ฉบับที่ 163 รู้เท่าทันการล้างพิษตับ ตอนที่ 3

อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่า เรื่องการล้างพิษตับนั้นมีความเห็นที่แตกต่างกันมาก พวกหนึ่งซึ่งมีทั้งแพทย์ ผู้รักสุขภาพ และผู้ที่ผ่านประสบการณ์การล้างพิษตับต่างเห็นว่าการล้างพิษตับนั้นมีประโยชน์ ทำให้สุขภาพดีขึ้นอย่างชัดเจน  ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งก็มีทั้งแพทย์และนักวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกันออกมาคัดค้านว่าเป็นเรื่องหลอกลวงและไม่มีทางที่จะขับนิ่วในท่อน้ำดีได้ ในฉบับนี้ เราลองมาฟังความเห็นของผู้ที่มีประสบการณ์ตรงและเกิดผลเชิงประจักษ์จากการล้างพิษตับ และในฉบับหน้าจะนำความเห็นของผู้ที่เห็นตรงกันข้ามมาลงให้ผู้อ่านรับฟัง กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้จัดเวทีวิชาการเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2557 ในหัวข้อเกี่ยวกับการล้างพิษตับ  และได้เชิญนายแพทย์ผู้มีประสบการณ์ตรง 3 ท่านในการล้างพิษตับทั้งกับตนเองและผู้อื่น  และได้เชิญแพทย์ฝ่ายที่มีความเห็นคัดค้านมาร่วมด้วย แต่ไม่สามารถมาร่วมได้ จึงเป็นการนำเสนอข้อมูลจากด้านที่เห็นว่ามีประโยชน์เป็นหลัก นอกจากนี้มีนักวิชาการเข้าร่วมการประชุมประมาณสามสิบคนซึ่งได้ร่วมแสดงความคิดเห็นร่วมด้วย โดยสรุป ความคิดเห็นเกี่ยวกับการล้างพิษตับมีสาระสำคัญดังนี้ 1. การล้างพิษตับมีประโยชน์หรือมีผลดีหรือไม่? แพทย์ทั้งสามท่านเห็นว่ามีผลดีอย่างแน่นอน ทั้งจากการทบทวนเอกสารวิชาการและประสบการณ์เชิงประจักษ์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น 2. ทำไมจึงเกิดกระแสนิยมการล้างพิษตับอย่างมาก ทั้งในต่างประเทศและประเทศไทย? เกิดจากแนวโน้มคนพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพมากขึ้น  อิทธิพลของสื่อออนไลน์ที่สื่อสารกันอย่างแพร่หลาย  มีชุมชนมังสวิรัติที่เป็นผู้นำการล้างพิษตับ  และสุดท้ายที่สำคัญคือ ผลดีที่เกิดขึ้นจากการล้างพิษตับ เพราะถ้าไม่เกิดผลดีแล้ว ความนิยมก็จะค่อยๆ ลดน้อยลง 3. การล้างพิษตับเหมาะกับผู้ใด หรือปัญหาสุขภาพอะไร? เป็นประโยชน์กับผู้ที่อ้วน ไขมันสะสมที่ตับ ไขมันในเลือดสูง  ตับอักเสบจากการกินยาลดไขมัน 4. การล้างพิษตับไม่ควรหรือห้ามทำในผู้ป่วยแบบใด หรือปัญหาสุขภาพใด? ผู้ที่เป็นมะเร็งเพราะจะมีสุขภาพอ่อนแอ  ผู้ที่มีนิ่วในถุงน้ำดีซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 0.5 เซนติเมตรขึ้นไป เพราะไม่สามารถหลุดออกมาและอาจเกิดอาการปวด  ก่อนการล้างพิษตับจึงควรทำอัลตร้าซาวด์ก่อนว่ามีนิ่วหรือไม่ 5. ข้อควรระวังในการส่งเสริมการล้างพิษตับ ที่สำคัญมีการจัดกิจกรรมการล้างพิษตับอย่างกว้างขวางและหลากหลาย  มีการอวดอ้างสรรพคุณอย่างมากมาย สามารถรักษาได้แทบทุกโรคตั้งแต่ การขับนิ่วในถุงน้ำดี การรักษามะเร็ง และโรคอื่นๆ  ซึ่งจะเป็นการทำให้ประชาชนสับสนและไม่เชื่อถือ  ดังนั้นจึงต้องไม่อวดอ้างสรรพคุณมากเกินจริง  และไม่ควรอ้างว่าการล้างพิษตับสามารถขับนิ่วในท่อน้ำดีได้ เพราะนิ่วที่เกิดขึ้นจากการล้างพิษตับนั้นไม่ใช่นิ่วในถุงน้ำดีของการแพทย์แผนปัจจุบัน ทำให้เกิดการโต้แย้งจากแพทย์ที่ไม่เห็นด้วย 6. การล้างพิษตับนั้นควรมีการกำหนดมาตรฐานและความปลอดภัยหรือไม่? การล้างพิษตับนั้นมีหลากหลายรูปแบบและวิธีการ จึงควรมีมาตรฐานโดยยึดหลักวิชาการทางการแพทย์และความปลอดภัยของผู้รับบริการ  ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนสามารถตัดสินใจในการเลือกใช้บริการต่างๆ ที่มีอยู่ ฉบับหน้าเรามาดูข้อมูลของฝ่ายที่เห็นว่าการล้างพิษตับเป็นการหลอกลวงประชาชน  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 162 รู้เท่าทันการล้างพิษตับ ตอนที่ 2

ตอนที่ 2 นี้ขออธิบายเกี่ยวกับหน้าที่ของตับเพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจว่า ตับทำหน้าที่อะไร  สารพิษอะไรบ้างที่ตับทำลาย และตับสร้างหรือผลิตสารอะไร ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญต่อชีวิต ทำหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสารเคมีจำนวนมาก (หลายร้อยชนิด) ที่จำเป็นต่อร่างกาย  ในขณะเดียวกันตับก็เป็นต่อมที่ผลิตและหลั่งสารเคมีที่ร่างกายนำไปใช้   ตับทำหน้าที่อะไรบ้าง การย่อยอาหาร ตับมีบทบาทสำคัญในกระบวนการย่อยอาหารด้วยการผลิตน้ำดี  น้ำดีประกอบด้วย น้ำ เกลือ โคเลสเตอรอล และสีของดี  เซลล์ตับ (hepatocytes) ผลิตน้ำดีและส่งไปตามท่อน้ำดีไปเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี  เมื่ออาหารที่มีไขมันมาถึงบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น เซลล์ที่ลำไส้เล็กส่วนต้นจะปล่อยฮอร์โมนออกมาเพื่อกระตุ้นให้ถุงน้ำดีปล่อยน้ำดีออกมาย่อยไขมัน ทำให้ไขมันแตกตัวเล็กลงและถูกย่อยได้ง่าย บิลิรูบิน (bilirubin) ในน้ำดีเป็นผลิตผลจากเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุและถูกตับย่อยสลาย  ธาตุเหล็กจากเม็ดเลือดแดงที่ถูกย่อยไม่สามารถนำไปใช้ใหม่ได้ จึงถูกเปลี่ยนไปเป็นบิลิรูบินและอยู่ในน้ำดีเพื่อที่จะถูกขับออกจากร่างกาย  บิลิรูบินทำให้น้ำดีมีสีเขียว  แบคทีเรียในลำไส้จะเปลี่ยนบิลิรูบินไปเป็นสเตอร์โคบิลิน (stercobilin) ซึ่งสีน้ำตาล  ทำให้อุจจาระมีสีน้ำตาล   เมแทบอลิซึม เซลล์ตับทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับเมแทบอลิซึมของร่างกาย  เนื่องจากเลือดทั้งหมดที่มาจากระบบการย่อยอาหารจะไหลผ่านทางหลอดเลือดดำที่เข้าตับ ตับจึงทำหน้าที่ในการย่อยสลายคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนให้เป็นสารชีววิทยาที่มีประโยชน์ ระบบย่อยอาหารจะย่อย “คาร์โบไฮเดรต” ให้เป็นกลูโคส ซึ่งเซลล์จะนำไปใช้เป็นพลังงาน  เลือดที่ไหลเข้าตับจะมากไปด้วยกลูโคส เซลล์ตับจะดูดซึมกลูโคสและเก็บไว้ในรูปของไกลโคเจน ซึ่งเป็นโมเลกุลที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ตับสามารถเก็บกลูโคสได้ในปริมาณมาก และปล่อยออกมาได้อย่างรวดเร็วในระหว่างมื้ออาหาร  ทำให้ร่างกายสามารถรักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือดได้ การย่อย “กรดไขมัน” กรดไขมันในเลือดจะถูกเซลล์ตับดูดซึมและย่อยสลาย เพื่อไปสร้างพลังงาน  ไขมันบางส่วนจะถูกเซลล์ตับเปลี่ยนไปเป็นกลูโคส  นอกจากนี้ เซลล์ตับยังสร้างไขมัน เช่น โคเลสเตอรอล และส่วนประกอบไขมันอื่นๆ ซึ่งถูกเซลล์อื่นทั่วร่างกายนำไปใช้  โคเลสเตอรอลจำนวนมากที่สร้างขึ้นจากเซลล์ตับจะถูกกำจัดออกจากร่างกายในรูปของส่วนประกอบของน้ำดี การย่อย “โปรตีน” โปรตีนจากอาหารจะถูกย่อยเป็นกรดอะมิโน ก่อนที่จะส่งผ่านเข้าหลอดเลือดดำที่เข้าตับ  กรดอะมิโนจะถูกย่อยสลายที่ตับก่อนจึงจะนำไปใช้สร้างพลังงานได้  เซลล์ตับจะเอากลุ่มเอมีนออกจากกรดอะมิโนและเปลี่ยนไปเป็นแอมโมเนียและยูเรียในที่สุด  ยูเรียเป็นพิษน้อยกว่าแอมโมเนียและขับถ่ายออกทางปัสสาวะได้  กรดอะมิโนส่วนที่เหลือ(หลังจากเอากลุ่มเอมีนออก) จะแตกตัวไปเป็นพลังงานหรือกลับไปเป็นกลูโคสใหม่ การกำจัดความเป็นพิษ เอนไซม์ในเซลล์ตับจะย่อยสลายสารที่เป็นพิษต่างๆ เช่น แอลกอฮอล์ และยา ให้เป็นสารที่ไม่เป็นอันตราย  ตับยังย่อยสลายฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายและขจัดออกจากกระแสเลือด เพื่อเป็นการรักษาสมดุลของฮอร์โมนในเลือด การเก็บสารต่างๆ ตับทำหน้าที่ เก็บสารอาหารสำคัญ วิตามิน และเกลือแร่ จำนวนมากที่มาจากเลือดที่เข้าตับ  ตับเก็บสะสมกลูโคสในรูปไกลโคเจน กรดไขมันจากไตรกลีเซอไรด์ที่ถูกย่อย  และยังเก็บวิตามินและแร่ธาตุจำนวนมากได้แก่ วิตามิน A, D, E, K, B12  และ เหล็กกับทองแดง การผลิต ตับสร้างส่วนประกอบโปรตีนที่สำคัญของพลาสม่า ได้แก่ โปรตีนที่เป็นปัจจัยให้เลือดแข็งตัว  โปรตีนอัลบูมินซึ่งจำเป็นในการรักษาสภาวะของเหลวในระบบไหลเวียนเลือด ภูมิคุ้มกัน ตับยังทำหน้าที่เสมือนอวัยวะของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยผ่านการทำงานของคุปเฟอร์เซลล์ (Kupffer cells)  คุปเฟอร์เซลล์จะจับและย่อยแบคทีเรีย เชื้อรา พยาธิ เม็ดเลือดที่ฉีกขาด และซากเซลล์ต่างๆ   จากหน้าที่ของตับในการขจัดสารที่เป็นพิษ การย่อยสลายโปรตีนและเกิดแอมโมเนียและยูเรีย การเก็บสะสมสารอาหารต่างๆ โดยเฉพาะ ไกลโคเจน กรดไขมันในตับ  จึงเป็นที่มาของความเชื่อว่า ตับมีการสะสมสารพิษต่างๆ ต่อตับและร่างกายไว้จำนวนมาก  การล้างพิษตับจะช่วยให้ตับปราศจากหรือลดสารพิษในตับได้ ติดตาม ตอน 3 ในฉบับหน้า    

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 161 รู้เท่าทันการล้างพิษตับ ตอนที่ 1

ความนิยมในการล้างพิษตับเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ในต่างประเทศก็เกิดความนิยมในการล้างพิษตับอย่างมากมายเช่นเดียวกัน โดยถือว่าเป็นการแพทย์ทางเลือกอย่างหนึ่ง  การล้างพิษตับเกิดประโยชน์จริงหรือไม่  มีโทษหรืออันตรายหรือเปล่า เราคงเห็นในเว็บไซต์ต่างๆ ทั้งฝ่ายที่เห็นว่ามีประโยชน์มากมาย ทำให้ตับดีขึ้น มีการถ่ายเป็นนิ่วออกมาจำนวนมาก และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นบรรดาหมอและนักวิชาการที่ออกมาคัดค้านและอธิบายว่านิ่วที่ถ่ายออกมาเกิดจากอะไร  เราลองมารู้เท่าทันเกี่ยวกับเรื่องนี้ แนวคิดเรื่องการล้างพิษ ความเชื่อหรือทฤษฎีเรื่องร่างกายมีสารพิษตกค้างมีมานานหลายพันปี  สารพิษในสมัยโบราณนั้นหมายถึงอาหารการกิน เหล้า ยาสูบ น้ำดื่มที่ไม่สะอาด โดยเฉพาะอาหารเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก(อย่าลืมว่าในสมัยโบราณไม่มีตู้เย็น และเชื้อเพลิงที่ดีพอ)  อาหารที่กำลังกลายเป็นอุจจาระหรือในทางพุทธศาสนาเรียกว่า อาหารเก่า(กรีสัง) นั้นเกิดจากการย่อยอาหารใหม่และนำไปใช้เป็นพลังงานและซ่อมเสริมส่วนต่างๆ ของร่างกาย  อาหารที่เหลือจะกลายเป็นอาหารเก่า มีการเน่าเปื่อยและเป็นสิ่งปฏิกูล  จึงเชื่อว่ามีสิ่งที่เป็นพิษต่อร่างกายและเป็นเมือกเกาะอยู่กับผนังลำไส้ถ้าไม่ขับถ่ายออกมาหรือมีการตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่  ดังนั้นการสวนล้างเพื่อทำความสะอาดลำไส้ใหญ่จึงเป็นวิธีการในการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ เพื่อล้างสิ่งปฏิกูลหรือซากอุจจาระที่ติดอยู่กับผนังลำไส้ใหญ่เพื่อไม่ให้ปล่อยสิ่งที่เป็นพิษเข้าสู่ร่างกาย จึงเป็นต้นกำเนิดของการสวนล้างลำไส้ที่แพร่หลายมาจนถึงทุกวันนี้ สารพิษที่ว่า ก่อให้เกิดอาการต่างๆ ได้แก่  การอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ น้ำหนักเพิ่มขึ้น ไม่มีแรง   การสวนล้างลำไส้ (ใหญ่) การรักษาด้วยการสวนล้างลำไส้(ใหญ่) มีมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ ในอินเดีย และในอีกหลายๆ เมืองโบราณ  ในสหรัฐอเมริกาเกิดความนิยมตั้งแต่ทศวรรษ ค.ศ. 1920 และ 1930  แต่เนื่องจากขาดทฤษฎีทางการแพทย์สนับสนุนจึงเริ่มเสื่อมความนิยมไป  จนเมื่อเร็วๆ นี้ การสวนล้างโดยใช้ น้ำชา เอ็นไซม์ หรือล้างด้วยน้ำ เริ่มกลับมานิยมอีกครั้ง   การสวนล้างลำไส้ดีหรือไม่? คำตอบก็คือ  ยังหาข้อยุติไม่ได้ ทั้งนี้เพราะนักวิจัยยังไม่ได้ทุ่มเทให้กับการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และมีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้น้อยเกินไป การสวนล้างลำไส้อาจทำได้ 2 ทาง คือ การกินสารต่างๆ ที่ไปทำความสะอาดทางปาก และอีกทางหนึ่งคือทางทวารหนัก  ทั้งสองทางมีเป้าหมายเดียวกันคือ การไปขับอาหารและสิ่งตกค้างต่างๆ ในลำไส้ใหญ่  สารที่ใช้สวนล้างลำไส้ในประเทศต่างๆ สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามอินเตอร์เน็ต ห้างสรรพสินค้า ร้านขายยา  สารเหล่านี้ได้แก่  น้ำยาสวนทวารหนัก ยาระบาย ชาสมุนไพร เอนไซม์ และ แมกนีเซียม รวมทั้งการใช้น้ำ น้ำผลไม้ กาแฟ และอื่นๆ อีกมากมาย  เนื่องจากมีการประยุกต์ไปตามการใช้ของบุคคลและกลุ่มต่างๆ อย่างกว้างขวาง   การล้างพิษตับ การล้างพิษตับที่กำลังโด่งดังอยู่ในเมืองไทยและต่างประเทศในขณะนี้  ก็มีความเชื่อเช่นเดียวกันว่า สารพิษต่างๆ กำลังมีผลกระทบต่อร่างกายของเรา  สารพิษเหล่านี้เป็นได้ตั้งแต่ สารเคมีต่างๆ ที่เป็นอันตราย  สารเคมีกำจัดศัตรูพืช  หมอกควัน และอื่นๆ เช่น  แอลกอฮอล์ กาเฟอีน ยา เครื่องปรุงรสอาหารต่างๆ น้ำตาล น้ำที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นต้น  และเชื่อว่าร่างกายสะสมสารพิษเหล่านี้ไว้ในทางเดินอาหาร ต่อมน้ำเหลือง รวมทั้งในผิวหนังและเส้นผม  ทำให้เกิดอาการ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และ โรคเรื้อรังต่างๆ ความเชื่อเรื่องสารพิษในร่างกายจึงเป็นที่มาของแนวทางการใช้อาหารเพื่อล้างพิษ ตั้งแต่การอดอาหารเพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับสารพิษเพิ่ม และค่อยกินอาหารที่ปลอดจากสารพิษเข้าไปแทน  วิธีการต่างๆ มีได้ตั้งแต่ การกินอาหารเหลวประมาณวันสองวัน หลังจากนั้นเริ่มกินข้าวกล้อง ผลไม้ ผักที่นึ่งหรือต้ม  และค่อยเพิ่มอาหารอื่นมากขึ้น  นอกจากนี้ยังมีวิธีการอีกหลากหลายตามลีลาชีวิตของแต่ละประเทศและวัฒนธรรม การสวนล้างลำไส้และการใช้อาหารธรรมชาติเพื่อขับสารพิษออกจากร่างกาย จึงเป็นแนวความคิดสำคัญที่ก่อรูปและพัฒนามากลายเป็น การล้างพิษตับที่เป็นที่นิยมและถกเถียงกันทั่วโลกในปัจจุบันนี้       //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 160 รู้เท่าทันอายุยืนยาว 100 ปี ตอนที่ 3

บทเรียนแห่งการมีอายุยืนยาวถึงหนึ่งร้อยปี อีก 4 บทเรียน มีดังนี้ บทเรียนที่ 5  เข้าเกียร์ต่ำ ใช้ชีวิตให้ช้าลง ผู้ที่มีอายุเกิน 100 ปีจะมีกระแสแห่งความสงบสันติแผ่ซ่านออกจากตัว ส่วนหนึ่งเกิดจากร่างกายของพวกเขาเชื่องช้าลงโดยธรรมชาติเมื่อสูงวัยขึ้น  ผลที่ได้จากการปรับชีวิตให้ช้าลงทำให้เกิดความเข้าใจและรับรู้เกี่ยวกับสุขภาวะที่ดีเลิศ  การใช้ชีวิตที่ช้าลงสัมพันธ์กับบทเรียนอื่นๆ ด้วย ได้แก่ กินอาหารที่ถูกต้อง เห็นคุณค่าของเพื่อน หาเวลาในการสำรวจจิตวิญญาณของตนอง ให้ความสำคัญกับครอบครัว สร้างเป้าหมายให้ชีวิต วิธีปฏิบัติง่ายๆ ได้แก่ การลดเสียงรบกวน โดยลดเวลาดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ และท่องอินเตอร์เน็ตลงให้เหลือน้อยที่สุด  การถึงที่หมายก่อนเวลานัด ทำให้ลดความเครียดจากการจราจร การหลงทาง เพื่อให้คุณทำตัวช้าลงและสามารถจดจ่อในงานหรือการประชุมได้  การนั่งสมาธิ โดยกำหนดเวลานั่งสมาธิให้เป็นประจำ บทเรียนที่ 6 มีส่วนร่วม เข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มศาสนาที่นับถือ  คนสุขภาพดีที่มีอายุเกิน 100 ปี ทุกแห่งมีศรัทธาในศาสนา พวกเขาทุกกลุ่มเป็นส่วนหนึ่งของสังคมศาสนาที่เข้มแข็งพฤติกรรมง่ายๆ ของการกราบไหว้บูชานับเป็นหนึ่งในพฤติกรรมทรงประสิทธิภาพแฝง อันอาจเพิ่มโอกาสให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้นมากได้อีกหลายปี   งานวิจัยต่างๆ แสดงผลว่า การเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาแม้เพียงเดือนละครั้ง อาจมีผลต่ออายุขัยของคนผู้นั้น วิธีปฏิบัติง่ายๆ ได้แก่  การเข้าร่วมของกลุ่มศาสนาที่มีอยู่แล้วให้มากขึ้น  การศึกษาหรือปฏิบัติแนวทางใหม่ที่มีผลให้จิตใจสงบลงและมีกัลยาณมิตร เช่น กลุ่มปฏิบัติธรรมต่างๆ หรือแม้กระทั่งการเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครให้กับกิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่างๆ  การจัดตารางเวลาสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมงต่อเนื่อง 8 สัปดาห์เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ดังกล่าว โดยไม่ต้องคิดหรือคาดหวังผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น บทเรียนที่ 7 คนที่เรารัก มาอันดับแรก ผู้ที่มีอายุเกิน 100 ปี ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก  ชีวิตของพวกเขาเต็มไปด้วยหน้าที่ต่อครอบครัว ประเพณี และให้ความสำคัญที่จะอยู่ด้วยกัน  เมื่อพวกเขาอายุครบ 100 ปี ความทุ่มเทมาตลอดชีวิตก็ผลิดอกออกผล  ลูกหลานต่างตอบแทนความรักความห่วงใยของพวกเขา  ลูกๆ จะดูแลพ่อแม่ และอยู่ร่วมกัน  งานวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ว่า ผู้สูงวัยที่อาศัยอยู่กับลูกหลานเป็นโรคน้อยกว่า ได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า มีความเครียดน้อยกว่า วิธีปฏิบัติง่ายๆ ได้แก่  การใกล้ชิดกันมากขึ้น การอาศัยในบ้านที่มีขนาดเล็กลงช่วยให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น ผูกพันกันและใช้เวลาร่วมกันได้ง่ายกว่า  การสร้างประเพณีของครอบครัว เช่น การกินอาหารด้วยกันทั้งครอบครัวอย่างน้อยวันละหนึ่งมื้อ(หรือสัปดาห์ละหนึ่งมื้อ) และสุดท้าย ครอบครัวต้องมาก่อน บทเรียนที่ 8 อยู่ในกลุ่มชนที่ถูกต้อง การอยู่ในกลุ่มคน ชุมชน หรือหมู่บ้านที่เห็นคุณค่าของการมีสุขภาพและการมีอายุยืน จะช่วยเสริมการใช้ชีวิตที่ส่งเสริมการมีอายุยืน  การเชื่อมโยงทางสังคมเป็นสิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในสังคมของผู้มีอายุยืนยาว คนที่มีสังคมกว้างขวางกว่า จะมีชีวิตยืนยาวกว่า วิธีปฏิบัติง่ายๆ ได้แก่  การค้นหากลุ่มกัลยาณมิตร หาคนที่มีพฤติกรรมที่ดีและคล้ายคลึงกัน  การทำตนให้เป็นที่รักและน่าคบหา  ผูมีอายุยืนยาวไม่มีใครเป็นคนขี้บ่นน่าเบื่อ  และใช้เวลาอยู่ด้วยกันกับกลุ่มกัลยาณมิตร อย่างน้อยวันละ 30 นาที  โดยมาพบปะพูดคุย กินอาหารด้วยกัน ออกกำลังกายด้วยกัน   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 159 รู้เท่าทันอายุยืนยาว 100 ปี ตอนที่ 2

จากการสำรวจหาดินแดนที่มีการกระจุกตัวของผู้ที่มีอายุเกินหนึ่งร้อยปีทั่วโลก พบว่ามีอยู่ 4 แห่ง ได้แก่ เกาะโอกินาวาในญี่ปุ่น  เกาะซาร์ดิเนียในอิตาลี คอสตาริกาในอเมริกากลาง  และสุดท้ายชุมชนเซเว่นเดย์แอ๊ดเวนตีสในลอสแองเจลิส อเมริกา  ซึ่งหมายถึงดินแดนที่มีผู้มีอายุเกินหนึ่งร้อยปีอยู่กันหนาแน่นกว่าที่อื่นใดในโลก แดน บุทเนอร์ นักเขียนและนักค้นคว้าจากนิตยสาร เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ได้ทำการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบในพื้นที่ทั้ง 4 แห่ง  ลงหาข้อมูลในพื้นที่จริง นำมาวิเคราะห์และหาข้อสรุปของแต่ละพื้นที่ ก่อนนำมาสรุปเป็นภาพรวมของเหตุปัจจัยร่วมที่ทำให้ผู้คนมีชีวิตยืนยาวกว่า 100 ปีอย่างมีสุขภาพดี  และได้สรุปเป็นแนวทางปฏิบัติที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้ไม่ยาก บทเรียนแห่งการมีอายุยืนยาวถึงหนึ่งร้อยปี มีดังนี้ บทเรียนที่ 1 เคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ มีความกระตือรือร้นโดยไม่ต้องคิดหรือบังคับ  ผู้มีอายุเกินร้อยปีจะทำกิจกรรมเบาๆ ไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว  เช่น ทำสวน เลี้ยงสัตว์ ทำไร่ กิจวัตรประจำวันที่ดีคือการผสมผสานระหว่างการออกกำลังกาย การทรงตัว และการเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง  ซึ่งจริงๆ แล้ว การเดิน การทำสวน การทำงานบ้าน เป็นกิจกรรมที่ผสมผสานทุกอย่างได้เป็นอย่างดี วิธีปฏิบัติง่ายๆ ได้แก่ การละความสะดวกสบาย  ใช้ชีวิตให้สนุก เคลื่อนไหวมากๆ  เดินเป็นประจำ การชวนเพื่อนไปเที่ยว การทำสวน การฝึกโยคะ ไทเก๊ก ฤๅษีดัดตน เป็นต้น   บทเรียนที่ 2 ฮารา ฮาจิ บู เป็นการตัดแคลอรีจากอาหารลงร้อยละ 20 อย่างง่ายๆ  ผู้เฒ่าชาวโอกินาวาจะพึมพำภาษิตของขงจื้อ “ฮารา ฮาจิ บู” ก่อนลงมือกินอาหารเพื่อคอยเตือนสติให้หยุดก่อนอิ่ม หรืออิ่มประมาณร้อยละ 80  ทำให้เป็นการลดแคลอรีจากอาหารได้ทุกๆ มื้อ วิธีปฏิบัติง่ายๆ ได้แก่  การตักอาหารให้อยู่ในจานเดียวแล้วกินเพียงแค่นั้น  การจัดอาหารให้ดูใหญ่ขึ้น ใช้ภาชนะเล็กลง ชั่งน้ำหนักตัวทุกวัน กินให้ช้าลงโดยการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดและนานขึ้น  กินอาหารมื้อเช้าให้มากกว่ามื้ออื่นๆ บทเรียนที่ 3 กินผักให้มาก หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์และอาหารแปรรูป ผู้มีอายุเกินร้อยปีกินอาหารที่ไม่ผ่านการแปรรูป  หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ ยกเว้นโอกาสพิเศษซึ่งไม่บ่อยครั้ง  ผู้เป็นมังสวิรัติจะมีอายุยืนยาวกว่าผู้ที่กินเนื้อสัตว์  ถั่ว ธัญพืชและผักสวนครัวเป็นอาหารหลักของผู้มีอายุเกินร้อยปี วิธีปฏิบัติง่ายๆ ได้แก่  กินผัก 4-6 ชนิด ทุกวัน  ลดเนื้อสัตว์  จัดวางผัก ผลไม้ให้เด่นเข้าไว้บนโต๊ะอาหาร  กินถั่วฝัก โดยเฉพาะถั่วเหลือง เต้าหู้  กินถั่วเปลือกแข็งทุกวัน โดยมีของขบเคี้ยวเป็นถั่ว บทเรียนที่ 4 มีจุดมุ่งหมายเดี๋ยวนี้ ผู้มีอายุเกินร้อยปีจะมีความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า เพราะมีจุดมุ่งหมายของชีวิต  ผู้ที่มีเป้าหมายชีวิตชัดเจนคือมีบางสิ่งที่มีความหมายรอให้ตื่นขึ้นมาทำตอนเช้า จะมีชีวิตยืนยาวกว่าและคงความหลักแหลมทางจิตใจได้มากกว่าผู้ที่ขาดเป้าหมายชีวิต เป้าหมายชีวิตอาจเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเช่น ดูแลให้ลูกหลานเติบโตด้วยดี หรืองาน และงานอดิเรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีความทุ่มเทจริงจังกับงานนั้นๆ วิธีปฏิบัติง่ายๆ ได้แก่  การเขียนเป้าหมายชีวิต  การหาเพื่อนหรือกัลยาณมิตร  การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ  การปฏิบัติธรรม เป็นต้น โปรดติดตามฉบับหน้า อีก 4 บทเรียนนะครับ   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 158 รู้เท่าทันอายุยืนยาว 100 ปี ตอนที่ 1

การอยากมีอายุยืนยาวเป็นความใฝ่ฝันของคนทั่วโลกและทุกยุคสมัย  เพราะชีวิตคือสิ่งที่มีค่าที่สุดของมนุษย์  ในประวัติศาสตร์แต่โบราณมีความพยายามในการแสวงหา “ยาอายุวัฒนะ” มาตลอด ตั้งแต่ยุคการเล่นแร่แปรธาตุใน ค.ศ. 500 - 1500  นักเคมีสนใจการเล่นแร่แปรธาตุให้เป็นทองคำแต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเริ่มมาสนใจค้นหายาอายุวัฒนะที่ใช้รักษาโรค และเริ่มสนใจอย่างมากในปี ค.ศ. 1500 - 1600 จนเกิดตำนานหรือความเชื่อเรื่อง น้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว (Fountain of Youth) ขึ้น ใครก็ตามที่ได้ลงไปอาบและดื่มน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาวนี้ก็จะกลับเป็นหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง  ความเชื่อเรื่องน้ำพุศักดิ์สิทธิ์นี้มีอิทธิพลไปทั่วทุกมุมโลก ในหลายศาสนาและหลายลัทธิความเชื่อ  เราจะเห็นความเชื่อต่างๆ เหล่านี้ในอินเดีย อินโดนีเซีย และในไทย ที่มักจะมีบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ในวัด หรือในป่าเขา เมื่อดื่มกินแล้ว โรคร้ายต่างๆ ก็จะหายไป เป็นต้น ในเอเชียเองมีความพยายามค้นหายาอายุวัฒนะเช่นเดียวกัน  ที่มีเรื่องเล่าโด่งดังก็คือ เรื่องของจิ๋นซีฮ่องเต้ ซึ่งพระองค์เกิดความกลัวว่าจะตายเร็วไป ทำให้ปณิธานที่จะสืบสานนโยบายการรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นยังไม่ลุล่วง  การแสวงหายาอายุวัฒนะของจิ๋นซีฮ่องเต้จึงเริ่มต้นขึ้น โดยมาจากคำบอกเล่าของเหล่าอำมาตย์หรือที่ปรึกษาว่ายาอายุวัฒนะอยู่ที่โพ้นทะเล จิ๋นซีฮ่องเต้จึงส่งเด็ก 500 คน ผู้ใหญ่ 500 คน และคนแก่ 500 คน ออกเดินทางสู่ทะเลทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นปากทางของแม่น้ำฮวงโหที่ไหลออกสู่ทะเล แต่ก็ไม่เคยมีใครได้กลับมา เหตุที่ต้องส่งเด็กไปด้วย เพราะต้องใช้เวลาในการแสวงหายาอายุวัฒนะนาน หากเอาผู้สูงอายุไปแม้จะมีประสบการณ์มากกว่า แต่ก็ต้องตาย ดังนั้น จึงต้องมีเด็กเพื่อคอยสืบต่อให้ได้สามชั่วอายุคน นี่เป็นที่มาของการแสวงหายาอายุวัฒนะ และเป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อมาอันยาวนาน   ในคัมภีร์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์พื้นบ้านก็มีการบันทึกตำรายาอายุวัฒนะไว้เป็นจำนวนมาก  แต่ละตำรับก็แตกต่างกันไปตามความรู้ ความเชื่อ และสมุนไพรที่หาได้ในท้องถิ่นนั้นๆ การแสวงหายาอายุวัฒนะที่จะทำให้คนมีอายุยืนยาวขึ้นกว่าเดิมโดยที่ยังมีสุขภาพดีนั้น ยังคงสืบเนื่องต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้  ที่น่าสนใจและน่าเชื่อถือได้มากที่สุดคือ การค้นหาแหล่งที่มีผู้ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลกนี้ว่ามีที่ไหนบ้าง และค้นหาวิธีการที่พวกเขาเหล่านี้ปฏิบัติจนทำให้มีอายุยืนยาวกว่าคนปกติทั่วไป  นี่น่าจะเป็นอายุวัฒนะที่แท้จริงและเชื่อถือได้ แดน บุทเนอร์ นักเขียนสารคดีของนิตยสารจีโอกราฟิก ได้ทำการค้นหาดินแดนที่มีการกระจุกตัวของผู้ที่มีอายุเกิน 100 ปี หนาแน่นหรือมากกว่าปรกติโดยที่ผู้มีอายุเกินร้อยเหล่านี้มีสุขภาพดีและยังทำงานหรือกิจกรรมต่างเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ดินแดนแห่งอายุวัฒนะในโลกนี้มีเพียง 4 แห่ง ได้แก่ เกาะโอกินาวาในญี่ปุ่น  คอสตาริกาในอเมริกากลาง  เกาะซาร์ดิเนียในอิตาลี  และกลุ่มเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีสในโลมาลินดา ลอสแอนเจลิส ผู้เขียนได้ทำการศึกษาว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้ดินแดนเหล่านี้มีผู้มีอายุเกินร้อยปีหนาแน่นและได้สรุปออกมาเป็นคำแนะนำในการปฏิบัติสำหรับทุกคนเพื่อทำให้ทุกคนสามารถมีอายุยืนยาวขึ้นกว่าเดิมได้อีกหลายปีอย่างมีสุขภาพดี  ถึงแม้จะไม่รับประกันว่าจะมีอายุยืนยาวได้ถึง 100 ปีก็ตาม  ติดตามต่อในฉบับหน้าครับ     //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 157 รู้เท่าทันสถานการณ์สุขภาพปีพ.ศ. 2556 ตอนที่ 2

การขาดแคลนยาที่ดีในสถานบริการสาธารณสุขภาครัฐทำให้ประชาชนต้องหาซื้อยาจากภาคเอกชน ซึ่งยาชื่อสามัญจะมีราคาสูงกว่าราคากลางระหว่างประเทศถึงร้อยละ 610  คุณภาพการบริการของภาครัฐที่ไม่ดีและราคาค่าบริการของภาคเอกชนที่สูงทำให้หลายครอบครัวเกิดภาวะล้มละลาย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคเรื้อรัง ในฉบับก่อนได้กล่าวถึงเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ (Millennium Development Goals- MDGs) คือ เป้าหมายแปดประการ ที่รัฐสมาชิกสหประชาชาติ 191 แห่ง ตกลงยอมรับกันที่จะพยายามบรรลุให้ได้ภายใน พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) โดยมีการลงนามในเดือนกันยายน ค.ศ. 2000 เพื่อต่อสู้กับ ความยากจน ความหิวโหย โรค การไม่รู้หนังสือ การเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม และการเลือกปฏิบัติต่อสตรีเพศ  เป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษได้พัฒนามาจากคำประกาศดังกล่าว และทั้งหมดมีเป้าหมายและตัวชี้วัดเฉพาะ ในเรื่องโรคติดต่อนั้น พบว่าครึ่งหนึ่งของประชากรในโลกมีความเสี่ยงในการติดต่อเชื้อ มาลาเรีย และในจำนวนผู้ป่วยมาลาเรียในโลกจำนวน 219 ล้านคน มีผู้เสียชีวิต 660,000 รายในปี ค.ศ. 2010  ร้อยละ 80 ของผู้ป่วยเกิดขึ้นใน 17 ประเทศ และร้อยละ 80 ของผู้ป่วยที่เสียชีวิตเกิดใน 14 ประเทศเท่านั้น การครอบคลุมของปฏิบัติการต่างๆ เช่น การกระจายตัวของเครือข่ายการกำจัดยุงด้วยสารเคมีกำจัดแมลงและการพ่นสารเคมีกำจัดยุงตามบ้านเรือนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากมายและจำเป็นที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกลับมาของยุงและการเสียชีวิตจากมาลาเรีย   ปริมาณผู้ป่วยใหม่ทั้งหมดที่เป็น วัณโรค ในแต่ละปีลดลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2006 และระหว่างปี ค.ศ. 2010-2011 ลดลงร้อยละ 2.2  ในจำนวนผู้ป่วยใหม่ 8.7 ล้านรายในปี ค.ศ. 2011 นั้นเกิดจากผู้มีเชื้อเอชไอวี ร้อยละ 13  การตายจากวัณโรคลดลงร้อยละ 41 ตั้งแต่ ปีค.ศ. 1990 และจะลดลงร้อยละ 50 เมื่อถึงปีค.ศ. 2015 ปี ค.ศ. 2010 ประมาณการว่า มีผู้ป่วยที่ ติดเชื้อเอชไอวี รายใหม่ 2.7 ล้านคน ซึ่งลดลงร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ 3.1 ล้านคนในปี ค.ศ. 2001  ปลายปี ค.ศ. 2010 จะมีผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีประมาณ 34 ล้านคน ซึ่งมากกว่าปีก่อนๆ เพราะผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาด้วยยาฆ่าไวรัสมากขึ้น ทำให้มีการเสียชีวิตน้อยลง โลกได้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษในเรื่องการเข้าถึง น้ำดื่มที่ปลอดภัย ในปีค.ศ. 2010 ร้อยละ 89 ของประชากรมีแหล่งน้ำดื่มที่ปรับปรุงดีขึ้นเมื่อเทียบกับร้อยละ 76 ในปีค.ศ. 1990 ในเรื่องสุขอนามัยโดยเฉพาะ สุขาภิบาล นั้น อัตราการมีสุขาภิบาลที่ดียังพัฒนาค่อนข้างช้าเกินกว่าที่จะบรรลุเป้าหมาย  ในปี ค.ศ. 2010 มีประชากร 2,500 ล้านยังไม่มีสุขอนามัยที่ดีพอ และร้อยละ 72 ของประชากรเหล่านี้อาศัยอยู่ในชนบท  ปริมาณของประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองและไม่มีสุขาภิบาลที่ดีกำลังเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของประชากรในเขตเมือง แม้ว่าเกือบทุกประเทศจะมีรายการยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ แต่การจัดหายาเพื่อให้บริการในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐยังค่อนข้างแย่  จากการสำรวจประเทศที่ยากจนและเศรษฐกิจปานกลางมากกว่า 70 ประเทศพบว่า มีการจัดหายาในบัญชียาหลักเพียงร้อยละ 42 ในสถานบริการภาครัฐ และร้อยละ 64 ในสถานพยาบาลภาคเอกชน  ยาที่ใช้สำหรับการรักษาโรคเรื้อรังค่อนข้างจะมีคุณภาพต่ำเมื่อเทียบกับยาที่ใช้รักษาโรคฉุกเฉิน  การขาดแคลนยาที่ดีในสถานบริการสาธารณสุขภาครัฐทำให้ประชาชนต้องหาซื้อยาจากภาคเอกชน ซึ่งยาชื่อสามัญจะมีราคาสูงกว่าราคากลางระหว่างประเทศถึงร้อยละ 610 คุณภาพการบริการของภาครัฐที่ไม่ดีและราคาค่าบริการของภาคเอกชนที่สูงทำให้หลายครอบครัวเกิดภาวะล้มละลาย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคเรื้อรัง เหลือเวลาเพียงสองปีเท่านั้นก็จะสิ้นสุดปี ค.ศ. 2015 ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษที่ประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยที่ได้ประกาศไว้ในปี ค.ศ. 2000   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 156 รู้เท่าทันสถานการณ์สุขภาพปีพ.ศ. 2556 ตอนที่ 1

ปีพ.ศ. 2556 ได้ผ่านพ้นไปแล้ว  เมื่อขึ้นปีใหม่ก็สมควรที่ทุกคนควรจะทบทวนสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  ทั้งจากการกระทำของเราเองหรือของสังคมที่เราได้มีส่วนร่วมรวมทั้งที่เราได้รับผลกระทบ  เพื่อนำบทเรียนมาเป็นแนวทางในการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาวะ  ดังนั้นฉบับนี้ขออนุญาตทบทวนสถานการณ์สุขภาพในระดับโลกที่เชื่อมโยงกับภาวะสุขภาพของไทยด้วย ในระดับโลกนั้น การประชุมสุดยอดของประเทศสมาชิกสหประชาชาติ เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543) ได้มีการแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของประเทศสมาชิก เพื่อยอมรับข้อผูกมัดตาม คำประกาศสหัสวรรษของสหประชาชาติ (United Nations Millennium Declaration)  ซึ่งได้มีการกำหนด เป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษ (Millennium Development Goals- MDGs) คือ เป้าหมายแปดประการ ที่รัฐสมาชิกสหประชาชาติ 189 แห่ง ตกลงยอมรับกันที่จะพยายามบรรลุให้ได้ภายใน พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015)  เป้าหมายแปดประการได้แก่ การขจัดความยากจนและความหิวโหย การพัฒนาการศึกษาขั้นประถม การส่งเสริมความเท่าเทียมกันทางเพศ การลดอัตราการตายของเด็ก การพัฒนาสุขภาพของแม่ การป้องกันโรคเอดส์ มาลาเรีย และโรคติดต่ออื่นๆ การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และการส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาในโลก   องค์การอนามัยโลกได้รายงานสถานการณ์สุขภาพเกี่ยวกับ การลดอัตราการตายของแม่และเด็ก  การพัฒนาด้านโภชนาการ การลดอัตราการตายจากโรคเอดส์ วัณโรค มาลาเรีย และโรคติดต่ออื่นๆ ในปีค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) ดังต่อไปนี้ ในภาพรวมระดับโลก สามารถลดระดับของอัตราการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบจากปีค.ศ. 1990-2011 (พ.ศ. 2533-2554) ได้ร้อยละ 41 หรือจาก 87 รายเป็น 51 รายต่อทารกแรกเกิดที่มีชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม อัตราการลดลงดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ ให้ลดลง 2 ใน 3 ของการตายของเด็กในปีค.ศ. 1990 ในภาพระดับประเทศ พบว่า มีประเทศที่มีความแตกต่างกันถึง 27 ประเทศที่สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาสหัสวรรษก่อนปีค.ศ. 2015  ซึ่งในจำนวนนี้มีถึง 5 ประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตของเด็กสูงมากเมื่อปีค.ศ. 1991  และสาเหตุพื้นฐานของการเสียชีวิตคือ ภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งประมาณว่าเป็นสาเหตุการตายของเด็กอายุต่ำกว่าห้าขวบร้อยละ 35 จำนวนการเสียชีวิตของเด็กทารกลดลงจาก 4.4 ล้านรายในปีค.ศ. 1990 เป็น 3.0 ล้านรายในปีค.ศ. 2011 หรืออัตราการตายของเด็กทารกลดลงจาก 32 รายในเด็กทารกแรกเกิดที่มีชีวิต 1,000 ราย เป็น 22 รายในเด็กแรกเกิดที่มีชีวิต 1,000 ราย ในเวลาดังกล่าว อัตราการเสียชีวิตของแม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากจำนวน 543,000 ในปีค.ศ. 1990 เป็น 287,000 ใน ค.ศ. 2010 หรือร้อยละ 3.1 ต่อปี  โดยทวีปอัฟริกาเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเสียชีวิตของแม่สูงที่สุด  การแก้ปัญหาดังกล่าวได้แก่ การเข้าถึงบริการการดูแลแม่และเด็กที่มีคุณภาพ การวางแผนการมีลูกอย่างเหมาะสม ผู้หญิงวัยรุ่นประมาณ 16 ล้านคนให้กำเนิดลูกในแต่ละปี คิดเป็นร้อยละ 11 ของการให้กำเนิดทารกในโลกทั้งหมด และร้อยละ 95 ของการกำเนิดอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา  (สำหรับประเทศไทยก็มีข้อมูลจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงในมนุษย์ว่า แม่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีและคลอดลูกของประเทศไทยมีอัตราสูงที่สุดเป็นที่หนึ่งของอาเซียน  และเป็นที่สองของโลก กระทรวงสาธารณสุขโดยรัฐมนตรีก็แถลงว่า ประเทศไทยมีแม่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี คลอดลูกปีละ 133,176 ราย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง จังหวัดที่มีแม่วัยรุ่นจำนวนมากที่สุดได้แก่ จังหวัดตาก ระยองและชลบุรี) หน้ากระดาษหมดอีกแล้ว คงต้องขอต่อฉบับหน้า  ซึ่งน่าสนใจมาก เพราะรายงานสถานการณ์ของโรคติดต่อต่างๆ ได้แก่ มาเลเรีย เอชไอวี และวัณโรค  สวัสดีครับ   //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 155 รู้เท่าทันกล้วย (2)

มารู้เท่าทันกล้วยต่อครับ 5. เปลือกกล้วยใช้รักษายุงกัด ถ้าถูกยุงหรือแมลงกัดต่อย มีตุ่มคัน ให้ใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงหรือแมลงกัดต่อย  เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้ 6. แป้งจากกล้วยดิบนั้นมีผลในการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร แป้งกล้วยดิบใช้รักษาโรคแผลในทางเดินอาหารซึ่งเกิดจากยาแผนปัจจุบันต่างๆ เช่น แอสไพริน ยาแก้การอักเสบของกล้ามเนื้อ เพรดนิโซโลน เป็นต้น ปัจจุบันผงกล้วยดิบได้บรรจุเป็นยาจากสมุนไพรที่อยู่ในรายการบัญชียาหลักแห่งชาติของประเทศไทยแล้ว 7. สารสกัดจากเปลือกกล้วยมีผลยับยั้งการโตของต่อมลูกหมาก มีงานวิจัยของนักวิจัยชาวญี่ปุ่น     Akamine K, et al. ปีค.ศ. 2009  พบว่า สารสกัดจากเปลือกกล้วยมีประโยชน์ในการรักษาอาการต่อมลูกหมากโต  แต่อย่างไรก็ตามเป็นการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองเท่านั้น  คงต้องมีการศึกษาต่อในระดับคลินิก  แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะมีการใช้สมุนไพรในการรักษาอาการต่อมลูกหมากโตจากสารสกัดเมล็ดปาล์ม Saw Palmetto ซึ่งมีการขายกันทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทย  การใช้เมล็ดปาล์มดังกล่าวเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวอินเดียนอเมริกันที่ใช้รักษาทางโรคเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์   8. การกินกล้วยปกป้องผิวหนังจากการทำลายของแสงแดด มีงานวิจัยของดร.จารุภา วิโยชน์ และคณะ มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก ในปีพ.ศ. 2555 ที่ทำการวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า สารสกัดจากกล้วยมีผลในการลดการทำลายผิวหนังจากรังสียูวีอย่างมีนัยสำคัญ  จึงอาจเป็นการยืนยันความเชื่อที่ว่าการกินกล้วยจะทำให้ผิวสวยงาม 9. ปลีกล้วยน้ำว้ามีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือด งานวิจัยในอินเดียพบว่า มีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งในภูมิปัญญาดั้งเดิมของอินเดียมีการใช้เพื่อรักษาเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอื่นๆ ที่พบว่า กล้วยมีสารประกอบที่ต้านเชื้อแบคทีเรีย เอชไอวี เชื้อราได้ 10. ประโยชน์อื่นๆ นอกจากนี้ กล้วยยังมีประโยชน์อีกมากมาย บังเอิญดูในเว็บไซต์หนึ่งซึ่งน่าสนใจดี เขาใช้ประโยชน์จากกล้วย ดังนี้ 1)      ใช้ขัดรองเท้าหนังให้เงางาม  โดยใช้ด้านในของเปลือกกล้วยมาเช็ดรองเท้าหนัง ทิ้งไว้สักครู่ แล้วใช้ผ้าเนื้อละเอียดเช็ดอีกครั้ง รองเท้าจะเงางามเหมือนใช้ยาขัดรองเท้าเลยทีเดียว 2)      ใช้ทำความสะอาดรอยเปื้อนของใบไม้ประดับ  โดยใช้ด้านในของเปลือกกล้วยเช่นเดียวกันเช็ดที่ใบไม้ประดับที่มีรอยเปื้อน  ทิ้งไว้สักครู่แล้วใช้ผ้าเช็ดอีกครั้ง ใบไม้จะเป็นเงางาม  ผู้ที่ทำงานด้านไม้ประดับ ในโรงแรม หอพัก สามารถใช้วิธีนี้ได้โดยไม่ต้องซื้อน้ำยาเช็ดเงาใบไม้ 3)      การลบรอยถลอกที่ผิวไม้บนตู้ โต๊ะ  รอบถลอกต่างๆ นั้นถ้าไม่ลึกมากก็สามารถใช้เนื้อกล้วยมาถูบนรอยถลอก แล้วใช้ผ้าเนื้อละเอียดมาถูอีกครั้ง ผิวไม้จะดูใหม่และไม่มีรอยถลอก 4)      การลบรอยหมึกที่ผิวหนัง  บางคนชอบติดสติกเกอร์ลายต่างๆ ที่ผิวหนัง  ถ้าต้องการลบรอยหมึกให้ใช้ด้านในของเปลือกกล้วยเช็ดถูรอยหมึกดังกล่าว  ก็จะเลือนหายไปได้อย่างรวดเร็ว 5)      รอยถลอกที่แผ่นซีดีจากการหยิบจับ ถู ครูด ให้ใช้ด้านในของเปลือกกล้วยเช็ดที่แผ่นซีดีแล้วใช้ผ้าสำหรับเช็ดแผ่นซีดีเช็ดออก แผ่นซีดีจะไม่มีรอยถลอก 6)      การดักจับแมลง เช่น แมลงหวี่ แมลงวัน ให้นำเปลือกกล้วยใส่ในถุงพลาสติก เปิดปากถุงทิ้งไว้สักครู่  แมลงจะเข้าไปในถุงพลาสติก เราเพียงแค่ปิดปากถุงให้แน่น แล้วนำไปทิ้ง  เพียงแค่นี้ก็สามารถลดแมลงต่างๆ ในบ้านได้ ก็ขอจบเรื่อง กล้วยๆ ไว้เพียงแค่นี้  หวังว่าเราคงมั่นใจว่า กล้วยมีประโยชน์กว่าที่คิดและมีอันตรายน้อยกว่าที่ได้ยินแพทย์แผนปัจจุบันบอกมา //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 154 รู้เท่าทันกล้วย (1)

ฉบับนี้ของนำเรื่องกล้วยๆ ที่เบาสมองมาลงเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ผ่อนคลายจากสถานการณ์การเมืองที่กำลังร้อนระอุ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดสักหน่อย กล้วยเป็นพืชที่ผูกพันกับชืวิตคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย  ซึ่งเราจะเห็นได้จากพิธีกรรมต่างๆ ตั้งแต่ตอนแต่งงานก็จะแห่ต้นกล้วยกับอ้อยในขบวนขันหมาก เมื่อมาถึงเรือนหอก็จะปลูกลงดิน  พอครบปีกล้วยก็ออกลูก ทันเป็นอาหารสำหรับแม่และทารกไปพร้อมๆ กัน  ตอนเป็นหนุ่มสาว กล้วยเป็นทั้งอาหาร ยาและของใช้ต่างๆ  ยามตายก็เอากาบกล้วยมาฉลุสวยงามไว้ตกแต่งในงานศพ  เรียกว่าจากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน คนไทยขาดกล้วยไม่ได้เลย อย่างไรก็ตาม ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันกลับเห็นว่า กล้วยประกอบด้วยแป้งเป็นหลัก ถ้ากินมากจะไปเพิ่มน้ำตาลและแป้งให้กับร่างกาย  จึงมีการแนะนำว่าไม่ควรกินกล้วยเพราะมีประโยชน์น้อยกว่าโทษที่ร่างกายได้รับ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไม่ส่งเสริมให้เด็กทารกในระยะ 6 เดือนหลังคลอดกินกล้วยบดหรือขูดตามภูมิปัญญาพื้นบ้านดั้งเดิม โดยบอกว่า นมแม่มีคุณค่าอาหารพอเพียงสำหรับทารก ไม่จำเป็นต้องให้อาหารเสริมอื่นๆ  ความเข้าใจเรื่องนี้ขัดต่อความรับรู้และการปฏิบัติของชาวบ้านอย่างยิ่ง เพราะจากประสบการณ์ตรงของชาวบ้านที่กินกล้วยเป็นประจำกลับพบว่ามีประโยชน์มากมาย  จนชาวบ้านถือว่ากล้วยเป็นยาอายุวัฒนะอย่างหนึ่งทีเดียว เรามารู้เท่าทันเรื่องกล้วยๆ กันดีกว่า   กล้วยเป็นพืชล้มลุกในสกุลมูซา (Musa)  กล้วยน้ำว้าที่คนไทยรู้จักดีและกินเป็นประจำ คือกล้วยน้ำว้า ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างกล้วยป่ากับกล้วยตานี  นอกจากนี้ยังมีกล้วยต่างๆ มากมาย เช่น กล้วยไข่ กล้วยเล็บมือนาง กล้วยหอม กล้วยตีบ เป็นต้น กล้วยน้ำว้า 1 ลูกหนักประมาณ 40-50 กรัม กล้วยไข่ 1 ลูกหนักประมาณ 30 กรัม กล้วยหอม 1 ลูกหนักประมาณ 90 กรัม  ที่ต้องรู้น้ำหนักเพราะต้องไปเชื่อมโยงกับคุณค่าทางอาหารของกล้วยแต่ละลูก ในเมืองไทย ข้อมูลของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จะเทียบหน่วยเป็น 100 กรัม  ถ้าเราไม่รู้ว่ากล้วยหนึ่งลูกหนักเท่าไหร่ ก็คิดไม่ออกว่ากล้วยหนึ่งใบ มีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน เพราะประเทศไทยขายกล้วยเป็นหวี ไม่ชั่งน้ำหนักขายเหมือนของเขมร เขมรจะชั่งกล้วยขายเป็นกิโลกรัม ข้อมูลของกรมอนามัย พบว่า กล้วยน้ำว้า 100 กรัม (ประมาณ 2 ลูก) ประกอบด้วย ความชื้นเป็นหลัก 62.6 กรัม แป้ง 33.1 กรัม โปรตีน 1.2 กรัม นอกจากนี้ ยังมีวิตามินเอ บี1 บี2 บี3 และซี  โดยกล้วยหอมมีวิตามินซีสูงสุด 27 มิลลิกรัม  ที่น่าสนใจคือ หัวปลีมีวิตามินเอสูงถึง 260 IU (international unit)  และมีวิตามินซีสูงเท่าๆ กับกล้วยหอม (25 มิลลิกรัม) นอกจากนี้ ในกล้วยยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และเหล็กในปริมาณเล็กน้อย  แต่ในหยวกกล้วยและหัวปลี (100 กรัม) มีแคลเซียมสูงถึง 22 และ 28 มิลลิกรัมกรัมตามลำดับ  ซึ่งแสดงว่า ภูมิปัญญาไทยดั้งเดิมนั้นชาญฉลาดอย่างยิ่งที่นำหยวกกล้วยและหัวปลีมาเป็นอาหาร โดยเฉพาะในแม่หลังคลอด พลังงานที่เกิดจากกล้วยซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันกลัวกันนักว่า กินกล้วยเหมือนกินแป้ง จะทำให้อ้วน  พบว่า กล้วยน้ำว้า 100 กรัม (ประมาณ 2 ลูก) ให้พลังงานเพียง 139 กิโลแคลอรี ตกลูกละ 70 กิโลแคลอรีเท่านั้น ยังน้อยกว่าไข่เจียว ไข่ดาว 1 ฟอง (215 กิโลแคลอรี) ส้มตำ 1 จาน (118 กิโลแคลอรี) หรือขนมครก 1 คู่ (92 กิโลแคลอรี) เสียอีก   กล้วยอื่นๆ ก็ให้พลังงานไม่แตกต่างกัน  ที่สำคัญ แป้งที่อยู่ในกล้วยนั้นเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ซึ่งลำไส้จะย่อยและดูดซึมอย่างช้าๆ   นึกว่าจะกล้วยๆ ปรากฏว่าหน้ากระดาษหมดเสียก่อน  คงต้องขอต่อในฉบับหน้าอีกครั้ง //

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 153 รู้เท่าทันคีเลชั่น 3

ในฉบับนี้จะมาถึงข้อยุติเรื่อง การบำบัดด้วยคีเลชั่นมีประสิทธิผลต่อการรักษาหัวใจหลอดเลือดตีบหรือไม่ ซึ่งเราคงต้องดูผลการศึกษาวิจัยของ สถาบันสุขภาพแห่งชาติของอเมริกา หรือ National Institutes of Health (NIH) ซึ่งรายงานเมื่อวันอังคารที่ 25 มีนาคม  2013 และปรับปรุงล่าสุด 30 เมษายน  2013  รวมทั้งได้มีการตีพิมพ์ผลการศึกษาในวารสารของสมาคมแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกาหรือ Journal of the American Medical association (JAMA, March 27, 2013—Vol 309, No. 12) การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาระยะยาวถึง 10 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2545-2554 ใช้งบประมาณ 31 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำการศึกษาในผู้ป่วยอายุ 50 ปีขึ้นไปจำนวนทั้งสิ้น 1,708 คน ในสถานพยาบาล 134 แห่งทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา  ทั้งนี้ สถาบันสุขภาพแห่งชาติของอเมริกามีรายงานในปี พ.ศ. 2551 ว่า ในระหว่าง พ.ศ. 2545 – 2550  มีการเพิ่มขึ้นของการใช้คีเลชั่นบำบัดถึงร้อยละ 68 หรือในประชากร 111,000 คน  ซึ่งสารไดโซเดียม EDTA นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาไม่รับรองให้ใช้ในการรักษาโรคหัวใจ   การศึกษานี้ทำการศึกษาผู้ป่วยที่มีประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจตีบจนเกิดอาการของกล้ามเนื้อหัวใจวายอย่างน้อย 6 สัปดาห์ก่อนหน้าการศึกษา(เฉลี่ย 4.5 ปี) และทำการศึกษาโดยมีกลุ่มควบคุม  ผู้ป่วยจะได้รับการฉีดสารคีเลชั่น(ไดโซเดียม EDTA) 40 ครั้ง รวมทั้งการได้รับการกินวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณสูงเช่นเดียวกับที่กลุ่มควบคุมได้รับผู้ป่วยเหล่านี้จะได้รับการรักษาตามมาตรฐานทางการแพทย์ที่ได้รับอยู่ก่อน เช่น แอสไพริน และยารักษาโรคหัวใจอื่นๆ  การศึกษาได้ทำการติดตามผลเป็นเวลา 1-5 ปี (เฉลี่ย 55 สัปดาห์)  ผลการศึกษาพบว่า  เมื่อสิ้นสุดการบำบัด ผู้ป่วยที่ได้รับคีเลชั่นเกิดผลต่างๆ ได้แก่ การเสียชีวิต การเกิดหัวใจวาย เส้นเลือดสมองตีบ หรืออาการเจ็บกล้ามเนื้อหัวใจจนต้องรับรักษาในโรงพยาบาล ในผู้ป่วย 222 ราย(ร้อยละ 26) และในกลุ่มควบคุม 261 ราย (ร้อยละ 30)  และพบว่า ต้องทำการรักษาการอุดตันของหลอดเลือดหัวใจในกลุ่มที่บำบัดด้วยคีเลชั่น ร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ร้อยละ 18 รายงานของสถาบันสุขภาพแห่งชาติของอเมริกา สรุปผลการศึกษาว่า การฉีดสารไดโซเดียม EDTA สามารถลดความเสี่ยงของอาการต่างๆ ของหลอดเลือดหัวใจได้ร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม แต่ผู้ทำการศึกษาระบุว่า ผลการศึกษายังไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการใช้การบำบัดด้วยคีเลชั่นเป็นการรักษาปกติหรือมาตรฐานสำหรับโรคหลอดหัวใจตีบหรือหัวใจวาย และมีความจำเป็นที่จะต้องทำการศึกษาเพิ่มเติมก่อนที่จะพิจารณารับเป็นการรักษาปรกติหรือมาตรฐาน รวมทั้งสารคีเลชั่น EDTA ที่ใช้ยังมีวิตามินซี วิตามินบี และสารอื่นๆ ในปริมาณสูง นพ. เกอวาสิโอ เอ. ลามาส ผู้วิจัยหลักและประธานของอายุรกรรมและหัวหน้าของแผนกหัวใจ มหาวิทยาลัยโคลอมเบีย ศูนย์การแพทย์เมาท์ไซนาย ในไมอามี กล่าวว่า “การบำบัดด้วยคีเลชั่นจะทำได้อย่างปลอดภัยเมื่อมีการควบคุมค่าคงที่หรือตัวแปรต่างๆ อย่างเข้มงวดและมีคุณภาพ  และภายใต้สภาวะดังกล่าว การบำบัดจึงจะเกิดผลพอควร  ความปลอดภัยเป็นปัจจัยและตัวแปรสำคัญตลอดระยะของการศึกษา” ดร. แกรี่ เอช. กิบบอนส์ ผู้อำนวยการสถาบันหัวใจ ปอดและเลือดแห่งชาติของ NIH (NHLBI) กล่าวว่า “การวิจัยเพิ่มเติมเป็นสิ่งจำเป็นในการเข้าใจผลอย่างถ่องแท้ก่อนที่การบำบัดแบบนี้จะถูกรับเข้าเป็นเวชปฏิบัติทางคลินิกสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจวาย  เรายังไม่รู้ชัดเจนว่า การบำบัดนี้สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ ซึ่งผู้ป่วยอาจจะได้รับผลดี หรือมันทำงานอย่างไร” ท่านผู้อ่านคงได้ข้อสรุปจากการวิจัยนี้อย่างชัดเจนแล้ว ต่อไปคงเป็นหน้าที่ของแพทยสภา ราชวิทยาลัย และกระทรวงสาธารณสุขที่จะต้องทำความชัดเจนเรื่องนี้ให้กับประชาชนต่อไป

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 152 รู้เท่าทันคีเลชั่น 2

ในฉบับก่อน  การทำคีเลชั่นบำบัดนั้นมีความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างระบบการแพทย์ตามมาตรฐานกับระบบการแพทย์ทางเลือก ทำให้คณะกรรมการคัดกรองศาสตร์การแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้ทำการพิจารณาเรื่องนี้และจัดทำรายงานความเห็นเรื่องคีเลชั่นบำบัดเมื่อ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ว่า 1.1    ยังไม่มีหลักฐานการศึกษาวิจัยทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์เพียงพอที่ยืนยันว่า การบำบัดด้วย คีเลชั่นจะรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจได้จริง  จึงยังไม่ควรเป็นมาตรฐานทางการแพทย์ในการให้บริการ 1.2    การให้การบำบัดด้วยคีเลชั่นในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ ต้องใช้เป็นโครงการศึกษาวิจัยในคนเท่านั้น  ไม่สามารถใช้เพื่อการบริการและการรักษาในระบบบริการปกติ  การวิจัยในคนต้องปฏิบัติตามหลักจริยธรรมอย่างเคร่งครัด การประชุมวิชาการการแพทย์พื้นบ้าน การแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติครั้งที่ 6 วันที่ 2 - 4 กันยายน พ.ศ. 2552 ได้มีการจัดอภิปรายทางวิชาการเรื่อง “การบำบัดด้วยคีเลชั่น รักษาโรคหลอดเลือดหัวใจได้จริงหรือ” เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่ามีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร  ข้อสรุปทางวิชาการมีดังนี้ 2.1 นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ได้กล่าวในการอภิปรายทางวิชาการประจำปีว่า  นายแพทย์สุรจิต สุนทรธรรม สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ทบทวนเอกสารความรู้จากแหล่งข้อมูลสำคัญ 4 แหล่ง (สมาคมหัวใจแห่งอเมริกา, สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา, COCHRANE และ สถาบันการแพทย์ทางเลือกในมหาวิทยาลัยของแคนาดา  ในปีพ.ศ. 2552 พบว่า 1)  สมาคมหัวใจแห่งอเมริกา มีรายงานสรุปว่า ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์เพียงพอที่จะยืนยันว่า การบำบัดด้วยคีเลชั่นรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจได้ผล 2) สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือ NIH ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานที่ดูแลการวิจัยทางการแพทย์ การสาธารณสุข สุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในโลกราบงานว่า ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล  และพบว่าอาจไม่มีความปลอดภัยโดยเฉพาะหากใช้โดยคนที่ไม่มีความรู้พอ NIH จึงมีการลงทุนการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ โดยใช้อาสาสมัครเป็นจำนวนมาก ใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี (เสร็จในปีพ.ศ. 2553) จึงจะสามารถสรุปประสิทธิผลของคีเลชั่นบำบัดได้  และเนื่องจากเป็นการศึกษาวิจัย  จึงต้องให้ข้อมูลอย่างเปิดเผยว่า เป็นการศึกษาวิจัย  ยังไม่ใช่มาตรฐานการรักษา  มีความเสี่ยงอะไร  และไม่สามารถเก็บ “ค่ารักษา” จากอาสาสมัครได้ 3)  โคเครน (COCHRANE) เป็นองค์กรที่รวบรวมผลการวิจัยต่างๆ ได้ทำการอภิวิเคราะห์ (metaanalysis) ได้ข้อสรุปว่า คีเลชั่นยังเป็นวิธีการรักษาซึ่งไม่มีหลักฐานที่พบว่าได้ผล 4) สถาบันการแพทย์ทางเลือกในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งของประเทศแคนาดา มีรายงานว่า  ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่พบว่าได้ผล 2.2  นายแพทย์สมเกียรติ แสงวัฒนาโรจน์ อาจารย์แพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์  ได้กล่าวในการประชุมวิชาการว่า “องค์กรที่เป็นตัวชี้นำสังคมในแง่วิชาการความรู้คือโรงเรียนแพทย์หรือมหาวิทยาลัย  ถ้าโรงเรียนแพทย์ 3 แห่งหลักขึ้นไปทำก็เชื่อมั่นได้  เพราะโรงเรียนแพทย์เป็นแหล่งที่มีการพิสูจน์ทดลอง  ต้องสอนนักเรียนแพทย์เพื่อรักษาคน  ถ้าไม่มีการรักษา (คีเลชั่นบำบัด) ในโรงเรียนแพทย์  ขอให้รอก่อน....การรักษาที่จะนำไปใช้ เป็นงานวิจัยหรือการรักษา  ดูให้ดี  เท่าที่ทราบยังไม่มีโรงเรียนแพทย์ใดในประเทศไทยที่ทำคีเลชั่น” 2.3  นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ได้กล่าวว่า ตามปฏิญญาเฮลซิงกิ กำหนดหลักจริยธรรมของแพทย์ไว้ว่า ถ้าหากยังไม่มีการรักษาที่เป็นมาตรฐาน แพทย์มีสิทธินำการรักษาใหม่ๆ มาใช้เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วย  ซึ่งโรคหลอดเลือดหัวใจมีวิธีการรักษาที่เป็นมาตรฐานอยู่แล้วหลายวิธี  การนำวิธีการรักษาที่นอกเหนือจากนี้ต้องผ่านกระบวนการที่เป็นที่ยอมรับ  ไม่เช่นนั้นแพทย์ที่นำไปใช้ถือว่าผิดจริยธรรม  ควรรอผลการวิจัยของ NIH เสียก่อน หน้ากระดาษหมดอีกแล้ว  คงต้องต่อในฉบับหน้า  ซึ่งเป็นตอนสุดท้าย  เราจะดูผลการวิจัยของ NIH ว่าคีเลชั่นบำบัดสามารถรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจได้จริงหรือไม่

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 151 รู้เท่าทันคีเลชั่นบำบัด ตอนที่ 1

หลายท่านโดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาหลอดเลือดหัวใจตีบคงรู้จักหรือได้รับการชักชวนให้ทำคีเลชั่นบำบัด  แม้กระทั่งบางคนที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจหลอดเลือดตีบ  เพียงแค่มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง  โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งหรือแพทย์ในคลินิกเอกชนบางคนก็เสนอให้ทำเพื่อช่วยให้ร่างกายสดชื่นขึ้น  ดูราวกับว่าการบำบัดด้วยคีเลชั่นนั้นเป็นการบำบัดสารพัดนึก  สามารถช่วยบำบัดอาการต่างๆ ได้แทบทุกอาการ  โรงพยาบาลของรัฐบางแห่งถึงกับทำแผ่นพับเสนอการทำคีเลชั่นบำบัดโดยข้าราชการสามารถเบิกจ่ายได้ส่วนหนึ่ง  และต้องจ่ายสมทบเองอีกส่วนหนึ่ง คีเลชั่นบำบัดคืออะไร  สามารถรักษาโรคอะไรได้บ้าง  สามารถรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้จริงหรือไม่ ระบบบริการทางการแพทย์ของประเทศไทยรับรองเป็นการรักษามาตรฐานทางการแพทย์หรือยัง  มีความเสี่ยงและอันตรายหรือไม่ เราควรรู้เท่าทันคีเลชั่นบำบัด  ดังต่อไปนี้ คีเลชั่นบำบัด (Chelation therapy) คือ การดึงเอาโลหะหนักในร่างกายออกมาโดยใช้สารเคมี EDTA (ethylene diamine tetra-acetic acid) ฉีดเข้าไปในร่างกาย  เดิมใช้กับคนไข้ธาลัสซีเมีย  เนื่องจากมีเหล็กสะสมมาก สะสมในตับ ตับอ่อน หัวใจ และอวัยวะต่างๆ นอกจากนี้ยังใช้ในการรักษาพิษตะกั่ว ปรอท ซึ่งเป็นการรักษาที่ทางการแพทย์แผนปัจจุบันรับรองให้เป็นวิธีการรักษาโรคดังกล่าว ต่อมามีการใช้คีเลชั่นบำบัดในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบราวปี พ.ศ. 2493 เพราะเชื่อว่า การเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นเพราะมีแคลเซียมเกาะตามหลอดเลือดต่างๆ ในร่างกาย การฉีด EDTA จะช่วยดึงแคลเซียมออกจากหลอดเลือด  ทำให้การตีบของหลอดเลือดลดน้อยลง มีการใช้คีเลชั่นบำบัดในประเทศต่างๆ ทั่วโลก  ทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย ซึ่งส่วนใหญ่ทำโดยโรงพยาบาลของภาคเอกชนและถือว่าเป็นการแพทย์ทางเลือก ในประเทศไทยมีโรงพยาบาลและคลินิกแพทย์เอกชนหลายแห่งที่มีการให้บริการการบำบัดด้วยคีเลชั่นโดยบอกว่าสามารถบำบัดอาการหลอดเลือดหัวใจตีบ ไม่ต้องทำการสวนหัวใจหรือการผ่าตัด  นอกจากนี้สถานบริการของภาครัฐบางแห่งทำการโฆษณาการบริการบำบัดด้วยคีเลชั่น  และข้าราชการสามารถเบิกจ่ายจากกรมบัญชีกลางได้ สำนักการแพทย์ทางเลือก กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้จัดทำแนวเวชปฏิบัติที่ดีในการบำบัดด้วยคีเลชั่น และเผยแพร่ในเว็บไซต์ของกรมเพื่อเสนอแนะให้กับบุคลากรสาธารณสุขในหน่วยงาน หรือสถานบริการที่เกี่ยวข้องได้นำไปใช้ประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภค (การทำแนวเวชปฏิบัตินั้นหมายถึง แนวทางการบำบัดรักษาที่สถานบริการสาธารณสุขกำหนดขึ้นหรือนำมาใช้เพื่อเป็นการให้การรักษาผู้ป่วย ซึ่งหมายความว่า การบริการนั้นๆ เป็นที่รับรองประสิทธิผล ความปลอดภัย ตามพ.ร.บ.การประกอบวิชาชีพหรือการประกอบโรคศิลปะที่เกี่ยวข้อง) การทำคีเลชั่นบำบัดมีการใช้สารสองตัว  ได้แก่ สารไดโซเดียมอีดีทีเอ ซึ่งมีแต่โซเดียม ไม่มีแคลเซียม โซเดียมเป็นตัวดึงแคลเซียมออกจากหลอดเลือดหัวใจ ใช้บำบัดธาลัสซีเมีย และ สารแคลเซียมไดโซเดียมอีดีทีเอ ซี่งมีแคลเซียม  สารตัวนี้จะไม่ดึงแคลเซียม  ใช้ดึงโลหะหนัก  ใช้รักษาพิษตะกั่ว  ในประเทศไทยมีการใช้สารทั้งสองชนิด ในอเมริกามีรายงานการเสียชีวิตจากการใช้สารไดโซเดียมอีดีทีเอ ประมาณ 20 ราย กลางปี พ.ศ. 2551  ทำให้บริษัทยาสองแห่งที่ขายยานี้ในอเมริกาถอนยาตัวนี้ออกจากตลาดยาในอเมริกา  แต่ในประเทศไทยยังมีการใช้ยาตัวนี้อยู่ สถาบันหลักของอเมริกาได้แก่ สมาคมหัวใจแห่งอเมริกา, สมาคมแพทย์อเมริกา, FDA (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา), ศูนย์การควบคุมและป้องกันโรค  และอีกหลายหน่วยงานมีความเห็นตรงกันว่า  ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์เพียงพอที่จะสนับสนุนการใช้คีเลชั่นบำบัดในการรักษาโรคอื่นที่นอกเหนือจากรักษาโรคพิษจากโลหะหนัก การทำคีเลชั่นบำบัดอาจทำให้ผู้ป่วยขาดโอกาสในการได้รับการรักษาที่ดีและอยู่ในมาตรฐานการรักษาที่ยอมรับ  เช่น การควบคุมอาหาร  การออกกำลังกาย  และการสวนหัวใจหรือการผ่าตัด   ท่านผู้อ่านคงจะเห็นข้อมูลเบื้องต้น 9 ข้อที่กล่าวมาว่า  ในต่างประเทศที่มีความก้าวหน้าทางการแพทย์มากยังไม่รับรองการทำคีเลชั่นให้เป็นการรักษามาตรฐานสำหรับการรักษาหลอดเลือดหัวใจตีบเพราะยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์เพียงพอ  แต่ในประเทศไทยมีการส่งเสริมการใช้อย่างแพร่หลายทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน  เราจะรู้เท่าทันคีเลชั่นบำบัดอย่างไรดี  คงต้องติดตามต่อฉบับหน้า

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 150 รู้เท่าทันแคลเซียมและวิตามินดี ตอนที่ 3

ฉบับนี้เป็นตอนสุดท้าย  หลังจากที่เรารู้ข้อเท็จจริงพื้นฐานทั้ง 9 ข้อแล้ว  เราสามารถสรุปแนวทางการดูแลกระดูกของเราให้แข็งแรงและชะลอการบางตัวลงให้มากที่สุด  ด้วยวิธีการที่ได้ผล ประหยัด คุ้มค่า และสามารถบอกต่อกัลยาณมิตรของเราได้ดังนี้ 1. เราอยู่ในช่วงอายุขัยอะไร  เป็นเด็ก  หนุ่มสาว  หรือผู้สูงวัย  การแพทย์แผนไทยเรียกว่า อายุสมุฏฐาน ถ้าเป็นปฐมวัย (เกิด-16 ปี) กระดูกของเราอยู่ในช่วงขาขึ้น  มีการสะสมแคลเซียมมากกว่าการใช้  จึงเป็นช่วงเวลาในการเก็บออมแคลเซียมให้มากที่สุด  ถ้าเป็นมัชฌิมวัย (16-32 ปี) เป็นช่วงที่การสะสมและการใช้แคลเซียมเท่ากัน  จึงต้องรักษาสมดุลนี้ไว้ให้นานที่สุด  และเมื่อเป็นปัจฉิมวัย (32-สุดท้ายของชีวิต) กระดูกของเราอยู่ในช่วงขาลง  มีการสะสมแคลเซียมน้อยกว่าการใช้  โดยเฉพาะผู้หญิงที่เริ่มหมดประจำเดือน (อายุ 49 ปี)  กระดูกจะบางตัวอย่างรวดเร็ว  ดังนั้นจึงต้องลงอย่างช้าๆ และสง่างาม 2. ผลการศึกษาพบว่า กระดูกของคนไทยมีความแข็งแรงเท่าๆกับกระดูกของฝรั่ง  ทั้งๆ ที่อาหารไทยมีโปรตีนน้อยกว่า  การกินนมก็น้อยกว่า  แคลเซียมก็น้อยกว่า  แสดงว่า  อาหารไทยนั้นเหมาะสมกับคนไทยและกระดูกของคนไทย ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปกินอาหารตามแบบฝรั่งเพราะเชื่อว่าอาหารฝรั่งจะดีกว่า  การส่งเสริมให้เด็กไทยและผู้สูงอายุดื่มนมวัวให้มากๆ เพื่อให้กระดูกแข็งแรงนั้น  อาจนำมาซึ่งโรคภัยหลายอย่าง  ความจริงแคลเซียมและโปรตีนที่ดีและปริมาณมากนั้นสามารถหาได้จากพืช ผัก และถั่วต่างๆ ปลาตัวเล็กตัวน้อย ในอาหารไทยอยู่แล้ว  ซึ่งมีคุณค่าและไม่มีอันตราย  นอกจากนี้ในถั่วและธัญพืชยังมีเอสโตรเจนจากพืช  ซึ่งช่วยทดแทนฮอร์โมนเอสโตรเจนในผู้หญิงที่หมดประจำเดือน   3. วิตามินดีในผู้สูงอายุของคนไทยและเอเชียนั้นไม่ได้ลดลง  เนื่องจากเราได้รับแสงแดดเพียงพอ  ไม่เหมือนฝรั่งที่ยิ่งอายุมาก วิตามินดีในเลือดยิ่งลดลง  คนไทยจึงไม่ต้องกินวิตามินดีเสริมเลย  เดินอาบแดดช่วงเช้าวันละ 15 นาทีดีกว่า ฟรีอีกต่างหาก  ยกเว้นแต่รัฐบาลเพิ่งคิดได้ว่าจะเก็บภาษีการใช้แดดเหมือนเก็บภาษีการใช้น้ำธรรมชาติ 4. ปัจจัยสำคัญอีกอย่างคือ พันธุกรรมของคนไทยและเอเชียส่วนใหญ่(ร้อยละ 85) เป็นพันธุกรรมที่มีมวลกระดูกสูง ดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ได้ดี  กระดูกแข็งแรง มีเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น ที่มีพันธุกรรมที่ดูดซึมแคลเซียมไม่ดี  ส่วนฝรั่งนั้นมีพันธุกรรมที่ดูดซึมแคลเซียมไม่ดีถึงร้อยละ 22  ดูดซึมแคลเซียมปานกลางร้อยละ 50  ดังนั้นคนไทยมีพันธุกรรมที่ดีกว่าชาวตะวันตกมากมาย  อาหารการกิน  อาหารเสริม วิตามิน ยา ที่ชาวตะวันตกต้องกินนั้น  ส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ในคนไทย ดังนั้น ควรภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทย 5. สุดท้าย  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการออกกำลังกายเป็นประจำและสม่ำเสมอ  การออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือ  การทำกิจวัตรประจำวัน  การเคลื่อนไหว  การทำงานประจำที่ต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา  พยายามให้การออกกำลังกายนั้นอยู่ในวิถีชีวิตปกติ  ไม่จำเป็นต้องหาเวลาเฉพาะเพื่อมาออกกำลังกายเท่านั้น  การทำงานบ้าน  การเดินไปตลาด  พูดคุยกับเพื่อนบ้าน  การทำสวน  การใช้รถให้น้อยลง  เหล่านี้จะช่วยให้กระดูกแข็งแรง  และช่วยให้อายุยืน  ทำชีวิตให้ลำบากไว้เถอะ  เพราะชีวิตที่ลำบากเป็นชีวิตที่เจริญ 6. สุดท้ายของสุดท้าย  ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน  ในช่วงระยะเวลา 5 ปีหลังหมดประจำเดือนต้องคอยดูแลเป็นพิเศษ  การดูแลที่จำเป็นได้แก่  การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  การฝึกการยืดเหยียดกล้ามเนื้อและข้อ  การกินธัญพืชที่ไม่ขัดขาวและถั่วต่างๆ โดยเฉพาะถั่วเหลือง  การฝึกสมาธิ  และการมีกลุ่มกัลยาณมิตรที่พูดคุย ปรับทุกข์สุข  และการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม หรือผู้คนที่ขาดโอกาส  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 149 รู้เท่าทันแคลเซียมและวิตามินดี ตอนที่ 2

ในฉบับที่แล้ว ท่านผู้อ่านได้รับรู้ข้อเท็จจริงพื้นฐาน 5 ข้อแล้ว  ในฉบับนี้ขอต่อข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีก 4 ข้อ คือ ข้อที่หก พันธุกรรมเป็นปัจจัยสำคัญที่ควบคุมและกำกับปริมาณสูงสุดของมวลกระดูกและอัตราการสลายกระดูก  ผู้ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมหรือองค์ประกอบของยีนชนิด bb จะมีมวลกระดูกสูงกว่าผู้ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมชนิด Bb ซึ่งจะมีมวลกระดูกสูงกว่าผู้ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมชนิด BB   รศ.นพ.บุญส่ง  องค์พิพัฒนกุลจากคณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดีศึกษาพบว่า คนไทยร้อยละ 85 มีลักษณะทางพันธุกรรมชนิด bb   ร้อยละ 14  มีลักษณะทางพันธุกรรมชนิด Bb   และร้อยละ 1 มีลักษณะทางพันธุกรรม BB ตามลำดับ ซึ่งแตกต่างกับลักษณะทางพันธุกรรมของชาวตะวันตก ซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมชนิด bb, Bb และ BB เป็นร้อยละ 28, 50, 22 ตามลำดับ การกระจายตัวของลักษณะทางพันธุกรรมในคนไทยใกล้เคียงกับของคนญี่ปุ่นมาก   การศึกษาพบว่า  คนไทยจำนวนมากที่มีลักษณะทางพันธุกรรมชนิด bb สามารถดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ได้ดีกว่าคนไทยที่มียีนชนิด Bb และ BB อย่างมีนัยสำคัญ  การที่คนไทยมีลักษณะทางพันธุกรรม bb ถึงร้อยละ 85 ซึ่งแตกต่างจากชาวตะวันตกซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรม bb เพียงร้อยละ 28 เท่านั้น  ดังนั้นคนไทยจึงมีลักษณะทางพันธุกรรมที่ดูดซึมแคลเซียมได้ดีกว่าชาวตะวันตกอย่างมากมาย ข้อที่เจ็ด ฮอร์โมนที่มีบทบาทในการย่อย ดูดซึมและใช้แคลเซียมคือ  วิตามินดี ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้เองเมื่อแสงอุลตราไวโอเล็ทถูกต้องผิวหนัง และวิตามินดีที่สังเคราะห์ขึ้นจะช่วยในการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ ควบคุมการขับถ่ายแคลเซียมออกจากไต และควบคุมการสะสมแคลเซียมบนเนื้อของกระดูก ประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรและได้รับแสงอาทิตย์เต็มที่ตลอดทั้งปี  จากการศึกษาของ         ดร.ละออ ชัยลือกิจ จากคณะแพทยศาสตร์โรงเพยาบาลรามาธิบดี  พบว่า  ระดับวิตามินดีในเลือดของคนไทยทั้งชายและหญิงมีปริมาณสูงพอเพียงและระดับไม่ได้ลดลงเมื่ออายุสูงขึ้น ทั้งนี้มีความแตกต่างกับชาวต่างชาติทางตะวันตกซึ่งเมื่ออายุมากขึ้นระดับวิตามินดีในเลือดจะลดลง ข้อที่แปด การกินโปรตีนจากเนื้อสัตว์และเกลือแกงมากจะมีผลกระทบต่อแคลเซียม จากการศึกษาของ ศ.นพ.สุรัตน์  โคมินทร์ พบว่าคนไทยในกรุงเทพมหานครกินแคลเซียมในปริมาณน้อย คือโดยเฉลี่ย 361 มิลลิกรัมต่อวันต่อคน นอกจากนี้ น.ส. นพวรรณ เปียซื่อ จากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดียังศึกษาพบด้วยว่าคนไทยรับประทานโปรตีนและเกลือแกงน้อยกว่าคนอเมริกัน  ประเด็นนี้มีความสำคัญเนื่องจากการรับประทานโปรตีน (จากเนื้อสัตว์) มากเกินไปจะทำให้การดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ลดลง  และการรับประทานเกลือแกงมากเกินไปจะทำให้ไตขับถ่ายแคลเซียม ออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ข้อที่เก้า การกินแคลเซียมปริมาณสูงจะทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง จากวารสารฉลาดซื้อฉบับตุลาคม 2555 กล่าวว่า การดื่มนมแคลเซียมสูงไม่ได้พิเศษไปกว่าการดื่มนมธรรมดา ร่างกายจะไม่ดูดซึมเอาแคลเซียมไปใช้ได้ทั้งหมดจะดูดซึมไว้แค่ประมาณร้อยละ 30 – 40 ส่วนที่เหลือก็ถูกร่างกายขับถ่ายออกไป ถ้าอาหารยิ่งมีแคลเซียมสูงการดูดซึมจะเกิดขึ้นน้อยกว่าอาหารที่มีแคลเซียมต่ำ การกินแคลเซียมเม็ดก็เช่นเดียวกัน  ปริมาณแคลเซียมที่กินในแต่ละครั้งจะผกผันกับการดูดซึม  พูดง่ายๆ ก็คือ  ยิ่งกินแคลเซียมมากหรือสูง  การดูดซึมกลับลดลง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดอันตรายจากภาวะแคลเซียมในเลือดสูงเกิน หน้ากระดาษหมดอีกแล้ว  คงต้องขอต่อบทสุดท้ายในฉบับหน้าว่า  เราจะปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะเรียกว่า รู้เท่าทัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 148 รู้เท่าทันแคลเซียมและวิตามินดี ตอนที่ 1

ทุกวันนี้  คนมีอายุยืนยาวกว่าสมัยก่อนมากมายเพราะอาหารการกินอุดมสมบูรณ์มากกว่าก่อน  รวมทั้งวัคซีนป้องกันโรคติดต่อ  ยาปฏิชีวนะ และยารักษาโรคต่างๆ ดีขึ้นมาก ทำให้อายุขัยของคนทั่วโลกยืนยาวขึ้น  การที่คนมีอายุยืนยาวขึ้นทำให้มีปัญหาสุขภาพต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายมากขึ้นเช่นเดียวกัน โรคหนึ่งที่พบและเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่ออย่างมากในปัจจุบันก็คือ โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนคือ  ภาวะที่ความหนาแน่นของกระดูกลดลง  เนื่องจากแร่ธาตุ โดยเฉพาะแคลเซียมในกระดูกลดลง  ทำให้กระดูกเปราะและแตกหักง่าย  โดยเฉพาะที่บริเวณ ข้อมือ สะโพก และสันหลัง (ให้ลองนึกภาพของกิ่งไม้หรือท่อนไม้สดที่เพิ่งตัดมาใหม่กับกิ่งไม้หรือท่อนไม้ที่แห้งและกรอบ) โรคนี้พบมากในผู้สูงอายุ  พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่า  และผู้ที่มีพี่น้องเป็นโรคกระดูกพรุน  จะมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป การโฆษณาชวนเชื่อทางสื่อต่างๆ ที่ให้ผู้สูงอายุต้องกินนมที่มีแคลเซียมสูง(ราคาสูงตามไปด้วย)  และต้องกินวิตามินดี(เพื่อให้กระดูกดีสมชื่อ)  นั้นคงทำให้ผู้สูงอายุส่วนใหญ่คล้อยตามและเสียเงินเสียทองตามไปด้วย  ซึ่งถ้าได้ผลดีตามโฆษณาก็คงดีไม่น้อย  แต่ผลที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่เป็นไปตามโฆษณาชวนเชื่อ  ทำให้ผู้สูงอายุเสียโอกาสในการมีวิธีการที่ดีกว่า  ประหยัดกว่า  และได้ผลมากกว่าในการดูแล ป้องกันกระดูกพรุน   การจะรู้เท่าทันเรื่องกระดูกพรุนนั้น  จะต้องรู้และเข้าใจข้อเท็จจริงพื้นฐาน ดังนี้ ข้อที่หนึ่ง กระดูกของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิต  มีการสร้างและสลายตัวอยู่ตลอดเวลา  เมื่อสร้างกระดูกใหม่จะมีการดึงแคลเซียมจากอาหารที่กินเข้าไป  ในขณะเดียวกันก็มีการสลายแคลเซียมจากเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดและขับออกทางปัสสาวะและอุจจาระ   ข้อที่สอง ในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากกว่าสลาย  มวลกระดูกจะแข็งแรงเต็มที่เมื่ออายุ 25-35 ปี  หลังจากนั้นจะเริ่มมีการสลายมวลกระดูกมากกว่าสร้าง  ดังนั้นในผู้สูงอายุ  ภาวะกระดูกบางตัวลงเป็นธรรมชาติของการสูงวัย   ข้อที่สาม ผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือน  มีการลดลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างรวดเร็ว  ทำให้กระดูกบางลงอย่างรวดเร็ว  โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน  และค่อยๆ บางช้าลง   ดังนั้นช่วงเวลานี้มีความสำคัญ  ต้องดูแลและชะลอการบางตัวของกระดูกไว้   จากการศึกษาของนพ.รัชตะ รัชตะนาวิน (ปัจจุบันเป็นอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล) และคณะนักวิจัยเรื่องกระดูกของคนไทยมีคุณค่าอย่างยิ่ง พบว่ามีปัจจัยที่แตกต่างจากของชาวต่างประเทศโดยเฉพาะฝรั่ง  ดังนี้ ข้อที่สี่ คนไทยกินแคลเซียมน้อยกว่าฝรั่งแต่กระดูกมีความแข็งแรงเท่ากับฝรั่ง เด็กไทยทุกกลุ่มอายุได้รับแคลเซียมจากอาหารน้อยกว่าความต้องการคือได้เพียงประมาณหนึ่งในสอง ถึง สามในสี่ของปริมาณที่ควรได้รับประจำวัน (ตามข้อกำหนดสารอาหารที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทยที่จัดทำเมื่อ พ.ศ. 2532) แต่ความหนาแน่นกระดูกของเด็กไทยมีค่าเท่ากับหรือมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กสวิสและอยู่ในเกณฑ์ปกติเมื่อเทียบกับเด็กชาวออสเตรเลีย   ข้อที่ห้า ในการศึกษาเดียวกันพบว่า  การออกกำลังกายประเภทที่มีการรับน้ำหนักได้แก่การเล่นกีฬาฟุตบอล บาสเกตบอล และแบดมินตัน มีผลในทางบวกต่อความหนาแน่นกระดูกบริเวณต่างๆ ในเด็กชาย ส่วนในเด็กหญิงพบว่าการเล่นบาสเกตบอลมีผลดีต่อความหนาแน่นกระดูก บริเวณกระดูกสันหลัง แต่กีฬาประเภทที่ไม่มีการรับน้ำหนัก ได้แก่ ว่ายน้ำและขี่จักรยาน ไม่พบว่ามีผลในทางบวกต่อความหนาแน่นกระดูกใดๆ   หน้ากระดาษหมดเสียแล้ว  คงขอต่อในฉบับต่อไป  เรายังมีข้อเท็จจริงอีกหลายข้อที่ผู้สูงอายุควรรู้  เพื่อที่จะได้ดูแล จัดการ และชะลอการบางตัวของกระดูกด้วยวิธีการที่เหมาะสมและได้ผลอย่างแท้จริง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 186 ใช้คอลลาเจนพอกหน้าดีจริงหรือ

เมื่อเราต้องการผ่อนคลายผิวหน้าหรือเติมความชุ่มชื้นให้มากขึ้น สาวๆ หลายคนเลือกการมาสก์ (Mask) หรือพอกหน้ามาเป็นตัวช่วย อย่างไรก็ตามปัจจุบันผลิตภัณฑ์ประเภทนี้มีหลายยี่ห้อ ทำให้ผู้ผลิตหลายรายแข่งขันกันด้วยการโฆษณาส่วนผสมที่อ้างว่าช่วยให้ผิวหน้าดีขึ้นได้มากกว่า ซึ่งแน่นอนว่าคอลลาเจนเป็นหนึ่งในสารสกัดสำคัญที่มักถูกนำมาประกอบการขาย แต่เราสามารถมั่นใจได้หรือว่าคอลลาเจนมีประโยชน์ในการพอกหน้าจริงๆมารู้จักการพอกหน้ากันสักนิดผลิตภัณฑ์สำหรับใช้มาสก์หรือพอกหน้าถือเป็นเครื่องสำอางประเภทหนึ่ง ซึ่งมีไว้เพื่อความสะอาดหรือความสวยงาม โดยสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น ครีม เจล หรือมาสก์หน้ากาก ทั้งนี้ภายหลังการพอกหน้าผู้ใช้ส่วนใหญ่จะพบว่าผิวหนังมีความชุ่มชื้นหรือเปล่งปลั่งขึ้น นั่นเพราะส่วนใหญ่ส่วนประกอบหลักในผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มักผสมสารให้ความชุ่มชื้นหรือช่วยดึงสิ่งสกปรกออกจากรูขุมขม ซึ่งทำให้รูขุมขุมกระชับขึ้น อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะอยู่ชั่วคราวและไม่สามารถรักษาหรือแก้ไขริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นในชั้นผิวหนังแท้ได้ เนื่องจากการพอกหน้าสามารถส่งผลต่อเซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุดเท่านั้น ใช้คอลลาเจนพอกหน้าดีกว่าจริงหรือคอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งในร่างกายของเรา ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมความยืดหยุ่น เชื่อมเซลล์ต่างๆ ไว้ด้วยกันและมีความสามารถในการอุ้มน้ำของผิวหนัง อย่างไรก็ตามจะเสื่อมสภาพไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้ที่ผ่านมามีการนำคอลลาเจนมาผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยมักโฆษณาสรรพคุณว่า ช่วยให้ผิวเด้งเต่งตึงอ่อนเยาว์หรือขาวใสขึ้นได้ ซึ่งไม่เว้นแม้แต่ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการพอกหน้า อย่างไรก็ตามด้วยคุณสมบัติของคอลลาเจน ที่เป็นเพียงโปรตีนชนิดหนึ่ง และคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการพอกหน้า ที่มีไว้เพื่อให้ความสะอาดหรือความสวยงาม เช่น ผิวชุ่มชื้นเพียงครั้งคราวนั้น จึงไม่สามารถซึมผ่านผิวหนัง เพื่อช่วยเปลี่ยนแปลงความเสื่อมของผิวหน้า เช่น ทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นได้ แต่หากเราพบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทำให้ผิวขาวใสขึ้นได้จริงก็ควรระวังไว้ก่อนว่า อาจผสมสารห้ามใช้อย่าง สารปรอท หรือไฮโดรควินิน เพราะที่ผ่านมากรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เคยตรวจพบสารดังกล่าว ในครีมพอกหน้าที่จำหน่ายผ่านทางอินเทอร์เน็ตมาแล้วแนะนำวิธีเลือกซื้อมาสก์แม้ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้มาสก์หรือพอกหน้าจะมีหลายยี่ห้อ แต่วิธีเบื้องต้นในการเลือกซื้อให้ปลอดภัยต่อผิวหน้ามีดังนี้1. ควรเลือกซื้อจากร้านค้าที่มีหลักแหล่งแน่นอนเชื่อถือได้2. ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากภาษาไทย โดยให้มีรายละเอียดดังนี้ - ประเภทหรือชนิดของเครื่องสำอาง - ชื่อการค้าและชื่อเครื่องสำอาง (ต้องมีขนาดใหญ่กว่าข้อความอื่น) - ชื่อสารทุกชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสม เรียงลำดับจากสารที่มีปริมาณมากไปสารที่มีปริมาณน้อย - วิธีใช้ / คำเตือน - ชื่อที่ตั้งของผู้ผลิต- ปริมาณสุทธิ - เลขที่แสดงครั้งที่ผลิตเครื่องสำอาง เดือน/ปีที่ผลิต หรือเดือน/ปีที่หมดอายุ 3. ต้องมีเลขที่ใบรับแจ้งเป็นตัวเลข 10 หลัก4. ควรหยุดใช้หากเกิดอาการแพ้ ผื่นคันและรีบไปพบแพทย์ 5. โดยทั่วไปสามารถเลือกใช้มาสก์แบบใดก็ได้ เพราะจุดประสงค์หลักคือการทำความสะอาด และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า แต่หากต้องการให้เหมาะสมกับสภาพผิวก็สามารถทำได้ เช่น หากมีผิวมันก็ควรเลือกใช้มาสก์ที่มีลักษณะเป็นวัสดุดูดซับ เช่น ดิน หรือโคลน เพราะสามารถช่วยดูดซับสิ่งสกปรกหรือขี้ไคลให้หลุดออกมาด้วย หรือสำหรับผู้ที่มีผิวปกติไปจนถึงผิวแห้ง ควรเลือกมาสก์ที่เป็นลักษณะเจล เพราะมาสก์เจลจะมีส่วนผสมของกาวยาง (gum tragacanth) เมื่อทาแล้ว เจลจะไม่แข็งตัว จะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้นข้อมูลอ้างอิง: http://pr.moph.go.th/iprg/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=56712      

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 185 ครีมนวด-ครีมหมักผม จำเป็นแค่ไหน

ผมสวยสุขภาพดีเป็นสิ่งที่สาวๆ หลายคนปรารถนา ทำให้ตามท้องตลาดมีผลิตภัณฑ์เพื่อดูแลเส้นผมมากมายหลายประเภท ซึ่งหนึ่งในนั้นคือผลิตภัณฑ์จำพวกครีมนวดและครีมหมักผม ที่มักโฆษณาว่าช่วยทำให้เส้นผมนุ่มสลวย โดยควรใช้เป็นประจำหลังสระผม อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะทำให้เส้นผมของเราสุขภาพดีขึ้นได้และเราควรใช้เป็นประจำตามคำโฆษณาจริงหรือมารู้จักครีมนวด-ครีมหมักผมกันก่อนครีมนวด (Conditioner) และครีมหมักผม (Treatment) เป็นเครื่องสำอางประเภทหนึ่งที่ใช้กับเส้นผม โดยมีจุดประสงค์เพื่อบำรุงเส้นผม ซึ่งส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยน้ำและสารอื่นๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นหรือความอ่อนนุ่มให้กับเส้นผม โดยภายหลังการใช้จะต้องมีการล้างออก ทั้งนี้ครีมนวดและครีมหมักผมจะมีความแตกต่างกันตรงปริมาณของสารบางชนิด โดยครีมหมักผมจะมีความเข้มข้นและหนืดมากกว่าครีมนวดผม ครีมนวด-ครีมหมักผมสามารถบำรุงเส้นผมได้อย่างไรครีมนวดและครีมหมักผมส่วนใหญ่มีส่วนประกอบคล้ายกัน ได้แก่ สารจำพวกไขมันและน้ำมัน สารให้ความชุ่มชื้น สารประจุบวกและกรดอ่อน ซึ่งมีประโยชน์ต่อเส้นผมเราดังนี้1.สารจำพวกไขมันและน้ำมัน สามารถเพิ่มน้ำมันหล่อเลี้ยงเส้นผมและเคลือบเส้นผมของเราได้ โดยจะทำให้เส้นผมไม่พันกัน เพิ่มความเงางามและให้หวีจัดทรงง่ายขึ้น ซึ่งคนที่มีลักษณะผมแห้งจะสังเกตได้ว่า หากใช้แชมพูสระผมเพียงอย่างเดียว ผมจะพันกันและจัดทรงยาก อย่างไรก็ตามในครีมหมักผมจะใส่สารดังกล่าวในปริมาณสูงกว่าครีมนวดผม จึงไม่ควรใช้ทุกวันเพราะอาจทำให้ผมมันเร็วกว่าปกติ 2.สารให้ความชุ่มชื้น สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่เส้นผม เพื่อให้ผมดูสลวยมีชีวิตชีวา ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ผมแห้งเสีย ที่ต้องการให้เส้นผมนุ่มลื่นหรือสุขภาพดีขึ้น 3. สารประจุบวกช่วยลดประจุลบจากการใช้แชมพูสระผม ซึ่งช่วยให้หวีผมง่ายขึ้น ลดการเกิดไฟฟ้าสถิตของเส้นผม 4.กรดอ่อน ช่วยลดความเป็นด่างจากการใช้แชมพูสระผม เพื่อไม่ให้เคราตินในเส้นผมเกิดการพองตัวและเปราะง่าย โดยปรับให้เกิดความสมดุล ทำให้หวีผมง่ายขึ้นและช่วยลดอาการผมแตกปลายได้ แล้วเราควรใช้ครีมนวด-ครีมหมักผมอย่างไรดีแม้ครีมนวดและครีมหมักผมจะมีส่วนประกอบ ซึ่งสามารถบำรุงผมของเราได้ดังที่กล่าวไปข้างต้น แต่มีความเข้มข้นของสารบางชนิดต่างกัน ทำให้มีวิธีเลือกใช้ที่ต่างกันเล็กน้อย ดังนี้1. ควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพผมหรือหนังศีรษะของตนเอง โดยหากเราเป็นคนผมมันง่ายควรใช้ครีมนวดผมมากกว่าครีมหมักผม หรือหากเราเป็นคนผมแห้งก็ควรใช้ครีมหมักผมสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง2. ควรใช้หลังกิจกรรมที่สามารถทำร้ายเส้นผม เช่น การว่ายน้ำ เพราะแม้ว่าหมวกว่ายน้ำจะช่วยลดโอกาสที่จะให้เส้นผมสัมผัสกับน้ำและคลอรีนโดยตรง แต่คลอรีนที่อยู่ในสระว่ายน้ำ มีฤทธิ์กัดกร่อนและสามารถจับกับโปรตีนบนผิวหนังได้ดี จึงสามารถดึงความชุ่มชื้นออกจากผิวหรือเส้นผมได้ จึงควรใช้ครีมนวดผมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเส้นผม หรือหากเส้นผมต้องโดนความร้อนบ่อยๆ ก็ควรใช้ครีมหมักผมบำรุงบ้าง3. ควรใช้หลังสระผม เพราะแชมพูจะช่วยล้างสิ่งสกปรกออกก่อน แต่จะทิ้งสารประจุลบและความเป็นด่างไว้ การบำรุงต่อด้วยครีมนวดหรือครีมหมักผมจึงช่วยปรับให้สภาพเป็นกลางเพื่อทำให้ผมจัดทรงง่ายขึ้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมไร้น้ำหนัก จัดทรงยากนั่นเอง4. ควรใช้เฉพาะบริเวณตรงกลางถึงปลายผม เพราะจะไม่ทำให้หนังศีรษะมันและควรชโลมทิ้งไว้ 1-2 นาที จากนั้นควรล้างออกให้สะอาด เพราะหากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการตกค้างสามารถทำให้ฝุ่นเกาะที่เส้นผมได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจทำให้รูขุมขนบนหนังศีรษะอุดตัน และนำไปสู่การอักเสบได้ 5. ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากภาษาไทย และมีข้อความตามที่กฎหมายกำหนด คือ ชื่อผลิตภัณฑ์/ประเภทสารที่ใช้เป็นส่วนผสม/วิธีใช้/ชื่อและสถานที่ตั้งผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า/ครั้งที่ผลิต เดือนปีที่ผลิตและปริมาณสุทธิ นอกจากนี้ควรซื้อจากร้านค้าที่เชื่อถือได้ เพื่อป้องกันผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนของแบคทีเรีย ยีสต์และราสูงเกินกำหนด โดยหากเรานำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปใช้ อาจทำให้เชื้อจุลินทรีย์เข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังที่อักเสบเป็นสิว แผลและเกิดการติดเชื้อได้ ข้อมูลอ้างอิง: ความรู้พื้นฐานสำหรับเส้นผม อ.ดร.อัญชลี จินตพัฒนากิจ ภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล http://www.medplant.mahidol.ac.th/events/25560515/25560515_04.pdf   

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 184 ปิดผมขาวอย่างปลอดภัย

ไม่ว่าใครต่างก็ไม่อยากแก่ ทำให้สัญลักษณ์ความสูงวัยอย่างผมหงอกเป็นเรื่องที่ต้องหาทางปกปิด ซึ่งวิธีที่คนส่วนใหญ่นิยมก็หนีไม่พ้นการใช้น้ำยาปิดผมขาว เพราะน้ำยาดังกล่าวสามารถช่วยให้ผมกลับมาดำได้รวดเร็วทันใจ แต่ปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าน้ำยาปิดผมขาวมีหลากหลายประเภท ซึ่งเราควรเลือกซื้อเลือกใช้อย่างไรให้ปลอดภัยไปดูกันเลยมารู้จักผมขาวกันก่อนผมขาวหรือผมหงอก เกิดจากการที่ส่วนของเส้นผมชั้นกลาง (Cortex) หยุดสร้างเม็ดสี ทำให้เส้นผมกลายเป็นสีขาว ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติเมื่อเราอายุมากขึ้นหรือตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตามหากพบว่าอายุยังน้อยแต่มีผมขาวจะถือว่าเป็นความผิดปกติ เรียกว่าอาการผมหงอกก่อนวัย ซึ่งสามารถมีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น กรรมพันธุ์ การขาดสารอาหารและแร่ธาตุที่จำเป็น อาการของโรคต่างๆ หรือการใช้ยาบางชนิดก็สามารถส่งผลให้ผมขาวได้เช่นกันมารู้จักน้ำยาปิดผมขาวกันบ้างแม้ปัจจุบันน้ำยาปิดผมขาวมีมากมายหลายยี่ห้อ แต่ส่วนใหญ่จัดอยู่ในประเภทยาย้อมผมชนิดถาวร โดยน้ำยาจะประกอบไปด้วย ครีมสีและไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogen peroxide) ซึ่งสารเคมีทั้งสองชนิดสามารถซึมลึกเข้าไปถึงเส้นผมชั้นกลางได้ เพื่อทำให้เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีดำและให้น้ำยาสามารถติดทนอยู่บนเส้นผมได้นานขึ้น อย่างไรก็ตามสารเคมีดังกล่าวเป็นตัวการสำคัญ ที่สามารถทำให้เราเกิดอาการแพ้ ผื่นคัน หรือผิวหนังอักเสบได้ เพราะตัวยาสำคัญของครีมสี คือสารพาราฟีนีลีนไดอะมีน (PPD) และพาราโทลูไดอะมีน (PTD) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และผิวหนังอักเสบ เช่น เกิดผื่นแดง อาการบวมรอบนัยน์ตา ผื่นคัน และหากแพ้มากอาจทำให้หายใจลำบากได้ ส่วนสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ จะทำหน้าที่กัดสีผม เพื่อให้เส้นผมมีสีอ่อนลง สามารถทำให้เกิดการระคายเคืองต่อหนังศีรษะ ทำให้ผมแข็งกระด้าง ทำลายเม็ดสีผมตามธรรมชาติ กลายเป็นยิ่งย้อมก็ยิ่งหงอกเร็วกว่าเดิมได้ นอกจากนี้หากเราใช้แอมโมเนีย ช่วยปรับสภาพความเป็นกรดด่างเพื่อให้สีติดผมดีขึ้น ก็สามารถทำให้ผมเสียหลุดร่วงได้เช่นกัน แนะวิธีเลือกน้ำยาปิดผมขาวเพื่อป้องการอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น การเลือกน้ำยาปิดผมขาวให้ปลอดภัยต่อหนังศีรษะจึงเป็นเรื่องจำเป็น ซึ่งวิธีเลือกน้ำยาปิดผมขาวให้ปลอดภัยเราสามารถทำได้ดังนี้- เลือกผลิตภัณฑ์ย้อมผมที่มีฉลากภาษาไทยและได้รับมาตรฐาน อย .- ทดสอบการแพ้น้ำยาก่อนใช้ทุกครั้ง โดยการป้ายน้ำยาปิดผมขาวจำนวนเล็กน้อยลงบนท้องแขน เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชม.ซึ่งหากพบว่าไม่เกิดอาการแพ้ใดๆ ก็สามารถใช้ต่อได้ และเช็ดออกด้วยน้ำมันมะกอกหรือเบบี้ออย- เนื่องจากสารเคมีอย่างพาราฟีนีลีนไดอะมีน และพาราโทลูไดอะมีน สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย เราจึงควรหลีกเลี่ยง โดยสามารถเปลี่ยนไปใช้น้ำยาปิดผมขาวที่ไม่ใส่สารเคมีดังกล่าว เช่น ใช้สมุนไพรอย่าง เทียนกิ่ง (เฮนน่า) ดอกคาโมมายด์ย้อมผมแทน ซึ่งสีจากสมุนไพรจะเคลือบติดบนเส้นผมชั้นนอกเท่านั้นทั้งนี้เราสามารถผสมสมุนไพรดังกล่าวด้วยตนเอง หรือซื้อแบบสำเร็จรูปก็ได้ แต่ควรสังเกตฉลากให้ดีก่อนว่ามีสารเคมีหรือไม่  เพราะบางยี่ห้ออาจหลอกลวงผู้บริโภคด้วยการใส่สารเคมีเพื่อช่วยให้สีผมดำ เนื่องจากสมุนไพรดังกล่าว ไม่สามารถทำให้ผมสีดำสนิทได้ เพียงแค่ทำให้เข้มขึ้นเท่านั้น - ควรเว้นระยะห่างการย้อมผมให้นานกว่า 2 เดือน เพื่อให้หนังศีรษะฟื้นฟูจากการทำเคมี หรือแม้แต่การใช้สมุนไพร เราก็ไม่ควรทำบ่อยเพราะสามารถทำให้เส้นผมแห้งหรือหยาบกระด้างได้ และทุกครั้งที่ย้อมผมก็ไม่ควรหมักผมทิ้งไว้เกินคำแนะนำที่ระบุไว้ข้างกล่อง เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือผมร่วงได้- นอกจากนี้เราควรหลีกเลี่ยงการย้อมผม เมื่อหนังศีรษะมีรอยถลอก เป็นแผล หรือโรคผิวหนังเพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และไม่ใช้ยาย้อมผม ย้อมขนตาหรือขนคิ้ว เพราะอาจทำให้ตาบอดได้ข้อมูลอ้างอิง: http://www.mfu.ac.th/school/anti-aging/admin/uploadCMS/research/FcWed10439.pdf

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 183 ผิวแห้งหน้าร้อน

สภาพอาการบ้านเราในช่วงนี้ นอกจากจะร้อนจัดแล้ว บางเวลาก็ฝนตกหนัก ทำให้สาวๆ ต้องดูแลสุขภาพผิวเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เพราะผิวหนังของเราสามารถสูญเสียความชุ่มชื้นในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เราเหี่ยวก่อนวัย หรือผิวหนังอักเสบจากอาการผิวแตกได้ แล้วอย่างนี้เราจะมีวิธีดูแลผิวอย่างไรดีปัจจัยที่สามารถส่งผลให้ผิวแห้งมีอะไรบ้างตามธรรมชาติผิวหนังของคนเราจะมีความชุ่มชื้นอยู่แล้ว แต่จะมีปัจจัยต่างๆ ที่มาทำลายความชุ่มชื้นเหล่านั้น ซึ่งมีดังนี้- อายุ อาการผิวแห้งนี้พบได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบได้บ่อยในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เพราะวัยเด็กผิวหนังยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ทำให้มีความบอบบางกว่าผู้ใหญ่ ส่วนในผู้สูงอายุผิวหนังจะเริ่มเสื่อมถอย ทำให้ผิวยิ่งบางและแห้งมากขึ้น ซึ่งพบว่าในผู้สูงอายุบางราย ผิวหนังจะมีลักษณะเป็นสะเก็ดแห้ง หรืออาจมีร่องแตก คล้ายเกล็ดปลาและสามารถเป็นได้ทั้งตัว - กรรมพันธุ์ สามารถทำให้เกิดปัญหาผิวแห้งได้ เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคสะเก็ดเงิน - เมื่อฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น ระยะตั้งครรภ์ หรือภาวะหมดประจำเดือน- สภาพอากาศ แม้ว่าในฤดูหนาวจะพบอาการผิวแห้งมากกว่าในฤดูอื่นๆ แต่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัด แสงแดดสามารถทำให้น้ำระเหยออกจากผิวได้มากขึ้นเช่นกัน- การใช้ยารักษาโรคหรือยาสมุนไพรบางชนิด เช่น สารจากขมิ้น ว่านหางจระเข้ หรือการกินยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคความดันสูง สามารถก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อผิว และทำให้ผิวแห้งมากขึ้น - การทำความสะอาดผิวบ่อยๆ ทำให้มีโอกาสชำระล้างไขมันที่จำเป็นต่อผิว เช่น เซราไมด์ ที่มีหน้าที่ป้องกันน้ำระเหยออกจากผิว ซึ่งจะทำให้ผิวอ่อนแอ และสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายขึ้น - สารทำความสะอาดผิวที่ไม่อ่อนโยน เช่น สบู่ สบู่ยา (สบู่ที่มีวิธีส่วนผสมของตัวยา) หรือแอลกอฮอล์จะทำลายชั้นไขมันที่จำเป็น ทำให้ผิวยิ่งอ่อนแอ- การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ สารนิโคตินในบุหรี่และแอลกอฮอล์สามารถทำให้ผิวหนังเสื่อมสภาพ เหี่ยวแห้ง หย่อนยาน เกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น และในบางคนอาจทำให้เป็นสิวได้ง่ายขึ้นอีกด้วยผิวแห้งแล้วจะเกิดอะไรขึ้นผิวแห้ง(dry skin) คือสภาพผิวที่มีปัญหา ซึ่งเกิดขึ้นจากการสูญเสียน้ำออกจากผิว โดยสามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งกับผิวหน้าและผิวกาย เมื่อผิวแห้งจะทำให้ผิวหนังไม่เต่งตึง และบางคนจะเห็นเป็นรอยแตกคล้ายผิวงู ในบริเวณขา หน้าท้อง หรือทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกิดไฝหรือขี้แมลงวันบนผิวหนังเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้หากเราผิวแห้งมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้มีอาการคันร่วมด้วย ซึ่งหากเราเผลอไปเกาจนเป็นนิสัย สามารถส่งผลให้ผิวหนังอักเสบ เช่น มีอาการบวมแดง ผิวหนังยกตัวนูนขึ้น เป็นผื่นหรือเป็นตุ่มแนะวิธีการดูแลผิวแห้งหากสาวๆ ต้องการดูแลให้ผิวหนังกลับมาชุ่มชื้นเหมือนเดิม อย่างแรกเลยคือต้องอาศัยความอดทน ในการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ และสามารถทำตามวิธีดังนี้- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวขาดน้ำ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพราะหากเราได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ สามารถส่งผลให้ผิวขาดวิตามิน และผิวแห้งมากขึ้นได้- เลือกประเภทของการบำรุงผิวให้เหมาะกับตนเอง ในหน้าร้อนเราก็สามารถบำรุงผิวได้ โดยเลือกให้ครีมบำรุงไม่เหนอะหนะ ซึ่งสามารถแบ่งความเข้มข้น เรียงจากมากไปน้อยได้ดังนี้ โลชั่น ครีม น้ำมัน (เช่น เบบี้ออย) และขี้ผึ้ง ซึ่งเราอาจะเก็บน้ำมันและขี้ผึ้ง ไว้ใช้ในหน้าหนาว หรือกรณีที่ผิวแห้งมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้ควรเลือกครีมบำรุงผิวที่ปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารกันเสีย เพราะอาจทำให้เราแพ้ได้- ควรหยุดใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำที่ทำให้ผิวแห้งยิ่งกว่าเดิม เช่น สบู่ยา- ทาครีมหลังการอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เพราะจะลดปัญหาการเหนอะหนะ และทำให้บำรุงผิวได้ดียิ่งขึ้น- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นเป็นประจำ หรืออยู่ในที่สภาพอาการร้อนหรือหนาวจัดสม่ำเสมออย่างไรก็ตามหากเราพบว่าผิวยังแห้งแตกมากเหมือนเดิม ก็ไม่ควรเกาหรือปล่อยให้หายเอง แต่ควรไปพบแพทย์ เพราะอาจจะต้องใช้ยาทาผิวหนังลดการอักเสบ เพื่อรักษาอาการดังกล่าวโดยเฉพาะ  

อ่านเพิ่มเติม >