ฉบับที่ 143 โชเฟอร์แท็กซี่คนนี้ ชัวร์หรือมั่วนิ่ม

  ปีที่แล้ว มีคนร้องเรียนรถแท็กซี่ผ่านศูนย์ 1584 กว่า 30,000 ราย ด้วยข้อหาเดิมๆ ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร ปัญหานี้เหมือนจะอยู่คู่บริการรถแท็กซี่ของเรามาตั้งแต่เริ่มใช้มิเตอร์ เพราะแต่เดิมเราต้องต่อรองราคากับโชเฟอร์ก่อนเมื่อพอใจกันทั้งสองฝ่ายก็ไปกันราบรื่น แต่หลายครั้งผู้โดยสารก็อาจหงุดหงิดเพราะไม่รู้ว่า ราคาที่เหมาะสมจริงๆ มันคือเท่าไหร่ เมื่อปรับมาเป็นระบบมิเตอร์ คือ คิดเงินตามระยะทาง ดูเหมือนผู้โดยสารกับโชเฟอร์ไม่ต้องมากังวลกับราคาอีกเพราะมีทางรัฐมาเป็นผู้กำหนดราคาให้ แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อสังคม เศรษฐกิจ ระบบจราจร ตลอดจนค่าพลังงานมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้แท็กซี่หันมาปฏิเสธไม่ยอมรับผู้โดยสารมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคิดว่า ไม่คุ้ม นั่นเอง ข้ออ้างประเภท ต้องไปส่งรถ หรือ แก๊สหมด จึงมาเกือบทุกครั้งที่ผู้โดยสารบอกเส้นทางที่จะไป(แต่แท็กซี่ไม่อยากไป) ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่คนแทบทุกคนต้องเคยเจอ   หลังจากไปทบทวนสถานการณ์แล้ว พบว่าหลายฝ่ายได้พยายามแก้ไขปัญหานี้มาตลอด โดยปีที่ผ่านมาก็เช่นกัน ทางการประกาศ 1 กันยายน เป็นต้นไป หากแท็กซี่คันไหนปฏิเสธไม่รับผู้โดยสารจะต้องถูกปรับทันที 1,000 บาท ซึ่งดูเหมือนวูบวาบในระยะแรก แต่นั่นแหละผ่านไปสักพักสถานการณ์ก็เหมือนเดิม   เรื่องนี้ถ้าจะแก้ไขคงต้องไปสะสางกันอีกหลายเรื่อง แต่ประเด็นสำคัญที่คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุหลัก ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องราคาค่าโดยสาร คือ คนขับแท็กซี่หรือพี่โชเฟอร์ ที่เป็นใครก็ได้ ขอแค่ขับรถเป็นและมีใบขับขี่รถสาธารณะ(ส่วนในความเป็นจริงหลายคนไม่มีใบขับขี่สาธารณะหรือบางคนแม้แต่ใบขับขี่รถยนต์ก็ยังไม่มี)   ท้าพิสูจน์โชเฟอร์คนนี้ ชัวร์หรือมั่วนิ่ม อาชีพแท็กซี่เป็นอาชีพอิสระ หลายคนก็ทำจริงจัง หลายคนก็ทำเป็นอาชีพเสริม เพราะดูจากการอุดหนุนหลายอย่างของรัฐ ทั้งเรื่องการออกใบอนุญาตทั้งรถ ทั้งคนขับ การอุดหนุนค่าพลังงาน ฯลฯ ทำให้ไม่ยากเลยกับการมาเป็นคนขับแท็กซี่ หลายเสียงพูดว่า ถ้าเป็นคนขับแท็กซี่ที่รักในอาชีพจริงๆ มักไม่ปฏิเสธผู้โดยสารหรือจ้องจะเอาเปรียบผู้โดยสาร แต่ปริมาณรถแท็กซี่กว่า 100,000 คันในขณะนี้ มีแท็กซี่มืออาชีพกันสักกี่คน ถูกแท็กซี่ปฏิเสธก็เป็นทุกข์แบบหนึ่ง ได้ขึ้นไปนั่งแล้วก็สร้างความกังวลได้อีก เพราะไม่รู้ว่า คนขับแท็กซี่คันนี้ เป็นคนดีหรือเปล่า คำแนะนำสำหรับการใช้บริการแท็กซี่อันดับแรกเลยก็คือ ทุกครั้งต้องจำเลขรถและชื่อคนขับให้ได้ แล้วถ้าคนขับกับป้ายหน้ารถที่แสดงใบอนุญาตเกิดไม่ตรงกันล่ะ จะทำอย่างไรดี   ปัญหาเรื่องคนขับแท็กซี่เป็นคนละคนกับในใบอนุญาตนั้นจากข้อมูลของกรมการขนส่ง ระบุว่า จากสถิติการขอรับใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ (รถแท็กซี่) จนถึงวันที่ 31 พ.ค. 55 มีจำนวน 66,645 ราย ขณะที่ยอดจดทะเบียนรถแท็กซี่ถึงวันที่ 31 พ.ค. 55 มีจำนวน 102,575 คัน เป็นรถแท็กซี่ส่วนบุคคล จำนวน 25,020 คัน และเป็นรถแท็กซี่นิติบุคคล จำนวน 77,555 คัน ชี้ให้เห็นว่า มีผู้ขับรถแท็กซี่จำนวนมากที่ยังไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ ดังนั้นกรมการขนส่งทางบก จึงออกมาตรการตั้งเป้า ผู้ขับรถแท็กซี่ต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ 100%   ฉลาดซื้อเราก็อยากพิสูจน์ว่า มาตรการจะได้ผลหรือไม่ เลยชักชวนกันลองนั่งแท็กซี่ช่วงระหว่างวันที่ 8 -17 มกราคม 2555 นั่งกันไปได้ 108 คัน ทั้งแท็กซี่ส่วนบุคคลและนิติบุคคล ในทุกช่วงเวลา การสำรวจครั้งนี้พบว่า ร้อยละ 91.59 (98 คัน)    =  คนขับเป็นคนเดียวกันกับในใบอนุญาตที่แสดงไว้ด้านหน้า ร้อยละ 6.54 (7 คัน)        =  ไม่ใช่ และร้อยละ 1.87 (2 คัน)   =  ป้ายช่างซีดจางอ่านไม่ออกประเมินไม่ได้ว่า ใช่หรือไม่ใช่ การสำรวจในครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราทดลองในเรื่อง การใช้บริการแท็กซี่ ซึ่งต่อไปเราคงจะทดลองนั่งกันอีกหลายครั้งเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาของรัฐว่ามาตรการต่างๆ ที่ออกมานั้นแก้ไขปัญหาได้จริงหรือเปล่า โปรดติดตามกันต่อไป ผู้ขับรถแท็กซี่ไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ จะมีความผิดต้องโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องแสดงบัตรประจำตัวผู้ขับรถด้วย หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท ส่วนผู้ประกอบการ หรือเจ้าของรถแท็กซี่ ต้องร่วมรับผิดชอบ โดยหากยินยอมให้ผู้อื่นที่ไม่มีใบอนุญาตขับรถสาธารณะเช่าหรือขับ มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท หากไม่จัดทำประวัติคนขับรถแท็กซี่จะมีความผิดปรับไม่เกิน 1,000 บาท   ---------------------------------------------------------------------------------------------------- การร้องเรียนผ่านศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ 1584 ในปี 2555 (เดือนมกราคม –ธันวาคม) พบว่า  มีประชาชนร้องเรียนเกี่ยวกับการให้บริการของรถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) จำนวน 33,357 ราย ความผิดส่วนใหญ่ปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร 17,139 ราย รองลงมาคือแสดงกิริยาวาจาไม่สุภาพ 4,227 ราย ไม่ส่งผู้โดยสารตามสถานที่ตกลงกัน 3,062 ราย ขับรถประมาทหวาดเสียว 2,253 ราย และความผิดด้านอื่น ๆ ที่มา กรมการขนส่งทางบก ----------------------------------------------------------------------------------------------------   พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 93 วรรคหนึ่ง ผู้ขับขี่รถแท็กซี่ ปฏิเสธไม่รับจ้างบรรทุกคนโดยสารโดยไม่มีเหตุอันควร ถือเป็นความผิด มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท และเป็นข้อหาที่ต้องถูกบันทึกคะแนน 20 คะแนน ถูกยึดใบอนุญาตขับขี่ 15 วัน ---------------------------------------------------------------------------------------------------- (กรุงเทพโพลล์) สำรวจความคิดเห็นเรื่อง “ความพร้อมของประเทศไทยหากมีการเปิดเสรีอาเซียนในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ” เก็บข้อมูลเมื่อวันที่ 11-13 มกราคม 2556 พบว่า ปัจจัยที่อาจทำให้บรรยากาศการท่องเที่ยวในประเทศไทยแย่ลง อันดับแรกคือ การจราจรติดขัด (ร้อยละ 37.2) รองลงมาคือการเอาเปรียบขึ้นค่าโดยสารของ แท็กซี่ ตุ๊กตุ๊ก (ร้อยละ 23.2) ----------------------------------------------------------------------------------------------------   TAXI ที่นั่น ที่นี่ ที่โน้น... กว่าจะขับแท็กซี่ที่ฮ่องกงได้ นอกจากจะต้องผ่านการตรวจร่างกาย สอบภาคปฏิบัติ แล้วยังต้องสอบข้อเขียนด้วย ข้อสอบเขามี 3 ส่วน เป็นคำถามเรื่องกฎระเบียบของรถแท็กซี่ 20 ข้อ คำถามเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ 20 ข้อ (ทั้งสองส่วนนี้ทำผิดได้ไม่เกินส่วนละ 2 ข้อ) นอกจากนี้ยังมีคำถามเกี่ยวกับกฎการใช้รถใช้ถนนอีก 100 ข้อ (ทำผิดได้ไม่เกิน 5 ข้อ) ถ้าคุณนั่งแท็กซี่ที่สิงคโปร์ในช่วงเวลาเร่งด่วน (จันทร์-ศุกร์ 6.00 น. – 9.30 น. / จันทร์ – อาทิตย์ รวมวันหยุดราชการ 18.00 น. – เที่ยงคืน) คุณต้องเตรียมจ่ายเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 25 ของค่าโดยสารที่ปรากฏบนมิเตอร์ ถ้าโบกรถหลังเที่ยงคืน - 5.59 น. ก็ให้เตรียมจ่าย “มิดไนท์ เซอร์ชาร์จ” ไว้ด้วย ไม่มากมาย แค่ร้อยละ 50 ของค่าโดยสารตามมิเตอร์เท่านั้น!!   ลืมบอกไปว่าถ้าเรียกแท็กซี่ในเขตเมือง ระหว่าง 5 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน ผู้โดยสารต้องจ่าย “City area surcharge” อีก 3 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 73 บาท) ด้วย   รัฐบาลมาเลเซียเอาใจพี่ๆ แท็กซี่ ด้วยการประกาศแจกคูปอง 520 ริงกิต (ประมาณ 5,000 บาท) เอาไว้ใช้เป็นค่าเปลี่ยนยาง มิเตอร์ของแท็กซี่ในเวียดนาม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ของบริษัทใหญ่ๆ อย่างไมลิน หรือวินาซัน) จะเริ่มทำงานเองโดยอัตโนมัติหลังจากรถเคลื่อนตัวออกไป 5 เมตร

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 143 Tablet PC 2013

  ผลทดสอบ Tablet PC กลับมาอีกครั้งในวันที่มันได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่สาวกไอทีหลายคนวางแผนจะซื้อหามาใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ชีวิต จะส่งไฟล์ ตอบอีเมล์ อ่านหนังสือ ถ่ายรูป/วิดีโอ เล่นเกม ดูหนังฟังเพลง ก็ทำได้ทันใจไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เนื่องจากความนิยมที่เพิ่มขึ้นราคาของมันจึงยังคงสูงอยู่พอสมควร แต่ข้อดีคือการเลือกซื้อจะทำได้ง่ายขึ้น เพราะแต่ละเจ้าไม่มีใครยอมใครเรื่องของการจัดฟังก์ชั่นต่างๆ มาให้ใช้กัน รุ่นไหนได้รับความนิยมมากกว่ากันสมาชิกคงทราบดีอยู่แล้ว แต่หากคุณกำลังสงสัยเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานด้านต่างๆ ของอุปกรณ์เหล่านี้ เราก็ถือโอกาสนี้นำเสนอผลทดสอบที่องค์กรทดสอบระหว่างประเทศ (International Consumer Research & Testing) ทำไว้มาให้พิจารณากัน ด้วยเนื้อที่อันจำกัด เราจึงเลือกมานำเสนอ 17 รุ่น (ราคา 9,900 ถึง 20,500 บาท) ที่ได้คะแนนรวมตั้งแต่ 66 ไปจนถึง 80 จากคะแนนเต็ม 100  โดยการเปรียบเทียบในประเด็นต่างๆ ได้แก่ การถ่ายภาพนิ่ง/ภาพเคลื่อนไหว  มัลติมีเดีย  อินเตอร์เน็ท  วีดีโอคอล  การถ่ายโอนไฟล์  ฟังชั่น GPS  และรายชื่อติดต่อ/Email     Asus Vivo Tab RT (32GB)                                       80% ราคา 18,500 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                3.5 มัลติมีเดีย                                   4.5 อินเตอร์เน็ท                                5 วีดีโอคอล                                    5 การถ่ายโอนไฟล์                          4.5 ฟังก์ชั่น GPS                              5 รายชื่อติดต่อ/Email                      4   Microsoft Surface RT (32GB)                                79% ราคา 15,500 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                3.5 มัลติมีเดีย                                   4.5 อินเตอร์เน็ท                                4.5 วีดีโอคอล                                    5 การถ่ายโอนไฟล์                          5 ฟังก์ชั่น GPS                              5 รายชื่อติดต่อ/Email                      4   Apple iPad with retina display (16GB+4G)                    77% ราคา 20,500 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                4.5 มัลติมีเดีย                                   4 อินเตอร์เน็ท                                5 วีดีโอคอล                                    5 การถ่ายโอนไฟล์                          3 ฟังก์ชั่น GPS                              5 รายชื่อติดต่อ/Email                      4   Apple iPad Mini (16GB+4G)                       77% ราคา 15,200 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                4.5 มัลติมีเดีย                                   4 อินเตอร์เน็ท                                5 วีดีโอคอล                                    5 การถ่ายโอนไฟล์                          3 ฟังก์ชั่น GPS                              5 รายชื่อติดต่อ/Email                      4   Apple iPad 3 (16GB+4G)                                        77% ราคา 16,500 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                4.5 มัลติมีเดีย                                   4 อินเตอร์เน็ท                                4.5 วีดีโอคอล                                    5 การถ่ายโอนไฟล์                          3 ฟังก์ชั่น GPS                              5 รายชื่อติดต่อ/Email                     3.5   Samsung Google Nexus 10                                    76% ราคา 12,000 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                4.5 มัลติมีเดีย                                   4 อินเตอร์เน็ท                                5 วีดีโอคอล                                    4.5 การถ่ายโอนไฟล์                          5 ฟังก์ชั่น GPS                              5 รายชื่อติดต่อ/Email                     3   Sony Xperia Tablet S (3G + 16GB)                      76% ราคา 17,500 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                3.5 มัลติมีเดีย                                   4.5 อินเตอร์เน็ท                                5 วีดีโอคอล                                    4.5 การถ่ายโอนไฟล์                          4.5 ฟังก์ชั่น GPS                              5 รายชื่อติดต่อ/Email                     3     Asus Padfone 16Gb                                                 75% ราคา 16,900 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                4.5 มัลติมีเดีย                                   4.5 อินเตอร์เน็ท                                5 วีดีโอคอล                                    4 การถ่ายโอนไฟล์                          4 ฟังก์ชั่น GPS                              4 รายชื่อติดต่อ/Email                     3.5     Asus Transformer Pad TF300T (16GB + WiFi)  74% ราคา 19,500 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                4.5 มัลติมีเดีย                                   4 อินเตอร์เน็ท                                5 วีดีโอคอล                                    4 การถ่ายโอนไฟล์                          5 ฟังก์ชั่น GPS                              5 รายชื่อติดต่อ/Email                     3.5   Samsung Galaxy Note 10.1                                   73% ราคา 15,500 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                4 มัลติมีเดีย                                   4.5 อินเตอร์เน็ท                                5 วีดีโอคอล                                    3 การถ่ายโอนไฟล์                          4 ฟังก์ชั่น GPS                              4 รายชื่อติดต่อ/Email                     3.5     Samsung Galaxy Tab 2 7.0 (16GB+3G)  72% ราคา 10,950 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                4 มัลติมีเดีย                                   4 อินเตอร์เน็ท                                4.5 วีดีโอคอล                                    4 การถ่ายโอนไฟล์                          4 ฟังก์ชั่น GPS                              5 รายชื่อติดต่อ/Email                     4     Samsung Galaxy Tab 7.7 Plus (16GB+3G)        69% ราคา 14,200 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                4.5 มัลติมีเดีย                                   4 อินเตอร์เน็ท                                4 วีดีโอคอล                                    3.5 การถ่ายโอนไฟล์                          4.5 ฟังก์ชั่น GPS                              5 รายชื่อติดต่อ/Email                     3.5     Toshiba AT300 (16GB)                                           69% ราคา 18,900 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                3.5 มัลติมีเดีย                                   3.5 อินเตอร์เน็ท                                4.5 วีดีโอคอล                                    2 การถ่ายโอนไฟล์                          4.5 ฟังก์ชั่น GPS                              5 รายชื่อติดต่อ/Email                     3.5     Acer Iconia Tab A700 (16GB+WiFi)                    68% ราคา 15,900 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                4 มัลติมีเดีย                                   4 อินเตอร์เน็ท                                4 วีดีโอคอล                                    4 การถ่ายโอนไฟล์                          4.5 ฟังก์ชั่น GPS                              5 รายชื่อติดต่อ/Email                     4   Motorola Xoom 2                                                     68% ราคา 12,900 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                4 มัลติมีเดีย                                   4 อินเตอร์เน็ท                                4.5 วีดีโอคอล                                    3 การถ่ายโอนไฟล์                          5 ฟังก์ชั่น GPS                              5 รายชื่อติดต่อ/Email                     3.5     Asus Google Nexus 7 (32GB)                                67% ราคา 9,900 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                3.5 มัลติมีเดีย                                   4 อินเตอร์เน็ท                                4.5 วีดีโอคอล                                    1 การถ่ายโอนไฟล์                          4 ฟังก์ชั่น GPS                              5 รายชื่อติดต่อ/Email                     3   Amazon Kindle Fire HD 16GB                                66% ราคา 9,900 บาท ถ่ายภาพนิ่ง/เคลื่อนไหว                2.5 มัลติมีเดีย                                   4 อินเตอร์เน็ท                                4.5 วีดีโอคอล                                    4 การถ่ายโอนไฟล์                          4.5 ฟังก์ชั่น GPS                              1 รายชื่อติดต่อ/Email                     3   *หมายเหตุ ราคาที่ลงไว้เป็นราคาที่สำรวจ ณ วันที่ 8 มกราคม 2556 อาจมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาตรวจสอบกับทางร้านค้าอีกครั้ง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 172 กระแสต่างแดน

ไก่สด คนไม่สดบรรดาเนื้อไก่ที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Woolworths Aldi และ Coles และที่นำมาประกอบเป็นอาหารในร้านอย่าง KFC Pizza Hut หรือ Subway ในออสเตรเลียนั้น มาจาก “โรงงานนรก” ที่ พนักงานจากไต้หวันและฮ่องกงหลายพันคนทำงานวันละ 18 ชั่วโมง โดยไม่ได้ค่าจ้างล่วงเวลา คนหนุ่มสาวเหล่านี้เข้ามาทำงานด้วยวีซ่าแบบ working holiday ด้วยค่าแรงชั่วโมงละ 11.50 เหรียญ (ประมาณ 300 บาท)พวกเขาอาศัยอยู่ในที่พักที่บริษัท “จัดหา” ให้ โดยหักค่าเช่าสัปดาห์ละ100 (ประมาณ 2,500 บาท) เหรียญต่อคนออกจากรายได้ ข่าวบอกว่าบางที “ที่พัก” ของคนเหล่านี้ ก็มีคนร่วมพักถึงหลังละ 21 คน บริษัท Baiada Group ดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้จัดส่งไก่สดให้กับร้านค้าปลีกและร้านอาหารต่างๆ ใช้วิธีจ้างผู้รับเหมาช่วงแบบห่างๆ โดยไม่สนใจรับรู้ความเป็นไปที่เกิดขึ้นในโรงงานเหล่านั้นทั้งเรื่องของสิทธิแรงงานและสวัสดิการที่อยู่อาศัย เมื่อทางการขอข้อมูลอะไรไป ก็ได้กลับมาน้อยมาก หรือไม่ก็เป็นข้อมูลเก่า เช่น ที่อยู่เก่า หมายเลขโทรศัพท์เก่าเพราะบางทีบริษัทที่รับเหมาช่วงเหล่านี้ก็ไม่ได้อัพเดทข้อมูลของตนเอง สิ่งที่ยืนยันได้ ณ จุดนี้คือผู้รับเหมาส่วนใหญ่ (23 จาก 39 ราย) ขาดเสถียรภาพทางการเงิน และมี 4 รายจาก 6 รายใหญ่ที่เลิกกิจการไปแล้ว นอกจากนี้ยังไม่สามารถหาที่มาที่ไปของเงินจำนวนหลายแสนเหรียญได้ ขณะนี้ผู้ดูแลความเป็นธรรมด้านแรงงานกำลังสืบหาตัวทนายความและเจ้าหน้าที่บัญชีที่ช่วยบริษัทนี้ทำเอกสารขึ้นมาตบตาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ หม้อไฟกับน้ำมันการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วถึงขีดสุดของจีนทำให้นิสัยการกินของผู้คนเปลี่ยนไป ส่วนผสมเดิมๆ อย่างเป็ดหรือไก่ มันออกจะธรรมดาไป ต้องเป็นล็อบสเตอร์ สเต็กนำเข้า หรืออาหารเสริมสร้างภาพลักษณ์อย่าง ตับห่าน มันถึงจะใช่ เมื่อผู้คนไม่นิยมทำอาหารรับประทานเองอีกต่อไป ร้านอาหารแนว “หม้อไฟ” จึงมาแรงไม่แพ้กัน ... ก็มันทั้งสะดวก ทั้งคุ้มค่า เหมาะกับลีลาชีวิตของคนรุ่นใหม่เสียขนาดนั้น  รายงานบอกว่าการรับประทานอาหารแนว “หม้อไฟ” หรือ “ปิ้งย่าง” นี่แหละ ที่เป็นตัวการสำคัญของโรคอ้วนในคนจีน เพราะมันจะอร่อยก็ต่อเมื่อ “เกลือถึง น้ำมันถึง”  เจ้าของร้านหม้อไฟชื่อดังแห่งหนึ่งบอกว่า หม้อไฟหนึ่งชุดอาจใช้น้ำมันถึง 2.5 กิโลกรัม แถมต้องใส่เกลือเพื่อดึงรสชาติอาหารอีกด้วย  การบริโภคเกลือของคนจีนอยู่ในระดับน่าตกใจ คนกวางตุ้งที่ว่ากินจืดแล้วยังบริโภคเกลือเฉลี่ยคนละ 9.1 กรัม/วัน ซึ่งนั่นก็สูงกว่าเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกไปถึงร้อยละ 82 (ส่วนคนทางเหนือบริโภคเกลือเฉลี่ยวันละ 15 -18 กรัมเลยทีเดียว!)ผลที่ได้คืออัตราการเกิดโรคอ้วนที่เพิ่มสูงขึ้น ตัวเลขล่าสุดระบุว่า 1 ใน 3 ของประชากรในมณฑลเสฉวนทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ มีน้ำหนักเกิน  คนสวิสเห็นชอบลดภาษีทีวีเช่นเดียวกับในอีกหลายๆ ประเทศ กฎหมายของสวิตเซอร์แลนด์ว่าด้วยโทรทัศน์และวิทยุ กำหนดให้ทุกครัวเรือนจ่ายค่าธรรมเนียมการถือครองเครื่องเล่นวิทยุหรือโทรทัศน์ ปีละ 451 ฟรังก์ (ประมาณ 16,500 บาท)ถึงจะไม่มีเครื่องรับวิทยุหรือโทรทัศน์ ก็ยังต้องเสียค่าธรรมเนียมนั้นอยู่ดี เพราะเขาถือว่ามีการรับชม หรือรับฟังผ่านช่องทางอื่นอย่างแทบเล็ตหรือสมาร์ทโฟนอยู่แล้ว นอกจากครัวเรือนแล้ว บริษัทที่มียอดขายเกินกว่า 500,000 ฟรังก์ก็จะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมนี้ด้วย ที่เป็นข่าวขึ้นมาเพราะเขาจัดทำประชามติขอความเห็นว่าควรลดค่าธรรมเนียมนี้ให้เหลือ 400 ฟรังก์ (ประมาณ 14,600 บาท) หรือไม่ ประมาณร้อยละ 50 กว่าๆ เห็นด้วยกับการลดค่าธรรมเนียม (นี่เป็นเสียงจากประชากรในเขตที่พูดภาษาฝรั่งเศส) ส่วนที่เหลือ ซึ่งเป็นประชากรจากเขตที่พูดภาษาเยอรมันและอิตาลี ไม่เห็นด้วย  หมายความว่าต่อไปนี้ผู้คน 3 ล้านครัวเรือนจะประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปได้ ในขณะที่งบดำเนินงานของสถานีโทรทัศน์ Swiss Broadcasting Corporation และทีวีสาธารณะเจ้าอื่นๆ ซึ่งไม่รับโฆษณาแต่พึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมดังกล่าวปีละ 1,300 ล้านฟรังก์ ก็คงจะต้องลดลงเช่นกัน แท็กซี่ราคาเดียวปารีสก็เป็นอีกเมืองที่ผู้โดยสารแท็กซี่มักได้รับประสบการณ์แย่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขึ้นแท็กซี่จากสนามบิน การเปิดเลนด่วนสำหรับแท็กซี่ในช่วงที่ผ่านมาก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น คนขับก็ถูกร้องเรียนอยู่เป็นประจำเรื่องมีพฤติกรรมไม่สุภาพ ขับวนเพื่อเพิ่มค่าโดยสาร ไปจนถึงไม่ยอมรับการจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิต   การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองนั้นมีค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 80 ยูโร (ประมาณ 3,000 บาท) ขึ้นอยู่กับสถานที่และเวลาเดินทาง รัฐบาลฝรั่งเศสจึงมีแผนจะใช้ค่าแท็กซี่ “อัตราเดียว” จากสนามบินชาร์ล เดอ โกล เข้าตัวเมือง (55 ยูโร ถ้าปลายทางอยู่ทางฝั่งซ้ายของเมือง และ 50 ยูโรสำหรับฝั่งขวาของเมือง) เรื่องนี้ถูกใจผู้บริโภคอย่างยิ่ง แต่ไม่ถูกใจสมาคมแท็กซี่เอาเสียเลย เขาให้เหตุผลว่าอัตรานี้ไม่ยุติธรรม บางคนต้องจ่ายแพงไป ในขณะที่บางคนก็จ่ายถูกเกินจริง เขาเสนอว่าการตั้ง “เพดานค่าโดยสารสูงสุด” น่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า เรื่องจะจบอย่างไรต้องติดตามกันต่อ ระหว่างนี้ถ้าคุณไปเที่ยวปารีส ลองใช้รถโดยสาร easyBus ไปก่อน ค่าโดยสารแค่ 2 ยูโร (ประมาณ 80 บาท) เท่านั้น     ราวด์อั้พไม่ได้ไปต่อกระทรวงนิเวศน์ของฝรั่งเศสประกาศห้ามขายยาฆ่าหญ้ายี่ห้อ “ราวด์อั้พ” ในร้านอุปกรณ์ทำสวนแล้ว เพื่อเป็นการประกาศจุดยืนการห้ามใช้สารเคมีของประเทศทั้งนี้เพราะไกลโฟเสท ยาฆ่าหญ้าที่เข้าสู่ตลาดในช่วงปี 70 และปัจจุบันมียอดขายสูงที่สุดในโลกภายใต้ชื่อการค้าว่าราวด์อั้พ ถูกศูนย์วิจัยโรคมะเร็งของสหประชาชาติฟันธงว่า “อาจเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์” ในรายงานเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา   เพื่อความปลอดภัย เขาแนะนำให้บรรดานักทำสวนหันมาออกแรงถอนหญ้าด้วยตนเอง แน่นอนว่าบริษัทมอนซานโต้ ซึ่งทำเงินได้มหาศาลจากสินค้าตัวนี้ ออกมาแสดงจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับผลการศึกษาดังกล่าว เนื่องจากเป็นข้อสรุปที่ได้จากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนรอบด้านเมื่อ 2 ปีที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐออกมาให้การรับรองว่ายาฆ่าหญ้าดังกล่าวปลอดภัยสำหรับผู้ใช้  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 165 กระแสต่างแดน

บำบัดแบบโมบายผู้ประกอบการให้บริการแท็กซี่ Taxi Stockholm ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้บริการแท็กซี่ และพบว่ากว่าร้อยละ 70 ของลูกค้าบอกว่า ช่วงเวลาการนั่งแท็กซี่เป็นเวลาที่ได้อยู่กับตัวเอง ได้คิดอะไรต่ออะไรไปเรื่อย แล้วก็เล่าให้คนขับฟัง เขาเลยเชื่อว่าน่าจะส่งนักจิตบำบัดออกไปนั่งประจำในรถแท็กซี่ เพื่อให้คำปรึกษากับผู้ใช้บริการที่อยากได้ใครสักคนคุยด้วยขณะนั่งรถเสียเลย โดยเขาจะทดลองให้บริการนี้เป็นเวลา 2 สัปดาห์  ซึ่งเขาคาดว่าธุรกิจนี้น่าจะไปได้ดีในเมืองที่ทั้งหนาว ทั้งขาดแสงอาทิตย์อย่างสต็อกโฮล์ม ในช่วงปลายปีอย่างนี้ มีอา ฟาเลน หนึ่งในนักจิตบำบัดในโครงการนี้บอกว่า เธอรับงานนี้เพราะรู้สึกว่ามันท้าทายและน่าจะทำให้เธอได้พบกับโจทย์การทำงานใหม่ๆ แต่กระนั้นเธอบอกว่า พอจะเดาได้ว่าผู้คนในเมืองนี้คงมีปัญหาคล้ายๆ กัน คือโรคเหงากำเริบ เพราะคนที่นี่ส่วนใหญ่อยู่คนเดียว คนจากประเทศอื่นที่เข้ามาทำงานหรือมาใช้ชีวิตในเมืองนี้ก็มีปัญหาในการปรับตัวเช่นกัน เธอบอกว่าที่นี่อยู่ยาก เพราะคนสวีเดนเขาเงียบเฉยมากๆ เลยนะจะบอกให้ การโทรเรียกแท็กซี่บำบัดนั้น ถูกกว่าการไปพบนักจิตบำบัดที่คลินิก ซึ่งปกติมีค่าบริการครั้งละไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท และที่สำคัญในช่วงเวลาแค่ 10 นาทีบนรถ นักจิตบำบัดก็รู้ถึงปัญหาและสามารถให้คำแนะนำกับผู้ป่วย เอ้ย ... ผู้โดยสารให้สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือทัศนคติบางอย่างให้ชีวิตดีขึ้นได้ แท็กซี่ สต็อกโฮล์ม ยืนยันว่าความลับจะไม่รั่วไหล เพราะคนขับเขาเซ็นสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูลของผู้ใช้บริการไว้แล้ว สปาไม่น่าปลื้ม เรื่องร้องเรียนต่อธุรกิจสปาและธุรกิจเสริมความงามในสิงคโปร์ก็มีมากไม่แพ้บ้านเราเหมือนกัน ข่าวบอกว่าความพยายามของรัฐบาลในการควบคุมการประกอบธุรกิจดังกล่าวยังไม่เป็นผล สองปีที่ผ่านมา มีเรื่องร้องเรียนกว่า 2,000 เรื่อง แต่ตัวเลขนี้น่าจะต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะมีผู้บริโภคอีกมากที่ยังไม่ได้มาร้องเรียนกับ CASE (Consumers Association of Singapore) หรือสมาคมผู้บริโภคแห่งสิงคโปร์ แต่ที่แน่ๆ ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีกรณีร้องเรียนถึง 227 กรณี (เทียบกับ 199 กรณีในปีที่แล้ว) และเรื่องที่ร้องก็หนีไม่พ้นเทคนิคการขายแบบ “ฮาร์ดเซล” ที่ลูกค้าจะต้องถูกต้อนเข้ามุมให้ซื้อบริการ คุณภาพงานบริการที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ไปจนถึงการปิดกิจการลงไปเฉยๆ ข่าวบอกว่า ปัญหาหลักๆ มาจากระบบการขึ้นทะเบียนพนักงานผู้ให้บริการ ที่ยังไม่เข้าที่เข้าทาง เนื่องจากสถานประกอบการจะต้องขึ้นทะเบียนพนักงานก่อน จึงจะได้ใบอนุญาตประกอบกิจการจากตำรวจ แต่การปฏิบัติตามกฎดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องการจ้างบุคลากรจากต่างประเทศ และการกำกับดูแลค่อนข้างหละหลวม กิจการที่ไม่ขึ้นทะเบียนลูกจ้างจึงยังเปิดกันได้ทั่วไป และถ้าถูกจับได้ก็เสียค่าปรับแค่ประมาณ 1,000 เหรียญ (ประมาณ 25,000 บาท) เท่านั้น น้ำฟรีต้องมีบ้างนักการเมืองพรรคสังคมนิยมของสวิสเซอร์แลนด์ กำลังผลักดันกฎหมายใหม่ ห้ามไม่ให้ร้านอาหารคิดค่าน้ำเปล่า ซึ่งไม่น่าจะมีค่าใช้จ่ายอะไรมากมาย เพราะเปิดมากจากก๊อกน้ำ ปัจจุบันมีบางร้านคิดค่าน้ำเปล่า ซึ่งทำให้ลูกค้าก็รู้สึกไม่คุ้ม จะเสียเงินทั้งทีขอสั่งเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มรสหวานแทนดีกว่า (ซึ่งไม่น่าจะดีต่อสุขภาพเท่าการดื่มน้ำเปล่า) ด้านสมาคมผู้ประกอบการร้านอาหารไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ยืนยันว่าให้แต่ละร้านมีสิทธิตัดสินใจเองดีกว่า เพราะปัจจุบันมีบางร้านที่ต้องทำอย่างนั้นเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ เขายกตัวอย่างร้านพิซซาแห่งหนึ่ง ที่ต้องพึ่งพารายได้จากเครื่องดื่มถึงร้อยละ 75 และทางร้านก็คิดค่าน้ำเปล่าเหยือกละ 85 บาทเท่านั้น แถมยังยกเว้นให้กับนักเรียน นักศึกษาด้วย ตามธรรมเนียมของร้านอาหารในเมืองเจนีวานั้น ถ้าคุณอยากได้น้ำธรรมดา ต้องบอกเขาให้ชัดๆ มิเช่นนั้นทางร้านจะถือว่าคุณต้องการน้ำแร่บรรจุขวด ไม่ต้องรู้สึกอายใครที่จะสั่งน้ำธรรมดาที่ไขมาจากก๊อก เพราะบริษัท SIG ผู้จัดหาแก๊ส ไฟฟ้า และน้ำประปาให้กับประชากรเมืองนี้เขายืนยันว่า น้ำของเขาซึ่งได้จากทะเลสาบเจนีวานั้นคุณภาพดีกว่าน้ำแร่ด้วยซ้ำ  เสี่ยงทั้งภูมิภาค ถ้าถามผู้คนในละตินอเมริกาว่ากลัวอะไรมากที่สุด จะได้รับคำตอบว่ากลัวโดนปล้น โดนฆ่าโดยแก๊งค์โจร แก๊งค์ค้ายาเสพติด แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าในอุรุกวัย (ซึ่งเป็นประเทศที่จัดว่าปลอดภัยที่สุดในละตินอเมริกา) ความเป็นไปได้ที่จะประสบอุบัติเหตุทางถนนมีมากกว่าการถูกปล้นด้วยซ้ำ ในอาร์เจนตินา อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของคนอายุต่ำกว่า 32  ในขณะที่ “รถเมล์นรก” ก็มีอยู่เต็มท้องถนนในเมืองลิมาประเทศเปรู และรถเก่าๆ ทั้งจากอเมริกาและรัสเซียตั้งแต่ยุคสงครามเย็นที่ยังถูกใช้อยู่ในคิวบา ก็มีส่วนเพิ่มอัตราการเกิดอุบัติเหตุไม่น้อย ในการากัส เมืองหลวงของเวเนซูเอล่า กว่า 1 ใน 4 ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนก็คือผู้โดยสารที่ใช้บริการ “โมโตแท็กซี่” (คล้ายกับพี่วินที่บ้านเรา ต่างกันตรงที่เขานิยมนั่งซ้อนมากกว่าหนึ่งคน บางทีมากันทั้งครอบครัวพร้อมสัมภาระ และไม่มีใครใส่หมวกกันน็อคอีกต่างหาก) สัญญาณไฟจราจรที่นี่ไม่มีความหมาย ไม่มีใครเคารพการจำกัดความเร็วหรือชะลอเมื่อถึงบริเวณทางม้าลาย สิทธิของคนเดินเท้าในภูมิภาคนี้เรียกได้ว่าตกต่ำถึงขีดสุด แม้อุบัติเหตุจากการจราจรจะสูงกว่าอาชญากรรมนั่นคือ ในประชากร 100,000 คนจะมี 16 คนที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุบนท้องถนน (อ้างอิงสถิติปี 2013) แต่ประชากรในภูมิภาคนี้เขาก็ยังไม่นับความปลอดภัยบนท้องถนนเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินอยู่นั่นเอง ขอหักมุมมาที่ประเทศไทยบ้าง สถิติของเราคือ 38.1 คนต่อประชากร 100,000 คน (สถิติปี 2010) หนักหนากว่าเขาอีกนะนี่ ...  ประหยัดเกินจริงฮุนได มอเตอร์ และเกีย มอเตอร์ ถูกศาลสหรัฐฯ สั่งปรับเป็นมูลค่ารวมกันกว่า 300 ล้านเหรียญ โทษฐานที่แจ้งข้อมูลการประหยัดน้ำมันเกินจริงในรถกว่า 1,200,000 คัน ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืน “กฎหมายอากาศสะอาด” ของสหรัฐอเมริกา ที่ผ่านมาสองบริษัทนี้โฆษณาว่าเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่วิ่งได้ไกลกว่ารถยนต์ของคู่แข่งด้วยน้ำมันในปริมาณเท่ากัน แต่ในปี 2012 ทั้งฮุนไดและเกียซึ่งอยู่ภายใต้บริษัทแม่ ฮุนได มอเตอร์กรุ๊ป ออกมายอมรับว่าตนเองแจ้งข้อมูลการประหยัดน้ำมันสูงเกินจริงในรถที่จำหน่ายในสหรัฐฯ ในช่วงสองปีก่อนหน้านั้น (แจ้งพลาดไปถึง 6 ไมล์ต่อแกลลอน)การยอมรับนี้เกิดขึ้นหลังจากสำนักงานสิ่งแวดล้อม (EPA) เข้ามาตรวจสอบเนื่องจากมีผู้บริโภคร้องเรียนมาว่า รถที่ซื้อไปไม่เห็นจะวิ่งได้ไกลเท่าที่แจ้งไว้บนสติ๊กเกอร์บนกระจกรถเลย บริษัทออกมาขอโทษในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากกระบวนการทดสอบที่ทำขึ้นกับรถฮุนได อิลันทรา และเกีย ริโอ กฎหมายฉบับนี้ระบุว่า ผู้ผลิตจะต้องทดสอบอัตราการใช้เชื้อเพลิงของรถแต่ละรุ่น และติดสติ๊กเกอร์แสดงให้ผู้บริโภคได้ใช้ประกอบการตัดสินใจ  ที่ผ่านมาบริษัททำการทดสอบทั้งหมดในประเทศเกาหลี แต่คำตัดสินของศาลระบุว่า ต่อไปนี้การทดสอบจะต้องทำในห้องปฏิบัติการในสหรัฐฯ ที่สร้างขึ้นเพื่อทดสอบการใช้เชื้อเพลิงโดยเฉพาะ คำตัดสินนี้ได้รับเสียงชื่นชมจากองค์กรสิ่งแวดล้อม ซึ่งมองว่าเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปถึงอุตสาหกรรมรถโดยรวม และเป็นก้าวสำคัญที่จะควบคุมให้รถรุ่นต่างๆ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามที่โฆษณา ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมของสหรัฐฯ ก็ยืนยันว่าธุรกิจที่เล่นตามกฎกติกาไม่ควรจะต้องมาแข่งขันในเกมเดียวกับธุรกิจที่ละเมิดกฎหมาย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 119 กระแสต่างแดน

ตราไม่รับรอง บ่อยครั้งที่ผู้บริโภคอย่างเราๆ ให้ความไว้วางใจ “ตรารับรอง” โดยลืมถามตัวเองว่าตราสัญลักษณ์ดังกล่าวนั้น “รับรอง” อะไรกันแน่ องค์กรต่อต้านการทารุณสัตว์ SAFE (Safe Animals from Exploitation) ที่นิวซีแลนด์ออกมาแฉกันเต็มๆ ว่า ตรารับรอง “PigCare Accredited” ที่ติดอยู่บนฉลากผลิตภัณฑ์จากเนื้อหมูที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ตนั้น ไม่ได้มีความหมายอะไร นอกจากจะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถขายของได้มากขึ้น  เพราะผู้บริโภคปัจจุบันต้องการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสัตว์ ตรารับรองที่ว่าจึงทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าหมูน้อยเหล่านั้นเคยมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายตามอัตภาพ ไม่ทุกข์ทรมานเพราะถูกกักขังบริเวณอยู่ในกรงจนขยับไม่ได้  แต่ความจริงแล้วเงื่อนไขที่จะได้ตรารับรอง “PigCare” นั้นไม่ได้ครอบคลุมไปถึงเรื่องการห้ามใช้กรงขัง หรือการห้ามเลี้ยงแบบอุตสาหกรรมด้วยซ้ำ ในขณะที่ฟาร์มที่เลี้ยงแบบเปิด ต่างก็ไม่เข้าร่วมขอฉลากรับรองที่ว่าเพราะไม่เห็นด้วยกับการรับรองดังกล่าว  ฮานส์ ครีก ผู้อำนวยการของ SAFE บอกว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ผู้บริโภคควรมองหาคือตรารับรอง “Free range” หรือ “Free farmed” (ฟาร์มเปิด) มากกว่า  อืม ... จะบริโภคอย่างรับผิดชอบนี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------     คันต่อไปครับ แค่สาวนางหนึ่งถูกปฏิเสธโดยแท็กซี่ 6 คันซ้อน ก็เป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ที่นิวซีแลนด์ซะแล้ว (ไม่อยากจะคุยว่าที่บ้านเรา แค่นี้จิ๊บๆ) วิคตอเรีย กริฟฟิน ออกจากงานเลี้ยงที่บริษัทในย่านเวียดักท์ เมื่อตอนเที่ยงคืนครึ่งของคืนวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคมปีที่แล้ว เพื่อมาเรียกรถแท็กซี่ที่จอดรออยู่มากมาย แต่เธอกลับถูกปฏิเสธถึง 6 ครั้งติดต่อกันเพียงเพราะบ้านเธออยู่ใกล้เกินไป คนขับรายหนึ่งบอกให้เธอเดินกลับบ้านเอง มีรายหนึ่งรีบล็อคประตูไม่ให้เธอเปิดเข้าไปเลยด้วยซ้ำ   ค่าโดยสาร(ถ้าเธอได้ขึ้น) จะประมาณ 15 เหรียญ หรือ 350 บาท แต่ค่าปรับซึ่งคนขับแท็กซี่จะต้องจ่าย เพราะทำผิดกฎหมายฐานปฏิเสธผู้โดยสารนั้นอยู่ที่ 400 เหรียญ หรือประมาณ 9,000 บาท เวียดักท์ เป็นหนึ่งในย่านที่มีสถิติการปฏิเสธผู้โดยสารมากที่สุด ทิม เรดดิช ประธานสหพันธ์แท็กซี่นิวซีแลนด์ประเมินว่าอย่างน้อยๆ ต้องมีการถูกปฏิเสธไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง รวมๆ แล้วก็น่าจะหลายพันครั้งต่อปี (แต่มีคนร้องเรียนเข้ามาจริงๆ เพียงปีละ 20 ครั้งเท่านั้น) ตามกฎหมายนิวซีแลนด์ คนขับแท็กซี่สามารถปฏิเสธผู้โดยสารได้เมื่อรู้สึกว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัยต่อตนเอง เมื่อผู้โดยสารอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งมึนเมาหรือสิ่งเสพติด เมื่อผู้โดยสารพกพาน้ำหรืออาหารมาด้วย เมื่อผู้โดยสารส่งเสียงดังหรือมีพฤติกรรมรุนแรงหรือนำสัตว์ซึ่งไม่ใช่สัตว์นำทางมาด้วย เมื่อมีผู้โดยสารจำนวนมากเกินไป นอกจากนี้ยังให้ปฏิเสธได้ในกรณีที่ผู้โดยสารมีเงินไม่พอจ่าย (คนขับสามารถถามล่วงหน้าได้)  เอาเป็นว่ายังไงก็ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธเพราะระยะทางสั้นเกินไป --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- เข็มขัดมาช้า คราวนี้มาดูการขนส่งในฮ่องกงกันบ้าง ซึ่งขณะนี้รถที่มีเป็นประเด็นมากที่สุดเห็นจะเป็นมินิบัส ซึ่งมีผู้ใช้บริการถึง 1.85 ล้านคนต่อวันในบรรดารถทั้งหมดที่วิ่งอยู่บนท้องถนนนั้นมีมินิบัสที่จดทะเบียนอยู่ร้อยละ 0.76 แต่กลับมีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูงถึงร้อยละ 5 และจากสถิติเมื่อสองปีที่แล้ว ร้อยละ 9 ของจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นผู้โดยสารรถมินิบัสนั่นเอง  หลังจากเกิดอุบัติเหตุสองครั้งที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 รายเมื่อปี 2009 กรมการขนส่งฮ่องกงประกาศบังคับให้มินิบัสทุกคันติดตั้ง “กล่องดำ” และอุปกรณ์จำกัดความเร็ว  นอกจากนี้กรมฯ ยังประกาศให้รถมินิบัสที่ขึ้นทะเบียนหลัง 1 สิงหาคม 2004 ทุกคันติดเข็มขัดนิรภัย และมีการคาดการณ์ไว้ว่า ร้อยละ 60 ของรถมินิบัสจะมีเข็มขัดนิรภัยภายในปี 2008 แต่จนถึงกันยายนปีที่แล้วมีรถมินิบัสที่มีเข็มขัดนิรภัยเพียงร้อยละ 55 เท่านั้น  ผู้ตรวจการประเมินว่าภายในปี 2015 จะยังมีรถที่ไม่ปลอดภัยวิ่งอยู่บนท้องถนนอีกไม่ต่ำกว่า 1,000 คัน และคงต้องใช้เวลา 8 ปี จึงจะทำให้รถทุกคันมีเข็มขัดนิรภัยได้   แอพหน้าขาวเชื่อหรือไม่ อินเดียเป็นตลาด “ครีมหน้าขาว” ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และเช่นเดียวกับบ้านเรา ความอยากขาวนั้นไม่เข้าใครออกใคร ที่นั่นตลาดครีมไวท์เทนนิ่งสำหรับผู้ชายเติบโตถึงร้อยละ 25 (สูงกว่าตลาดครีมสำหรับผู้หญิงร้อยละ10) ถึงขนาดเฟสบุ๊คที่อินเดียเขามีแอพพลิเคชั่นให้หนุ่มๆได้อัพโหลดรูปถ่ายหน้าตัวเองเข้าไป แล้วลองลากเส้นผ่าน เพื่อให้รู้กันไปว่าจะหล่อขึ้นได้สักเท่าไรเมื่อหน้าขาวขึ้น (ด้วยเทคโนโลยีดิจิตัล) แอพพลิเคชั่นดังกล่าวออกมาพร้อมกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดและไวท์เทนนิ่งสำหรับผู้ชายยี่ห้อวาสลีนนั่นเอง   โดยมีดาราบอลลีวูดชื่อดัง ชาฮิด คาปูร์ เป็นพรีเซ็นเตอร์แสดงให้เห็นครึ่งหน้าที่ผิวคล้ำและผิวขาวขึ้นด้วยแอพฯ ดังกล่าว ทำให้เกิดกระแสมากมายในเฟสบุ๊ค ทางวาสลีน บอกว่าไม่ใช่เรื่องของการกีดกันสีผิว มันก็เหมือนๆ   กับที่ผู้คนในอเมริกาเหนือหรือยุโรปอยากมีผิวสีแทนนั่นแหละ แต่นักธุรกิจชาวอินเดียที่เปิดแฟนเพจในเฟสบุ๊คเพื่อรณรงค์ต่อต้านเทรนด์ “ต้องขาว” ในอินเดีย บอกว่าการที่คนตะวันตกไม่มีผิวสีแทน ไม่ได้เป็นเหตุให้พวกเขาถูกเลือกปฏิบัติ มันเป็นแค่ทางเลือกหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่ในอินเดียนั้นผู้คนเชื่อว่าการมีผิวขาวหมายถึงการประสบความสำเร็จในชีวิต ข่าวแถมข้อมูลมาว่า จากการสำรวจที่ทำกับผู้คนจำนวน 12,000 คน ในปี 2009 โดยเว็บหาคู่ออนไลน์ พบว่าสีผิวเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลือกคู่ของหนุ่มสาวในสามรัฐทางตอนเหนือของอินเดีย ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------   เศรษฐศาสตร์ต้นคริสต์มาส ราคาต้นคริสต์มาสที่เดนมาร์กซึ่งเป็นผู้ส่งออกต้นคริสต์มาสรายใหญ่ที่สุดในยุโรป นาทีนี้อยู่ที่ 160 โครเนอร์ (ประมาณ 850 บาท) ต่อความยาวหนึ่งเมตร เขาบอกว่าราคานี้ขึ้นมาจากปีก่อนร้อยละ 25  สมาคมผู้ปลูกต้นคริสต์มาสแห่งเดนมาร์กบอกว่าที่แพงก็เพราะเขาไม่สามารถประเมินความต้องการของผู้บริโภคล่วงหน้าได้ เพราะเจ้าต้นไม้ประจำเทศกาลนี้ต้องใช้เวลาในการปลูกถึง 9 ปี   อย่างไรก็ดี ข้ออ้างที่ว่านี้ยังไม่สามารถคลายข้อข้องใจของสมาคมผู้บริโภคที่นั่นได้เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว สมาคมฯ ถูกศาลสั่งปรับ 500,000 โครเนอร์ (ประมาณสองล้านหกแสนกว่าบาท) โทษฐานที่ชักชวนให้สมาชิกร่วมกันตั้งราคาขั้นต่ำสำหรับต้นคริสต์มาสในช่วงระหว่างปี 2002 ถึง 2006   ข่าวบอกว่าระหว่างปี 2005 ถึง 2009 ราคาต้นคริสต์มาสเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 80 โดยพันธุ์ยอดฮิตที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าได้แก่พันธุ์นอร์ดมันเฟอร์ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------   คูปองสองมาตรฐาน องค์กรผู้บริโภคของเดนมาร์กไม่เห็นด้วยกับการแจกคูปองลดราคาเป็นโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย เพราะมันหมายถึงการจ่ายเงินจำนวนต่างกันสำหรับสินค้า/บริการเดียวกัน  ความจริงแล้วตั้งแต่ปี 1994 เป็นต้นมา ที่เดนมาร์กมีกฎหมายห้ามการแจกคูปองลดราคา เพื่อการันตี “ความเท่าเทียม” เรียกว่าใครบังอาจแจกเป็นอันต้องถูกจับและปรับกันไป   เรื่องการแจกคูปองกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง เมื่อสหภาพยุโรปได้ทำข้อตกลงเมื่อปี 2009 ที่ระบุว่าให้สามารถทำได้ ทั้งนี้ข้อตกลงดังกล่าวก็เขียนไว้ชัดเจนว่าให้แต่ละประเทศถือปฏิบัติตามกฎหมายของตนเองไปจนถึงปี 2013   แต่บรรดาผู้ประกอบการที่นั่นไม่รอช้า รีบใช้ประโยชน์จากข้อตกลงดังกล่าวของสหภาพยุโรปทันที แถมยังบอกว่าลูกค้าส่วนใหญ่พึงพอใจกับคูปองลดราคาที่ว่าอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม >