไม่

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 140 วิตามินสารพัดเรียว

อิทธิพลของค่านิยมต่างๆ ที่เกี่ยวกับความสวยความงาม ทำให้ผู้หญิงหลายคนต้องตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาหลอกลวง ยิ่งในยุคหลังๆ ที่สังคมพยายามยัดเยียดค่านิยมว่า หากจะสวยอย่างแท้จริงก็จะต้องผอมเพรียวด้วย ยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ที่พร้อมจะหลอกลวงต่างๆ ผุดขึ้นมามากมาย ผลิตภัณฑ์ที่นำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ คือผลิตภัณฑ์ “วิตามินสารพัดเรียว” วิตามินชนิดนี้มีการนำไปเสนอขายทางอินเตอร์เน็ต โดยหลังจากสั่งซื้อแล้ว จะส่งสินค้าให้ทางไปรษณีย์ เน้นกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการความเรียวทุกประเภท มีทั้ง วิตามินแขนเรียว วิตามินแขนเรียว วิตามินหน้าเรียว วิตามินลดหน้าท้อง ราคาเม็ดละประมาณ 8 บาท โดยแนะนำว่า “ให้รับประทานวันละ 1 - 2 เม็ด ก่อนอาหารมื้อแรก 30 นาที สำหรับลูกค้าท่านใดไม่เคยรับประทานยาลดน้ำหนักมาก่อนเลย ให้รับประทานวันละ 1 เม็ด แล้วดื่มน้ำตามเยอะๆ” มีผิดสังเกตตรงที่ในโฆษณานั้นย้ำว่าหลังทานยาอย่าลืมทานข้าวทุกมื้อ (ไม่รู้ว่ากลัวคนกินเกิดอาการผิดสำแดงอย่างไร?) นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่านำเข้ามาจากเกาหลี ทั้งผลิตภัณฑ์ Slimming  Diet ที่อ้างว่ารับประทานแผงเดียวลดได้ 5 กิโลกรัม และผลิตภัณฑ์ กลูต้าหิมะ Gluta 100000 Super   Whitening Snow ที่โฆษณาว่าจะทำให้ผิวขาวเนียนนุ่มดุจหิมะ ผิวขาวใสอมชมพู ขาวเปล่งประกายอย่างมีมีออร่า ลบริ้วรอย จุดด่างดำ จากสิวฝ้า กระ ช่วยเร่งให้ผิวขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แถมยังอ้างว่าจะ Detox ตับ และป้องกันการเกิดมะเร็ง ทั้งๆที่ส่วนประกอบที่แสดงบนฉลากคือ แอล กลูต้าไธโอน (L-Glutathione 100000 mg) ซึ่งเคยมีรายงานว่ามีผู้ป่วยได้รับอันตรายต่อตับจากการใช้อย่างไม่ถูกต้องมาแล้ว และที่เสมอต้นเสมอปลายคือ ภาพจากโฆษณาเหล่านี้ไม่มีเลขทะเบียนยา หรืออาหารแต่อย่างใด แต่ฉลากที่แสดงเป็นภาษาไทยน่าจะเชื่อได้ว่าแอบลักลอบผลิตในประเทศนี่เอง ใครมีลูกหลานวัยรุ่น วัยที่รักสวยรักงาม รีบไปเตือน “อย่าไปเสี่ยงเรียวเชียวนะหนู” และใครทราบแหล่งผลิต แหล่งจำหน่าย ขอให้รีบแจ้งเบาะแสให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทราบด้วยนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 139 เรื่องหลอกนม…ผมทนไม่ได้

ก่อนนั้นเรื่อง “นม” เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดกล้าคุยกัน แต่ปัจจุบันนี้โลกมันเปลี่ยนไป “นม” จึงเปลี่ยนแปลง คนกล้าพูดถึงเรื่องนมกันมากขึ้น รวมทั้งสินค้าที่ผลิตมาจำหน่าย ก็ถือโอกาสเกาะกระแสนหากินไปด้วย ล่าสุดน้องเภสัชกรแจ้งข้อมูลมา เพื่อขอให้ช่วยปราบสินค้าที่สงสัยจะผิดกฎหมาย หลอกลวงขย่มนมของชาวบ้าน ผลิตภัณฑ์แรกเป็น ครีมนวดนม โฆษณาว่าใช้นวดกระชับทรวงอก สามารถขยายขนาดจาก 32 เป็น 36 รับประกันว่าได้ผลเมื่อใช้เป็นประจำต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ จำหน่าย 2 กระปุกในราคาเพียง 150 บาท แถมบอกอีกว่าปกติขายกันในราคา 290 บาทขึ้นไป(สงสัยกระปุกละข้าง) และคงหวังจะหากินให้ครบวงจรนมชาวบ้าน เลยมี ยาอกอึ๋ม จำหน่ายอีกด้วย โดยบอกว่า “เป็นฮอร์โมนอกอึ๋มแผงสีชมพูอ่อน(เป็นฮอร์โมนเพศหญิง 6 มิลลิกรัมต่อเม็ด) เหมาะสำหรับ ผู้หญิงที่หน้าอกเล็ก แบน หรือ ใหญ่แต่หย่อนคล้อย สาววัยทองหรือทำหมันเเล้ว หรือมีบุตรแล้วทำให้หน้าอกเหลว ไม่เต่งตึง กระชับ แม้กระทั่ง สาวประเภทสองที่ยังไม่ทำหน้าอก เพียงกินยาฮอร์โมน อาทิตย์ละ 2-3 เม็ด ก็สามารถทำให้หน้าอก กระชับ เต่งตึง และมีขนาดใหญ่ขึ้นได้ และนอกจากจะทำให้หน้าอกกระชับชูชันขึ้นแล้ว เนื้อนมจะเพิ่มขยายขึ้น ผิวก็ขาวผ่องเนียนขึ้น ยาอกอึ๋มนี้ ราคาแผงละ 150 บาท , 3แผงขึ้นไปแผงละ 140 บาท , 12 แผงขึ้นไป แผงละ 130 บาท”  ส่วนวิธีใช้ก็แนะนำแบบละเอียดยิบ “ครั้งแรกที่ทานเม็ดแรก ให้ทานหลังอาหารทันที เพื่อปรับสมดุลให้ร่างกายรู้จัก ส่วนเม็ดต่อๆ ไป ให้ทานก่อนนอนหรือทานพร้อมยาคุมได้เลย ฯลฯ ...ส่วนเรื่องการอัพไซส์ ก็แล้วแต่คน จะนับเม็ดหรือกะจำนวนแผงให้ไม่ได้ กินไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจในขนาดที่ต้องการ หน้าอกจะอัพไซส์ขึ้นไปเรื่อยๆ เอง บางคนทานเเผงเดียวก็อัพไซส์เลยเปลี่ยนคัพเลย บางคนก็แผงที่ 2-3 อยู่ที่ร่างกายตอบสนองช้าหรือไว การทานยาฮอร์โมนมันต้องใช้เวลา ไม่ใช่มันจะตู้มต้ามขึ้นมาทีเดียว เราไม่ได้ทำศัลยกรรม มันจะขึ้นเรื่อยๆ เองตามธรรมชาติ จะให้เเป๊บเดียวใหญ่เลยไม่ได้หรอก มันไม่สามารถ” (อ่านดูแบบนี้มันก็คือการอัดให้รับประทานฮอร์โมนแบบหน้ามืดตามัว ให้เกิดผลข้างเคียงของฮอร์โมนนั่นแหละครับ) ยังไม่หมดนะครับ เพราะผลิตภัณฑ์สุดท้าย คือ ครีมทาหัวนมชมพู (Nipple pink milk lipstick plus vitamin E) ในรูปแบบแท่ง สะดวกสบายในการใช้ ใช้เพื่อให้ผิวชมพู กระจ่างใส บริเวณหัวนม พร้อมมอยส์เจอไรเซอร์ ช่วยบำรุงผิวบริเวณหัวนมให้ชุ่มชื้น นุ่มนวลไม่แห้งแตก ราคาเปิดตัว 50 บาทเท่านั้น ใช้ได้นานเป็นเดือน เท่าที่ดูข้อมูลผลิตภัณฑ์ครีมนวดนมและยาอกอึ๋ม เข้าข่ายโฆษณาเป็นยาแน่นอน ถ้าไม่มีทะเบียนยาก็ผิดกฎหมายแน่ๆ แต่ถ้ามีทะเบียนยา ผมก็เชื่อว่าทาง อย.คงไม่อนุญาตแบบนี้แน่ๆ ส่วนครีมทาหัวนมชมพู หากไม่มีสารเคมีที่ห้ามและไม่มีผลต่อเซลล์เม็ดสี เพียงแค่เอาสีไปทาฉาบหัวนม ก็เป็นเครื่องสำอาง ซึ่งก็ต้องมาจดแจ้งอยู่ดี ใครเจอผลิตภัณฑ์เหล่านี้จำหน่าย แจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบตามกฎหมายได้เลยครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 114 แปลกจริงหนอ ... ขอเสี่ยงสักหน่อย

พฤติกรรมการบริโภคผิดๆ ยังคงเป็นสิ่งที่มีมาเรื่อยๆ พวกผมเลยต้องหาทางรณณงค์ชี้แจงเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจให้ถูกต้องและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม เพราะมิฉะนั้นอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้ แต่พฤติกรรมผิดๆ เหล่านี้ บางทีมันก็คาดไม่ถึงหากเราไม่ได้เข้าไปคลุกคลีในกลุ่มพวกเขา “ฉันรู้ว่าครีมหน้าขาวอันตราย แต่ฉันขอใช้” ผมเคยเก็บตัวอย่างครีมทาหน้าจากร้านเสริมสวยแห่งหนึ่งไปตรวจ ผลปรากฏว่าครีมทาหน้าขาวที่ร้านเสริมสวยแห่งนี้มีไว้จำหน่ายกลับไม่พบสารอันตราย แต่กระปุกที่เจ้าของร้านใช้เองกลับพบสารห้ามใช้ หลังจากพูดคุยสอบถามว่าไม่กลัวอันตรายหรือ เจ้าของร้านตอบว่า “แหม ก็ใช้แล้วหน้ามันขาวขึ้นจริงๆ แต่ก็กลัวอันตรายนะ ฉันเลยปรับวิธีการใช้เป็น 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะได้ไม่อันตราย” เป็นไงครับ เจอเหตุผลแบบนี้ เล่นเอาอึ้ง “หน้ายังขาว แล้วที่อื่นจะเหลือรึ” เรื่องนี้ทราบจากคุณครู อย.น้อย ที่พวกเราชวนท่านมาเป็นภาคีเครือข่ายในการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ไม่ปลอดภัยในโรงเรียน หลังจากคุณครูไปสำรวจพฤติกรรมการใช้ครีมทาหน้าขาวปรากฏว่าไม่พบการใช้ แต่คุณครูแอบสังเกตเห็นว่านักเรียนกลุ่มหนึ่งพกครีมดังกล่าว ซักไปซักมาเลยทราบว่า เด็กเขาไม่ได้เอาไปทาหน้า “หนูไม่ทาหน้าหรอก เพราะมันอันตราย แต่ทารักแร้คงไม่เป็นไรนะคะ มันขาวดี” หนูๆ เขาให้เหตุผล เฮ้อ เด็กหนอเด็ก มันก็อันตรายเหมือนกันล่ะจ้ะ “ลูกกลอนดีๆ ต้องมีคาถา” ชะรอยว่ากระทรวงสาธารณสุขจะรณรงค์การปลอมปนยาสเตียรอยด์ในยาลูกกลอนอย่างได้ผล ปรากฎว่าช่วงหนึ่งพวกผมไปตรวจสอบยาลูกกลอนแผนโบราณ เลยไม่พบสารสเตียรอยด์ แต่คล้อยหลังไม่เท่าไหร่ ดันตรวจเจอยาลูกกลอนสายพันธ์ใหม่มาจำหน่ายอีกแล้ว ยาลูกกลอนรุ่นนี้มีแผ่นทองคำเปลวปิดที่เม็ดยา แถมเอกสารกำกับยาที่แนบมา ก็มีคาถาให้บริกรรมก่อนรับประทานซะอีก เล่นกันแบบนี้เอง มิน่า ถึงได้ขายดีตีตลาด “ตรวจเท่าไหร่ก็ไม่เจอสเตียรอยด์” เจ้ายาลูกกลอนเม็ดนี้ เจ้าหน้าที่ใช้ชุดทดสอบตรวจสเตียรอยด์ตรวจเท่าไหร่ก็ไม่เจอ มาถึงบางอ้อตรงที่ไปตามข้อมูลจากผู้บริโภคที่ซื้อมารับประทาน เลยทราบว่าเขาแอบซื้อมารับประทานเพราะมันโฆษณาว่าลดไขมันได้ เจ้าหน้าที่เลยสุ่มตรวจยาแผนปัจจุบัน สุดท้ายพบยาลดไขมันชนิดแพงๆ ผสมอยู่ มิน่าไขมันถึงได้ลดเอาๆ “ประกายตาใสกิ๊งๆ” ยุคที่เลนส์ตาโต(บิ๊กอาย)กำลังฮิต ผมเข้าไปนั่งเก็บข้อมูลที่ร้านทำแว่นที่คุ้นเคย สังเกตเห็นเด็กนักเรียนวัยรุ่นมาซื้อน้ำตาเทียมหยอดตากันเยอะมาก สอบถามข้อมูลทราบว่าเด็กเหล่านี้ไม่ได้ใส่คอนแท็คเลนส์ อ้าว!แล้วหนูๆ ซื้อน้ำยาชนิดนี้ไปทำอะไร น้องๆ เขาซื้อไปหยอดตาครับ เขาบอกว่าสมัยนี้เขาฮิตตาที่เป็นประกายใสกิ๊งแวววาวสะดุดตา แต่ที่เล่นเอาผมงงคือ เด็กเขาไปเอาเกลือป่นผสมลงไปด้วย นัยว่ามันจะยิ่งให้ประกายตา โคตะระใสกิ๊งขึ้นกว่าเดิมอีก ไม่รู้มันใสเพราะแสบจนน้ำตาไหลออกมาหรือเปล่า เป็นไงครับ พฤติกรรมต่างๆ ของผู้บริโภคที่เล่ามานี้ บางทีมันก็ ทั้งแปลก ทั้งเสี่ยงจนเราคาดไม่ถึงเลยนะครับ เอาเป็นว่าใครเจออะไรที่มันแปลกๆ เสี่ยงๆ รีบเตือนกันด้วยนะครับ แล้วอย่าลืมมาแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบด้วยนะครับ จะได้รีบหาทางกระจายข่าวเพื่อป้องกันและเฝ้าระวังอันตรายไงครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 184 หน้าเป็นแผล เพราะเลเซอร์

แม้ปัจจุบันสถานบริการความงามต่างๆ จะมีบริการกำจัดไฝหรือขี้แมลงวันด้วยแสงเลเซอร์ ซึ่งมักโฆษณาว่าเป็นวิธีที่สะดวก เห็นผลชัดเจนและราคาไม่สูงมากนัก แต่เราสามารถมั่นใจในความปลอดภัยได้จริงหรือ เหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้เกิดขึ้นกับคุณดวงใจ เธอตกลงใช้บริการเลเซอร์ลบขี้แมลงวันบนใบหน้า ที่คลินิกแห่งหนึ่งในห้างสรรพสินค้าชั้นนำโดยคิดราคาเป็นคอร์สละ 16,500 บาท อย่างไรก็ตามระหว่างที่กำลังใช้บริการ เธอได้ยินพนักงานคุยกันว่า “เลเซอร์เครื่องนี้ไม่ดีเลย ไม่ยอมโฟกัสจุดบนผิวหน้า” ซึ่งเธอก็คิดว่าพนักงานจะหยุดใช้เครื่องดังกล่าว แต่เธอคิดผิด เพราะพนักงานยังคงใช้เครื่องเลเซอร์นั้นบริการเธอต่อไป ซึ่งภายหลังการยิงเลเซอร์ เธอก็รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วหน้า และพบว่ามีรอยแผลเป็นจุดแดงๆ ที่ทราบภายหลังว่า ไม่สามารถหายเองได้ เธอจึงร้องเรียนไปยังคลินิก เพื่อให้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่กลับได้รับคำตอบว่าให้มารักษากับทางคลินิก ซึ่งเธอไม่ยินดีกับข้อเสนอดังกล่าว เพราะไม่มั่นใจในมาตรฐานความปลอดภัยของคลินิกดังกล่าวอีกต่อไป ดังนั้นเธอจึงไปรักษาต่อที่สถาบันด้านผิวหนังด้วยตนเอง ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเงินกว่า 2 หมื่นบาท นอกจากนี้ยังต้องเลื่อนงานแต่งงานของตัวเองออกไปอีกด้วย แนวทางการแก้ไขปัญหาสำหรับกรณีนี้ผู้ร้องมีหลักฐานเป็นใบรับรองแพทย์ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้น มาจากการเข้ารับบริการเลเซอร์ขี้แมลงวันบนใบหน้า ซึ่งถือเป็นความประมาทเลินเล่อของแพทย์จากคลินิกดังกล่าว โดยทำให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายและจิตใจ ทั้งยังเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการรักษาแผลบนใบหน้า ที่เกิดจากความผิดพลาดในการรักษาอีกด้วย ศูนย์ฯ จึงส่งหนังสือเชิญให้ทั้ง 2 ฝ่ายมาเจรจา โดยผู้ร้องได้เสนอให้ทางคลินิกช่วยเยียวยาความเสียหาย ซึ่งภายหลังคลินิกก็ยินยอมช่วยเหลือผู้ร้อง ด้วยการคืนเงินค่าคอร์ส พร้อมชดเชยค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นจริง ค่ารักษาพยาบาลในอนาคต ค่าเสียเวลา และค่าทำขวัญ รวมเป็นเงิน 100,000 บาท ด้านผู้ร้องก็ยินดีรับข้อเสนอดังกล่าว และยุติการร้องเรียนไป  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 180 อาหารหมดอายุ แต่ทำไมยังวางจำหน่าย

ในคอลัมน์เสียงผู้บริโภคเล่มก่อนๆ เราเคยเสนอประเด็นเรื่อง “ของหมดอายุควรมีอยู่ในห้างหรือไม่” เพราะผู้บริโภคอย่างเรา ไม่ได้มีหน้าที่นำสินค้าที่หมดอายุไปคืน แต่ควรเป็นทางร้านมากกว่าที่ต้องวางขายสินค้าที่ไม่หมดอายุให้กับเรา อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวก็ยังเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ จนเกิดคำถามจากผู้บริโภคส่วนใหญ่ว่า เมื่อไรที่ปัญหานี้จะได้รับการดูแลอย่างจริงจังจากผู้จัดจำหน่ายสินค้านั้นๆกรณีนี้เกิดขึ้นกับผู้ร้องที่ซื้ออาหารจากห้างสรรพสินค้า บิ๊กซี โดยเขาได้ซื้อฟักทองนึ่ง และปลานิลทอด 4 ตัว เมื่อนำกลับมารับประทานที่บ้าน(ไม่เกิน 20 นาที นับจากเวลาที่ชำระเงินเรียบร้อย) ก็พบว่าฟักทองดังกล่าวมีกลิ่นบูดและมียางเหนียวๆ ติดมือ และปลานิลทอดก็มีกลิ่นเน่าโชยออกมาทุกตัว เขาจึงตัดสินใจเก็บใส่ตู้เย็นไว้ และโทรศัพท์ไปร้องเรียนที่ห้างดังกล่าวในวันรุ่งขึ้นเมื่อได้รับการแจ้งร้องเรียนพนักงานของทางห้างได้แจ้งว่า ให้นำใบเสร็จมารับเงินคืน แต่ผู้ร้องเห็นว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้บริโภค ซึ่งทางห้างควรให้ความสนใจมากกว่าประเด็นเรื่องการคืนเงิน เขาจึงขอพูดสายกับผู้บริหารระดับสูง เพราะต้องการให้ห้างดังกล่าวมีความรับผิดชอบมากกว่านี้อย่างไรก็ตามพนักงานกลับโอนสายให้ผู้จัดการระดับแผนกเป็นผู้รับเรื่องแทน ผู้ร้องจึงตอบกลับไปว่า จะไม่เป็นฝ่ายไปรับเงินคืนที่ห้าง แต่ให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของห้างเป็นผู้มารับสินค้ากลับไปและมารับเรื่องร้องเรียนด้วยตนเองแทน แต่ก็กลับพบว่าคนที่มารับสินค้าเป็นเพียงหัวหน้าแผนกซีฟู้ด ซึ่งได้ขอโทษและคืนเงินให้ ทำให้ผู้ร้องเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น เขาจึงนำคลิปที่ถ่ายอาหารดังกล่าวไว้ลงในสื่อสังคมออนไลน์ (Facebook ส่วนตัว) และเว็บไซต์ยูทูบ เพื่อเผยแพร่ข่าวสาร และร้องเรียนมายังมูลนิธิ เพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาดังกล่าว แนวทางการแก้ไขปัญหาทางศูนย์ฯ แนะนำให้ผู้ร้องทำจดหมายแจ้งรายละเอียด และความประสงค์ส่งไปยังสำนักงานใหญ่ของห้างสรรพสินค้าดังกล่าว และนัดให้มีการเจรจาที่มูลนิธิฯ ซึ่งภายหลังการเจรจาตัวแทนของบริษัทฯ ยืนยันที่นำข้อเสนอต่างๆ ของผู้ร้องกลับไปปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้มีมาตรฐานในการดูแลสินค้าให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคต่อไปทั้งนี้สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการร้องเรียนในประเด็น อาหารหมดอายุ หรือเสื่อมสภาพก่อนวันหมดอายุ สามารถทำได้ตามขั้นตอนดังนี้1. เก็บบรรจุภัณฑ์ของสินค้า และใบเสร็จรับเงินมาเป็นหลักฐาน อย่างไรก็ตามในกรณีที่ไม่มีใบเสร็จรับเงิน สิ่งที่สามารถเรียกร้องได้โดยทั่วไปคือการเปลี่ยนสินค้าชิ้นใหม่ (ขึ้นอยู่กับการต่อรองกับผู้ขาย) ซึ่งควรดำเนินการทันทีที่พบว่าได้บริโภคอาหารหมออายุ หรือเสื่อมสภาพก่อนวันหมดอายุ2. ถ่ายรูป ฉลาก (ที่ระบุ ว/ด/ปี ที่ผลิต – หมดอายุ) รูปสินค้า และใบเสร็จรับเงิน 3. นำหลักฐานทั้งหมดแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษที่สถานีตำรวจท้องที่4. ติดต่อแหล่งจำหน่ายอาหารที่ซื้อมา ซึ่งควรคิดล่วงหน้าว่าต้องการให้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหา พร้อมชดเชย เยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างไร เช่น เปลี่ยนสินค้าใหม่ คืนเงิน จ่ายค่าเสียเวลา หรือให้ทำหนังสือชี้แจงเหตุของสิ่งผิดปกติดังกล่าว 5. หากไม่สามารถตกลงกันได้ ให้ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร โดยบรรยายสรุปปัญหาที่พบ พร้อมข้อเรียกร้อง ถึงประธานกรรมการบริหารที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทนั้นๆ ซึ่งสามารถให้ทางศูนย์ฯ ช่วยตรวจสอบข้อมูลก่อนได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 158 “หน้าที่” ของผู้โดยสาร ในการใช้บริการรถสาธารณะ

ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มักจะนำเสนอประเด็นที่เกี่ยวกับ สิทธิผู้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะเสมอ แต่ที่มาพร้องกับสิทธิ นั่นคือ “หน้าที่” ซึ่งผู้บริโภคบางครั้งก็มักจะหลงลืม หรือให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้น้อย ฉบับนี้ศูนย์พิทักษ์สิทธิจึงขอนำเสนอ หน้าที่ของผู้โดยสาร เมื่อต้องใช้บริการของรถสาธารณะกันบ้างราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2557 ได้ประกาศกฎกระทรวง  กำหนดความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยที่ผู้โดยสารต้องปฏิบัติในระหว่างการโดยสาร พ.ศ. 2557 ซึ่งกฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 30 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยผู้โดยสารรถสำหรับการขนส่งประจำทางต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดว่าด้วยความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยตลอดเวลาที่อยู่ระหว่างการโดยสาร ดังนี้(1) ไม่สูบบุหรี่หรือสิ่งที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน(2) ไม่กล่าววาจาไม่สุภาพ เสียดสี ดูหมิ่น ก้าวร้าว ส่งเสียงอื้ออึง หรือกระทำการใด ๆ ในลักษณะที่ก่อความรำคาญแก่ผู้อื่น(3) ไม่โดยสารนอกตัวรถ หรือห้อยโหน หรือยื่นมือ แขน หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายออกนอกตัวรถ ทั้งนี้ เมื่อผู้ประจำรถได้ว่ากล่าวตักเตือนแล้วไม่ยอมปฏิบัติตาม(4) ไม่นำสิ่งของที่มีกลิ่นแรงอันอาจก่อความรำคาญแก่ผู้อื่นขึ้นบนรถ เว้นแต่จะได้จัดเก็บให้มิดชิดโดยปราศจากกลิ่นนั้น(5) ไม่นำดอกไม้เพลิง ลูกระเบิด วัตถุระเบิด หรือวัตถุกัดกร่อนขึ้นบนรถ (6) ไม่บ้วน หรือถ่มน้ำลาย น้ำหมาก หรือเสมหะ สั่งน้ำมูก ถ่ายสิ่งปฏิกูล หรือเท หรือทิ้งสิ่งใด ๆ ลงบนรถ ณ ที่ซึ่งมิได้จัดไว้เพื่อการนั้น(7) ไม่ลงจากรถนอกบริเวณที่มีเครื่องหมายหยุดรถประจำทาง(8) ไม่ดื่มสุราตามกฎหมายว่าด้วยสุรา(9) ไม่กระทำการลามกอนาจาร(10) รัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งผู้โดยสารรถสำหรับการขนส่งไม่ประจำทาง (เช่น รถท่องเที่ยวทัศนาจร) ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดว่าด้วยความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยตลอดเวลาที่อยู่ในระหว่างการโดยสารตามข้อ  (1) (3) (5) (8) (9) และ (10)เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่ข้อกำหนดว่าด้วยความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยที่ผู้โดยสารรถสำหรับการขนส่งประจำทางต้องปฏิบัติตลอดเวลาที่อยู่ในระหว่างการโดยสารตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 27 (พ.ศ. 2529) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งไม่ครอบคลุมข้อปฏิบัติเรื่องความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยบางประการ ประกอบกับจำเป็นต้องเพิ่มข้อกำหนดเพื่อผู้โดยสารรถสำหรับการขนส่งไม่ประจำทางด้วยเห็นหรือไม่ว่า นอกจากสิทธิแล้ว หน้าที่ก็ยังเป็นสิ่งที่ละเลยไม่ได้ นั่นก็เพื่อให้ผู้โดยสารมีความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยในระหว่างการโดยสารยิ่งขึ้นนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 147 ยกเลิกคอร์สทำหน้าแล้ว แต่บัตรเครดิตยังเรียกเก็บเงิน

ขอความกรุณาช่วยแนะนำด้วยค่ะได้ทำเรื่องยกเลิกคอร์สทำหน้ากับคลินิกแห่งหนึ่ง(ยังไม่เคยไปใช้บริการเลยค่ะ) จ่ายไปจำนวนเงิน 30,000 บาทเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2555 ทางเจ้าหน้าที่ของคลินิกได้ออกเอกสารทำเรื่องคืนเงินเข้าบัตรมาให้ 2 ฉบับและดิฉันได้ไปทำเรื่องขอปฏิเสธการชำระเงินพร้อมกับแนบเอกสารที่คลินิกออกให้กับดิฉันให้ทางธนาคารด้วย  แต่พอใกล้ ๆ สิ้นเดือนตุลาคม มีจดหมายใบแจ้งหนี้ยอดบัตรเครดิตส่งมาให้ โทรสอบถามกับเจ้าหน้าที่ของธนาคารก็ได้รับคำตอบว่าในระหว่างดำเนินการตรวจสอบยอดจำนวนเงินที่ขอปฏิเสธการชำระไว้ ดิฉันต้องจ่ายเงินที่รูดไปให้กับทางธนาคารก่อน  ระยะเวลาในการตรวจสอบอาจนานถึง 120 วันดิฉันอยากจะถามว่าทำไมต้องตรวจสอบนานมากขนาดนั้นด้วยคะ ทั้ง ๆ ที่ดิฉันก็มีเอกสารที่ทางร้านค้าให้เป็นหลักฐานในการคืนเงินเข้าบัตรเครดิตแล้ว แล้วถ้าเกิดว่าทางร้านค้าไม่ยอมคืนเงินให้ดิฉันจะทำอย่างไรได้บ้าง โทรไปสอบถามกับทางธนาคารหลายทีแล้วว่าเรื่องได้ดำเนินการไปถึงไหนแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่เป็นประโยชน์เลยค่ะ ดูเหมือนทางธนาคารจะไม่สนใจไม่ยอมช่วยเหลืออะไรดิฉันเลย กลุ้มใจมากค่ะ อยากขอความช่วยเหลือ ขอคำแนะนำด้วยนะคะ แนวทางแก้ไขปัญหาคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้ประกาศให้ ธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 ในกรณีที่มีการชำระค่าสินค้าหรือค่าบริการผ่านทางบัตรเครดิต แล้วผู้บริโภคเกิดเปลี่ยนใจไม่ต้องการที่จะซื้อสินค้าหรือบริการนั้นอีกต่อไปและทางผู้ให้บริการยินดียกเลิกสัญญาการใช้บริการโดยไม่มีเงื่อนไข จึงถือว่าผู้บริโภคไม่ได้เป็นผู้ขอรับบริการอีกต่อไปประกาศฉบับนี้ได้ให้ความคุ้มครองกับผู้บริโภคในกรณีดังกล่าว ด้วยการบังคับให้บัตรเครดิตต้องมีข้อสัญญาว่า ถ้าผู้บริโภคทักท้วงว่าไม่ได้เป็นผู้สั่งซื้อสินค้าหรือไม่ได้เป็นผู้ขอรับบริการ จากผู้ขายหรือผู้ให้บริการดังกล่าว ผู้ประกอบธุรกิจจะระงับการเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภคทันที หรือในกรณีที่เรียกเก็บเงินไปแล้วจะคืนเงินให้กับผู้บริโภคทันที เว้นแต่ผู้ประกอบธุรกิจจะพิสูจน์ได้ว่าภาระหนี้ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของผู้บริโภคเองและใช้สิทธิเรียกคืนจากผู้บริโภคในภายหลังดังนั้น เมื่อผู้บริโภคได้ทักท้วงไปยังธนาคารที่ออกบัตรเครดิตว่า ไม่ได้เป็นผู้ขอรับบริการจากทางคลินิกแล้ว เมื่อธนาคารรับทราบแล้ว จะต้องปฏิบัติตามสัญญาควบคุมของคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้วยการระงับการเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภคทันที หากมีการเรียกเก็บเงินไปแล้วก็จะต้องคืนให้กับผู้บริโภคทันทีเช่นกัน หากมิได้ดำเนินการโดยทันที ผู้บริโภคมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากธนาคารได้ โดยอาจเทียบเคียงจากเบี้ยปรับการชำระเงินล่าช้าที่ธนาคารเรียกเก็บก็ได้นอกจากนี้ ประกาศฉบับดังกล่าว ยังให้ความคุ้มครองในสิทธิของผู้บริโภคในการยกเลิกการซื้อสินค้าหรือรับบริการอีกด้วย ด้วยการออกข้อบังคับให้สัญญาบัตรเครดิตต้องมีเงื่อนไขที่จะไม่ตัดสิทธิของผู้บริโภคที่จะขอยกเลิกการซื้อสินค้าหรือรับบริการภายในระยะเวลา 45 วัน นับตั้งแต่วันที่สั่งซื้อหรือขอรับบริการ หรือภายในระยะเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันถึงกำหนดการส่งมอบสินค้าหรือบริการ ในกรณีที่มีการกำหนดระยะเวลาส่งมอบสินค้าหรือบริการเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าผู้บริโภคพิสูจน์ได้ว่าไม่ได้รับสินค้า หรือไม่ได้รับบริการ หรือได้รับแต่ไม่ตรงตามกำหนดเวลาหรือได้รับแล้วแต่ไม่ครบถ้วน หรือชำรุดบกพร่อง หรือไม่ถูกต้องตรงตามวัตถุประสงค์โดยผู้ประกอบธุรกิจจะระงับการเรียกเก็บเงินจากผู้บริโภค หรือในกรณีที่เรียกเก็บเงินไปแล้ว ถ้าเป็นการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการภายในประเทศ จะคืนเงินให้กับผู้บริโภคภายในระยะเวลา 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ผู้บริโภคแจ้ง ถ้าเป็นการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ จะคืนเงินให้กับผู้บริโภคภายในระยะเวลา 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ผู้บริโภคแจ้ง  

อ่านเพิ่มเติม >