ฉบับที่ 227 ทัวร์เกาหลีอลวนจนไม่ได้ไป

        การเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ หลายท่านนิยมจัดการธุระต่างๆ ด้วยตนเอง แต่อีกหลายคนก็เลือกใช้บริการบริษัททัวร์เพราะคิดว่าน่าจะสะดวกกว่า เสียค่าธรรมเนียมบ้างแต่ไม่ต้องกังวลปัญหาที่อาจคาดไม่ถึงหากต้องจัดการเอง แต่กระนั้นปัญหาคาดไม่ถึงจากการใช้บริการบริษัททัวร์ก็อาจเกิดขึ้นได้ เราลองมาดูกัน          เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของคุณสายชลที่มาขอคำปรึกษากับศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค         อย่างที่หลายท่านทราบ เกาหลีกับไทยนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดี จนทำให้คนไทยไม่จำเป็นต้องใช้วีซ่าเข้าประเทศเกาหลีสำหรับการท่องเที่ยว และเกาหลีนั้นก็มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ สวยงาม จนคนไทยหลายคนใฝ่ฝันจะไปท่องเกาหลีกันสักครั้ง แม้ว่าระยะหลังจะมีข่าวคราวที่ทำให้ภาพลักษณ์ของนักเที่ยวไทยเสียหายเพราะบางคนไม่ได้ตั้งใจไปเที่ยวแต่แอบเข้าไปเพื่อทำงานแบบผิดกฎหมาย จนเกาหลีเริ่มเข้มงวดจับตานักเที่ยวไทยมากขึ้น แต่มนต์เสน่ห์ของเกาหลีก็ยังไม่จางหายไป คุณสายชลก็เป็นหนึ่งในนั้น          คุณสายชลตั้งใจไปเกาหลีโดยใช้บริการของบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง ในที่นี้ขอเรียกว่าบริษัทซี  และได้จ่ายค่าดำเนินการต่างๆ ไปทั้งสิ้น 30,000 บาท ด้วยการโอนผ่านบัญชีธนาคาร ทุกอย่างเรียบร้อยดีจนถึงวันเดินทาง เหตุไม่คาดฝันก็เกิด เมื่อพนักงานบริษัทซีที่มาดำเนินการติดต่อประสานงานกับเคาน์เตอร์สายการบิน ที่จะพาคุณสายชลไปเกาหลีนั้น ไม่สามารถตอบคำถามกับพนักงานของสายการบินได้ อีกทั้งเอกสารเกี่ยวกับการเดินทางก็มีความผิดพลาด จนสุดท้ายทางสายการบินปฏิเสธไม่ให้เธอเช็คอินและยกเลิกตั๋ว ซึ่งความเสียหายนี้ไม่เพียงแค่อดไปเที่ยวเท่านั้น แต่ยังหมายถึงค่าเดินทาง ค่าที่พัก ตลอดจนการลาหยุดงานและนัดหมายต่างๆ ต้องปรับเปลี่ยนทั้งหมด เธอจึงเรียกร้องขอให้บริษัทซีคืนเงินทั้งหมดและชดเชยค่าเสียหายเพิ่มเติมด้วย         “ตอนที่ติดต่อไป ทางบริษัทฯ ปฏิเสธว่าทำดีที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตามจะโอนเงินคืนให้พร้อมระบุวันที่ชัดเจน แต่เมื่อถึงเวลากลับไม่เป็นไปตามที่ตกลง บริษัทฯ อ้างว่า สายการบินไม่ยอมโอนเงินคืนบริษัทฯ และผัดผ่อนเรื่อยมา จนเข้าเดือนที่หกแล้ว  ดิฉันควรทำอย่างไรดี”  แนวทางแก้ไขปัญหา         เบื้องต้นได้แนะนำให้คุณสายชลดำเนินการแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน เพราะมีส่วนที่เข้าข่ายคดีอาญาได้ และจะช่วยดำเนินการเจรจากับทางบริษัทต่อไปเพื่อขอให้คืนเงินค่าดำเนินการท่องเที่ยว 30,000 บาท ขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างเจรจา อย่างไรก็ตาม เราขอนำเสนอเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้ที่ต้องการท่องเที่ยวด้วยบริษัททัวร์ แม้จะมั่นใจบริษัททัวร์แค่ไหน แต่ก็อย่าวางใจ ควรตรวจสอบเอกสารต่างๆ ให้มั่นใจอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้ได้เดินทางอย่างสะดวกโดยเฉพาะประเทศเกาหลี ซึ่งปัจจุบันมีการตรวจสอบการเข้าเมืองที่ค่อนข้างเข้มงวดกับนักเดินทางชาวไทย  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 222 แนะนำเส้นทางท่องเที่ยวกับแอปพลิเคชัน Thailand Tourism Map

        ช่วงนี้วันหยุดติดต่อกันยาว 3 วันบ้าง 4 วันบ้าง หรือจะแค่วันหยุดเสาร์อาทิตย์บางคนก็พร้อมที่จะไปท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวไม่ไกลมากนัก ซึ่งบางครั้งก็มีการวางแผนการเดินทาง สถานที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี แต่ก็มีหลายๆ คนเช่นกันที่ไม่สามารถวางแผนได้ล่วงหน้า        การเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งแบบฉุกละหุกย่อมทำให้เกิดความกังวลใจในการใช้เส้นทางสำหรับการเดินทาง ยิ่งเป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยแล้วยิ่งเกร็งกันไปใหญ่ เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้สัมผัสความรู้สึกเกร็งแบบมาแล้ว ด้วยเวลาที่เร่งรัดและเป็นผู้นำการเดินทางคนเดียวในครอบครัว ดังนั้นจึงต้องเริ่มหาที่พึ่งโดยด่วน         สุดท้ายได้มาเจอแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า Thailand Tourism Map เป็นแอปพลิเคชันของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แค่ชื่อก็ใช่เลย เหมาะกับการเดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศไทยจริงๆ        ขั้นตอนแรกของแอปพลิเคชันจะให้เลือกภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ เมื่อต้องการที่จะเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใดมีอยู่ 2 วิธี คืออย่างแรกให้พิมพ์คำที่ต้องการค้นหาลงในช่องค้นหาได้ทันทีและจะปรากฏเส้นทางสถานที่นั้นๆ อย่างที่สองให้กดสัญลักษณ์เลี้ยวขวาที่อยู่มุมขวาล่างของหน้าแอปพลิเคชันและกดค้นหาจากตำแหน่งที่ผู้ใช้แอปพลิเคชันอยู่ ในส่วนนี้จะสามารถเลือกเส้นทางแบบเดินทางโดยรถยนต์หรือเดินทางโดยรถสาธารณะได้ โดยการเดินทางในรูปแบบการใช้รถโดยสารสาธารณะจะบอกเป็นขั้นตอน เช่น ให้ขึ้นรถบีทีเอสไปต่อรถไฟ เป็นต้น         ความแตกต่างของการใช้แอปพลิเคชันนี้ก็คือ จะมีชื่อสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในประเทศไทยไว้ให้ค้นหามากมาย เพียงแค่พิมพ์ตัวอักษรที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลการแนะนำเส้นทางของสถานที่ท่องเที่ยวโดยแบ่งออกเป็นภาค จังหวัด และเส้นทางท่องเที่ยวแต่ละจังหวัดที่ใกล้เคียงกัน โดยได้แนะนำไว้เป็นเส้นทางการเดินทางก่อนหลัง เช่น เส้นทางท่องเที่ยว 3 วัน 2 คืน เกาะช้าง-ตราด-พัทยา, เส้นทางท่องเที่ยว 2 วัน 1 คืน ภูเก็ต-พังงา, เส้นทางท่องที่ยว 4 วัน 3 คืน ลำปาง-ลำพูน-เชียงใหม่ เป็นต้น         ไม่เพียงเท่านี้ แอปพลิเคชัน Thailand Tourism Map ยังมีหมวดไฮไลท์ ที่สามารถคัดเลือกสถานที่ท่องเที่ยวตามสภาพมลภาวะทางอากาศ หรือเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเมืองรองของภาคใด ซึ่งในหมวดนี้ถือว่าเป็นไฮไลท์ของแอปพลิเคชันนี้ที่ช่วยคัดกรองสถานที่ท่องเที่ยวตามที่ผู้ใช้ต้องการได้ เช่น ถ้าต้องการสภาพมลภาวะทางอากาศระดับดีมากให้เลือกไปที่ AQI 0-25 ดีมาก จะปรากฏตำแหน่งต่างๆ บนแผนที่ ซึ่งสามารถเลือกดูได้ว่าเป็นสถานที่ใดบ้าง        แต่ถ้ารู้สึกไม่ทันใจกับการค้นหาในแอปพลิเคชัน Thailand Tourism Map การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังมีบริการโทรสายด่วนออนไลน์ได้ที่หมายเลข 1672 อีกด้วย        บอกเลยว่าการเดินทางครั้งต่อไปก็คงแค่กดดูข้อมูลการแนะนำเส้นทางของสถานที่ท่องเที่ยว แล้วตัดสินใจว่าจะค้าง 3 วัน 2 คืน หรือจะค้าง 2 วัน 1 คืน แค่นั้นก็เพียงพอแล้วล่ะ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 210 สิทธิการเข้าถึงบริการรักษาภาวะมีบุตรยาก ผลกระทบจากกฎหมายห้ามธุรกิจอุ้มบุญ

รู้หรือไม่ ก่อนจะมีการออกพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์  ประเทศไทยเป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ ของผู้มีบุตรยากทั่วทุกมุมโลกในการเข้ามารับการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย แต่เนื่องจากไม่มีกฎหมายที่เข้ามาดูแลเป็นการเฉพาะทำให้เกิด “ธุรกิจอุ้มบุญ” โดยมีสาวไทยขายมดลูกอุ้มท้องแทนจำนวนหนึ่งแบบลับๆ เรื่องแดงออกมาจากกรณีชาวต่างชาติจ้างหญิงไทย “อุ้มบุญ” เมื่อให้กำเนิดลูกแฝดแล้วคนหนึ่งปกติ อีกคนเป็นโรคดาวน์ซินโดรม สุดท้ายชายชาวต่างชาติก็รับเลี้ยงแค่เด็กที่มีความปกติเท่านั้น แล้วทิ้งเด็กดาวน์ซินโดรมไว้ให้แม่อุ้มบุญดูแล จนเป็นข่าวครึกโครม และเมื่อมีการสอบสวนเชิงลึกก็พบว่าชายชาวต่างชาติที่มาว่าจ้างหญิงไทยตั้งครรภ์นั้น เคยก่อคดีล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กหญิงมาแล้ว 2 ครั้ง จนถูกจำคุกอย่างไรก็ตามปัญหาเกี่ยวกับการรับจ้างอุ้มบุญยังมีให้เห็นอยู่เนืองๆ ตลอดจนปัญหาการทอดทิ้งเด็กที่เกิดจากเทคโนโลยีให้แม่อุ้มบูญชาวไทยดูแล เพราะพอผู้ว่าจ้างเห็นหน้าเด็ก เห็นลักษณะเด็กแล้วไม่พอใจ ปรากฏเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อีก หรืออย่างกรณีคู่รักชาย - ชาย มาว่าจ้างหญิงไทยอุ้มบุญก็เคยเจอ จนนำมาสู่การออกพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ในปี 2558 ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์เป็นหลัก โดยห้ามซื้อ-ขายไข่ อสุจิ หรือสเปิร์ม และห้ามว่าจ้าง หรือรับจ้างตั้งภรรค์แทน หรือเรียกว่า “อุ้มบุญ” เด็ดขาดสถานการณ์การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์การเข้าถึง(บริการรักษาภาวะมีบุตรยาก) ถ้าลงให้ลึกจริงๆ มีหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องมาตรการช่วยเหลือผู้ที่มารับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากยังมีไม่มากนัก เรื่องค่ารักษาไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐ การลางานไม่ได้ รวมถึงเมื่อมีโรคที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการมีบุตรยากประกันก็ไม่จ่าย เช่น ถุงน้ำในรังไข่ ซีสต์ พอผู้หญิงคนหนึ่งป่วยเป็นโรคนี้ บอกแพทย์ไปประกันไม่จ่ายทันที ถือว่าไม่เป็นธรรมมากรศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์ ประธานอนุกรรมการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ตามคำจำกัดความขององค์การอนามัยโลกระบุว่าผู้ที่แต่งงานกันแล้วและตั้งใจที่จะมีบุตร แต่ไม่มีภายในระยะเวลา 1 ปี ถือว่าเป็นผู้ที่มีภาวะมีบุตรยากควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและหาแนวทางรักษาต่อไป ส่วนคู่แต่งงานที่ฝ่ายภรรยามีอายุเกิน 35 ปีขึ้นไปไม่ต้องรอให้ถึง 1 ปี หากยังไม่ตั้งครรภ์ภายใน 6 เดือนก็ควรพบแพทย์ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก ถ้าพูดถึงอัตราผู้มีปัญหาภาวะมีบุตรยากของไทยในปัจจบันมีอยู่ประมาณร้อยละ 10 – 15 ซึ่งมาจากหลายปัจจัยที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะปัจจุบันที่ฝ่ายหญิงมีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงขึ้น จึงยังไม่อยากจะคิดถึงการมีบุตร การตั้งครรภ์ในขณะที่ยังมีความเจริญก้าวหน้า แต่จะเริ่มมาคิดถึงการตั้งครรภ์เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เกิดปัญหาภาวะมีบุตรยากตามมา เพราะปัญหาเซลล์รังไข่เกิดสภาพไม่สมบูรณ์ ตกไข่ยาก หรือได้ไข่ที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ เมื่อตั้งครรภ์แล้วก็แท้งง่าย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโรคประจำตัวของคนที่มีอายุมากเช่น เบาหวาน ความดัน หัวใจ รวมถึงความเครียดจากภาระงานที่พิ่มขึ้นจากความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทุกประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งสิ้น ทั้งนี้สาเหตุที่เกิดจากฝ่ายชายก็ไม่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาภาวะมีบุตรยากนั้นมีหลายวิธีการที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยแพทย์จะพิจารณาเป็นรายกรณี และเริ่มรักษาทีละสเต็ปจากน้อยไปหากมากคือ เริ่มจากการตรวจหาสาเหตุ หากพบว่าภาวะมีบุตรยากเกิดจากการมีโรคประจำตัวอะไรก็รักษาโรคนั้นๆ ก่อน เช่น ไทรอยด์ เบาหวาน ซีสต์ ความเครียด การใช้ยาหรือสารต่างๆ เป็นต้น เมื่อรักษาแล้วก็มีโอกาสตั้งภรรค์ หากแก้ไขปัญหาเบื้องต้นไม่สำเร็จจึงไปถึงการใช้เทคโนโลยีช่วยเหลือการเจริญพันธุ์  ทั้งนี้ เทคโนโลยีช่วยเหลือการเจริญพันธุ์มีหลายวิธีเช่นกัน เริ่มจากการคัดเชื้ออสุจิ ฉีดเชื้ออสุจิเข้าไปในรังไข่ หรือเรียกว่าผสมเทียม หรือกระตุ้นไข่ หากยังไม่สำเร็จก็ขยับไปอีกขั้นหนึ่งคือการทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ประเทศไทยสามารถทำได้หมด ปัจจุบันประเทศไทยใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ด้วยการทำเด็กหลอดแก้ววิธีต่างๆ ประมาณปีละ 1 หมื่นรายตัวเลขเพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ แต่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ และถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับอัตราผู้มีบุตรยากในประเทศไทย โดยคิดว่าไม่น่าจะถึงร้อยละ 10 ที่เป็นเช่นนี้สะท้อนว่าประชากรไทยที่มีปัญหายังรับรู้ และเข้าถึงบริการนี้น้อย เมื่อเทียบกับต่างประเทศที่มีอัตราการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ค่อนข้างมาก เช่น ญี่ปุ่น มีผู้รับบริการประมาณ 2 แสนรายต่อปี บางประเทศอัตรการเข้ารับบริการพุ่งถึง 4 แสนรายต่อปี อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเทศไทยจะมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์มาช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก แต่ก็เพราะมีการเอาไปใช้ในเชิงธุรกิจ จนนำมาสู่การออกเป็นพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ซึ่งเมื่อกฎหมายดังกล่าวบังคับใช้ก็มีผลกระทบทั้งผลดี และผลเสีย โดยผลดีก็ทำให้ประเทศไทยอยู่ในร่องในรอยแบบที่สากลโลกเขาทำอยู่ แต่กรณีที่ 2 คือทำให้เรื่องการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากโดยเทคโนโลยีเข้าช่วยนั้นทำได้ยากขึ้น เสียเวลามากขึ้น บางครั้งคนที่มีปัญหามีบุตรยากและต้องการมีบุตรจริงๆ เข้าถึงบริการน้อยลง ที่จริงเรื่องการเข้าถึงน้อยลงถ้าลงให้ลึกจริงๆ มีหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องมาตรการช่วยเหลือผู้ที่มารับบริการรักษาภาวะมีบุตรยากยังมีไม่มากนักเรื่องค่ารักษาไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐ การลางานไม่ได้ รวมถึงเมื่อมีโรคที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการมีบุตรยากประกันก็ไม่จ่าย เช่น ถุงน้ำในรังไข่ ซีสต์ พอผู้หญิงคนหนึ่งป่วยเป็นโรคนี้ บอกแพทย์ไปประกันไม่จ่ายทันที ถือว่าไม่เป็นธรรมมากนอกจากนี้สถานพยาบาลที่รักษาภาวะมีบุตรยาก ปัจจุบันที่มีอยู่ 70 แห่ง ถือว่าน้อยมากและส่วนใหญ่เป็นของเอกชน ซึ่งมีราคาแพง จากที่เข้าถึงบริการยากอยู่แล้ว ก็เลยยากที่จะเข้าถึงไปกันใหญ่ สำหรับหลักเกณฑ์การอุ้มบุญตามที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเข้มงวดนั้นไม่ได้เป็นปัญหา เช่น การหาคนมารับเป็นแม่อุ้มบุญนั้นจริงๆ ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นคนสายเลือดเดียวกันเท่านั้น แต่หากเป็นหญิงที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็จะต้องมีการตรวจสอบที่เข้มงวดหน่อย เพราะต้นกำเนิดของกฎหมายก็มาจากปัญหาเรื่องการมีธุรกิจรับตั้งครรภ์แทนเกิดขึ้น ซึ่งถ้าเป็นต่างประเทศจะนับเรื่องนี้เป็นปัญหาการค้ามนุษย์ด้วย ข้อเสนอแนะสู่การแก้ไขปัญหาเพราะฉะนั้นเรื่องกฎหมายนับว่ามีความเหมาะสม แต่ถ้าจะแก้ไขก็ต้องทำให้ผู้ที่มีปัญหามีบุตรยากเข้าถึงบริการรักษาได้ง่ายขึ้นต้องมีทางเลือก อันดับแรกคือการมี “สิทธิ” เดินเข้าไปในโรงพยาบาลได้โดยที่ไม่มีอุปสรรคเรื่องของเวลา เรื่องค่าใช้จ่ายเหมาะสม หรือบางส่วนควรได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และควรแก้ไขเรื่องที่ประกันไม่จ่ายสินไหมโดยอ้างว่าเพราะปัญหาการมีลูกยากทำให้มีปัญหาถุงน้ำในรังไข่ ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวเลยก็ได้ นับว่าไม่มีความเป็นธรรมอย่างยิ่ง แต่เกาหลีบังคับเลยว่าบริทประกันห้ามปฏิเสธการจ่าย “สิ่งที่อยากเห็นจริงๆ คือการเปิดให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากควรเปิดในสถานพยาบาลของรัฐถึงจะแก้ปัญหาได้ ในความเป็นจริงมันไม่ใช่เช่นนั้น ปัจจุบันภาครัฐไม่ได้จัดสรรคงบประมาณส่วนนี้ให้ ทำให้โรงพยาบาลรัฐไม่ตั้งหน่วยดูแลเรื่องนี้เพราะเก็บเงินไม่ได้ ดังนั้นหากรัฐเห็นว่าเรื่องนี้ควรเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ก็ควรตั้งในโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งหากจะทำจริงๆ ศักยภาพที่มีนั้นสามารถทำได้ เพราะเรื่องที่ยากกว่านี้โรงพยาบาลรัฐก็สามารถทำได้ดี” รศ.นพ.กำธร กล่าวอีกว่า ถ้าดูสถานการณ์การเกิดในประเทศไทยตอนนี้ตอนนี้ลดลงไปมาก โดยอัตราเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rates - TFR) เดิมอยู่ที่ 6 และลดลงมาเรื่อยๆ จนถึง 2.1 และปัจจุบันลงมาถึง 1.5 ภายในระยะเวลา 20 กว่าปี ในขณะที่องค์การอนามัยโลกถือว่าประเทศที่มีความมั่นคงทางประชากรควรจะมีอัตราเพิ่มประชากรอยู่ที่ 2.1 เพราะฉะนั้นถือว่าประเทศไทยอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง แต่เท่าที่ดูกลับไม่ค่อยมีมาตรการแก้ปัญหาอะไรมากนัก ไม่ตื่นเต้น ไม่มีมาตการส่งเสริมการเกิด รวมถึงดูแลรักษาภาวะมีบุตรยากก็เข้าไม่ถึง ในขณะที่ประเทศส่วนใหญ่ถือว่าเรื่องนี้เป็นสิทธิที่ประชาชนต้องเข้าถึง ในขณะที่นานาชาติหากอัตราเจริญพันธุ์รวมลดลงมาถึงระดับ 1.8 เขาจะต้องตื่นตัวในการหามาตรฐานมาส่งเสริมการเกิดให้เพิ่มขึ้น หรืออย่างประเทศญี่ปุ่นอัตราเจริญพันธุ์รวม ตอนนี้อยู่ที่ 1.46 ถึงกับตกใจมากและออกมาตรการมากมายเพื่อแก้ปัญหา และส่งเสริมการเกิดให้เพิ่มขึ้น เรื่องนี้ประเทศไทยควรจะจริงจังได้แล้วเพราะตอนนี้ประเทศไทย เป็นสังคมผู้สูงอายุมาถึงเร็วกว่าที่คิดไว้ เด็กเกิดมา 1 คนอาจจะต้องดูแลพ่อ แม่ พี่ น้อง อีกจำนวนมากเพราะไม่มีคนมาหารเฉลี่ยด้วย แล้วปัญหาเรื่องเศรษฐกิจแรงงานก็ตามมาแน่นอน หากยังไม่ตื่นตระหนก หาทางแก้ไขอย่างจริงจัง อนาคตจะกระทบกับความมั่นคงของประเทศ เพราะที่เห็นเดินอยู่ตามถนนในเมืองไทยอาจจะเต็มไปด้วยชาวต่างชาติ " อัตราเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rates - TFR) ของไทยปัจจุบันคือ   1.5 ในขณะที่องค์การอนามัยโลกถือว่าประเทศที่มีความมั่นคงทางประชากรควรจะมีอัตราเพิ่มประชากรอยู่ที่ 2.1 หากดำเนินต่อไปโดยไม่ได้รับการแก้ไข ไทยจะมีแต่ประชากรสูงวัยและขาดแคลนแรงงานซึ่งเสี่ยงต่อความมั่นคงของประเทศ "ด้าน นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล บอกว่า ภายหลังจาก พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ บังคับใช้ก็เพื่อแก้ไขปัญหาการรับจ้างอุ้มบุญ ซึ่งถูกมองเป็นเรื่องการค้ามนุษย์ในสายตาของสังคมโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการรับจ้างอุ้มบุญจำนวนมากจริงๆ มีธุรกิจทางด้านนี้เกิดขึ้นเยอะ แต่หลังจากที่กฎหมายนี้ออกมาจะเห็นว่าสถานการณ์การรับจ้างอุ้มบุญในประเทศไทยก็ซาลงไปมากอย่างไรก็ตาม ยังมีอีกปัญหาหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาจากการคุมเข้มเรื่องการ “อุ้มบุญ” คือ การเข้าถึงยาก ราคาแพง จนอาจจะทำให้ครอบครัวที่มีบุตรทำให้ตัดสินใจไปพึ่งการทำอุ้มบุญในต่างประเทศแทนด้าน นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล บอกว่า ภายหลังจาก พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ บังคับใช้ก็เพื่อแก้ไขปัญหาการรับจ้างอุ้มบุญ ซึ่งถูกมองเป็นเรื่องการค้ามนุษย์ในสายตาของสังคมโลก ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการรับจ้างอุ้มบุญจำนวนมากจริงๆ มีธุรกิจทางด้านนี้เกิดขึ้นเยอะ แต่หลังจากที่กฎหมายนี้ออกมาจะเห็นว่าสถานการณ์การรับจ้างอุ้มบุญในประเทศไทยก็ซาลงไปมากนายจะเด็จ บอกอีกว่า สำหรับทางออก ทางเลือกสำหรับคนที่มีบุตรยาก สิ่งหนึ่งที่อยากให้มองสำหรับสังคมไทยตอนนี้จะเห็นว่าเรามีเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าอยู่เป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมาก็มีหลายๆ ครอบครัวที่มีบุตรยาก มารับเด็กจากสถานสงเคราะห์ไปเป็นบุตรบุญธรรม แต่ก็ยังมีเพียงส่วนน้อย เพราะติดกับทัศนคติเดิมที่ว่า “เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม” จึงไม่มั่นใจว่าเด็กที่โตมาจะเป็นอย่างไร ตรงนี้ต้องบอกว่าคุณภาพของเด็กต่างก็อยู่ที่การเลี้ยงดู เมื่อเด็กได้รับการเลี้ยงดูที่ดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เด็กคนนั้นก็สามารถเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคมไทยได้ เพราะฉะนั้นสังคมไทยต้องปรับทัศนคติตรงนี้ หากอยากมีบุตรจริงๆ แล้วติดขัดในข้อกฎหมายก็สามารถใช้ทางเลือกนี้เป็นทางออกได้ ขณะเดียวกันภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ควรสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนด้วย โดยอาจจะนำเอาครอบครัวที่ประสบความสำเร็จจากการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรม ที่พร้อมจะเปิดเผยข้อมูล มาช่วยกันรณรงค์ให้เห็นเป็นตัวอย่างด้วย ไม่ใช้ออกกฎหมาย ออกมาตรการบังคับใช้อย่างเดียวพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์  2558สาระหลักตามกฎหมายสามารถแบ่งได้ดังนี้ ผู้มีที่ต้องการให้มีการตั้งครรภ์แทน มาตรา 21 ระบุว่า ต้องเป็นสามีและภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมาย มีสัญชาติไทย ถ้าคนใดคนหนึ่งไม่มีสัญชาติไทยก็ต้องจดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี ทั้งนี้แพทย์ต้องรับรองว่ามีบุตรยากและต้องการมีบุตรโดยการตั้งครรภ์แทน ผู้รับตั้งครรภ์แทน หญิงที่รับตั้งครรภ์แทน คือ ต้องมิใช่บุพการีหรือผู้สืบสันดานของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายตาม แต่เป็นญาติสืบสายโลหิต ในกรณีไม่มีญาติสืบสายโลหิตและต้องใช้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข อย่างไรก็ตามหญิงที่ตั้งครรภ์แทนต้องเคยมีบุตรมาก่อน และต้องได้รับความยินยอมจากสามีก่อนวิธีการตั้งครรภ์แทนมาตรา 22 การตั้งครรภ์แทนมี 2 วิธี 1.ใช้ตัวอ่อนที่เกิดจากอสุจิของสามีและไข่ของภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายที่ประสงค์จะให้มีการตั้งครรภ์แทน และ 2.ใช้ตัวอ่อนที่เกิดจากอสุจิของสามีหรือไข่ของภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายที่ประสงค์จะให้มีการตั้งครรภ์แทนกับไข่หรืออสุจิของผู้อื่น ทั้งนี้ ห้ามใช้ไข่ของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนมาตรา 23 ก่อนดำเนินการต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการให้ดําเนินการให้มีการตั้งครรภ์ก่อน หากฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 47 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับคุณสมบัติของแพทย์ที่จะใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ถูกกำหนดไว้ในมาตรา 15  ระบุว่าต้องแพทย์ที่มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามและต้องปฏิบัติตามมาตรฐานในการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ถ้าเป็นผู้มีคุณสมบัติมาทำจะมีความผิดตามมาตรา 46 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับทั้งนี้ก่อนให้บริการ เกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ในมาตรา 16 ระบุเอาไว้ว่าแพทย์จะต้องตรวจและประเมินความพร้อมทางด้านร่างกาย จิตใจ และสภาพแวดล้อมของผู้ขอรับบริการ หญิงที่รับตั้งครรภ์แทน และผู้บริจาคอสุจิหรือไข่ที่จะนํามาใช้ดําเนินการ รวมทั้งการป้องกันโรคที่อาจมีผลกระทบต่อเด็กที่จะเกิดมาด้วยความเป็นบิดาและมารดาของเด็กและการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยี ช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ มาตรา 29 เด็กที่เกิดมาเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์จะมีบุตร มาตรา 30 ถ้าสามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทนถึงเสียชีวิตก่อนเด็กเกิด ให้หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนเป็นผู้ปกครองเด็กคนนั้นนั้นจนกว่าจะมีการตั้งผู้ปกครองขึ้นใหม่โดยคํานึงถึงความผาสุกและประโยชน์ของเด็กนั้นเป็นสําคัญมาตรา 32 ให้สามีและภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์เป็นคนแจ้งการเกิดของเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทนต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้ง ในกรณีสามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทนถึงแก่ความตายก่อนเด็กเกิด ไม่อยู่ในประเทศไทย หรือไม่ปรากฏตัวภายหลังจากการคลอดเด็กนั้น ให้หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนมีหน้าที่แจ้งการเกิดมาตรา 33 ห้ามมิให้สามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งประสงค์จะมีบุตรโดยการตั้งครรภ์แทนปฏิเสธการรับเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทนดังกล่าว ฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 49 จําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ มาตรา 41 ห้ามมิให้ผู้ใดซื้อ เสนอซื้อ ขาย นําเข้า หรือส่งออก ซึ่งอสุจิ ไข่ หรือตัวอ่อน ฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 51 โทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับข้อห้ามทำธุรกิจอุ้มบุญสำหรับประเด็นที่เป็นปัญหาจนนำมาสู่การออกพระราชบัญญัติดังกล่าวถูกกำหนดไว้ในมาตรา 24 ห้ามมิให้ผู้ใดดําเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้าฝ่าฝืนมีความผิดมาตรา 48 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาทมาตรา 27 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทําการเป็นคนกลางหรือนายหน้า ฝ่าฝืนมีความผิดตามมาตรา 49 ต้องระวางโทษ จําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ มาตรา 28 ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาว่ามีหญิงรับตั้งครรภ์แทนไม่ว่าจะได้กระทําเพื่อประโยชน์ทางการค้าหรือไม่ก็ตาม ฝ่าฝืนมีความผิดตามมาตรา 49 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ.

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 202 กระแสต่างประเทศ

เร็วทันใจคุณภาพของบริการโทรคมนาคมในฟิลิปปินส์นั้นถือว่าแย่มาก คนของเขาเป็นกลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดียมากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ความเร็วอินเทอร์เน็ตที่นี่กลับต่ำที่สุดในโซนเอเชียแปซิฟิก(ประมาณ 5.5 Mbps) ว่ากันว่าสาเหตุที่ช้า ค่าบริการแพง และการบริการไม่ได้คุณภาพนั้นก็เพราะมีผู้ประกอบการเพียง 2 รายได้แก่ PLDT และ Globe Telecom ซึ่งมีเสาสัญญาณรวมกัน 15,000 แห่ง คนฟิลิปปินส์จึงมีเฮ เมื่อได้ข่าวว่า China Telecom จากประเทศจีนจะเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ ข่าวบอกว่าประธานาธิบดีดูเตอร์เต้ ออกปากเชิญบริษัทนี้ด้วยตัวเองเมื่อตอนที่ไปเยือนประเทศจีนในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และเขายังออกคำสั่งให้หน่วยงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาต  ดำเนินการ ให้เสร็จสิ้นภายใน 7 วันเอาเป็นว่า China Telecom จะเริ่มให้บริการได้เลยในไตรมาสแรกของปี 2018 ... เร็วดีไหมล่ะ อย่างนี้ก็ได้เหรออินเดียประกาศห้ามใช้ยาเส้นหรือยาสูบแบบเคี้ยวมาตั้งแต่ปี 2013 เพราะถือเป็นความผิดตามกฎหมายความปลอดภัยและมาตรฐานอาหารที่ระบุว่า อาหารจะต้องไม่มีส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย(เช่น ยาสูบ และนิโคติน)แต่ละปีอินเดียมีผู้ชาย 85,000 คน ผู้หญิง 34,000 คนเสียชีวิตจากมะเร็งช่องปากและคอหอย ร้อยละ 90 ของกรณีเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการใช้ยาสูบแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครใส่ใจ เพราะยาเส้นที่ว่านี้ยังคงหาซื้อได้ง่ายในขนาดพอคำตามแผงข้างถนนในราคาซองละ 2 ถึง 5 บาท แถมยังมีให้เลือกหลายสูตร หลายรสชาติ ทั้งๆ ที่มีการห้ามผลิตและห้ามขาย ธุรกิจนี้กลับทำรายได้มหาศาล ค่าย Manikchand ที่ผู้ก่อตั้งเพิ่งจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งช่องปาก มีรายได้ปีละประมาณ 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และนี่ไม่ใช่ผู้เล่นรายเดียวเสียด้วย รวมกันเราแย่ศาลสูงสุดของนิวซีแลนด์ยืนยันไม่อนุญาตให้สองยักษ์ใหญ่วงการสื่อควบรวมกิจการกัน เพราะสัดส่วนการถือครองสื่อขนาดนั้นจะมีผลต่อคุณภาพความเป็นประชาธิปไตยของประเทศNZME(เจ้าของหนังสือพิมพ์ New Zealand Herald สถานีวิทยุและหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นสองฉบับ) อ้างว่าต้องการควบรวมกิจการกับ Fairfax Media(เจ้าของ Stuff เว็บไซต์ที่มีคนอ่านมากที่สุด และหนังสือพิมพ์รายวันอีกสามฉบับ) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับ facebook และ Google News รวมถึงบรรดา “ข่าวหลอกให้คลิก” ที่มีอยู่ทั่วไปในหน้าเว็บรวมๆ แล้วสองค่ายนี้เป็นเจ้าของสื่อประมาณร้อยละ 90 ศาลท่านยืนยันว่าอนุญาตไม่ได้จริงๆ เพราะมันจะทำให้การถ่วงดุลระหว่างสื่อใหญ่สองเจ้าหายไป NZME และ Fairfax มีผู้อ่านรวมกัน 3.7 ล้านคน ในขณะที่นิวซีแลนด์มีประชากร 4.7 ล้านคน  มาเฟียไส้กรอกบริษัทผู้ผลิตไส้กรอก 4 รายในเยอรมนีรวมตัวกันฟ้องต่อศาลขอไม่จ่ายค่าปรับที่สำนักงานกำกับดูแลการแข่งขันทางการค้าเรียกเก็บ 22.6 ล้านยูโร (ประมาณ 870 ล้านบาท)สำนักงานฯ ได้ข่าวว่ามีการฮั้วราคาผลิตภัณฑ์ไส้กรอกในระหว่างผู้ผลิตเพื่อที่จะขายให้กับบรรดาร้านค้าปลีกในราคาที่สูงเกินจริง และพบว่า “กลุ่มแอตแลนติก” (เรียกตามชื่อโรงแรมที่นัดคุยกัน) ร่วมกันโก่งราคาผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์มาตั้งแต่ช่วงปี 80  ปี 2014 สำนักงานฯ สั่งปรับบริษัท 22 แห่ง และบุคคล 33 คน รวมเป็นเงิน 338 ล้านยูโร  (ประมาณ 13,000  ล้านบาท) ในจำนวนนี้มีเพียง 11 บริษัทที่ยอมจ่ายค่าปรับแต่โดยดี อีกเจ็ดบริษัทรอดไปได้โดยอาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย(บริษัทแม่ไม่ต้องรับผิดชอบค่าปรับของ บริษัทลูก หากบริษัทลูกเลิกกิจการไปแล้ว) รัฐจึงขาดรายได้ไป 240 ล้านยูโร อีกสี่บริษัทยังยื้ออยู่จนถึงวันนี้ หากศาลตัดสินว่าผิดจริงกลุ่มนี้จะโดนค่าปรับหนักกว่าเดิม   ไม่รับคนนอกปีนี้ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 34  สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลที่  ต้องการให้มีผู้มาเยือนไม่ต่ำกว่าปีละ 40 ล้านคนภายใน 2020 ที่ญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก  เมื่อมีคนมาเยอะขึ้น ธุรกิจการให้เช่าห้อง/บ้านผ่านแอปพลิเคชันจึงเข้ามาตอบโจทย์ การให้เช่าแบบนี้เป็นสิ่งที่ทำได้หากแจ้งต่อหน่วยงานรัฐ มันสร้างรายได้ให้กับคนท้องถิ่นมากกว่าการให้เช่าแบบเดิมๆ เกือบห้าเท่า ดูแล้วน่าจะพอใจกันทุกฝ่ายแต่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมหลายแห่งในย่านฮิต เช่น บริเวณรอบอ่าวโตเกียว ได้เรียกร้องให้ทางอาคารออกกฎห้ามผู้อยู่อาศัยปล่อยเช่าห้องให้กับนักท่องเที่ยว ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและความเป็นระเบียบ หน่วยงานท้องถิ่นระบุว่ามีคอนโดฯ จำนวนมากมาแจ้งขอเปลี่ยนกฎ จนต้องตั้งโต๊ะรับเรื่องนี้โดยเฉพาะ  นิติบุคคลอาคารก็ต้องเข้าไปดูเว็บไซต์จองที่พักเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่า ห้องที่อยู่ภายใต้การดูแลของตัวเองไม่ถูกนำไปเสนอขาย 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 199 ‘อุบัติเหตุบนท้องถนน’ เป็นเพราะเรื่องอาถรรพ์หรือพฤติกรรมเสี่ยงกันแน่

ถ้าลองค้นหาในกูเกิ้ลด้วยคำว่า อุบัติเหตุทางถนน และ อาถรรพ์ คุณก็จะได้ผลลัพธ์ประมาณว่า ‘10 ถนนอันตราย สุดเฮี้ยนในเมืองไทย’‘10 ถนนที่เฮี้ยนที่สุดในประเทศไทย’ หรือ‘สะพรึง!!! 7 โค้งอันตราย อาถรรพ์หรือประมาทเอง?’หรือพาดหัวข่าวตามหน้าสื่อก็เช่น ‘ตูมสนั่น! เก๋งชนรถ 'คาราบาวแดง' แยกอาถรรพ์สังเวย 4 ศพ’ ‘อาถรรพ์โค้ง ศาลปู่โทน  รถพ่วง 18 ล้อเสยกระบะสาหัส 7’ ถ้อยคำจำพวกนี้บอกอะไรเราได้บ้าง? คราวนี้ ลองมาดูสถิติอุบัติเหตุจากเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ Thai RSC ข้อมูลรับแจ้งอุบัติเหตุทางถนนในปี 2560 ถึง ณ วันที่ 28 สิงหาคม มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 647,145 คน เสียชีวิต 9,757 คน รวม 656,902 คน ประเมินตัวเลขแบบหยาบ เรามีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเฉลี่ยเดือนละ 1,000 กว่าคน ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถมาบูรณาการกันจะได้ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ 22,281 คนต่อปี ตัวเลขมากขนาดนี้ ทุกหัวโค้งในประเทศก็คงเป็นโค้งอาถรรพ์เกือบหมด ใช่หรือไม่? องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) ทำตัวเลขประมาณการไว้เมื่อปี 2556 ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราส่วนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก คิดเป็นอัตราการตายที่ 36.2 คนต่อประชากร 1 แสนคน สถิติแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่น่าทำลาย แต่การสื่อสารเนื้อหาที่หวือหวาด้วยเรื่องอาถรรพ์สารพัดและพระเครื่องของเหล่าเกจิดัง มันได้กลบฝังความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนลงไปอย่างมาก จนละเลยค้นหาสาเหตุที่ประกอบด้วยปัจจัยหลากหลาย และในบางครั้งก็ซับซ้อน ใหญ่โต ถึงระดับโครงสร้างร้อยละ 24 ของคนไทยหรือ 1 ใน 4 เชื่อว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นป้องกันไม่ได้ อุบัติเหตุเป็นเคราะห์ร้าย โชคชะตา อาถรรพ์ ปัจจัย 2 ระดับของอุบัติเหตุบนท้องถนน น่าสนใจทีเดียวเมื่อพบว่า คนไทย 1 ใน 4 เชื่อว่าอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่ป้องกันไม่ได้ มันคือคราวเคราะห์ โชคชะตา อาถรรพ์ แต่ถ้าเราพาตัวเองหลุดจากโค้งอาถรรพ์ แล้ววิเคราะห์การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนจะพบว่า มี 2 ระดับที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน แต่เราอาจนึกไม่ถึงมาก่อนและคิดเหมาไปว่าเป็นเรื่องเดียวกัน 1.สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ เช่น เมาแล้วขับ โทรแล้วขับ หรือการขับรถเร็ว เป็นต้น 2.สาเหตุที่ทำให้เสียชีวิต เช่น การไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่สวมหมวกกันน็อก ไม่มีถุงลมนิรภัย หรือโครงสร้างของรถไม่แข็งแรงเพียงพอ ที่ต้องแยกออกเป็น 2 ปัจจัย เพื่อให้การวิเคราะห์และแก้ปัญหาดำเนินไปอย่างถูกต้อง เพราะการเกิดอุบัติเหตุไม่จำเป็นต้องมาคู่กับการสูญเสียชีวิตทุกครั้ง นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน กล่าวว่า“เราต้องมองสาเหตุทั้งสองระดับ คือสาเหตุของการเกิดเหตุและสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิต เมื่อนำปัจจัยเหล่านี้มาวิเคราะห์ร่วมกับคน รถ และถนน เราจึงจะได้ภาพรวมว่าเหตุการณ์นี้จะจัดการตรงจุดไหนได้บ้าง เราจึงต้องวิเคราะห์ทั้งสองส่วน เวลาเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้งเราจะไม่สรุปแค่ว่าขับรถโดยประมาท ทุกวันนี้ เรื่องอุบัติเหตุถูกครอบงำ ถูกทำให้มองไม่ลึก เช่น ถูกมองแบบบิดเบือนเชื่อมโยงกับอาถรรพ์ ปาฏิหาริย์ โชคชะตา ซึ่งทำให้การมองปัญหาเพื่อนำไปสู่การป้องกันมีจำกัด”นพ.ธนะพงษ์ กล่าวว่า อุบัติเหตุส่วนใหญ่ร้อยละ 43 ไม่มีคู่กรณี แต่กลับมีการเสียชีวิตถึงร้อยละ 34 แสดงว่าความตายเกิดจากวัตถุอันตรายข้างทาง เช่น ต้นไม้ เสาไฟฟ้า ป้าย เป็นต้น หรือเพราะสภาพกายภาพของถนน ทั้งที่วัตถุเหล่านี้ควรมีระยะห่างจากขอบทางอย่างน้อย 5-7 เมตร แต่สภาพความเป็นจริงคือ 3-4 เมตรหรือกรณีถนนบริเวณหน้าศาลอาญารัชดาที่ถูกเรียกขานเป็นโค้งอาถรรพ์ นพ.ธนะพงษ์ อธิบายว่า ถ้าเป็นทางหลวงรถสามารถทำความเร็วได้มากกว่า 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การออกแบบถนนบริเวณโค้งจะมีการยกระดับความลาดเอียงขึ้นเพื่อป้องกันการหลุดโค้งของรถ แต่สำหรับถนนในเมืองซึ่งไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้รถทำความเร็ว ทางโค้งจึงไม่ได้ออกแบบให้มีความลาดเอียงไว้ เมื่อวิเคราะห์ต่อไปว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดเวลากลางคืน ถนนโล่ง รถจึงทำความเร็วเกินกำหนด แต่เมื่อถนนไม่ได้ออกแบบมาเพื่อทำความเร็วระดับนี้ อุบัติเหตุรถหลุดโค้งจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่แทนที่จะวิเคราะห์หาปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ กลับถูกสื่อเล่นข่าวเป็นโค้งอาถรรพ์ จนการมองปัญหาผิดเพี้ยนไป“อีกประการคือเวลาพูดถึงอุบัติเหตุ ต้องไม่โทษเหยื่อหรือตัวเหตุการณ์ เช่นไม่มองว่าเพราะรถซิ่ง โจ๋ซิ่งทำให้เสียชีวิต โดยไม่รู้ตัว คำนี้ทำให้คนรับสารไม่รู้สึกถึงการอยากป้องกัน มองแค่ว่าเขาทำตัวเอง บางทีจะรู้สึกว่าสมควรแล้วที่เกิดกับคนเหล่านั้น ไม่ไปชนคนอื่นก็ดีแล้ว ทั้งที่เราไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง แต่เราถูกทำให้สรุปไปอย่างนั้น ดังนั้น การนำเสนอ การนำข้อมูลมาวิเคราะห์ นอกจากต้องไม่เชื่อมโยงกับเรื่องอาถรรพ์แล้ว ยังต้องไม่ตำหนิกล่าวโทษตัวเหยื่อ และต้องชี้ให้เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องสุดวิสัย เช่น ฝนตกถนนลื่นซึ่งเราจะเห็นประจำ แต่คำถามคือถ้าฝนตกถนนลื่น ทำไมอุบัติเหตุจึงเกิดกับคันนี้คันเดียว แสดงว่าต้องมีอะไรมากกว่าฝนตกถนนลื่น อาจเป็นไปได้ว่ายางรถยนต์ของคันนี้เป็นยางเสื่อมสภาพหรือคันนี้ขับเร็ว คือสิ่งที่จะถูกวิเคราะห์และนำเสนอ ต้องการการเปลี่ยนมุมมองของคนที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์ปัญหาต้องเห็นองค์ประกอบที่ครบถ้วน”องค์ประกอบ 4 ด้านของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เมื่อกล่าวถึงอุบัติเหตุบนท้องถนน คน ถนน รถ และสภาพแวดล้อม ใน 4 ปัจจัยนี้ ปัจจัยแรกมีผลมากที่สุดต่อการเกิดอุบัติเหตุ มันคือเรื่องของพฤติกรรม ยามที่คุณขับขี่รถไปบนท้องถนน เชื่อเหลือเกินว่าคุ้นเคยดีกับพฤติกรรมการขับขี่รถที่ไม่เหมาะสมและสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจึงถือเป็นหัวใจหลักประการหนึ่งของการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน แต่ทุกครั้งที่พูดถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เรามักได้ยินคำพูดซ้ำๆ ว่า ต้องสร้างจิตสำนึก ต้องสร้างจิตสำนึก และต้องสร้างจิตสำนึก เป็นคำที่ถูกนำมาใช้เสมอเพื่อวัตถุประสงค์นี้ แต่เราก็สร้างจิตสำนึกกันมานานมากแล้ว พฤติกรรมการขับขี่ (หรือแม้กระทั่งเรื่องอื่นๆ) ก็ไม่เปลี่ยน ใช่หรือไม่ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะวิธีการสร้างจิตสำนึกของเราล้มเหลว ตัววิธีการสร้างจิตสำนึกเองต่างหากที่น่าจะมีปัญหาหรือไม่เพียงพอ“ถ้ากล่าวเฉพาะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สิ่งที่สังคมต้องการตอนนี้คือไม่ใช่แค่เรื่องสร้างจิตสำนึก แต่เรากำลังต้องการการสร้างบรรทัดฐานทางสังคมว่า การมีพฤติกรรมแบบนี้เป็นพฤติกรรมอันตรายและให้คนในสังคมกำกับหรือกดดันควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมาย” นพ.ธนะพงศ์ กล่าวแน่นอนว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การสร้างจิตสำนึกยังเป็นความจำเป็น แต่ไม่เพียงพอ หากต้องใส่องค์ประกอบอื่นๆ ลงไปด้วยรวมเป็น 4 องค์ประกอบ1.การสร้างจิตสำนึก2.การสร้างบรรทัดฐานทางสังคม3.การบังคับใช้กฎหมาย4.การใช้สิ่งปลูกสร้างทางกายภาพยกตัวอย่าง การจอดรถในที่จอดรถของผู้พิการที่ปัจจุบันลดลงเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความเข็ดขยาดจากการถูกถ่ายคลิปหรือรูป แล้วส่งต่อกันในโลกโซเชียลมีเดีย และนี่กลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ทางสังคมขึ้นมา ซึ่งไม่ได้เกิดจากสำนึกที่ถูกสร้าง แต่เกิดจากมาตรการทางสังคมที่ก่อรูปบรรทัดฐานที่ควรจะเป็น“ผมขยายความเรื่องบรรทัดฐาน มันไม่ใช่การสร้างบรรทัดฐานผ่านโลกโซเชียลอย่างเดียว เราสามารถสอดแทรกเข้าไปในกลไกที่มีอยู่ เช่น ทำให้องค์กรต้นสังกัดกำหนดพฤติกรรมความปลอดภัย ยกตัวอย่างองค์กรหนึ่งบอกกับพนักงานว่า ต่อไปถ้าจะขี่มอเตอร์ไซค์มาต้องใส่หมวก ไม่ใส่จะมีผล จะเห็นว่าพฤติกรรมนี้ไม่ได้ถูกกำกับด้วยตัวปัจเจกแล้ว แต่ถูกกำกับด้วยตัวองค์กร เป็นตัวช่วยอีกแบบในการสร้างบรรทัดฐาน”หรือกรณีการขับรถแซงเข้ามาเบียดที่คอสะพานเพื่อหวังจะได้ไปก่อน นพ.ธนะพงศ์ กล่าวว่า การสร้างจิตสำนึกยังคงต้องทำต่อไป แต่วิธีการที่ได้ผลกว่าคือรถคันอื่นๆ จะต้องไม่ยอมรถจำพวกนี้ ต้องแชร์พฤติกรรมนี้ และมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดไปในเวลาเดียวกันการบังคับใช้กฎหมายดูจะเป็นข้ออ่อนอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทย นพ.ธนะพงศ์ เล่าให้ฟังว่า เรามักพูดว่าคนไทยขาดจิตสำนึกทำให้ไม่ยอมใส่หมวกกันน็อกเวลาขี่รถจักรยานยนต์ แต่พอคนไทยคนเดียวกันนี้ข้ามไปประเทศมาเลเซีย กลับหยิบหมวกกันน็อกขึ้นมาใส่ คำถามคือ คนคนนี้เกิดจิตสำนึกขึ้นมาโดยพลัน หรือเพราะเกรงกลัวการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดของมาเลเซียการใช้สิ่งปลูกสร้างทางกายภาพเพื่อกำกับพฤติกรรมเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่ต้องนำมาใช้ ยกตัวอย่างปัญหาการขับขี่รถจักรยานยนต์ขึ้นมาบนฟุตปาธ ที่ผ่านมาการรณรงค์ การสร้างจิตสำนึก พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล ล่าสุด หน่วยงานรัฐออกนโยบายให้ผู้เห็นพฤติกรรมดังกล่าวถ่ายรูปส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อปรับและแบ่งค่าปรับคนละครึ่ง นพ.ธนะพงศ์ตั้งคำถามว่า วิธีการที่ง่ายกว่านั้นคือติดอุปกรณ์ขวางไว้ดีหรือไม่ จะช่วยขจัดพฤติกรรมให้หายไปได้ ไม่ใช่เพราะมีจิตสำนึกหรือถูกจับ แต่หายไปเพราะไม่สามารถทำพฤติกรรมนี้ได้ เนื่องจากมีสิ่งปลูกสร้างทางกายภาพมากำกับ หรือกรณีรถวิ่งเร็วในซอย การติดป้ายรณรงค์หรือให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาเฝ้าคงไม่อาจทำได้ตลอด แต่การสร้างเนินชะลอความเร็วจะบังคับให้รถทุกคันต้องขับช้าลง ดังนั้นอิทธิพลทางกายภาพจึงมีผลต่อพฤติกรรมบนท้องถนนมากกว่าการบังคับใช้กฎหมายธูป เทียน ดอกไม้ ไม่ใช่คำตอบ แต่เดี๋ยวก่อน สิ่งปลูกสร้างทางกายภาพไม่ใช่คำตอบสมบูรณ์ของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบนท้องถนน ไม่ใช่เลย เราคงเคยเห็นผู้ขับขี่ยานพาหนะที่ไม่สนใจสิ่งปลูกสร้างทางกายภาพและยังคงทำผิดกฎจราจรเช่นเดิม“เวลาพูดถึงการเปลี่ยนแปลง เราทำเรื่องเดียวไม่ได้ ต้องทำกับตัวปัจเจก กับบรรทัดฐาน กับการบังคับใช้กฎหมาย และกับด้านกายภาพไปพร้อมๆ กัน ผมกำลังบอกว่า เวลาเราคิดเรื่องนี้ มันไม่เบ็ดเสร็จ เราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ต้องสร้างจิตสำนึก ไม่จริงหรอก พลังมันไม่พอ ต้องทำควบคู่กันหลายอย่าง”ไกลและกว้างกว่านั้น นพ.ธนะพงศ์ อยากให้เรามองปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนว่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่แค่เรื่องพฤติกรรมเชิงปัจเจกหรือกฎหมาย เช่น เวลาเผชิญปัญหารถติด ความคิดโดยทั่วไปคือทำไมไม่ขยายถนน แต่เมื่อขยายถนน สิ่งที่ตามมาคือรถวิ่งเร็วขึ้น เพราะสามารถทำความเร็วได้มากขึ้น เสี่ยงทั้งต่อผู้ขับขี่และต่อคนเดินถนนหรือปัญหาในระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่สามารถให้บริการประชาชนได้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ เมื่อระบบขนส่งมีข้อจำกัด ผู้คนจึงเลือกการซื้อรถยนต์ส่วนตัวเป็นทางออก แล้วปัญหาต่างๆ ก็ติดตามมาเป็นลูกโซ่ทั้งหมดนี้บอกอะไร?มันกำลังบอกว่า อุบัติเหตุบนท้องถนนไม่ใช่เรื่องของพลังงานลี้ลับ แต่เป็นปัจจัยจากตัวบุคคล รถ ถนน และสภาพแวดล้อม ธูป เทียน ดอกไม้ และเครื่องเซ่นสรวง จึงไม่ใช่คำตอบของการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ผ่านกลไกทั้ง 4 ด้านไปพร้อมๆ กันและการแก้ไขปัญหาระยะยาวในเชิงโครงสร้างต่างหากคือคำตอบที่ได้ผลยั่งยืนกว่า

อ่านเพิ่มเติม >


ฉบับที่ 166 ง่ายๆ กับเวลาแห่งความสุขบนแอพพลิเคชั่น

ปี 2557 กำลังจะผ่านไป นั่นหมายความว่าเวลาแห่งความสุขของคืนข้ามปีกำลังจะเกิดขึ้น ปีนี้มีวันหยุดยาว 6 วัน ยิ่งถ้าบางคนใช้สิทธิลาหยุดเพิ่มอีกสัก 2 วัน บวกกับวันเสาร์อาทิตย์ที่ติดกัน..ความสุขในการไปเพิ่มพลังจากการท่องเที่ยวมันช่างหอมหวนจริงๆ บางคนอาจจะกลับบ้านต่างจังหวัดก็ถือว่าเป็นการเพิ่มพลังให้กับชีวิตได้เช่นเดียวกัน ช่วงนี้เชื่อว่าหลายคนที่ต้องเดินทางไปที่ต่างๆ ในช่วงเทศกาลปีใหม่คงเริ่มวางแผนในการจองรถทัวร์กันไปบ้างแล้ว เพราะต้องยอมรับว่าการเดินทางในเทศกาลทุกเทศกาล รถทัวร์ทุกเส้นทางมีผู้ใช้บริการอย่างหนาแน่น เทศกาลแห่งความสุขแบบนี้ ผู้เขียนจึงได้วางแผนว่าจะเดินทางไปเที่ยวเชียงใหม่สักหน่อย จะใช้รถทัวร์เป็นพาหนะ  ค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตจนมาเจอแอพพลิเคชั่นที่ช่วยให้รายละเอียดจังหวัดต่างๆ ที่น่าสนใจในการท่องเที่ยว แอพพลิเคชั่นนี้ชื่อว่า “Tourism Thailand” เป็นแอพฯ ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภายในจะบอกรายละเอียดว่าในแต่ละจังหวัดมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจใดบ้าง สามารถเดินทางไปที่จังหวัดนั้นได้ด้วยวิธีใดบ้าง พร้อมบอกเบอร์ติดต่อเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ที่ต้องการเดินทางไปเที่ยวอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีรายชื่อที่พัก ร้านอาหารที่มีชื่อเสียง รวมถึงแหล่งช็อปปิ้งที่นักท่องเที่ยวนิยมไปซื้อของฝากในจังหวัดนั้น เมื่อได้ข้อมูลจังหวัดเชียงใหม่ครบวงจรดังใจแล้ว ทีนี้มาดูวิธีการจองรถทัวร์กันบ้างดีกว่า แม้ว่าในแอพพลิเคชั่น “Tourism Thailand” จะมีบอกเบอร์โทรรถทัวร์ตามที่ผู้เขียนได้ตั้งไว้ว่าจะเดินทางก็ตาม แต่ผู้เขียนก็อยากจะแนะนำแอพพลิเคชั่น “ThaiRoute” ที่สามารถหาบริษัทรถทัวร์ที่ต้องการ รวมถึงการเลือกจองที่นั่ง และชำระเงินภายในแอพพลิเคชั่นนี้บนมือถือสมาร์ทโฟน ที่มีรูปแบบเหมือนกับการจองตั๋วเครื่องบินบนเว็บไซต์ของสายการบินเลยทีเดียว ขออธิบายแอพพลิเคชั่นนี้สักนิดนะคะ ภายในจะมีหมวดของการค้นหาเที่ยวรถที่ผู้ใช้บริการต้องการ และบริษัทของรถต่างๆ ที่มีในเส้นทางนั้นๆ เมื่อเลือกเส้นทางที่จะเดินทางแล้ว แอพพลิเคชั่นจะให้เลือกวันเดินทางไปกลับ หรือเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง หลังจากนั้นแอพพลิเคชั่นจะบอกรายละเอียดว่าเส้นทางดังกล่าวมีรถของบริษัทใดบ้าง ในราคาที่เท่าไร ช่วงเวลาในการเดินทางเป็นอย่างไร เมื่อพึงพอใจแล้วจะให้เลือกที่นั่ง ต่อด้วยการให้ระบุชื่อนามสกุล เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ และไปยังขั้นตอนสุดท้ายคือ การชำระเงิน ซึ่งมีวิธีการชำระเงิน 2 วิธี ได้แก่ ชำระเงินที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส หรือชำระผ่านบัตรเครดิตก็ได้ อีกทั้งยังมีข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่มีประโยชน์ให้กับผู้ที่ชอบเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะอย่างรถทัวร์ เพื่อให้ติดตามว่ามีข่าวสารอะไรที่อัพเดทบ้าง เท่านี้ก็ได้ข้อมูลต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่รายละเอียดแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องการ ที่พักราคาประหยัด ร้านอาหารแสนอร่อย แหล่งช็อปปิ้งที่รวมทุกอย่างไว้ในที่เดียวกัน พาหนะที่ใช้เดินทางอย่างรถทัวร์ ตลอดจนที่นั่งในรถทัวร์ที่สามารถเลือกได้เอง โดยใช้เวลาไม่นานอย่างที่คิดเลย เหลือแค่รอนับวันเวลาให้ถึงช่วงปีใหม่เร็วๆ ^_^

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 124 กระแสในประเทศ

  ประมวลเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2554 9 พฤษภาคม 2554 คุมเข้มเต็นท์รถมือสอง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้จัดการ ประชุมสัมมนาในหัวข้อ “แนวทางการปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจรถยนต์ใช้แล้ว” เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ประกอบธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ใช้แล้ว (เต็นท์รถมือสอง) ประชาชนผู้ซื้อรถ รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งที่ผ่านมาพบปัญหาผู้บริโภคไม่มีข้อมูลในการเลือกซื้อ และมักจะถูกหลอกให้ซื้อรถมือสองที่ไม่ได้คุณภาพ พร้อมกันนี้ สคบ.จะประกาศให้ธุรกิจการขายรถยนต์มือสองเป็นธุรกิจควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ.2550 และต้องจัดทำฉลากให้ถูกต้องตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก ฉบับที่ 24 พ.ศ.2550 โดยจะต้องจัดให้มีหลักฐานการรับเงินหรือใบเสร็จรับเงินที่ถูกต้อง และการติดฉลากรายละเอียดของรถยนต์ใช้แล้วให้ถูกต้องตามกฎหมาย -------------------- 20 พฤษภาคม 2554 มิจฉาชีพแฝงตัวไกด์ทัวร์ – บริษัทนำเที่ยว ทำนักท่องเที่ยวทุกข์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยผลการสำรวจล่าสุดพบว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2551 จนถึงปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวมาร้องเรียนถึง 228 ราย ซึ่งเรื่องที่ร้องเรียนหลักๆ จะเป็นเรื่องการหลอกลวงโดยประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่มีใบอนุญาต และชำระเงินค่าบริการแล้วแต่เดินทางท่องเที่ยวไม่ได้ รวมถึงการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในธุรกิจนำเที่ยว ซึ่งบริษัททัวร์ที่ถูกร้องเรียนมี 77 บริษัท บางบริษัทถูกร้องเรียนซ้ำถึง 6 ครั้ง   ซึ่งเรื่องที่ถูกฟ้องร้องเป็นคดีความส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการโกงตั๋วเครื่องบินและที่พัก โดยหลายคดีไกล่เกลี่ยกันได้ โดยเป็นจากฟ้องจากชาวต่างชาติประมาณ 10% ซึ่งก็ถือว่าสร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของประเทศ กรมการท่องเที่ยวจะร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและสมาคมโรงแรมไทย จะรวมกันพยายามดูแลกวดขันเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับนักท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของประเทศ   หากผู้บริโภคหรือนักท่องเที่ยวคนไหนถูกหลอกลวงจากไกด์หรือบริษัทนำเที่ยว สามารถร้องเรียนได้ที่กรมการท่องเที่ยว 0-2219-4010-17 หรือกองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 0-2134-0521

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 167 หญิงท้องดื่มชาเขียว

  ชาเป็นเครื่องดื่มที่ผู้ใหญ่ห้ามผู้เขียนสมัยเป็นเด็กดื่ม นัยว่าเพื่อเลี่ยงอาการท้องผูก นอนไม่หลับ แต่พอมาถึงยุคสมัยนี้การดื่มชาของเด็กไทยดูจะไม่มีปัญหา เพราะเป็นการรับอิทธิพลที่ดูดีจากชาวญี่ปุ่น ซึ่งดื่มชาเขียวเป็นนิสัย สิ่งที่ต่างกันกับอดีตคือ ชาที่ผู้เขียนถูกห้ามดื่มนั้นเป็นชาจีนไม่ใช่ชาเขียว ชาจีนและชาเขียวนั้นมาจากพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis วิธีการผลิตนั้นต่างกัน ตามความเข้าใจของผู้เขียนนั้น เมื่อใบชาถูกเก็บมาทิ้งไว้จะมีเอนไซม์ในใบชาออกมาย่อยสารธรรมชาติในใบให้เปลี่ยนไปพร้อมกับการหมักจากจุลินทรีย์ธรรมชาติ จนกลายเป็นสารที่ส่งกลิ่นของชาจีน(ซึ่งอาจรวมถึงชาฝรั่งและแขก) แต่ถ้าใบที่ถูกเก็บมาได้รับความร้อนพอประมาณตามวิธี ซึ่งคิดค้นในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งเป็นการทำให้เอนไซม์ในใบถูกทำลายไป ชานั้นจะคงสารตั้งต้น ซึ่งมีคาเทชินเป็นกลุ่มหลักไว้ พร้อมทั้งมีสีออกเขียวรวมทั้งกลิ่นที่ผู้เขียนไม่ใคร่ชอบ เพราะมันคาวคล้ายสาหร่าย(ต่างจากชาจีนที่สีออกน้ำตาลคล้ำและกลิ่นหอมชวนดื่ม) ดังนั้นสำหรับผู้เขียนแล้วชาจีนและชาฝรั่งใส่นมข้นหวาน จึงเป็นตัวเลือกแรกโดยทิ้งชาเขียวลงท่อระบายน้ำไป   มาในปัจจุบัน สืบเนื่องจากการศึกษาทางระบาดวิทยาด้านอาหารและมะเร็ง ได้ผลสรุปประการหนึ่งจากหลายประการว่า คนญี่ปุ่นอายุยืนและเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนชาติอื่นเพราะกินอาหารดีกว่า โดยมีชาเขียวเป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งในหลายปัจจัย อีกทั้งวัฒนธรรมเจป๊อบก็ได้เข้ารุกรานประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้นำวัฒนธรรมดื่มชาเขียวตามเข้าไปด้วย โดยอ้างว่าเป็นวัฒนธรรมเพื่อสุขภาพ   ดังที่ได้กล่าวแล้วว่า ชาเขียวเป็นหนึ่งในหลายปัจจัยที่น่าจะทำให้คนญี่ปุ่นอายุยืนกว่าคนชาติอื่น แต่การดื่มชาเขียวนั้นไม่ใช่การดื่มน้ำล้างถุงชา(เติมน้ำตาล 12 ช้อน)ในขวดพลาสติก ซึ่งดื่มแล้วอย่าได้หวังเลยว่าอายุจะยืนยาว เนื่องจากในความเป็นจริงแล้วต้องเข้าใจวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นที่ดื่มชา ซึ่งไม่ได้ใสแจ๋วแบบที่คนไทยดื่ม อีกทั้งต้องฝึกการฝึกสมาธิ ความมีระเบียบ ความอดทน และอื่นๆ ตลอดถึงการกินอาหารที่ออกเป็นธรรมชาติมีผักและธัญพืชสูง เป็นต้น   จากความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่มีการทำวิจัยที่ลึกซึ้ง ทำให้เราทราบว่าสารเคมีธรรมชาติสำคัญกลุ่ม คาเทชิน (catechin) นั้นมีศักยภาพในการลดความเสี่ยงของการเกิดเซลล์มะเร็ง ทั้งจากการศึกษาในหลอดทดลองและสัตว์ทดลอง ข้อมูลเหล่านี้ทำให้ผู้แสวงหาแนวทางในการขายสินค้าเพื่อสุขภาพจับประเด็นว่า น่าจะรวย ถ้าหันมาขายคาเทชินแก่ผู้รักสุขภาพซึ่งอยากตายช้า โดยมีบางส่วนของโฆษณาใน facebook ดังนี้ “ชาเขียวเป็นสมุนไพรซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลาย จัดเป็นยาอายุวัฒนะในเมืองจีนที่มีประวัติมายาวนานถึง4000ปี และจากการวิจัยโดยแพทย์ยุคนี้ ทำให้เราได้รู้ว่าสารที่ดีที่มีอยู่ในชาเขียวนั้นคือ"คาเทชิน" และร่างกายหากได้รับสารคาเทชิน 700-800 mg เป็นประจำทุกวัน จะช่วยดูแลร่างกายได้หลักๆคือ ลดคอเลสเตอรอลไม่ดีในเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดและปรับความดันเลือดให้สมดุล บำรุงตับไต และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายต่างๆเช่น โรคหัวใจ เบาหวาน สโตรค หลอดเลือดตีบ พาร์คินสัน อัลไซเมอร์ มะเร็ง และโรคอ้วน แต่การที่จะได้คาเทชิน700-800 mg นั้นต้องต้มชาเขียวร้อนถึง10 ลิตรเลยทีเดียว และของแถมที่มากับชาก็คือแทนนินที่ทำให้ท้องผูกและคาเฟอีนที่ทำให้นอนไม่หลับ ซึ่งก็จะเกิดผลเสียต่อสุขภาพมากกว่าผลดี เลือกดูแลสุขภาพตัวคุณเองแบบง่ายๆด้วยมูเกน สารสกัด"คาเทชิน"คุณภาพพรีเมี่ยมสั่งตรงจากญี่ปุ่น บรรจุแคปซูล ทานง่ายๆหลังอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 แคปซูล เป็นประจำ เหมาะทั้งทานบำรุง ป้องกัน และบรรเทา สินค้าเรานำเข้าจากญี่ปุ่น ราคาจึงอาจจะสูงไปหน่อย แต่คุณภาพสมราคาแน่นอน รับประกันว่าคุณภาพดีที่สุดในไทย สั่งตอนนี้มีโปรโมชั่นดีๆ มาเสนอP”   คาเทซิน คืออะไร  คาเทชินนั้นเป็นสารเคมีที่ใช้ในอาหารคนและอาหารสัตว์ ด้วยคุณสมบัติที่คาเทชินนั้นสามารถยับยั้งการออกซิไดส์ไขมันในอาหารโดยเฉพาะในเนื้อแดง สัตว์ปีกและปลา ปริมาณทั่วไปคือ ราวร้อยละ 0.3 ของเนื้อสัตว์เพื่อให้สามารถยับยั้งการออกซิไดส์ของไขมันที่แทรกในเนื้อสัตว์ได้ นอกจากนี้ในผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วลิสงและน้ำมันคาโนลา ก็มีการใช้คาเทชินเช่นกัน คาเทชินมีหลายชนิดที่สำคัญได้แก่ คาเทชิน เอปปิคาเทชิน และเอปปิคาเทชินแกลเลท สารเหล่านี้เมื่อถูกจำหน่ายในลักษณะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้น มักถูกอวดอ้างคุณสมบัติในการป้องกันไข้หวัดใหญ่ ป้องกันการเกิดคราบฟัน หรือบำบัดอาการความดันสูง ความจริงการบริโภคชาเขียวเพื่อให้ได้คาเทชินนั้น ไม่ควรมีปัญหาอย่างไรเลยเพราะคนญี่ปุ่นดื่มกันมาจนจำความกันไม่ได้แล้ว แต่มันมามีปัญหาในยุคดิจิตอลนี้แหละที่มีการนำเอาคาเทชินมาทำเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าวแล้วข้างบน ผู้เขียนเลยลองหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ทดูว่าการได้รับคาเทชินเข้าไปในปริมาณสูงๆ นั้นก่อปัญหาทางสุขภาพบ้างหรือไม่ ผลปรากฏว่าโชคร้ายเพราะพบว่า มีบทความวิชาการเรื่องหนึ่งชื่อ Herbs and Supplements to Avoid During Pregnancy and Breastfeeding เขียนโดย Navarro-Peran และคณะเผยแพร่ที่ www.med.nyu.edu/content?ChunkIID=35536 ซึ่งอ้างข้อมูลจากงานวิจัยของตัว Navarro-Peran และทีมงาน ซึ่งประกอบด้วยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในสเปนและสหราชอาณาจักรเรื่อง The antifolate activity of tea catechins ตีพิมพ์เมื่อปี 2005 ใน วารสาร Cancer Research ชุดที่ 65 หน้า 2059-2064 งานวิจัยนั้นกล่าวว่า สมุนไพรและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงระหว่างการตั้งครรภ์และให้นมลูกคือ ชาเขียว เพราะการดื่มชาเขียวมากเกินไปก่อให้เกิดความผิดปรกติของทารกในท้อง เนื่องจากสารธรรมชาติในชาเขียวน่าจะไปรบกวนการทำงานของโฟเลตในทารกที่อยู่ในครรภ์ เพราะมีการทดลองในห้องปฏิบัติการที่ใช้สารสกัดจากใบชาแล้วปรับให้มีความเข้มข้นเท่าที่ตรวจพบได้ในน้ำเลือดของคน พบว่าสารสกัดนั้นสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ dihydrofolate reductase (DHFR) ซึ่งในสภาวะปรกติถ้าไม่มีสารสกัดจากใบชาในเลือดหรือมีไม่มากนัก เอนไซม์นี้ทำหน้าที่เปลี่ยนโฟเลตที่กินเข้าไปให้อยู่ในรูปที่ร่างกายใช้ได้ ดังนั้นเมื่อกินคาเทชินแล้วการเปลี่ยนโฟเลตให้ใช้ได้ก็จะลดลง ผลที่ตามมาคือ เกิดปัญหาในการสร้างหน่วยพันธุกรรมใหม่ของร่างกาย ซึ่งเกี่ยวข้องต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนในท้องแม่ ความจริงผลของสารสกัดจากใบชา ซึ่งมีคาเทชินเป็นหลักต่อการเปลี่ยนแปลงโฟเลตนั้น ถ้าเกิดต่อเซลล์มะเร็งก็จะทำให้เซลล์มะเร็งชะลอการเจริญเติบโตได้ ซึ่งเป็นข้อดีที่ส่งผลให้การดื่มชานั้นได้รับการยอมรับว่าลดความเสี่ยงต่อมะเร็งได้ แต่ในกรณีที่ผู้ดื่มตั้งครรภ์ ซึ่งทารกในครรภ์มารดานั้นมีอุปมาว่ามีความคล้ายกับก้อนมะเร็งขนาดใหญ่ เนื่องจากมีการกระตุ้นให้มีการแบ่งเซลล์อย่างรวดเร็ว(แต่ควบคุมได้) ประเด็นที่เซลล์เนื้อเยื่อทารกต่างจากเซลล์มะเร็งก็คือ เมื่อเซลล์แบ่งพอแล้ว จะมีการพัฒนาไปเป็นอวัยวะตามความเหมาะสมของเนื้อเยื่อนั้น ๆ ซึ่งเข้าใจว่าถูกควบคุมด้วยระบบฮอร์โมนของแม่ ดังนั้นจึงมีการตั้งสมมุติฐานว่าการดื่มชามากเกินไปในหญิงตั้งครรภ์นั้นจึงอาจส่งผลถึงการพัฒนาร่างกายของเด็กในท้อง เพราะโฟเลตที่แม่กินเข้าไปทำงานไม่เติมที่ ซึ่งอาจส่งผลถึงการตายคลอดของเด็กได้ อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ การที่คาเทชินเป็นสารต้านออกซิเดชั่น(เหมือนสารอื่นๆ ที่มีการขายเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร) โอกาสที่มันจะแสดงความเป็นสารกระตุ้นออกซิเดชั่น (prooxidation) เมื่อใช้ที่ความเข้มข้นสูงดังที่มีการโฆษณาในการแนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีคาเทชินเป็นองค์ประกอบนั้นอาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งปรากฏการณ์นี้มีการแสดงให้เห็นแล้วจากการศึกษาในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เฉพาะทางที่ได้รายงานว่า คาเทชิน โดยเฉพาะเอปปิแกลโลคาเทชินนั้นสามารถออกซิเดไซส์หน่วยพันธุกรรมของเซลล์ให้เสียหายได้ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งทำโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในฮ่องกงแล้วตีพิมพ์ในวารสาร Free Radical Biology and Medicine ชุดที่ 43 หน้าที่ 519–527 .ในปี 2007 กล่าวว่า ในจำนวนคาเทชินที่อยู่ในใบชาทั้งหมดนั้น มีสารชื่อ เอปปิแกลโลคาเทชิน-3-แกลเลท ที่ถูกระบุว่า เมื่อให้สารนี้แก่แม่หนูที่กำลังท้องในความเข้มสูง ทำให้ตัวอ่อนของหนูทดลองหยุดพัฒนาอวัยวะบางส่วน ซึ่งเป็นข้อมูลที่สนับสนุนสิ่งที่ผู้เขียนกล่าวข้างต้นว่า สารสกัดจากใบชาน่าจะมีผลต่อความสมบูรณ์ของตัวอ่อนมนุษย์ ดังนั้นถ้าท่านผู้บริโภค โดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์มีความประสงค์จะเสพคาเทชินในขนาดสูงๆ เมื่อได้ทราบข้อมูลดังกล่าว ซึ่งแม้ไม่ใช่ผลการทดลองในคนก็ตาม แต่ก็มีความเป็นวิทยาศาสตร์อย่างเต็มที่ ผู้เขียนก็ไม่คิดจะห้ามปรามแต่ประการใด เพราะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการเสพสิ่งที่หน่วยงานราชการอนุญาตให้มีการขายแล้ว แต่สำหรับนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพแล้ว ประเด็นที่น่าติดตามคือ อุบัติการณ์ของเด็กที่ออกมาผิดปรกติหรือตายคลอดเนื่องจากแม่นิยมบริโภคสารอะไรๆ ในปริมาณสูงๆ นั้น น่าสนใจติดตามเป็นอย่างยิ่งโดย ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 161 อยากท้อง อ่านตรงนี้

เมื่อวันที่ 29 เมษายน ปีนี้ www.environmentalhealthnews.org ได้ตีพิมพ์บทความหนึ่งชื่อ “Miscarriage risk rises with BPA exposure, study finds” ซึ่งเราควรสนใจบ้างไม่มากก็น้อย เพราะในตอนสุดท้ายบทความได้สรุปว่า สตรีที่สัมผัสต่อบีพีเอ (bisphenol A หรือ BPA) ระดับสูงในช่วงเริ่มตั้งท้องจะมีความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรสูงขึ้นถึงร้อยละ 83 เมื่อเทียบกับผู้ไม่สัมผัส ข้อสรุปดังกล่าวได้จากการศึกษาที่คลินิกภาวะเจริญพันธุ์ของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา ซึ่งใช้อาสาสมัคร 115 นางซึ่งท้องแล้วไม่เกิน 4 อาทิตย์ พบว่าอาสาสมัครที่ระดับบีพีเอในเลือดยิ่งสูงเท่าไรก็ยิ่งแท้งง่ายเท่านั้น รายงานการศึกษาใหม่นี้ได้เพิ่มหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ความเข้มข้นต่ำของสารเคมีที่ปรากฏอยู่ทั่วไปในพลาสติกชนิดโพลีคาร์บอเนตและในกระป๋องบรรจุอาหาร ตลอดจนใบเสร็จรับเงินอย่างง่าย (แบบว่ารับได้จากสถานีเติมน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ ฯลฯ) นั้นอาจมีผลต่อระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์ อาจารย์ในภาควิชาสูตินารีเวชศาสตร์แห่งมหาวิทยาสแตนฟอร์ดกลุ่มหนึ่ง (ณ เวลาที่ผู้เขียนกำลังเขียนต้นฉบับนี้) กำลังจะตีพิมพ์บทความเรื่อง Conjugated bisphenol A (BPA) in maternal serum in relation to miscarriage risk ในวารสารชื่อ Fertility and Sterility ซึ่งกล่าวประเด็นสำคัญหนึ่งว่า “คู่ผัวตัวเมียที่มีปัญหาในการมีลูกหรือผู้ที่แท้งใหม่ๆ ควรลดความเสี่ยงในการสัมผัสสารบีพีเอเพราะมันน่าจะเป็นสารที่มีผลลบต่อการพัฒนาของตัวอ่อนในท้องแม่”  อย่างไรก็ดี การศึกษาใหม่นี้ยังไม่ได้หมายความว่า บีพีเอก่อให้เกิดการแท้งลูก สิ่งที่ค้นพบนั้นอยู่บนฐานของการตรวจเลือดของหญิงแต่ละนางเพียง 1-2 ครั้งระหว่างท้อง และที่สำคัญคือ ยังต้องการอาสาสมัครอีกจำนวนมาก เมื่อมีการเผยแพร่ผลการศึกษานี้ก่อนการตีพิมพ์ในวารสารอย่างเป็นทางการ ก็มีสูตินารีแพทย์อีกท่านหนึ่งของศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์ (University of Rochester’s Medical Center) ซึ่งไม่ได้มีส่วนได้เสียกับโครงการวิจัยดังกล่าวให้ข้อสังเกตต่องานวิจัยนี้ว่า แม้ว่าการแท้งนั้นเกิดในอาสาสมัครถึง 68 คนจาก 115 คน (ซึ่งเป็นอัตราเสี่ยงประมาณ 3 เท่าของสาวอเมริกันทั่วไป) ก็ตาม แต่อาสาสมัครของโครงการนั้นเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการแท้งสูงอยู่แล้ว เพราะมิเช่นนั้นคงไม่มาที่คลินิกภาวะเจริญพันธุ์ให้เสียเวลา ดังนั้นความสัมพันธ์ของสารนี้กับการแท้ง อาจไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ขยายไปถึงสาวๆ ทั่วไป  อย่างไรก็ดีแพทย์ท่านนี้ก็ได้กล่าวว่า งานวิจัยนี้เป็นการแสดงหลักฐานที่ชัดเจนอีกหนึ่งชิ้นที่กล่าวว่า สารเคมีในสิ่งแวดล้อมนั้นอาจเป็นปัญหาต่อการตั้งครรภ์ได้ มีข้อมูลเชิงสมมุติฐานที่ผู้เขียนขอเสนอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาคือ มีสารธรรมชาติชนิดหนึ่งชื่อ เจ็นนิสตีน (genistein) ซึ่งเป็นสารไฟโตเคมิคอลในถั่วเหลือง ที่มีศักยภาพคล้ายสารเอสโตรเจน จึงสามารถจับกับตัวรับเอสโตรเจน (estrogen receptor) ของเซลล์ต่อมน้ำนมและเซลล์มดลูกได้ แต่ออกฤทธิ์น้อยกว่าเอสโตรเจนมาก ซึ่งผลที่ตามมาคือ เอสโตรเจนที่มีมากเกินพอในสาวๆ บางคน ไม่สามารถออกฤทธิ์ก่อให้เกิดอาการคัดหน้าอกและปวดมดลูกตอนมีประจำเดือน ซึ่งเราถือว่าเป็นผลดีของเจ็นนิสตีน ที่น่าสนใจคือ wikipedia ก็ได้ให้ข้อมูลว่า บีพีเอนั้นสังเคราะห์ขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นของทศวรรษ 1930 โดยนักชีวเคมีชาวอังกฤษชื่อ Edward Charles Dodds โดยมุ่งหวังให้เป็นเอสโตรเจน (ฮอร์โมนเพศหญิง) สังเคราะห์ แต่ปรากฏว่ามันมีฤทธิ์ต่ำกว่าเอสโตรเจนธรรมชาติถึง 37,000 เท่า เขาจึงหันไปสังเคราะห์สารอีกตัวหนึ่งคือ diethylstilbestrol (DES) ซึ่งได้ผลสมใจเพราะมันออกฤทธิ์เหมือนเอสโตรเจน (และมีฤทธิ์แรงกว่า) จึงช่วยแก้แพ้ท้อง แต่มีผลข้างเคียงทำให้ลูกสาวของผู้กินยานี้เป็นมะเร็งที่อวัยวะเพศเมื่อเข้าสูวัยสาว สารนี้จึงถูกยกเลิกการนำมาใช้ ดังนั้นถ้าเราเชื่อในสมมุติฐานที่กล่าวว่า ขณะกำลังท้องระดับเอสโตรเจนของสาวๆ ต้องเพิ่มขึ้นเพื่อไปกระตุ้นให้ตัวอ่อนในมดลูกมีการพัฒนาตามรูปแบบที่ควรเป็น(เอสโตรเจนมีศักยภาพในการกระตุ้นการแบ่งและพัฒนาเซลล์ของตัวอ่อนให้เจริญอย่างรวดเร็ว) แต่บีพีเอ (ซึ่งมีศักยภาพค่อนข้างต่ำมาก ๆ ที่จะออกฤทธิ์เป็นเอสโตรเจน) อาจแย่งที่ในการจับตัวกับตัวรับเอสโตรเจน ส่งผลให้เอสโตรเจนเข้าจับตัวกับเซลล์ตัวอ่อนน้อยลง ทำให้ตัวอ่อนในท้องแม่ไม่พัฒนาเท่าที่ควรจึงแท้ง(ปรกติผู้หญิงที่กำลังเริ่มท้องจะมีอาการแพ้ท้องมากบ้างน้อยบ้าง แต่ถ้าวันไหนเลิกแพ้ท้องให้ระแวงได้เลยว่า น่าจะแท้ง) สมมุติฐานคล้ายกันนี้มีการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการแล้ว แต่เป็นการศึกษาถึงผลการได้รับเจ็นนิสตีนในระดับสูงของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในสัตว์ทดลองว่าทำให้สัตว์ทดลองมีลูกน้อยลง และคล้ายกันกับการศึกษาทางระบาดวิทยาในผู้หญิงที่อยากท้องแต่กินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองเพราะเป็นมังสวิรัติมักมีลูกยาก จึงมีการแนะนำว่า ช่วงเริ่มตั้งครรภ์ควรลดการบริโภคผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองลงบ้าง(กินโปรตีนจากพืชชนิดอื่นได้) จนแน่ใจว่าการตั้งครรภ์ไม่มีปัญหาแล้วจึงกินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองเท่าเดิมหรือรอจนกว่าจะคลอดเรียบร้อยปลอดภัย ที่น่าสนใจคือ ในปี ค.ศ. 2005 ได้มีการศึกษาเล็กๆ ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งพบว่า สตรี 45 นางที่เคยมีวิบากกรรมตั้งท้องไม่ถึง 3 เดือนแล้วแท้งอย่างน้อย 3 ครั้ง มีปริมาณบีพีเอในเลือดสูงเป็นสามเท่าของสตรี 32 คนที่ไม่เคยมีปัญหาระหว่างการตั้งท้อง พอผลการศึกษาออกมาดังนี้ โฆษกของสภานักเคมีอเมริกัน (American Chemistry Council) ก็อดรนทนไม่ได้ต้องออกมาเม้นต์ว่า “การศึกษานี้ยังมีข้อบกพร่องเหมือนกับการศึกษาอื่นๆ ที่พยายามตรวจวัดบีพีเอในเลือด ณ วันใดวันหนึ่งแล้วพยายามมโนว่าตัวเลขนี้มีความสัมพันธ์กับการแท้งลูก” ย้อนกลับไปที่สูตินารีแพทย์ของศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยโรเชสเตอร์อีกที เพราะเธอได้กล่าวต่อไปว่า ช่วงเวลาที่ทีมวิจัยที่ฮาร์วาร์ดเลือกตรวจเลือดนั้นอยู่ในช่วง 7 สัปดาห์แรกของการท้องซึ่งเป็นช่วงแห่งความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งต่อการแท้ง และที่สำคัญคือ คนอเมริกันนั้นราวร้อยละ 90 มีบีพีเออยู่ในเลือดเป็นปรกติวิสัยอยู่แล้ว (คงเพราะกินอาหารกระป๋องเป็นหลัก ตั้งแต่คนถึงหมาแมว) เรื่องราวที่ตอบโต้ไปมาเกี่ยวกับว่าบีพีเอปริมาณต่ำ ๆ นั้นทำอันตรายประชาชนหรือไม่นั้น ทาง อย. สหรัฐอเมริกกาก็ยังคงยืนหยัดว่า “บีพีเอที่ความเข้มข้นต่ำแบบที่คนอเมริกันกลืนลงท้องนั้นปลอดภัย” (คือหน่วยงานยังเอาอยู่) โดยอ้างรายงานชื่อ Toxicity evaluation of bisphenol A administered by gavage to Sprague-Dawley rats from gestation day 6 through postnatal day 90 ซึ่งศึกษาโดย ดร. Barry Delclos และคณะนักวิทยาศาสตร์ชาว อย. 12 คน ซึ่งตีพิมพ์ผลงานนี้ใน  Toxicological Sciences (ข่าวโดยละเอียดนั้นอ่านได้จาก www.environmentalhealthnews.org/ehs/news/2014/feb/bpa-low-doses) สำหรับในประเทศไทยนั้น ยังไม่เคยมีงานวิจัยการศึกษาปริมาณบีพีเอในเลือดพวกเราเลย จึงมีประเด็นว่า คนที่อยากท้องให้ตลอดรอดฝั่งนั้นควรทำอย่างไรในการลดความเสี่ยงต่อการสัมผัสบีพีเอ(แม้ผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการวิทยาศาสตร์อเมริกันจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีปัญหา ๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง) ดังนั้นคำตอบสำหรับผู้ที่อยากมีลูกสักคนมันก็จะแสนยากนั้น คือ ต้องรู้ว่า บีพีเอนั้นอยู่ที่ไหนบ้าง (แนะนำให้เข้าไปอ่านบทความของผู้เขียนเรื่อง บีพีเอแถมฟรี ในเว็บไซต์โลกสีเขียว www.greenworld.or.th คอลัมน์นักเขียนรับเชิญ) แล้วก็พยายามอย่าเอามันเข้าสู่ร่างกาย เพราะมันไม่ใช่สารจำเป็นต่อร่างกายแม้แต่นิดเดียว   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 131 ความเพ้อเจ้อในเดือนธันวา

  บทความในฉบับนี้ยังคงเป็นควันหลงจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตคนอายุต่ำกว่าเจ็ดสิบปี ดังนั้นจึงยังไม่มีข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตมาเล่าให้ฟัง เพราะผู้เขียนเพิ่งได้เข้าไปที่ทำงาน ยังไม่ค่อยมีเวลาหาข้อมูลที่เกี่ยวกับอาหารและโภชนาการทางเน็ตสักเท่าใด จึงเป็นข้อมูลจากความรู้สึกล้วน ๆ มีคนกล่าวว่า คนไทยรักโลก รักสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน ด้วยปาก คนที่ทำจะไม่พูด ส่วนคนที่พูดจะไม่ทำ (ยกเว้นเวลาสร้างภาพ) ซึ่งผู้เขียน ณ วันนี้แล้วคิดว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้น่าจะจริง เพราะเหตุน้ำท่วมใหญ่ปีนี้ นอกจากปัญหาการบริหารน้ำได้ไม่ดีแน่ๆ แล้ว การไหลลงของน้ำในลักษณะน้ำหลากอย่างรุนแรงก็เป็นการฟ้องที่ชัดเจนว่าเราขาดแคลนป่าไม้ ทั้งที่มีนโยบายปิดป่าไปตั้งนานแล้ว หรือว่าเป็นการปิดป่าแบบปิดประตูตีแมวก็ไม่รู้ ผู้เขียนลี้ภัยไปท่องเที่ยวที่หัวหินเสียหนึ่งเดือน รู้สึกประหลาดใจในความแล้งของภูเขาในส่วนอำเภอหัวหินเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างขับรถไปดูโน่นดูนี่ ก็เห็นการทำไร่ต่างๆ เต็มไปหมด แม้เนินเขาที่ไม่น่าออกโฉนดได้ก็ยังมีไร่สับปะรด ไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง ที่ประทับใจคือ สับปะรดพันธุ์ฉีกตา ซึ่งแปลกดีเพราะสามารถกินโดยไม่ต้องปอก แต่ความอร่อยก็งั้น ๆ ที่น่ากังวลคือ เศษดินที่อยู่ตรงตาที่ฉีกว่าจะเป็นสาเหตุของท้องร่วงหรือไม่ เรื่องการออกโฉนดได้ในที่ที่ไม่ควรออกได้นั้น ปรากฏการณ์น้ำท่วมคราวนี้เห็นได้ชัดมากกับการพบคลองตันในเขตบางขุนเทียน ซึ่งทำให้ผู้เขียนประหลาดใจในหน่วยราชการที่ออกโฉนดแก่ผู้ขอโดยไม่ลืมหูลืมตา และคนกรุงเทพมหานครก็ควรตั้งตาดูว่า หลังน้ำท่วมแล้วจะมีการเช็คบิลกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ หรือจะปล่อยให้ยายนวลถูกลอยอีก (ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล) ตามระเบียบ หลายครั้งที่ไปเที่ยวตามต่างจังหวัด เวลาไปพักตามรีสอร์ทที่มีสภาพป่าเขา ผู้เขียนมักรู้สึกสงสัยว่า การที่เรามาพักในที่แบบนี้เป็นการสนับสนุนการกระทำผิดในเรื่องการรุกป่าหรือไม่ แต่เรื่องแบบนี้คงพูดไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องไม่เห็นใครสนใจกัน เพราะต่างคนต่างก็รักป่าจนน้ำลายไหล เมื่อเราพูดถึงการประหยัดพลังงาน วันหนึ่งได้ไปกินข้าว (แบบจำใจ) ที่ร้านอาหารในสยามสแควร์ซึ่งราคานั้นเป็นสี่เท่าของร้านที่กินประจำที่สถาบันโภชนาการ เรื่องของราคานั้นไม่เท่าไร แต่ที่รู้สึกว่าคนไทยรักษ์พลังงานแต่ปากก็คือ เมื่อสั่งน้ำแข็งใส่น้ำชา สาวเสิร์ฟก็เอาน้ำชาร้อนๆ ควันพุ่งเทลงในแก้วน้ำแข็ง ซึ่งถ้ามองในแง่การประหยัดพลังงานแล้วมันเป็นความเลวร้ายมากที่เอาน้ำร้อนราดบนน้ำแข็ง มองในแง่ที่ดีคือ คนเสิร์ฟคงเข้าใจว่าได้ทำการฆ่าเชื้อโรคในน้ำแข็งด้วยการลวกน้ำร้อน การขึ้นลิฟต์ในสถานที่ทำงานเพียงสองสามชั้นทั้งที่มีการติดป้ายว่า ลิฟต์สำหรับขนของหนักและผู้พิการ ก็เป็นตัวอย่างการประหยัดพลังงานด้วยปาก ยิ่งถ้าเป็นสถานบริการต่างๆ แล้ว การขึ้นลิฟต์เพียงชั้นเดียวนั้น เป็นการเอาให้คุ้มกับเงินที่จ่ายไปกับบริการของสถานที่ ขณะที่เขียนบทความนี้ผู้เขียนยังต้องลี้ภัยน้ำท่วมมานอนที่คอนโดของพี่ภรรยา บนถนนราชดำริ ดังนั้นคงไม่ต้องประหลาดใจที่ต้องเล่าให้ฟังว่า ได้เห็นความหรูหรา ฟุ่มเฟือยของการใช้พลังงานไฟฟ้าของคนไทยที่ทำตัวเลียนแบบชาติที่ไม่ยอมลงนามในคำประกาศลดภาวะโลกร้อนที่เรียกว่า พิธีสารโตเกียว ตัวอย่างเช่น ตึกข้าง ๆ ที่ผู้เขียนอาศัยอยู่มีลักษณะเป็นกึ่งโรงแรมกึ่งคอนโด (ซึ่งชั้นหนึ่งมีสองหน่วยราคาซื้อต่อปัจจุบันคือ หน่วยละแปดสิบเจ็ดล้านบาท) เวลาตอนกลางคืนผู้เขียนมองออกนอกหน้าต่างก็เห็นหลายห้องเปิดไฟทั้งไม่มีคนอยู่จนเช้า บางห้องก็เปิดโทรทัศน์ตลอดเวลา อาจเปิดเป็นเพื่อนเพราะอยู่คนเดียวเลยกลัวผี ดังนั้นถ้าคนซึ่งอยู่ในป่าเขา สายไฟฟ้ายังลากไปไม่ถึงมาเห็นพฤติกรรมการใช้ไฟของคนมีสตางค์ บ้านเมืองนี้คงร่มเย็นยาก คนไทยเป็นคนฉวยโอกาสและขาดระเบียบเป็นที่สุด ยิ่งพอน้ำหลากมาจะท่วมกรุง คนไทยก็แสดงธาตุแท้ของการ เอาไว้ก่อนพ่อแม่มันสอนไว้ เช่น การกวาดซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคนเดียวหลายๆ กล่อง ไม่แบ่งปันให้คนข้างหลัง ย้อนกลับไปสมัยเราขาดแคลนน้ำมันปาล์ม ผู้เขียนไปซื้ออาหารที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่ปิดป้ายประกาศว่า ครอบครัวหนึ่งซื้อน้ำมันปาล์มได้หกขวด สิ่งที่เห็นกับตาคือ การกวาดน้ำมันปาล์มลงจากชั้นสู่รถเข็นมากที่สุดเท่าที่ทำได้แล้วก็ให้เหล่าบริวารของอาเจ้ (ทั้งไทยและจีน) เอารถเข็นเข้ามารับไปที่ละหกขวดเพื่อไปจ่ายเงิน ซึ่งเป็นการเวียนเทียนนอกเทศกาลทางพุทธศาสนา โดยพนักงานของห้างสรรพสินค้านั้นได้แต่มอง พอถามว่า ทำไมไม่ห้าม พนักงานของห้างก็กล่าวว่าไม่กล้ากลัวโดนมธุรสวาจา ภาษาดอกไม้ทองของอาเจ้ทั้งหลาย ดังนั้นอย่างที่รู้ๆ กันว่า ถ้าประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าปรมาณูแบบที่หลายๆ คนต้องการให้มี โดยอ้างว่า เวียดนามก็ทำสัญญาแล้ว เขมรก็วางแผนแล้ว ไทยก็คงต้องมีบ้าง โดยไม่ดูตัวเองว่า คนไทยที่มีคุณภาพคือ มีจิตใจดีมีวัฒนธรรมความเป็นคนสูงนั้น ค่อนข้างน้อยมาก แล้วถ้าเกิดอุบัติเหตุแบบที่เกิดกับเมืองฟูกูชิมะของญี่ปุ่นแล้ว การอพยพ หนีภัย แจกสิ่งของคงดูไม่จืดแน่ ย้อนกลับมาที่น้ำท่วมบ้านเราอีกที ผู้เขียนอ่านข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์และในเน็ตพบว่า ยังไม่เห็นมีใครเขียนถึงเรื่องดังกล่าวคือ ความเรื่องมากของผู้ลี้ภัย โดยเฉพาะพวกที่ไปลี้ภัยในมหาวิทยาลัยต่างๆ สิ่งได้ฟังมาคือ มีการเสนอความต้องการว่า ทำไมอาหารน้อย ทำไมอาหารไม่อร่อย ทำไมไม่เปิดแอร์ (บางมหาวิทยาลัยใช้บริเวณส่วนกลางของหอพัก ซึ่งไม่มีเครื่องปรับอากาศ เพราะให้เข้าไปอยู่ในห้องพักนักศึกษาไม่ได้เนื่องจากยังมีของใช้ส่วนตัวของนักศึกษาอยู่) โดยที่ผู้อพยพไม่ได้มองว่า ค่าใช้จ่ายในเรื่องดังกล่าวนั้นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดเป็นเงิน ซึ่งอาจเป็นเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ไม่ใช่งบประมาณแผ่นดิน ประเด็นปัญหาดังกล่าวนี้น่าจะแสดงให้เห็นว่า คนไทยขาดการชี้นำและอบรมให้รู้จักรับภัยธรรมชาติ เพราะเราคิดกันว่า ประเทศไทยไม่ควรมีภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงดอก อย่างสึนามิที่มีมาก็คงอีกร้อยปีกระมังถึงจะเกิดอีก ที่มีการซ้อมก็เริ่มซาๆ ไป สักวันหนึ่งหอเตือนภัยก็คงเหมือนเสาโด่ธรรมดาที่เตือนภัยไม่ได้ เพราะขาดการบำรุงรักษาเยาวชนไทยเราขาดการศึกษาในสิ่งที่ควรมีประจำตัวหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่ความซาบซึ้งในความรู้เรื่องการกินอาหารให้ถูกหลักการทางโภชนาการ ความรู้ในวิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรมที่ถูกชำแหละให้ไปอยู่ในวิชาประหลาดๆ ที่ดูดีแต่เลว เพราะสอนแล้วก็ทำกันไม่ได้ ซึ่งผิดกับข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตของรัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาที่มักสอนทุกเรื่อง ตั้งแต่อาหารโภชนาการจนถึงแผ่นดินไหว และการโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูว่า เด็กควรทำตัวอย่างไร ในวันหนึ่งถ้าเกิดแผ่นดินไหวในกรุงเทพเกินหกริกเตอร์ อะไรจะเกิดขึ้น ผู้เขียนนึกภาพไม่ออกว่าผู้เขียนจะทำตัวอย่างไร เพราะไม่เคยเรียนรู้หรือฝึกปฏิบัติ แม้แต่การหนีไฟที่อาจเกิดที่ทำงาน ผู้เขียนจำได้ว่าไม่เคยซ้อม ซึ่งว่าไปก็ดูเป็นความประมาท เพราะเมื่อถามตัวเองว่า ถ้าเกิดปัญหาสาธารณภัยขึ้นมา เราจะคว้าอะไรออกไปกับตัวเมื่อเกิดภัยพิบัติย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะออกวิ่งแต่ตัวเปล่าโดยไม่เอาบัตรประจำตัวประชาชนไว้แสดงกับเจ้าหน้าที่ราชการ ซึ่งมักไม่สามารถจะตรวจสอบว่า คนที่ประสบภัยคือใคร ทั้งที่เวลาทำบัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดนั้น มีทั้งรูปถ่ายปัจจุบันและลายนิ้วมือตั้งหลายนิ้ว แค่ใส่ชื่อในคณิตกรณ์หรือคอมพิวเตอร์นั้น ถ้าระบบดีจริงก็ควรตรวจหาได้ว่า ใครเป็นใคร อาจต้องรอให้มีการพิมพ์ลายนิ้วอย่างอื่นเพิ่มกระมัง ถึงจะสามารถพิสูจน์สถานภาพของผู้เคราะห์ร้ายจากการสืบค้นด้วยคณิตกรณ์ นอกจากบัตรประจำตัวซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการแสดงตัวตนแล้ว ถ้ามีการเตรียมพร้อมให้ดีก็ควรมีอาหารแห้งที่ไม่ใช่ บะหมี่อาม่า เพราะหลายคนอาจจดจำความขมขื่นในการกิน อาม่า ไปจนวันตาย ผู้เขียนมีความรู้สึกว่า มหาวิทยาลัยในเมืองไทยขาดการทำวิจัยถึงการผลิตอาหารในยามวิกฤตที่มนุษย์สามารถกินได้แบบที่ยังคงความเป็นมนุษย์ไว้ เช่น อาจมีข้าวหลามไส้หมูสับพร้อมผักในภาชนะพลาสติกปลอดเชื้อ ซึ่งไม่ต้องใช้ความร้อนก่อนบริโภค เหตุที่ควรเป็นข้าวหลามก็เพราะมันอร่อยกว่าข้าวสวย และไขมันของกะทิก็ยังช่วยถนอมอาหารได้พอควร ผู้เขียนเคยให้สัมภาษณ์ทางวิทยุในเรื่องประเด็นอาหารในช่วงวิกฤตน้ำท่วมว่า ควรเป็นอย่างไร (โดยไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องมีประสบการณ์ เนื่องจากคิดว่ารัฐบาล เอาอยู่) ซึ่งในหลักการแล้ว อาหารที่ดีควรจะบูดเสียยาก เช่น ข้าวผัด ทั้งนี้เพราะน้ำมันที่เคลือบเมล็ดข้าวช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ดี ผู้เขียนจำได้ว่า ครั้งหนึ่งที่ พลตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แล้วเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ประเทศญี่ปุ่น ทางกรุงเทพมหานครได้ส่งข้าวหลามไปช่วยชาวญี่ปุ่น ซึ่งคนญี่ปุ่นก็ยังประทับใจไม่ลืมการจัดของยังชีพที่มีแต่ อาม่า และอะไร ๆ ที่มีแค่ยังชีพได้นั้น เป็นการช่วยที่คนได้รับคงลืมไม่ลงในความยากลำบาก ณ วันนี้น้ำลดเกือบหมด (บ้านผู้เขียนที่ถนนศาลาธรรมสพน์ ยังมีน้ำขังอยู่นิดหน่อยและยังขึ้นลงตามปริมาณน้ำในคลองหลังหมู่บ้าน) ถามว่า อนาคตจะเป็นอย่างนี้อีกหรือไม่ ร้อยทั้งร้อย ทุกคนตอบแบบมั่นใจว่า ปีหน้ามีแน่และอาจจัดหนักกว่าปีนี้ ตราบใดที่การบริหารน้ำของประเทศยังเป็นระบบแบบที่เป็นอยู่ ดังนั้นเราควรเตรียมตัวอย่างไรกับอาหารที่จะกักตุนเวลาน้ำท่วม หลายท่านอาจเคยดูรายการทีวีที่ออกมาแนะนำเรื่องการเตรียมอาหารเพื่อสู้น้ำท่วมต่างๆ นานา ซึ่งไม่มีอะไรผิดเลย ถ้าท่านจะปักหลักอยู่กับน้ำอย่างมีความสุข แต่ผู้เขียนได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งมีคุณพ่อที่เกษียณจากกรมชลประทานเล่าให้ฟังว่า คุณพ่อสอนว่าชาวไทยชนบทนั้นไม่เคยคิดจะสู้กับน้ำท่วมเลย เพราะประเทศเราต้องมีการท่วมเป็นประจำ ดังนั้นต้องรับน้ำเข้าบ้านแล้วส่งต่อให้ไปไกลๆ เลย การต่อสู้ไม่ว่าด้วยถุงใหญ่หรือถุงเล็กนั้น อย่างไรก็แพ้ ดังนั้นถ้าเป็นแบบนี้ ก็คงต้องใช้หลักการที่มีคนกล่าวในยูทูปว่า น้ำท่วมให้แจว ไปหาที่อยู่ที่อื่น เหมือนที่มีนักวิชาการของศูนย์ที่ผู้เขียนไม่ต้องการจะเอ่ยนามแนะนำในตอนแรกของการเกิดน้ำท่วมคราวนี้ว่า ให้ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะท่องเที่ยวไทยเป็นการพักร้อนที่ได้เงินเดือนฟรีสำหรับข้าราชการหรือพนักงานมหาวิทยาลัยอย่างผู้เขียน สรุปท้ายบทความนี้คงต้องกล่าวว่า ช่วงเวลาหนึ่งเดือนกว่านั้น เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตไร้ความหมายเกือบที่สุดของชีวิต ข้อดีที่เกิดขึ้นคือ การทบทวนว่าเราโชคดีหรือโชคร้ายที่มีโอกาสได้อยู่กันแบบครอบครัวทั้งวันทั้งคืน เมื่อต้องอพยพไปอยู่ในต่างถิ่น ผู้เขียนยังโชคดีกว่าที่ไม่ต้องเข้าศูนย์พักพิง ซึ่งหลายท่านต้องเข้า ดังนั้นความดีความชอบที่เกิดในช่วงอุทกภัยนี้ควรจะยกให้ใคร เกือบทุกท่านคงตอบได้นะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 117 เหล็กในคนท้อง

ผู้ที่เรียนรู้ในด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพส่วนใหญ่คงเข้าใจในความสำคัญของธาตุเหล็กในอาหาร ไม่มากก็น้อย และส่วนใหญ่ก็ทราบว่า สตรีที่ตั้งท้องนั้นมักได้รับการเสริมธาตุเหล็กในรูปยาเม็ดเหล็ก ซึ่งมีองค์ประกอบเป็นสารเคมีคือ Ferrous sulfate โดยอาจมีวิตามินซีผสมเพื่อช่วยการดูดซึมให้ดีขึ้น  ในเว็บไซต์หนึ่งที่เข้าไปพบโดยอาศัย Google ได้อธิบายเกี่ยวกับการเสริมธาตุเหล็กในผู้ตั้งท้องว่า ปกติในการฝากท้องที่โรงพยาบาลใหญ่หน่อย แพทย์จะตรวจเลือดเพื่อเช็คสุขภาพผู้ตั้งท้อง และจะเป็นผู้ให้ธาตุเหล็กเสริมเพื่อให้เพียงพอในแต่ละวัน นอกจากนี้แพทย์มักแนะนำให้ผู้ตั้งท้องกินอาหารที่มีธาตุเหล็กด้วย  โดยเฉลี่ยแล้วผู้ตั้งท้องต้องการธาตุเหล็กประมาณ 1,000 มิลลิกรัม โดยแบ่งเป็นของทารกและรกประมาณ 300 มิลลิกรัม และ 500 มิลลิกรัม สำหรับผู้ตั้งท้อง นอกจากนี้ยังรวมธาตุเหล็กที่ถูกขับออกจากร่างกายประมาณ 200 มิลลิกรัม รวมๆ แล้ว ผู้ตั้งท้องจึงต้องการธาตุเหล็กประมาณ 1,000 มิลลิกรัมตลอดการตั้งท้อง ซึ่งหากแบ่งเฉลี่ยปริมาณธาตุเหล็กที่ผู้ตั้งท้องต้องการในแต่ละวันก็ประมาณ 6 มิลลิกรัม  ในขณะที่อีกเว็บไซต์หนึ่งได้ให้ข้อแนะนำในการปฏิบัติตนเมื่อท้องว่า ในระยะแรกของการตั้งท้องผู้ตั้งท้องจะปรับตัวได้จากการไม่มีประจำเดือน ดังนั้นจึงยังไม่จำเป็นต้องมีการเสริมแร่ธาตุเหล็ก ยกเว้นกรณีแม่มีภาวะโลหิตจางมาก่อน แพทย์จะแนะนำให้เสริมธาตุเหล็กในรูปยาเม็ด อาหารที่มีแร่ธาตุเหล็กสูง ได้แก่ เลือด ตับ เนื้อสัตว์ ผักใบเขียว เหล็กจากผักร่างกายดูดซึมไม่ดียกเว้นจะมีตัวช่วยส่งเสริมการดูดซึม เช่น วิตามินซี และโปรตีนจากสัตว์ จากนั้นในช่วงไตรมาสที่ 2-3 แพทย์จะแนะนำให้เสริมยาเม็ดเหล็ก 1 เม็ดต่อวัน เพราะได้จากอาหารอย่างเดียวไม่พอ นอกจากนี้ยังมีข่าวที่รายงานในเว็บไซต์ www.voicetv.co.th ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวระหว่างการลงพื้นที่ อ.เกาะยาว จ.พังงา ว่า ได้เตรียมแจกยาบำรุงท้องที่มีส่วน ผสมของไอโอดีน โฟเลทและเหล็กให้กับหญิงตั้งท้องจนถึงคลอด เพื่อให้เด็กที่คลอดออกมามีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ส่วนกรมอนามัย (ในเว็บไซต์ www.ranthong.com) ได้แนะนำว่า การรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กควบคู่กับการรับประทานวิตามินซี เพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุเหล็ก หากอยู่ในภาวะที่เสี่ยงต่อการขาดธาตุเหล็ก เช่น เด็ก วัยรุ่น สตรีมีประจำเดือน ควรเสริมยาเม็ดธาตุเหล็กสัปดาห์ละ 1 เม็ด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสมอง เรียนรู้ดีขึ้น ลดการเจ็บป่วย ทำงานได้ผลผลิตมาก เพิ่มคุณภาพชีวิต อย่างไรก็ดีมีเรื่องน่าสนใจในเว็บ www.xn--q3c1ar6i.com ได้กล่าวถึงปัญหาการกินยาเม็ดเหล็กโดยไม่เจตนาของเด็กว่า ในประเทศสหรัฐอเมริกาว่า มีรายงานระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2535 ถึงเดือนมกราคม 2536 มีเด็ก 5 รายที่มีอายุระหว่าง 11-18 เดือน ในมลรัฐลอสแองเจลิสต้องเสียชีวิตหลังจากได้รับธาตุเหล็กในยาบำรุงเกินขนาด นอกจากนี้ยังมีรายงานหนึ่งที่ศึกษาย้อนหลังไป 7 ปีครึ่ง พบมีเด็กจำนวนมากถึง 80 คนที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเนื่องจากได้รับธาตุเหล็กเกินขนาด และจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งเกิดอาการพิษที่รุนแรง พบว่าเด็กส่วนใหญ่ได้รับธาตุเหล็กจากยาบำรุงของแม่หรือของญาติขณะที่เธอเหล่านั้นตั้งท้องนั่นเอง โดยเป็นยาที่วางอยู่ภายในบ้านและมักอยู่ในภาชนะพลาสติกที่เปิดได้อย่างง่ายดาย สรุปแล้วจะเห็นว่าการให้ยาเม็ดเหล็กแก่สตรีที่ตั้งท้องนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ซึ่งจะพิจารณาจากระดับของความเข้มข้นของเหล็กในร่างกาย โดยดูจากค่าฮีมาโตคริทคือ ค่าปริมาตรเม็ดเลือดแดงอัดแน่น เพื่อบอกว่าเลือดมีความเข้มข้นเพียงพอหรือไม่ เพราะถ้ามีน้อยจะบ่งบอกว่า เลือดจางเกินไป และที่สำคัญคือ ยาเม็ดเหล็กนั้นไม่ใช่ของที่จะกินพร่ำเพรื่อได้ เพราะมีอันตรายพอสมควร ผู้เขียนขอยกงานวิจัยที่มีการตีพิมพ์และเผยแพร่แล้วว่า การเสริมธาตุเหล็กนั้นควรระวังในเรื่องใด ผู้เขียนเคยตั้งคำถามอยู่ในใจนานแล้วเหมือนกันว่า ในท้องถิ่นกันดารนั้น เวลาสตรีที่ตั้งท้องไปหาแพทย์ที่หน่วยอนามัยชุมชนที่เล็กที่สุดในระบบการแพทย์ของบ้านเรา สตรีนางนั้นจะได้รับแนะนำให้ปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องการได้รับเหล็กเพื่อเสริมในระหว่างตั้งท้อง ทั้งนี้เพราะมีบทความทบทวนเอกสารของ Peter Reizenstein เรื่อง Iron, Free Radicals and Cancer ในวารสารชื่อ Medical Oncology and Tumor Pharmacotherapy ชุดที่ 8. เล่มที่ 4 หน้า 229-233 ตีพิมพ์เมื่อปี 1991 กล่าวถึงปัญหาของการที่เหล็กมีส่วนร่วมในการเกิดมะเร็งได้ ก่อนอื่นคงต้องอธิบายพื้นฐานเล็กน้อยว่า มะเร็งนั้นเกิดได้จากสาเหตุมากมาย และไม่มีสาเหตุอะไรที่ถูกฟันธงว่า ใช่เลย เพราะนักวิทยาศาสตร์และแพทย์หลายท่านร่วมกันลงความเห็นว่า มันคงมีการร่วมกันของหลายสาเหตุที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ในประเด็นของเหล็กนั้น ทุกคนยอมรับกันว่า เหล็กซึ่งเป็นโลหะที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับในปริมาณที่พอเพียงเพื่อช่วยให้ร่างกายดำรงชีวิตได้ โดยเป็นองค์ประกอบของเม็ดเลือดที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย และยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของเอนไซม์อีกหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย ปกติแล้วเมื่อเหล็กเข้าสู่ร่างกาย จะมีการเปลี่ยนพอควรที่จะให้เหล็กนั้นอยู่ในรูปที่ซับซ้อน เช่นการเกาะติดไปกับโปรตีนเฉพาะเพื่อทำงานที่เหมาะสม เหล็กไม่ควรอยู่เป็นอิสระลอยไปลอยมา เพราะมิเช่นแล้วอาจเกิดปัญหาเกี่ยวการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกสันนิษฐานว่าก่อมะเร็งด้วย เหล็กนั้นเป็นธาตุที่มีวาเล็นซี 2 และ 3 ตามที่เราเรียนมาในวิชาเคมี ตั้งแต่อยู่มัธยมต้นแล้ว วาเล็นซีนี้เปลี่ยนไปมาได้ตามความเหมาะสม โดยถ้ามีสาร (เช่น เบต้าแคโรตีน) ที่สามารถให้อิเล็คตรอนกับเหล็กวาเล็นซี 3 (Fe3+) ได้ มันจะกลายเป็นเหล็กวาเล็นซี 2 (Fe 2+) ซึ่งปรากฏว่า เหล็กวาเล็นซี 2 นี้สามารถกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระชนิด hydroxyl free radical (OH•) โดยเริ่มต้นมาจากไฮโดรเจนเปอรอกไซด์ (ที่เซลล์ร่างกายผลิตระหว่างการทำงาน) ทำปฏิกิริยากับเหล็ก ตามปฏิกิริยาของ Fenton (ซึ่งหารายละเอียดได้ใน www.wikipedia.org) ดังนี้ Fe2+ + H2O2 → Fe3+ + OH• + OH− ที่สำคัญคือ ในทางชีววิทยาระดับโมเลกุลแล้ว อนุมูลอิสระชนิด hydroxyl free radical นี้สามารถก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของหน่วยพันธุกรรมได้ และถ้าการกลายพันธุ์นั้นเกิดที่ตำแหน่งเหมาะสม อาจก่อมะเร็งได้โดยไม่จำกัดอวัยวะ ดังนั้น Peter Reizenstein จึงได้ตั้งประเด็นขึ้นมาในทำนองว่า มันคงไม่จำเป็นต้องมานั่งพิสูจน์แล้วว่าเหล็กเป็นสารก่อมะเร็งหรือไม่ แต่มันสำคัญที่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าการเสริมเหล็กทั้งที่ไม่จำเป็นหรือหลีกเลี่ยงได้นั้นไม่อันตรายจริงหรือ และน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะหาความจริงว่า การเสริมเหล็กในอาหารนั้นจำเป็นหรือไม่ หรือจะให้ดีควรให้มีการผลิตแป้งข้าวสาลีที่ไม่เสริมอะไรให้ผู้บริโภคบ้าง ที่สำคัญคือ การจ่ายยาเม็ดเหล็กให้คนไข้ที่ไม่ได้ขาดเหล็กนั้นต้องไม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับของ Danish National Board of Health ซึ่งประสงค์จะคุ้มครองเด็ก สตรีและผู้บริจาคเลือด ในฐานะที่ผู้เขียนไม่ใคร่มีความรู้เกี่ยวกับเหล็กในเรื่องโภชนาการคลินิกเท่าใดนัก จึงนำเสนอเรื่องนี้ให้เป็นแนวคิดว่า ในเมืองใหญ่ซึ่งมีแพทย์ที่มีความรู้สูง การเสริมเหล็กแก่สตรีที่เริ่มตั้งท้องนั้น คงได้มีการตรวจสอบแล้วว่าจำเป็น โดยดูจากความเข้มข้นของเม็ดเลือดเป็นหลัก แต่สำหรับสตรีที่ตั้งท้องและไม่ได้ฝากท้องเป็นเรื่องเป็นราว หากเคยได้ข้อมูลว่าหญิงตั้งท้องควรกินยาเม็ดเหล็ก (โดยไม่ทราบเหตุผลทางวิชาการ) หรืออยู่ในชนบทที่ระบบการแพทย์ไม่สมบูรณ์ การเสริมยาเม็ดเหล็กนั้น ได้ทำอย่างรอบคอบแล้วหรือไม่ เพราะปัญหาที่เกิดในกรณีเหล็กส่งเสริมสภาวะการเกิดมะเร็งนี้กินเวลานานกว่าจะเห็นผล ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นการฟ้องร้องก็ทำไม่ได้และก็ไม่รู้จะฟ้องไปทำไมเนื่องจากหลักฐานถูกขับถ่ายออกจากร่างกายจนไม่มีเหลือแล้ว  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่126 เกษตรอินทรีย์ท้องถิ่นที่พะงัน: เมื่อชุมชนรับรองกันเอง

  ระบบการตรวจสอบรับรอง มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่ดำเนินการโดยหน่วยงานอิสระจากภายนอกนั้นไม่ได้เหมาะกับเกษตร อินทรีย์ที่ต้องการขายผลผลิตในท้องถิ่น โดยเฉพาะระบบการตรวจสอบรับรองปกติทั่วไปมักจะเป็นการ "จับผิด" เกษตรกร มากกว่าเป็นการสร้างความเข้มแข็ง   เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็เป็นเกษตรอินทรีย์กันไปหมด หันไปทางไหนก็มีสินค้าออร์แกนิค ที่อ้างว่า ผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์  บางคนอาจมีการขอรับรองมาตรฐานเฉพาะของบ้านเรา และบางคนก็หลายมาตรฐานทั้งยุโรป อเมริกาและสากล ดูลายตาไปทีเดียว  ที่จริงแล้ว การรับรองมาตรฐานหรือไม่นั้น ไม่ใช่สิ่งบ่งบอกความเป็นเกษตรอินทรีย์ได้ทั้งหมด  มีเกษตรกรหลายคน ฟาร์มหลายแห่ง ที่ทำเกษตรโดยยึดหลักการเกษตรอินทรีย์จริงๆ (ตามหลักการของสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ ที่ประกอบด้วยหลักการ 4 ด้าน คือ สุขภาพ นิเวศ เป็นธรรม และดูแลเอาใจใส่) โดยไม่ได้ขอรับรองมาตรฐาน  แต่ก็มีหลายฟาร์มที่ได้รับการรับรองมาตรฐานโดยไม่ค่อยจะเป็นไปตามหลักการที่ว่านี้เท่าไหร่ โดยเฉพาะปัจจุบัน การรับรองมาตรฐานเป็นธุรกิจที่หน่วยตรวจรับรองมาตรฐานหลายแห่งให้บริการตรวจรับรองฟาร์ม โดยไม่ได้ใส่ใจถึงคุณภาพและหลักการเกษตรอินทรีย์กันเท่าไหร่นัก  แต่การรับรองมาตรฐานก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ผลิต ผู้ประกอบการเกษตรอินทรีย์ที่ต้องการจำหน่ายผลผลิตไปให้กับผู้บริโภคที่อยู่ห่างไกลออกไป ซึ่งผู้บริโภคไม่สามารถทราบและมีความมั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคนั้น มาจากระบบเกษตรอินทรีย์จริงมากน้อยแค่ไหน  แต่สำหรับเกษตรกรผู้ผลิตที่ขายผลผลิตในท้องถิ่นหรือขายโดยตรงให้กับผู้บริโภค การตรวจสอบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อาจไม่จำเป็นเท่าไรนัก  เมื่อกลางปีที่ผ่านมา(16 สิงหาคม 2553) องค์กรและหน่วยงานท้องถิ่นเกาะพะงัน ได้ประกาศเจตนารมณ์ในการพัฒนาเกาะพะงัน ให้เป็นเกาะแห่งเกษตรอินทรีย์ โดยมีท่านรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางพิมพาพรรณ ชาญศิลป์ เป็นประธานในการจัดงานดังกล่าว และต่อมาทางกระทรวงพาณิชย์ได้ ริเริ่มโครงการ "เกาะพะงัน เกาะเกษตรอินทรีย์" ขึ้น โดยมอบหมายให้มูลนิธิสายใยแผ่นดินเป็นที่ปรึกษาร่วมกันกับสมาคมการค้าเกษตรอินทรีย์ไทย เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกร ร้านอาหาร โรงแรม โรงเรียน และหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นบนเกาะพะงันร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาเกาะพะงันเกษตรอินทรีย์ โดยจะมีการสนับสนุนให้เกษตรกรบนเกาะพะงันผลิตอาหารออร์แกนิค ส่งขายให้กับร้านอาหาร โรงแรม และใช้เป็นอาหารกลางวันให้กับเด็กนักเรียนในโรงเรียน ส่วนเศษอาหาร อาหารที่เป็นขยะอินทรีย์จะถูกจัดแยก แล้วนำมาผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ราคาถูกเพื่อให้เกษตรกรได้ใช้ เป็นการแก้ปัญหาขยะเศษอาหารและปัญหาการขาดแคลนปุ๋ยอินทรีย์ไปพร้อมกัน  นอกจากนี้ จะมีการสนับสนุนให้โรงแรมเปลี่ยนจากการใช้สารเคมีกำจัดแมลง ที่ใช้ในห้องพักและสวนไม้ประดับรอบโรงแรม มาเป็นสารกำจัดแมลงจากธรรมชาติ ที่ไม่เป็นพิษภัยต่อมนุษย์และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วย  หลายคนอาจเห็นว่า การพัฒนาเกาะพะงันเกษตรอินทรีย์นี้น่าจะต้องใช้ระบบการตรวจสอบรับรองมาตรฐาน ที่มีการทำอยู่แล้วในต่างประเทศมาใช้ เพื่อให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะนักท่องเที่ยว(ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ) มีความมั่นใจในสินค้าและบริการเกษตรอินทรีย์ที่ผลิตขึ้นบนเกาะพะงัน โดยให้หน่วยงานอิสระจากภายนอกเป็นผู้เข้ามาตรวจสอบรับรองมาตรฐาน แต่ที่จริงแล้วเกาะพะงันมีทางเลือกอย่างอื่นอยู่อีก  จากการศึกษาข้อมูลโดยมูลนิธิสายใยแผ่นดินพบว่า  มีระบบการตรวจสอบรับรองเกษตรอินทรีย์ที่น่าจะเหมาะสมกับเกาะพะงันมากกว่าการตรวจสอบจากภายนอก คือระบบที่สมาชิกกลุ่มผู้ผลิต/ชุมชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบกันเอง ซึ่งเรียกว่า Participatory Guarantee System หรือถ้าจะเรียกแบบไทยๆ ก็คือ "ชุมชนรับรอง" โดย ระบบ "ชุมชนรับรอง" นี้เป็นการริเริ่มของสมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า IFOAM (International Federation of Organic Agriculture Movements) กับหน่วยงานระหว่างประเทศและองค์กรท้องถิ่นอีกหลายแห่ง ซึ่งเห็นร่วมว่า ระบบการตรวจสอบรับรอง มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ที่ดำเนินการโดยหน่วยงานอิสระจากภายนอกนั้นไม่ได้เหมาะกับเกษตร อินทรีย์ที่ต้องการขายผลผลิตในท้องถิ่น โดยเฉพาะระบบการตรวจสอบรับรองปกติทั่วไปมักจะเป็นการ "จับผิด" เกษตรกร มากกว่าเป็นการสร้างความเข้มแข็ง อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงด้วย ในระบบชุมชนรับรองนี้ เกษตรกรจะเป็นผู้รับรองกันเองในกลุ่มละแวกเดียวกัน(ถ้าเป็นภาษาวิชาการสมัยใหม่ก็ต้องเรียกว่า คลัสเตอร์เกษตรกรอินทรีย์) โดยสมาชิกกลุ่ม ซึ่งอาจมีประมาณ 5 - 7 คน จะหมุนเวียนไปตามฟาร์มของเพื่อนสมาชิก ไปเยี่ยมเยือนและตรวจรับรองฟาร์มเกษตรอินทรีย์ไปพร้อมกันด้วย ซึ่งในหมู่สมาชิกเกษตรกรอาจแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้และให้ข้อแนะนำกันเองไปในตัว  เรียกว่าไปครั้งเดียวได้ประโยชน์หลายอย่าง ยิ่งกว่า "3 in 1" เสียอีก  และถ้าใครคิดว่าเกษตรกรจะโกงกันเองก็สามารถเข้ามาตรวจสอบระบบชุมชนรับรองนี้ได้  ไม่ว่าจะเป็นเข้าไปดูในเว็บไซต์ของกลุ่ม ซึ่งจะมีข้อมูลรายละเอียดของเกษตรกรสมาชิกทุกราย รวมทั้งผลการตรวจรับรองโดยชุมชนด้วย  และถ้ายังไม่เชื่อกันอีก ก็สามารถแวะเวียนไปดูฟาร์มของเกษตรกรด้วยตัวเองได้ ซึ่งอาจกลายเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ทำรายได้ให้กับเกษตรกรได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย  นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการพัฒนา “เกาะพะงัน เกษตรอินทรีย์” ที่ทางมูลนิธิสายใยแผ่นดินได้เริ่มดำเนินการร่วมกับหน่วยงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องบนเกาะพะงัน  ถ้าใครสนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ ที่ facebook/Organic Phangan หรือจะไปทดลองเป็นนักท่องเที่ยวเชิงเกษตร ไปดูฟาร์มเกษตรอินทรีย์ที่พะงันด้วยก็ได้ครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 116 เที่ยวไปกอดไป...ใครอยากกอดเมืองไทยบ้าง...ยกมือขึ้น!!!

กิจกรรม “การเดินทาง” ในสังคมไทย เกิดขึ้นมานานแล้ว สมัยโบราณบรรดาพ่อค้าวาณิชหรือนายฮ้อยในภาคอีสานอาจเดินทางไปด้วยเป้าหมายเพื่อการค้าขาย นักรบและกองทัพเดินทางไปด้วยเหตุผลเรื่องการเมืองและการทำสงคราม หรือแม้แต่พระสงฆ์ก็เดินทางจาริกแสวงบุญไปด้วยวัตถุประสงค์เพื่อพระศาสนา จากหลักฐานที่ปรากฏในนิราศของสุนทรภู่นั้น ก็ดูเหมือนว่า แม้แต่สามัญชนสมัยก่อนก็มีการเดินทางรอนแรมไป ณ ที่ต่างๆ มาช้านานแล้ว เป้าหมายก็อาจจะมีทั้งเพื่อความเพลิดเพลิน เพื่อแสวงหาความรู้ หรือเป็นเป้าหมายแบบที่บรมครูสุนทรภู่เดินทางไปเพื่อไหว้พระ ดังที่ท่านเขียนไว้ในนิราศหลายๆ เรื่อง แต่พอมาถึงยุคปัจจุบัน เมื่อการเดินทางกลายเป็นกิจกรรมขนาดใหญ่ หรือที่เรียกกันอย่างเก๋ไก๋ว่าเป็น “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” ซึ่งมีองค์กรของรัฐหรือแม้แต่การตั้งกระทรวงท่องเที่ยวเพื่อรองรับกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่นี้ ดูเหมือนว่า ความหมายและเป้าหมายของการท่องเที่ยวร่วมสมัยจะผิดแผกแตกต่างไปจากวัฒนธรรมการเดินทางที่มีมาแต่โบราณกาล อีกนัยหนึ่ง เป้าหมายหลักของการท่องเที่ยวคงไม่ใช่เพื่อการค้าพาณิชย์หรือการจาริกบุญตามนัยแห่งพระพุทธศาสนาอีกต่อไปแล้ว ทว่าเป็นการสร้างจินตกรรมชุดใหม่ให้กับการเดินทาง “ท่องเที่ยว” ของคนบางกลุ่ม ที่จะมีเหตุผลหรือแรงจูงใจบางชุดในการได้ไปเยือนดินแดนอะเมซิ่งต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร ในโฆษณาชวนเที่ยวทั่วไทยชิ้นล่าสุดที่ผลิตขึ้นโดยองค์กรท่องเที่ยวแห่งรัฐนั้น ก็ดูเหมือนจะให้คำตอบเอาไว้ชัดเจนว่า ทุกวันนี้กิจกรรมการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมบริการที่เติบโตควบคู่มากับการขยายตัวของบรรดากลุ่มคนที่เรียกตนเองว่าเป็นพวกคนชั้นกลางของไทย และคนชั้นกลางเหล่านี้ก็ได้ผลิตความคิดบางอย่างว่า พวกเขาอาจไม่เพียงแค่อยากไปสัมผัสดินแดนที่มหัศจรรย์ของเมืองไทยเท่านั้น แต่ยังอยากจะเก็บอยากจะกอดเมืองไทยเอาไว้ให้อยู่ใต้อ้อมแขนน้อยๆ ของตนเองอีกด้วย “กอดฟ้า กอดน้ำ กอดภูเขา กอดต้นหญ้า…แล้วให้ต้นไม้กอดกอดเรือเล็ก กอดเรือใหญ่ กอดโกงกาง...แล้วนอนกางให้กอดกอดหินยักษ์ กอดหินเรดาห์ กอดถ้วยฟีฟ่า...หือ!!!กอดน้อยหน่า มังคุด เงาะ กอดทุเรียน...ระวังหนามกอดลิง ให้ลิงกอด กอดฮิปโป กอดปลา...แล้วให้ปลากอดกอดกองฟาง กอดหุ่นไล่กา กอดดอกไม้ กอดผีเสื้อ...สมุทรลงไปกอดทะเลใส ขึ้นไปกอดทะเลหมอก ออกไปกอดเมืองไทย...ให้หายเหนื่อย” นั่นคือข้อความที่เสียงผู้บรรยายชายในโฆษณา ได้อธิบายอารมณ์ความรู้สึกของนักท่องเที่ยวไทยที่มีต่อรอบๆ ขอบขัณฑสีมาของเมืองไทย ที่พวกเขาได้จินตนาการว่าอยากจะไปสัมผัส และภาพโฆษณาที่ตัดมาสลับกับเสียงบรรยายนั้น ก็เปิดฉากไล่เรียงมาตั้งแต่ผู้คนที่ชูสองมือขึ้นโอบกอดท้องฟ้า สองมือโอบกอดน้ำตก กับอีกคนหนึ่งนอนโอบกอดยอดหน้าผาตัดภาพมาที่คนกอดเรือกอและและเรือรบ เข้าไปนอนกอดต้นโกงกาง สลับกับคนนอนกอดกิ่งไม้และยอดหญ้าอยู่กลางท้องทุ่ง ภาพคนๆ หนึ่งกอดรูปปั้นปลา แล้วมาลงทะเลให้ฝูงปลาโอบล้อมโอบกอด อีกคนหนึ่งก็กอดกองฟาง คุณพ่อคุณลูกกอดหุ่นไล่กา คุณยายกอดดอกไม้ในทุ่ง คุณผู้ชายกอดรูปปั้นนางผีเสื้อสมุทร คุณแม่กับคุณลูกเล่นกอดน้ำทะเล ส่วนคุณผู้ชายอีกคนก็ไปยืนโอบกอดทะเลหมอกที่กลางขุนเขา ปิดท้ายด้วยภาพเด็กน้อยนอนกอดควายอยู่กลางทุ่งนา แล้วก็มีสายหมอกบางๆ พัดผ่านขุนเขา กระตุ้นให้ผู้ชมหลงรักในคุณค่าของธรรมชาติที่อยู่รอบเมืองไทยก็แบบที่ผมได้กล่าวไว้ตั้งแต่ตอนต้นนั่นแหละครับ เมื่อคนชั้นกลางของไทยได้ผันตนเองให้กลายเป็นพลเมืองแห่งอารยธรรมท่องเที่ยวสมัยใหม่ คนกลุ่มนี้เองที่ไม่เพียงแต่สร้างความฝันว่าอยากจะเที่ยวทั่วถิ่นไทยอย่างไร หากแต่ยังมีอำนาจแผ่ขยายรสนิยมการท่องเที่ยวของพวกเขาผ่านโฆษณาโทรทัศน์ไปได้อีก แล้วนักท่องเที่ยวไทยกลุ่มนี้มีความฝันอันใดบ้าง??? คำตอบง่ายๆ ก็คือ พวกเขาไม่เพียงแค่อยากจะ “เชยชม” กับธรรมชาติรอบตัวไล่เรื่อยไปจากแผ่นฟ้าจนจรดถึงท้องสมุทร หากแต่พวกเขายังอยากที่จะโอบกอดหรือ “ครอบครอง” ธรรมชาติเหล่านั้นเอาไว้ใต้อ้อมแขนของตน   ทำไมน่ะหรือครับ? เหตุผลคงเป็นเพราะว่า ในช่วงหลายๆ ทศวรรษที่ผ่านมา ภายใต้ความพยายามที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ คนกลุ่มนี้ได้ผลาญธรรมชาติมากมายที่อยู่รอบตัว ป่าไม้ ป่าชายเลน สร้างมลพิษให้กับอากาศและท้องทะเล รวมถึงถีบตัวเองด้วยการละทิ้งวัฒนธรรมท้องถิ่นและวัฒนธรรมชาวนาอันเป็นกระดูกสันหลังของชาติที่มีมาแต่เดิม เพราะฉะนั้น ด้วยราคาที่ต้องจ่ายไปแสนแพงให้กับการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ทุกวันนี้คนชั้นกลางไทยจึงอยากจะสร้างจินตนาการการไปโอบกอดต้นไม้ ป่าโกงกาง ทุ่งหญ้า ขุนเขา หุ่นไล่กา และอะไรต่อมิอะไรที่กำลังจะหายไปจากชีวิตพวกเขาอีกมากมาย หรืออีกนัยหนึ่ง เมื่อคนชั้นกลางไทยได้นำนวัตกรรมควายเหล็กเข้ามาใช้ไถนาเพื่อแทนควายเนื้อ ตอนนี้ลูกหลานตัวเล็กของพวกเขาก็จึงเพียรร่ำอยากที่จะหาควายเป็นๆ สักตัว มานอนกอดอยู่กลางท้องนานั่นเอง ด้านหนึ่งโฆษณาท่องเที่ยวไทย ได้ช่วยทำให้เราเห็นว่า คุณค่าอะไรบ้างที่ซ่อนอยู่ข้างหลังรอบๆ เมืองไทยของเรา แต่อีกด้านหนึ่ง แม้วันนี้เราจะยังมีคุณค่าเหล่านั้นเอาไว้ให้ตนเองและลูกหลานได้โอบกอด แต่ก็ไม่แน่ว่า ในวันรุ่งของพรุ่งนี้ เราก็อาจจะกอดคุณค่าเหล่านั้นได้ ก็เฉพาะผ่านภาพและเสียงที่สัมผัสจากจินตกรรมแห่งโฆษณาท่องเที่ยวทั่วไทยเท่านั้น

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 98 สิ่งที่พี่เบิร์ดอยากเห็นกับสิ่งที่ท้องถิ่นกำลังเป็น

มีอะไรใน โคด-สะ-นาสมสุข หินวิมาน นับจากวิกฤติการณ์การช่วงชิงอำนาจการเมืองของไทยได้ปะทุขึ้นมาตั้งแต่กลางปีที่แล้วนั้น ผลพวงที่ติดตามมาไม่ใช่แค่ความขัดแย้งของคนไทยที่แตกแยกไปตามสีเสื้อที่สวมใส่ไว้เท่านั้น หากแต่การยุบยวบลงของเศรษฐกิจชาติ ก็เป็นอีกผลลัพธ์หนึ่งที่คนไทยถ้วนทั่วทุกหัวระแหงต่างสัมผัสได้ ดังตัวอย่างรูปธรรมอย่างหนึ่งก็คือ กรณีการท่องเที่ยวของไทย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มจะผูกโยงกับเม็ดเงินรายได้หลักที่มาจากการท่องเที่ยว (ถึงขนาดที่เรามีการตั้งกระทรวงและหน่วยงานขึ้นมาดูแลกิจการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกันโดยตรง) ดังนั้น หากปริมาณนักท่องเที่ยวลดลง ก็เหมือนกับเส้นถดถอยทางเศรษฐกิจก็ปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะฉะนั้น กิจกรรมอย่างหนึ่งของหน่วยงานรัฐที่เห็นได้ชัดในช่วงเศรษฐกิจถดถอยนี้ก็คือ การรณรงค์ท่องเที่ยวไทยกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยผ่านช่องทางการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในสื่อสาธารณะอย่างโทรทัศน์ มีแคมเปญประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยวไทยชิ้นหนึ่ง ที่ผลิตโดยหน่วยงานของรัฐและออกอากาศต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี โดยใช้เซเล็บบริตี้ชื่อดังอย่าง พี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เชิญชวนชาวไทย “เที่ยวเมืองไทย ในบ้านของเราเอง” เพื่อให้เกิดบรรยากาศ “เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก” อันเป็นตามเป้าหมายที่รัฐบาลคาดหมาย และเป็นดั่งสโลแกนหลักในแคมเปญท่องเที่ยวชิ้นนี้ ผมขออนุญาตบอกเล่าท้าวความเรื่องราวของโฆษณาให้คุณผู้อ่านได้เห็นกันสักนิดนะครับ โฆษณาเรื่องนี้เปิดฉากมาด้วยภาพเรือลำหนึ่งที่จอดเงียบๆ โดยมีคลื่นสาดซัดให้กระแทกเข้ากับฝั่ง ตัดมาที่ภาพรีสอร์ตที่ไร้นักท่องเที่ยว และมีเจ้าจ๋อลิงน้อยนั่งหลับคร่อกๆ อยู่บนป้ายยินดีต้อนรับนักท่องเที่ยวดุจญาติมิตร จากนั้นก็มีเสียงพี่เบิร์ดลอยลมตัดพ้อขึ้นมาว่า “เมืองไทยจะเหงาไปไหนเนี่ย...นึกได้แล้ว...” ว่าแล้ว คุณพี่เบิร์ดสุดหล่อก็โบกรถสองแถวเริ่มออกตระเวนไปทั่วเมืองไทย พร้อมตะโกนขึ้นว่า “เที่ยวเมืองไทยชิดในหน่อย เมืองไทยสวยที่สุดแล้ว” ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า แล้วพี่เบิร์ดได้พาผู้ชมท่องเที่ยวจาริกไปในแถบแถวไหนของเมืองไทยบ้าง คำตอบก็มีตั้งแต่การลงใต้เยี่ยมชมผ้าบาติกย้อมสี หรือขึ้นขี่ควายชื่อ “เจ้าเงิน” กับ “เจ้าทอง” ที่พี่เบิร์ดเธอบอกว่า “ขี่แล้วรวยคร้าบ...” หรือเดินตลาดซื้อข้าวโพดฝักละสิบบาท ซึ่งทำให้พี่เบิร์ดดีใจหนักหนาจนตะโกนขึ้นว่า “เหมาหมดสองร้อย” จากตลาดสด พี่เบิร์ดก็มากระโดดโลดเต้นอยู่ริมทะเล ชมหาดสีขาวฟ้าสีครามและพูดขึ้นมาว่า “ทะเล...ฟรี” และจบลงด้วยภาพคุณพี่นักร้องสุดหล่อกับกลุ่มเด็ก ๆ ลูกหลานชาวบ้านที่เดินไต่โขดหินไปมา พร้อมส่งเสียงปิดท้ายว่า “ตอนนี้ เรื่องเที่ยวเรื่องใหญ่ ออกไปเที่ยว ออกไปช่วยชาติ...เที่ยวเมืองไทย ในบ้านของเราเอง” ทุกครั้งที่กราฟเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ขาลง ผมสังเกตว่า รัฐบาลและหน่วยราชการมักจะโหมกระหน่ำเชิญชวนท่องเที่ยวเมืองไทยกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง แบบเดียวกับที่โฆษณาปั้นแต่งให้คนไทยได้เที่ยวกันไปในสไตล์ “แบบเบิร์ดเบิร์ด” ผมเองก็ไม่ได้มีทุนความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์มากนัก แต่ก็พอเดาได้ว่า การกระตุกอุปสงค์การท่องเที่ยวในประเทศให้เพิ่มขึ้นนั้น คงไม่มากก็น้อยที่จะช่วยพยุงให้เศรษฐกิจชาติข้ามผ่านวิกฤติไปได้บ้าง แต่อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งที่ผมทราบมาก็คือ ในขณะที่การท่องเที่ยวอาจช่วยสมานแผลเศรษฐกิจชาติให้บรรเทาลงได้นั้น การท่องเที่ยวก็อาจเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เข้าไปกำหนดความเปลี่ยนแปลงให้กับวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นได้เช่นกัน เมื่อราวกว่าทศวรรษก่อน มีคุณลุงนักวิชาการชาวอังกฤษผู้หนึ่งชื่อ จอห์น เออร์รี่ ได้เขียนตำราที่พลิกเหลี่ยมการมองวัฒนธรรมท่องเที่ยวร่วมสมัยในอีกมุมหนึ่ง และได้เสนอทฤษฎีที่น่าสนใจในชื่อของแนวคิดเรื่อง “การจ้องมองของนักท่องเที่ยว” หรือที่ภาษาอังกฤษคุณลุงเออร์รี่เรียกว่า “the tourist gaze” ภายใต้แนวคิดการจ้องมองของนักท่องเที่ยวนี้ คุณลุงเออร์รี่ได้อธิบายว่า นักท่องเที่ยวมิใช่แค่ผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวเข้าไปในดินแดนต่างๆ แบบไร้เดียงสาแต่อย่างใด หากทว่าทุกครั้งที่การท่องเที่ยวสมัยใหม่แผ่ซ่านไป สัญจรชนคนท่องเที่ยวทั้งหลายก็คือผู้ที่กำลังเผยแผ่วิธีการจ้องมองโลกด้วยโลกทัศน์บางอย่างที่ผิดแผกแตกต่างไปจากสายตาของคนในท้องถิ่น กล่าวง่ายๆ ก็คือ เมื่อนักท่องเที่ยวสมัยใหม่เดินทางเข้าไปยังแดนดินแห่งหนตำบลใด ความปรารถนาในลำดับแรกของพวกเขาก็มักจะอยากเห็นหรือใช้ชีวิต (แบบชั่วครั้งชั่วคราว) กับดินแดนที่แปลก แตกต่างและวิเลิศวิลาศกว่าที่พวกเขาจะสัมผัสได้ในชีวิตประจำวันปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ถนนรนแคมเอย อาคารบ้านเรือนเอย ชาวบ้านร้านตลาด ขุนเขา โตรกธาร หาดทราย สายลม และแสงแดด เหล่านี้จะถูกแปลงให้กลายเป็นความงดงามและความมหัศจรรย์ และเป็นอีกโลกหนึ่งที่ทัวริสต์กลุ่มนี้อยากกู่ก้องร้องว่า “what a wonderful world” นั่นเอง การจ้องมองของนักท่องเที่ยวเช่นนี้ จะว่าไปก็คล้ายๆ กับกรณีของแพ็คเกจทัวร์ทั่วไทยของพี่เบิร์ดธงไชยนั่นแหละครับ ในขณะที่การท่องเที่ยวเป็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการกู้เศรษฐกิจของชาติอยู่นั้น พี่เบิร์ดของเราก็ได้ผาดสัมผัสไปยังวัตถุ ผู้คน และสิ่งต่าง ๆ ในสถานที่ท่องเที่ยว ด้วยแววตาวูบวาบตามแรงปรารถนาแบบทัวริสต์ผู้มาจากแดนอื่น ด้วยสายตาและแรงปรารถนาแบบนี้ ผืนผ้าบาติกที่คนในท้องถิ่นเขานุ่งสวมใส่กันในชีวิตประจำวัน ก็ได้กลายเป็นความอัศจรรย์ในมุมมองของนักท่องเที่ยว เจ้าเงินเจ้าทองหรือควายที่ชาวบ้านเขาขี่ทำนา ก็กลายเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่ถ้าขึ้นขี่แล้วต้องอุทานเสียงดังว่า “ขี่แล้วรวยคร้าบ...” และทะเลก็ไม่ใช่แหล่งจับปลาทำมาหากินกันอีกต่อไป แต่ได้ผันเปลี่ยนกลายมาเป็นหาดทรายขาวเอาไว้เพื่อกระโดดโลดเต้นได้แบบ “ฟรี ๆ” นอกจากนี้ ทั้งรอยยิ้มและความร่าเริงของเด็กน้อย ก็มิใช่แค่รอยยิ้มและความเริงร่าเท่านั้น แต่เป็นอากัปกิริยาตามธรรมชาติที่ดำรงอยู่เป็นองค์ประกอบย่อย ๆ ในการสร้างความทรงจำอันมีค่าให้กับนักท่องเที่ยวเก็บกลับไปอย่างประทับใจ และกลายเป็น “ความสุขความทรงจำอันหามีที่สิ้นสุดไม่” อย่างไรก็ตาม คุณน้าเออร์รี่ได้กล่าวเพิ่มเสริมด้วยว่า เนื่องจากการจ้องมองเป็นรูปแบบหนึ่งในกระบวนการใช้ “อำนาจ” ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน โดยมีผู้จ้องเป็นผู้บริหารอำนาจ และผู้ถูกจ้องเป็นผู้ถูกควบคุมให้อยู่ใต้อำนาจ ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างนักท่องเที่ยวผู้จ้องมองกับคนในดินแดนท้องถิ่น จึงเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เสมอภาคระหว่างกันและกัน ด้วยเหตุฉะนี้ จึงไม่น่าแปลกใจ ถ้าทั้งเจ้าเงินเจ้าทอง ผ้าทอย้อมมือ หรือท้องทะเลสีคราม จะไม่ได้เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในวิถีชีวิตของท้องถิ่นล้วนๆ แต่ทว่า เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวอย่างพี่เบิร์ดกำลังมองจ้องเพื่อแปลความให้เป็นไปตามที่นักร้องซูเปอร์สตาร์พึงอยากเห็น ตรรกะของคนในท้องถิ่นกับตรรกะของคุณพี่เบิร์ดจึงไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเดียวกันเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตรรกะของนักท่องเที่ยวสมัยใหม่ในอุตสาหกรรมบริการ ได้ใช้เงินตราของตนเป็นสื่อกลางเพื่อชื่นชมกับทัศนียภาพของท้องถิ่นด้วยแล้ว ความสวยงามและความมหัศจรรย์ของแหล่งท่องเที่ยว จึงถูกกำหนดค่าขึ้นด้วยอัตราตั้งแต่ “ฟรี” แบบชายหาดสีขาว ไปจนถึงการเหมาข้าวโพดทั้งตลาดด้วยราคาเพียงไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น การกำหนดค่าเป็นงวดเงินดังกล่าว ไม่เพียงแต่เปลี่ยนความหมายในการรับรู้ว่าดินแดนท้องถิ่นให้กลายเป็นดินแดนท่องเที่ยวที่ “ซื้อหา” ได้เท่านั้น หากแต่รูปแบบวัตรปฏิบัติของชาวบ้านร้านตลาด ก็มีอันต้องผันเปลี่ยนเวียนไปตามวัตรปฏิบัติของนักท่องเที่ยวแทน จะว่าไปแล้ว หากการรณรงค์ท่องเที่ยวทั่วไทยจะถูกใช้เป็นกุศโลบายในการกู้วิกฤติเศรษฐกิจชาติได้นั้น ก็คงเป็นที่น่ายินดีปรีดายิ่งนัก แต่หากว่า การท่องเที่ยวที่ถาโถมนั้นกลับเป็นการใช้อำนาจกดทับความเป็นไปของท้องถิ่นแบบที่โฆษณาเผยพรางให้เราได้มองเห็น กับคำถามข้อหลังนี้ คงต้องให้พี่เบิร์ดและมิตรรักนักท่องเที่ยวทั้งหลายช่วยกันขบคิดค้นหาคำตอบกันต่อไป เพราะสิ่งที่คุณ ๆ นักท่องเที่ยวอยากจะจ้องมองเห็น กับสิ่งที่ชุมชนท้องถิ่นเขาเคยเป็นหรือกำลังเป็นนั้น อาจไม่ใช่แค่การประเมินค่าได้ด้วยเมล็ดเงินเพียงอย่างเดียว...

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 147 แฟนท้อง อยากจะขอเลิกสัญญาฟิตเนส

แฟนเล่นฟิตเนสครบปีและเพิ่งต่อสัญญาเมื่อเดือนมกราคม ในสัญญาลงไว้ 12 เดือน ถ้าจะ dropต้องเสีย ทุกเดือน 20% หรือประมาณ 400 บาทตอนนี้แฟนผมท้อง จึงจะขอยกเลิกสัญญา เพราะคิดว่าไม่ได้ไปใช้บริการเพราะไม่จำเป็นทำไมต้องเสียเงินอีก ไม่ทราบยกเลิกสัญญาได้ไหมครับ แล้วต้องทำอย่างไรถึงไม่โดนหักบัตรเครดิตต่อ ขอบคุณครับ แนวทางแก้ไขปัญหาคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้ออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้บริการออกกำลังกายเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา  พ.ศ. ๒๕๕๔  มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้วตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2554สาระสำคัญของประกาศฉบับนี้ คือ ให้ธุรกิจการให้บริการออกกำลังกายเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา หมายความว่า หากข้อความในสัญญาของฟิตเนสฉบับไหนขัดต่อประกาศฉบับนี้ให้ถือว่าข้อความในสัญญานั้นไม่มีผลทางกฎหมาย และหากสัญญาของฟิตเนสฉบับไหนไม่มีข้อความตามประกาศฉบับนี้ ก็ให้ถือว่าสัญญาของฟิตเนสนั้น มีข้อความหรือข้อสัญญาตามที่ประกาศได้กำหนดไว้โดยอัตโนมัติทันที แม้มิได้มีข้อความปรากฏอยู่ในสัญญาฉบับนั้นก็ตาม “ธุรกิจการให้บริการออกกำลังกาย” ตามประกาศฉบับนี้ หมายความว่า ธุรกิจให้บริการ ใช้สถานที่ และอุปกรณ์ออกกำลังกายเพื่อประโยชน์ในทางการค้าที่ผู้ประกอบธุรกิจทำสัญญาให้บริการ ออกกำลังกายกับผู้บริโภคให้เป็นสมาชิก แต่ไม่หมายความรวมถึงธุรกิจให้บริการเฉพาะโยคะ ศิลปะการป้องกันตัว และกีฬา ต้องมีข้อความเป็นภาษาไทยที่สามารถเห็นและอ่านได้ชัดเจน มีขนาดตัวอักษรไม่เล็กกว่าสองมิลลิเมตร โดยมีจำนวนไม่เกินสิบเอ็ดตัวอักษรในหนึ่งนิ้ว และจะต้องใช้ข้อสัญญาที่มีสาระสำคัญและเงื่อนไข ดังต่อไปนี้(1) รายละเอียดเกี่ยวกับขนาดพื้นที่ของสถานที่ให้บริการออกกำลังกาย จำนวนประเภทและจำนวนอุปกรณ์ออกกำลังกาย สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และการให้บริการอื่น ๆ ที่ผู้บริโภคมีสิทธิพึงได้รับตามสัญญา(2) รายละเอียดอัตราค่าสมาชิก และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เรียกเก็บจากสมาชิก เช่น ค่าใช้ บริการออกกำลังกาย ค่าฝึกสอน ค่าธรรมเนียม เป็นต้น เงื่อนไขและวิธีการชำระเงิน วันเริ่มต้น และสิ้นสุดการเป็นสมาชิก(3) การผิดสัญญาเรื่องใดของผู้บริโภคที่ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิเลิกสัญญาหรือไม่ปฏิบัติตามสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องระบุเหตุในเรื่องนั้น ๆ ไว้เป็นการเฉพาะด้วยตัวอักษรสีแดง หรือตัวดำหรือตัวเอนที่เห็นเด่นชัดกว่าข้อความทั่วไป และก่อนการบอกเลิกสัญญาต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้ผู้บริโภคทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวัน เว้นแต่การผิดสัญญาในข้อสาระสำคัญ ดังนี้ (ไม่ต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้า)(ก) กระทำการอันเป็นความผิดกฎหมายอาญาโดยเจตนา(ข) มีพฤติกรรมรบกวนการใช้บริการของสมาชิกอื่น(ค) เป็นโรคติดต่อร้ายแรงประกาศฉบับนี้ได้กำหนดสิทธิเลิกสัญญาของผู้บริโภค ไว้เพียง 3 กรณี คือ(1) ผู้ประกอบธุรกิจไม่มีประเภทอุปกรณ์ออกกำลังกาย หรือบริการอื่น ๆ ตาม (1) หรือประเภทอุปกรณ์ดังกล่าวชำรุดบกพร่องหรือให้บริการได้ไม่เหมาะสมและเพียงพอ เมื่อเทียบกับ จำนวนสมาชิกและพื้นที่ออกกำลังกาย โดยผู้ประกอบธุรกิจไม่จัดหาอุปกรณ์ออกกำลังกายหรือบริการนั้น ๆ ที่มีคุณภาพไม่ต่ำกว่ามาทดแทนได้ ภายในเจ็ดวันนับแต่วันได้รับแจ้ง(2) มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรจากแพทย์ยืนยันว่าการใช้บริการออกกำลังกายต่อไป อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ หรือสภาพร่างกายหรือจิตใจผิดปกติ(3) ได้รับการบาดเจ็บเนื่องจากผู้ฝึกสอนของผู้ประกอบธุรกิจไม่มีความรู้ความชำนาญ หรืออุปกรณ์ออกกำลังกายที่ไม่มีคำเตือนว่าชำรุดบกพร่องดังนั้น จากคำถามที่ถามมา ภรรยาตั้งครรภ์หรือการมีปัญหาทางด้านสุขภาพ จะสามารถบอกเลิกสัญญาได้ต่อเมื่อมีหลักฐานใบรับรองแพทย์ยืนยันว่าการใช้บริการฟิตเนสต่อไป อาจจะก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรือสภาพร่างกายหรือจิตใจผิดปกติ ไปแสดงประกอบการบอกเลิกสัญญาในกรณีที่ผู้บริโภคชำระค่าสมาชิกและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ด้วยบัตรเครดิต ประกาศฉบับนี้กำหนดให้ ผู้ประกอบธุรกิจมีหน้าที่ต้องแจ้งระงับการเรียกเก็บเงินจากบัตรเครดิตทันทีเมื่อสัญญาสิ้นสุดลงคำบอกกล่าวในการบอกเลิกสัญญาของผู้บริโภคให้ทำเป็นจดหมายส่งถึงผู้ให้บริการทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับเป็นดีที่สุดครับ        

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 101 ฮะจิบังเสนอเงินลูกค้า 5 หมื่น จบเรื่องอาหารทำพิษ

รายงานความคืบหน้า กรณีลูกค้าฮะจิบังร้องเรียนว่ามีอาการท้องเสียอย่างรุนแรงหลังรับประทานอาหารที่ร้านฮะจิบัง ราเมน สาขาเทสโก้ โลตัส พระราม 3จากความเดิมต่อจากฉบับที่แล้ว กรณีคุณแพรวพรรณ(นามสมมติ) และครอบครัวไปนั่งรับประทานอาหารที่ร้านฮะจิบังสาขาดังกล่าวแล้วเกิดท้องเสียอย่างรุนแรง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2552 หลังจากที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ทำหนังฟสือแจ้งไปยังบริษัท ไทยฮะจิบัง จำกัด เพื่อขอให้บริษัทพิจารณาเยียวยาความเสียหายให้กับผู้บริโภคด้วยความเป็นธรรมตามสมควร ต่อมาในวันที่ 2 มิถุนายน 2552 บริษัทไทยฮะจิบัง จึงได้มีหนังสือตอบกลับมาที่มูลนิธิฯ ใจความสรุปได้ว่า ในวันเกิดแหตุที่ผู้บริโภคได้ร้องเรียนนั้น ร้านฮะจิบังสาขาดังกล่าว ได้จำหน่ายอาหารชนิดเดียวกันกับที่ผู้ร้องเรียนและครอบครัวรับประทานให้แก่ลูกค้าอื่นอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ปรากฏว่ามีลูกค้ารายใดมีอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงเช่นเดียวกับรายของผู้ร้องเรียนและครอบครัวแต่อย่างใด หากการเจ็บป่วยของผู้ร้องเรียนและครอบครัวเกิดจากอาหารที่รับประทานจากร้านของบริษัทจริง ลูกค้ารายอื่น ๆ จะต้องมีอาการท้องร่วงอย่างรุนแรงด้วย ดังนั้น อาการท้องร่วงของนางสาวพรรณราย และครอบครัวอาจเกิดจากการได้รับเชื้อโรคบิดชนิดเฉียบพลันจากที่อื่นก่อนมารับประทานอาหารที่ร้านฮะจิบัง ราเมน เมื่อยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเชื้อโรคบิดชนิดเฉียบพลันเกิดจากการรับประทานอาหารของร้านฮะจิบังราเมน บริษัทฯจึงยังไม่อาจพิจารณาเยียวยาค่าเสียหายได้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยินดีที่จะพิสูจน์หาความจริงจนเป็นที่แน่ชัดเสียก่อนล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2552 ที่ผ่านมา ตัวแทนของบริษัท ไทยฮะจิบัง ได้เข้าเจรจากับผู้ร้องเรียนที่สำนักงานเขตยานนาวา โดยผู้ร้องเรียนได้เสนอเรียกค่าเสียหายไปทั้งสิ้น 168,000 กว่าบาท แต่ทางบริษัทฯ ยินดีที่จะจ่ายเพื่อเป็นการแสดงความมีน้ำใจให้กับลูกค้าที่อาจเกิดความเข้าใจผิดในบริการของร้านฮะจิบัง ราเมนเป็นเงิน 50,000 บาทถ้วน และขอให้ยุติเรื่องพิพาททั้งหมด ผู้ร้องเรียนปฏิเสธและขอเดินหน้าที่จะฟ้องเป็นคดีผู้บริโภคต่อไป ความคืบหน้าในการตรวจสอบด้านความปลอดภัยของอาหารในร้านฮะจิบัง ราเมน สำนักงานเขตยานนาวา ได้ดำเนินการตรวจสอบสุขลักษณะของร้านฮะจิบัง ราเมน สาขาเทสโก้ โลตัส พระราม 3 และทำการสุ่มเก็บตัวอย่างอาหาร น้ำแข็ง และน้ำดื่ม ไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2552 หลังเกิดเหตุประมาณ 3 สัปดาห์ ผลการตรวจวิเคราะห์พบอาหารจำนวน 8 จาก 11 รายการที่ไม่อยู่ในมาตรฐาน โดยส่วนใหญ่พบเชื้อแบคทีเรียโคลิฟอร์ม เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด ทั้งในน้ำแข็งและอาหารที่สุ่มตรวจ โดย 1 ตัวอย่างพบเชื้อแบคทีเรียอีโคไลเกินค่ามาตรฐานที่กำหนดสำหรับอาหารปรุงสุก สำนักงานเขตจึงมีคำสั่งให้ร้านอาหารแห่งนี้มีการปรับปรุงแก้ไขกระบวนการผลิตอาหารให้ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค อาทิเช่น การมีคำสั่งให้ไม่แช่สิ่งของอื่นใดในภาชนะที่บรรจุน้ำแข็งที่ใช้ดื่ม ให้ทำความสะอาดวัตถุดิบด้วยน้ำสะอาดทุกครั้งก่อนนำมาปรุงประกอบอาหาร ให้ผู้ที่สัมผัสอาหารทุกคนล้างมือก่อนและหลังสัมผัสอาหาร เป็นต้นต่อมาในวันที่ 28 เมษายน 2552 สำนักงานเขตยานนาวาได้เข้าตรวจสอบสุขลักษณะของร้านฮะจิบัง ราเมนแห่งนี้อีกครั้ง เพื่อติดตามผลการปฏิบัติตามคำสั่งและสุ่มเก็บตัวอย่างอาหาร รวม จำนวน 11 รายการเพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ผลการตรวจครั้งนี้พบว่ายังมีการปนเปื้อนของเชื้อโคลิฟอร์มแบคทีเรียในผักโรยหน้าและน้ำแข็ง ส่วนอาหารชนิดอื่นไม่พบปัญหาใด ๆ สำหรับผลการตรวจสุขภาพของพนักงานในร้าน พบว่า เป็นใบรับรองแพทย์ที่ส่งให้เจ้าหน้าที่มาจากคลินิกเอกชน เจ้าหน้าที่จึงให้ตรวจสุขภาพใหม่ โดยให้เข้ารับการตรวจสุขภาพที่สถานพยาบาลของรัฐ และแนบผลการตรวจ Lab ส่งต่อเจ้าหน้าที่ด้วยทุกคน ซึ่งสำนักงานเขตยานนาวาได้รายงานผลการดำเนินการเฝ้าระวังทั้งหมดนี้ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ไปด้วยแล้ว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 100 ลูกค้าฮะจิบังท้องร่วงอย่างแรงเหตุอาหารทำพิษ

เวลาประมาณ 6 โมงเย็นของวันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2552 คุณแพรวพรรณ พร้อมสามีและลูกสาว ได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านฮะจิบัง ราเมน สาขาเทสโก้ โลตัส พระราม 3ครอบครัวของคุณแพรวพรรณได้สั่งอาหารมารับประทานทั้งหมด 6 รายการ คือ ซารุเซ็ท ที่ประกอบด้วยซารุราเมนและเกี๊ยวซ่า 2 ชุด , ฮะจังเมน , เนงิเรเมน และทาโกะยากิ อย่างละ 1 ชุด นอกจากนี้ยังมีน้ำดื่มยี่ห้อน้ำทิพย์ 2 ขวดและน้ำแข็งเปล่า 3 แก้ว โดยคุณแพรวพรรณรับประทานเกี๊ยวซ่าและทาโกะยากิ สามีรับประทานซารุเซ็ท ฮะจังเมนและเนงิเรเมน ส่วนลูกสาวรับประทานซารุ ราเมนปรากฏว่า เวลาประมาณตี 1 เศษย่างเข้าวันที่ 10 มีนาคม 2552 คุณแพรวพรรณและสามีเริ่มมีอาการท้องร่วง ถ่ายเป็นน้ำอย่างต่อเนื่องหลายครั้งจนถึงเวลาตีห้า พร้อมอาเจียนมีเลือดปน ในขณะที่ลูกสาวอาเจียนถึง 3 ครั้ง (และมาถ่ายท้องที่โรงพยาบาลอีก 3 ครั้ง) ทั้งหมดถูกส่งเข้าโรงพยาบาลในเช้าตรู่ของวันนั้นนั่นเอง ผลการวินิจฉัยของแพทย์พบว่ามีเชื้อบิดชนิดเฉียบพลันและรุนแรงที่ลำไส้ใหญ่ โดยตัวคุณแพรวพรรณมีอาการรุนแรงที่สุดกว่าทุกคน คือมีอาการท้องร่วงถึงเวลา 6 โมงเช้าของวันที่ 12 มีนาคม 2552 รวม 3 วันนับตั้งแต่วันที่รับประทานอาหารชุดพิเศษจากฮะจิบัง สาขาดังกล่าวต่อมาคุณแพรวพรรณได้ทำเรื่องร้องเรียนไปที่สำนักงานเขตยานนาวา กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ตั้งของห้างฯ ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ฝ่ายสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาล สำนักงานเขตยานนาวา ได้ทำการตรวจสอบสุขลักษณะของร้านและทำการสุ่มเก็บตัวอย่างอาหาร น้ำแข็งและน้ำดื่มจากร้านอาหารดังกล่าว เพื่อไปตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการจำนวน 10 รายการ ผลปรากฏว่ามีอาหารถึง 7 ตัวอย่างที่ไม่อยู่ในค่ามาตรฐานที่กำหนด ซึ่งแสดงว่าอาจมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียในลำไส้หรือจุลินทรีย์อื่นๆ ที่เป็นพิษจนทำให้เกิดโรคหรืออาการเจ็บป่วยในผู้บริโภคได้ อาหารที่ตกมาตรฐาน 7 รายการคือ บะหมี่(ซารุเซ็ท) , บะหมี่และน้ำซุป (ฮะจังเมน), เนงิเรเมน , ทาโกะยากิ , ซาฮั่ง(ข้าวผัดหมูอบซีอิ๊วญี่ปุ่นไข่) ,ทาราเมน(บะหมี่แห้งราดซอสหมูทันตัม) และ ดาโมะนิราเมน (บะหมี่น้ำหน้าเป็ดพะโล้และเห็ดหอม) นอกจากนี้ยังพบว่าน้ำแข็งหลอดที่จำหน่ายในร้านไม่อยู่ในมาตรฐานอีกด้วย คุณแพรวพรรณได้พยายามเรียกร้องให้ทางร้านฮะจิบังแสดงความรับผิดชอบด้วยการชดใช้ค่าเสียหายซึ่งส่วนใหญ่คือค่ารักษาพยาบาลของสามคนพ่อแม่ลูกจำนวนห้าหมื่นกว่าบาท แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ จากทางร้านฮะจิบัง จึงได้ส่งเรื่องร้องเรียนมาที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเพื่อขอความช่วยเหลือแนวทางแก้ไขปัญหาข้อเท็จจริงในทางกฎหมาย การผลิตและจำหน่ายอาหารของร้านฮะจิบังราเมน สาขาดังกล่าว อาจเข้าข่ายเป็นการผลิตและจำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ตาม พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 ผู้กระทำผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นโทษทางอาญาที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการต่อไป ส่วนความรับผิดในทางแพ่งนั้นมูลนิธิฯ ได้ติดต่อประสานงานไปยังบริษัท ไทยฮะจิบัง จำกัด เพื่อเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบด้วยการชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ร้องตามสมควรล่าสุดไทยฮะจิบังได้ติดต่อผ่านเทสโก โลตัสสำนักงานใหญ่ ขอนัดเจรจากับผู้ร้องรายนี้แล้ว ผลความคืบหน้าเป็นอย่างไรจะนำมารายงานในฉลาดซื้อฉบับต่อไป แต่ที่ต้องนำเรื่องนี้มาลงโดยเร่งด่วนเพราะเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำเสนอเป็นข้อมูลสำหรับการตัดสินใจเลือกใช้บริการของผู้บริโภครายอื่น ๆ ต่อไป เพราะเป็นปัญหาที่มีผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของผู้บริโภค

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 135 กระเป๋าเดินทางล้อลาก

ถ้าคุณจะต้องออกจากบ้านไปไกลๆ ไม่ว่าจะเพื่อท่องเที่ยวหาประสบการณ์ หรือไปเข้าร่วมการประชุมสัมมนาในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ  อุปกรณ์สำคัญชิ้นหนึ่งที่จะขาดเสียไม่ได้คือ “กระเป๋า” ที่คุณจะใส่เสื้อผ้าหรือของใช้จำเป็น  เผื่อว่าคุณกำลังมองหากระเป๋าเดินทางแบบล้อลาก ฉลาดซื้อฉบับนี้เรามีผลทดสอบจากองค์กรทดสอบระหว่างประเทศที่เขาทำไว้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มาฝากกัน กระเป๋าล้อลากเหล่านี้ทำจากวัสดุที่เป็นโพลีเอสเตอร์เป็นหลัก  ความจุตั้งแต่ 48.5 ลิตร – 109 ลิตร มีทั้งแบบที่ขับเคลื่อน (ด้วยแรงคุณ) 2 ล้อ และ 4 ล้อ เราเลือกนำเสนอเฉพาะรุ่นที่ได้คะแนนรวม 60 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 100) ขึ้นไปเท่านั้น กระเป๋าเหล่านี้มีราคาตั้งแต่ 1,460 – 10,900 บาท (เป็นการคำนวณจากราคาที่ทางห้องทดสอบแจ้งมาเป็นหน่วยยูโร) กระเป๋าเดินทางสองรุ่นที่ได้คะแนนมากกว่าร้อยละ 80 ได้แก่ Delsey Xpert Lite 65 cm ราคา 8,700 บาท และ Samsonite B-Lite ราคา 7,250 ส่วนคะแนนของรุ่นอื่นๆ (ที่ราคาถูกกว่านั้น) ติดตามได้ในหน้าถัดไป   ทั้งนี้เรานำเสนอผลการทดสอบแยกเป็น ความแข็งแรงทนทาน ทั้งของตัวกระเป๋า หูหิ้ว คันชัก และล้อ ในประเด็นต่อไปนี้ การกดทับด้วยน้ำหนัก 100 กิโลกรัม การลากจูงบนสายพาน เป็นระยะทาง 15 กิโลเมตร การเสียดสี (ตัดผ้าด้านนอกออกไปทดสอบ) รวมถึงการป้องกันน้ำเข้าตัวกระเป๋า ด้วยการวางกระเป๋าในแนวตั้ง และแนวนอนตากฝนเป็นเวลา 10 นาที เป็นต้น ความสะดวกในการใช้งาน ซึ่งอาสาสมัครจะทดลองใช้กระเป๋าตั้งแต่ขั้นตอนการบรรจุเสื้อผ้าและลากกระเป๋าดังกล่าวเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร ผ่านสภาพพื้นผิวทั้งเรียบ และขรุขระ รวมถึงขึ้นบันไดด้วย   หมายเหตุ: อีก 6 รุ่นที่ได้คะแนนน้อยกว่าร้อยละ 60 ได้แก่ K-Classic Trolley / Titan GmbH L 7.0 / Lancel Partance / Travelite Flair / Carrefour Valise charriot classique / Polo Pierre Riche และ Migros Eva Trolley active   Delsey Xpert Lite 65 cm                       81 คะแนน ราคา 8,700 บาท แข็งแรงทนทาน              5 ใช้งานสะดวก                 3.5 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          3,990               กรัม ขนาด                            435*325*565    มิลลิเมตร ความจุ                          57                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        50                    มิลลิเมตร     Samsonite B-Lite                      80 คะแนน ราคา 7,250 บาท แข็งแรงทนทาน              4.5 ใช้งานสะดวก                 3.5 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          3,420               กรัม ขนาด                            440*275*570    มิลลิเมตร ความจุ                          67.5                 ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        50                    มิลลิเมตร     Samsonite Cordoba Duo                      78 คะแนน ราคา 6,400 บาท แข็งแรงทนทาน              4 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          3,190               กรัม ขนาด                            440*285*635    มิลลิเมตร ความจุ                          61.5                 ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        70                    มิลลิเมตร     Stratic Apollo II                                                67 คะแนน ราคา 6,000 บาท แข็งแรงทนทาน              3 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          3,610               กรัม ขนาด                            485*340*675    มิลลิเมตร ความจุ                          83.5                 ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        50                    มิลลิเมตร     TravelPro Trolley                                  66 คะแนน ราคา 4,000 บาท แข็งแรงทนทาน              2 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          5,160               กรัม ขนาด                            515*340*740    มิลลิเมตร ความจุ                          109                  ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        72                    มิลลิเมตร     Valigeria Roncato S.p.A. Gate              65 คะแนน ราคา 5,590 บาท แข็งแรงทนทาน              3 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          3,260               กรัม ขนาด                            410*280*605    มิลลิเมตร ความจุ                          62                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        50                    มิลลิเมตร     Tchibo Trolley              65 คะแนน ราคา 3,200 บาท แข็งแรงทนทาน              3 ใช้งานสะดวก                 3.5 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          5,140               กรัม ขนาด                            505*295*690    มิลลิเมตร ความจุ                          71                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        82                    มิลลิเมตร   Gladiator Source Mod. 34                    64 คะแนน ราคา 3,485 บาท แข็งแรงทนทาน              3 ใช้งานสะดวก                 3.5 คุณภาพการผลิต                        3 น้ำหนัก                          4,800               กรัม ขนาด                            420*320*610    มิลลิเมตร ความจุ                          63                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        49                    มิลลิเมตร     Valigeria Roncato S.p.A. RV Runner     63 คะแนน ราคา 2,790 บาท แข็งแรงทนทาน              3 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          3,750               กรัม ขนาด                            410*270*595    มิลลิเมตร ความจุ                          50.5                 ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        70                    มิลลิเมตร   Eminent Trolley Minsk                           63 คะแนน ราคา 3,600 บาท แข็งแรงทนทาน              2 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          4,430               กรัม ขนาด                            490*330*710    มิลลิเมตร ความจุ                          101                  ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        76                    มิลลิเมตร     Delsey Xpert Lite                                  63 คะแนน ราคา 10,900 บาท แข็งแรงทนทาน              2 ใช้งานสะดวก                 3.5 คุณภาพการผลิต                        4 น้ำหนัก                          4,440               กรัม ขนาด                            470*350*685    มิลลิเมตร ความจุ                          96                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        50                    มิลลิเมตร     Top Move                                            61 คะแนน ราคา 2,400 บาท แข็งแรงทนทาน              2 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        3 น้ำหนัก                          4,490               กรัม ขนาด                            470*305*735    มิลลิเมตร ความจุ                          84                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        68                    มิลลิเมตร   Visa/Delsey New PinUp                                               61 คะแนน ราคา 3,570 บาท แข็งแรงทนทาน              2 ใช้งานสะดวก                 4 คุณภาพการผลิต                        3 น้ำหนัก                          4,010               กรัม ขนาด                            415*290*630    มิลลิเมตร ความจุ                          62                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        68                    มิลลิเมตร     Caminatta Birdie                                  61 คะแนน ราคา 4,000 บาท แข็งแรงทนทาน              2 ใช้งานสะดวก                 3.5 คุณภาพการผลิต                        3 น้ำหนัก                          4,980               กรัม ขนาด                            430*285*625    มิลลิเมตร ความจุ                          57                    ลิตร เส้นผ่าศูนย์กลางล้อ        49                    มิลลิเมตร     ฉลาดซื้อแนะ -          มองหากระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมเข้าไว้ มันอาจดูน่าเบื่อ แต่เชื่อเถอะว่ามันจุที่สุดเมื่อเทียบกับรูปทรงอื่นในขนาดเดียวกัน -          เลือกที่ความจุไม่เกิน 20 กิโลกรัม เพราะคุณไม่ควรจะต้องหิ้วกระเป๋าเดินทางที่หนักเกินไป ลืมไปเลยเจ้ากระเป๋าที่หนักคุณท้อแท้ตั้งแต่ยังไม่ได้บรรจุสัมภาระ แม้คุณจะเป็นผู้โดยสารชั้นหนึ่งซึ่งได้โควตาน้ำหนัก 40 กิโลกรัมก็ใช่ว่าคุณจะสามารถถือมันไหว -          ลงทุนกับกระเป๋าคุณภาพดีเสียเถิด จะได้ไม่ต้องซื้อกันบ่อยๆ กระเป๋าเราต้องผ่านการผจญภัยมากมาย ถ้าชำรุดระหว่างทางเดี๋ยวจะอารมณ์เสียกันเปล่าๆ  มีงานวิจัยที่ระบุว่า อย่างน้อยๆ กระเป๋าเดินทางของคุณก็จะต้องถูกยกวาง (...หรือเหวี่ยง ในบางสถานการณ์) ประมาณ 10 ครั้ง ต่อการเดินทางโดยเครื่องบินหนึ่งเที่ยว -          กระเป๋าดีมีชัยไปกว่าครึ่ง อีกครึ่งที่เหลือคือศิลปะในการจัดกระเป๋าและวิจารณญาณในการเลือกข้าวของที่จะนำไป สูตรใครก็สูตรใครนะท่านผู้ชม... -          อย่าลืมว่ากระเป๋าไหนๆ ก็ป้องกันคุณจากอาการปวดหลังปวดเอวไม่ได้ ถ้าคุณไม่ยกให้ถูกวิธี ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คุณยืนด้านข้างตัวกระเป๋า ย่อเข่าลงไป แล้วยกกระเป๋าขึ้นมา เมื่อยกขึ้นมาแล้วก็เดินไปตรงๆ อย่าได้หันรีหันขวางเด็ดขาด ได้เคล็ดกันแน่ ----   เรามีสถิติที่น่าสนใจมาฝาก ... เมื่อกระเป๋าต้องบินเดี่ยว ในปี 2554 ทั่วโลก มีผู้เดินทางโดยเครื่องบิน 2,870 ล้านคน  และมี “กระเป๋าดวงตก” ทั้งหมด 25.8 ล้านใบ (ลดลงไปร้อยละ 20 จากปีก่อนหน้า) ในบรรดากระเป๋าเหล่านั้น ... ร้อยละ 85.6      มาช้า ร้อยละ 11.9      มาไม่เหมือนเดิม ร้อยละ 2.5        ไม่มาเลย   สาเหตุที่มาช้านั้น เกินกว่าร้อยละ 50 เป็นเพราะความผิดพลาดระหว่างการต่อเที่ยวบิน สาเหตุรองลงมาได้แก่ การที่กระเป๋าไม่ได้ถูกโหลดขึ้นเครื่องแต่แรก แต่ไม่ต้องวิตกจนเกินไป เขาบอกว่า ในจำนวนผู้โดยสาร 1,000 คน จะมีกระเป๋าโชคร้ายประมาณ 9 ใบ เท่านั้น (ลดลงจาก 12 ใบ ในปี 2553) ข้อมูลจากรายงาน Baggage Report 2012 โดย SITA   ท่องโลกทั้งใบ ถือกระเป๋า (เล็ก) ใบเดียว? การพกพาเพียงกระเป๋าใบเดียวเวลาที่คุณเดินทางไกลนั้น มีข้อดีอยู่หลายประการ ปลอดภัย โอกาสในการทำกระเป๋าหายจะน้อยลง เพราะคุณไม่ต้องโหลดกระเป๋าไปใต้ท้องเครื่อง (ไม่ว่าจะเครื่องโบอิ้งหรือเครื่องวอลโว่)  และโอกาสที่คุณจะถูกตำรวจจับเพราะมีมือดีแอบเอายาเสพติดมาใส่ในกระเป๋าของคุณในระหว่างนั้นก็จะน้อยลงด้วย ประหยัด ถ้าขึ้นรถทัวร์ รถไฟก็ไม่เท่าไร แต่ถ้าคุณเดินทางด้วยเครื่องบินต้องคิดมาหน่อย เพราะเขาจำกัดน้ำหนักสัมภาระที่ผู้โดยสารแต่ละคนจะนำมาเช็คอิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายการบินราคาประหยัดที่มักจะให้โควตาน้ำหนักค่อนข้างน้อย ถ้าคุณต้องการมากกว่านั้นก็จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม ไหนจะมีห่วงกลัวกระเป๋าที่ซื้อมาแพงเป็นริ้วรอย เลยต้องใช้บริการฟิล์มพลาสติกหุ้มกระเป๋า เปลืองเงินเพิ่มอีก นอกจากนี้คุณยังไม่ต้องจ่าย “ทิป” ให้กับคนที่มาช่วยยกกระเป๋าให้ (ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือคนที่อยู่ดีๆ ก็ตีขลุมว่าคุณต้องการความช่วยเหลือแล้วเรียกเก็บเงินจากคุณ) ที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อเราถือสัมภาระมาน้อย เราก็สามารถโดยสารรถสาธารณะจากสนามบิน สถานีรถไฟ หรือสถานีขนส่งได้เลย (หลายคนคงมีประสบการณ์จ่ายค่าแท็กซี่แพงกว่าค่ารถโดยสารมาแล้ว) คล่องตัว เมื่อถึงที่หมายแล้วคุณสามารถเริ่มการเดินทางขั้นต่อไปได้ทันที ไม่ต้องรอเด็กรถยกกระเป๋าลงให้ หรือไม่ต้องยืนรอดักจับกระเป๋าเราจากสายพาน อาจจะแวะหาอะไรรับประทานในร้านข้างทางก่อน หรือเดินดูอะไรไปเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องมุ่งตรงเข้าที่พักเลยก็ได้ ในกรณีที่ไม่ได้จองที่พักไว้ล่วงหน้า ก็เดินหรือนั่งรถหาไปเรื่อยๆ ได้อีก รักษ์โลก แน่นอนอยู่แล้ว มันเป็นผลพลอยได้จากข้อดีข้างต้น นอกจากนี้ยังดีต่อตัวคุณเองด้วย เพราะแม้กระเป๋าจะมีล้อ แต่มันก็ต้องมีบ้างที่คุณต้องยกหรือถือกระเป๋าด้วยกล้ามเนื้อของตัวคุณเองบ้าง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า300 Point

ฉบับที่ 160 กระแสต่างแดน

บราซูก้า!! ในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งก่อนหน้านี้ อาดิดาสได้เปิดตัวลูกฟุตบอล “จาบูลานี” ที่ว่ากันว่ากลมที่สุด ตั้งแต่มีการผลิตลูกฟุตบอลมา เพราะมีชิ้นส่วนเพียง 8 ชิ้นและไม่มีรอยเย็บ แต่เมื่อเหนือฟ้ายังมีฟ้า เทพกว่า “จาบูลานี” ก็ยังมี “บราซูก้า” ลูกฟุตบอลที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนเพียง 6 ชิ้น ที่อาดิดาสผลิตขึ้นเพื่อการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2014 นี้ กระแสต่างแดนฉบับนี้จึงขอพาคุณเยี่ยมชมโรงงานผลิตลูกฟุตบอลบราซูก้า ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน เรามาดูกระบวนการผลิตและการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมของแบรนด์อาดิดาสไปพร้อมๆ กัน บราซูก้ามีส่วนประกอบหลัก 2 ส่วนคือ ลูกบอลชั้นใน ทำจากยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ และชั้นนอกที่ทำจากหนังเทียม ลูกบอลชั้นในที่ทำจากยางจะถูกสูบลมเข้า ทากาว แล้วปิดทับด้วยชิ้นผ้า หลังจากผ่านการตรวจเช็คขนาด ลูกบอลจะถูกทากาวทับอีกรอบก่อนนำไปอบ ลูกบอลที่สูบลมแล้วจะถูกปล่อยทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง ลูกที่รั่วจะถูกนำไปทำลาย ชั้นนอกของลูกบอลประกอบด้วยพื้นผิว 2 ชั้น ชั้นในซึ่งทำด้วยโฟมจะนุ่มและหนากว่า ขั้นตอนนี้มีเสียงดังมาก จากการสังเกตพบว่าพนักงานไม่ได้สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียงใดๆ อาดิดาสให้ข้อมูลว่าระดับเสียงในโรงงานไม่เกินมาตรฐาน(ทั้งของจีนและของนานาชาติ) แต่โรงงานก็กำลังพยายามลดเสียงลงด้วยการปรับแต่งเครื่องจักรและการติดตั้งอุปกรณ์ตัดเสียง   พื้นผิวลูกบอลชั้นนอกจะมีการพิมพ์ลวดลายเฉพาะของบราซูก้า โดยใช้เครื่องพิมพ์ทั้งหมด 10 เครื่อง (1 เครื่องต่อ 1 สี) จากนั้นเคลือบด้วยฟิล์มเพื่อป้องกันการขูดขีด ขั้นตอนนี้มีกลิ่นของสารเคมีค่อนข้างมาก พนักงานทุกคนต้องใส่หน้ากาก โรงงานจึงมีกฎให้พนักงานอยู่ในพื้นที่พิมพ์งานต่อครั้งได้ไม่เกิน 20 นาที อาดิดาสแจ้งว่าโรงงานใช้เฉพาะสารเคมีที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมนุษย์ และมีการจัดตรวจสุขภาพให้พนักงานเป็นประจำ ลูกบอลด้านนอกทั้งสองชั้นจะถูกประกบเข้าหากันด้วยกาวและแรงอัดจากเครื่องจักร จากนั้นโลโก้ของอาดิดาสและฟีฟ่าจะถูกพิมพ์ลงไป และเคลือบด้วยแผ่นฟิล์มอีกครั้ง จากนั้นชิ้นส่วนทั้ง 4 ชิ้นจะถูกนำมาทากาวให้ติดกันก่อนนำมาครอบทับลูกบอลชั้นใน จากนั้นอีก 2 ชิ้นที่เหลือจะถูกติดลงไป ขั้นตอนนี้จะทำโดยผู้หญิงเท่านั้น ทางโรงงานบอกว่านิ้วของผู้หญิงมีความยืดหยุ่นมากกว่า ขั้นตอนสุดท้ายคือการอบด้วยความร้อน (thermal bonding) เพื่อให้ทุกชิ้นส่วนติดกันโดยไม่ต้องเย็บ ลูกฟุตบอลที่ทำเสร็จแล้วจะต้องถูกสังเกตอาการเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ถ้าพบว่ามีการรั่วไหลของอากาศมันจะไม่ได้ไปต่อ ส่วนลูกที่สอบผ่านก็จะถูกนำไปจัดลงกล่องเพื่อส่งขายต่อไป   รักษาสิทธิเป็นที่สุด ถ้าเขาไม่ได้ตำแหน่งโจรตัวอย่างไปครองแล้ว เราคงจะยกตำแหน่งผู้บริโภคที่ใช้สิทธิยอดเยี่ยมให้เขาไป หัวขโมยชาวโปแลนด์นายนี้รอบคอบมาก เขาจะสำรวจราคาสินค้าในซูเปอร์มาเก็ตก่อนลงมือเสมอ เนื่องจากกฎหมายของโปแลนด์ระบุว่าการขโมยสินค้าที่มีมูลค่าสูงกว่า 420 ซวอตี(ประมาณ 4,500 บาท) นั้นมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 5 ปี แต่คราวนี้ร้านค้าเจ้ากรรมดันติดป้ายราคาผิด ทำให้ขโมยรายนี้ฉกข้าวของไปในราคาที่เกินความตั้งใจไปประมาณ 20 บาท เมื่อถูกจับได้เขาจึงต้องรับโทษหนัก แม้ตัวจะอยู่ในคุก แต่เขาก็ประกาศกร้าวว่าจะฟ้องซูเปอร์มาเก็ตเจ้านี้ โทษฐานติดราคาหลอกลวงผู้บริโภค …   ได้โปรดอย่ามาตั๋ว เมืองท่องเที่ยวหลักของเวียดนามอย่างฮานอยและฮอยอัน สูญเสียรายได้ประมาณร้อยละ 40 ให้กับมือดีที่มาตัดหน้าขายตั๋วปลอมเพื่อเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวอันงดงามระดับมรดกโลกของเขา ทั้งๆ ที่ราคาตั๋วจริงก็ไม่ได้แพงเว่อร์เสียหน่อย ตั๋วสำหรับชาวต่างชาติราคา 120,000 ดอง (ประมาณ 185 บาท) สำหรับคนท้องถิ่น 80,000 ดอง(ประมาณ 120 บาท) และยังสามารถใช้เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวได้ถึง 5 แห่ง แต่เชื่อหรือไม่ว่าร้อยละ 90 ของนักท่องเที่ยวไม่รู้ด้วยซ้ำว่า พวกเขาต้องซื้อบัตรผ่านประตูเพื่อเข้าชมเมืองเก่าเหล่านี้ เพราะบริษัททัวร์บางเจ้าลดต้นทุนด้วยการพานักท่องเที่ยวเข้าชมหลังเวลา 6 โมงเย็น (ซึ่งเป็นเวลาที่ให้เข้าฟรี) หรือไกด์บางคนก็พานักท่องเที่ยวซอกแซกหลบจุดที่จะต้องจ่ายค่าผ่านประตูไปเสียดื้อๆ มีผู้คนทั้งในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ทราบว่าเงินค่าตั๋วนั้นจะถูกนำไปใช้เพื่อการซ่อมแซมตึกรามบ้านเรือนเก่าและโบราณสถานอื่นๆ ในพื้นที่มรดกโลกนั่นเอง ข่าวบอกว่าเวียดนามจะคิดระบบตั๋วเข้าชมที่จะทำให้รัฐมีรายได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยออกมาภายในปี 2558 นี้ หาดนี้ไม่มีคู่แข่ง อิตาลีมีระบบการบริหารจัดการชายหาดที่ไม่ซ้ำใคร ชายหาดความยาว 7,500 กิโลเมตรนี้มีใบอนุญาตประกอบกิจการอยู่ 28,000 ใบ และมันแทบไม่เคยถูกเปลี่ยนมือ เพราะผู้ที่ประกอบธุรกิจร้านอาหาร เครื่องดื่ม หรือให้เช่าร่ม ในปัจจุบันก็คือลูกหลานตัวเป็นๆ ของผู้ที่เคยได้สัมปทานจากรัฐในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ข่าวบอกว่ารัฐเก็บค่าเช่าจาก “ธุรกิจครอบครัว” เหล่านี้ปีละ 3,570 ยูโร แต่ใครที่ไปเช่าช่วงต่ออาจต้องจ่ายค่าเช่าสูงถึงปีละ 250,000 ยูโร แน่นอน ... ชายหาดที่สามารถสร้างรายได้ถึง 10,000 ล้านยูโรต่อปีนั้นย่อมดึงดูดใจนักลงทุนจากทุกแห่งหน แต่ปัญหามันอยู่ที่ผู้ประกอบการหน้าใหม่หรือทุนใหญ่จากต่างประเทศยังหาโอกาสเข้าแทรกแซงกิจการครอบครัวไม่ได้เสียที เมื่อ 8 ปีก่อน สหภาพยุโรปประกาศให้ประเทศสมาชิกเปิดให้มีการแข่งขันอย่างเสรีในธุรกิจหลายๆประเภท และบอกให้อิตาลีนำใบอนุญาต 28,000 นี้ออกมาประมูลด้วย ตอนนั้นอิตาลีเตะถ่วงด้วยการขอเวลาไปจนถึงปี 2015 แต่เมือถึงปี 2012 รัฐบาลอิตาลีซึ่งถูกกดดันโดย “ครอบครัว” เหล่านี้ก็ออกกฎหมายที่กำหนดเวลาการประมูลไว้ที่ปี 2020 เสียเลย อีก 6 ปี เรามาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ...   //

อ่านเพิ่มเติม >