ฉบับที่ 102 หญิงแกร่งแห่งวงการยา “ผศ.ภญ.สำลี ใจดี”

ทุกคนมีสิทธิสัมภาษณ์โดย อวยพร แต้ชูตระกูล และ กรรณิการ์ กิจติเวชกุลถ่ายภาพโดย อนุชิต นิ่มตลุงตีพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือ 'หลังประติมาสาธารณสุข' 2552ในแวดวงเรื่องยา น้อยคนที่จะไม่รู้จัก อ.สำลี ใจดี ผู้หญิงแกร่งที่สร้างคุณูปการมากมายให้ประเทศนี้ ทั้งในทางแจ้งและทางลับ ธรรมดา อ.สำลี ไม่ชอบการให้สัมภาษณ์ จึงไม่ค่อยมีใครได้เคยอ่านบทสัมภาษณ์แบบเต็มรูปแบบเกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิตของท่านมาก่อน แต่…กรรณิการ์ กิจติเวชกุล สามารถ และนำเรื่องราวของท่านมาเป็นบรรณาการแก่ผู้อ่านฉลาดซื้อ   การส่งเสริมสวัสดิภาพการใช้ยาของประชาชน ศึกษาวิจัยการใช้ยาของชุมชน การใช้ยาซองยาชุด รณรงค์ต่อต้านการใช้ยาชุด-ยาซองแก้ปวดควบคู่กับการยกเลิกสูตรตำรับยาที่ไม่เหมาะสม...ส่งเสริมการใช้ยาที่เหมาะสม ...รณรงค์การใช้ยาสมุนไพร (ตั้งแต่สมัยที่ไม่มีใครเหลียวแล)... คัดค้านการแก้ไข พรบ.สิทธิบัตร เปิดโปงทุจริตยา 1,400 ล้านบาท ผลักดันระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หนุนหลังให้กระทรวงสาธารณสุขประกาศซีแอล (การประกาศใช้สิทธิตามสิทธิบัตร) นำเข้าในยาต้านไวรัสเอดส์, ยาโรคหัวใจ และยามะเร็ง ในชื่อสามัญให้คนไทยเข้าถึงยาจริงๆ นี่เป็นเพียงผลงานบางส่วนของ “ผศ.ภญ.สำลี ใจดี” หญิงแกร่งที่เป็นทั้งนักวิชาการผู้มั่นคง และเอ็นจีโอผู้มุ่งมั่นที่อยู่เบื้องหลังของเกือบทุกเรื่องที่สร้างการเปลี่ยนแปลงในวงการสาธารณสุขร่วมสมัย  อยากทราบว่าทำไมอาจารย์ถึงเลือกเรียนเภสัช จริงๆ แล้ว ทีแรกไม่ได้อยากเลือกเภสัชนะ อยากเรียนวารสารศาสตร์มากกว่า แต่พ่อบอกว่าควรจะสืบทอดมรดก คือที่บ้านปู่ทวดเป็นหมอพื้นบ้าน เวลาเข้าบ้านที จะหอมฟุ้งทั้งบ้านเลย เราก็เลยมีหน้าที่สืบทอดการช่วยชีวิตคนต่อไป ตอนนั้นคิดว่าเป็นหมอช่วยชีวิตคนได้เยอะที่สุดแล้ว สมัยก่อนใช้วิธีสอบตรง ก็สอบได้หลายที่ แต่ปีก่อนหน้านั้น สอบได้บัญชี ธรรมศาสตร์ เรียนอยู่ครึ่งเทอม ก็ทนเรียนไม่ได้ สอบวิชาบัญชี เราได้ B+ เกือบ A หมด อยู่ในเกณฑ์ท็อป 20 % แรกของชั้นปี แต่สอบตกอยู่ 1 วิชา คือวิชาเลขานุการ วิชานี้คนที่สอบตกมีแต่พวกไม่เรียน (คือมันง่ายมาก) แต่เราตก เพราะข้อสอบเขาสั่งให้แสดงความเห็นว่า เป็นเลขานุการคุณควรจะประพฤติตัวอย่างไร ต้องเก็บความลับ รวมทั้งมุสาด้วย ต้องออเซาะเจ้านาย เรารับไม่ได้มันผิดศีลธรรม ก็เลยเขียนด่าลงไปในข้อสอบ แล้วก็เลยเลิกเรียนตั้งแต่ตอนนั้น พักเรียนไปครึ่งปีเพื่อติวตัวเอง สอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ คราวนี้เลือกหมอ และเภสัชเป็นอันดับ 2 ก็ได้เภสัช สอบได้เภสัช ตรงกับที่อยากเรียนไหม เฉยๆ เพราะมันไม่ใช่ที่ชอบที่สุด เป็นคนชอบอ่านหนังสือ เราก็ไปเสพสุขด้านนั้นมากกว่า การเรียนไม่มีปัญหา แต่ก็มีเรื่องขำขัน ตอนนั้นมาเรียนที่เภสัช จุฬาฯ เขามีบันไดขึ้น 2 ทาง เขาจะขึ้นทางลงทางหรือสวน พอไปถึงวันแรก รุ่นพี่ก็บอกว่ารุ่นน้องต้องให้พี่ขึ้นก่อน เราก็หันขวับ สวนไปเลย “พ่อแม่ไม่เคยสอน” รับมันไม่ได้เลย เพราะที่บ้านมีแต่สอนให้พี่ยอมให้น้อง เหมือนอยู่คนละโลก พอรับน้องก็ถูกยิงหัวเลย เขาว่า เราปากจัดมาก คือสมัยรับน้องจะมีการทาแป้งแกล้งรุ่นน้อง เราก็เลยหัวขาวมากที่สุด ปกติ เรายอมให้เฉพาะครูเท่านั้น สมัยนั้น ระเบียบจัดมาก ผู้ชายต้องผูกเนคไท ผู้หญิงต้องผูกโบว์ เราก็บ่นมากตอนผูกโบว์ว่าไม่เห็นจะทำให้ฉลาดขึ้นตรงไหนเลย สมัยที่อาจารย์เรียน มันมีอะไรที่ทำให้เกิดความคิดเชิงสังคมบ้างไหม เราเป็นพวกสัตว์ประหลาด ที่เรามีความคิดแต่หาอะไรไม่ค่อยได้ แต่เนื่องจากเป็นคนที่อ่านเยอะ อ่านหนังสือพิมพ์ตอนนั้นก็มีอยู่ 2-3 ฉบับ เช่น สยามรัฐทั้งรายวัน รายสัปดาห์ สมัยนั้นคึกฤทธิ์ยังแม่นประเด็น ปี 05-06 หนังสือในห้องสมุดเราอ่านหมดแล้วไม่มีอะไรเหลือ เรื่องอ่านหนังสือเป็นเรื่องที่บ้านอาจารย์เน้นมาก บ้านที่บ้านนอก สมัยก่อน พอพ่อมากรุงเทพฯ หนังสือพิมพ์ห่อของ 1 แผ่น เราก็อ่าน เพราะหนังสือมันหายยากมาก มีแค่ไม่กี่เล่ม คุณต้องอ่านรามเกียรติ์ คุณต้องอ่านสามก๊ก คุณต้องอ่านพระอภัยมณี อันนี้เป็นที่พ่ออ่าน ย่าอ่าน เราก็ต้องอ่าน เรียนรู้มาแบบนี้ แล้วเราก็จะเข้าใจตัวระบบผู้ชายเป็นใหญ่เป็นยังไง แต่ที่บ้านอาจารย์เขาสอนแบบ ไม่มีอะไรที่ผู้หญิงทำไม่ได้ เนื่องจากพ่ออาจารย์มีลูกสาว 4 คน ส่วนลูกชายเป็นคนเล็กตามมาทีหลัง ซึ่งที่พ่อสอนก็คือไม่มีอะไรที่ผู้หญิงทำไม่ได้ เพราะผู้หญิงมีความอดทนมากกว่า อย่างพี่สาวอาจารย์ก็เป็นช่างไม้ เพราะฉะนั้นเมื่ออาจารย์อ่านหนังสือหมด ก็เลยทำให้คุยกับใครไม่รู้เรื่อง ต้องคุยกับครู แต่บางคนนะที่รู้เรื่อง อย่าง อ.พัทศรี อนุมานราชธน สอนที่โรงเรียนศึกษานารี แล้วก็ อ.ประดิษฐ์ หุตะกูล ก็คุยการเมือง ตอนนั้นก็คุยได้อยู่ไม่กี่คน ตอนที่ไปสอบทุนปริญญาโท อาจารย์จาก Rockefeller มาเพื่อสัมภาษณ์เด็กชิงทุน พอดีเพื่อนร่วมชั้นของอาจารย์ เขาเป็นนักเรียนเหรียญทอง เข้าสัมภาษณ์ อาจารย์เขาบ่นว่า ทำไมนักเรียนเหรียญทองตอบไม่ได้ พออาจารย์เข้าไป คะแนนเราก็ค่อนข้างแย่นะ เมื่อเทียบกับนักเรียนเหรียญทอง สิ่งที่เขาถาม เป็นเรื่องสถานการณ์บ้านเมือง คุยการเมือง คุยเรื่องงบประมาณ คุยเรื่องแนวโน้มของสังคม อาจารย์คุยได้หมดทุกประเด็น เขาชอบมาก ถามว่า Why do you know everything? Why do you have a dozen Ds? เกรด D เต็มไปหมด (หัวเราะ) ก็เลยได้ทุน ที่ คณะเภสัชฯ จุฬาฯ อาจารย์สอนอะไร เริ่มแรกสอน สรีรวิทยา (Physiology) เพราะน่ารัก (หัวเราะ) เป็นเรื่องกลไกการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิต... ร่างกายเราประกอบด้วยเซลล์เยอะแยะ เป็นสังคมใหญ่ อาจารย์สนใจว่าเซลล์เยอะแยะมากมายอยู่กันอย่างสันติสุขได้อย่างไร ธรรมชาติมีการแบ่งระบบอย่างดี มีกลไกควบคุมตัวเอง (Negative Feedback Mechanism)ให้อยู่ในภาวะสมดุลบนฐานของการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะเห็นความสมดุล (Balance) ของเซลทั้งหลายที่ธรรมชาติไม่เห็นแก่ตัว กินใช้เฉพาะส่วนที่จำเป็น ที่เหลือให้ส่วนรวม (เลือกปิด-เลือกเปิด เลือกรับ-ปรับใช้) เป็นความน่ารักที่ชอบมาก... สังคมเล็กๆ ของสิ่งมีชีวิตตั้งแต่เซลล์เดียว หลายเซลล์รวมกันจนในที่สุดเป็นร่างกายเป็นสังคมมนุษย์ ...คล้ายๆ สังคมในอุดมคติ มีวิธีการทำงานที่เหมือนทำสมาธิแล้ว Control ตัวเองได้ รู้อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรไม่ควร และที่พอเหมาะอยู่ตรงไหน ถ้ามากเกินไปก็เป็นมะเร็ง ถ้าน้อยเกินไปก็ตีบตัน อันนี้ชัดเจนมากในเชิงระบบ ถ้าเปรียบก็เหมือนหลักทางสายกลางของพระพุทธเจ้า เรียนแบบนี้ก็เข้าใจไม่ต้องท่องจำมากนัก เพราะ “ตัวเองต้องควบคุมตัวเอง ให้คนอื่นคุมไม่ได้”… ต่อมาก็สอนสุขภาพอนามัย สาธารณสุข เภสัชสาธารณสุข ระบบยา นโยบายยา จริยธรรมเภสัชกร ฯลฯ กลุ่มศึกษาปัญหายา (กศย.) มาจากไหน ตั้งกลุ่มก่อน หรือเห็นปัญหาก่อน เห็นปัญหาก่อน ต่อมามีเพื่อนครูกะลูกศิษย์มาร่วมก่อตั้ง กลุ่มศึกษาปัญหายา (กศย.) เมื่อเสาร์ 10 มีนาคม 2518 คือเห็นปัญหามานานแล้ว แต่ไม่ได้ จังหวะ... ต้องรู้ปัญหา-ต้องแก้ที่ต้นเหตุ เพราะชาวบ้านเจ็บไข้ต้องพึ่งตัวเองไปซื้อยามากิน...กินแล้วเป็นโรคกระเพาะ คนไข้ไปโรงพยาบาลเกิดอาการกระเพาะทะลุเยอะมาก เลือดจาง เพราะยาที่ชาวบ้านซื้อมาเป็นยาไม่เหมาะสมทั้งสูตรตำรับ รูปแบบ คุณภาพมาตรฐาน รวมทั้งวิธีใช้ไม่ถูกต้อง ฯลฯ อาจารย์ก็ชักชวนลูกศิษย์มาตั้งกลุ่ม ที่จริงมีทั้งเพื่อนครูและลูกศิษย์ ที่เห็นปัญหาเองในช่วงไปออกค่ายตั้งแต่ปี 2513 ต่อมา ปี 2516-2517 มีกลุ่มที่รู้สึกเบื่อมากๆ ว่า หลักสูตรเภสัชที่เรียนมาตั้ง 5 ปี นั้นไม่สอดคล้องกับปัญหาสุขภาพของคนไทย... พวกนิสิตเภสัชก็ก่อการดีขอให้มีการพัฒนาหลักสูตร แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ คือผู้บริหารไม่เข้าใจ ...นิสิตทำการประท้วง หยุดเรียน หยุดสอบ ไล่คณบดี.... กลุ่มอาจารย์ที่สนใจพัฒนาชนบท ก็เดินสายพูดคุยกับนิสิตนักศึกษา ชี้ให้เห็นปัญหา ช่วยกันสร้างกลไกให้ไปทำงานในชนบทได้มากขึ้น สำหรับอาจารย์ คิดว่าอะไรเป็นตัวแทนที่จะบอกได้ว่านิสิตประสบความสำเร็จ หนึ่ง ต้องไม่ถือเตารีดและคันไถไปรีดไถประชาชน อันนี้เป็นคาถาที่พูดเลยนะ เอาเปรียบ หลอก โกหกหรือทำอะไรที่ไม่ดี ถือว่าใช้ไม่ได้หมด สอง ต้องทำหน้าที่บัณทิตเต็มมาตรฐาน ตอนนั้น กฎหมายยา 2510 กำหนดให้เภสัชต้องทำงานอยู่ประจำทั้งในโรงานผลิตยาและร้านยา แต่เภสัชบางคนไม่รับผิดชอบ ขี้เกียจ... ตอนนั้นนิสิตนักศึกษาเริ่มมีกิจกรรมศึกษาอะไรบ้าง ช่วงปี 2513-2515 ทำค่ายในแนวบำเพ็ญประโยชน์กันเยอะมาก แรกๆ ก็ช่วยสร้างที่อ่านหนังสือ ต่อเติมโรงเรียน ซ่อมศาลาวัด สร้างสะพาน ช่วยสอนหนังสือนักเรียนในชนบท ฯลฯ ต่อมาหลัง 14 ตุลา 2516 ก็เริ่มปฏิวัติความคิด เช่น สายสาธารณสุขไปทำค่ายสาธารณสุข (โดยรวมกันทุกคณะในจุฬาฯ ก็มีแพทย์ เภสัช ทันตะ ทำเป็น “ค่ายสาธารณสุขร่วมสมัย” ) เป็นค่ายที่เข้าไปศึกษาสภาพปัญหา (ไม่ก่อสร้างถาวรวัตถุ) ไปสำรวจว่าชาวบ้านเจ็บไข้อะไร รักษาตัวอย่างไร ถ้าเป็นเรื่องยาต้องไปสำรวจว่าชาวบ้านเคยกินยาใช้ยาอะไรบ้าง พบชาวบ้านกิน ยาชุด ยาซอง แก้ปวดเมื่อยกันมาก เช่น ทัมใจ บวดหาย (เป็นยาซองแก้ปวดสูตรผสม ประกอบด้วย แอสไพริน+ฟีนาซีติน+คาฟีอีน: Aspirin + Phenacetin + Cafeine /APC) แล้วทิ้งซองไว้เกลื่อนคันนา โดย “กินดิบ” คือ กินทัมใจแบบฉีกซองแล้วกรอกผงใส่ปากกลืนเลยโดยไม่กินน้ำ” ทั้งๆ ที่จริงยาพวกนี้ต้องกินน้ำเยอะ ไม่เช่นนั้นจะกัดกระเพาะ เป็นโรคกระเพาะ กระเพาะทะลุ เลือดจาง ยังพบคนไม่มีตังค์ซื้อก็เก็บเอาซองมาเลีย อยากยาติดยา (เหมือนคนเก็บก้นบุหรี่ที่ทิ้งตามถนนมาสูบ) ก็ต้องมาวิเคราะห์ว่าทำไมถึงติดยานี้กันมากนัก จากปัญหาที่เห็นแล้ว ตอนนั้นเริ่มทำอย่างไร จับปัญหาเป็นตัวตั้ง ตอนแรกก็ส่งลูกศิษย์ที่สนใจชนบทไปขอเรียนรู้และฝึกงานที่โรงพยาบาลอำเภอ พอลงชุมชนก็จะเห็นสภาพอย่างนี้ ดูปัญหา ดูทีละขั้นทีละตอน ก็รู้ว่าต้องจัดระบบทำความเข้าใจในการค้นหาต้นเหตุแห่งปัญหา พบว่าชาวบ้านใช้ยาไม่ถูกต้อง ก็ไปช่วยแนะนำชาวบ้านถึงวิธีใช้ยา-กินยาที่ถูกต้อง กินก่อนอาหาร หลังอาหารทำอย่างไร นิสิตช่วยกันทำนิทรรศยาการเผยแพร่ความรู้ ร่วมกันทำโครงการ “ตู้ยาสู่ชนบท” ยาอะไรผลิตเองได้ ก็ช่วยกันผลิตยาหม่อง ยาธาตุ แล้วส่งต่อไปให้ชาวบ้าน ตู้ยาก็ไปขอลังไม้มาจากกรมศุลกากร ไปจ้างผู้ต้องขังในเรือนจำทำ แล้วก็แบกตู้ยาไปหมู่บ้านชนบท กลับมาอีก 2 เดือนไม่แบกแล้ว เพราะชาวบ้านเขาทำตู้ยาเข้าท่ากว่า สวยกว่า (หัวเราะ) ต่อมาก็ประสานงานขอยาที่จำเป็นจากรุ่นพี่ในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ กศย. ช่วยทำสื่อเผยแพร่ความรู้ เช่น ปฏิทินส่งเสริมสวัสดิภาพการใช้ยาของประชาชน โปสเตอร์ สไลด์ประกอบเสียง ทำหนังสือเรื่องยาเป็นพิษ พิษของยา ไข้เด็ก การใช้ยาสมุนไพร ฯลฯ อบรมถ่ายทอดความรู้ให้ชาวบ้านดูแลรักษาตนเอง ให้ใช้สมุนไพร เลิกใช้ยาชุดยาซอง ต่อมา ชาวบ้านก็ย้อนกลับมาว่า ซองยาเป็นของหลวง คือ ซองยาทัมใจมีตราครุฑ...ขลังมาก เขานึกว่าของในหลวง หลวงอนุญาตให้ทำ ถ้าไม่ดี ทำไมหลวงไม่บอก การสอนเพียงกินยาใช้ยาให้ถูกต้องนั้นไม่ทันกับการโฆษณาของบริษัทขายยา เราก็มาตรวจสอบทั้งระบบวิเคราะห์ว่า ทำไมถึงติดยากันงอมแงม ทำไม อย.ให้ขึ้นทะเบียนตำรับยาแปลกๆ ยาสูตรผสม ยาที่ถูกเพิกถอนในต่างประเทศแล้ว เช่น ฟินาซีติน เพราะทำลายไตแต่ส่งออกมาขายเมืองไทย พบว่า ยาซองแก้ปวดทั้งหลาย เป็นยาสูตรผสม มี แอสไพริน + ฟินาซีติน + คาเฟอีน ทำให้ติด แม้ไม่ปวดเมื่อยก็อยากกิน ทางออกต้องเสนอให้ ยกเลิกเพิกถอนยาสูตรผสมที่ไม่เหมาะสมทั้งหมด โดยให้ผลิตเป็นยาเดี่ยวเฉพาะยาที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้น เราก็เริ่มอย่างสุภาพ โดยส่งจดหมายเปิดผนึกไปบอก อย. เขาตอบกลับมาว่าไง รู้ไหม บอกว่า อาจารย์ก็สอนลูกศิษย์ไป ...เรื่องในสังคมอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องของ อย. ไม่ใช่เรื่องของอาจารย์ ... แล้วอาจารย์ทำอย่างไรต่อไป ก็รู้ชัดว่า ต้องแก้ไขเชิงระบบทุกระดับด้วย เริ่มต้นเน้นให้ความรู้ แค่นี้ไม่พอ ต้องมีทางเลือกด้วย เรื่องยาสมุนไพรก็เข้ามา เรื่องใช้นวดไทยแก้ปวดแทนยาก็เข้ามา ฉะนั้นงาน 10 ปีแรกของกลุ่มศึกษาปัญหายา เน้นในเรื่องใช้ยาให้ถูกต้อง มีอะไรที่ทำกินเอง-ใช้ได้เอง -ไม่ต้องซื้อ เน้นพึ่งตัวเอง สู้ในเชิงจากปัจเจกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องสู้ในเชิงระบบและหาเพื่อนให้มากขึ้น … การทำวิจัยทำให้คนที่เข้ามาช่วยทำงานมีประสบการณ์ โดยเฉพาะพวกนิสิตเภสัชจุฬาๆ จะกระตือรือล้นมาก ช่วยกันทำให้เป็น Student Center ถือเป็นขบวนการเรียนรู้ภาคสังคม วิชาชีพต้องทำอะไรเพื่อช่วยกันพัฒนาคนและช่วยกันแก้ไขปัญหาสาธารณสุข และเมื่อทำแล้วก็จะเจอปัญหาต่อเนื่องอีก คนบางส่วนจะรู้สึกว่า พวก กศย.ช่างอารมณ์อ่อนไหวเสียจริง โน่นก็เป็นปัญหา นี่ก็เป็นปัญหา เห็นอะไรก็เป็นปัญหาไปหมด แต่ทั้งหมดมาจากการทำวิจัย ทำให้เรามีความรู้จริงมิใช่ความรู้สึก เราเห็นปัญหา ทุกอย่างเป็นระบบมีหลักฐานอ้างอิง ต่อมาจึงก่อตั้ง มูลนิธิสาธารณสุขกับการพัฒนา(มสพ.) ปี 2526 มูลนิธิพัฒนาการแพทย์แผนไทย(มพท.) ปี 2534 เพื่อรองรับการทำงานที่ขยายเพิ่มขึ้น งานวิจัยชิ้นแรกๆ ที่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงต่อนโยบาย คืองานวิจัยเรื่องอะไร เรื่อง การใช้ยาซอง APC การใช้ยาของชุมชน การใช้ยาชุด กรณียาชุดให้นิสิตสวมบทบาท (ปลอมตัว) เป็นผู้ป่วยหรือญาติ ไปซื้อยาตามอาการป่วยที่กำหนด ในพื้นที่ที่กำหนด ... ซักถามคนขาย ขอคำแนะนำ แล้วก็นำมาวิเคราะห์ว่าเป็นยาอะไร ส่วนการใช้ยาของชุมชน ทั้งครูและศิษย์เข้าหมู่บ้านในชนบทสัมภาษณ์ชาวบ้าน ในที่สุดก็ได้งานวิจัยที่เขาบอกว่าสั่นสะเทือนมาก ประเด็น ยาซอง เรื่อง APC แก้สูตรตำรับจากยาสูตรผสมเป็นยาเดี่ยว ส่วนยาชุดต้องแก้ พ.ร.บ.ยา พ.ศ. 2510 แต่กว่าจะนำไปสู่การแก้ไขกฎหมาย ก็ใช้เวลาเกือบ 10 ปี ซึ่งถือว่าเร็ว เพราะในสังคมไทยความเปลี่ยนแปลงใช้เวลาประมาณ 20 ปี ทำไมอาจารย์คิดว่า เวลา 10 ปีไม่นานเกินไปที่จะรอให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ปัญหาซับซ้อนหมักหมมมานาน ต้องตรวจสอบและเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสม ธรรมะก็สอนอยู่แล้ว ไม่ใช่กดปุ๊บติดปั๊บ ผลย่อมเกิดจากเหตุ พระพุทธเจ้าก็สอนอย่างนี้แหละ ถ้าหวังผลตรงนี้ ก็ต้องทำอะไรอื่นๆอีกกว่า 4-5 เรื่อง จึงบรรลุ ... ก็แค่นี้ งานในช่วงทศวรรษที่ 2 ของกลุ่มศึกษาปัญหายา เริ่มตั้งแต่ปี 2528 เน้นทำงานเชิงระบบมากขึ้น ลงพื้นที่ไปเจาะปัญหา พร้อมๆ กับที่รัฐบาลสหรัฐฯ มากดดันเรื่องแก้ พรบ.สิทธิบัตร เพราะฉะนั้นจึงร่วมกันลุยงานทุกระดับ อ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ และ อ.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์ ศึกษาวิจัย เรื่องนโยบายและกลยุทธ์ในการควบคุมราคายา และ การใช้ยาในโรงพยาบาล ส่วน อ.สุนทรี วิทยานารถไพศาล ทำงานพัฒนาและวิจัยในชุมชน โดยลงพื้นที่ อ.ด่านขุนทดเข้าหมู่บ้าน มี ภก.สงกรานต์ ภาคโชคดี, เพียงพร พนัสอำพล ฯลฯ เป็นกระบี่มือหนึ่ง ลุยปัญหาในพื้นที่ แล้วนำเสนอการแก้ปัญหาเชิงระบบ ทำกันแบบองค์รวม เพราะทำเรื่องสุขภาพอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบ ระบบและขบวนการเคลื่อนไหวเรื่องยาเหล่านี้ถือเป็นต้นแบบของขบวนการคุ้มครองผู้บริโภคในสังคมไทย ทำไมอาจารย์จึงให้ความสำคัญกับงานคุ้มครองผู้บริโภค งานคุ้มครองผู้บริโภค คือ การถ่วงดุลเพื่อให้เท่าทันลัทธิบริโภคนิยม อันที่จริงเรื่องค่านิยมบริโภคนี้ ไม่ใช่มิติของวัฒนธรรมไทย เป็นเรื่องการนำเข้า ที่เกิดจากกระแสไหลบ่าจากทางตะวันตก โดยเฉพาะกระแสทุนนิยม ลัทธิบริโภคนิยม ซึ่งมีกลยุทธ มีเครื่องมือต่างๆ เย้ายวนให้ผู้คนหลงใหลการบริโภค จนลืมสำนึกและกำพืดของตนเอง ที่ว่ามนุษย์ควรคิดผลิตได้เอง แล้วค่อยบริโภค แต่ตอนนี้ถูกกระตุ้นให้ซื้อเพื่อความโก้เก๋ พ่อค้าทำทุกอย่าง เพื่อให้สินค้าขายหมดและทุกอย่างเป็นสินค้า ลัทธิบริโภคนิยมเสนอการเสพสุขจากภายนอก เช่นโฆษณาความสุขที่คุณดื่มได้ ทำให้คนซื้อภูมิใจว่าได้ซื้อสินค้านั้นๆ แล้วหน้าจะใหญ่ แทนที่จะภูมิใจว่าการผลิตได้เองเป็นเรื่องดี เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่เชื่อโฆษณา เชื่อความรู้สึกมากกว่าเชื่อความรู้จริง... ฉะนั้น จึงต้องร่วมกันสร้าง ขบวนการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อคุ้มครองตัวเอง และคนไทยทั้งหลาย ให้ได้รับความเป็นธรรมจากระบบโฆษณา การส่งเสริการขายที่ทำให้ทุกคนบริโภคเหมือนกันหมด วิ่งตามกันเป็นแฟชั่น ฉะนั้นต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้เกิดขึ้น เมื่อเข้าใจแล้ว จะได้มีสติ ยั้งคิด รู้ว่าควรจะจัดการกับตัวเองอย่างไร ดังนั้นต้องวิจัยเพื่อสร้างความรู้ให้เท่าทัน ให้รู้จริง จึงต้องมาก่อน ซึ่งปัญหามีทุกระดับ ทั้งปัญหาในเรื่อง ระบบสังคม เรื่องการค้า เรื่องนโยบายภาครัฐ เรื่องกฎหมาย เหล่านี้ต้องรู้ให้จริงก่อนขับเคลื่อน ทำงานกันอย่างไร กศย.เข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคในแนวหน้า ปรับเปลี่ยนวิธีการขับเคลื่อน เพื่อทำให้รู้ทั่วกัน ใช้วิธีเชิญนักข่าวมาคุยเรื่องเหล่านี้ ทำงานกับนักข่าวหนังสือพิมพ์ค่อนข้างมาก นักข่าวต้องการข้อมูลอะไร ก็เอาข้อมูลที่รู้มาดูกันก่อน มาดูของจริง จะได้เข้าใจปัญหาด้วยกัน ทุกคนก็จิตใจดีมาก ที่อยากทำความจริงให้ประจักษ์ต่อสาธารณชน อะไรก็ตามถ้าเป็นประเด็นสาธารณะ ถ้าทำให้คนรู้ทั่ว ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ชาว กศย.ก็เลย เป็นนักวิชาการแนวใหม่ที่ทำวิจัยและรณรงค์ควบคู่กันว่า มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ต้องแก้ไข โดยประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชนพร้อมกับทำจดหมายเปิดผนึกถึงคนที่เกี่ยวข้อง เริ่มตั้งแต่ ระดับอธิบดี ระดับปลัด สำเนาส่งสื่อมวลชน พอหลังๆ ทำถึงนายกฯเลย (หัวเราะ) แล้วสำเนาถึงรัฐมนตรี จดหมายถึงนายกฯเนี่ย นายกฯ ตอบนะ ส่วน อย.ไม่ค่อยตอบ เราก็พยายามมากในการช่วยชี้ให้เห็นปัญหา ซึ่งมีเต็มไปหมด ทุกฝ่ายต้องทำหน้าที่ของตนให้ครบถ้วนถูกต้อง ซึ่งการทำอย่างนี้ ได้การตอบรับเพิ่มขึ้น ขับเคลื่อนได้มากขึ้น แล้วทำงานรณรงค์กับประชาชน คือ ชาวบ้านต้องรู้ รู้แล้วช่วยกันแก้ไขต่อในระดับนโยบาย ฐานคิดนี้ก็ยังอยู่เป็นหลัก แต่ไม่ได้เป็นตัวชี้ขาด ทั้ง 2 ด้านนี้ต้องทำไปด้วยกัน คราวสู้เรื่องสิทธิบัตรเป็นการรณรงค์ที่ใหญ่มากทำอย่างไร อันนี้นักวิชาการเข้าช่วยกันเยอะมากนะ มีฝ่ายก้าวหน้าที่คุยกันรู้เรื่อง เห็นปัญหา เชื่อมถึงกัน เน้นช่วยกันศึกษาวิจัยเพื่อหาคำตอบและช่วยกันขับเคลื่อน มีกัลยาณมิตรมากมายหลายฝ่ายมาช่วยกัน มีนิสิตนักศึกษาหลายสถาบัน ช่วยกันคิดออกแบบ คิดว่าจะทำยังไงถึงจะรู้ทั่วกัน ช่วยกันรณรงค์ทุกรูปแบบ มีเพื่อนเยอะจริงๆ บทเรียนก็เยอะ ตั้งแต่ช่วง 14 ตุลา 2516 ตอนนั้น มีกลุ่มศึกษาหลายกลุ่มต้องคุยทุกเย็น หรือทุกศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เขาว่า อาจารย์ค้านระบบสิทธิบัตร แน่นอนต้องค้าน เพราะเอาเปรียบกันมากเกินไป แต่เดิมยังยอมรับในแง่คุ้มครองเฉพาะกรรมวิธีผลิต ควบคู่กับถ่ายทอดเทคโนโลยี และคุ้มครองผู้บริโภค เช่น กำหนดควบคุมราคาและคุณภาพ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของระบบสิทธิบัตร ที่ต้องการคุ้มครองคนที่ประดิษฐ์คิดค้นจริง (Invention) ซึ่งเป็นพวกที่น่าคุ้มครอง จึงต้องมีระบบคุ้มครองสติปัญญา เพราะพวกนี้เป็นคนไม่แสวงกำไร สนใจแต่จะคิดค้น แต่พอกลุ่มที่เป็นพวกแสวงหากำไรเข้ามา คนคิดค้นกลายเป็นลูกจ้าง ไม่ได้เป็นแบบอิสระแบบดั้งเดิม การถ่ายทอดเทคโนโลยีก็ไม่ถ่ายทอด คุ้มครองผู้บริโภคเรื่องควบคุมราคาก็ไม่ทำ กลายเป็นสนองผลประโยชน์นายทุน อันนี้ยอมรับไม่ได้ ซึ่งตรงนี้เราเห็นความเลวร้าย ความใจร้ายของระบบทรัพย์สินทางปัญญาที่นายทุนนำมาใช้กับทาสทางการค้า เพราะฉะนั้นจุดยืนของเราก็ต้องรู้เท่าทัน เรายอมรับให้สิทธิบัตรกับเทคโนโลยีที่ใหม่จริง ในช่วงเวลาและราคาที่เหมาะสม ช่วงปี 2532-2542 เรามีเพื่อนทั่วโลกมากขึ้นจึงร่วมกันสู้เป็นทีมเอเชีย สร้างพลังต่อรอง ตอนนั้นเรียกร้องให้ยกเลิกสิทธิบัตรอยู่ตลอดเวลานะ ต่อสายกับ Health Action International ไปขับเคลื่อนในการเจรจาขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่โดฮา ตอนนั้นเป็นครั้งแรกๆ ที่ประเทศกำลังพัฒนารวมตัวกันสร้างอำนาจต่อรองเรื่องสุขภาพ จากนั้นเราก็ตรวจสอบสิทธิบัตรยา ddI ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เราคิดถึงการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรโดยรัฐ (CL) ขบวนการสู้ก็สู้กันตลอด มีการปรึกษากันตลอดว่า ทำได้ไหม ทั้งประเด็นข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง ประเด็นทางสังคม ทางวิชาการ การเมือง ดูทั้งหมดทั้งขบวน ฉะนั้นต้องเลือกใช้เครื่องมือ กลวิธี ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่ชัดเจน คือ ชาวไทยทุกคนไม่ว่ายากดีมีจนต้องมียาที่จำเป็นใช้ ต้องเข้าถึงยา ถ้าใหม่จริงจ่ายแพงเราก็จะจ่าย ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่จ่าย ถ้าแพงเกินก็ต้องควบคุมราคาหรือใช้ CL ต้องเตรียมทำการเฝ้าระวังข้อมูลสำคัญมาก สู้เรื่องการแก้ไข พรบ.สิทธิบัตร ยันมาได้ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.เปรม จนถึงรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย แต่มาแพ้ตอนช่วงรัฐบาล รสช. ในปี 2535 อาจารย์รู้สึกอย่างไร ก็ไม่เชิงแพ้นี่ อาจารย์ไม่เคยพูดว่า แพ้เลย ทำไมอาจารย์ถึงคิดว่าไม่แพ้ ก็ไม่แพ้ เพราะตัวเราไม่แพ้ มันเป็นปัจจัยภายในกับปัจจัยภายนอก ถ้าเราแพ้ก็คือเลิกทำงาน ซึ่งเราไม่แพ้ เราต้องมีจังหวะก้าว เราก็เข้าใจว่าไม่ได้แพ้ เราก็ต้องสู้ต่อไง ไม่มีเวลาหยุด เพราะบริษัทยาคิดล้ำหน้าตลอด ต้องคิดดักทาง ปัญหาที่เกิดเป็นแรงผลักดัน (drive) ของเรา ชัยชนะมีขั้นตอน ก็รู้อยู่ว่าบริษัทได้มากกว่าที่ประชาชนได้ อันนี้เข้าใจ แต่เราไม่แพ้ เราไม่ถอดใจ แล้วหลังจากที่ พรบ.สิทธิบัตร ออกมาเป็นแบบที่เราคัดค้าน ตอนนั้นอาจารย์คิดถึงอะไร ตอนนั้นปี 2535 เราคิดกันว่า เสียนิ้วรักษามือ เสียแขนรักษาหัว ก็โอเค เมื่อยอมรับกัน เราก็มีกำลังในการคิด เรื่องสิทธิบัตรต่อ เห็นว่า ยังมี คณะกรรมการสิทธิบัตรยา อยู่ในกฏหมายสิทธิบัตร ฉบับแก้ไข พ.ศ.2535 เพราะฉะนั้นเรายังติดตามตรวจสอบเรื่อง การจดทะเบียนสิทธิบัตร เรื่องควบคุมราคายาได้ เราทำใจได้ว่า ถ้ายาใหม่จริงๆ ก็ให้การคุ้มครองในราคาและช่วงเวลาที่เหมาะสมควบคู่กับการถ่ายทอดเภสัชกรรมเทคโนโลยี โดยไม่ให้บรรษัทยาข้ามชาติเอาไปหมดทุกอย่าง แต่ปรากฏว่า คนไทยถูกหลอกหรือรัฐบาลไทยสมยอมให้บรรษัทยาข้ามชาติต้ม เพราะต่อมาพบว่ามี side letter สมัยรัฐบาล ปี 2535 บอกว่าอีก 5 ปีจะแก้ไขให้อีก โดยตัดคณะกรรมการสิทธิบัตรยาออกไป พอปี 2542 กระทรวงพาณิชย์ก็แก้ไขกฎหมาย โดยตัดคณะกรรมการสิทธิบัตรยาออกไป ตอนนั้นอาจารย์คิดจะทำยังไงต่อไปคิดอยู่ตลอด เคลื่อนไหวตลอด กลับมาดูปัจจัยภายในว่าจะทำอะไรได้บ้าง จากผลการวิจัยเรื่องการใช้ยาในโรงพยาบาล เห็นพฤติกรรมของแพทย์ที่ “ถูกติดสินปนน้ำใจ” หันไปใช้ยาชื่อทางการค้า (trade name / brand name) ยาราคาแพง มากกว่าการใช้ยาชื่อสามัญ (generic)... ทางออกต้องจัดระบบส่งเสริมแพทย์ เภสัชกร และประชาชนให้ใช้ยาชื่อสามัญ ปฏิเสธการใช้ยาชื่อทางการค้า ควบคู่กับการส่งเสริมการใช้ยาที่เหมาะสม และจัดระบบควบคุมราคายา จึงช่วยกันทำโครงการ โรงพยาบาลปลอด Trade name คือรณรงค์ให้แพทย์-เภสัชกรสั่งใช้-สั่งจ่ายยาด้วยชื่อสามัญ สนับสนุนการพัฒนานโยบายแห่งชาติด้านยา บัญชียาหลักแห่งชาติ เน้นการร่วมกันสร้างปัจจัยภายในให้เข้มแข็ง ให้เป็นภูมิคุ้มการรุกรานจากปัจจัยภายนอก อาจารย์มีคนที่เป็น Insider ตามจุดต่างๆ คอยให้ความช่วยเหลือเยอะมาก ต้องให้เครดิตเพื่อนๆ หลายคนมาก โดยเฉพาะ Insider ทั้งหลาย และที่สำคัญยิ่งคือ ชาวไทยที่รักและหวังดีต่อแผ่นดินไทย บางทีก็เป็นผู้อาวุโส เป็นสายวิชาการคนละรุ่น ที่ทำเอกสารสำคัญตกหล่นมาให้ประชาชน เพราะฉะนั้นขบวนการต่อสู้ ถ้าไม่ออกข่าวในสื่อมวลชนว่า สิ่งนี้เป็นหายนะของชาติ ก็ไม่มีวันชนะ เพราะนักการเมืองนั้นต้องสร้างกระแสสังคมกดดัน อาจารย์ทำอย่างไร Insider เหล่านั้นจึงช่วยงานอาจารย์ตลอด อันนี้ตอบไม่ได้ ต้องถามพวกเขานะ (หัวเราะ) เราเคารพแหล่งข่าวมาก เขาจะต้องปลอดภัยไม่ถูกเปิดเผย เราเองก็ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน จึงมีคนมาทำ “ของตก” ไว้ให้ รู้สึกได้ว่ามีคนดีๆ ที่น่ารัก ไว้วางใจเราให้ข้อมูลจริงแก่กลุ่มของเรา หากย้อนเวลากลับไปได้ อาจารย์อยากจะเปลี่ยนหรือแก้เรื่องอะไรมากที่สุด ที่ทำมาถูกต้อง ไม่มีอะไรผิด แล้วต้องการทำอะไรอีก ยังมีอีกหลายอย่างที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องคุณภาพคน คือ เรายังไม่อยู่ในสังคมที่เป็นสันติ หรือไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ยังมีปัญหาโกงกันให้เห็นทุกวัน ปัญหามีเสมอ ความทุกข์ยากยังปรากฏ การเอารัดเอาเปรียบยังปรากฏ ก็ชัดเจนว่ายังต้องช่วยกันแก้ปัญหาต่อไป ...ฉะนั้นต้องเตรียมประเด็นให้พร้อม... เมื่อมีจังหวะก้าวที่ถูกต้อง ก็จะบรรลุเป้าหมาย แล้ว 42 ปีของความเป็นครู อาจารย์อยากบอกอะไร ในแง่เป็นครู เราตั้งใจสร้างลูกศิษย์ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นอกจากถ่ายทอดศิลปวิทยาการความรู้ ให้ไปทำมาหากิน จนเป็นบัณฑิตแล้ว ก็อยากสร้างให้เขาเป็น บัณฑิตที่แท้ ที่ออกไปดำเนินชีวิตอย่างดีงามด้วย นี่ถือเป็นหน้าที่ปกติ ที่ทำอยู่ตลอดชีวิต ตั้งแต่สมัยที่มหาวิทยาลัยไม่ค่อยให้ความใส่ใจ เรื่องจริยธรรม ก็คุยเรื่องนี้กันมาก มีข้อเสนอตอนปรับปรุงหลักสูตรเภสัช ปี 26-27 ให้เพิ่มเรื่องจริยธรรมในหลักสูตร ตอนนั้น ถกเถียงกันว่า เรื่องจริยธรรม สอนกันได้หร

อ่านเพิ่มเติม >