ท่านผู้อ่านคงได้รับรู้เรื่องที่เครือ CP เข้าซื้อ และควบรวมกิจการค้าส่งห้างแมคโคร เรียบร้อยโรงเรียน CP ไปแล้ว เขียนถึงตรงนี้ อาจมีคำถามว่า “แล้วไงอ่ะ?” ก็เขามีตังค์ซื้อ มองอย่างนั้นก็ใช่นะ! แต่ถ้ามองมุมของผู้บริโภค ก็มีความน่ากังวลและน่าสะพรึงกลัว อยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการผูกขาดธุรกิจด้านอาหาร เพราะเราๆ ท่านๆ ก็คงได้เห็นสถานการณ์ ที่ร้านสะดวกซื้อ แทรกซึมเข้าไปในทุกชุมชนด้วยทุนที่เหนือกว่า ซึ่งได้สร้างโศกนาฏกรรม การฆ่าตัดตอนธุรกิจโชว์ห่วย และร้านอาหารตามสั่ง ไม่เว้นแม้แต่ร้าน “หมูปิ้ง”ที่เขียนอย่างนี้มีหลักฐานยืนยัน เพราะผู้เขียนลงพื้นที่และเข้าไปพูดคุยกับร้านโชว์ห่วยที่อยู่ติดกับร้านสะดวกซื้อตรงทางเข้าดอนหอยหลอด เขาบอกเลยว่าของในร้านขายไม่ได้เลย ต้องเก็บไปคืนร้านค้าในเมืองหมด จากร้านโชว์ห่วยต้องเปลี่ยนมาทำกับข้าวใส่ถุงขายเพื่อประทังชีวิต ซึ่งก็ยังขายยาก เพราะในร้านสะดวกซื้อมีหมดตั้งแต่ข้าวผัดกะเพรา ข้าวผัดแหนม ไม่เว้นแม้แต่ “หมูปิ้ง” ฯลฯ ดังนั้นไม่ว่าชาวบ้านจะขายอะไรก็ขายยาก เรียกว่า ธุรกิจเล็กๆ ในชุมชน “ตายยกรัง”เราคงได้ยินเสมอว่า ธุรกิจที่เป็นธรรมและสมดุล ต้องทำให้เกิดการ แข่งขันอย่างเสรี ซึ่งก็ไม่เถียง แต่ให้ “เด็กอนุบาล” มาแข่งขันกับ “นักกีฬาทีมชาติ” ยังไม่เริ่มแข่งก็เห็นผลแล้ว แต่กรรมการในฐานะผู้บริหารประเทศ กลับปล่อยให้ทุนใหญ่ด้านอาหาร ที่มีทุนหนากว่ามีโอกาสมากกว่าโชว์ห่วยในชุมชนกลับนิ่งเฉย พร้อมส่งเสียงว่า เราสนับสนุนการแข่งขัน ซึ่งพฤติกรรมของทุนใหญ่ที่เราเห็นอยู่ขณะนี้โหดเหี้ยม มุ่งกอบโกยโดยไม่คำนึงถึงคุณธรรมใดๆ ปิดทางทำมาหากินของชุมชนทุกช่องทาง เพื่อให้ธุรกิจตนเองเติบโตและสร้างความมั่งคั่งให้กับธุรกิจในเครือข่ายของตน(ที่มีอยู่ตาย แล้วเกิดใหม่ 10 ครั้งก็กินไม่หมด) เหมือนกรรมการหลิ่วตาให้ผู้ใหญ่รังแกเด็ก ซึ่งสิ่งที่เห็นคือธุรกิจชุมชนตายสนิทจึงต้องมีคำถามให้เราๆ ท่านๆ ได้คิดกันว่า หากองค์กรที่มีหน้าที่กำกับดูแล นิ่งเฉย ปล่อยให้ทุนใหญ่ไล่ล่า ไล่ฆ่าธุรกิจชุมชนต่อไปอย่างนี้ เมื่อธุรกิจชุมชนล่มสลาย ช่องทางที่เป็นทางเลือกของผู้บริโภคก็ต้องน้อยลง และเมื่อทุนใหญ่ก็ครองเมือง แม้ว่าเราจะอยากซื้อหรือไม่อยากซื้อสินค้าของทุนใหญ่ สุดท้าย เราก็ต้องซื้อ “เพราะไม่มีทางเลือก” เราจะปล่อยให้ประเทศไทยถูกควบกิจการโดยทุนใหญ่โดยไม่คิดจะทำอะไรกันบ้าง? เลยหรือ.....(โปรดติดตามตอนต่อไป)
อ่านเพิ่มเติม >