ฉบับที่ 156 “อยากรู้เหมือนกันว่าการได้ชนะพวกประกันนั้นมันเป็นอย่างไร ”

เรื่องราวของทุกคนมีสิทธิที่ ฉลาดซื้อ นำมาฝากเพื่อเป็นบทเรียนอันล้ำค่าคราวนี้ คือ เรื่องราวของคุณธาวิน หมี่เต หนุ่มอาข่า  ชาวเชียงใหม่ ทำงานเป็นหัวหน้าช่างที่บริษัทเกี่ยวกับเครื่องประดับในกรุงเทพฯ กับคุณกิติยา จุพิพันธ์ทอง หรือกุ้ง สาวนครสวรรค์  ภรรยาสาว ซึ่งเป็นผู้จัดการร้านทำฟัน ทั้งสองจะเล่าเรื่องราวการต่อสู้กับความเฉยชาของบริษัทประกันภัยที่ปฏิบัติราวกับคนใจหิน เมื่อคุณธาวิน คือ 1 ในผู้ประสบอุบัติเหตุจากรถกรณีรถทัวร์ตกเหวลึกที่ลำปาง ธาวิน : ผมเดินทางไปเยี่ยมแม่ ไปอยู่กับแม่ได้สักพักก็กลับกรุงเทพฯ พอมาถึงลำปาง อ.เถิน ก็ประสบอุบัติเหตุรถโดยสาร ผมนั่งรถทัวร์ของบริษัทนิววิริยะฯ คนนั่งมาเต็มคันรถ   ช่วงเวลาที่เกิดเหตุประมาณเกือบเที่ยงคืน ตอนแรกหลับตาอยู่แต่ไม่ได้หลับนะพอรู้สึกตัวว่ารถเอียงเลยลืมตาขึ้นมา เห็นเลยว่ารถเอียงแล้วก็ล้มฝั่งที่ผมนั่งพอดี พอตั้งสติได้ก็เรียกให้คนช่วย คนที่อยู่ข้างนอกเข้ามาช่วยผมออกไปได้ แล้วรอบๆ ก็มีคนถูกคลุมผ้าขาว มีแต่เลือด ตอนแรกเขาพาไปโรงพยาบาลเถิน พอเอ็กซเรย์เสร็จก็ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลลำปางต่อ ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าผมเป็นอะไร เจ็บหนักขนาดไหน รู้แค่มีผู้เสียชีวิตเยอะ   ก่อนที่แฟนผมจะมาถึงโรงพยาบาล วันแรกเขาไม่ให้ผมกินอะไร ผมต้องนอนอยู่เหมือนคนป่วยไร้ญาติ ไม่มีใครมาดูแลอะไรเท่าไหร่ อาจจะเพราะคนป่วยเยอะด้วย เลือดเกรอะกรังเต็มตัวเลย ยังอยู่สภาพเดิมจากที่เกิดเหตุมา พออีกวันเขาก็ย้ายให้ไปนอนหน้าระเบียง แจ้งว่ามีคนเจ็บหนักกว่าต้องย้ายไปนอนข้างนอกนะ ตอนนั้นไม่มีใครเหลียวแลผมเลย นอนรออย่างเดียว พออีกวันก็ต้องผ่าตัด ไม่มีญาติก็ไม่มีใครเซ็นต์อนุญาต ต่อมาทราบภายหลังว่ามีผู้เสียชีวิต 8 คน คนเจ็บ คนตายส่วนใหญ่เป็นพวกชนเผ่าที่ถือบัตรเหมือนกัน แต่หลายคนผมคิดว่า คงได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี ไม่เป็นธรรม เพราะพวกเขาไม่ประสีประสาเรื่องกฎหมายกัน(ผมก็เกือบไปเหมือนกันโชคดีได้แฟน พี่ชายแฟนช่วย)  อาการผมสาหัส ต้องนอนโรงพยาบาล 4 วัน  และออกมาพักอยู่ข้างนอกอีก 2 – 3 วัน   กุ้ง : อยู่ รพ. 3 วันนี่เขา(รพ.)ให้เราออกเลย หนังหัวของธาวินเปิดมากนะต้องเย็บประมาณ 20 เข็ม ตอนนั้นธาวินก็ยังเบลอๆ อยู่ ทางแผนกการเงินเรียกเราไปคุยว่ามันหมดงบที่เขา(ประกันบุคคลที่ 3) คุ้มครองเราแล้วนะ เขาจะลองยื่นของบไปอีกแล้วจะแจ้งเราอีกที พอถัดมาวันเดียวหมอบอกว่าออกได้แล้ว แต่ธาวินยังไม่ดีขึ้นเลย ขนาดเดินยังเดินไม่ค่อยตรงเลย หมอบอกว่าไม่เป็นไรออกได้ แต่ใบรับรองแพทย์ยังไม่ได้ เราเลยต้องไปเช่าห้องพักอยู่ตรงข้ามกับโรงพยาบาลเพื่อรอหมอให้ออกใบรับรองแพทย์ให้ จากนั้นก็ไปที่สถานีตำรวจ อ.เถิน เพื่อตกลงกับตัวแทนประกันที่นั่น ตัวแทนประกันบอกว่าให้เราเต็มที่ไม่เกิน 15,000 บาท ให้ตามใบรับรองแพทย์เลย (ใบรับรองแพทย์คือให้ลาได้ 6 สัปดาห์) แล้วไปรักษาตัวต่อที่กรุงเทพฯ ส่วนเงินเดือนต้องให้ทางบริษัทส่งแฟ็กซ์มา เงินเดือน 13,500 บาท เขาให้เราได้เต็มที่แค่เดือนครึ่ง คือ 15,000 บาท พี่ชายของกุ้งเลยบอกว่า เขาเป็นคนมาส่งธาวินไม่รู้ตอนนี้สมองเขาเป็นอย่างไรบ้าง ทางประกันเลยบอกว่าจะขอเพิ่มให้อีก 5,000 บาท  พี่ชายจึงบอกไม่ให้ยอม อย่าเซ็นต์อะไรทั้งนั้น ตอนนั้นมีอีกคนหนึ่งที่เกิดอุบัติเหตุจากรถคันเดียวกัน เขามาไกล่เกลี่ยเหมือนกัน เป็นชาวเผ่าอะไรจำไม่ได้แล้ว ซึ่งเขาท้องอยู่แต่ลูกไม่ดิ้นแล้ว แล้วเงินเดือน 7,000 บาท ตัวแทนประกันก็บอกให้แค่ 7,000 เพราะในใบรับรองแพทย์เขียนไว้ว่าลาได้ 2 สัปดาห์ แต่ตัวแทนประกันจะจ่ายให้เต็มเดือนคือ 7,000 บาท ถ้าไม่เอาก็ไม่ต้องเอา เขาคุยกันอีกสักพักตัวแทนประกันบอกว่าจะคุยกับหัวหน้าให้เพิ่มเป็น 9,000 บาท เขาพูดว่า “ผมจะบอกไว้เลยไม่มีใครชนะประกันได้หรอก” ตอนนั้นพอกุ้งได้ยินก็รู้สึกว่าอยากรู้เหมือนกันนะว่าการได้ชนะประกันนั้นมันเป็นอย่างไร แล้วตัวแทนประกันคนนี้ก็เดินไปคุยกับหัวหน้าของเขา ซึ่งพี่ชายของกุ้งนั่งอยู่โดยที่พวกเขาไม่รู้ว่าเรามาด้วยกัน พี่ชายกุ้งได้ยินที่ตัวแทนประกันคนนั้นคุยกับหัวหน้าว่า เคสนี้จบแล้วที่ 9,000 บาท แต่ที่เราได้ยินเขาพูดคือบอกจะช่วยคุยกับหัวหน้าให้ ทำให้เรารู้เลยว่าเขาก็คงไม่ได้ช่วยเราอย่างที่เขาพูดหรอก พอกลับมาถึงกรุงเทพฯ ก็มีจดหมายของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคส่งมาว่าจะช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุจากรถโดยสาร แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจเพราะพี่ชายบอกว่าจะวิ่งเรื่องให้ ตอนหลังมีตัวแทนของนิววิริยะ(รถคันที่เกิดอุบัติเหตุ ) และตัวแทนประกันมาคุยว่า อย่าให้มีเรื่องฟ้องร้องกันเลย ให้ไกล่เกลี่ยกัน ก็คุยกันว่าขอ 40,000 บาท แล้วจะไม่มีการฟ้อง ไม่ต้องเดินเรื่องอะไรแล้ว 40,000 บาทนี่คือเราพอใจแล้ว ทีนี้รอมาเรื่อยๆ จนเกือบปี อยู่ๆ ก็มีเงินมาให้ 15,000 บาท เงินตรงนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่ามาจากประกันหรือขนส่ง แต่พี่ชายบอกว่าให้รับไว้ก่อน แต่ไม่มีการเซ็นต์รับอะไรเพราะเรายังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่ามาจากประกันหรือเปล่า พอหลังจากนั้นอีก 1 เดือนพี่ชายก็เริ่มวิ่งเรื่องแล้ว เพราะมันนานแล้วยังไม่ได้อะไรสักที ก็มีคนในขนส่งแนะนำว่าให้มาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค คนๆ นี้เขาพาพี่ชายมาที่มูลนิธิฯ เลย เราก็มารู้ทีหลังว่าอีกเดือนเดียวจะหมดอายุความ แล้วเราจะเรียกร้องอะไรจากบริษัทประกันภัยไม่ได้อีกเลย ที่บริษัทฯ เงียบไปเป็นเหมือนการดึงเวลา ซึ่งเราไม่รู้ว่าคดีมันหมดอายุความ แค่ 1 ปี เรารอมา 11 เดือน กับอีกไม่กี่วันก็จะครบปีแล้ว พอพี่ชายทราบจึงเดินเรื่องให้ ยื่นขอเป็น 10 ปี แล้วก็ให้เราเก็บหลักฐานทั้งหมด พูดถึงหลักฐานก็ทิ้งไปเยอะมาก เหลือแค่เอกสารของโรงพักและโรงพยาบาล โชคดีที่มีพี่คนหนึ่งถ่ายรูปบาดแผลเก็บไว้ให้เป็นอนุสรณ์ว่าเคยปางตาย พวกใบเสร็จก็ไม่มีเลย มีแต่ใบเสร็จที่กลับมารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ซึ่งตอนแรกคุณธาวินจะไม่ยอมรักษาต่อ กุ้งรู้สึกว่าอารมณ์เขาไม่ค่อยปกติ จนคนรอบๆ ข้างก็พูด เพราะปกติเขาเป็นคนเรียบร้อย นิ่งๆ เดี๋ยวนี้นึกจะโกรธก็โกรธ เลยช่วยกันคุยว่าต้องไปหาหมอนะเพราะมันเกี่ยวกับรูปคดี เขาเลยยอม หมอก็บอกว่ามันเกี่ยวกับสมองกระทบกระเทือน เขาใช้หลักจิตวิทยาคุยจนรู้ปม ตอนนี้อารมณ์ก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่จะมีเรื่องอาการขี้ลืม เบลอๆ ความจำแย่ลงแต่ว่าอารมณ์ดีขึ้น หมอบอกว่ามันเกี่ยวกันนะจะทำให้เขาลืมมันยาก เพราะตอนเกิดอุบัติเหตุเขามีสติสมบูรณ์ เห็นคนตาย เห็นทุกอย่าง บางทีเขาขับรถไปอยู่ดีๆ ก็หยุด เขาบอกว่ากลัวโดนรถชน ก็เลยบอกว่าเราต้องสู้นะ ต้องสู้ไปด้วยกัน ตอนพากันมาที่มูลนิธิฯ ตอนแรกก็กลัวนะคิดไปว่า “ใครจะมาช่วยเฉยๆ โดยที่ไม่ได้อะไร” แต่จำได้ว่าหลังเกิดอุบัติเหตุไม่นานมีซองเอกสารจากมูลนิธิฯ ส่งมาซึ่งเราได้ทิ้งไปแล้ว นี่ถ้าคุยตั้งแต่ต้น เรื่องอาจจบไปนานแล้วนะ มีคนบอกว่าตอนเกิดเรื่องใหม่เราจะได้เปรียบแต่นี่ปล่อยไว้นาน สรุปสุดท้ายคือเขายอมจ่ายที่ 170,000 บาท คือทางมูลนิธิฯ เขียนเรียกค่าเสียหายให้ใหม่เป็น 500,000 บาท ซึ่งทางมูลนิธิฯ บอกว่าอย่าไปคาดหวังนะ ซึ่งเขาก็ยอมที่ 170,000 บาท วันนี้ก็นัดรับเช็คแล้วก็ไม่ได้เลื่อนไปอีก ซึ่งเราต้องเป็นคนโทรตามเอง บทเรียนราคาแพง สิ่งที่ต้องทำ 1.เก็บทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรา ใบเสร็จทุกอย่าง ข่าวที่เกี่ยวกับเรา อันนี้เป็นบทเรียนเลยเพราะตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดที่จะฟ้อง เลยไม่ได้เก็บ พอตอนหลังมีคดีความต้องใช้หลักฐานทุกอย่าง ถ้าไม่เกิดกับเราจะไม่รู้เลยว่ามันยุ่งยากขนาดนี้ แล้วการปฏิบัติกับเราทั้งคำพูด การดูถูก ทำเหมือนเราไม่ใช่คน คือการเปิดใจยอมรับมีน้อย แค่บอกว่าเป็นชาวเขาก็ดูถูกแล้ว เขาไม่สนใจว่าคุณเก่งแค่ไหน แค่ช่วงแรกที่เกิดอุบัติเหตุก็นั่งเจรจากัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขาที่มีบัตรประชาชน อย่างผมก็มีบัตร แต่ว่าเขาไม่ประสีประสาเรื่องกฎหมาย เหมือนผมตอนแรกก็ไม่รู้ มันทำให้โดนเอาเปรียบ คนอื่นเขาได้เงินแล้วก็เซ็นต์รับไป 2.อย่าลงลายมือรับข้อเสนอแรก ดีที่พี่ชายบอกว่าห้ามยอมความง่ายๆ  พอตัวแทนประกันบอกว่าไม่มีใครชนะประกันได้ พวกเราก็พยายามตามเรื่องกัน พอติดต่อไปทางประกันก็ทำเฉย บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ที่เขาจะต้องมาติดต่อ หลังจากที่ไกล่เกลี่ยที่โรงพักแล้วสรุปว่าเราไม่ยอมความกัน เขาบอกว่าถ้าคุณไม่ยอมก็ต้องไปฟ้องเอา ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว พอลงมากรุงเทพก็มารักษาตัวต่อ เจรจาทีแรกไปขนส่งก็ตกลงกันได้ที่ 4 หมื่น รอมาครึ่งปีก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไร รอมาเกือบปีก็ได้เงินหมื่นห้าโผล่มา ก็เห็นว่าไม่ได้เรื่องแล้ว โชคดีมีคนที่รู้จักกับพี่ชายเขาพามาที่มูลนิธิฯ 3.ห้ามท้อ บางทีมันก็ท้อนะ เพราะเขา(ประกัน) เห็นเราไม่ประสีประสาเขาก็มองข้ามไป เอาเปรียบได้ก็เอาเปรียบ ตอนแรกเขาให้ 25,000 บาท ผมไม่ยอม พอเจรจายอมที่ 4 หมื่น แต่ก็แล้วก็กลับมาให้หมื่นห้า อย่างนี้มันถูกแล้วหรือ จนต้องเป็นคดีความ ฟ้องร้องกันอีกเยอะแยะ เสียเวลาทั้งของเราและของเขา ซึ่งค่าเดินทาง ค่าโดนหักที่ต้องลางานนั้นมันออกใบเสร็จไม่ได้ เงิน 170,000 มันไม่คุ้มหรอก จริงๆ แล้วเราไม่ได้อยากให้เป็นคดีความ ไม่ได้อยากได้เงินเขาขนาดนั้น แต่อยากให้ประกันเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง รู้เลยว่า เกิดเรื่องอย่างนี้มันพูดถึงจิตใจไม่ได้นะ เขายึดที่หลักฐานอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นโดนเอาเปรียบแน่ ผมเข้าใจว่าพวกเขาต้องปกป้องผลประโยชน์ของบริษัทฯ เขาเป็นเรื่องธรรมดา แต่ควรมองอีกมุมหนึ่งด้วยว่าเรื่องอย่างนี้ไม่มีใครอยากให้เกิด ไม่มีใครอยากเจ็บ อยากตาย แต่ถ้าเกิดแล้วเขาต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ปล่อยเลยตามเลย เขาเห็นเป็นชนเผ่า คงไม่คิดว่าจะสู้ขนาดนี้     //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point