ฉบับที่ 192 เป้สำหรับวันทำงาน

เป็นโชคดี (หรือโชคร้าย) ของคนยุคนี้ที่สามารถทำงานได้ทุกที่ หลายคนมีคอมพิวเตอร์ติดตัวไปด้วยไม่ว่าจะไปสำนักงานหรือไปนั่งในร้านกาแฟที่เปิดเป็นพื้นที่ทำงาน กระเป๋าสำหรับสัมภาระรายวันเช่น ขวดน้ำ โน้ตบุ้ค และเสื้อผ้าสำหรับออกกำลังกาย จึงเป็นสิ่งจำเป็นฉลาดซื้อฉบับนี้ภูมิใจเสนอผลทดสอบเป้สำหรับวันทำงานที่สมาชิกองค์กรทดสอบระหว่างประเทศร่วมกันทำไว้ ตลาดเป้เมืองไทยใหญ่ไม่แพ้ชาติใดในโลก เราจึงนำเสนอเป้ทั้ง 24 รุ่น ความจุระหว่าง 17 ถึง 35 ลิตร ที่ห้องปฏิบัติการ Strojírenský zkušební ústav, s.p. (SZU) ในสาธารณรัฐเชกได้ทำการทดสอบไว้การทดสอบแบ่งออกเป็นสองช่วงได้แก่ 1. ความพึงพอใจของอาสาสมัครที่ทดลองใช้งานโดยใส่ของทั้งแบบครึ่งและเต็มพื้นที่เป้ การปิด/เปิด หยิบโน้ตบุ้ค หยิบของขณะสะพาย และความกระชับเวลาเคลื่อนไหว 2. การทดสอบในห้องปฏิบัติการ* ที่เปรียบเทียบ- พื้นที่ใช้สอย - ความแข็งแรงทนทาน (เช่น หูหิ้ว สายสะพาย)- การกันน้ำ (ทั้งด้านบนและด้านล่างตัวกระเป๋า)- ความปลอดภัยต่อผู้ใช้ (ขอบ มุม หรือเหลี่ยมที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ และสีสะท้อนแสงที่ช่วยให้มองเห็นได้ง่าย เป็นต้น)- ช่องใส่โน้ตบุ๊ก (ทดสอบกับโน้ตบุ้คขนาด 15.6 นิ้ว ความหนา 2.5 เซนติเมตร โดยดูจากความกระชับ ความสะดวกในการนำอุปกรณ์เข้าออกจากกระเป๋า) - คุณภาพการประกอบ (เช่น ตะเข็บ ซิป ล็อค และหมุด)จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน เป้ที่ได้คะแนนสูงสุด (82 คะแนน) ได้แก่ THE NORTH FACE รุ่น BOREALIS ขนาด 28 ลิตร ตามด้วย deuter รุ่น Giga 7309 Blueline Check ขนาด 20 ลิตร (80 คะแนน) และ OSPREY Flare ขนาด 22 ลิตร (76 คะแนน)เป้แต่ละรุ่นมีจุดแข็งแตกต่างกัน พลิกดูรายละเอียดได้ในหน้าถัดไปเพื่อหาใบที่เหมาะกับคุณที่สุดได้เลย*อัตราค่าทดสอบต่อหนึ่งตัวอย่างอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 14,000 บาทเป้เหล่านี้ออกแบบมาให้เป็นมิตรต่อหลังของเราในระดับหนึ่ง แต่เราก็ต้องใช้มันให้ถูกวิธีด้วย เช่น ปรับสายสะพายให้กระชับเสมอ ไม่สะพายไหล่เดียว และไม่แบกน้ำหนักเกินกว่า 15% ของน้ำหนักตัว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 191 ฉลากโภชนาการ สิ่งจำเป็นเพื่อการดูแลสุขภาพ

ความสำคัญและระดับการควบคุมข้อมูลโภชนาการหรือฉลากโภชนาการ เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ผู้บริโภคได้รู้ถึงคุณค่าทางด้านโภชนาการหรือปริมาณสารอาหารต่างๆ ที่ร่างกายจะได้รับเมื่อรับประทานเข้าไป และเป็นการยกระดับให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อย่างถูกต้องเหมาะสมกับการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว ถือเป็นสิทธิพื้นฐานที่ผู้บริโภคพึงได้รับ ดังนั้นหน่วยงานที่ดูแลด้านสุขภาพของประชาชนในทุกประเทศทั่วโลก จึงต่างให้ความสำคัญกับการแสดงฉลากโภชนาการบนผลิตภัณฑ์อาหาร อย่างไรก็ตามระดับการแสดงข้อมูลโภชนาการมีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่กฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการต้องแสดงข้อมูลโภชนาการบนฉลาก(Mandatory) เป็นลักษณะบังคับว่าต้องมี ถ้าไม่มี จะมีบทลงโทษ และกลุ่มที่ผู้ประกอบการสามารถแสดงฉลากได้ตามความสมัครใจ (Voluntary) คือ กฎหมายไม่บังคับ – จะแสดงฉลากหรือไม่ก็ได้1) ประเทศหรือกลุ่มประเทศที่กฎหมายบังคับให้มีการแสดงฉลากโภชนาการในอาหาร ได้แก่ สหภาพยุโรป (อียู), สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, เม็กซิโก, อาร์เจนตินา, บราซิล, ชิลี, โคลัมเบีย, เอกวาดอร์, ปารากวัย, อุรุกวัย, อิสราเอล, อินเดีย, อินโดนีเซีย, จีน (+ เขตปกครองพิเศษฮ่องกง), เกาหลีใต้, มาเลเซีย, ไต้หวัน, ไทย, ออสเตรเลีย, และนิวซีแลนด์  ซึ่งประเทศเหล่านี้จะกำหนดตามกฎหมายให้ผู้ประกอบการต้องแสดงฉลากโภชนาการถึงแม้ว่าจะไม่มีการแสดงคำกล่าวอ้างทางโภชนาการหรือคำกล่าวอ้างทางสุขภาพก็ตาม โดยจะกำหนดว่าสารอาหารตัวใดจะต้องถูกแสดงบ้างและจะแสดงในลักษณะใด (เช่น ต่อ 100 กรัม หรือ ต่อหน่วยบริโภค เป็นต้น) นอกจากนี้ยังอนุญาตให้มีการแสดงรูปแบบอื่น ๆ ของฉลากโภชนาการได้โดยสมัครใจ อีกด้วย 2) ประเทศหรือกลุ่มประเทศที่ให้มีการแสดงฉลากโภชนาการโดยสมัครใจโดยรัฐให้การสนับสนุนแนวทางในการแสดงข้อมูล ได้แก่ กลุ่มประเทศอาหรับ (Gulf Cooperation Council : GCC) (ประกอบด้วย บาห์เรน, คูเวต, กาตาร์, โอมาน, ซาอุดิอาระเบีย, และสหรัฐอาหรับเอมิเรต: ยูเออี), เวเนซุเอล่า, ตุรกี, สิงโปร์, ฟิลิปปินส์, ญี่ปุ่น, เคนยา, เมาริเทียส, ไนจีเรีย, และอาฟริกาใต้ ซึ่งกฎหมายของประเทศกลุ่มนี้จะให้รัฐเป็นผู้กำหนดว่าสารอาหารใดบ้างที่ต้องมีการแสดงบนฉลากและต้องแสดงฉลากในลักษณะใดแต่ไม่ได้บังคับว่าจะต้องแสดงเว้นเสียแต่ว่ามีการกล่าวอ้างทางโภชนาการหรือกล่าวอ้างทางสุขภาพของอาหารนั้น ๆ หรือเป็นอาหารที่มีวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อการควบคุมน้ำหนัก   ภาพประกอบ : แผนภูมิภาพแสดงการแบ่งกลุ่มประเทศที่มีการแสดงฉลากโภชนาการตามกฎหมายกระแสโลกในการทำให้ฉลากโภชนาการเป็นกฎหมายภาคบังคับในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมากระแสโลกในเรื่องการแสดงข้อมูลโภชนาการได้มุ่งไปสู่การทำเป็นกฎหมายภาคบังคับ เห็นได้จากการที่ มาตรฐานอาหารสากล(โคเด็กซ์) (Codex Alimentarius Commission, 2012) ซึ่งประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2555 นั้น ได้แนะนำให้ฉลากโภชนาการเป็นกฎหมายภาคบังคับแม้ว่าอาหารนั้นจะไม่มีการกล่าวอ้างทางโภชนาการก็ตามในหลายประเทศที่เคยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแสดงฉลากโภชนาการแบบสมัครใจ ก็ได้เปลี่ยนแปลงมาเป็นกฎหมายฉลากโภชนาการแบบภาคบังคับ เช่น ประเทศจีนก่อนหน้านี้ใช้กฎหมายฉลากโภชนาการแบบสมัครใจ ต่อมาเมื่อได้นำมาตรฐานอาหารสากล(โคเด็กซ์) มาใช้ จึงเปลี่ยนให้ฉลากโภชนาการเป็นฉลากภาคบังคับและให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2556 ด้านสหภาพยุโรป (อียู) ได้ผ่านกฎหมายเกี่ยวกับการให้ข้อมูลด้านอาหารแก่ผู้บริโภคในเดือนกันยายน พ.ศ. 2554 ซึ่งทำให้ฉลากโภชนาการเป็นกฎหมายภาคบังคับภายในวันที่ 13 ธันวาคม 2559 แต่ยังมีหลายสิ่งที่สหภาพยุโรปต้องทำก่อนถึงกำหนดในวันที่ 13 ธันวาคม 2559 หนึ่งในนั้นคือ การหาข้อสรุปว่า รูปแบบการแสดงฉลากโภชนาการ แบบใดเหมาะสม เข้าใจง่าย และจะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคมากที่สุด จึงทำให้มีการสนับสนุนทุนทำโครงการวิจัย ชื่อว่า FLABEL ที่พบข้อมูลว่า ใน 27 ประเทศสมาชิกของอียูและตุรกี มีผลิตภัณฑ์ร้อยละ 85 จาก 5 กลุ่มประเภทผลิตภัณฑ์ที่ใช้ฉลากโภชนาการแบบ แสดงด้านหลังบรรจุภัณฑ์ (Back of Pack : BOP) มีผลิตภัณฑ์ร้อยละ 48 ที่ใช้ฉลากโภชนาการแบบ แสดงด้านหน้าบรรจุภัณฑ์ (Front of Pack : FOP) นอกจากนี้ยังพบว่า ร้อยละ 84 ของผลิตภัณฑ์จะแสดงข้อมูลโภชนาการใน รูปแบบเป็นตาราง หรือ เป็นเส้นตรง (ตารางโภชนาการหรือกรอบข้อความโภชนาการ) โดยที่มีเพียงร้อยละ 1 แสดงข้อมูลด้วยสัญลักษณ์สุขภาพ (health logos) และในบรรดาฉลากแบบ แสดงข้อมูลโภชนาการด้านหน้า ทั้งหมด รูปแบบฉลาก หวาน มัน เค็ม (Guideline Daily Amounts :GDA) และ การกล่าวอ้างทางโภชนาการ เป็นรูปแบบที่แพร่หลายที่สุด ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นมาตรฐานกลางของฉลากโภชนาการแบบแสดงข้อมูลด้านหน้าบรรจุภัณฑ์ (FOP)การโต้เถียงเรื่องการใช้ฉลากโภชนาการด้านหน้าบรรจุภัณฑ์ของโลก ส่วนใหญ่อยู่ในสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศในทวีปเอเชีย ได้สร้างความประหลาดใจแก่โลก โดยได้ประกาศใช้ การแสดงฉลากโภชนาการแบบด้านหน้าบรรจุภัณฑ์ ซึ่งแสดงในรูปแบบที่เรียกว่า ฉลาก “หวาน มัน เค็ม” (GDA) เป็นประเทศแรกในเดือน พ.ค. 2554 โดยประกาศใช้ในขนมเด็ก 5 กลุ่ม หลังจากนั้นฉลากรูปแบบนี้ก็ได้เข้าสู่การพิจารณาของรัฐบาลในหลายประเทศ (เช่น ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, สหรัฐอเมริกา) โดยมีสิ่งที่รัฐต้องตัดสินใจคือ จะทำให้ฉลากโภชนาการแบบแสดงด้านหน้านี้เป็นกฎหมายภาคบังคับหรือไม่ และถ้าใช่ ควรที่จะต้องเพิ่มเติมเกณฑ์ประกอบการตัดสินใจของคุณค่าทางโภชนาการที่แสดงผ่านการใส่สี (แบบสีสัญญาณไฟจราจร) หรือ การให้สัญลักษณ์ “เครื่องหมายสุขภาพ” (ตราที่แสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ มีโภชนาการเหมาะสมตามเกณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้ เช่น ตรารูปหัวใจ : สมาร์ทฮาร์ท, เครื่องหมายรูปรูกุญแจสีเขียว) หรือให้ข้อมูลเป็นเปอร์เซ็นของการบริโภคต่อวัน เช่น ฉลาก หวาน มัน เค็ม : GDA ท่ามกลางการตัดสินใจต่าง ๆ เหล่านี้ รูปแบบสีสัญญาณไฟจราจร (Traffic Light) ของสหราชอาณาจักร (UK) เป็นจุดสนใจและได้รับการโต้เถียงอย่างกว้างขวาง กลุ่มผู้บริโภคจำนวนมาก องค์กรภาคประชาสังคม (NGOs) สายสุขภาพ และบางรัฐบาลในยุโรป สหรัฐอเมริกา และประเทศกลุ่มภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิค ได้ประกาศสนับสนุนรูปแบบฉลากโภชนาการด้านหน้าบรรจุภัณฑ์แบบสีสัญญาณไฟจราจรของสหราชอาณาจักรขณะที่รัฐบาลทั้งหลายกำลังตัดสินใจว่าจะใช้ฉลากโภชนาการแบบด้านหน้าบรรจุภัณฑ์ และแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยข้องต่าง ๆ ของตนอย่างไรนั้น รูปแบบย่อยทั้งหลายของฉลากโภชนาการแบบแสดงหน้าบรรจุภัณฑ์ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นก็แพร่หลายไปภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาล, องค์กรระหว่างประเทศ, NGOs, กลุ่มองค์กรภาคอุตสาหรรม และบริษัทต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลโภชนาการได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การผลักดันให้เกิดการหลอมรวมเป็นรูปแบบเดียวกันจึงเกิดขึ้นในบางประเทศ นปี พ.ศ. 2555 แผนกสาธารณสุขของสหราชอาณาจักรได้เสนอรูปแบบฉลากที่รวมฉลาก GDA เข้ากับสีสัญญาณไฟจราจร และ ตัวหนังสือบรรยายโภชนาการ อย่างไรก็ตามยังคงมีการโต้เถียงในเรื่อง การระบุคำบรรยายใต้สัญลักษณ์สีสัญญาณไฟจราจรว่า “สูง” “ปานกลาง” และ “ต่ำ” บนฉลาก และ เกณฑ์ทางโภชนาการควรต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ซึ่งรูปแบบนี้ถูกนำไปใช้โดยความสมัครใจของร้านขายปลีกขนาดใหญ่ทั้งหลายเป็นที่เรียบร้อย แต่ผู้ผลิตอาหารจำนวนมากยังคงลังเลที่จะเข้าร่วมดำเนินการในสหรัฐอเมริกา มีรายงานระยะที่ 1 จาก the Institute of Medicine (IOM) Committee ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 แนะนำว่า ควรต้องมีระบบเฉพาะในการระบุข้อมูลโภชนาการที่สร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อผู้บริโภค 4 ประเภท คือ ค่าพลังงาน (แคลอรี่), หน่วยบริโภค (serving size), ไขมันทรานส์ (trans fat), ไขมันอิ่มตัวและโซเดียม ส่วนในรายงานระยะที่ 2 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554 ได้ระบุเรื่องของการเปิดกว้างของผู้บริโภค ความเข้าใจ และความสามารถในการการใช้ฉลากโภชนาการแบบแสดงหน้าบรรจุภัณฑ์ ซึ่งได้ให้คำแนะนำแก่ อย. (USFDA) และหน่วยงานด้านเกษตร (USDA) ของสหรัฐไว้ว่า ควรต้องมีการพัฒนา ทดสอบและบังคับใช้รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งของฉลากโภชนาการแบบแสดงหน้าบรรจุภัณฑ์ในผลิตภัณฑ์ทั้งหมด และได้ให้คำแนะนำให้การบังคับใช้มาตรการฉลากนี้ว่า จะต้องเกิดจากความมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด และกลุ่มผู้มีความสนใจที่หลากหลาย สำหรับรูปแบบฉลากที่แนะนำนั้น IOM เสนอให้แสดงเป็นสัญลักษณ์แสดงปริมาณแคลอรี่ต่อหน่วยบริโภคและแสดงคะแนนเป็นดาวโดยเทียบจากคุณค่าทางโภชนาการ ด้านไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ โซเดียม และน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ ที่ต่ำกว่าเกณฑ์โภชนาการ  ไม่เพียงแค่ภาครัฐที่ดำเนินการเรื่องฉลากโภชนาการ ในปี พ.ศ. 2555 กลุ่มภาคเอกชนของสหรัฐฯ ได้แก่ สมาคมร้านค้าของชำ สถาบันการตลาดอาหาร และผู้แทนของบริษัทชั้นนำด้านการผลิตอาหาร เครื่องดื่ม และและกลุ่มผู้ค้าปลีก ได้นำเสนอ ฉลากแบบสมัครใจเรียกว่า fact-based FOP nutrition labelling ที่แสดงข้อมูลพลังงาน และสารอาหารสำคัญ (ไขมันอิ่มตัว โซเดียม และน้ำตาล) ด้านหน้าของบรรจุภัณฑ์ ซึ่ง อย. ของ สหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนฉลากแบบนี้ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า  ต้องไม่ทำให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิดในสารอาหารของผลิตภัณฑ์อีกหนึ่งความก้าวหน้าที่สำคัญของกระแสการทำให้ฉลากโภชนาการแบบแสดงด้านหน้าบรรจุภัณฑ์กลายเป็นมาตรฐานสากลคือ การที่ สหภาพยุโรป ได้ประกาศใช้กฎหมาย ข้อมูลด้านอาหารเพื่อผู้บริโภค ที่อนุญาตให้มีการใช้ฉลากโภชนาการแบบสมัครใจในบางรูปแบบได้ ทำให้มีการแสดงข้อมูลทางโภชนาการ สี ภาพ หรือ สัญลักษณ์ ซึ่งต่อมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2556 ได้มีการออกเอกสารถาม-ตอบ (Q&A) เพื่อสร้างความชัดเจนในการบังคับใช้มาตรการนี้ออกมา โดยในเอกสารได้ยืนยันว่า กิโลจูล (หน่วยของค่าพลังงาน)สามารถใช้ได้บนฉลากโภชนาการแบบสมัครใจด้านหน้าบรรจุภัณฑ์ ไม่ว่าจะแสดงเดี่ยว ๆ หรือจะแสดงคู่กันกับ กิโลแคลอรี ก็ได้ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ในงานประชุมของรัฐบาลของทั้งสองประเทศได้มีความเห็นตรงกันว่ามีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการพัฒนาฉลากโภชนาการแบบแสดงด้านหน้าบรรจุภัณฑ์ที่เข้าใจและแปลความได้ง่าย แต่ยังไม่ได้ประกาศสนับสนุนการแสดงฉลากรูปแบบสีสัญญาณไฟจราจรโดยทันที ซึ่งต่อมา ในประเทศออสเตรเลีย ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับทิศขึ้นชุดหนึ่งขึ้นมาทำงานในเรื่องนี้ เช่นเดียวกันกับในนิวซีแลนด์ ที่ได้มีกลุ่มทำงานมาพัฒนาแนวทางและคำแนะนำต่อการจัดทำฉลากโภชนาการแบบแสดงด้านหน้าผลิตภัณฑ์ แต่มิได้มีรูปแบบเฉพาะเจาะจงออกมาเช่นกัน ซึ่งความน่าจะเป็นของรูปแบบฉลากโภชนาการของทั้งสองประเทศนี้น่าจะมีความคล้ายคลึงกันมาทางฝั่งทวีปเอเซียกันบ้าง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 ประเทศเกาหลีใต้ กลายเป็นประเทศแรกในเอเซียที่ประกาศใช้ฉลากโภชนาการแบบแสดงด้านหน้าบรรจุภัณฑ์ในรูปแบบสีสัญญาณไฟจราจรโดยสมัครใจในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเด็ก และภายหลังเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2555 นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศยกระดับการแสดงฉลากในรูปแบบสีสัญญาณไฟจราจรในขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มเป็นกฎหมายภาคบังคับโดยให้มีผลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 ซึ่งการกระทำนี้ส่งผลให้ประเทศเกาหลีใต้กลายเป็นประเทศแรกในโลกที่ใช้รูปแบบฉลากโภชนาการแบบสีสัญญาณไฟจราจรภายใต้กฎหมายภาคบังคับ นับแต่นั้น ได้มีการผ่านร่างกฎหมายสองฉบับ ฉบับแรก ว่าด้วยการแสดงฉลากโภชนาการแบบสีสัญญาณไฟจราจรในอาหารที่เด็กชื่นชอบได้แก่ ขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่ม กับ กฎหมายฉบับที่สองซึ่งกำหนดให้มีการแสดงฉลากโภชนาการทั้งแบบสีสัญญาณไฟจราจรและแบบคุณค่าทางโภชนาการต่อวันที่ใส่สีเพื่อแสดงเกณฑ์ประกอบการตัดสินใจ การเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นรุ่งอรุณแห่งมาตรการฉลากโภชนาการที่น่าจะช่วยให้ประเทศอื่น ในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิค เจริญรอยตาม ก็เป็นได้ข้อถกเถียงเรื่องรูปแบบฉลากโภชนาการยังไม่ยุติข้อถกเถียงที่ว่ารูปแบบฉลากโภชนาการแบบใดจะมีประสิทธิภาพที่สุด จะดำเนินต่อไปในยุโรป, เอเซีย-แปซิฟิค, และอเมริกา ในช่วงอนาคตอันใกล้ การศึกษาวิจัยที่มากขึ้นจะเป็นประโยชน์และช่วยยืนยันประเด็นนี้ รัฐบาล NGOs ผู้ผลิตอาหารและผู้ค้าปลีกได้ร่วมกันสำรวจว่า รูปแบบฉลากโภชนาการแบบใดที่ผู้บริโภคชื่นชอบที่สุด ด้วยเหตุผลใด และรูปแบบใดจะส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อและการสร้างสมดุลในการเลือก แม้จะมีข้อมูลจำนวนหนึ่งที่ให้คำตอบได้ แต่ยังคงไม่มีข้อสรุปใด ๆ จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหลายว่าจะไปในทิศทางใดกัน อย่างไรก็ตาม มีความชัดเจนว่ามีความจำเป็นที่จะต้องให้ข้อมูลโภชนาการบนฉลากอาหารที่ง่ายกว่าในปัจจุบันแก่ผู้บริโภค ข้อมูลโภชนาการ/ ตารางโภชนาการ แบบภาคบังคับ เป็นเครื่องมือทางสาธารณสุขที่ช่วยประกอบการตัดสินใจเลือกของผู้บริโภคในยุโรป สหรัฐฯ แคนาดา ฮ่องกง มาเลเซีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย และเหมือนกับเครื่องมืออื่นๆ มันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบต่อเมื่อมันเหมาะสมต่อหน้าที่ของมัน ซึ่งก็คือ ผู้บริโภคมีความเข้าใจและใช้มัน ในสหรัฐฯ ความความเติบโตทางความเห็นที่ว่า ข้อมูลโภชนาการแบบเดิม ๆ อย่างเดียวไม่เพียงพอ หรือ มันไม่สามารถเข้าใจและใช้ได้ง่ายกว่าที่เป็นอยู่อีกแล้ว อย. สหรัฐฯ จึงได้ประกาศภารกิจเร่งด่วนในการทบทวนการแสดงโภชนาการในรูปแบบ ข้อมูลโภชนาการ/ ตารางโภชนาการเสียใหม่ ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแสดงข้อมูลโภชนาการด้านหน้าผลิตภัณฑ์ (FOP) ขณะที่ฉลากหวาน มัน เค็ม (GDA) ได้รับการสนับสนุนจำนวนมากจากกลุ่มผู้ผลิตอาหาร และผู้กำหนดนโยบาย ความเป็นประโยชน์ในการเป็นแนวทางประกอบการเลือกของผู้บริโภคจะขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าในการให้การศึกษาผู้บริโภคให้สามารถใช้ประโยชน์จากมันอย่างไร------------------------------สถานการณ์ด้านฉลากโภชนาการของประเทศไทย นับแต่การประกาศใช้ข้อมูลโภชนาการ/ ตารางโภชนาการ ในปี พ.ศ. 2541 ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีการควบคุมฉลากโภชนาการแบบสมัครใจมาโดยตลอด จนถึงการบังคับใช้ฉลากโภชนาการแบบหวาน มัน เค็ม (จีดีเอ) ในปี พ.ศ. 2554 ที่ยกระดับการควบคุมทางกฎหมายของฉลากโภชนาการจากสมัครใจมาสู่กฎหมายภาคบังคับ โดยควบคุมการแสดงฉลากโภชนาการในอาหาร กลุ่มขนมขบเคี้ยว 5 ประเภท ได้แก่ มันฝรั่งทอดหรืออบกรอบ, ข้าวโพดคั่วทอดกรอบหรืออบกรอบ, ข้าวเกรียบหรืออาหารขบเคี้ยวชนิดอบพอง, ขนมปังกรอบหรือแครกเกอร์หรือบิสกิต, และเวเฟอร์สอดไส้ แต่ก็ยังคงมีความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรูปแบบการแสดงฉลากโภชนาการอย่างต่อเนื่อง  ย้อนไปในปี พ.ศ. 2553 มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติระบุว่า ให้มีฉลากโภชนาการอย่างง่าย(ฉลากโภชนาการแบบแสดงด้านหน้าบรรจุภัณฑ์) ในรูปแบบสีสัญญาณไฟจราจร จึงนำมาซึ่งการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมและนำเสนอรูปแบบฉลากสีสัญญาณไฟจราจรแก่ อย. อย่างไรก็ตาม อย. กลับได้ประกาศใช้ฉลากหวาน มัน เค็ม แทนที่ฉลากสีสัญญาณไฟจราจรตามมติสมัชชา และในเดือนเมษายน พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา อย. ได้ขยายการควบคุมจากผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว 5 ประเภทมาเป็น อาหาร 5 กลุ่ม ได้แก่ ขนมขบเคี้ยว (มันฝรั่งทอดหรืออบกรอบ, ข้าวโพดคั่วทอดหรืออบกรอบ, ข้าวเกรียบทอดหรืออบกรอบ หรืออาหารขบเคี้ยวชนิดอบพอง, ถั่วหรือนัตทอดหรืออบกรอบหรืออบเกลือ หรือเคลือบปรุงรส, สาหร่ายทอด หรืออบกรอบ หรือเคลือบปรุงรส และปลาเส้นทอด หรืออบกรอบหรือปรุงรส), ช็อกโกแลต, ผลิตภัณฑ์ขนมอบ (ขนมปังกรอบหรือแครกเกอร์หรือบิสกิต, เวเฟอร์สอดไส้, คุ้กกี้, เค้ก, และ พาย เพสตรี้ ทั้งชนิดที่มีและไม่มีไส้), อาหารกึ่งสำเร็จรูป (ก๋วยเตี๋ยว ก๋วยจั๊บ บะหมี่ เส้นหมี่ และวุ้นเส้นไม่ว่าจะมีการปรุงแต่งหรือไม่ก็ตามพร้อมซองเครื่องปรุง, และ ข้าวต้มที่ปรุงแต่ง และโจ๊กที่ปรุงแต่ง), และอาหารมื้อหลักที่เป็นอาหารจานเดียว ซึ่งต้องเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นหรือตู้แช่แข็งตลอดระยะเวลาจำหน่าย  นอกจากการทำให้ฉลากโภชนาการแบบหวาน มัน เค็ม เป็นฉลากแบบบังคับแล้ว อย. ยังได้ร่วมกับหน่วยงานวิชาการในการทำการศึกษารูปแบบฉลากโภชนาการแบบสัญลักษณ์สุขภาพและได้ออกประกาศให้มีการแสดงฉลากโภชนาการแบบสมัครใจขึ้นมาอีก 1 รูปแบบ ใช้ชื่อว่า สัญลักษณ์โภชนาการ (สัญลักษณ์ทางเลือกสุขภาพ) โดยได้มีการประกาศในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ซึ่ง ทางเลือกสุขภาพนี้ คือเครื่องหมายที่ช่วยให้ผู้บริโภคทราบว่าผลิตภัณฑ์อาหารนั้นมีปริมาณสาร อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ดีต่อสุขภาพ  ด้านฝั่งองค์กรภาคประชาสังคมได้มีการรณรงค์เพื่อผลักดัน ให้ อย. พิจารณาบังคับให้ฉลากโภชนาการแบบสีสัญญาณไฟจราจร แทนที่ฉลากแบบหวาน มัน เค็ม โดยได้มีดัดแปลงรูปแบบจากรูปแบบของสหราชอาณาจักรมาเป็นสัญญาณไฟจราจรแบบไทย และได้นำประเด็นเข้าสู่การเรียนการสอนในโรงเรียน พัฒนาเด็กและอาจารย์ในโรงเรียนให้มีความรู้ในการอ่านฉลากอาหารและฉลากโภชนาการรูปแบบต่างๆ รวมทั้งสามารถใส่สีสัญญาณไฟจราจรลงบนฉลากอาหารได้ด้วยตนเอง โดยเริ่มทำงานในโรงเรียนจำนวน 3 แห่งในจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งในปัจจุบันอยู่ระหว่างการขยายผล ขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมใน 8 จังหวัดของภาคตะวันตกตามการแบ่งเขตขององค์กรผู้บริโภค ได้แก่ นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ฉลากโภชนาการรูปแบบใดจะเหมาะสมสำหรับประเทศไทย สมควรหรือไม่ที่ควรต้องมีรูปแบบเดียว หรือจะให้มีหลากหลายรูปแบบทั้งแบบภาคบังคับและภาคสมัครใจนั้น ยังคงต้องการการศึกษาเพื่อยืนยัน ว่าฉลากรูปแบบใดกันแน่ ที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้บริโภคมากที่สุดข้อมูล Global Update on Nutrition Labelling Executive Summary January 2015Published by the European Food Information Council. www.eufic.org/upl/1/default/doc/GlobalUpdateExecSumJan2015.pdf

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 136 แกงเผ็ดเป็ดเนื้อ

ปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ฉันนัดกับ บก.เจี๊ยบ และ สุ ตากล้องของฉลาดซื้อไปถ่ายรูปประกอบพ็อกเก็ตบุ้ค “เรียนในจาน” หนังสือประเภท How to cook ที่คัดเอาจากเมนูต่างๆ ที่เคยตีพิมพ์ในคอลัมน์นี้เขียนใหม่ในบริบทใหม่ ที่รวบรวมเมนูอาหารทำกินเองได้ง่ายๆ พร้อมเรื่องเล่าที่เรียนรู้และเลียนแบบมาจากแหล่งต่างๆ ไว้เกือบ 30 รายการ หนึ่งในเมนูนั้นมีตุ๋นเป็ดมะนาวดองสูตรของแม่ที่ต้องแน่ใจว่า เครื่องปรุงสำคัญ 3 อย่างคือ เป็ด ฟัก และมะนาวดอง ต้องแก่จึงจะได้รสชาติอร่อยอย่างที่แม่คอนเฟิร์มอยู่ด้วย เมื่อต้องย้ายที่ปรุงจากบ้านที่ผักไห่ไปทำกันที่บ้านทาวน์เฮ้าส์ของฉันที่นนทบุรี แถมยังเป็นวันอาทิตย์อีกต่างหาก ตุ๋นเป็ดมะนาวดองเที่ยวนี้เลยต้องมีเหตุได้ปรับแปลงจากเป็ดไข่ปลดระวางราคาตัวละ 60 บาท และหาได้จากตลาดนัดวันจันทร์เท่านั้น ไปเป็นเดินหาเป็ดแบบด้นสดกันในตลาดบางบัวทองในเช้าวันที่จะปรุง   เดินหาเป็ดไข่ปลดระวางในตลาดบางบัวทองตั้งแต่ยังไม่ตี 5 เดินไปมา 3 รอบ ก็ไม่เจอ แม้แต่เป็ดเนื้อที่คาดว่าจะมีก็ไม่เห็นสักตัวบนแผงที่มีเรียงรายเกือบ 10 แผง เอายังไงดีละทีนี้ จะขับรถไปตลาดบางใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล ก็เกรงว่าจะเสียเวลาเพราะเมนูที่เตรียมไว้วันนี้กว่า 10 รายการ สุดท้ายเอ่ยปากถามเป็ดเอาจากแม่ค้าขายไข่ไก่ เธอเลยตะโกนถามแม่ค้าเป็ดพะโล้ที่อยู่ใกล้ๆ ให้ว่า “แบ่งขายหรือเปล่า” ไม่งั้นไม่ได้เป็ดมาตุ๋นลงเล่มแน่ๆ ทีแรกฉันก็งงๆ จนเดินมาหาแม่ค้าเป็ดพะโล้ เธอบอกว่ากำลังจะพะโล้เป็ดพอดี เป็ดเนื้อที่จับมัดตั้งท่าไว้สวยงาม กำลังถูกลำเลียงลงหม้อพะโล้ใบใหญ่ 4 – 5 ใบ ที่วางเรียงรายหน้าถังน้ำแข็งใบใหญ่มาก เป็ดเนื้อราคาแพงกว่าเป็ดไข่ถึง 4.6 เท่า และแม่ไม่ชอบกินเพราะมันเยอะกว่า แต่ถ้าจะเอามาตุ๋นแก้ขัด ฉันก็งัดวิชามารขึ้นมาใช้ แร่เนื้อเอามันและหนังส่วนคอทิ้งไป ผ่าครึ่งตัวแล้วหั่นเป็นชิ้นโตๆ ก่อนนำไปเคี่ยวไฟ และลดเวลาในการเคี่ยวไฟลงเพื่อไม่ให้เนื้อเปื่อยเละเกินอร่อย แถมสุกและเปื่อยไวกว่าเป็ดไข่แก่ๆ เท่านี้ฉันก็เอาตัวรอดไปได้อีกคราว เป็ดอีกครึ่ง เอาใส่ถุงพลาสติกมัดปากแน่น ยัดลงกล่องโฟมโป๊ะน้ำแข็งกลับมาบ้านที่ผักไห่ จะทำอะไรกินดีละทีนี้ แรกทีเดียวกะหั่นเนื้อเป็ดเป็นชิ้นๆ แล้วเอามารวนเพื่อทำลาบเป็ด กินกับพริกขี้หนูทอดหอมๆ แนมกับผักสด แต่สุดท้าย ก็มาจบเอาที่แกงเผ็ดเป็ดเนื้อแทน เครื่องปรุง 1.เนื้อเป็ดสดหั่นเป็นชิ้นพอคำ 1 ถ้วย 2.พริกแกงเผ็ด    1 ขีด 3.มะพร้าวขูด 2 ขีด คั้นหัว-หางกะทิ 1 ½ ถ้วย 4.หน่อไม้ดอง 2/3 ถ้วย 5.มะเขือพวง      2/3 ถ้วย 6.พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ 4 – 5 เม็ด 7.ใบมะกรูดฉีก 3 – 4 ใบ 8.โหระพา 9.น้ำปลา – น้ำตาลทราย วิธีทำ หาหม้อใบย่อมใส่น้ำตั้งไฟให้เดือด จึงใส่หน่อไม้ดองลงไปต้มสัก 5 นาที แล้วจึงดับเตาไฟ เทและสรงหน่อไม้ดองให้สะเด็ดน้ำ ตั้งกระทะ ผัดพริกแกงกับหัวกะทิจนหอม กะทิแตกมัน จึงเอาเนื้อเป็ดที่หั่นไว้ลงไปผัดให้สุกแล้วจึงเติมหางกะทิลงไป ปล่อยทิ้งไว้ให้เดือดอีกครั้ง จึงเติมหน่อไม้ดองลงไป ปล่อยให้เดือดอีกสักครู่ ระหว่างนี้ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลได้ตามชอบ แล้วจึงใส่มะเขือพวง และใบมะกรูดลงไป ปล่อยให้เดือดอีกครั้งจึงจะปิดเตา ตักเสิร์ฟร้อนๆ โรยหน้าด้วยพริกชี้ฟ้าและใบโหระพา เป็ดเนื้อในแกงคราวนี้เนื้อก็นุ่มอร่อยดีนะ ไม่ต้องเคี่ยวนาน จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็ดไข่ปลดระวางหรือเป็นเป็ดเนื้อ สุดท้ายก็บินไม่ได้ไกล อยู่ในน้ำได้แค่พอไม่ให้น้ำท่วมหลัง ไม่เชี่ยวอย่างปลา แถมยังต้องคอยระวังว่าจะถูกเชือดกินเมื่อไหร่ไม่รู้ นี่พูดถึงเป็ด ไหงรู้สึกว่ารำพึงรำพันชีวิตตัวเองอยู่ก็ไม่รู้ ไว้ฉบับหน้า ค่อยมาเก็บตกมาจากวัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหารและถ่ายรูปขึ้นเล่ม ด้วยเมนูใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยเขียนทั้งในคอลัมน์และในฉบับรวมเล่มกันอีกดีกว่า

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 125 ต้มเป็ดมะนาวดอง : ต้อง 3 แก่เท่านั้นที่แม่คอนเฟิร์ม

  ปีนี้ฝนมาไวกว่าปกติ ผิดกับปีก่อนที่ฝนล่าและแล้งร้อนร้ายกาจ   ตั้งแต่พฤษภาคมเป็นต้นมาฝนตกบ่อยๆ ฝนตกสลับกับแดดออกแบบจัดจ้าอย่างนี้มาหลายวันแล้ว   สภาพอากาศแบบนี้ก็ชวนให้ครั่นเนื้อครั่นตัวง่ายๆ ได้เหมือนกัน ฉันเพิ่งรู้และเพิ่งกลับจากการสังเกตการประชุมเตรียมการของกลุ่มชาวบ้านเพื่อรับมือกับโครงการที่ราชการจะปรับแปลงสภาพพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้เป็นแอ่งรับน้ำนองเพื่อแก้ปัญหาภัยน้ำท่วมกรุงเทพ     โดยที่ก่อนหน้านี้ในเขตอำเภอผักไห่นั้นมีการประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง  การประชุมวันนี้เป็นช่วงการเริ่มต้นจับกลุ่มกันทำงานของชาวบ้านเพื่อระดมความคิดจัดทำแผนรับมือกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากที่เจอกันเป็นประจำทุกปี ฟังจากที่ประชุมเขาว่า  ก่อนหน้านี้ที่อำเภอเสนาและบางบาลมีการประชุมเตรียมการรับมือกันอย่างคึกคัก  ก็อย่างว่าแหละ ปัญหามาจ่อคอหอยกันขนาดนั้น มันก็ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรให้กับตัวเองกันหน่อย  ฟังเสียงดูว่า อย่างน้อย พวกเขาก็ควรให้มีแผนการปรับตัวของคนในพื้นที่โดยพวกเขาเอง   เดินเข้าบ้านไปถึงครัว เห็นหม้ออะลูมิเนียมใบใหญ่สุดในบ้านมีเป็ดต้มอยู่ไอกรุ่นๆ  แรกทีเดียวฉันนึกว่าแม่คงทำเป็ดพะโล้ให้กิน  แต่ดูๆ ไปชักสงสัย ไหงมีแต่น้ำเปล่าๆ ต้มกับเป็ด? ถามแม่  แม่ว่าจะต้มเป็ดมะนาวดอง  ฉันพยายามนึกถึงมัน  นานทีเดียวที่ไม่ได้กินกับข้าวเมนูนี้ ตอนที่ต้นมะนาวแป้นที่ขึ้นอยู่ข้างกอกล้วยหลังบ้านยังมีชีวิตอยู่ มันให้ลูกกินอยู่บ่อยๆ บางช่วงที่น้ำดีก็จะมีลูกดกมาก  ซึ่งช่วงนั้นเองแม่จะเก็บมะนาวแก่จัดๆ ที่ร่วงเกลื่อนใต้ต้นมาล้างและดองในขวดกาแฟปากกว้าง  บางครั้งฉันหอบหิ้วโหลมะนาวดองของแม่ไปที่สำนักงานแถวงามวงศ์วานด้วยเพื่อให้แม่บ้านสำนักงานช่วยต้มฟักไก่มะนาวดองให้กิน ระหว่างนั่งซดน้ำซุปโฮกๆ   ที่รสชาติทิ้งห่างเมื่อใช้ไก่    สลับกับเคี้ยวเนื้อเป็ดนุ่ม หนุบหนับๆ ความรู้เกี่ยวกับการดองมะนาวของแม่ก็ส่งทอดมาสู่ฉันอย่างไม่เป็นระบบระเบียบ จากการถามคำตอบคำระหว่างฉันกับแม่ รวมความแล้ว แม่ว่ามะนาวที่ใช้ดอง ต้องเป็นมะนาวแก่เท่านั้น  เมื่อเอามาดองแล้วผ่าดูจะเห็นได้ชัดว่าถ้าเป็นมะนาวแก่จัดจะมีลักษณะเป็นมันเยิ้มข้างใน และรสชาติเปรี้ยวเค็มกำลังดี  ส่วนมะนาวดองวันนี้ที่แม่ซื้อจากตลาดมามันอ่อน ไม่ได้รสชาติ เพราะจะมีแต่รสเค็มเกลือ และทำให้แทนที่จะใส่มะนาวดองเพียงลูกเดียวก็ต้องใส่ดับเบิ้ลเป็น 2 เท่า  เลือกมะนาวได้แล้ว ล้างแล้วเอาไปคลึงกับเกลือเม็ดให้น้ำเขียวๆ ที่ผิวซึ่งมีรสขมออกให้หมด  แล้วล้างซ้ำ จากนั้นนำไปตากแดดให้แห้ง 2 วัน ครบกำหนดก็เอานึ่งในน้ำเดือดจัดๆ ประมาณ 5 นาที แล้วเอามาผึ่งลมให้แห้ง  จากนั้นก็เตรียมต้มน้ำเกลือสำหรับดอง  แม่บอกว่าไม่ได้ตวงเกลือตวงน้ำ แต่ใช้วิธีชิมเอา เค็มได้ที่ของแม่นี่แค่ไหนหนอ ... ฉันนึกระหว่างที่แม่บอกว่าต้องรอให้น้ำเกลือเย็นก่อนค่อยเอามะนาวดองได้  มะนาวดอง  ดองนานราว 1 เดือน โดยเอาโหลมะนาวออกผึ่งแดดทุกวัน  ถ้าน้ำดองมะนาวเริ่มมีฟองก็ค่อยเทออกมาต้มเติมเกลือลงไป แล้วรอให้เย็นจึงดองต่อจนครบกำหนด   สูตรต้มเป็ดมะนาวดองของแม่ แม่ว่าต้องใช้เป็ดไข่แก่ที่ปลดระวางแล้วจึงจะอร่อยกว่าเป็ดรุ่น เป็ดสาว แถมราคาก็ถูกกว่าด้วย  ให้ร้านสับเป็ดเป็นชิ้นโตๆ  ส่วนก้นที่เกรงว่าจะสาบให้เฉือนเอาตรงที่เป็นต่อมไขมันชวนเสียวนั้นทิ้งไป   แล้วเอาชิ้นเป็ดมาล้างให้สะอาด  ส่วนฟักที่จะใช้ใส่คู่กันก็ต้องแก่จัด  หากเป็นฟักลูกอ่อนจะทำให้เละ และน้ำขุ่น  วิธีการต้ม ตั้งน้ำใส่เกลือนิดหน่อยให้เดือดพล่านแล้วใส่ชิ้นเป็ดสับลงไปต้ม หรี่ไฟลงให้เป็นไฟกลาง คอยช้อนฟองออก  ต้มราว 20 นาที แล้วจึงปอกเปลือกฟักใส่ลงไป  พร้อมๆ กับเห็ดหอมที่แช่จนนิ่ม  ต้มต่อจนสุก ก่อนยกลงจึงปรุงรสด้วยน้ำมะนาวดอง และลูกมะนาวดอง  อ้อ!... ต้องผ่ามะนาวดองเอาเม็ดออกก่อนนะเพื่อกันขม   แค่นี้ก็ได้น้ำซุปรสกลมกล่อม จากเครื่องปรุงสำคัญ 3 อย่าง เป็ด ฟัก และมะนาวดอง ที่ต้องแก่ๆ ทั้งนั้น แม่จึงจะประกันคุณภาพความอร่อย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 142 รอยแผลเป็น

เมื่อมีบาดแผลหรือการฉีกขาดของเนื้อเยื่อของผิวหนัง ร่างกายจะเริ่มกระบวนการสมานแผลหรือซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเนื้อเยื่อที่ฉีกขาด ซึ่งผลที่ออกมาจะไม่เรียบเนียนเหมือนเก่า แต่อาจทิ้งรอยนูนหรือหลุมไว้เป็นหลักฐานที่ผิว ที่เรียกว่า แผลเป็น แผลเป็นจะหนักเบาขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือ ความรุนแรงของบาดแผล ถ้าเป็นแผลเล็กๆ น้อยๆ แค่ระดับผิวชั้นหนังกำพร้าเมื่อแผลหาย อาจไม่เหลือรอยแผลเลย แต่ถ้าแผลลงลึกไปถึงชั้นหนังแท้หรือกล้ามเนื้อ กระดูก ร่องรอยของแผลเป็นก็จะยิ่งชัดเจน ซึ่งถ้าเกิดในบริเวณนอกร่มผ้าจะสร้างความกังวลให้กับคนที่รักสวยรักงามเป็นพิเศษ ชนิดของแผลเป็นรอยแผลเป็นมีมากมายหลายชนิด แต่ที่เป็นปัญหาหลักๆ จะมี 2 ชนิดใหญ่ ดังนี้1.รอยแผลเป็นนูนหนา (Hypertrophic scar) คือ แผลเป็นที่มีสีแดงและนูนขึ้นมาจากผิวหนังปกติ แต่ ไม่กินวงกว้างไปจากรอยแผลเดิม ส่วนที่นูนขึ้นมาเกิดจากการสร้างคอลลาเจนมากเกินไปของร่างกาย   2.คีลอยด์ (Keloid) คือ แผลเป็นที่มีอาการนูนและแดงคล้ายกับรอยแผลเป็นนูนหนา แต่มีความ ผิดปกติทำให้เกิดการขยายตัวกว้างขึ้นเข้าสู่เนื้อเยื่อรอบๆ รอยโรคของแผลตอนแรกเริ่ม การรักษารอยแผลเป็นในท้องตลาดมีสารพัดครีม สารพัดยา ออกมาวางขายกันมากมาย ก็มีทั้งที่ได้ผลและไม่ได้ผล แต่ในระดับที่เป็นที่ยอมรับมีดังต่อไปนี้ 1.แผ่นเจลซิลิโคน (silicone gel sheet) เป็นแผ่นซิลิโคนใสที่เหมาะสำหรับแผลเป็นที่มีสีแดงหรือสีคล้ำหรือนูน เคยมีรายงานการใช้แผ่นเจลซิลิโคนรักษาแผลแล้วพบว่า จะช่วยให้สีของแผลจางลงและแผลแบนราบลงได้ 2. การฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Intra lesional corticosteroid) การฉีดยาสเตียรอยด์ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ โดยเฉพาะศัลยแพทย์ตกแต่ง ซึ่งจะฉีดยาสเตียรอยด์นี้เข้าใต้ตำแหน่งของแผลเป็น จะช่วยให้แผลเป็นนั้นนุ่มลงและแบนราบลงได้ หรืออาจเป็นการใช้ยาทาสเตียรอยด์ทาบริเวณแผลเป็น จะช่วยบรรเทาอาการคัน ตึง ปวด เพื่อไม่ให้ลุกลามขึ้น แต่ไม่ช่วยให้แผลเป็นหรือคีลอยด์ยุบลงได้ 3. การผ่าตัด การผ่าตัดจะช่วยจัดตำแหน่งร่องรอยแผลเป็นให้ดูดีขึ้นได้ แต่ทุกครั้งที่มีการผ่าตัดก็จะเกิดแผลเป็นใหม่แทนที่แผลเป็นเก่าเสมอ การผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์ได้ผลดีพอสมควร แต่ยังขึ้นอยู่กับขนาดของแผลเป็นด้วย 4.การใช้สารเคมีในการรักษา ตัวอย่างสารที่นำมาใช้ในการรักษาแผลเป็น มีดังนี้ : วิตามิน ได้แก่ วิตามินเอ หรือ retinoic acid นิยมใช้สำหรับแผลเป็นชนิดที่เป็นหลุม โดยไปกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ และทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นหนังกำพร้าหนาตัวขึ้น จะให้ผลดีกับแผลเป็นชนิดตื้นๆ และค่อนข้างใหม่ วิตามินอี มีรายงานกล่าวอ้างว่า วิตามินอี ช่วยเร่งให้แผลหายเร็วขึ้น ซึ่งแพทย์บางคนแนะนำให้ใช้ แต่ก็มีรายงานการศึกษาเปรียบเทียบขี้ผึ้งวิตามินอีกับยาหลอกแล้วพบว่า ขี้ผึ้งวิตามินอีไม่ช่วยให้แผลเป็นดีขึ้นแตกต่างจากยาหลอก อีกทั้งมีรายงานการเกิดผื่นแพ้สัมผัสจากขี้ผึ้งวิตามินอีด้วย สารที่มีฤทธิ์ลอกผิว (chemical peeling) สารที่ใช้ในการลอกผิวมีหลายชนิดและมีการพัฒนาตามลำดับ เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดและเกิดผลข้างเคียงน้อยที่สุด ตัวอย่างของสารเคมีที่นิยมใช้ ได้แก่ sulfur, resorcinol, alpha hydroxy acid 30-70%, betahydroxy acid 10-30%, trichloracetic acid 20-90% และ phenol peel เป็นต้น สารแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยแตกต่างกัน สารที่มีความเข้มข้นต่ำทำให้มีการลอกผิวในชั้นตื้นๆ ส่วนสารที่มีความเข้มข้นสูงหรือ phenol ทำให้มีการลอกผิวในชั้นลึก ซึ่งให้ผลการรักษาที่ดีกว่า แต่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงมากขึ้น จึงควรใช้โดยผู้มีประสบการณ์เท่านั้น   สารสกัดจากสมุนไพร มีการค้นหาสมุนไพรสำหรับรักษาแผลเป็น ซึ่งที่กำลังแรงในปัจจุบันคือ บัวบก (Centella asiatica (Linn.) Urban) และ หอมหัวใหญ่ (Allium ascalonicum Linn.) โดยสารสำคัญที่ออกฤทธิ์รักษาแผลเป็นในบัวบก คือ asiaticoside, asiatic aicd และ madecassic acids  สารสำคัญเหล่านี้จะช่วยกันออกฤทธิ์ในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและ glycoaminoglycan ซึ่งมีผลต่อการสร้างเนื้อเยื่อ  นอกจากนี้ยังสามารถยับยั้งกระบวนการการเกิดแผลเป็นชนิดนูนด้วย ส่วนสารสำคัญที่ออกฤทธิ์รักษาแผลเป็นในหอมหัวใหญ่คือ quercetin ซึ่งเป็นสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ มีฤทธิ์ยับยั้ง proliferation ของไฟโบรบลาสและยับยั้งการสร้างคอลลาเจนด้วย สามารถยับยั้งกระบวนการการเกิดแผลเป็นชนิดนูนด้วยเช่นกัน ------------------------------------------------------------------------------------------------- ปล่อยให้แผลเป็นจางลงเองตามธรรมชาติ ร่างกายคนเราเยี่ยมที่สุดแล้ว แผลเป็นเล็กๆ น้อยๆ ใช้เวลาไม่นานลืมๆ ไปบ้าง แผลก็จะดูจางลงไปเอง ดังนั้นเวลาคุณไปขอคำแนะนำจากแพทย์ผู้ชำนาญการหรือศัลยแพทย์ตกแต่ง หลายท่านจะแนะนำให้ทิ้งรอยแผลนั้นไว้เฉยๆ เสียก่อนเป็นเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี จนแผลเป็นเดิมๆ ที่มีอยู่ ค่อยๆ จางลงไปเรื่อยๆ จนเต็มที่ ถ้าร่องรอยยังบาดใจ ก็ค่อยมาให้การรักษา

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 144 องค์การอิสระเพื่อผู้บริโภค… อีกนิดเดียวจะเป็นจริง(?)

เคยได้ยินหรือมีประสบการณ์ประมาณนี้กันไหมครับ…   ทางด่วนขึ้นราคาจาก 55 บาท เป็น 85 บาท หรือรัฐวิสาหกิจขึ้นราคาพลังงาน เรากลับทำอะไรไม่ได้ ตรวจสอบความเป็นเหตุเป็นผลของการขึ้นราคาก็ไม่ค่อยได้   ฟรีทีวีจอดำก็ต้องปล่อยให้ดำต่อไป เว้นแต่ต้อง “ซื้อกล่อง” มาติด   ถอยรถป้ายแดง ต้องซ่อมแล้วซ่อมอีก หน่วยราชการก็ไร้น้ำยาที่จะช่วยเหลือ   หากรถโดยสารสาธารณะที่นั่งไปเกิดอุบัติเหตุ กลับต้องไปฟ้องศาลเรียกค่าเสียหายกันเอง เพราะรถโดยสารเหล่านั้นไม่ได้ถูกบังคับจากหน่วยราชการที่กำกับดูแลให้ต้อง ซื้อประกันภัยชั้น 1 แถมบางคันก็เป็น “รถตู้เถื่อน”   อาหารที่กินเข้าไปจะมีผลต่อสุขภาพหรือไม่ ก็ยากที่จะทราบได้ เพราะข้อความในฉลากมักจะกำกวม อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง   หรืออยากกินอาหารที่ปลอดการตัดต่อทางพันธุ กรรม (จีเอ็มโอ) หรือปลอดสารเคมีก็เลือกไม่ได้ เพราะไม่ได้มีระเบียบให้ผู้ผลิตต้องทำฉลากอาหารที่ชัดเจนเพื่อแจ้งผู้บริโภค …สถานการณ์ข้างต้นน่าจะคลี่คลายไปได้มากโข เพราะคาดกันว่าเดือนกุมภาพันธ์นี้ สภาจะพิจารณาร่าง พ.ร.บ.องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ที่ผ่านการพิจารณาของกรรมาธิการร่วมสองสภามาเรียบร้อยแล้ว   หากสภาผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว จะทำให้ประเทศไทยมี “องค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และเป็นที่สองในอาเซียนรองจากสิงคโปร์   เอาเข้าจริงแล้ว การผลักดันร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีมานานกว่า 15 ปี นับจากรัฐธรรมนูญ 2540 (มาตรา 57) และรัฐธรรมนูญ 2550 (มาตรา 61) ซึ่งต่างก็บัญญัติให้มีการจัดตั้งองค์การอิสระขึ้น เพื่อตรวจสอบมาตรการการคุ้มครองผู้บริโภคของหน่วยงานต่างๆ เพื่อทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อเท็จจริง เข้าถึงการร้องเรียนที่เป็นธรรม และได้รับการเยียวยา   เหตุการณ์สำคัญที่ควรจารึกไว้ก็คือ ในที่สุดเมื่อ 6 ตุลาคม 2553 ที่ประชุม ส.ส.สมัยนายชัย ชิดชอบ มีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งมี 7 ร่าง ทั้งร่างของ ครม. พรรครัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน (ในขณะนั้น) และภาคประชาชน 11,230 คนที่ลงชื่อเสนอกฎหมาย   ระหว่างที่ร่างกฎหมายอยู่ที่การพิจารณาของ คณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภา รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศยุบสภาเมื่อ 10 พฤษภาคม 2554 มีผลให้ร่างนี้ต้องตกไปโดยปริยาย แต่ ครม.ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีมติขอดึงร่างกฎหมายนี้กลับมาให้สภาพิจารณาต่อ โดยไม่ยอมปล่อยให้ตกไป   แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ และพรรคการเมืองต่างๆ ล้วนให้ความสำคัญต่อร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ซึ่งเป็นนิมิตหมายอันดีว่านักการเมืองในช่วงหลังๆ เริ่มให้ความสำคัญต่อสิทธิผู้บริโภค ซึ่งก็คือสิทธิของคนทุกคน   ทีนี้หากจะถามว่า ในเมื่อเรามีหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคอยู่แล้ว เช่น สำนักงานอาหารและยา (อย.) สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กรมการค้าภายใน กรมการขนส่งทางบกฯลฯ แต่ทำไมจึงต้องมีองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคขึ้นมาอีก คำตอบมีดังนี้ ประการแรก องค์การอิสระเป็นหน่วยงานที่มีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง ไม่ใช่หน่วยงานราชการที่ถูกกำกับโดยฝ่ายการเมือง (ที่บางทีอาจเกรงใจฝ่ายธุรกิจ) อีกทั้งกฎหมายองค์การอิสระบัญญัติให้รัฐจัดสรรเงินไม่น้อยกว่า 3 บาทต่อหัวประชากรต่อปี ให้องค์การอิสระฯใช้ไปทำงาน (เท่ากับ 3 บาท X 64 ล้านคน ตกราวๆ 192 ล้านบาท ขึ้นไปต่อปี) จึงทำให้มีเงินไปทำงานคุ้มครองผู้บริโภคได้ตามสมควร การกำหนดว่ารัฐต้องจัดสรรอย่างน้อย 3 บาทต่อหัว ถือว่าเป็นการเขียนกฎหมายที่ก้าวหน้ามาก เพราะหากเขียนว่า “ให้รัฐจัดสรรเงินให้อย่างพอเพียงทุกปี” ก็อาจทำให้รัฐจ่ายเท่าไรก็ได้ตาม “ดุลพินิจ” ซึ่งอาจมีผลต่อความเป็นอิสระขององค์การได้ นอกจากนี้ ที่มาของกรรมการ 15 คน ก็จะมาจากการคัดเลือกกันเองของผู้บริโภคและมาจากกรรมการสรรหา ซึ่งจะปลอดจากฝ่ายราชการและการเมือง จึงทำให้องค์การอิสระ มีอิสระกว่าหน่วยราชการอื่นๆ ที่ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคมาโดยตลอด   ประการที่สอง ความเป็นอิสระขององค์การทำให้ตรวจสอบหน่วยงานของรัฐได้เต็มที่ เช่น ตรวจสอบหน่วยราชการว่าทำไมจึงยังปล่อยให้มีแร่ใยหินอยู่ในสินค้า (เช่นกระเบื้องมุงหลังคา) ทั้งๆ ที่หลายๆ ประเทศมีคำสั่งห้ามไปแล้ว หรือตรวจสอบการขึ้นราคาทางด่วน หรือการปรับราคาพลังงาน ว่าเป็นการขึ้นราคาที่สมเหตุสมผลหรือไม่ หรือเป็นการขึ้นราคาที่ไม่โปร่งใส เป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์แก่คนบางกลุ่มบางพวก   ประการที่สาม องค์การอิสระมีอำนาจตามกฎหมายเปิดเผยรายชื่อสินค้าและบริการที่ทำให้ผู้ บริโภคเสียหาย เพื่อเตือนให้สาธารณะได้รับรู้ เช่น มีสมาชิกร้องเรียนหน่วยราชการตั้งแต่ปี 2552 ว่าฟิตเนสแห่งหนึ่งไม่ได้ให้บริการตามสัญญา แต่หน่วยราชการแห่งนั้นกลับไม่เคยเตือนประชาชน ทำให้มีผู้บริโภคไปสมัครเป็นสมาชิกรายใหม่ จนในที่สุดมีผู้เสียหายถึง 1.5 แสนคน ฯลฯ ซึ่งการออกมาเตือนจะช่วยยับยั้งการลุกลามของปัญหาได้   ประการที่สี่ องค์การอิสระจะทำงานแบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว (one stop service) ว่ากันว่าหน่วยราชการที่ทำงานด้านอาหารปลอดภัยมีถึง 13 หน่วยงานใน 11 กระทรวง ดังนั้น หากผู้บริโภคมีความต้องการ เช่น ต้องการให้มีฉลากอาหารที่ระบุว่าอาหารนั้นมีจีเอ็มโอ หรือต้องการทำฉลากอาหารให้อ่านได้ง่ายขึ้น เช่น หากอาหารมีน้ำตาลมาก หรือมีโซเดียมมาก ก็จะติด “สีแดง” บนฉลากเพื่อเตือนผู้บริโภค หรือกรณีขวดนมเด็กที่มีส่วนผสมของพลาสติกที่เป็นสารก่อมะเร็ง หรือกรณีมีสารเคมีตกค้างในผักผลไม้เนื้อสัตว์ ฯลฯ องค์การอิสระฯก็จะมีความเห็นทางวิชาการเพื่อผลักดันหน่วยราชการต่างๆ ให้มีมาตรการบังคับฝ่ายธุรกิจให้ทำฉลากเตือนตามที่ผู้บริโภคต้องการ หากหน่วยราชการเหล่านั้นไม่ยอมทำตามความ เห็นขององค์การอิสระฯ ก็ต้องแถลงเหตุผลต่อประชาชนว่าทำไมจึงทำไม่ได้ เท่ากับทำให้หน่วยราชการอยู่ภายใต้อำนาจของประชาชน จะทำงานเช้าชามเย็นชาม หรือให้อำนาจเงินอยู่เหนือสาธารณะไม่ได้อีกต่อไป มิฉะนั้น หากเข้าสู่อาเซียนแล้วแต่งานคุ้มครองผู้บริโภคยัง “ประสานงา” และอ่อนแออย่างทุกวันนี้ ไทยก็จะกลายเป็นตลาดที่รองรับสินค้าที่ไม่มีคุณภาพอย่างแน่นอน   ประการที่ห้า องค์การอิสระสามารถฟ้องคดีสาธารณะแทนผู้บริโภคได้ โดยร้องผ่านอัยการสูงสุด   เช่น ผู้บริโภคมีเงินเหลือในโทรศัพท์ 10 บาท แต่ถูกริบเพราะบัตรเติมเงินหมดอายุ ทั้งๆ ที่ระเบียบกำหนดไว้ว่าห้ามกำหนดวันหมดอายุ มิฉะนั้นจะต้องชดเชยให้ผู้บริโภค 5 เท่าของเงินที่ริบไป กรณีเช่นนี้ผู้บริโภคคงไม่อยากเสียเวลาไปฟ้องศาลเพื่อเรียกร้องเงิน 50 บาท (5 เท่าของ 10 บาท) แต่องค์การอิสระฯสามารถฟ้องคดีแทนผู้บริโภคทั้งหมดที่ถูกริบเงินได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ให้บริการต้องจ่ายเงินค่าปรับให้ผู้บริโภคทุกคน และคงไม่กล้าฝ่าฝืนระเบียบเรื่องห้ามกำหนดวันหมดอายุในบัตรเติมเงินอีก   ประการสุดท้าย สิ่งที่หน่วยราชการที่ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคไม่ค่อยทำ แต่องค์การอิสระมีหน้าที่ต้องทำ คือสร้างความเข้มแข็งให้ผู้บริโภค เช่น ส่งเสริมการรวมตัวกันของผู้บริโภค ในลักษณะที่ฝ่ายธุรกิจทำมาก่อน อาทิ การรวมตัวเป็นหอการค้า สภาอุตสาหกรรม ฯลฯ ผู้บริโภคจะได้เข้มแข็ง สามารถถ่วงดุลกับเอกชนได้   ทั้งหมดทั้งปวงนี้ คาดว่าสภาจะมีการผ่านร่าง พ.ร.บ.ในต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ ดังนั้น 15 ปีที่รอคอยกันมา จึงใกล้จะเป็นจริงแล้ว

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 164 กระเป๋าหาย แอร์เอเชีย หาคืนไม่ได้ ก็จ่ายให้คุ้มหน่อย

ทุกวันนี้สายการบินต้นทุนต่ำทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศนั้น มีการแข่งขันกันสูง ทุกเจ้าต้องต่อสู้กันทางธุรกิจทั้งด้วยราคาและบริการ เพื่อครองใจลูกค้าให้ได้ การลด แลก แจก แถม... ก็มีให้เห็นกันตลอด คุณนันท์นภัส ก็เป็นคนหนึ่งที่มีความจำเป็นต้องเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศอยู่บ่อยๆ เธอจึงเลือกใช้บริการของ แอร์เอเชีย ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ ที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลก(โฆษณาเขาว่ามาแบบนี้นะ)ย้อนกลับไปเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2556  คุณนันท์นภัส โทรศัพท์เข้ามาร้องเรียนต่อศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภคว่า สายการบินแอร์เอเชียทำกระเป๋าเดินทางเธอหาย โดยเธอเล่าว่าเมื่อวันที่ 26  พฤษภาคม 2556  ขณะที่เธอไปทำงานกับสามีที่ประเทศสิงคโปร์ เธอเลือกที่จะใช้บริการสายการบินแอร์เอเชีย โดยเครื่องออกจากท่าอากาศยานซางฮี สิงคโปร์  เพื่อเดินทางกลับมาประเทศไทย เธอนำกระเป๋าโหลดเข้าเครื่องตามปกติ  แต่เมื่อถึงสนามบินดอนเมือง กระเป๋ากลับไม่ได้ตามออกมาด้วยคุณนันท์นภัสยืนรอที่สายพานลำเลียงกระเป๋าอยู่นานจนแน่ใจว่า ไม่มีกระเป๋าเดินทางของเธอแล้ว  เธอจึงสอบถามกับพนักงานของสายการบินทันที ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร เพราะเธอมีกำหนดเดินทางต่อไปจังหวัดอุบลราชธานี  ประเทศลาว  มาเก๊า และอีกหลายที่อย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นที่พักของเธอ“ดิฉันพยายามติดต่อ สอบถามพนักงานของสายการบิน ตั้งแต่วันแรกที่หาย เพื่อขอให้ติดตามกระเป๋าคืนมาให้ได้โดยเร็ว เพราะในกระเป๋าเดินทางมีของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นอยู่จำนวนมาก ซึ่งพนักงานก็ได้ยืนยันว่ากระเป๋าไม่หายแน่นอน เพราะยังมีเที่ยวบินจากสิงค์โปร์อีก 2 เที่ยวในวันนั้น โดยอ้างว่าเมื่อพบกระเป๋าเดินทางแล้วจะส่งคืนให้ดิฉันที่จังหวัดอุบลราชธานีในวันรุ่งขึ้นทันที” แต่พอถึงอุบลราชธานีแล้ว ก็ไม่มีการส่งมอบกระเป๋าคืนตามที่ว่าไว้แต่อย่างใด เธอหงุดหงิดมาก เพราะทุกครั้งเธอต้องเป็นฝ่ายพยายามสอบถามแล้วกับทางสายการบินตลอด แต่ไม่มีคำตอบและแทบไม่มีการติดต่อกลับ ต่อมาในวันที่ 19 มิถุนายน 2556  บริษัท แอร์เอเชีย โดยแผนกติดตามสัมภาระ ฝ่ายปฏิบัติการภาคพื้นดิน ได้มีหนังสือแจ้งคุณนันท์นภัสว่า สายการบินหากระเป๋าเดินทางของเธอไม่เจอ จึงขอแสดงความรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหาย โดยอ้างข้อกำหนดและเงื่อนไขการบินของแต่ละสายการบิน ซึ่งในกรณีสัมภาระสูญหายสำหรับเส้นทางการบินระหว่างประเทศ กำหนดไว้ที่ 922 บาท ต่อ 1 กิโลกรัม เมื่อสัมภาระของคุณนันท์นภัส มีน้ำหนัก 15 กิโลกกรัม  คุณนันท์นภัส จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยความเสียหายเป็นเงินจำนวน 13,830 บาทจากจดหมายฉบับดังกล่าว เธอเห็นว่า “ไม่เป็นธรรม” เนื่องจากในกระเป๋าเดินทางมีของใช้ที่จำเป็นและทรัพย์สินหลายอย่างที่มีมูลค่ารวมเกินกว่า 50,000  บาท ในเมื่อบริษัทไม่สามารถติดตามกระเป๋าเดินทางคืนมาได้ การเสนอจะชดใช้โดยอ้างกฎระเบียบที่กำหนดขึ้นเอง จึงเป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบและการเอาเปรียบของผู้ประกอบการต่อผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นแบบอย่างให้เกิดการเอาเปรียบกับผู้บริโภครายอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากในอนาคต  เธอจึงนำเรื่องเข้าร้องเรียนต่อศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อขอความช่วยเหลือ แนวทางแก้ไขปัญหา ภายหลังรับเรื่องร้องเรียน ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค ได้ออกหนังสือเพื่อขอให้บริษัทแอร์เอเชีย เยียวยาความเสียหายให้กับผู้บริโภค  แต่ก็ได้รับการยืนยันจากบริษัทว่า ได้พิจารณาเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคุณนันท์นภัสแล้วเป็นเงิน 13,830 บาท ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคดังนั้นเมื่อไม่มีทางออกในการเจรจา คุณนันท์นภัส จึงจำเป็นต้องขอนำเรื่องเข้าสู่ศาล ด้วยการยื่นฟ้องบริษัท แอร์เอเชีย จำกัด เป็นคดีผู้บริโภค ต่อศาลแขวงดอนเมืองเมื่อฟ้องคดีแล้ว กระบวนการในคดีผู้บริโภคนั้น ศาลจะเน้นกระบวนการเจรจาไกล่เกลี่ย  สำหรับคดีนี้โดยใช้ชั้นเจรจาไกล่เกลี่ยคู่กรณีทั้งสองฝ่าย พยายามหาข้อยุติร่วมกันในการเจรจาประนีประนอม แต่ก็ไม่สามารถหาจุดร่วมที่ตกลงกันได้เมื่อคดีมีแนวโน้มจะต้องตัดสินให้มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกผิดด้วยคำพิพากษา แต่ผู้ตัดสินเห็นว่ายังมีแนวโน้มที่จะตกลงกันได้ จึงได้พยายามหาทางไกล่เกลี่ยกันอีกครั้ง  โดยในครั้งนี้มีผู้ตัดสินเข้าร่วมการเจรจาด้วย  เบื้องต้นคุณนันท์นภัส ยืนยันถึงข้อเสนอให้บริษัทชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 30,000  บาท พร้อมให้บริษัททำการขอโทษถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น  แต่เพื่อให้การเจรจาสามารถดำเนินการต่อไปตามคำแนะนำของผู้ตัดสิน            คุณนันท์นภัสและบริษัท แอร์เอเชีย จึงสามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจากันได้ คือ บริษัท แอร์เอเชีย ยินดีชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายเป็นเงินจำนวน 25,000 บาท พร้อมปลอบใจด้วยบัตรโดยสารเส้นทางภายในประเทศไปและกลับจำนวน 1 ที่  และบริษัทยินดีรับจะนำเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไปปรับปรุงแก้ไขการบริการให้ดีขึ้นต่อไป คุณนันท์นภัส ยินยอมรับข้อเสนอนี้ เรื่องจึงเป็นอันยุติลงในชั้นศาล ด้วยการจบคดีแบบประนีประนอมยอมความแม้ว่าผลของคดีนี้จะไม่ได้จบลงด้วยคำพิพากษาเพื่อให้เป็นคดีตัวอย่าง ตามที่คุณนันท์นภัสคาดหวังไว้ในตอนแรก แต่การจบลงด้วยการเจรจาไกล่เกลี่ย  ก็สามารถชี้ให้เห็นถึงแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีลักษณะนี้สำหรับผู้บริโภครายต่อๆ ไปได้ว่า หากใครเจอปัญหาแบบนี้แล้วเจรจาตกลงกันไม่ได้  ให้เตรียมหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาฟ้องศาลได้เลย อย่าได้กลัวหรือคิดว่าจะเสียเวลา เพราะการพิทักษ์สิทธิตนเองเป็นสิ่งสำคัญ อย่างน้อยการเจรจาไกล่เกลี่ยที่ศาล ก็สามารถสร้างแรงกดดัน เพิ่มอำนาจการต่อรองให้กับบริษัทผู้ให้บริการต้องชดเชยความเสียหายคืนได้เหมือนคดีนี้ได้

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 150 ถูกเรียกค่าเช่าห้องก่อนย้ายออกไม่เป็นธรรม

ปรารถนา ทำสัญญาเช่าห้องกับอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งย่านอ้อมน้อย เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2555สัญญาระบุค่าเช่าห้องและค่าเช่าเฟอร์นิเจอร์ราคา 3,900 บาทต่อเดือน เก็บค่าประกันเฟอร์นิเจอร์ 5,000 บาท กำหนดพักอาศัยไม่ต่ำกว่า 6 เดือนนับแต่วันที่เช่า  หากเช่าไม่ครบกำหนด อพาร์ทเม้นท์จะไม่คืนเงินค่าประกันให้ในขณะที่ปรารถนาได้ให้ข้อมูลว่า ห้องที่เข้าพักเป็นห้องวีไอพี สัญญาจึงต้องอยู่ขั้นต่ำ 3 เดือน โดยจะครบกำหนดวันที่ 4 มิถุนายน 2555 (ตรวจสอบสัญญาแล้วไม่มีข้อความไหนที่ระบุตามเงื่อนไขนี้) พอเข้าพักอาศัยปรารถนาบอกว่าพบความไม่สะดวกหลายอย่างในการเข้าพักที่อพาร์ทเม้นท์แห่งนี้ เช่น เสียงดังจากถนนใหญ่ การเก็บค่าไฟฟ้ามากเกินจริง ร้านซักรีดรีดเสื้อผ้าไม่ประณีต และเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญที่สกปรก รวมไปถึงเรื่องการจราจรที่ต้องใช้เวลารอการข้ามถนนนานมากทำให้ไปงานสาย จึงอยากย้ายออกก่อนกำหนดที่เข้าใจว่าคือวันที่ 4 มิถุนายน 2555 แต่ต้องการเงินประกันคืนในวันที่ 11 พฤษภาคม 2555 ปรารถนาจึงไปปรึกษากับเสมียนสำนักงานอาคารว่าอยากขอย้ายออกก่อนกำหนด โดยให้เหตุผลแบบเนียนๆ ว่า ต้องเดินทางไปต่างประเทศ ดูเท่ไม่เบา เสมียนก็เห็นใจแจงว่า หากย้ายออกก่อนกำหนดและต้องการเงินประกันคืน ทางอาคารจะคิดค่าเช่าถึงวันที่ 4 มิถุนายน 2555 แล้วถึงจะได้เงินประกันคืนหลังจากนั้น ซึ่งปรารถนาก็ยินยอมวันที่ 25 พฤษภาคม 2555 จึงได้ไปกรอกแบบฟอร์มแจ้งความจำนงขอย้ายออก พบเงื่อนไขในแบบฟอร์มว่า “กรณีผู้เช่าออกไม่เกินวันที่ 15 ของเดือน จะเก็บค่าเช่าห้องพักถึงวันที่ 15 เท่านั้น โดยสามารถรับเงินค่าประกันห้องพักคืนได้ตั้งแต่วันที่ 20 ของเดือนที่ย้ายออกเป็นต้นไป กรณีผู้เช่าย้ายออกหลังจากวันที่ 15 ของเดือน จะเก็บค่าเช่าห้องพักเต็มเดือน โดยสามารถรับเงินค่าประกันห้องพักคืนได้ตั้งแต่วันที่ 10 ของเดือนถัดไปเป็นต้นไป” จากเงื่อนไขที่ว่า ทำให้ปรารถนาต้องถามย้ำกับเสมียนอพาร์ทเม้นท์ว่า ตนเองจะต้องเสียค่าเช่าถึงวันที่เท่าไหร่ ก็ได้รับคำตอบยืนยันเหมือนเดิมว่า คิดค่าเช่าถึงวันที่ 4 มิถุนายนเท่านั้นและเงินประกันห้องจะได้คืน พอถึงวันย้ายของออก ได้มีเจ้าหน้าที่ประจำสำนักงานมาแจ้งกับปรารถนาว่าจะต้องจ่ายค่าเช่าถึงวันที่ 15 มิถุนายนหรือจ่ายอีกครึ่งเดือนตามเงื่อนไขที่ได้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วถึงจะได้เงินประกันคืน ปรารถนาเลยไม่ยอมเพราะเจรจาและเข้าใจมาโดยตลอดว่าจ่ายถึงวันที่ 4 มิถุนายนเท่านั้น แล้วนำเรื่องมาร้องเรียนกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แนวทางแก้ไขปัญหาได้ฟังเรื่องราวแล้วดูชุลุมุนอีรุงตุงนังเหมือนกัน เนื่องจากการสื่อสารที่ไม่ได้ยึดข้อสัญญาที่ทำไว้ และด้วยความปรารถนาดีของเสมียนอพาร์ทเม้นท์ที่อยากจะช่วยเหลือผู้ร้องเรียนทั้งๆ ที่ตนเองไม่มีอำนาจ ก็เลยทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนห่างไกลไปจากข้อสัญญาที่ทำไว้มากขึ้นเรื่อยๆอพาร์ทเม้นท์แห่งนี้แม้จะมีข้อเสียหลายประการ แต่จุดดีอย่างหนึ่งก็คือการเปิดโอกาสให้ผู้เช่าแจ้งย้ายออกได้โดยให้บอกกล่าวล่วงหน้าก่อน 15 วันเท่านั้น เพราะที่เห็นมาบางแห่งต้องแจ้งก่อนเป็นเดือน และอีกประการคือหากแจ้งย้ายก่อนวันที่ 15 ของเดือนก็จะคิดค่าเช่าแค่ครึ่งเดียวบางแห่งก็ฟาดซะเต็มเดือนดังนั้นเมื่อปรารถนาแจ้งย้ายเป็นทางการด้วยการกรอดแบบฟอร์มแจ้งความจำนงขอเลิกสัญญาเช่าในวันที่ 25 พฤษภาคม 2555 ตามสัญญาที่ถือกันอยู่ปรารถนาก็มีสิทธิที่จะอยู่พักในห้องเช่าได้ไปจนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2555 เพราะมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าเช่าอีกครึ่งเดือนตามสัญญาอยู่แล้ว ที่ว่ามานี้เป็นไปตามสัญญาทั่วไปที่ใช้ปฏิบัติกันอยู่แต่ทั้งนี้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้ออกประกาศ คณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้เช่าที่อยู่อาศัยที่เรียกเงินประกันเป็นธุรกิจควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ. 2549 ซึ่งกำหนดให้ผู้เช่ามีสิทธิได้รับคืนเงินประกันทันทีเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาเช่าที่อยู่อาศัย หรือเมื่อสัญญาเช่าเลิกกัน เว้นแต่กรณีที่ผู้ให้เช่าประสงค์จะตรวจสอบความเสียหายที่ผู้เช่าต้องรับผิดชอบ หากผู้เช่าไม่ได้ทำความเสียหาย ผู้เช่ามีสิทธิได้รับคืนเงินประกันภายใน 7 วัน โดยให้ผู้ให้เช่ารับภาระค่าใช้จ่ายในการนำส่งคืนเงินประกันตามวิธีการที่ผู้เช่าแจ้งให้ทราบดังนั้น เมื่อปรารถนาบอกเลิกสัญญาในวันที่ 25 พฤษภาคม 2555 และแจ้งจะขนย้ายของออกในวันที่ 27 พฤษภาคม 2555  ส่วนผู้ให้เช่าขอตรวจสอบความเสียหาย แล้วไม่พบความเสียหายก็จะต้องคืนเงินประกันภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2555 ซึ่งสามารถที่จะหักค่าเช่าห้องครึ่งเดือนที่ค้างอยู่ตามสัญญาได้หากอพาร์ทเม้นท์หรือห้องเช่าแห่งไหนที่มีการเรียกเก็บเงินประกันไม่มีข้อความหรือรายการแจ้งสิทธิตามประกาศของ สคบ. ผู้บริโภคสามารถแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ให้เช่าได้ทันที ฐานความผิดคือมีใบเสร็จรับเงินที่ไม่มีรายการตามที่คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคกำหนด มีความผิดตามมาตรา 57 ของพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้ประกอบธุรกิจสามารถไปซื้อแบบหลักฐานการรับเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายได้ที่กองคุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โทรติดต่อสอบถามได้ที่ 02-1430377-83

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 147 แอร์การ์ดทรู เรียกเก็บค่าบริการไม่เป็นธรรม

เรื่องมีอยู่ว่า...เมื่อเดือนธันวาคม 2555 ผมเดินทางไปเชียงใหม่ จำเป็นต้องส่งข่าวกลับ กทม.ผมจึงซื้อแอร์การ์ดของทรูมาใช้ในราคา 990 บาท ตอนซื้อมานึกว่าจะใช้ได้เลย ก็กลับใช้ไม่ได้ทันที โดยต้องสมัครอะไรไม่รู้วุ่นวาย จากนั้น Call Center 1331 แนะนำว่าถ้าจะใช้งานทันที ต้องสมัครแบบคิดค่าบริการรายเดือน..ผมต้องการรีบส่งข่าวก็เลยยอมเวลาผ่านไปการใช้งานแอร์การ์ด ก็ดีบ้างไม่ดีบ้าง..โดยวันที่ 21 ธันวาคม 2555 ผมโทรไป 1331 อีกครั้ง เพื่อถามว่า..จะขอยกเลิกบริการต้องทำอย่างไร เจ้าหน้าที่บอกว่า..โปรโมชั่นจากยอด 990 ที่ซื้อมาสามารถใช้ได้ถึงเดือนมิถุนายน โดยถ้าไม่ใช้ก็ไม่มีค่าบริการ ซึ่งผมก็คิดว่า..ใกล้ๆ เดือนมิถุนายนค่อยไปยกเลิกก็ยังทันปรากฏว่าเดือนมีนาคมมีบิลมาเรียกเก็บค่าบริการ 4 ร้อยกว่าบาท ทั้งๆ ที่ไม่ได้ใช้แอร์การ์ดเลยตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม ผมโทรไป 1331 สอบถาม ได้คำตอบว่า...ค่าใช้จ่ายมีเดินทุกเดือน แต่ที่ไม่ส่งบิลมาให้ เพราะจะใช้วิธีหักจากยอด 990 บาทให้หมดก่อน เมื่อยอดเกินค่อยส่งใบเรียกเก็บ กรณีนี้..ทรูส่อพฤติกรรมซุ่มเงียบตีกินโดยไม่รู้ตัว เพราะถ้าส่งใบเสร็จมาให้ตั้งแต่เดือนธันวาคมหรือมกราคม ถึงแม้จะเป็นยอดที่หักจาก 990 บาท ก็ควรส่งใบเรียกเก็บทุกเดือนให้ลูกค้าเข้าใจได้ว่ามีค่าใช้บริการเดินอยู่ เพราะอย่างน้อยถ้ามีการเรียกเก็บเงินตั้งแต่แรกผมก็จะได้ไปดำเนินการปิดบริการตั้งแต่เดือนมกราคมแล้วหลังจากนั้น..ผมพยายามติดต่อทั้งทาง 1331 ทั้งทางเว็บไซต์ เพื่อขอฟังเทปสนทนาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ถ้าผมผิดจริงก็ยินดีจ่ายให้ แต่ถ้าพนักงานแนะนำไม่ให้ปิดบริการจริง ทางทรูก็ต้องรับผิดชอบโดยไม่คิดค่าบริการส่วนเกินที่เรียกเก็บ..ก็เท่านั้น ซึ่งระหว่างหาเทปสนทนามายืนยันไม่ได้ ผมก็ขอให้ทรูระงับค่าบริการไม่ให้เดินหน้าต่อไปอีก ซึ่งคำตอบก็คือ..ต้องจ่ายค่าบริการที่ค้างอยู่ก่อนจึงจะปิดบริการได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตอบได้แค่เบสิกพื้นฐานตามระเบียบอย่างเดียวแล้วถ้าผมยอมจ่ายส่วนเกินที่ไม่เป็นธรรมแล้วให้ปิดบริการ ก็เท่ากับผมยอมรับยอดเงินส่วนเกินอย่างงั้นเหรอ..มันไม่ถูกต้อง ถึงจะไม่กี่ร้อยบาท แต่ถ้าลูกค้าเจอแบบนี้เข้าไปหลายๆ ราย..จะเป็นเงินเท่าไหร่(เคยตัว) จนป่านนี้..ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ระดับตัดสินใจได้หรือแก้ปัญหาเป็น มาแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จ คงปล่อยให้เวลาเนิ่นนานไปเรื่อยๆ..ถ้าเดาไม่ผิด เพื่อจะเอาค่าบริการที่ยังเดินอยู่นั่นเอง แนวทางแก้ไขปัญหาหลักการในการแก้ไขปัญหาสำหรับคนที่เจอปัญหาการบอกเลิกสัญญาบริการโทรคมนาคมในลักษณะเดียวกันนี้...เมื่อผู้บริโภคไม่ประสงค์จะใช้บริการอีกต่อไป และไม่มีค่าบริการติดค้างกันอยู่ ผู้บริโภคมีสิทธิที่จะบอกเลิกการใช้บริการได้ทุกเมื่อ ส่วนใหญ่มักจะถูกสาวคอลเซนเตอร์หรือพนักงานบริการปฏิเสธไว้ก่อนว่าบอกเลิกไม่ได้ ดังนั้น การบอกเลิกสัญญาบริการโทรคมนาคมที่ดีที่สุดคือ การบอกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรส่งไปถึงกรรมการผู้จัดการใหญ่ของผู้ให้บริการ แล้วเก็บรายละเอียดการบอกเลิกสัญญาไว้เป็นหลักฐาน หากผู้ให้บริการยังมาเรียกเก็บอีก ผู้บริโภคอาจจะเรียกร้องค่าเสียหายกับผู้ให้บริการได้ โทษฐานเบาะๆ คือ การก่อความเดือดร้อนรบกวนรำคาญ แต่หากระหว่างการบอกเลิกสัญญากันนั้น หลังจากที่ได้หักค่าบริการที่ได้ใช้บริการกันไปแล้ว ยังมีค่าบริการเหลืออยู่ ผู้บริโภคสามารถเรียกร้องให้ผู้ให้บริการคืนค่าบริการที่เหลืออยู่ได้อีกด้วยนอกจากปัญหาทำนองนี้แล้ว ปัญหาในบริการของทรูที่มีการร้องเรียนเข้ามาที่มูลนิธิฯ จนเป็นเรื่องร้องเรียนที่ซ้ำซากเอามากๆ คือ ซิมทรูมูฟแจกฟรี แล้วมาลักไก่เก็บค่าบริการรายเดือนในภายหลัง เมื่อผู้บริโภคเจอปัญหาแบบนี้คำตอบเดียวคือ ไม่ต้องจ่ายเงินครับ และให้มีหนังสือแจ้งไปที่ ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของทรูด้วยตัวเองได้เลย ทางจดหมาย (Mail) ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเลขที่ 1252 ชั้น 14 อาคารทรูทาวเวอร์2 ถนนพัฒนาการ แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กทม.10250 ทางโทรศัพท์ (Call Center) (ไม่คิดค่าบริการ) ผ่านเลขหมาย 0-2900-8088 เวลาทำการ: ทุกวัน เวลา 08.00น.-20.00น. ไม่มีเวลาพัก ทางโทรสาร (Fax) (คิดอัตราค่าใช้จ่ายตามอัตราปกติ) ผ่านเลขหมาย 0-2699-4338 ทางจดหมายอิเลคทรอนิคส์ (Email) Email Address: voc@truecorp.co.th ทางเว็บไซต์ (Website) www.trueinternet.co.th ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของผู้ให้บริการโทรคมนาคมทุกรายถูกกำหนดขึ้นตาม ประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง “กระบวนการรับเรื่องร้องเรียนและพิจารณาเรื่อง ร้องเรียนของผู้ใช้บริการ” ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2549 ได้กำหนดไว้ในข้อ 20 บทเฉพาะกาลว่า “ ให้ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีหลักเกณฑ์การรับเรื่องร้องเรียนและการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน...” และในข้อ 15 วรรคหนึ่งได้ระบุว่า “ผู้รับใบอนุญาตมีหน้าที่จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะขึ้นแยกออกจากหน่วยงาน ตอบคำถามหรือข้อสงสัยทั่วไป เพื่อทำหน้าที่ดูแลการรับเรื่องร้องเรียนและการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน” และในวรรคที่ 2 ระบุต่อว่า “การดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ผู้ได้รับใบอนุญาตอาจดำเนินการด้วยตัวเองหรือจัดจ้างให้บุคคลอื่นดำเนินการ โดยผู้รับใบอนุญาตแต่ละรายอาจร่วมกันจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะขึ้นเพื่อทำหน้าที่ก็ได้…”  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 109 ผู้โดยสาร “นครชัยขนส่ง” ร้องกระเป๋าตังค์หาย

“ถ้าเป็นเงินของหนูเอง คงไม่ร้องหรอกค่ะ แต่เงินที่หายน่ะเป็นเงินของแม่ที่ขายมันสำปะหลังได้ 15,000 บาท แม่ฝากให้หนูเอาไปเข้าธนาคาร หนูสงสารแม่มาก หนูอยากได้เงินคืนค่ะ” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 13 ตุลาคม 2552 วาสนาได้บอกลาผู้เป็นแม่เพื่อเดินทางกลับมาทำงานที่กรุงเทพฯ โดยแม่ได้ฝากเงินจำนวน 15,000 บาท ให้วาสนานำไปเข้าธนาคารในตัวเมืองจังหวัดนครราชสีมา วาสนาเก็บเงินจำนวนนั้นไว้ในกระเป๋าสตางค์และเก็บไว้ในกระเป๋าเป้สะพายอีกทีเวลาประมาณเที่ยงครึ่งของวันที่เกิดเหตุ วาสนาขึ้นรถโดยสารปรับอากาศ ป.2 ที่อำเภอพระทองคำบ้านเกิดซึ่งแล่นมาจากอำเภอเชียงคานมุ่งหน้าเข้าตัวจังหวัดนครราชสีมา เป็นรถของบริษัท นครชัยขนส่ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเดียวที่วิ่งบริการในเส้นทางดังกล่าว“ตอนที่จะขึ้นรถ วาดจะสะพายเป้ขึ้นไปบนรถด้วย แต่พนักงานก็มาหยิบกระเป๋าที่วางอยู่ตรงเก้าอี้ตรงที่รอรถไป แล้วบอกว่าเอาไว้ข้างล่างนี่แหละ ข้างบนคนเยอะ”พูดจบพนักงานของรถก็นำกระเป๋าของวาสนาไปวางแหมะตรงที่เก็บกระเป๋าใต้ท้องรถ วาสนาจึงเอ่ยขอใบรับฝากกระเป๋า แต่พนักงานไม่ให้โดยให้เหตุผลว่าเป็นป้ายรายทางไม่ต้องมี แต่วาสนาจำได้ว่าทุกครั้งที่ขึ้นรถและมีการรับฝากกระเป๋าที่ผ่านมาก็จะได้รับใบรับฝากมาโดยตลอด แต่ต้องขึ้นรถไปเพราะโดนเร่ง และนั่งอยู่ในรถด้วยใจตุ้มต่อมพลางปลอบใจว่าคงไม่มีอะไรเพราะนั่งรถเข้าโคราชใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง พอรถแล่นมาถึง บขส.นครราชสีมา วาสนารีบลงไปรับกระเป๋า ปรากฏว่า “กระเป๋าเป้หายไปแล้ว”“เดินหาจนทั่วก็ไม่มี เลยไปขอให้บริษัทช่วยประชาสัมพันธ์ เขาก็ไม่ประชาสัมพันธ์ให้ จะไปขอดูกล้องวงจรปิดก็มีคนมาบอกว่าเขาคงไม่ให้ดู”วาสนา เดินตามหากระเป๋าของตัวเองจนค่ำมืด ไม่พบกระเป๋า และไม่ได้รับการช่วยเหลือจากบริษัทรถและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใด ๆ ท้ายสุดจึงต้องไปแจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจแนวทางแก้ไขปัญหาถึงแม้ว่าจะมีข้อสันนิษฐานว่า วิญญูชนโดยทั่วไปมักจะเก็บสิ่งของมีค่าหรือกระเป๋าเงินไว้กับตัวไม่ยอมฝากไว้กับใครที่ไม่รู้จัก อย่างไรก็ดีเมื่อสืบค้นข้อมูลไปที่เว็บไซต์ของบริษัทขนส่งจำกัด(บขส.) พบว่ามีผู้โดยสารที่เก็บกระเป๋าสตางค์ไว้ในกระเป๋าเดินทางและฝากไว้ในที่เก็บของใต้ท้องรถอยูหลายรายเช่นกัน และพนักงานประจำรถของ บขส. ได้ให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารติดตามคืนมาได้หลายรายจนมีการประกาศชื่อชมเชยพนักงานท่านเหล่านั้นก็เยอะแต่น่าเสียดายที่พฤติกรรมดี ๆ ของพนักงานเช่นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับพนักงานประจำรถในเที่ยวรถคันดังกล่าวของบริษัท นครชัยขนส่ง จำกัด ซึ่งกระทำผิดระเบียบของพนักงานหลายข้อด้วยกัน เช่น ผิดที่หนึ่ง คือ ไปหยิบดึงกระเป๋าของผู้โดยสารโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตจากผู้โดยสาร ผิดที่สอง คือ รับฝากกระเป๋าผู้โดยสารแล้วไม่ออกใบรับฝากให้ผู้โดยสารเก็บไว้เป็นหลักฐาน ผิดที่สาม คือ ไม่ให้ความช่วยเหลือผู้โดยสารเมื่อได้รับการร้องขอ ผิดที่สี่ เมื่อผู้โดยสารร้องเรียนแล้วกลับเพิกเฉยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่บริษัทแห่งนี้ต้องรีบปรับปรุงการบริการของตนเองโดยด่วน ส่วนการเรียกร้องความเสียหายนั้นหากบริษัทยังเพิกเฉยต่อไป ผู้โดยสารมีสิทธิฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคได้เช่นกันล่าสุดได้ข่าวแว่วว่า บริษัท นครชัยขนส่ง มีการปรับปรุงบริการในการรับฝากกระเป๋าด้วยการให้ใบรับฝากแก่ผู้โดยสารทุกราย และเวลารับกระเป๋าได้ให้ผู้โดยสารเข้ารับกระเป๋าอย่างมีระเบียบแล้ว เหลืออีกอย่างเดียวคือลองพิจารณาเยียวยาความเสียหายให้น้องวาสนาคนต้นเรื่องตามสมควรด้วยจักเป็นพระคุณยิ่ง

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 101 ฮะจิบังเสนอเงินลูกค้า 5 หมื่น จบเรื่องอาหารทำพิษ

รายงานความคืบหน้า กรณีลูกค้าฮะจิบังร้องเรียนว่ามีอาการท้องเสียอย่างรุนแรงหลังรับประทานอาหารที่ร้านฮะจิบัง ราเมน สาขาเทสโก้ โลตัส พระราม 3จากความเดิมต่อจากฉบับที่แล้ว กรณีคุณแพรวพรรณ(นามสมมติ) และครอบครัวไปนั่งรับประทานอาหารที่ร้านฮะจิบังสาขาดังกล่าวแล้วเกิดท้องเสียอย่างรุนแรง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552 หลังจากที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ทำหนังฟสือแจ้งไปยังบริษัท ไทยฮะจิบัง จำกัด เพื่อขอให้บริษัทพิจารณาเยียวยาความเสียหายให้กับผู้บริโภคด้วยความเป็นธรรมตามสมควร ต่อมาในวันที่ 2 มิถุนายน 2552 บริษัทไทยฮะจิบัง จึงได้มีหนังสือตอบกลับมาที่มูลนิธิฯ ใจความสรุปได้ว่า ในวันเกิดแหตุที่ผู้บริโภคได้ร้องเรียนนั้น ร้านฮะจิบังสาขาดังกล่าว ได้จำหน่ายอาหารชนิดเดียวกันกับที่ผู้ร้องเรียนและครอบครัวรับประทานให้แก่ลูกค้าอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ปรากฏว่ามีลูกค้ารายใดมีอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับรายของผู้ร้องเรียนและครอบครัวแต่อย่างใด หากการเจ็บป่วยของผู้ร้องเรียนและครอบครัวเกิดจากอาหารที่รับประทานจากร้านของบริษัทจริง ลูกค้ารายอื่น ๆ จะต้องมีอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงด้วย ดังนั้น อาการท้องร่วงของนางสาวพรรณราย และครอบครัวอาจเกิดจากการได้รับเชื้อโรคบิดชนิดเฉียบพลันจากที่อื่นก่อนมารับประทานอาหารที่ร้านฮะจิบัง ราเมน เมื่อยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเชื้อโรคบิดชนิดเฉียบพลันเกิดจากการรับประทานอาหารของร้านฮะจิบังราเมน บริษัทฯจึงยังไม่อาจพิจารณาเยียวยาค่าเสียหายได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยินดีที่จะพิสูจน์หาความจริงจนเป็นที่แน่ชัดเสียก่อนล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2552 ที่ผ่านมา ตัวแทนของบริษัท ไทยฮะจิบัง ได้เข้าเจรจากับผู้ร้องเรียนที่สำนักงานเขตยานนาวา โดยผู้ร้องเรียนได้เสนอเรียกค่าเสียหายไปทั้งสิ้น 168,000 กว่าบาท แต่ทางบริษัทฯ ยินดีที่จะจ่ายเพื่อเป็นการแสดงความมีน้ำใจให้กับลูกค้าที่อาจเกิดความเข้าใจผิดในบริการของร้านฮะจิบัง ราเมนเป็นเงิน 50,000 บาทถ้วน และขอให้ยุติเรื่องพิพาททั้งหมด ผู้ร้องเรียนปฏิเสธและขอเดินหน้าที่จะฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคต่อไป ความคืบหน้าในการตรวจสอบด้านความปลอดภัยของอาหารในร้านฮะจิบัง ราเมน สำนักงานเขตยานนาวา ได้ดำเนินการตรวจสอบสุขลักษณะของร้านฮะจิบัง ราเมน สาขาเทสโก้ โลตัส พระราม 3 และทำการสุ่มเก็บตัวอย่างอาหาร น้ำแข็ง และน้ำดื่ม ไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2552 หลังเกิดเหตุประมาณ 3 สัปดาห์ ผลการตรวจวิเคราะห์พบอาหารจำนวน 8 จาก 11 รายการที่ไม่อยู่ในมาตรฐาน โดยส่วนใหญ่พบเชื้อแบคทีเรียโคลิฟอร์ม เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด ทั้งในน้ำแข็งและอาหารที่สุ่มตรวจ โดย 1 ตัวอย่างพบเชื้อแบคทีเรียอีโคไลเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดสำหรับอาหารปรุงสุก สำนักงานเขตจึงมีคำสั่งให้ร้านอาหารแห่งนี้มีการปรับปรุงแก้ไขกระบวนการผลิตอาหารให้ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค อาทิเช่น การมีคำสั่งให้ไม่แช่สิ่งของอื่นใดในภาชนะที่บรรจุน้ำแข็งที่ใช้ดื่ม ให้ทำความสะอาดวัตถุดิบด้วยน้ำสะอาดทุกครั้งก่อนนำมาปรุงประกอบอาหาร ให้ผู้ที่สัมผัสอาหารทุกคนล้างมือก่อนและหลังสัมผัสอาหาร เป็นต้นต่อมาในวันที่ 28 เมษายน 2552 สำนักงานเขตยานนาวาได้เข้าตรวจสอบสุขลักษณะของร้านฮะจิบัง ราเมนแห่งนี้อีกครั้ง เพื่อติดตามผลการปฏิบัติตามคำสั่งและสุ่มเก็บตัวอย่างอาหาร รวม จำนวน 11 รายการเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจครั้งนี้พบว่ายังมีการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรียในผักโรยหน้าและน้ำแข็ง ส่วนอาหารชนิดอื่นไม่พบปัญหาใด ๆ สำหรับผลการตรวจสุขภาพของพนักงานในร้าน พบว่า เป็นใบรับรองแพทย์ที่ส่งให้เจ้าหน้าที่มาจากคลินิกเอกชน เจ้าหน้าที่จึงให้ตรวจสุขภาพใหม่ โดยให้เข้ารับการตรวจสุขภาพที่สถานพยาบาลของรัฐ และแนบผลการตรวจ Lab ส่งต่อเจ้าหน้าที่ด้วยทุกคน ซึ่งสำนักงานเขตยานนาวาได้รายงานผลการดำเนินการเฝ้าระวังทั้งหมดนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ไปด้วยแล้ว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 100 ลูกค้าฮะจิบังท้องร่วงอย่างแรงเหตุอาหารทำพิษ

เวลาประมาณ 6 โมงเย็นของวันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2552 คุณแพรวพรรณ พร้อมสามีและลูกสาว ได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านฮะจิบัง ราเมน สาขาเทสโก้ โลตัส พระราม 3ครอบครัวของคุณแพรวพรรณได้สั่งอาหารมารับประทานทั้งหมด 6 รายการ คือ ซารุเซ็ท ที่ประกอบด้วยซารุราเมนและเกี๊ยวซ่า 2 ชุด , ฮะจังเมน , เนงิเรเมน และทาโกะยากิ อย่างละ 1 ชุด นอกจากนี้ยังมีน้ำดื่มยี่ห้อน้ำทิพย์ 2 ขวดและน้ำแข็งเปล่า 3 แก้ว โดยคุณแพรวพรรณรับประทานเกี๊ยวซ่าและทาโกะยากิ สามีรับประทานซารุเซ็ท ฮะจังเมนและเนงิเรเมน ส่วนลูกสาวรับประทานซารุ ราเมนปรากฏว่า เวลาประมาณตี 1 เศษย่างเข้าวันที่ 10 มีนาคม 2552 คุณแพรวพรรณและสามีเริ่มมีอาการท้องร่วง ถ่ายเป็นน้ำอย่างต่อเนื่องหลายครั้งจนถึงเวลาตีห้า พร้อมอาเจียนมีเลือดปน ในขณะที่ลูกสาวอาเจียนถึง 3 ครั้ง (และมาถ่ายท้องที่โรงพยาบาลอีก 3 ครั้ง) ทั้งหมดถูกส่งเข้าโรงพยาบาลในเช้าตรู่ของวันนั้นนั่นเอง ผลการวินิจฉัยของแพทย์พบว่ามีเชื้อบิดชนิดเฉียบพลันและรุนแรงที่ลำไส้ใหญ่ โดยตัวคุณแพรวพรรณมีอาการรุนแรงที่สุดกว่าทุกคน คือมีอาการท้องร่วงถึงเวลา 6 โมงเช้าของวันที่ 12 มีนาคม 2552 รวม 3 วันนับตั้งแต่วันที่รับประทานอาหารชุดพิเศษจากฮะจิบัง สาขาดังกล่าวต่อมาคุณแพรวพรรณได้ทำเรื่องร้องเรียนไปที่สำนักงานเขตยานนาวา กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ตั้งของห้างฯ ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ฝ่ายสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาล สำนักงานเขตยานนาวา ได้ทำการตรวจสอบสุขลักษณะของร้านและทำการสุ่มเก็บตัวอย่างอาหาร น้ำแข็งและน้ำดื่มจากร้านอาหารดังกล่าว เพื่อไปตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการจำนวน 10 รายการ ผลปรากฏว่ามีอาหารถึง 7 ตัวอย่างที่ไม่อยู่ในค่ามาตรฐานที่กำหนด ซึ่งแสดงว่าอาจมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียในลำไส้หรือจุลินทรีย์อื่นๆ ที่เป็นพิษจนทำให้เกิดโรคหรืออาการเจ็บป่วยในผู้บริโภคได้ อาหารที่ตกมาตรฐาน 7 รายการคือ บะหมี่(ซารุเซ็ท) , บะหมี่และน้ำซุป (ฮะจังเมน), เนงิเรเมน , ทาโกะยากิ , ซาฮั่ง(ข้าวผัดหมูอบซีอิ๊วญี่ปุ่นไข่) ,ทาราเมน(บะหมี่แห้งราดซอสหมูทันตัม) และ ดาโมะนิราเมน (บะหมี่น้ำหน้าเป็ดพะโล้และเห็ดหอม) นอกจากนี้ยังพบว่าน้ำแข็งหลอดที่จำหน่ายในร้านไม่อยู่ในมาตรฐานอีกด้วย คุณแพรวพรรณได้พยายามเรียกร้องให้ทางร้านฮะจิบังแสดงความรับผิดชอบด้วยการชดใช้ค่าเสียหายซึ่งส่วนใหญ่คือค่ารักษาพยาบาลของสามคนพ่อแม่ลูกจำนวนห้าหมื่นกว่าบาท แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ จากทางร้านฮะจิบัง จึงได้ส่งเรื่องร้องเรียนมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางแก้ไขปัญหาข้อเท็จจริงในทางกฎหมาย การผลิตและจำหน่ายอาหารของร้านฮะจิบังราเมน สาขาดังกล่าว อาจเข้าข่ายเป็นการผลิตและจำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 ผู้กระทำผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นโทษทางอาญาที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการต่อไป ส่วนความรับผิดในทางแพ่งนั้นมูลนิธิฯ ได้ติดต่อประสานงานไปยังบริษัท ไทยฮะจิบัง จำกัด เพื่อเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบด้วยการชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ร้องตามสมควรล่าสุดไทยฮะจิบังได้ติดต่อผ่านเทสโก โลตัสสำนักงานใหญ่ ขอนัดเจรจากับผู้ร้องรายนี้แล้ว ผลความคืบหน้าเป็นอย่างไรจะนำมารายงานในฉลาดซื้อฉบับต่อไป แต่ที่ต้องนำเรื่องนี้มาลงโดยเร่งด่วนเพราะเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอเป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจเลือกใช้บริการของผู้บริโภครายอื่น ๆ ต่อไป เพราะเป็นปัญหาที่มีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของผู้บริโภค

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 127 เลือกไดร์เป่าผมกับฉลาดซื้อ

  ฉลาดซื้อฉบับนี้ เอาใจคนผมยุ่งด้วยการทดสอบประสิทธิภาพไดร์เป่าผม โดยการทดสอบประสิทธิภาพ การประเมินคุณภาพสินค้าและความปลอดภัยนั้น ดำเนินการโดยเครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค สำหรับในส่วนการทดสอบเรื่องความพึงพอใจ นิตยสารฉลาดซื้อได้รับความร่วมมือจาก สมาชิกครอบครัวฉลาดซื้อเข้าร่วมทดสอบไดร์ไปเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2554  ไดร์เป่าผมที่เลือกมาทดสอบในครั้งนี้แบ่งเป็นสองกลุ่มคือ รุ่นกำลังไฟไม่เกิน 1200 วัตต์ 5 ตัวอย่าง และรุ่นที่กำลังไฟเกิน 1200 วัตต์ 4 ตัวอย่าง รวมทั้งสิ้น 9 ตัวอย่าง  ผลการทดสอบ  ในกลุ่มไม่เกิน 1,200 วัตต์ ไดร์ที่ได้คะแนนสูงสุดคือ PHILIPS HP4931 ส่วนในกลุ่มที่กำลังไฟเกิน 1,200 วัตต์ ไดร์ที่ได้คะแนนสูงสุดคือ PANASONIC (EH-NE50-S)  และหากวัดในเรื่องความพึงพอใจ สมาชิกฉลาดซื้อเลือก PANASONIC (EH-NE50-S) เป็นอันดับหนึ่ง สูสีกับ PHILPS HP4931 ที่ตามมาเป็นอันดับสอง PHILIPS HP4931 5 ดาว กำลังไฟ (วัตต์) 1200 ราคา (บาท) 620 คุณภาพสินค้า 4 ดาว ประสิทธิภาพการใช้งาน 5 ดาว ความปลอดภัย 5 ดาว ความพึงพอใจจากการใช้งานจริง 4 ดาว PANASONIC(EH-NE50-S) 4 ดาว กำลังไฟ (วัตต์) 1600 ราคา (บาท) 1,150 คุณภาพสินค้า 5 ดาว ประสิทธิภาพการใช้งาน 3 ดาว ความปลอดภัย 5 ดาว ความพึงพอใจจากการใช้งานจริง 5 ดาว BABYLISS PRO Nano Titanium 4 ดาว กำลังไฟ (วัตต์) 1750 ราคา (บาท) 2,500 คุณภาพสินค้า 5 ดาว ประสิทธิภาพการใช้งาน 3 ดาว ความปลอดภัย 5 ดาว ความพึงพอใจจากการใช้งานจริง 3 ดาว MAMARU MR-7502 4 ดาว กำลังไฟ (วัตต์) 1850 ราคา (บาท) 390 คุณภาพสินค้า 4 ดาว ประสิทธิภาพการใช้งาน 3 ดาว ความปลอดภัย 5 ดาว ความพึงพอใจจากการใช้งานจริง 3 ดาว LE'SASHA LS0300 3  ดาว กำลังไฟ (วัตต์) 1200 ราคา (บาท) 590 คุณภาพสินค้า 4 ดาว ประสิทธิภาพการใช้งาน 1 ดาว ความปลอดภัย 5 ดาว ความพึงพอใจจากการใช้งานจริง 3 ดาว   PANASONIC EH-ND11-A 3 ดาว กำลังไฟ (วัตต์) 1000 ราคา (บาท) 369 คุณภาพสินค้า 2 ดาว ประสิทธิภาพการใช้งาน 1 ดาว ความปลอดภัย 5 ดาว ความพึงพอใจจากการใช้งานจริง 4 ดาว     REMINGTON PROFRESSIONAL TRAVEL 1800 D2922 3  ดาว กำลังไฟ (วัตต์) 1800 ราคา (บาท) 1,350 คุณภาพสินค้า 4 ดาว ประสิทธิภาพการใช้งาน 2 ดาว ความปลอดภัย 5 ดาว ความพึงพอใจจากการใช้งานจริง 3 ดาว   SEVERIN HT6021 2 ดาว กำลังไฟ (วัตต์) 1000 ราคา (บาท) 665 คุณภาพสินค้า 1 ประสิทธิภาพการใช้งาน 1 ความปลอดภัย 5 ดาว ความพึงพอใจจากการใช้งานจริง 3 ดาว   AIKO Cool Function OL-1280 1 ดาว กำลังไฟ (วัตต์) 1200 ราคา (บาท) 399 คุณภาพสินค้า 2 ดาว ประสิทธิภาพการใช้งาน 1 ดาว ความปลอดภัย 3 ดาว ความพึงพอใจจากการใช้งานจริง 2 ดาว  *สัดส่วนการให้คะแนน ประเมินคุณภาพสินค้า 25% (หมายถึง คุณภาพวัสดุ ฟังก์ชันการทำงาน สายไฟ อุปกรณ์เสริม)ประสิทธิภาพการใช้งาน 40% (หมายถึง ความแรงลม ความร้อนของลม เสียง)ด้านความปลอดภัย 25% (หมายถึง ความแน่นหนาการต่อเชื่อมเครื่องกับสายไฟ มอก. คู่มือฉลาก คำเตือน ประกัน)ความพึงพอใจจากการใช้งานจริง 10% (จากการทดลองใช้งานของสมาชิกครอบครัวฉลาดซื้อ 16 คน)  **เกณฑ์การให้ดาว เมื่อเทียบเป็น 100 คะแนน ต่ำกว่า 50 = 1 ดาว50-59 = 2 ดาว60-69 = 3 ดาว70-79 = 4 ดาว80-100 = 5 ดาว90-100 = 5 ดาว การเลือกซื้อไดร์เป่าผม 1. วัตถุประสงค์การใช้ • แบบพกพา จุดสังเกตที่ควรจะดู คือข้อต่อของตัวด้ามจับที่ควรจะมีความแข็งแรง ไม่พับเก็บง่ายจนเกินไป• แบบใช้ในบ้านหรือร้านเสริมสวย โดยทั่วไปมักจะเลือกไดร์เป่าผมที่มีกำลังวัตต์สูง แต่ก็ควรคำนึงถึงความแรงของลมให้สอดคล้องกันด้วย เพราะไดร์บางตัวมีกำลังวัตต์สูงแต่ให้แรงลมเบากว่าที่ควรจะเป็น ทำให้กินไฟเกินความจำเป็น    2. ลองก่อนซื้อ  กำลังวัตต์ที่สูงไม่ได้บ่งชี้ว่าจะมีลมแรงหรือร้อนกว่าเสมอไป เนื่องจากการออกแบบของแต่ละยี่ห้อนั้นมีความแตกต่างกัน ฉะนั้นควรลองก่อนหลายๆ ยี่ห้อเพื่อเปรียบเทียบจากกร้านที่ซื้อ  3. คุณสมบัติ / ฟังก์ชันการทำงานคุณสมบัติที่ไดร์เป่าผมควรจะมีคือ ควรจะปรับความแรงลมได้หลายระดับ และมีปุ่มปรับลมเย็น (Cool) ซึ่ง ทำให้ปรับเป็นลมเย็นได้ในทันที เทคนิคการใช้ลมร้อนและลมเย็นมีดังนี้คือ ลมร้อนจะช่วยทำให้ผมเป็นเกลียวหรือเรียบได้เร็ว แต่ไม่ควรเป่าแช่ค้างที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งเพราะจะทำให้ผมไหม้ แห้งกรอบ และเสียได้ ส่วนลมเย็นจะช่วยให้เกลียวผมอยู่ตัวและเรียบนาน  (เพิ่มเติม: นอกจากนี้ ไดร์เป่าผมรุ่นใหม่ยังเพิ่มเครื่องพ่นไอออนประจุลบ เพื่อช่วยรักษาสุขภาพผม เพราะประจุลบที่ปล่อยลงไปเคลือบเส้นผมขณะเป่า จะช่วยเก็บความชุ่มชื้นเข้าสู่แกนผม ผมจึงเสียน้อยลง แต่หลักการนี้จะใช้ได้ดีจริงหรือไม่เพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับสภาพเส้นผมของแต่ละคนด้วย) วิธีการใช้ไดร์เป่าผม หลังจากสระผมเสร็จ ก่อนจะเริ่มไดร์ผม ใช้ผ้าขนหนูซับให้ผมแห้งหมาดๆ เสียก่อน และเปิดเครื่องไดร์ไปที่ระดับความร้อนและแรงลมสูงสุด เป่าผมทั่วศีรษะให้หายเปียกชื้น และปรับลดความร้อนลงเมื่อต้องการจัดแต่งทรงผมโดยเฉพาะถ้าเป็นผมดัด ผมย้อม หรือผมที่แห้งเสียอยู่แล้ว ควรใช้ความร้อนและแรงลมต่ำๆ เข้าไว้ เมื่อเราแปรงผมและไดร์ผมในลักษณะช้อนผมขึ้น  จะช่วยให้ผมดูดก หนาและดูมีน้ำหนัก  ต่อจากนั้นจึงแปรงผมและไดร์ให้เข้ารูปเข้าทรงตามทรงผมที่ต้องการ    การดูแลรักษาไดร์เป่าผม  เมื่อเลิกใช้งาน: 1. ปิดสวิตช์ และถอดปลั๊กออก2. วางเครื่องเป่าผมลงบนพื้นผิวที่ทนความร้อน ปล่อยไว้จนกระทั่งเครื่องเย็นลง3. ถอดแผงครอบทางลมเข้าออกจากเครื่องเพื่อกำจัดเศษผมและฝุ่นผงออก4. ทำความสะอาดตัวเครื่องด้วยผ้าชุบน้ำพอหมาด5. เก็บเครื่องไว้ในที่แห้งและปลอดภัย ปราศจากฝุ่น คุณสามารถเก็บเครื่องโดยแขวนด้วยห่วงสำหรับแขวน6. ไม่ควรใช้ไดร์เป่าผมติดต่อกันนานจนเกินไปโดยไม่พัก ควรมีการปิดเครื่องพักเป็นระยะๆ เพื่อช่วยผ่อนแรงของมอเตอร์ เป็นการยืดอายุของไดร์   ข้อควรระวัง1.  ห้ามใช้ไดร์เป่าผมใกล้น้ำ2. ห้ามปิดกั้นตะแกรงช่องลมของตัวเครื่อง3. ห้ามพันสายไฟรอบเครื่อง4. ก่อนใช้ควรตรวจดูสภาพของไดร์เป่าผมให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า150 Point

ฉบับที่ 118 ไดร์เป่าผมกับแร่ใยหิน

ใครที่ติดตามข่าวสารเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคอยู่บ้าง น่าจะเคยได้ยินข่าวการเคลื่อนไหวของเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคที่พยายามผลักดันให้ภาครัฐฯ ออกข้อบังคับให้มีการยกเลิกการผลิตและนำเข้าสินค้าที่มีส่วนประกอบของ “แร่ใยหิน” ซึ่งเป็นต้นเหตุของการทำให้เกิดโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอด โดยเจ้าวายร้ายแร่ใยหินถือเป็นส่วนผสมหลักในสินค้าก่อสร้าง ทั้ง ซีเมนต์ ฝ้าปูผนัง กระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องปูพื้น  อ่านถึงตรงนี้แฟน “ฉลาดซื้อ” อย่าเพิ่งทำเป็นไม่สนใจ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างถ้าไม่ได้เป็นช่าง ชีวิตประจำวันก็คงไม่ได้ข้องเกี่ยว แต่แร่ใยหินอยู่ใกล้ชิดเรามากกว่านั้น เพราะความจริงแร่ใยหินมีอยู่ทั้งใน เครื่องปิ้งขนมปัง แป้งฝุ่น เครื่องอบไอน้ำ และไดร์เป่าผม ...เริ่มรู้สึกเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้นแล้วใช่มั้ย... “ฉลาดซื้อ” เราเป็นพวกขี้สงสัยและห่วงใยผู้บริโภคทุกคน เราจึงอาสาไขข้อสงสัยด้วยผลทดสอบ “แร่ใยหินในไดร์เป่าผม” แร่ใยหิน ทำไมมาอยู่ใน ไดร์เป่าผม!?  แร่ใยหิน จะทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบอยู่ในฉนวนนำความร้อนสำหรับไดร์เป่าผม เพราะแร่ใยหินมีคุณสมบัติในการทนความร้อนได้ดี ซึ่งเวลาใช้ไดร์เป่าผมแร่ใยหินจะหลุดล่อนออกมาและผู้ใช้ก็จะหายใจเอาแร่ใยหินเข้าไป หากมีการหายใจรับเอาแร่นี้เข้าไปในปริมาณมากเป็นเวลานานๆ ก็จะส่งผลร้ายกับปอดของเรา เสี่ยงจะทำให้เป็นมะเร็งเยื่อหุ้มปอดได้  ปี 1981 เคยมีผลสำรวจในอเมริกา พบว่าไดร์เป่าผมและเครื่องอบผมที่ใช้อยู่ตามบ้านและในร้านเสริมสวย มีปริมาณแร่ใยหินหลุดออกมาในระหว่างการใช้งานเกินมาตรฐานความปลอดภัย ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 0.01 เส้นใยต่ออากาศ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร โดยพบหลุดปลิวออกมามากที่สุดที่ 0.11 เส้นใยต่ออากาศ 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร ซึ่งทำให้องค์กรคุ้มครองผู้บริโภคด้านความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ของสหรัฐอเมริกา  ออกประกาศเตือนผู้บริโภค และขอความร่วมมือให้บริษัทเรียกเก็บคืนสินค้าที่ไม่ปลอดภัยออกจากท้องตลาด กว่า 20 ล้านชิ้น และนำไปสู่การออกกฎหมายควบคุมการใช้แร่ใยหินในการผลิตฉนวนความร้อนในปี 1989   ผ่าพิสูจน์แร่ใยหินในไดร์เป่าผม“ฉลาดซื้อ” ได้รับความช่วยเหลือจาก ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) ในการทดสอบพิสูจน์หาแร่ใยหินในไดร์เป่าผมโดยผลการวิเคราะห์ชนิดสารประกอบในชิ้นงานฉนวนกันความร้อนในไดร์เป่าผม ทั้ง 11 ตัวอย่าง โดยใช้เทคนิคการเลี้ยวเบนของรังสีเอกซ์ (X-ray diffraction, XRD) พบว่าฉนวนกันความร้อน ทั้งหมดผลิตจากแร่มัสโคไวต์ (muscovite, KAl2(Si,Al)4O10(OH)2) แร่นี้มีสมบัติทนความร้อน และต้านทานกระแสไฟฟ้าได้ดี จึงนิยมผลิตเป็นฉนวนกันความร้อนและฉนวนไฟฟ้าสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ไดร์เป่าผม และเตาไมโครเวฟ การวิเคราะห์ชนิดสารประกอบในครั้งนี้ไม่พบพีคที่ตรงกับพีคของแร่ใยหิน   สรุปก็คือ เราไม่พบแร่ใยหินในตัวอย่างไดร์เป่าผมที่ทดสอบ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าดีใจ เรายังคงสามารถเสริมสวย เสริมหล่อ จัดแต่งทรงผม ด้วยไดร์เป่าผมอย่างสบายใจกันได้อยู่แต่...อย่างไรก็ตามวิธีการเตรียมตัวอย่างที่ใช้ในการตรวจสอบครั้งนี้ยังมีขีดจำกัดไม่สามารถตรวจสอบแร่ใยหินที่ปนเปื้อนในปริมาณน้อยได้ การตรวจสอบแร่ใยหินในปริมาณน้อยควรดำเนินการ ทดสอบตามมาตรฐาน   PLM) ช่วยยืนยันผลทดสอบจากเทคนิค XRD ด้วย ดังนั้น “ฉลาดซื้อ” จึงตั้งใจว่าจะต้องมีการทดสอบเพื่อเป็นการยืนยันผลอีกครั้ง   รู้จัก “แร่ใยหิน” แร่ใยหิน หรือ  แอสเบสตอส (asbestos) คือ กลุ่มแร่อนินทรีย์ตามธรรมชาติชนิด ไครโซไทล์ มีคุณสมบัติทนความร้อนได้ดี แถมยังแข็งแรงและมีความยืดหยุ่น จึงทำให้แร่ใยหินกลายมาเป็นส่วนประกอบสำคัญในสินค้าจำพวกวัสดุก่อสร้าง ทั้งในแผ่นฝ้าปูผนัง กระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องปูพื้น ท่อซีเมนต์ นอกจากนี้ยังมีอยู่ในสินค้าอื่นๆ เช่น ผ้าเบรก เครื่องปิ้งขนมปัง เครื่องอบผม ไดร์เป่าผม เครื่องสำอางจำพวกแป้งฝุ่น อันตรายของแร่ใยหิน คืออนุภาคของแร่ใยหินเมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะเข้าไปจับอยู่ที่ปอดเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอดและโรคปอดอักเสบ   สถานการณ์แร่ใยหินรอบโลกในช่วงปี 1950 – 1980 ประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้ง อังกฤษ อเมริกา และญี่ปุ่น มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบเป็นจำนวนมากในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนต่างๆ อย่างในปี 1950 สหรัฐอเมริกาเคยมีการใช้แร่ใยหินสูงสุดถึง 4 กิโลกรัมต่อคนต่อปี จนกระทั่งในปี 1986 มีรายงานว่าพบผู้ป่วยมะเร็งเยื่อหุ้มปอดในอเมริกาถึง 68 ราย และเริ่มพบในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ทำให้หลายประเทศเริ่มตระหนักถึงอันตรายของแร่ใยหิน จนนำไปสู่มาตรการการยกเลิกการใช้แร่ใยหิน ปัจจุบันมีประเทศที่ยกเลิกการใช้แร่ใยหินไปแล้ว 47 ประเทศ   สำหรับในเมืองไทยในช่วงปี 1990 – 2000 มีการใช้แร่ใยหินอยู่ประมาณ 3 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงมาก ไทยเราถือเป็นประเทศที่มีการใช้แร่ใยหินต่อคนต่อปีมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก1 (อันดับ 1 คือรัสเซีย) เหตุผลเพราะประเทศไทยเรายังไม่มีความตื่นตัวถึงอันตรายของแร่ใยหินซึ่งก่อให้เกิดมะเร็งปอด เนื่องจากผู้ป่วยโรคนี้ไม่ได้มีผลในทันทีแต่อาจจะต้องใช้ระยะเวลานานกว่า 20 ปี ทำให้เราจึงยังมองข้ามอันตรายของแร่ใยหิน และผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดส่วนใหญ่เรามักมองกันว่าเกิดจากสาเหตุอื่นเป็นหลัก นั่นเป็นเรามองข้ามอันตรายของฝุ่นละอองของแร่ใยหินซึ่งอาจปลิวอยู่ในบ้านหรืออาคารที่เราพักอาศัยอยู่ *มีการคาดการณ์กันว่าในอนาคตอันใกล้นี้อาจมีผู้ป่วยโรคมะเร็งเยื่อหุ้มปอดกว่า 1,295 คนต่อปี2   เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2553 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักนายกรัฐมนตรี และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงการควบคุมการใช้แร่ใยหิน เพื่อร่วมกันทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เรื่องอันตรายของแร่ใยหินแก่ประชาชนทั่วไป บังคับใช้กฎหมายตรวจสอบเรื่องการใช้ฉลากคำเตือนกับผู้ประกอบการ ร่วมกันเป็นเครือข่ายตรวจสอบและเฝ้าระวังสินค้าที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหิน รวมทั้งผลักดันให้เลิกใช้แร่ใยหินในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในประเทศไทย  1ข้อมูลจากเอกสาร “พิษภัยจากแร่ใยหิน มาตรการแร่ใยหินในไทย : มาตรการที่ต่ำกว่าสากล”.แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.)2ข้อมูลจากเอกสาร “พิษภัยจากแร่ใยหิน มะเร็งปอดและโรคปอดจากแร่ใยหิน”.แผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.)  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 81 วัคซีน ความจำเป็นหรืออุบายขายโรค

โลกยุคนี้ข้อมูลข่าวสารเป็นเรื่องสำคัญมาก ให้ผลได้ทั้งบวกและลบกับทุกคนบนโลกใบนี้ ยิ่งเป็นข้อมูลด้านสุขภาพ ยิ่งสำคัญ และยิ่งต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะข้อมูลที่ถูกนำเสนอเพื่อให้ซื้อหรือใช้บริการบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับเด็ก  คุณพ่อคุณแม่ยิ่งต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ฉลาดซื้อสนใจทำสำรวจ เรื่องการบริการวัคซีนในโรงเรียน ด้วยเหตุจากผู้ปกครองหลายคนสอบถามเข้ามาว่า จดหมายที่โรงเรียนนำมาแจกให้และมีข้อความเชิญชวนให้ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคให้ลูกหลานนั้นจะทำอย่างไรดี ควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อดี  ฉลาดซื้อจึงจัดเวทีเล็กๆ ร่วมกับเครือข่ายพ่อแม่เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ พบว่า ยังมีผู้ปกครองหลายคนที่ไม่รู้เรื่องการให้บริการวัคซีนอย่างเพียงพอสำหรับการตัดสินใจ ส่วนใหญ่ก็จะยินดีให้เด็กรับวัคซีนไว้ก่อน นัยว่า “กันไว้ดีกว่าแก้”  ข้อดีคือป้องกันย่อมดีกว่ารักษา แต่ค่าบริการก็ไม่ใช่น้อยๆ และบางครั้งก็เป็นการฉีดวัคซีนซ้ำซ้อน สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุฉลาดซื้อร่วมกับเครือข่ายพ่อแม่ จึงได้ลองทำแบบสำรวจเล็กๆ เพื่อวัดความรู้เรื่องวัคซีนของคุณพ่อคุณแม่ขึ้น และดูแนวโน้มของการเสนอบริการวัคซีนทางเลือกที่รุกเข้าสู่สถานศึกษา  แบบสอบถามทั้งหมดได้จากผู้ปกครองจากโรงเรียนประเทืองทิพย์ พระมหาไถ่  สายน้ำทิพย์ อนุบาลโชคชัย  สายน้ำผึ้ง เทพศิรินทร์ วัฒนาวิทยาลัย และอื่นๆ จำนวน 301 ราย  เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษา ร้อยละ 78.4 ชั้นมัธยมศึกษาร้อยละ 21.6   ผู้ตอบคำถามส่วนใหญ่เป็นคุณแม่อายุ 31-45 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี  ร้อยละ 46.7 มัธยมปลาย ร้อยละ 21 ซึ่งส่วนใหญ่ร้อยละ 78 คิดว่า บุตรของตนได้รับวัคซีนครบตามมาตรฐาน แต่ความจริงคือ… วัคซีนบังคับ หมายถึง วัคซีนที่รัฐจัดบริการให้ฟรีแก่เด็กตั้งแต่แรกเกิด  เพื่อลดอัตราการป่วยและตายจากโรคติดเชื้อต่างๆ ได้แก่ วัณโรค ไวรัสตับอักเสบบี คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน โปลิโอ หัด หัดเยอรมัน คางทูม ไข้สมองอักเสบ (เด็กทุกคนจะมีสมุดคู่มือการฉีดวัคซีนประจำตัว)วัคซีนบังคับ...ไม่รู้ว่าฟรีจึงต้องเสียสตางค์จากการสำรวจของฉลาดซื้อพบว่า วัคซีนวัณโรค ร้อยละ 88.7 คิดว่าได้รับแล้ว ในจำนวนนี้ ร้อยละ 87.9 ได้รับที่โรงพยาบาล  ส่วนใหญ่แล้วโรงเรียนจะดำเนินการให้วัคซีนนี้ซ้ำในระดับป.1แต่มีผู้ตอบว่า ได้รับวัคซีนตัวนี้ที่โรงเรียนเพียง ร้อยละ 0.8 ซึ่งหมายถึง อาจมีปัญหาด้านการสื่อสารระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง เช่นเดียวกับวัคซีนคอตีบ บาดทะยักซึ่งเด็กนักเรียนควรได้รับครั้งที่ 5 เมื่อชั้น ป. 6 แต่มีผู้ปกครองตอบมาว่า ได้รับจากโรงเรียนน้อยกว่าร้อยละ 1วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ และตับอักเสบบี เป็นวัคซีนบังคับซึ่งผู้ปกครองมากกว่าร้อยละ 90 คิดว่า ได้รับแล้วที่โรงพยาบาลเป็นส่วนใหญ่   วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม ซึ่งเป็นวัคซีนบังคับเช่นกันต้องได้รับสองครั้งที่อายุ 9 เดือน และ 5 ปี รวมทั้งวัคซีนไข้สมองอักเสบที่ต้องได้รับสามครั้งที่อายุหนึ่งปี เป็นต้นไป แต่ผู้ปกครองรับรู้ว่าได้รับวัคซีนทั้งสี่ชนิดนี้แล้วเพียงร้อยละ 80-85 เท่านั้น  ส่วนใหญ่ได้รับที่โรงพยาบาล ผู้ปกครองรับรู้ว่า โรงเรียนมีส่วนในการให้วัคซีนนี้เพียงร้อยละ 1.8 1สำหรับหัดเยอรมัน วัคซีนอีกสามชนิด โรงเรียนมีส่วนในการให้ต่ำกว่าร้อยละ 1วัคซีนชุดนี้รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดหาวัคซีนแก่เด็กทั้งหมดอย่างเพียงพอ และเด็กทุกคนต้องได้รับโดยไม่ต้องจ่าย อย่างไรก็ตามผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังคงจ่ายค่าวัคซีนในการฉีดที่คลินิก โรงพยาบาล โดยไม่ได้รับรู้เรื่องการจัดสรรงบประมาณโดยรัฐบาล มีเพียงโปลิโอเท่านั้นที่ผู้ปกครองร้อยละ 82 คิดว่า รัฐบาลจัดหาวัคซีนให้ฟรี สำหรับวัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยักนั้นผู้ปกครองร้อยละ 58 รับรู้เรื่องการฉีดฟรี  วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม และตับอักเสบบีนั้นผู้ปกครองรับรู้เพียงร้อยละ 37-39  และน้อยกว่าร้อยละ 29 ในไข้สมองอักเสบวัคซีนทางเลือก หรือวัคซีนนอกโปรแกรมบังคับ เป็นวัคซีนที่ไม่จำเป็นต้องฉีดในเด็กทุกราย แต่สามารถเลือกฉีดได้ตามความเหมาะสม เช่น มีการระบาดของโรคติดเชื้อบางอย่าง หรือเด็กต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อโรคติดเชื้อบางชนิด เช่น วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โรคอีสุกอีใส เป็นต้นวัคซีนนอกโปรแกรมบังคับวัคซีนนอกโปรแกรมบังคับซึ่งมีในตลาดมานานระยะหนึ่งแล้ว  เช่น วัคซีนไวรัสตับอักเสบ เอ ซึ่งสามารถให้ได้ตั้งแต่อายุสองปีครึ่ง มีผู้ปกครองรับรู้ว่าบุตรได้รับแล้วร้อยละ 68 โดยเป็นการได้รับที่โรงเรียนร้อยละ 1.8 เท่านั้น เช่นเดียวกับวัคซีนป้องกันโรคสุกใส ซึ่งสามารถให้ได้ตั้งแต่อายุหนึ่งปีเป็นต้นไป มีผู้ปกครองรับรู้ว่าบุตรได้รับแล้วร้อยละ 50 โดยเป็นการได้รับที่โรงเรียนร้อยละ 1.5 เท่านั้น  สำหรับวัคซีนใหม่นั้นได้แก่     ไข้หวัดใหญ่  IPD  มะเร็งปากมดลูก มีผู้ปกครองรับรู้ว่าบุตรได้รับแล้วร้อยละ 30, 17, 0.5 ตามลำดับ โดยที่วัคซีนไข้หวัดใหญ่มีการให้ที่โรงเรียนในสัดส่วนสูงกว่าวัคซีนอื่นคือร้อยละ 8อย่างไรก็ตามวัคซีนใหม่เหล่านี้มีราคาสูงเนื่องจากไม่เป็นวัคซีนบังคับ รัฐบาลมิได้จัดการกลไกการตลาดเพื่อลดราคา ขณะเดียวกันนักวิชาการได้ให้ข้อมูลประชาชนในวงกว้างในเรื่องความจำเป็น คุณประโยชน์ที่ได้รับ ประกอบกับโรงพยาบาลเอกชนมีการเดินตลาดโรงเรียนเพื่อขายวัคซีนเป็นลอตใหญ่ๆโดยร่วมมือกับโรงเรียนออกจดหมายถึงผู้ปกครองลักษณะการสื่อความรู้ กระบวนการดังกล่าวเป็นการให้ความรู้แก่ผู้ปกครองก็จริงแต่เป็นการกดดันผู้ปกครองให้ไม่มีทางเลือก เนื่องจากไม่มีเหตุผลใดจากข้อมูลที่ได้รับที่จะตัดสินใจไม่ให้ลูกฉีดวัคซีน นอกจากไม่ยอมจ่ายเงินเท่านั้น หากวัคซีนใหม่เหล่านี้มีความจำเป็นจริง นักวิชาการควรดำเนินการแสดงประโยชน์และความคุ้มทุนต่อรัฐบาล เพื่อต่อรองให้เด็กทุกคนได้รับเท่าเทียมกัน  การขายวัคซีนนั้นไม่ควรให้มีการเดินซื้อขายผ่านโรงเรียนยอย่างเสรีโดยพนักงานขายตรง และให้ข้อมูลสุขภาพเชิงโฆษณาแม้ว่าข้อมูลจะมีประโยชน์ก็ตาม แต่เป็นการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในการป้องกันโรค โดยซ่อนเร้นการไม่ยอมแก้ไขกลไกตลาดเพื่อลดราคาลง ทั้งนี้ทั้งนั้นประโยชน์มิได้คำนึงถึงเด็กที่จะได้รับวัคซีนนี้น แต่คำนึงถึงกำไรสูงสุดที่บริษัทผู้ผลิตจะได้รับ รวมทั้งผลประโยชน์เล็กน้อยที่โรงพยาบาลและโรงเรียนจะได้รับเป็นค่ายี่ปั๊ว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 185 กระเป๋าเดินทางล้อลาก

ฉลาดซื้อขอนำเสนอผลการทดสอบกระเป๋าล้อลากเอาใจคนรักการเดินทางกันบ้าง ผลการทดสอบที่สมาชิกขององค์กรทดสอบระหว่างประเทศ ICRT ทำไว้คราวนี้ มีมาให้พิจารณากัน 17 รุ่น ทั้งแบบที่ทำจากพลาสติกและแบบที่ใช้วัสดุผ้า มีทั้งแบบ 4 ล้อ และ 2 ล้อ สนนราคาเริ่มตั้งแต่ต่ำกว่า 3,000 ไปจนถึงมากกว่า 20,000 บาท โชคดียังเป็นของผู้บริโภคอย่างเรา เพราะรุ่นที่ดีที่สุดไม่ใช่รุ่นที่แพงที่สุดและรุ่นที่ราคาต่ำที่สุดก็ไม่ได้คุณภาพต่ำตามราคา และทีมทดสอบพบว่าส่วนประกอบอย่างคันชัก ซิปและล้อของกระเป๋าทุกรุ่นที่ทดสอบมีความแข็งแรงทนทานในระดับที่น่าพอใจ แต่จะเฉือนกันอยู่ก็ตรงความทนทาน ความสามารถในการกันน้ำซึมเข้าของตัวกระเป๋า และความพึงพอใจของผู้ใช้ ... ติดตามรายละเอียดได้ในหน้าถัดไป                

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 157 ทดสอบความถึก ทน ของ “เป้ backpack”

ใครที่กำลังเตรียมตัวออกเดินทางไกล หรือใครที่มีแผนจะแบกเป้เที่ยว สวมวิญญาณแบ็คแพ็คเกอร์ “เป้ใบเดียวเที่ยวรอบโลก” จุดหมายพร้อม ตั๋วพร้อม วันเดินทางพร้อม แต่อย่าเพิ่งรีบเก็บกระเป๋า ถ้าหากยังไม่ได้อ่านผลทดสอบ “เป้ backpack สำหรับเดินทางไกล” ลองมาดูกันสิว่ายี่ห้อไหนแข็งแรงทนทาน ใช้งานแล้วคุ้มค่ากับราคา ที่สำคัญคือสะพายขึ้นบ่าแล้วไม่พาให้ปวดหลังปวดไหล ถึงขึ้นชื่อว่าเที่ยวแบบแบ็คแพ็คจะดูสมบุกสมบันแค่ไหน แต่ถ้าเป้ที่แบกไว้บนหลังต้องกลายมาเป็นภาระ ทริปสนุกที่ตั้งใจก็อาจกร่อยโดยไม่รู้ตัว   เป้สะพายหลังต้องเลือกให้ดีเพราะมีผลต่อสุขภาพ -ควรเลือกขนาดของเป้ให้เหมาะกับรูปร่างของเรา ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป เพราะขนาดของเป้จะเป็นตัวกำหนดน้ำหนักคร่าวๆ ของกระเป๋าหากเป็นเป้ใบใหญ่เกินไปแล้วบรรจุของจนน้ำหนักเกินพอดีกับที่ร่างกายจะรับไหว เวลาสะพายจะส่งผลกับช่วงคอ ไหล่ หลัง และเอว ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการเจ็บปวด และอักเสบได้ หากรุนแรงมากอาจมีผลกับกระดูกสันหลังได้เลยทีเดียว -ที่ด้านหลังของเป้ต้องมีโครงโลหะ ตรงส่วนที่เรียกว่าแผ่นรองหลัง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วงแบ่งน้ำหนังของเป้ไม่ให้ถ่ายลงมาที่แผ่นหลังและเอวของเรามากเกินไป ป้องกันอาการบาดเจ็บ นอกจากนี้ ส่วนของกระเป้ที่ต้องสัมผัสกับส่วนของร่างกายของเรา ทั้งช่วงหลัง เอว คอ บ่า ต้องมีบุด้วยเบาะนวมหรือวัสดุที่มีความหนา นุ่ม เพื่อช่วยป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ ที่กล่าวมาไม่ต้องแบกรับน้ำหนักของเป้มากจนเกินไป   -สายสะพายบ่า ต้องเลือกเป้ที่สะพายแล้วช่วงความกว้างของสายสะพายอยู่ที่ช่วงไหปลาร้าเวลาสะพาย ไม่เข้ามาใกล้คอจนเกินไป และตกลงไปขนอยู่เกือบถึงหัวไหล่ เพราะสายสะพายบ่าที่อยู่ตรงกลางจะช่วยให้น้ำหนักของเป้มีความสมดุลกับร่างกายของผู้สะพาย -สายรัดเอวและสะโพก ต้องให้อยู่ที่บริเวณเอวพอดี เพราะสายรัดเอวของเป้จะช่วยผ่อนน้ำหนักที่ทั้ง บ่า คอ หลัง เอว และสะโพก ต้องแบบรับเอาไว้ ช่วยให้ช่วงหลังไม่เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บกล้ามเหนือ เวลาที่ต้องแบกเป้ไปพร้อมกับการเดิน ตัวเป้จะถูกยึดอยู่คงที่กับด้านหลังไม่กระแทกไปมากับช่วง หลัง เอว สะโพก ทำให้ไม่เสี่ยงต่อการเกิดอาการบาดเจ็บ สายรัดสะโพกที่พอดีควรจะสามารถรัดได้ในระดับสะโพกตรงบริเวณกระดูกเชิงกราน ซึ่งจะเป็นจุดที่ช่วยในการถ่ายน้ำหนักได้ดีที่สุด วัสดุที่ใช้ทำสายรัดเอวและสะโพกต้องเป็นวัสดุที่มีความนิ่ม อาจบุด้วยโฟมหรือฟองน้ำนั้นที่มีความแข็งแรงคงทน เพราะจะเป็นส่วนที่ช่วยลดการกระแทกและทานน้ำหนักของเป้ไม่ให้กดทับเอวและสะโพกมากเกินไป   เทคนิคง่ายๆ ในการเลือกซื้อเป้ 1.ผลิตจากวัสดุที่มีความคงทนทาน เบา และกันน้ำ ที่นิยมกันในปัจจุบันคือผ้า Cordura และ Ripstop ซึ่งเป็นผ้าใยสังเคราะห์ทำจากผ้าไนลอน นิยมใช้ผลิตเครื่องแบบทหาร นอกจากนี้ยังต้องมีส่วนที่เป็นผ้าตาข่ายตรงบริเวณสายสะพายบ่า ช่วงแผ่นหลัง ไล่ไปถึงเอวและสะโพกเป็นตัวบุโฟมหรือฟองสำหรับกันกระแทก ซึ่งผ้าที่เป็นตาข่ายจะช่วยเรื่องการระบายอากาศ 2.มีโครงโลหะช่วยรับน้ำหนักเป้ไม่ให้กระแทกกับแผ่นหลัง และช่วยรักษาสมดุลของเป้ ป้องกันไม่ให้แผ่นหลังของเราบาดเจ็บ ต้องเลือกโครงที่มีความเข็งแรงแต่ไม่ไปเพิ่มน้ำหนักให้กับตัวเป้ และเมื่อสะพายแล้วตัวโครงโลหะไม่มากระแทกเข้ากับแผ่นหลังเกินไปจนทำอันตรายกับแผ่นหลัง 3.ซิปล็อค ควรเลือกแบบที่เป็น 2 ซิปเลื่อนปิดเข้าหากัน เพราะมีความแข็งแรงและปิดล็อคได้แน่นหนากว่าซิปเดียว นอกจากนี้ ซิปแบบ 2 ด้านสามารถล็อคด้วยแม่กุญแจได้ ช่วยเพิ่มเรื่องความปลอดภัย ป้องกันของในกระเป๋าสูญหาย การขโมย หรือล่วงหล่นออกมาระหว่างการขนเคลื่อนย้าย 4.ควรมีช่องเก็บของหลายๆ ช่อง เพราะวัตถุประสงค์ของเป้เดินทางมีไว้บรรจุสัมภาระต่างๆ นานาอยู่แล้ว การมีช่องแบ่งแยกของแต่ละประเภทของจากกัน จะช่วยให้การใช้งานสะดวกสบายยิ่งขึ้น 5.มีส่วนของโฟมหรือฟองน้ำที่บุไว้สำหรับรองรับน้ำหนักของกระเป๋า บริเวณ บ่า หลัง เอว และสะโพก เพื่อช่วยทานน้ำหนัก ลดแรงกดทับ ลดแรงกระแทก ของน้ำหนักเป้ เพื่อให้ร่างกายไม่เสี่ยงอาการบาดเจ็บ โดยสายสะพายช่วงบ่าและสายรัดช่วงเอว ต้องสามารถปรับกระชับเข้ากับรูปร่างของผู้สะพายได้ 6.ลองสะพายดูทุกครั้งก่อนซื้อ เลือกขนาดและน้ำหนักที่เหมาะสมกับรูปร่าง เลือกที่สะพายแล้วรู้สึกสบาย ถ้าเป็นไปได้ลองให้พนักงานขายหาของที่มีน้ำหนักใส่ในกระเป่าแล้วลองสะพายดูว่ารู้สึกสบายและคล่องตัวกับการใช้เป้ใบนั้นหรือไม่ และอย่าลืมเรื่องการรับประกันสินค้า บริการหลังการขายต่างๆ เพราะปัจจุบันเป้เดินทางมีราคาค่อนข้างสูง กรณีซื้อไปใช้งานได้ไม่นานแล้วเกิดการชำรุดเสียหาย จะได้สามารถส่งกลับมาให้ทางผู้ขายรับผิดชอบดูแลแก้ไขได้ * การทดสอบความแข็งแรงของตะเข็บเป็นไปตามมาตรฐาน ISO 13935-2: 1999(E) (รายการทดสอบดังกล่าวไม่อยู่ในรายการทดสอบภายใต้ มอก.17025-2548) ** เนื่องจากเป็นการทดสอบจากตัวกระเป๋าเป้สะพายหลังที่ประกอบเสร็จแล้ว ห้องปฏิบัติการจึงไม่สามารถเตรียมชิ้นทดสอบจากตัวอย่างได้ครบในทุกตัวอย่าง เพราะบางกรณีชิ้นส่วนมีขนาดเล็กเกินไปหรือไม่เหมาะกับเครื่องมือทดสอบ เป็นต้น                           *เป้ทุกรุ่นที่นำมาทดสอบผลิตในประเทศเวียดนาม ยกเว้น 2 ยี่ห้อได้แก่ CAMP INN และ TRAVEL MART ผลิตในประเทศไทย ** Jack Wolfskin Alpine Trail 40 และ OSPREY Kyte 36 สั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์ เนื่องจากไม่มีตัวแทนขายในประเทศไทย   ***นิวตัน คือหน่วยวัดความแข็งแรงของตะเข็บ ค่าที่ได้หมายถึงแรงดึงสูงสุด(กี่นิวตัน) ที่จะทำให้ตะเข็บฉีกขาด //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 137 กระเป๋าเดินทาง (อีกล่ะ)

ฉลาดซื้อฉบับเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เราได้นำเสนอผลทดสอบกระเป๋าเดินทางล้อลาก ที่ทำจากวัสดุโพลีเอสเตอร์ไปแล้ว คราวนี้เรามาดูผลทดสอบกระเป๋าเดินทางชนิดที่เป็น “กล่องแข็ง” ที่วัสดุภายนอกทำจากโพลีโพรพิลีน โพลีคาร์บอเนต หรือ ABS กันดูบ้าง ประเด็นการทดสอบและเกณฑ์การทดสอบที่ใช้กับกระเป๋ากลุ่มนี้เหมือนกับกลุ่มที่เราเคยนำเสนอ โดยคราวนี้เรานำเสนอเรื่องความปลอดภัยไว้ด้วย องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research & Testing) เขาลองทดสอบหาสารเคมีอันตรายในกลุ่ม PAH (Polycyclic aromatic hydrocarbons โพลีไซคลิก อโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน) และสารเคมีที่เป็นพลาสติไซเซอร์ จากส่วนที่เป็นหูหิ้ว และคันชักของกระเป๋าเหล่านี้ไว้ด้วย สารพวกนี้เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมและถ้าเราจับต้องมันบ่อยๆ ก็อาจจะซึมเข้าสู่ร่างกายเป็นสารก่อมะเร็งได้ กระเป๋าทั้ง 15 รุ่นนี้ ได้คะแนนรวมมากกว่า 65 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน) ทั้งหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ และมีคันชักที่ปลอดภัยจากสารเคมีอันตรายดังกล่าว แต่จะแตกต่างกันตรงหูหิ้วที่บางรุ่นยังตรวจพบสารเคมีเหล่านั้นในปริมาณค่อนข้างสูง   Samsonite Aeris Comfort             86 คะแนน ราคา 8,500 บาท แข็งแรงทนทาน                            5 ใช้งานสะดวก                               4 คุณภาพการผลิต                           5 หูหิ้วปลอดสารเคมีอันตราย             5 วัสดุภายนอก                   โพลีโพรพิลีน น้ำหนัก              4,480                กรัม ขนาด                 18.5x11x25        นิ้ว ความจุ               54                     ลิตร     Rimova Salsa Air                        81 คะแนน ราคา 15,200 บาท แข็งแรงทนทาน                            4 ใช้งานสะดวก                               4 คุณภาพการผลิต                           4 หูหิ้วปลอดสารเคมีอันตราย             5 วัสดุภายนอก                   โพลีคาร์บอเนต น้ำหนัก               2,890               กรัม ขนาด                 16.5x10x24.8     นิ้ว ความจุ               60.5                  ลิตร   Rimova Salsa Air                        81 คะแนน ราคา 15,200 บาท แข็งแรงทนทาน                            4 ใช้งานสะดวก                               4 คุณภาพการผลิต                           4 หูหิ้วปลอดสารเคมีอันตราย             5 วัสดุภายนอก                   โพลีคาร์บอเนต น้ำหนัก               2,890               กรัม ขนาด                 16.5x10x24.8     นิ้ว ความจุ               60.5                  ลิตร   Delsey Lite Gloss                       78 คะแนน ราคา 7,500 บาท แข็งแรงทนทาน                            5 ใช้งานสะดวก                               3 คุณภาพการผลิต                           4 หูหิ้วปลอดสารเคมีอันตราย             3 วัสดุภายนอก                   โพลีคาร์บอเนต น้ำหนัก               4,100               กรัม ขนาด                 17.3x11.4x23.2  นิ้ว ความจุ               57                     ลิตร   Samsonite Cubelite                     78 คะแนน ราคา 15,700 บาท แข็งแรงทนทาน                            4 ใช้งานสะดวก                               4 คุณภาพการผลิต                           4 หูหิ้วปลอดสารเคมีอันตราย             3 วัสดุภายนอก                   โพลีโพรพิลีน น้ำหนัก               3,230               กรัม ขนาด                 17.3x11x24        นิ้ว ความจุ               65.5                  ลิตร   Jump Dot-Drops customized        77 คะแนน ราคา 8,000 บาท แข็งแรงทนทาน                            4 ใช้งานสะดวก                               4 คุณภาพการผลิต                           4 หูหิ้วปลอดสารเคมีอันตราย             5 วัสดุภายนอก                   โพลีคาร์บอเนต น้ำหนัก               3,930               กรัม ขนาด                 17.7x10.4x22.8  นิ้ว ความจุ               47                     ลิตร     Epic Jetstream                           77 คะแนน ราคา 4,800 บาท แข็งแรงทนทาน                            4 ใช้งานสะดวก                               3 คุณภาพการผลิต                           4 หูหิ้วปลอดสารเคมีอันตราย             5 วัสดุภายนอก                   โพลีโพรพิลีน น้ำหนัก               4,170               กรัม ขนาด                 17.7x11.4x23.6  นิ้ว ความจุ               56                     ลิตร   TravelOne Palma                       73 คะแนน ราคา 8,000 บาท แข็งแรงทนทาน                            4 ใช้งานสะดวก                               4 คุณภาพการผลิต                           4 หูหิ้วปลอดสารเคมีอันตราย             1 วัสดุภายนอก                   เอ บี เอส / โพลีคาร์บอเนต น้ำหนัก               3,660               กรัม ขนาด                 16.5x10x24        นิ้ว ความจุ               54.5                  ลิตร   Samsonite Cosmolite                  72 คะแนน ราคา 14,800 บาท แข็งแรงทนทาน                            3 ใช้งานสะดวก                               4 คุณภาพการผลิต                           4 หูหิ้วปลอดสารเคมีอันตราย             5 วัสดุภายนอก                   โพลีโพรพิลีน น้ำหนัก               3,010               กรัม ขนาด                 17.7x11.4x24.8  นิ้ว ความจุ               68                     ลิตร   Manor Maddison             70 คะแนน ราคา 10,000 บาท แข็งแรงทนทาน                            3 ใช้งานสะดวก                               4 คุณภาพการผลิต                           4 หูหิ้วปลอดสารเคมีอันตราย             5 วัสดุภายนอก                   เอ บี เอส / โพลีคาร์บอเนต น้ำหนัก               5,070               กรัม ขนาด                 17.1x11.2x24.8  นิ้ว ความจุ               55.5                  ลิตร   Beverly Hills Polo Club                68 คะแนน ราคา 2,200 บาท แข็งแรงทนทาน                            3 ใช้งานสะดวก                               3 คุณภาพการผลิต                           4 หูหิ้วปลอดสารเคมีอันตราย             5 วัสดุภายนอก                   โพลีคาร์บอเนต น้ำหนัก              3,810                กรัม ขนาด                 17.5x11.6x24     นิ้ว ความจุ               64                     ลิตร

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 135 กระเป๋าเดินทางล้อลาก

ถ้าคุณจะต้องออกจากบ้านไปไกลๆ ไม่ว่าจะเพื่อท่องเที่ยวหาประสบการณ์ หรือไปเข้าร่วมการประชุมสัมมนาในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ  อุปกรณ์สำคัญชิ้นหนึ่งที่จะขาดเสียไม่ได้คือ “กระเป๋า” ที่คุณจะใส่เสื้อผ้าหรือของใช้จำเป็น  เผื่อว่าคุณกำลังมองหากระเป๋าเดินทางแบบล้อลาก ฉลาดซื้อฉบับนี้เรามีผลทดสอบจากองค์กรทดสอบระหว่างประเทศที่เขาทำไว้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มาฝากกัน กระเป๋าล้อลากเหล่านี้ทำจากวัสดุที่เป็นโพลีเอสเตอร์เป็นหลัก  ความจุตั้งแต่ 48.5 ลิตร – 109 ลิตร มีทั้งแบบที่ขับเคลื่อน (ด้วยแรงคุณ) 2 ล้อ และ 4 ล้อ เราเลือกนำเสนอเฉพาะรุ่นที่ได้คะแนนรวม 60 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 100) ขึ้นไปเท่านั้น กระเป๋าเหล่านี้มีราคาตั้งแต่ 1,460 – 10,900 บาท (เป็นการคำนวณจากราคาที่ทางห้องทดสอบแจ้งมาเป็นหน่วยยูโร) กระเป๋าเดินทางสองรุ่นที่ได้คะแนนมากกว่าร้อยละ 80 ได้แก่ Delsey Xpert Lite 65 cm ราคา 8,700 บาท และ Samsonite B-Lite ราคา 7,250 ส่วนคะแนนของรุ่นอื่นๆ (ที่ราคาถูกกว่านั้น) ติดตามได้ในหน้าถัดไป   ทั้งนี้เรานำเสนอผลการทดสอบแยกเป็น ความแข็งแรงทนทาน ทั้งของตัวกระเป๋า หูหิ้ว คันชัก และล้อ ในประเด็นต่อไปนี้ การกดทับด้วยน้ำหนัก 100 กิโลกรัม การลากจูงบนสายพาน เป็นระยะทาง 15 กิโลเมตร การเสียดสี (ตัดผ้าด้านนอกออกไปทดสอบ) รวมถึงการป้องกันน้ำเข้าตัวกระเป๋า ด้วยการวางกระเป๋าในแนวตั้ง และแนวนอนตากฝนเป็นเวลา 10 นาที เป็นต้น ความสะดวกในการใช้งาน ซึ่งอาสาสมัครจะทดลองใช้กระเป๋าตั้งแต่ขั้นตอนการบรรจุเสื้อผ้าและลากกระเป๋าดังกล่าวเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร ผ่านสภาพพื้นผิวทั้งเรียบ และขรุขระ รวมถึงขึ้นบันไดด้วย   หมายเหตุ: อีก 6 รุ่นที่ได้คะแนนน้อยกว่าร้อยละ 60 ได้แก่ K-Classic Trolley / Titan GmbH L 7.0 / Lancel Partance / Travelite Flair / Carrefour Valise charriot classique / Polo Pierre Riche และ Migros Eva Trolley active   Delsey Xpert Lite 65 cm                       81 คะแนน ราคา 8,700 บาท แข็งแรงทนทาน              5 ใช้งานสะดวก                 3.5 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          3,990               กรัม ขนาด                            435*325*565    มิลลิเมตร ความจุ                          57                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        50                    มิลลิเมตร     Samsonite B-Lite                      80 คะแนน ราคา 7,250 บาท แข็งแรงทนทาน              4.5 ใช้งานสะดวก                 3.5 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          3,420               กรัม ขนาด                            440*275*570    มิลลิเมตร ความจุ                          67.5                 ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        50                    มิลลิเมตร     Samsonite Cordoba Duo                      78 คะแนน ราคา 6,400 บาท แข็งแรงทนทาน              4 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          3,190               กรัม ขนาด                            440*285*635    มิลลิเมตร ความจุ                          61.5                 ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        70                    มิลลิเมตร     Stratic Apollo II                                                67 คะแนน ราคา 6,000 บาท แข็งแรงทนทาน              3 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          3,610               กรัม ขนาด                            485*340*675    มิลลิเมตร ความจุ                          83.5                 ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        50                    มิลลิเมตร     TravelPro Trolley                                  66 คะแนน ราคา 4,000 บาท แข็งแรงทนทาน              2 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          5,160               กรัม ขนาด                            515*340*740    มิลลิเมตร ความจุ                          109                  ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        72                    มิลลิเมตร     Valigeria Roncato S.p.A. Gate              65 คะแนน ราคา 5,590 บาท แข็งแรงทนทาน              3 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          3,260               กรัม ขนาด                            410*280*605    มิลลิเมตร ความจุ                          62                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        50                    มิลลิเมตร     Tchibo Trolley              65 คะแนน ราคา 3,200 บาท แข็งแรงทนทาน              3 ใช้งานสะดวก                 3.5 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          5,140               กรัม ขนาด                            505*295*690    มิลลิเมตร ความจุ                          71                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        82                    มิลลิเมตร   Gladiator Source Mod. 34                    64 คะแนน ราคา 3,485 บาท แข็งแรงทนทาน              3 ใช้งานสะดวก                 3.5 คุณภาพการผลิต                        3 น้ำหนัก                          4,800               กรัม ขนาด                            420*320*610    มิลลิเมตร ความจุ                          63                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        49                    มิลลิเมตร     Valigeria Roncato S.p.A. RV Runner     63 คะแนน ราคา 2,790 บาท แข็งแรงทนทาน              3 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          3,750               กรัม ขนาด                            410*270*595    มิลลิเมตร ความจุ                          50.5                 ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        70                    มิลลิเมตร   Eminent Trolley Minsk                           63 คะแนน ราคา 3,600 บาท แข็งแรงทนทาน              2 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          4,430               กรัม ขนาด                            490*330*710    มิลลิเมตร ความจุ                          101                  ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        76                    มิลลิเมตร     Delsey Xpert Lite                                  63 คะแนน ราคา 10,900 บาท แข็งแรงทนทาน              2 ใช้งานสะดวก                 3.5 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          4,440               กรัม ขนาด                            470*350*685    มิลลิเมตร ความจุ                          96                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        50                    มิลลิเมตร     Top Move                                            61 คะแนน ราคา 2,400 บาท แข็งแรงทนทาน              2 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        3 น้ำหนัก                          4,490               กรัม ขนาด                            470*305*735    มิลลิเมตร ความจุ                          84                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        68                    มิลลิเมตร   Visa/Delsey New PinUp                                               61 คะแนน ราคา 3,570 บาท แข็งแรงทนทาน              2 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        3 น้ำหนัก                          4,010               กรัม ขนาด                            415*290*630    มิลลิเมตร ความจุ                          62                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        68                    มิลลิเมตร     Caminatta Birdie                                  61 คะแนน ราคา 4,000 บาท แข็งแรงทนทาน              2 ใช้งานสะดวก                 3.5 คุณภาพการผลิต                        3 น้ำหนัก                          4,980               กรัม ขนาด                            430*285*625    มิลลิเมตร ความจุ                          57                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        49                    มิลลิเมตร     ฉลาดซื้อแนะ -          มองหากระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมเข้าไว้ มันอาจดูน่าเบื่อ แต่เชื่อเถอะว่ามันจุที่สุดเมื่อเทียบกับรูปทรงอื่นในขนาดเดียวกัน -          เลือกที่ความจุไม่เกิน 20 กิโลกรัม เพราะคุณไม่ควรจะต้องหิ้วกระเป๋าเดินทางที่หนักเกินไป ลืมไปเลยเจ้ากระเป๋าที่หนักคุณท้อแท้ตั้งแต่ยังไม่ได้บรรจุสัมภาระ แม้คุณจะเป็นผู้โดยสารชั้นหนึ่งซึ่งได้โควตาน้ำหนัก 40 กิโลกรัมก็ใช่ว่าคุณจะสามารถถือมันไหว -          ลงทุนกับกระเป๋าคุณภาพดีเสียเถิด จะได้ไม่ต้องซื้อกันบ่อยๆ กระเป๋าเราต้องผ่านการผจญภัยมากมาย ถ้าชำรุดระหว่างทางเดี๋ยวจะอารมณ์เสียกันเปล่าๆ  มีงานวิจัยที่ระบุว่า อย่างน้อยๆ กระเป๋าเดินทางของคุณก็จะต้องถูกยกวาง (...หรือเหวี่ยง ในบางสถานการณ์) ประมาณ 10 ครั้ง ต่อการเดินทางโดยเครื่องบินหนึ่งเที่ยว -          กระเป๋าดีมีชัยไปกว่าครึ่ง อีกครึ่งที่เหลือคือศิลปะในการจัดกระเป๋าและวิจารณญาณในการเลือกข้าวของที่จะนำไป สูตรใครก็สูตรใครนะท่านผู้ชม... -          อย่าลืมว่ากระเป๋าไหนๆ ก็ป้องกันคุณจากอาการปวดหลังปวดเอวไม่ได้ ถ้าคุณไม่ยกให้ถูกวิธี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คุณยืนด้านข้างตัวกระเป๋า ย่อเข่าลงไป แล้วยกกระเป๋าขึ้นมา เมื่อยกขึ้นมาแล้วก็เดินไปตรงๆ อย่าได้หันรีหันขวางเด็ดขาด ได้เคล็ดกันแน่ ----   เรามีสถิติที่น่าสนใจมาฝาก ... เมื่อกระเป๋าต้องบินเดี่ยว ในปี 2554 ทั่วโลก มีผู้เดินทางโดยเครื่องบิน 2,870 ล้านคน  และมี “กระเป๋าดวงตก” ทั้งหมด 25.8 ล้านใบ (ลดลงไปร้อยละ 20 จากปีก่อนหน้า) ในบรรดากระเป๋าเหล่านั้น ... ร้อยละ 85.6      มาช้า ร้อยละ 11.9      มาไม่เหมือนเดิม ร้อยละ 2.5        ไม่มาเลย   สาเหตุที่มาช้านั้น เกินกว่าร้อยละ 50 เป็นเพราะความผิดพลาดระหว่างการต่อเที่ยวบิน สาเหตุรองลงมาได้แก่ การที่กระเป๋าไม่ได้ถูกโหลดขึ้นเครื่องแต่แรก แต่ไม่ต้องวิตกจนเกินไป เขาบอกว่า ในจำนวนผู้โดยสาร 1,000 คน จะมีกระเป๋าโชคร้ายประมาณ 9 ใบ เท่านั้น (ลดลงจาก 12 ใบ ในปี 2553) ข้อมูลจากรายงาน Baggage Report 2012 โดย SITA   ท่องโลกทั้งใบ ถือกระเป๋า (เล็ก) ใบเดียว? การพกพาเพียงกระเป๋าใบเดียวเวลาที่คุณเดินทางไกลนั้น มีข้อดีอยู่หลายประการ ปลอดภัย โอกาสในการทำกระเป๋าหายจะน้อยลง เพราะคุณไม่ต้องโหลดกระเป๋าไปใต้ท้องเครื่อง (ไม่ว่าจะเครื่องโบอิ้งหรือเครื่องวอลโว่)  และโอกาสที่คุณจะถูกตำรวจจับเพราะมีมือดีแอบเอายาเสพติดมาใส่ในกระเป๋าของคุณในระหว่างนั้นก็จะน้อยลงด้วย ประหยัด ถ้าขึ้นรถทัวร์ รถไฟก็ไม่เท่าไร แต่ถ้าคุณเดินทางด้วยเครื่องบินต้องคิดมาหน่อย เพราะเขาจำกัดน้ำหนักสัมภาระที่ผู้โดยสารแต่ละคนจะนำมาเช็คอิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายการบินราคาประหยัดที่มักจะให้โควตาน้ำหนักค่อนข้างน้อย ถ้าคุณต้องการมากกว่านั้นก็จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม ไหนจะมีห่วงกลัวกระเป๋าที่ซื้อมาแพงเป็นริ้วรอย เลยต้องใช้บริการฟิล์มพลาสติกหุ้มกระเป๋า เปลืองเงินเพิ่มอีก นอกจากนี้คุณยังไม่ต้องจ่าย “ทิป” ให้กับคนที่มาช่วยยกกระเป๋าให้ (ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือคนที่อยู่ดีๆ ก็ตีขลุมว่าคุณต้องการความช่วยเหลือแล้วเรียกเก็บเงินจากคุณ) ที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อเราถือสัมภาระมาน้อย เราก็สามารถโดยสารรถสาธารณะจากสนามบิน สถานีรถไฟ หรือสถานีขนส่งได้เลย (หลายคนคงมีประสบการณ์จ่ายค่าแท็กซี่แพงกว่าค่ารถโดยสารมาแล้ว) คล่องตัว เมื่อถึงที่หมายแล้วคุณสามารถเริ่มการเดินทางขั้นต่อไปได้ทันที ไม่ต้องรอเด็กรถยกกระเป๋าลงให้ หรือไม่ต้องยืนรอดักจับกระเป๋าเราจากสายพาน อาจจะแวะหาอะไรรับประทานในร้านข้างทางก่อน หรือเดินดูอะไรไปเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องมุ่งตรงเข้าที่พักเลยก็ได้ ในกรณีที่ไม่ได้จองที่พักไว้ล่วงหน้า ก็เดินหรือนั่งรถหาไปเรื่อยๆ ได้อีก รักษ์โลก แน่นอนอยู่แล้ว มันเป็นผลพลอยได้จากข้อดีข้างต้น นอกจากนี้ยังดีต่อตัวคุณเองด้วย เพราะแม้กระเป๋าจะมีล้อ แต่มันก็ต้องมีบ้างที่คุณต้องยกหรือถือกระเป๋าด้วยกล้ามเนื้อของตัวคุณเองบ้าง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 106 ห้องน้ำสำหรับคนพิการ ความจำเป็นที่ถูกมองข้าม

ห้องน้ำ ถือเป็นเรื่องที่หลายๆ คนให้ความสำคัญไม่ว่าจะไปที่ไหน ขอให้รู้ว่ามีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ เวลาปวดหนักปวดเบาก็รู้สึกอุ่นใจ ซึ่งสำหรับผู้พิการเองก็เช่นกัน พวกเขาก็ต้องการรู้สึกอุ่นใจว่าที่ที่พวกเขากำลังจะไปนั้นมีห้องน้ำที่ออกแบบมาสำหรับพวกเขา ห้องน้ำแบบเฉพาะเพื่อให้ผู้พิการสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทำไมต้องมีห้องน้ำเฉพาะสำหรับผู้พิการผู้พิการไม่ต้องการเป็นภาระของสังคม และอยากทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง แต่ด้วยความบกพร่องทางร่างกายทำให้มีหลายกิจกรรมในชีวิตประจำวันที่ผู้พิการไม่สามารถทำได้เหมือนคนปกติ ที่ชัดที่สุดก็เห็นจะเป็นการทำธุระต่างๆ ในห้องน้ำ โดยเฉพาะกับผู้พิการที่ต้องนั่งอยู่บนรถวีลแชร์ ที่ส่วนใหญ่ล้วนมีปัญหาบกพร่องทางร่างกายบางส่วนไม่สามารถขยับได้ ทำให้การพยุงตัวเพื่อขึ้นนั่งบนโถส้วม การใช้อ่างล้างมือ รวมถึงการอาบน้ำในห้องน้ำแบบปกติเป็นไปอย่างยากลำบาก การมีห้องน้ำที่ออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้พิการจึงมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะจะช่วยให้ผู้พิการที่ใช้รถวีลแชร์ทำธุระในห้องน้ำได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น ห้องน้ำคนพิการหายากจังเวลาที่ปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ แต่มองซ้ายมองขวาก็ไม่รู้ว่าสุขาอยู่หนใด หลายๆ คนคงเข้าใจว่าช่างเป็นช่วงเวลาที่แสนทุกข์ทรมานใจ ขนาดคนปกติธรรมดาที่พอจะหาห้องน้ำได้ไม่ยากยังเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ แล้วถ้าเป็นคนพิการต้องมาจะเรื่องแบบนี้คงเดาไม่ยากว่าจะรู้สึกแย่แค่ไหน นั้นเป็นเพราะห้องน้ำสำหรับคนพิการในเมืองไทยหาได้ยากเย็นยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร แสดงให้เห็นว่าคนพิการยังคงถูกมองข้ามในสังคม แม้ว่าห้องน้ำคนพิการจะเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานที่คนพิการควรได้รับ แต่ในความเป็นจริงทุกวันนี้คนพิการก็ยังต้องพึ่งตัวเองเป็นหลัก เพราะการช่วยเหลือจากสังคมยังมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ห้องน้ำสาธารณะที่คนนิยมเลือกใช้มากที่สุดคงหนีไม่พ้น ในห้างสรรพสินค้า รองลงมาก็คือ ในร้านอาหาร สถานที่ราชการ โรงแรมและสวนสาธารณะ ซึ่งสถานที่ที่กล่าวมา แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกที่ที่จะมีห้องน้ำสำหรับคนพิการ และบางทีถึงแม้จะมีห้องน้ำสำหรับผู้พิการ แต่ก็อาจจะไม่มีโอกาสได้ใช้ เพราะถึงแม้จะติดป้ายบอกว่าเป็น ห้องน้ำคนพิการแต่การออกแบบกลับไม่เอื้ออำนวย อย่างเช่นระหว่างทางไปห้องน้ำกลับเป็นทางที่เป็นขั้นบันได พื้นที่ในห้องน้ำแคบเกินไป หรือปัญหาพื้นๆ ที่คนปกติก็มักเจอกันเป็นประจำอย่าง น้ำไม่ไหล ไม่มีกระดาษทิชชู ห้องน้ำสกปรก ซ้ำร้ายที่สุดคือห้องน้ำถูกล็อคหรือถูกทำให้กลายเป็นห้องเก็บของ “ฉลาดซื้อ” จึงอยากทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงเล็กๆ ไปถึงหน่วยงานราชการและเจ้าของกิจการต่างๆ ช่วยสละพื้นที่เล็กๆ ในอาคารสถานที่ที่ท่านดูแล แบ่งมาสร้างเป็นห้องน้ำสำหรับผู้พิการที่ได้มาตรฐาน เพื่อช่วยกันสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคมของเรา ***ปีนี้รัฐบาลจัดงานใหญ่สำหรับคนพิการขึ้นถึง 2 งาน คือ “มหกรรมต้นแบบคนพิการไทย” และ “งานมหกรรมวันคนพิการสากลประจำปี 2552” ซึ่งน่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีที่คนพิการจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ห้องน้ำคนพิการที่ดีควรมีอะไรบ้าง-ประตูห้องน้ำควรเป็นแบบบานเลื่อน หรือถ้าเป็นแบบบานพับก็ควรเป็นแบบที่เปิดออกสู่ด้านนอก โดยเปิดออกได้ไม่น้อยกว่า 90 องศา และมีความกว้างของประตูไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร ที่สำคัญคือประตูควรเปิดได้ง่าย ใช้แรงไม่มากในการเปิด เหมาะกับผู้พิการที่มีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ -ที่พื้นจากภายนอกสู่ห้อง ควรเป็นพื้นเรียบเสมอกัน ถ้าหากพื้นมีความต่างระดับกันต้องทำทางลาดสำหรับรถวีลแชร์ด้วย -มีราวจับจากประตูไปถึงยังจุดต่างๆ ทั้งอ่างล้างมือ โถส้วม โดยราวจับต้องมีความสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 80 เซนติเมตร และต้องมีราวจับทั้งแนวตั้งและแนวนอน ตรงบริเวณข้างอ่างล้างมือทั้ง 2 ฝั่ง และด้านข้างโถส้วม เพื่อช่วยในการพยุงตัว -อ่างล้างมือควรสูงจากพื้นไม่น้อยกว่า 75 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 80 เซนติเมตร โดยขอบอ่างต้องอยู่ห่างจากผนังไม่น้อยกว่า 45 เซนติเมตร -โถส้วมควรเป็นชนิดนั่งราบ สูงจากพื้นประมาณ 45 เซนติเมตร มีพนักพิงหลัง และที่ปล่อยน้ำให้เป็นแบบคันโยก -พื้นห้องน้ำควรทำจากวัสดุที่ไม่ลื่น กันน้ำ และมีระบบระบายน้ำที่ดี -พื้นที่ว่างภายในห้องน้ำควรมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร เพื่อให้รถวีลแชร์สามารถหมุนกลับตัวได้ -สิ่งของ เครื่องใช้ และอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องน้ำ ควรอยู่สูงจากพื้นระหว่าง 0.25 - 1.20 เมตร -ติดตั้งสัญญาณไฟฉุกเฉิน สำหรับให้ผู้พิการที่อยู่ในห้องน้ำติดต่อมายังบุคคลภายนอก กรณีต้องการความช่วยเหลือ -ก๊อกน้ำเป็นแบบก้านกด ก้านโยกหรือให้ดีที่สุดคือเป็นระบบแบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ-มีอักษรเบรลล์บอกให้ทราบว่านี้คือห้องน้ำสำหรับคนพิการหรือบอกให้ทราบว่าเป็นห้องน้ำหญิงหรือชาย สำหรับห้องน้ำทั่วไป *** ข้อมูลจาก “คู่มือการออกแบบสภาพแวดล้อมสำหรับคนพิการและคนทุกวัย” สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ “ระเบียบคณะกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2544”

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point