ตอนที่กำลังปั่นต้นฉบับส่ง บ.ก. นี้ เป็นช่วงที่หลายคนยังเกาะติดสถานการณ์วิกฤติน้ำท่วมเกาะเมืองอโยธยา และเขตอุตสาหกรรมโรจนะซึ่งจมน้ำไปเรียบร้อยแล้ว โดยที่ก่อนหน้านั้นชาวบ้านและชาวนาแถบบ้านฉันมีการปะทะกันเล็กๆ อย่างที่รายงานไปแบบรวบรัดในฉบับที่แล้ว ย้อนกลับไปพื้นที่วิจัยในทุ่งลาดชะโดเมื่อสัปดาห์ก่อน ฉันขับรถเข้าไปหาคำตอบจาก "สารเร่งเหลือง" ที่ชาวนานิยมใช้ฉีดข้าวเพื่อเร่งให้ข้าวเกี่ยวทันน้ำหลังชาวบ้านริมน้ำประท้วงให้เปิดประตูระบายน้ำลงทุ่งอีกที คราวนี้แน่ใจได้ว่าสารเร่งเหลือง "ซู่ซ่า" นั้นเป็นเพียงปุ๋ยน้ำชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ยาฆ่าหญ้า ข้างกล่องผลิตภัณฑ์ที่มียอดจำหน่ายพุ่งขึ้นสูงในช่วงนั้น ระบุสั้นๆ แค่สรรพคุณ และวิธีใช้ ไม่บอกรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับองค์ประกอบทางเคมีของผลิตภัณฑ์ มีเพียงคำสั้นๆ ที่รู้กันทางเทคนิค ว่าเป็น "คีเลท" ซึ่งหมายถึง ปุ๋ยอาหารเสริมหรือปุ๋ยจุลธาตุ ที่อยู่ในรูปสารละลาย มักใช้ทางใบ ส่วนใหญ่จึงใช้ร่วมกับสารจับใบ ซึ่งหากจะหวังผลในการใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ ก็ควรใช้ในช่วงข้าวตั้งท้อง ตอนอายุ 40 - 60 วัน หรือช่วงติดรวง คือ 60 - 80 วัน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมชาวนาที่นำผลิตภัณฑ์นี้มาใช้ช่วงก่อนเกี่ยวข้าวตามคำแนะนำของร้านค้าจึงใช้ไม่ได้ผล การตัดสินใจของชาวนาเพื่อรับมือกับความเสี่ยงภัยน้ำท่วมท่ามกลางแรงกดดันโดยวิธีการแบบนี้ คนนอกที่มองดูด่วนตัดสินได้ง่ายๆ ว่าพวกเขาขาดความรู้ โลภ และโง่ ซึ่งเป็นคำคุ้นๆ ที่มักได้ยินจากเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรทั้งจากหน่วยงานรัฐและนักพัฒนา แต่ก่อนที่จะกล่าวว่าเช่นนั้น น่าจะย้อนกลับมามองดูว่า ผู้กล่าวหานั้นไฉนจึงมีช่องว่างที่ห่างไกล จนชาวนาเหล่านั้นเลือกที่จะไปปรึกษาร้านค้าตัวแทนผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์แทนตนเอง การคาดหวังจะให้ชาวนามีระบบการผลิตข้าวที่ดีโดยการมุ่งเน้นที่ การเรียกร้อง "จิตสำนึก" และค่านิยม "พอเพียง" ของผู้ผลิตฝ่ายเดียว นั้นเป็นเพียงแค่คำหรูที่หลงสร้างขึ้นมาเพื่อขีดเส้นแบ่งและกดทับชาวนาที่ยังเข้าไม่ถึงการทำนาอินทรีย์ ระบบการทำนาอินทรีย์ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและไวผ่านกระบวนการใช้สื่อสารพัดชนิด อย่างที่ผู้บริโภคแบบเราๆ ฝันและหวังกัน ตราบเท่าที่ผู้ผลิตต้องแบกภาระเผชิญความเสี่ยงตั้งแต่เริ่มทำการไถหว่านยันเก็บเกี่ยวผู้เพียงฝ่ายเดียว โดยที่พวกเขาไร้อำนาจต่อรองด้านราคาปัจจัยการผลิตและการขายผลผลิต แม้ข้าวนาปรังจะเกี่ยวขายกันไปแล้ว ท่ามกลางเสี่ยงก่นด่าชาวนาของชาวบ้านน้ำท่วมริมคลอง ก่อนที่รัฐบาลจะยอมจ่ายเงินช่วยเหลือระหว่างรอยต่อโครงการจำนำข้าวและโครงการประกันรายได้ชาวนาหลังการชุมนุมกดดันของกลุ่มชาวนา 2 - 3 ครั้ง ยังดีที่กระแสจำนำข้าวมาตั้งแต่ยังไม่ทราบผลเลือกตั้ง ได้ดึงราคาข้าวขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบจากช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว ทำให้การจ่ายค่าชดเชยของรัฐ เพียง 1,437 บาท/ตัน (ต่ำกว่าเกือบครึ่งจากที่รัฐจ่ายในโครงการประกันฯ) ซึ่งทำให้ชาวนาพอใจขึ้นมาบ้าง นาในทุ่งยังเหลือข้าวฟางลอยไว้ให้ชาวนาลุ้นกันอีกว่าจะได้เกี่ยวเข้าโครงการจำนำข้าวหรือเปล่า? เพราะข้าวฟางลอยที่เหลือปลูกอยู่ มีเพียงแค่ 3 สายพันธุ์ที่แม้จะโตทันน้ำลึกถึง 2 เมตรกว่าได้ แต่ข้าวนั้นไม่ทนเพลี้ยกระโดดเสียแล้ว ปีที่แล้วน้ำท่วมชาวนาบางคนทำนา 10 ไร่ ได้ข้าวแค่เพียง 1 ถัง ปีนี้น้ำมากกว่าและท่วมสูงวันละ 3 ซม. ชาวนาก็ห่วงอีกว่าข้าวเอาแต่ยืดตัวจะไม่มีแรงเหลือไว้ตั้งท้องและออกรวง!! ขณะที่ทางเข้าออกจากตัว อ.ผักไห่ เส้นเสนาเพิ่งปิดตัวลงเมื่อเช้านี้ ส่วนเส้นบางบาลถูกปิดไปเกือบเดือนหนึ่งแล้วกระมัง เหลือเส้นทางสะดวกสายเดียวคือต้องอ้อมผ่านทางสุพรรณบุรี แต่ฉันยังหาเส้นทางที่จะนำพาความเข้าใจในภาระและความคาดหวังร่วมกันระหว่างชนชั้นชาวนาเคมีและชาวนาอินทรีย์ที่ต้องฝ่าด่านแรงกดดันจากโครงสร้างตลาดที่กดพวกเขาไว้ทั้งหมดไว้ไม่เจอ ฉันเศร้าจนต่อมรับอาหารไม่ทำงาน เดือดร้อนเพื่อนสาวชาวนาที่สุพรรณต้องอาสาตัวว่าจะไปจ่ายตลาดนัดทำลาบปลาสูตรที่ 3 ตามตำรับของครอบครัวชาวกำแพงเพชรให้กิน เครื่องปรุง ปลากรายขูด 2 ขีด , ปลาร้าปลากระดี่ 1 ช้อน , หอมแดงซอย , ใบมะกรูด ต้นหอม ผักชีซอย , ข้าวคั่วป่น และ พริกขี้หนูคั่วป่น วิธีทำ ตวงน้ำสัก 1 ถ้วยในหม้อ ต้มปลาร้าปลากระดี่จนสุกแล้วดับไฟ กรองเอาแต่น้ำปลาร้า คนให้เย็น จากนั้นใส่ปลากรายขูดลงในชามอ่าง ค่อยๆ ใส่น้ำปลาร้าสุกที่เย็นแล้วที่ละน้อยลงในชาม คนน้ำปลาร้ากับเนื้อปลาให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้ค่อนข้างพิถีพิถัน เธอให้สังเกตดูว่าเนื้อปลากรายขูดจะใสขึ้น และพองตัวเป็นลูกเหนียว แล้วจึงเติมเครื่องปรุงที่เหลือลงไป เคล้าให้เข้ากัน ตั้งไฟรวนให้สุก หรือถ้าใจเย็นพอให้ห่อใบตองเอาไปงบไฟให้สุกหอม แล้วเสิร์ฟคู่กับเพกาหรือลิ้นฟ้าที่ย่างไฟลอกเปลือกออก หั่นเป็นท่อนๆ ถ้าหาเพกาไม่ได้ ก็ยอดปีบนั่น เอามาฟาดไฟบนเตาถ่าน 2 - 3 ที เป็นอันอร่อยขมขื่นกันอีกมื้อ
สำหรับสมาชิก >