ฉบับที่ 202 เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง

ร่วมสนับสนุนเราให้มีทุนทดสอบต่อเนื่อง สมัครสมาชิก อ่านรายละเอียดคลิกที่นี่สมาชิกที่กำลังมองหาตัวช่วยในการทำความสะอาด ไม่ว่าจะล้างรถ ล้างแอร์ หรือล้างพื้นบ้าน โปรดฟังทางนี้ เรามีผลทดสอบเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงที่องค์กรผู้บริโภค CHOICE ของออสเตรเลียได้ทำไว้มาฝากกัน อุปกรณ์ที่ว่านี้อาจราคาไม่ถูกนักแต่ถ้าเทียบกับเงินที่เราประหยัดได้จากการซื้อบริการทำความสะอาดในแต่ละครั้ง รวมกับการใช้น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วก็ถือว่าน่าลงทุนไม่น้อย  CHOICE แบ่งการให้คะแนนออกเป็นสามด้านได้แก่ ประสิทธิภาพในการทำความสะอาด ความสะดวกในการใช้งาน และความดังของเสียงขณะใช้งาน ทุกด้านมีคะแนนเต็ม 100 แต่คะแนนรวมจะคิดจากประสิทธิภาพ (ร้อยละ 60) และความสะดวกในการใช้งาน (ร้อยละ 40) เท่านั้น  • ราคาที่แสดงเป็นการแปลงค่าจากเงินเหรียญออสเตรเลีย  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า500 Point

ฉบับที่ 195 ระวังผู้สูงวัยอายุจะสั้นจากผลิตภัณฑ์กตัญญู

ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ผมมีโอกาสไปร่วมงานรดน้ำขอพรผู้สูงวัยหลายแห่ง  ทำให้มีโอกาสพูดคุยกับผู้สูงวัยหลายท่าน  สิ่งหนึ่งที่ผู้สูงวัยมักจะถามบ่อยๆ ก็คือเรื่องปัญหาสุขภาพ และการใช้ยาต่างๆ  ทำให้ทราบว่า นอกเหนือจากยาที่ต้องทานประจำแล้ว หลายท่านยังรับประทานผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมาย บางชนิดเป็นผลิตภัณฑ์ราคาแพงจากต่างประเทศด้วยซ้ำ เมื่อคุยไปคุยมาจึงทราบว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนส่งมาจากลูกหลานของท่านที่ไปทำงานในที่ห่างไกล ท่านบอกว่าลูกหลานมักจะซื้อผลิตภัณฑ์แปลกๆ ส่งมาให้ ทีแรกท่านเองก็ไม่อยากจะกิน  แต่ขัดลูกหลานไม่ได้ ยอมรับว่าเวลาทานมันก็มีความสุขที่ลูกๆ หลานๆ ยังไม่ลืม ยังกตัญญู คอยดูแลอยู่เสมอๆ ผมมีโอกาสตามไปดูที่บ้าน  เลยได้เห็นผลิตภัณฑ์มากมายหลายชนิดจริงดังที่ท่านเล่า  ท่านบอกว่าระยะหลังๆนี้ความดันโลหิตของท่านคุมไม่ค่อยอยู่ ไม่ยอมลดลง  พอสอบถามว่าทานอะไรเพิ่มหรือเปล่า ท่านก็บอกว่ามีแค่โสมชนิดแคปซูลอย่างเดียว  ผมพลิกดูฉลากพบว่าขึ้นทะเบียนเป็นยา มีคำเตือนในผู้ป่วยบางโรค เช่น โรคความดันโลหิต  ซึ่งในแง่ข้อมูลทางวิชาการเขาก็แนะนำในผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูงต้องระมัดระวังอยู่แล้ว เพราะอาจทำให้ความดันโลหิตของบางคนสูงขึ้นได้ ผู้สูงอายุอีกราย นำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาให้ ดู  จากฉลากแสดงส่วนประกอบเป็นพวกแร่ธาติและวิตามินชนิดต่างๆ  ฉลากมีรายละเอียดการได้รับอนุญาตถูกต้องครบถ้วน  ท่านเล่าว่าลูกชายไปทำงานที่กรุงเทพ ซื้อมาให้ ราคาขวดละหลายร้อยบาท ลูกชายสั่งให้ทานร่างกายจะได้แข็งแรง ท่านก็เลยทานเป็นประจำ วันละ 2-3 ครั้ง ผมถามท่านว่าทานแล้วมีอาการอะไรมั๊ย ท่านบอกว่าก็ปกติดีนี่  เสียแต่ว่าช่วงนี้คุมน้ำตาลไม่ค่อยอยู่  ผมถึงนึกขึ้นได้ รีบอ่านฉลาก  พบว่าผลิตภัณฑ์ชนิดนี้มีส่วนผสมของน้ำเชื่อมค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่ระดับน้ำตาลในเลือดของท่านจึงสูงขึ้น ส่วนอีกรายท่านมีอาการปวดข้อเข่า ท่านเล่าว่าในอดีตท่านเคยซื้อยาผงสมุนไพรไทยที่ฉลากเป็นรูปรากไม้สีเขียวมารับประทาน ต่อมามีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาตรวจสอบยาให้  พบว่ามีสารสเตียรอยด์ ก็เลยหยุดรับประทาน หันไปรับประทานยาที่หมอโรงพยาบาลจ่ายแทน  แต่หลังๆ ก็มีคนรู้จักมาขายให้อีก เป็นยาสมุนไพรไทยเหมือนเดิม ฉลากก็คล้ายเดิม เพียงแต่ฉลากรูปรากไม้เป็นสีน้ำเงิน  คนขายบอกว่าสีนี้ไม่มีสารสเตียรอยด์ ท่านลองกินก็ได้ผล หายปวดเข่า ก็เลยทานมาเรื่อยๆพอยาหมดก็ฝากเขาซื้อ  บางครั้งก็ได้อีกชนิดที่ราคาแพงกว่า เป็นยาสมุนไพรไทยเหมือนเดิม แต่ฉลากเป็นรูปรากไม้สีส้ม  ท่านเลยเอายามาให้ผมลองตรวจสอบ  ผลปรากฏว่าทั้งชนิดที่ฉลากเป็นรูปรากไม้สีน้ำเงิน และรากไม้สีส้ม ต่างก็พบสารสเตียรอยด์ทั้งหมด ฟังเรื่องของผู้สูวัยแต่ละท่านก็อดเป็นห่วงไม่ได้ สังคมไทยกำลังเข้าสู่ยุคผู้สูงวัย แต่ผู้สูงวัยหลายท่านยังต้องเสี่ยงจากการบริโภคผลิตภัณฑ์อันตราย ที่สำคัญมันเป็นความเสี่ยงที่ท่านไม่ได้หามาเอง แต่เป็นความเสี่ยงที่มาพร้อมๆกับความกตัญญูจากลูกหลาน  ทราบอย่างนี้แล้ว ลูกหลานท่านใดจะดูแลบิดามารดา ก็ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ให้รอบคอบก่อนนะครับ ถ้าไม่จำเป็นหรือไม่แน่ใจ อย่าให้ท่านรับประทานเลย เพราะอาจทำร้ายท่านโดย

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 193 ประกันชีวิต (เพื่อผู้สูงอายุ) ศึกษาให้เข้าใจ ไม่ตกเป็นเหยื่อ

ก่อนหน้านี้เคยมีกรณีที่เป็นข่าวโด่งดังทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์และบนสื่อสังคมออนไลน์ เกี่ยวกับปัญหาจากการซื้อ “ประกันผู้สูงอายุ” เนื่องจากมีผู้ทำประกันหลายรายถูกปฏิเสธจากบริษัทประกันในการจ่ายทุนเอาประกันหรือค่าสินไหมทดแทน โดยบริษัทแจ้งว่าผู้เอาประกันเสียชีวิตด้วยโรคร้ายแรงที่เจ็บป่วยเรื้อรังมาก่อนสมัครทำประกัน โดยจุดเริ่มต้นของปัญหาส่วนหนึ่งมาจากเรื่องของความไม่ตรงไปตรงมาและการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะคำโฆษณาในทำนองที่ว่า “สมัครได้ทันที ไม่ต้องตรวจสุขภาพ ไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ เบี้ยประกันแค่วันละไม่กี่บาท” ทำให้ผู้เอาประกันตัดสินใจซื้อประกันทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำการศึกษาข้อมูลเงื่อนไขในกรมธรรม์ให้เข้าใจเพียงพอ ปัญหาที่เกิดขี้นทำให้บรรดาหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไล่ตั้งแต่ สมาคมประกันชีวิตไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ต้องทำงานร่วมกันเพื่อหามาตรการในการจัดการปัญหา ควบคุมไม่ให้สัญญาประกันผู้สูงอายุเป็นไปในลักษณะเอาเปรียบผู้ทำประกัน ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เกิดประกาศหลายฉบับที่ออกมาจัดการควบคุมประกันเพื่อผู้สูงอายุ ลองไปดูกันดีกว่าว่า จากนี้ไปหากจะทำประกันชีวิตเพื่อผู้สูงอายุจะต้องศึกษาข้อมูลตรงไหนบ้างเงื่อนไขที่ควรรู้ก่อนทำประกันผู้สูงอายุสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลควบคุมธุรกิจประกันภัย ได้ออกมาทำหน้าที่จัดการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ป้องกันไม่ให้ผู้ซื้อประกันถูกเอาเปรียบจากบริษัทประกัน โดยได้ออกข้อกำหนดที่จะมาควบคุมรูปแบบการทำประกันเพื่อผู้สูงอายุให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด ซึ่งประกาศดังกล่าวมีชื่อว่า คำสั่งเรื่อง “ให้แก้ไขเพิ่มเติมแบบและข้อความกรมธรรม์ประกันชีวิตผู้สูงอายุของบริษัทประกันชีวิตและเอกสารประกอบ” ซึ่งประกาศฉบับนี้จะกำหนดรายละเอียดสำคัญที่ประกันชีวิตสำหรับผู้สูงอายุต้องมีเอาไว้ดังนี้1.เติมคำว่า (เพื่อผู้สูงอายุ) ต่อท้ายชื่อแบบประกันต้องมีการเพิ่มคำว่า (เพื่อผู้สูงอายุ) ต่อท้ายชื่อแบบและข้อความในกรมธรรม์ประกันชีวิตผู้สูงอายุ ใบคำขอเอาประกันชีวิต และเอกสารสรุปสาระสำคัญโดยย่อที่ใช้สำหรับกรมธรรม์ประกันชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งการกำหนดให้เพิ่มเติมคำว่า (เพื่อผู้สูงอายุ) ต่อท้ายชื่อของแบบประกัน ก็เพื่อให้ทั้งผู้ซื้อประกันและบริษัทฯ เข้าใจร่วมกันว่า ประกันฉบับนี้คือประกันเพื่อผู้สูงอายุ ข้อกำหนดต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องผลประโยชน์และความคุ้มครองจะต้องเป็นไปตามประกาศที่ทาง คปภ. กำหนด ทางบริษัทประกันไม่มีสิทธิใช้ข้ออ้างอื่นใดในการปฏิเสธหรือไม่ทำตามข้อกำหนดที่มีอยู่ในประกาศ2.อายุผู้ที่สามารถทำประกันชีวิตเพื่อผู้สูงอายุได้ต้องมากกว่า 50 ปีขึ้นไปอายุขั้นต่ำของผู้ที่สามารถเอาประกันภัยเพื่อผู้สูงอายุอยู่ที่ 50 ปีขึ้นไป จนถึง 70 หรือ 75 ปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัท โดยจะได้รับเงินทุนเอาประกันเมื่อผู้ทำประกันเสียชีวิต หรืออยู่ครบอายุสัญญาที่อายุ 90 ปี3. ไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องแถลงสุขภาพในใบคำขอเอาประกันชีวิตส่วนนี้คือจุดเด่นที่สุดของประกันชีวิตเพื่อผู้สูงอายุ เพราะเปิดโอกาสที่ผู้สูงอายุทุกคนสามารถทำประกันชีวิตเพื่อมีเงินไว้ใช้เมื่ออายุมากขึ้น หรือมีเงินก้อนไว้ให้ลูกหลานในวันที่จากไป ซึ่งการบังคับให้มีการกำหนดเรื่องการไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องแถลงสุขภาพในใบคำขอเอาประกันชีวิต ทำให้บริษัทประกันไม่สามารถเอาเรื่องการป่วยด้วยโรคเรื้อรังร้ายแรงก่อนทำประกันมาเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธการจากเงินเอาประกันได้อีก4.ผู้เอาประกันเสียชีวิตก่อนครบ 2 ปี จะต้องได้เบี้ยประกันคืน พร้อมเงินเพิ่มร้อยละ 2หากผู้เอาประกันเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยภายใน 2 ปี นับแต่วันทำสัญญา บริษัทฯ จะคืนเบี้ยประกันที่ได้รับมาแล้วพร้อมเงินเพิ่มในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2 ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่ผู้รับประโยชน์ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ที่ ร้อยละ 2 – 5 ตามแต่ละบริษัทฯ 5.ยกเลิกกรมธรรม์ได้ภายใน 15 วันต้องมีการระบุในสัญญาว่า ผู้เอาประกันภัยสามารถขอยกเลิกกรมธรรม์ประกันชีวิตได้ ภายใน 15 หรือ 30 วันแล้วแต่กรณี นับแต่วันที่ได้รับกรมธรรม์ประกันชีวิตประกันผู้สูงอายุ ให้ผลประโยชน์แบบไหนจุดเด่นของ ประกันชีวิตผู้สูงอายุ ก็คือการเป็นทางเลือกให้กับผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยโรคที่ไม่สามารถสมัครทำประกันแบบปกติทั่วไปได้ เพราะประกันชีวิตผู้สูงอายุ มาพร้อมเงื่อนไขที่ว่าไม่ต้องตรวจสุขภาพและก็ไม่ต้องแจ้งเรื่องสุขภาพลงในสัญญา ทำให้ผู้สูงอายุที่ต้องการมีเงินไว้ให้กับลูกหลานหรืออาจจะเก็บไว้ใช้เองยามแก่เฒ่า สามารถเลือกทำประกันเพื่อผู้สูงอายุได้แต่ทั้งนี้บริษัทประกันก็ได้มีการออกแบบมาไว้แล้ว โดยใน 2 ปีแรก หากผู้ทำประกันเสียชีวิตด้วยโรคร้ายแรง ก็ได้รับเพียงเงินจากเบี้ยประกันที่จ่ายมา บวกเงินเพิ่มที่ทางบริษัทประกันจะจ่ายให้อีกร้อยละ 2 ของเบี้ยประกันที่จ่ายมาแล้ว ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ไม่มาก เช่น ถ้าในช่วง 2 ปีก่อนเสียชีวิต ผู้ทำประกันจ่ายเบี้ยมาแล้วเป็นเงิน 4,000 บาท ก็จะได้เงินเพิ่มอีก ร้อยละ 2 ของเบี้ยประกันคือ 4,000 บาท หรือเท่ากับ 80 บาท รวมแล้วผู้รับผลประโยชน์ก็ได้เงินจำนวน 4,080 บาท ในกรณีที่เสียชีวิตจากโรคในช่วง 2 ปีแรกของการทำประกันส่วนการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในช่วง 2 ปีแรกของการทำประกัน จะได้รับผลประโยชน์เต็มจำนวนของเงินทุนเอาประกัน เช่นเดียวกับเมื่อทำประกันเข้าสู่ปีที่ 3 ก็จะได้รับเงินทุนเอาประกันเต็มวงเงินไม่ว่าเสียชีวิตจากอาการเจ็บป่วยจากโรคหรืออุบัติเหตุกรณีที่อยู่จนครบสัญญาประกันซึ่งส่วนใหญ่กำหนดไว้ที่อายุ 90 ปี ผู้เอาประกันก็จะได้รับเงินทุนเอาประกันเต็มวงเงินเช่นกันประกันชีวิตสูงวัย ไม่คุ้มครองเรื่องรักษาพยาบาลประกันชีวิตเพื่อผู้สูงอายุ จะเน้นที่การคุ้มครองในลักษณะประกันชีวิตเพียงอย่างเดียว ตามชื่อแบบประกัน คือจะให้ผลประโยชน์ก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิตหรืออยู่จนครบอายุสัญญาเท่านั้น ไม่ได้ให้ความคุ้มครองในส่วนของค่ารักษาพยาบาล หรือการจ่ายเงินปันผล แต่บริษัทประกันชีวิตหลายแห่งก็มีการขายสิทธิประโยชน์เหล่านี้เพิ่มเติมกับประกันชีวิตผู้สูงอายุ ซึ่งแน่นอนว่าในเงื่อนไขสัญญาของสิทธิอื่นๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็จะมีความแตกต่างไปจากเงื่อนไขสัญญาของประกันชีวิตเพื่อผู้สูงอายุทั่วไปรู้ให้ทันโฆษณาประกันชีวิตประเด็นหลักที่ทำให้ก่อนหน้านี้ “ประกันชีวิตเพื่อผู้สุงอายุ” ถูกมองว่าเป็นสัญญาที่เอาเปรียบผู้บริโภค ก็คือเรื่องของการโฆษณา ที่จงใจบอกเพียงแต่ผลประโยชน์สูงสุดที่จะได่รับ แต่กลับปกปิดเงื่อนไขสำคัญอย่างเกณฑ์ในการขอรับเงินคุ้มครอง แม้จะบอกว่าสมัครได้โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพ แต่ก็กลับพบปัญหาเรื่องการปฏิเสธการจ่ายเงินทุนเอาประกันคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ.จึงต้องออกประกาศเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเป็นประกาศที่จะควบคุมเรื่องการโฆษณาขายประกันโดยเฉพาะ ซึ่งกำหนดที่บริษัทประกันต้องปฏิบัติในการโฆษณาขายประกันทุกประเภทมีดังนี้1.ข้อความที่โฆษณาต้องไม่เป็นเท็จหรือเกินความจริง2.ข้อความที่โฆษณาต้องไม่กำกวม มีความชัดเจน เข้าใจง่าย 3.ข้อความที่โฆษณาจะต้องไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยหรือการจ่ายเงินตามสัญญาประกันภัย4.ไม่ประมาณการผลตอบแทนที่จะได้รับ หรือไม่ประมาณการผลประกอบการธุรกิจผู้เสนอขาย เว้นแต่ กรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีการจ่ายปันผล, กรมธรรม์ประกันชีวิตควบการลงทุน และกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ โดยกรมธรรม์ประกันชีวิตดังกล่าวต้องระบุแหล่งที่มาของสมมุติฐานที่ใช้อ้างอิง5.ในการโฆษณาที่ระบุว่า “ไม่ต้องตรวจสุขภาพ” จะต้องมีการระบุให้ชัดเจนด้วยว่าต้องแถลงเกี่ยวกับสุขภาพในใบคำขอเอาประกันภัยด้วยหรือไม่ หากมีการแถลงเกี่ยวกับสุขภาพ ต้องระบุเพิ่มด้วยว่าการแถลงสุขภาพเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณารับประกันภัย หรือพิจารณาจ่ายเงินตามสัญญาประกันภัย6.ในกรณีที่มีการอ้างอิงรายงานทางวิชาการ สถิติ หรือข้อมูลอื่นใด ต้องระบุแหล่งที่มาให้ชัดเจน ต้องไม่ตัดทอนข้อมูลดังกล่าว จนทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญ และต้องมีข้อมูลดังกล่าว พร้อมให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้7.กรณีโฆษณาผ่านสื่อโฆษณาที่ใช้ข้อความ หรือภาพ ตัวอักษรของคำเตือนและคำอธิบายรายละเอียดต้องมีความคมชัด และอ่านได้ชัดเจน8.กรณีโฆษณาผ่านสื่อโฆษณาที่มีเฉพาะการใช้เสียง ต้องจัดให้มีการอ่านออกเสียง คำเตือน และคำอธิบายรายละเอียดที่สามารถฟังเข้าใจได้9.ให้มีการระบุคำเตือน โดยใช้ข้อความว่า “ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง” หรือข้อความอื่นใดที่มีความหมายทำนองเดียวกัน10.ต้องระบุให้ชัดเจนว่าในการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยผ่านทางสื่อโฆษณาว่า กรมธรรม์ประกันภัยที่เสนอขายเป็นกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทใดที่มา : ประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยผ่านทางสือโฆษณาตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต พ.ศ. 2556

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 175 กระแสในประเทศ

สรุปความเคลื่อนไหวเดือนกันยายน 2558“Eco Sticker” คู่มือคนซื้อรถยนต์ตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป รถยนต์ที่ผลิตขึ้นใหม่ทุกคันทั้งนำเข้าและผลิตเองในประเทศจะต้องติด “Eco Sticker” หรือป้ายแสดงข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล เพื่อให้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนซื้อรถยนต์ ข้อมูลที่แสดงอยู่บน Eco Sticker  จะบอกข้อมูลอัตราการใช้น้ำมันว่า มีปริมาณมากน้อยเพียงใด เรื่องของความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การสร้างมลพิษ และมาตรฐานเรื่องความปลอดภัยโดยเฉพาะเรื่องมาตรฐานการเบรก ซึ่งอิงกับเกณฑ์ระดับสากล Eco Sticker จะควบคุมดูแลโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลัง เชื่อว่าการออกข้อกำหนดให้รถยนต์รุนใหม่ๆ ที่จะวางจำหน่ายในประเทศทุกคันต้องติดป้าย Eco Sticker จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้บริโภคในการมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไว้สำหรับเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์สักคัน ส่วนทางฝั่งผู้ผลิตรถยนต์ก็จะพัฒนารถของตัวเองให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ผลิตรถยนต์ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะต่อไปเชื่อว่านอกจากเรื่องสมรรถนะและความปลอดภัยแล้ว เรื่องของการประหยัดพลังงานและไม่ทำลายสภาพแวดล้อมจะเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญที่ผู้บริโภคใช้เป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์สักคัน “คีนัว” - “เมล็ดเชีย” คุณค่าทางอาหารเท่าธัญพืชไทยเพราะเดี๋ยวนี้คนไทยเรารักสุขภาพกันมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินที่หลายๆ คนให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เรียกว่ามีอะไรใหม่ๆ มาที่เขาว่ากินแล้วดีต่อสุขภาพเป็นต้องหามาลองเพราะอยากจะมีสุขภาพดีอย่างที่เขาโฆษณาล่าสุดก็เกิดกระแสการบริโภค “คีนัว” และ “เมล็ดเชีย” ธัญพืชที่ว่ากันว่านำเข้ามากจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่เป็นประเทศแถบอเมริกาใต้ ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารหลายอย่าง ทั้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ แม้จะฟังดูคุณค่าทางอาหารสูง แต่ว่าราคาที่ขายก็สูงด้วยเช่นกัน ซึ่ง ผศ.อาณดี นิติธรรมยง อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ออกมาเตือนคนไทยว่าอย่าตื่นตัวกับ ข้าวคีนัว และ เมล็ดเชีย มากกันจนเกินไป เพราะจริงๆ แล้วธัญพืชของไทยเราก็มีคุณค่าทางอาหารไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็น ลูกเดือย ถั่วแดง งา ข้าวไรซ์เบอรี่ ฯลฯ เพียงแต่หลายคนมองข้ามเพราะอาจจะมองว่าเป็นของที่อยู่ใกล้ตัวหาทานได้ทั่วไป ที่สำคัญคือราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับข้าวคีนัว และ เมล็ดเชีย ใครที่พอมีทุนทรัพย์อยากจะหามารับประทานก็ตามความสะดวก แต่ยังไงการทานอาหารให้ได้ประโยชน์สูงสุดก็คือการรับประทานอาหารให้หลากหลายครบทั้ง 5 หมู่ ลาขาด SMS กวนใจหลังจากที่ปล่อยให้บรรดา SMS ขายของ ชิงโชค ดูดวง เป็นปัญหากวนใจคนใช้โทรศัพท์มือถือมานานแสนนาน ในที่สุด กสทช. ก็ได้ฤกษ์ออกประกาศห้ามผู้บริการสัญญาณโทรศัพท์มือถือทุกค่ายส่งข้อความโฆษณาที่สร้างความรำคาญหรือทำให้ต้องเสียค่าบริการเพิ่มกับผู้ใช้มือถือ นอกจากที่เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้บริการโดยข้อห้ามดังกล่าวถูกกำหนดไว้ในประกาศของ กสทช. เรื่อง “การกระทำที่น่าจะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม โดยอาศัยการใช้เครือข่ายหรือการโฆษณาอันมีลักษณะเป็นการค้ากำไรเกินควรหรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ พ.ศ. 2558” ซึ่งในประกาศฉบับนี้ยังมีข้อกำหนดอื่นๆ ที่ห้ามไม่ให้ค่ายผู้ให้บริการมือถือเอาเปรียบผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น ห้ามโฆษณาเกินจริง ห้ามกำหนดเงื่อนไขในการคิดค่าบริการที่ไม่เป็นธรรม จำกัดโอกาสการเลือกใช้บริการ ฯลฯ ซึ่งหากค่ายผู้บริการมือถือไม่ทำตามประกาศฉบับนี้จะมีโทษปรับทางปกครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาท แล้วถ้ายังไม่ทำการแก้ไขก็จะมีโทษปรับอีกสูงสุดวันละ 1 แสนบาทโทลล์เวย์ต้องลดราคา หลังศาลบอกสัญญาไม่เป็นธรรมศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้มติที่ประชุมของคณะรัฐมนตรีปี 2549 และ 2550 ที่เห็นชอบให้แก้ไขสัญญาสัมปทานทางหลวง อนุญาตให้ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด เก็บค่าผ่านทางเพิ่มพร้อมทั้งขยายอายุสัมปทานเพิ่มอีก 27 ปี เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่เป็นธรรมและเอาเปรียบผู้บริโภค สร้างภาระให้กับประชาชน เพราะในสัญญาเอื้อให้ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด สามารถกำหนดราคาล่วง หน้า และขึ้นราคาได้โดยไม่ต้องขออนุญาต จากมติดังกล่าวของศาลปกครองกลาง มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาล ดำเนินการออกคำสั่งบังคับให้ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด กลับไปใช้อัตราค่าผ่านทางเดิมก่อนแก้ไขสัญญา ที่ปรับเพิ่มขึ้นมา 5 – 15 บาท และให้เรียกเงินคืนเงินจากบริษัทที่สร้างภาระเกินสมควรกับผู้บริโภคจากการเรียกเก็บค่าผ่านทางเพิ่มจากมติที่ไม่ชอบดังกล่าวจำนวน  4 พันล้านบาท พร้อมขอให้รัฐบาลอย่าอุทธรณ์คำสั่งของศาลปกครองกลาง เพราะศาลได้พิจารณาแล้วว่าการทำสัญญาระหว่างภาครัฐกับเอกชนครั้งนี้ เป็นสัญญาที่ทำให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์และสร้างภาระอย่างมากให้กับประชาชนสั่งถอดโฆษณา “ประกันสุขภาพสูงวัย” ทำผู้บริโภคเข้าใจผิดศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน ถึงความไม่ตรงไปตรงมาของการประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งมีการโฆษณาเชิญชวนให้ซื้อประกันผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะทางทีวีเป็นจำนวนมาก ในโฆษณาจะให้ข้อมูลแค่ว่าสมัครได้โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพ จ่ายเบี้ยประกันเฉลี่ยวันละไม่กี่บาท ได้ผลตอบแทนจากวงเงินประกันสูง แต่กลับพบปัญหาเมื่อไม่สามารถเรียกร้องค่าชดเชยจากการรักษาพยาบาล เนื่องจากบริษัทประกันอ้างว่า ผู้เอาประกันเป็นโรคร้ายแรงมาก่อนจะสมัครซื้อประกัน แถมยังมีการยกเลิกสัญญาประกันตามมาด้วย เพราะบริษัทประกันอ้างว่าผู้ซื้อประกันปกปิดข้อมูล ซึ่งถือเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างชัดเจน หลังจากที่เรื่องดังกล่าวถูกเผยแพร่ไปยังสื่อต่างๆ ทำให้ผู้บริโภคตื่นตัวกับปัญหานี้เป็นอย่างมาก ทำให้สมาคมประกันชีวิตไทย ต้องออกมาประกาศให้บริษัทประกันชีวิตทุกบริษัทถอดโฆษณาขายประกันสำหรับผู้สูงอายุออกทั้งหมด แล้วให้ไปทำการปรับปรุงและเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงข้อความในโฆษณาให้มีความชัดเจน โดยต้องมีการแจ้งให้ผู้จะซื้อประกันทราบด้วยว่า ถ้าเกิดกรณีผู้ประกันเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยภายใน 2 ปีแรก บริษัทจะคืนเบี้ยประกันภัยพร้อมเงินเพิ่ม 2-5 เปอร์เซ็นต์ให้กับผู้เอาประกัน แต่ถ้าผ่านพ้นไปหลัง 2 ปีแล้วจะได้รับเงินคืนทั้งหมดตามทุนประกันที่ทำไว้กับบริษัทประกันชีวิต และต้องแจ้งเงื่อนไขในการทำประกันที่ว่าไม่ต้องตรวจสุขภาพนั้นมีเงื่อนไขอื่นแฝงอยู่หรือไม่ เช่นไม่จ่ายชดเชยกับโรคร้ายแรงบางโรคหรือมีเงื่อนไขในการจ่าย เพื่อไม่ให้เป็นปัญหากับผู้บริโภคในภายหลัง  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 166 นิวเคลียร์ อาหาร และผีเสื้อ

หลังจากเกษียณราชการแล้วผู้เขียนมีเวลาว่างมากขึ้น จึงนั่งคิดถึงสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตที่ผ่านไป วันหนึ่งก็คิดถึงนโยบายหนึ่งของรัฐบาลที่ลาออกก่อนถูกปฏิวัติว่า ต้องการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งได้รับการต้อนรับแบบว่าทั้งโขกทั้งสับจากวิญญูชน เนื่องจากเป็นโครงการใช้ภาษีซึ่งรีดจากประชาชนมหาศาล เพื่อตอบสนองความต้องการของคนขยุ้มมือหนึ่งในการนั่งรถไฟไปไหนเร็วๆ ทั้งที่ค่าเครื่องบินของสายการบินราคาประหยัดก็แพงกว่ารถทัวร์ไม่เท่าไรแล้ว ดังนั้นการปฏิวัติจึงทำให้โครงการนี้หยุดไปก่อน หลายท่านคงภาวนาให้รถไฟฟ้าความเร็วสูงอย่าเพิ่งกลับมาตอนนี้ แบบว่าขอให้กลับมาในยุคพระศรีอาริยเมตไตรยแล้วกัน(เพราะในยุคนั้นอะไรๆ ก็ฟรี) เนื่องจากค่าโดยสารรถไฟฟ้าความเร็วสูงเช่นรถไฟหัวจรวดในญี่ปุ่นนั้นแพงมาก เมื่อราวยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ผู้เขียนเคยขึ้นรถสายชินคันเซนจากโตเกียวไปเมืองฮามะมะสึ จังหวัดชิสุโอกะ ระยะทางราว 210 กิโลเมตรนั้น ค่าโดยสารเที่ยวเดียวก็ปาเข้าไปเจ็ดพันกว่าบาทไทย ดังนั้นจึงต้องเป็นการขึ้นฟรีอย่างเดียว(แบบรถเมล์และรถไฟชั้นสาม)เท่านั้นกรรมกรและชาวนาจึงมีสิทธิขึ้นได้ โดยไม่ต้องฆ่าตัวตายเมื่อถึงปลายทาง สาเหตุของความแพงในค่าโดยสารนั้นคงเป็นเพราะต้นทุนการวางรางและตู้รถไฟสูงมาก ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเคยได้เห็นข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการเรื่องรถไฟฟ้าความเร็วสูงแบบจริงจังหรือไม่ ผู้เขียนใช้การค้นหาทางอินเตอร์เน็ทพบเอกสาร (pdf file) 2 ชิ้นชื่อ “มาตรฐานสากลด้านความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMC) กรณีศึกษา: รถไฟความเร็วสูง ตอนที่ 1 และตอนที่ 2” เขียนโดย ดร.ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ แห่งศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจ และรูปแบบเอกสารสวยดี สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนหาข้อมูลไม่พบในเอกสารของ ดร.ไกรสร คือ พลังงานไฟฟ้าที่จะนำมาใช้ขับเคลื่อนรถไฟฟ้าความเร็วสูงนั้นมาจากไหน เพราะโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ที่เรามีอยู่ก็ผลิตไฟฟ้าไม่พอใช้อยู่แล้ว ต้องซื้อไฟจากลาวมาใช้ จนถ้าวันใดลาวไม่ขายไฟให้เรา(เพราะลาวเองก็กำลังพัฒนาบ้านเมืองอย่างก้าวกระโดดโดยไม่กลัวคอหัก) คนไทยที่ชอบเดินห้างสรรพสินค้า ชอบความฟุ้งเฟ้อตอนค่ำคืน คงได้ลงแดงกันบ้าง   ด้วยความใคร่รู้ ผู้เขียนจึงต้องพึ่ง Professor Wikipedia ภาคภาษาไทยว่า รถไฟฟ้าความเร็วสูงได้พลังงานไฟฟ้ามาแหล่งใด ปรากฏข้อมูลสรุปได้ว่า มีน้อยมากที่รถไฟความเร็วสูงใช้เชื้อเพลิงดีเซลหรือเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ โดยในประเทศญี่ปุ่นและฝรั่งเศสที่มีเครือข่ายรถไฟความเร็วสูงที่ครอบคลุมมาก สัดส่วนใหญ่ของกระแสไฟฟ้ามาจากพลังงานนิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์นั้นดีร้ายเช่นใดมีคนวิเคราะห์และสรุปไว้มากมายแล้ว ข้อมูลที่ปรากฏนั้นขึ้นกับว่าคนสรุป ชอบหรือกลัวนิวเคลียร์ มีข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจคือ ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศเยอรมันซึ่งพบได้ใน wikipedia หัวข้อ Nuclear power in Germany กล่าวว่า Merkel's government announced that it would close all of its nuclear power plants by 2022 ซึ่งหมายความว่า อีกไม่กี่ปีเยอรมันจะเป็นประเทศที่เลิกใช้พลังงานนิวเคลียร์ (โดยหันไปใช้พลังงานทางเลือกเช่น กังหันลม โซลาร์เซลล์ เป็นหลักในการผลิตไฟฟ้า) โดยมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นเพียงอนุสรณ์สถานทำไมคนเยอรมันจึงกลัวนิวเคลียร์ถึงขนาดบีบให้รัฐบาลสร้างแนวทางเลิกใช้นั้น ใน wikipedia ได้อธิบายไว้แล้ว โดยมีประเด็นหนึ่งที่พาดพิงถึงปัญหาของโรงไฟฟ้าปรมาณูของญี่ปุ่นที่โดนสึนามิถล่มแล้วยังแก้ไขไม่จบจนถึงวันนี้ ท่านผู้อ่านคงพอจำได้ว่า ในปี 2011 นั้นโรงไฟฟ้าปรมาณูฟูกูชิมะ ที่เมืองเซ็นได ซึ่งเป็นเมืองเอกของจังหวัดมิยะงิ ประเทศญี่ปุ่นเกิดปัญหาในการควบคุมปฏิกิริยาของแท่งเชื้อเพลิงปฏิกรณ์หลังโดนสึนามิทำให้เกิดการรั่วไหลของสารรังสีออกสู่สิ่งแวดล้อม รัฐบาลท้องถิ่นจำเป็นต้องอพยพประชาชนออกจากพื้นที่โดยรอบวารสารออนไลน์ชื่อ sciencedaily ฉบับวันที่ 23 กันยายนปีนี้มีบทความชื่อ Food affected by Fukushima disaster harms animals, even at low-levels of radiation, study shows ซึ่งมีใจความว่าจริงอยู่แม้ว่าไม่มีความเสียหายถึงชีวิตของประชาชนแต่นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยริวกิว (Rukyus) จังหวัดโอกินะวะ (Okinawa) ก็ได้ติดตามตรวจสอบอันตรายที่กระทบต่อสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติบริเวณนั้น โดยศึกษาในผีเสื้อสายพันธุ์ pale grass blue butterflies (Zizeeria maha หรือ Pseudozizeeria maha ซึ่งมีชื่อภาษาไทยที่ค้นได้คือ ผีเสื้อเซลจุดป่าสูง) ที่กินใบไม้ที่เก็บจากเมืองรอบๆ โรงไฟฟ้าปฏิกรณ์ปรมาณูฟูกูชิมะ ผลงานนี้ตีพิมพ์ในวารสาร BMC Evolutionary Biology ชุดที่ 14 หน้า 193 ปี 2014ที่จริงแล้วการศึกษาในลักษณะดังกล่าวนี้ได้เคยกระทำหลังการระเบิดไม่นานนัก พบว่าการให้ผีเสื้อกินใบไม้ในบริเวณที่มีการปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีระดับสูงนั้นทำให้ผีเสื้อมีปัญหาทางสุขภาพ โดยผีเสื้อที่กินใบไม้ที่เก็บจากต้นที่อยู่ในรัศมี 20 กิโลเมตรของโรงไฟฟ้าซึ่งมีระดับรังสีเป็นพันๆ เบคเคอเรลต่อน้ำหนักใบไม้ 1 กิโลกรัม มีขนาดตัวเล็กและมีสัณฐานร่างกายโดยเฉพาะปีกที่ผิดปรกติ สำหรับการศึกษาครั้งล่าสุดในปี 2013 นั้น ได้ทดลองให้ผีเสื้อกินใบไม้ที่เก็บตั้งแต่ปี 2012 จากบริเวณที่มีการปนเปื้อนต่ำ 6 จุด ซึ่งอยู่ห่างจากตำแหน่งของโรงไฟฟ้า 59-1760 กิโลเมตร และพบว่าช่วงชีวิตของผีเสื้อนั้นต่างกันขึ้นกับว่าใบไม้นั้นมีการปนเปื้อนของธาตุกัมมันตรังสีซีเซียมเป็นเท่าใด (ซึ่งอยู่ระหว่าง 0.2-161bq/kg) ศาสตราจารย์ โจจิ โอตากิ ซึ่งเป็นผู้ทำวิจัยหลักได้กล่าวว่า สิ่งมีชีวิตในธรรมชาตินั้นได้รับอันตรายในระดับต่างๆ กันแม้ว่าอยู่ในบริเวณที่มีการปนเปื้อนรังสีระดับต่ำ ในการศึกษาเดียวกันนั้นมีภาคที่ 2 ซึ่งนักวิจัยได้เฝ้าสังเกตผีเสื้อรุ่นลูกและพบว่า ลูกผีเสื้อ(ได้จากพ่อแม่ ซึ่งกินใบไม้ปนเปื้อนสารรังสีระดับสูง)ที่ถูกเลี้ยงให้กินใบไม้ที่ไม่มีรังสีนั้น มีอวัยวะเกือบทุกอย่างเหมือนผีเสื้อธรรมดายกเว้นปีก ซึ่งเล็กกว่าผีเสื้อที่ได้จากพ่อแม่กลุ่มควบคุม(ที่ไม่ได้กินใบไม้ปนเปื้อนรังสี) ประเด็นที่น่าสนใจคือ ลูกผีเสื้อที่ได้จากพ่อแม่ที่กินใบไม้ปนเปื้อนรังสีและต้องกินใบไม้ปนเปื้อนรังสีด้วยนั้นมีความผิดปรกติในระดับที่สูงมากกว่า ซึ่งแสดงว่าอันตรายของสารรังสีที่ปนเปื้อนในอาหารสิ่งมีชีวิตนั้นสามารถสืบต่อขยายผลไปได้ในรุ่นลูกหลานที่ยังกินอาหารปนเปื้อนต่อไป ดังนั้นวิธีลดอันตรายจากสารรังสีทำได้โดยไม่กินอาหารปนเปื้อนสารรังสี ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (ซึ่งเราคงสร้างแน่ถ้ามีรถไฟฟ้าความเร็วสูง) ที่นำเสนอนั้น ก็เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักว่า การจะได้อะไรที่คิดว่าสุดดีนั้น อาจจำเป็นต้องแลกกับความเสี่ยงซึ่งสุดเลวอยู่เหมือนกัน เมืองไทยมีสึนามิมาแล้ว ดังนั้นถ้าจะสร้างโรงไฟฟ้าปรมาณูอยู่ใกล้ทะเล (ซึ่งนิยมทำกันเพราะสะดวกในเรื่องเกี่ยวกับน้ำที่ต้องใช้และอื่นๆ) ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นคงนอนตาไม่หลับกันแน่ (ยกเว้นจะเอาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างทั้งหมดไปอาศัยอยู่แถวนั้นสักสิบปี) ที่สำคัญอาหารทั้งที่เป็นพืชหรือสัตว์ก็อาจเกิดปัญหาได้ถ้ามีความบกพร่องเกิดขึ้นดังที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น ที่น่ากลัวสุดๆ ก็คือ เวลาเกิดปัญหาทางเทคนิคใดๆ ก็ตามในประเทศไทยนั้น เจ้าหน้าที่มักปกปิดจนกว่าปัญหามันเกินเลยถึงขั้น ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด จึงมีการออกมารับผิดแบบมีข้อแก้ตัวต่างๆ นานา จากนั้นเรื่องก็เงียบ ขาดคนซึ่งหน้าบางพอที่จะลาออกจากตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาด ไม่เหมือนนักบริหารของญี่ปุ่นและเกาหลีที่ อะไรนิดหน่อยก็ลาออกหรือฆ่าตัวตาย ซึ่งหลายคนในเมืองไทยคิดว่ามันโง่หน้าบางเองนี่หว่า

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 164 อาวุโส สูงวัย ไม่โอเค

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิด เช่น วิตามิน เกลือแร่ นั้นมีประโยชน์ต่อผู้ที่อยู่ในภาวะขาดสารอาหาร แต่สำหรับผู้ที่บริโภคอาหารได้สมบูรณ์ครบห้าหมู่(ซึ่งมักสูงวัยแล้ว) และมีสุขภาพปรกติ มักให้เหตุผลการกินผลิตภัณฑ์เหล่านี้ว่า น่าจะช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย เช่น มะเร็ง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ซึ่งโดยสรุปแล้วทำให้เข้าใจว่า ทำให้ตายช้าลง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในภาพรวมแล้ว ทำกำไรมหาศาลให้กับผู้ประกอบการ มูลค่าของยอดขายสินค้านี้ในสหรัฐอเมริกา (ค.ศ. 2014) ไม่ต่ำกว่าสองหมื่นล้านเหรียญดอลลาร์ ส่วนในเมืองไทยนั้นอย่าไปพูดถึงเลย เพราะมันมากพอที่มหาวิทยาลัยวิจัยแห่งหนึ่งของไทยต้องเปิดหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาผลิตกำลังพลคนขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารออกไปให้บริการแก่สังคมคนหวังตายช้าหรือได้อะไรทางลัด เมื่อ 13 สิงหาคม 2014 ผู้เขียนได้อ่านรายงานข่าวเรื่อง Should We Take a Multivitamin? จากเว็บ www.care2.com ซึ่งกล่าวว่า หนึ่งในสามของชาวอเมริกันนิยมกินวิตามินรวมเป็นประจำ(ข้อมูลเดียวกันนี้ก็พบได้ในสหราชอาณาจักร) ทั้งที่มีคำถามว่า มันได้ประโยชน์ มีอันตราย หรือเสียเงินฟรี เนื่องจากมีผู้ทำงานวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพของสตรีสูงวัยในรัฐไอโอวาว่า การใช้วิตามินรวม(multivitamin) และแร่ธาตุบางชนิดในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนั้น ก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิตเร็วกว่าปรกติ ตัวรายงานนั้นชื่อว่า Dietary Supplements and Mortality Rate in Older Women ตีพิมพ์ใน Archives of Internal Medicine ฉบับประจำวันที่ 10 เดือนตุลาคม 2011   งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาทางระบาดวิทยานาน 19 ปี มีการสัมภาษณ์โดยใช้แบบสอบถามกับ สว.สตรี 38,772 ท่านของรัฐไอโอวาที่มีอายุเฉลี่ย 61.6 ปี (ในปี ค.ศ. 1986) และสัมภาษณ์ซ้ำอีกในปี 1997 และ 2004 และได้สรุปผลว่า การบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ซึ่งรวมถึงวิตามินเช่น กรดโฟลิก เหล็กและทองแดง ฯ ของผู้บริโภคในวัยเกษียณซึ่งหวังจะมีสุขภาพดีในทางลัด กลับเพิ่มความเสี่ยงของการเสียชีวิตในสว.สตรี ข้อมูลการศึกษานั้นกล่าวว่า ปี 1986 นั้นร้อยละ 62.7 ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่ากินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างน้อย 1 ชนิด และเพิ่มเป็นร้อยละ 75.1 ในปี 1997 (ปีนี้เหลืออาสาสมัคร 29,230) และ 85.1 ในปี 2004  (ปีสุดท้ายนี้เหลืออาสาสมัคร 20,844 คน) ตามลำดับ สรุปแล้วมีอาสาสมัครหายไปสวรรค์ 15,594 คน คิดเป็นร้อยละของ 40.2% จากนั้นในปี 2004 ก็ได้มีการศึกษาเพิ่มเติมโดยใช้อาสาสมัครชุดเก่า 19,124 คน ไปจบการศึกษาจริงในปี 2008 โดยเหลือผู้รอดตาย 16,690 คน แสดงว่าในช่วงปี 1986 ถึง 2004 คนอเมริกันกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นักวิจัยประเมินว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารส่วนใหญ่ไม่ได้มีผลอะไรที่เกี่ยวกับความตายของ สว.หญิง ยกเว้นกลุ่มวิตามินรวมและแร่ธาตุเช่น วิตามินบี 6 กรดโฟลิก วิตามินบี 12 เหล็ก แมกนีเซียม สังกะสีและทองแดง นั้นที่มีความสัมพันธ์กับการไปสู่สัมปรายภพของผู้ถูกศึกษาเร็วขึ้น มีประเด็นที่ทำให้ใจชื้นหน่อยคือ ในการศึกษาพบว่า การเสริมแคลเซียมน่าจะช่วยให้ตายช้ากว่าปรกติหน่อยหนึ่ง ความจริงในประเด็นของโฟเลต วิตามินบี 6 วิตามิน บี 12 ซึ่งสามสหายนี้เป็นความหวังทางการแพทย์ว่า ควรจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะผิดปรกติของหัวใจได้ โดยเป็นวิตามินที่ช่วยลดปริมาณโฮโมซีสตีอีน (homocystein ซึ่งเป็นดัชนีของความเสี่ยงของโรคหัวใจ) ได้จริง แต่ปรากฏว่าความเสี่ยงต่อภาวะผิดปรกติของหัวใจไม่ได้ลดอย่างที่หวัง ผู้ทำวิจัยได้ยกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ แร่ธาตุที่ดูเหมือนยิ่งเสริมจะยิ่งทำให้ตายเร็วคือ เหล็ก ผู้ทำวิจัยไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไม  แต่จากข้อมูลพื้นฐานด้านพิษวิทยาของเหล็กแล้วพบว่า เหล็กที่อยู่ในสภาวะอิสระในร่างกายเรา (ซึ่งผู้สูงอายุแล้วอาจสร้างโปรตีนเฟอไรติน (ferritin) มาจับกับอะตอมเหล็กน้อยลง) ถ้ามีมากเกินไปจะเป็นปัจจัยในการเพิ่มปริมาณอนุมูลอิสระให้สูงขึ้นตามหลักการทางเคมีที่เรียกว่า Fenton Reaction ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อหลายโรค ในกลุ่มประชาชนที่สูงอายุนี้ นอกจากการกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแล้ว ยังมีอีกประเด็นที่น่าพะวงคือ การกินอาหารสำเร็จรูปที่พยายามเติมสารอาหารบางประเภทลงไป เพื่อให้มีคุณค่าโภชนาการสูงเท่าอาหารก่อนปรุง แต่ก็มีที่เลยเถิดไปถึงการเติมแบบ “จัดหนัก” โดยผู้บริโภคไม่ได้รับรู้จากรสสัมผัส และแม้จะมีการติดฉลากโภชนาการ ผู้บริโภคก็มักไม่ได้อ่าน หรือถึงอ่านก็อาจไม่เข้าใจนัก สิ่งที่นักพิษวิทยาด้านโภชนาการกังวลคือ ปรกติสารอาหารอะไรที่ต้องใช้ในปริมาณสูงกว่าปรกตินั้น มักต้องมีการทำวิจัยอย่างลึกซึ้งถึงผลที่อาจเกิดขึ้น เช่น กรณีของโฟเลตและกรดโฟลิค ซึ่งจากชื่อนั้นดูว่าจะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ในความจริงเป็นคนละเรื่อง Dr. Donald Abrams อาจารย์แพทย์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งเมืองซานฟรานซิสโก ได้กล่าวในคลิปของ YouTube (www.youtube.com/watch?v=zeZFcIbwCZg) ว่า เมื่อพูดถึงโฟเลตนั้น เราหมายถึงสารนั้นอยู่ในผักใบเขียวและอาหารอื่นๆ ส่วนกรดโฟลิคนั้นแสดงว่ามันเป็นสารสังเคราะห์ ซึ่งสามารถกินเกินได้ไม่ยาก ที่สำคัญก็คือ อาหารสำเร็จรูปที่มีการเติมอะไรต่อมิอะไรมากเกินไปนั้น ไม่เคยต้องถูกทดสอบว่า การเติมสารอาหารปริมาณสูงกว่าความต้องการนั้นมีอันตรายอย่างใดต่อผู้บริโภค เพราะมักเข้าใจกันง่าย ๆ ว่าสารอาหารนั้นไม่ควรมีโทษ ท่านผู้อ่านควรทราบว่า โฟเลต ซึ่งมนุษย์กินจากอาหารสารธรรมชาตินั้นอยู่ในรูปที่เชื่อมต่ออยู่กับสายโพลีกลูตาเมต ซึ่งมีขนาดใหญ่เล็กขึ้นกับชนิดแหล่งอาหาร สายโพลีกลูตาเมตนี้ถูกแยกออกที่ผิวของผนังลำไส้เล็กด้วยระบบเอนไซม์จำเพาะ เหลือเป็นโฟเลตโมโนกลูตาเมต (มีกลูตาเมตติดอยู่ 1 โมเลกุล) ที่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นจะเห็นว่า การนำเอาโพลีกลูตาเมตออกจากโฟเลตนั้นเป็นจุดกำหนด ปริมาณโฟเลตที่ร่างกายจะได้ใช้ (ซึ่งมีตัวเลขประมาณร้อยละ 25-50 ที่กินเข้าไป) ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นกรดโฟลิก การดูดซึมจะเป็นเกือบร้อยละ 100 เพราะกรดโฟลิกนั้นถูกสังเคราะห์ในรูปที่ไม่มีสายโพลีกลูตาเมตเชื่อมไว้ ท่านผู้สนใจอ่านข้อมูลนี้ได้จาก http://www.fao.org/docrep/004/y2809e/y2809e0a.htm ซึ่งองค์กรแห่งสหประชาตินี้ก็แสดงความกังวลอยู่เช่นกัน เป็นธรรมดาของชาวโลก งานวิจัยใดมีผู้สนใจมากก็มักมีผู้โต้แย้งอยู่เสมอ เช่น กล่าวว่าเป็นเพียงผลจากการเฝ้าสังเกตกลุ่มคนกลุ่มเดียว โดยไม่ได้ทำการศึกษาที่มีการแบ่งกลุ่มการทดลองที่ได้กินผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร(คือวิตามินรวมและแร่ธาตุ) และกลุ่มควบคุมซึ่งได้ยาหลอกเพื่อเปรียบเทียบว่ากลุ่มไหนอายุยืนกว่ากัน  ทำให้ยังสรุปไม่ได้ว่ากลุ่มที่ถูกศึกษานั้นกินวิตามินเพราะป่วยอยู่แล้วจึงตายเร็ว อย่างไรก็ดีได้มีงานวิจัยจริงๆ เรื่องหนึ่งชื่อ Multivitamins in the Prevention of Cardiovascular Disease in Men ซึ่งอยู่ในโครงการ Harvard Physicians’ Study II ในช่วงปี พ.ศ. 1997-2011 (และตีพิมพ์ใน JAMA. 2012; 308(17): 1751-1760)  ซึ่งมีการวางแผนวิจัยด้านระบาดวิทยาที่เป็นการศึกษาในแพทย์เพศชายแบบ randomized double blind ซึ่งหมายความว่า การศึกษานี้มีอาสาสมัครจำนวนนับ 14,641 คนที่ถูกเฝ้าสังเกตโดยไม่รู้ว่าตนได้รับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มวิตามินรวม (7,317 คน ซึ่ง ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2011 เหลือมีชีวิต 5,924 คน ตาย 1,345 คน หายไป 48 คน) หรือยาหลอก (7,324 คน ซึ่ง ณ.วันที่ 1 มิถุนายน 2011 เหลือมีชีวิต 5,855 คน ตาย 1,412 คน หายไป 57 คน) จากเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ป้อนยา ซึ่งเจ้าหน้าที่เองก็ไม่รู้ว่ายาที่ป้อนเป็นวิตามินรวมหรือยาหลอก (สรุปคือ ทั้งคนป้อนยาและคนรับยาต่างไม่รู้ว่าสิ่งที่ผ่านจากมือเข้าปากนั้นคืออะไร คนที่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นคือ กลุ่มคนที่รับผิดชอบโครงการเท่านั้น) ได้สรุปผลว่า การเสริมวิตามินนั้นไม่ได้มีผลอะไรต่อการที่อาสาสมัครจะหัวใจวาย สมองขาดเลือด หรือตายด้วยอาการอื่น แต่มีแนวโน้มได้ของแถมติดไม้ติดมือบ้างคือ อาการแผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ บ้างท้องผูก บ้างท้องเสีย คลื่นไส้ หมดแรง ง่วงเหงาหาวนอน ผิวหนังเปลี่ยนสี และอาการปวดหัวไมเกรน ดังนั้นถ้าท่านผู้อ่านอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าเป็น สว. โดยธรรมชาติ ไม่ได้มีใครเลือกตั้งหรือแต่งตั้งแล้ว การจะกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็อยู่ในวิสัยที่จะทำได้ด้วยความตระหนักว่า ทำไมตนเองจึงกิน แต่ถ้าถามตัวเองแล้วไม่ได้คำตอบว่ากินไปทำไม ก็ย้อนกลับขึ้นไปอ่านบทความนี้อีกที น่าจะดีเหมือนกันนะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 135 พืชชั้นต่ำรับประทานโดยสัตว์ชั้นสูง

ขึ้นชื่อว่าสินค้าใดที่กินแล้วทำให้สวยขึ้น ผอมลง หรือแม้แต่ฉลาดขึ้นอย่างรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม ไม่ว่าสินค้านั้นจะอยู่ที่ใด นักการค้าหากำไรในประเทศนี้ย่อมไม่รอให้เสียจังหวะการนำมาบริการลูกค้า เพราะขืนช้าเท่ากับพลาดโอกาสโกยสินทรัพย์เข้ากระเป๋า เนื่องจากผลิตภัณฑ์ประเภทตอบสนองความต้องการแบบนี้ เกิดเร็ว ตายเร็ว ผู้เขียนไม่ประหลาดใจเลยที่หนังสือพิมพ์ออนไลน์ฉบับหนึ่งมีบทความกึ่งโฆษณาเกี่ยวกับการใช้สารสกัดจากสาหร่ายสีน้ำตาลในการลดน้ำหนัก บทความกล่าวว่า สาหร่ายสีน้ำตาล หรือ ลามินาเลีย ดิจิตาตา นั้นมีสรรพคุณในการดูดซับสารพิษและสามารถถูกนำมาใช้เสริมความงามสาวๆ ที่พึ่งวิธีเติมสวยด้วยธรรมชาติ เนื่องจากเป็นข่าวธุรกิจหารับประทานด้านความสวยความงามจึงต้องดึงเอาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเลเซอร์มาเล่าถึงที่มาของสาหร่ายสีน้ำตาลว่า   “นับย้อนหลังไป ณ ทะเลแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ผู้คนนิยมนำน้ำทะเลของที่นี่มาใช้ในการบำบัดเวลาชาวบ้านเป็นแผล ก็จะเอาสาหร่ายมาโปะแล้วแผลก็หาย นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสจึงนำน้ำมาทำวิจัยพบว่า น้ำทะเลแห่งนี้มีองค์ประกอบเดียวกับพลาสมาในร่างกายมนุษย์ จึงช่วยใน การสมานแผล" (คำว่าพลาสมาในร่างกายมนุษย์นั้นหมอท่านนี้น่าจะหลงลืมวิชาสรีรวิทยาที่เรียนมาในโรงเรียนแพทย์ไปแล้วว่ามีลักษณะอย่างไร ซึ่งผู้เขียนคงไม่ขออธิบายให้ยาวเยิ่นเย้อ แต่ฟันธงว่า มันคนละเรื่องเลย เป็นการกล่าวในลักษณะที่เกินเลยให้ผู้เบาปัญญาฟังเท่านั้นเอง) แพทย์ท่านนั้นยังได้กล่าวอีกว่า “ภายใต้ท้องทะเลแห่งนี้ยังมีสาหร่ายชนิดหนึ่ง คือ ลามินาเลีย ดิจิตาตา หรือสาหร่ายสีน้ำตาล ซึ่งมีคุณค่า หายาก และมีเฉพาะที่ทะเลแห่งนี้ (ซึ่งความจริงไม่จริง ผู้เขียนพบข้อมูลในวิกิพีเดีย ซึ่งจะกล่าวต่อไปว่า สาหร่ายนี้หาได้ที่ไหนบ้าง) เมื่อลองนำสาหร่ายมาสกัด สารประกอบ พบว่ามีความเข้มข้นมากกว่าน้ำทะเลแห่งนั้นถึง 10,000 เท่า และสามารถซึมในร่างกายมนุษย์ ประมาณ 92-95% โดยสามารถซึมถึงชั้นไฮโปเดอมิส ซึ่งเป็นชั้นใต้ชั้นหนังแท้ของมนุษย์ หากเปรียบกับวิตามินที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น อย่างมากคือ 40% และการซึมผ่านลงไปสามารถอยู่ได้แค่ชั้นหนังแท้ แต่สารสกัดจากธรรมชาติตัวนี้สามารถซึมลงไปลึกกว่านั้น” (ประเด็นที่เหยื่อทั้งหลายควรสำนึกคือ แพทย์ท่านนี้ไม่ได้บอกว่า สารประกอบนั้นคืออะไร และสำนวนภาษาไทยที่ใช้บรรยายแสดงถึงความพิการในการใช้ภาษาไทยเขียนเรียงความด้วย) ที่ตลกกว่านั้นคือ แพทย์ท่านนี้ยังได้กล่าวอีกว่า “นอกจากสรรพคุณในการสมานแผล แล้ว สาหร่าย ทะเลยังขึ้นชื่อเรื่องการดูดซับสารพิษต่างๆ เห็นได้จากช่วงโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ระเบิดจากสึนามิที่ญี่ปุ่นเมื่อปีที่ผ่านมา ชาวญี่ปุ่นต้องหาสาหร่ายทะเลมากินเพื่อขับสารพิษ เพราะสาหร่ายมีธาตุไอโอดีนสูงมาก ซึ่งไอโอดีนนี่เองจะช่วยป้องกันร่างกายมนุษย์จากพวกกัมมันตภาพรังสีและสาร พิษต่างๆ แต่ว่าคนญี่ปุ่นกลับไม่สามารถใช้คุณค่าจากสาหร่ายในทะเลของตัวเองได้ เพราะปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสี จึงทำให้หลายคนแย่งกันซื้อผลิตภัณฑ์ของแล็บที่ฝรั่งเศสกันอย่างคึกคัก   โดยพวกเขานำมารับประทาน ทาตัว และแช่น้ำอาบ เพื่อดีท็อกซ์สารพิษออกจากร่างกายให้มากที่สุด” ท่านผู้อ่านน่าจะพอมีสติระลึกรู้ว่า คนญี่ปุ่น (รวมทั้งจีนและเกาหลี) นั้นกินสาหร่ายมาเป็นเวลานานตั้งแต่จิ๋นซีฮ่องเต้ยังไม่เกิดแล้ว ไม่ว่าโรงไฟฟ้าปรมาณูจะระเบิดหรือไม่ เขาก็จะกินสาหร่ายเป็นประจำ คงไม่ใช่พอมีอุบัติเหตุแล้วจึงไปสรรหามากิน ที่สำคัญก็คือ แพทย์ท่านนี้ได้อ้างถึงสรรพคุณสำคัญของสาหร่ายทะเลสีน้ำตาล ที่อาจโดนใจสาวไทยมากที่สุด คือ ช่วยปรับสมดุลแห่งการเผาผลาญพลังงานในร่างกายมนุษย์ โดยอ้างอิงจากสถาบันขายเครื่องสำอางในประเทศฝรั่งเศสว่า “สารสกัดจากสาหร่าย ช่วยปรับสมดุลแห่งการเผาผลาญพลังงานในร่างกายมนุษย์ ให้ผลในการสลายไขมัน ช่วยลดน้ำหนักและลดสัดส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยปราศจากผลข้างเคียง  เพราะสารสกัดทำให้เกิดการสลายตัวของไขมันเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก” ดังที่ทราบโดยทั่วกันแล้วว่า ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตนั้น ลับ ลวง พราง มากกว่าข้อมูลการปฏิวัติเสียอีก ดังนั้นผู้เขียนจึงได้ลองเข้าหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่า มีใครที่กล่าวถึงสาหร่ายสีน้ำตาลที่ต่างจากข้อมูลที่เชิญชวนการใช้สาหร่ายเพื่อความงามบ้าง ก็พบว่าในวันที่ 3 พฤศจิกายน Sarah Terry ได้เขียนบทความเกี่ยวกับสาหร่ายทะเลสีน้ำตาลในเว็บ www.livestrong.com ซาร่าได้กล่าวว่า สาหร่ายสีน้ำตาลนี้ เป็นพืชทะเลมีชื่อสามัญว่า kelp และชื่อวิทยาศาสตร์ว่า  Laminaria digitata ซึ่งโดยทั่วไปแล้วใช้เป็นแหล่งอาหารที่มี โปรตีน วิตามินหรือเกลือแร่ แต่สำหรับประเด็นที่ว่า มีการนำสารสกัดจากสาหร่ายชนิดนี้ไปใช้ในการเป็นอาหารลดน้ำหนักนั้น Sarah ได้กล่าวเตือนว่า ควรปรึกษาจากแพทย์ก่อน เพื่อให้ทราบขนาดที่ควรบริโภคและความเสี่ยงของอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ความจริงสาหร่ายสีน้ำตาลซึ่งอยู่ใน genus Laminaria นั้นมีหลายชนิด แต่ที่นิยมนำมาบริโภคคือ Laminaria digitata ซึ่งทางหน่วยงานด้านสุขภาพของมหาวิทยาลัยของรัฐมิชิแกนได้ทำการศึกษาว่าเป็นแหล่งอาหารที่ดีในเรื่องวิตามิน โดยเฉพาะ มีกรดโฟลิกค่อนข้างสูง  แร่ธาตุต่างๆ โดยเฉพาะไอโอดีน เหล็ก แมกนีเซียม โปแตสเซียมและแคลเซียม ดังนั้นศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยพิตสเบิร์ก จึงได้ศึกษาบ้างและสามารถเตรียมสารสกัดจากสาหร่ายนี้เพื่อศึกษาผลด้านการแพทย์เป็นการเฉพาะ ความที่สาหร่ายชนิดนี้มีไอโอดีนสูงจึงสามารถเพิ่มการเผาผลาญในร่างกายสิ่งมีชีวิตโดยผ่านการทำงานของไทรอยด์ฮอร์โมน นอกเหนือไปจากการใช้แก้ปัญหาการขาดไอโอดีนที่ก่อให้เกิดอาการคอพอกในบางพื้นที่ของโลกเรา แต่ช้าก่อนนะจอร์จ ซาร่าได้กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญคือ ทางศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยพิตสเบิร์กได้เตือนว่า คุณสมบัติการเพิ่มการเผาผลาญในร่างกายนั้นไม่ได้มีผลเลยไปถึงการใช้สารสกัดในการลดน้ำหนักผู้ป่วยโรคอ้วนเพราะยังไม่มีผลการวิจัยยืนยันทางวิทยาศาสตร์ แม้ว่าวารสาร Drug Digest ได้กล่าวว่าสาหร่ายนี้มีองค์ประกอบบางชนิดที่ออกฤทธิ์เป็นยาระบายช่วยในการขับถ่ายกากอาหารออกจากร่างกาย ลดความดันโลหิต ต้านไวรัสและต้านมะเร็งได้ (ในสองกรณีหลังนี้เป็นข้อมูลที่ซาร่าได้อ้างศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยพิตสเบิร์ก ซึ่งท่านผู้อ่านก็ต้องใช้กาลามสูตรให้จงหนัก) ที่สำคัญซาร่าได้ระบุว่า หน่วยงานด้านสุขภาพของมหาวิทยาลัยของรัฐมิชิแกนก็ได้ตือนว่า การบริโภคสาหร่ายชนิดนี้มากเกินไปจะทำให้ได้ไอโอดีนในระดับสูง ซึ่งอาจทำให้ต่อมไทรอยด์ของผู้บริโภคทำงานผิดปรกติได้ ดังนั้นคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์อยู่แล้วจึงต้องคิดให้จงหนักในการบริโภคสาหร่ายนี้ โดยเฉพาะในรูปสารสกัด ผลข้างเคียงของการกินสาหร่ายที่เพี้ยนผิดไปจากการกินเป็นอาหารคือ สิวขึ้นผิดปรกติ ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ ลิ้นปร่า ที่สำคัญคือ การได้รับโปแตสเซียมในสารสกัดสาหร่ายเกินขนาดนั้นไม่ได้เป็นของดีกับคนธรรมดาทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจมีผลขัดขวางการออกฤทธิ์ของยาบางชนิด ข้อมูลต่าง ๆ อาจอ่านเพิ่มได้จาก http://www.livestrong.com/article/295828-laminaria-extract-weight-loss/#ixzz1qIChxISq ส่วนในวิกิพีเดียก็ได้กล่าวว่า สาหร่ายชนิดนี้มีแหล่งธรรมชาติทางตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งแต่กรีนแลนด์จึงแหลมคอด และบริเวณตอนเหนือของรัสเซียและไอซ์แลนด์ไปจนถึงฝรั่งเศสและอังกฤษ ซึ่งแสดงว่าเป็นสาหร่ายที่ชอบน้ำเย็น ๆ ดังนั้นการหารับประทานจึงต่อเสียเงินนำเข้าจากต่างประเทศเป็นพิเศษ ไม่สามารถช้อนขึ้นมากินได้จากคูคลองเหมือนสาหร่ายที่ใช้เลี้ยงเป็ดที่บางบริษัทได้ช้อนมาอัดเม็ดขายในราคาโลละเป็นหมื่น ปรกติแล้วสาหร่ายชนิดนี้ได้ถูกใช้เป็น fertiliser ซึ่งแปลว่า ปุ๋ย ในศตรวรรษที่ 18 สาหร่ายประเภทนี้จะถูกทำให้แห้งแล้วเผาเพื่อเอาธาตุโปแตสเซียมเพื่อใช้เป็นองค์ประกอบในการผลิตแก้วทางอุตสาหกรรม จากนั้นในศตวรรษที่ 19 จึงมีการเตรียมสารสกัดจากสาหร่ายนี้เพื่อใช้แก้ปัญหาขาดไอโอดีน พอถึงศตวรรษที่ 20 สาหร่ายชนิดนี้ก็ถูกละเลยเนื่องจากแร่ธาตุทั้งโปแตสเซียมและไอโอดีนนั้นหาได้จากแหล่งอื่นที่ราคาถูกกว่า ที่ยังคงมีการใช้อยู่ก็คือ ใช้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ ส่วนสารสกัดกรดอัลจินิก (alginic acid) จากสาหร่ายนี้ใช้ในการผลิตยาสีฟัน และเป็นสารเจือปนในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งรวมถึงการผลิตหัวน้ำซุปของจีนและญี่ปุ่น ดังนั้นผู้ที่หวังว่าจะกินสารสกัดจากสาหร่ายเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักนั้น ก็ขอให้ใช้กาลามสูตรจนเกิดปัญญาก่อนจึงตัดสินใจว่าจะกินหรือไม่ เพื่อถึงซึ่งประโยชน์แห่งความสวยงามโดยไม่ประมาทเถิด

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 124 วิธีเลือกเครื่องสำอางสำหรับผู้สูงวัย

  ผิวหนังของผู้สูงวัย มักจะแห้ง มีริ้วรอย ความชุ่มชื้นน้อย ผิงหนังมักจะบาง เพราะเซลล์ผิวหนังมีการเจริญเติบโตลดน้อยลง และมักจะซีดลง อันเนื่องมาจากการสร้างเม็ดสีของผิวหนังทำงานลดลง และบ่อยครั้งที่พบว่าสีผิวมักจะไม่สม่ำเสมอ   คำแนะนำในการเลือกใช้เครื่องสำอาง1) เริ่มต้นจากพื้นฐานสิ่งสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางสำหรับผิวหนังผู้สูงวัยคือ ต้องมีองค์ประกอบของสารมอยส์เจอร์หรือสารให้ความชุ่มชื้นผิวในปริมาณสูง และควรจะใช้ควบคู่กับครีมกันแดดด้วยทุกครั้ง สารมอยส์เจอร์สำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังโดยทันที จำเป็นต้องบำรุงผิวหน้าเป็นลำดับแรก ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามักจะแห้งมากกว่าส่วนอื่น ริ้วรอยรอบดวงตาจะเป็นเครื่องชี้บ่งถึงความชราของผิวหนังเจ้าของ ครีมบำรุงผิวรอบดวงตาจะมีองค์ประกอบที่ปกป้องผิวหนังรอบตาได้ดีกว่าผิวหน้าทั่วไป มักจะมีองค์ประกอบที่มีมอยส์เจอร์สูงกว่าและมีสารอีมูเลียน (Emollients) ที่มันกว่าเพื่อเคลือบปกป้องไม่ให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นนั่นเอง ทุกครั้งที่อาบน้ำล้างหน้า แนะนำให้บำรุงด้วยครีมมอยส์เจอร์รอบผิวหน้าและดวงตาทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนนอน แนะนำให้ทาครีมบำรุงทุกครั้ง   ภายหลังจากบำรุงผิวหน้าและรอบดวงตาด้วยมอยส์เจอร์แล้ว ควรปกป้องผิวหน้าด้วยครีมกันแดดให้ทั่วผิวหน้าก่อนที่จะแต่งแต้มด้วยครีมรองพื้น ครีมกันแดดจะประกอบไปด้วยสารกรองรังสียูวีเอและยูวีบี       รังสียูวีเอจะสามารถทะลุผิวหนังชั้นล่างได้ ทำให้ผิวหนังคนเราเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ส่วนรังสียูวีบีมีผลทำให้ผิวหนังไหม้เกรียมและดำคล้ำ ในวัยสูงอายุจึงแนะนำให้ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านในระหว่างวัน เพื่อปกป้องผิวหนังไม่ให้ถูกทำลายจากรังสีดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นปัจจัยเร่งให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเร็วก่อนวัย   2) การเลือกครีมรองพื้น ครีมรองพื้นมีองค์ประกอบของแป้งที่เป็นเม็ดสีละเอียด ทำหน้าที่เคลือบผิวหน้าเพื่อช่วยให้ผิวหน้าแลดูเนียนละเอียด ช่วยปกปิดริ้วรอยและแผลเป็นหรือหลุมลึกของสิวได้ดี การเลือกชนิดของครีมรองพื้น แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ชนิดครีมหรือโลชั่นชนิดน้ำมัน ไม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ชนิดที่เป็นน้ำ เพราะเมืองไทยอากาศร้อนชื้น เวลาเหงื่อออก จะทำให้รองพื้นชนิดน้ำแตก ดูคล้ายผิวหน้าแตกลาย ไม่น่าดู และหมดสวย ควรเลือกสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวหน้าของเรามากที่สุด ที่สำคัญคือควรทารองพื้นเพียงบางเบาและเกลี่ยให้ทั่วใบหน้า ไม่ควรทาหนา เพราะจะยิ่งไปเน้นริ้วรอยให้เห็นชัดเจนมากขึ้น   3) การแต่งแต้มแก้มให้เป็นสีชมพู ผิวหน้าวัยสูงอายุมักจะแลดูซีดเซียว แห้ง และไม่สดใส ดังนั้นการเติมสีสันให้ผิวแก้มเป็นสีชมพู จะช่วยได้มาก เพิ่มชีวิตชีวา แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ชนิดที่เป็นครีมเพราะมีองค์ประกอบของอีมูเลียน (Emollients) หรือน้ำมันบำรุงผิวอีกด้วย ช่วยให้ผิวแก้มชุ่มชื้นและติดทนนานมากขึ้น อย่าลืมว่าควรเลือกสีให้บางเบาเพื่อให้แลดูเป็นธรรมชาติ   4) การเลือกสีอายเชโด้ควรเลือกสีอายเชโด้ให้เข้ากับบุคลิกของเจ้าของ แต่ที่สำคัญคือบางเบา เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แต่งเป็นงิ้ว เพราะจะค้านกับวัยและแลดูแก่กว่าวัยทันที ก่อนทาสีอายเชโด้ แนะนำให้ใช้ครีมรองพื้นเฉพาะของเปลือกตาป้ายบางๆ นอกจากจะบำรุงให้ชุ่มชื้นแล้ว ยังช่วยให้สีอายเชโด้ติดทนนานได้ตลอดวันอีกด้วย   5) การเลือกลิปสติก ผิวหนังริมฝีปากของผู้สูงอายุ มักจะแห้งและบางครั้งมีหนังลอก การทาลิปสติกมักไม่ค่อยติดหรือหลุดลอกได้ง่าย วิธีแก้ปัญหา ควรหมั่นบำรุงผิวริมฝีปากด้วยครีมบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอไม่เว้นแม้แต่เวลาหลับ สารมอยส์เจอร์ในครีมบำรุงจะช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ทำให้ริมฝีปากไม่แห้งและไม่มีหนังลอก ลิปสติกที่ทาไว้จะติดโดยไม่หลุดลอกง่าย สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้เมื่อทาลิปสติก แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำหอม เนื่องจากน้ำหอมมีองค์ประกอบของน้ำมันหอมระเหยมากมาย ที่อาจทำให้เกิดการแพ้ได้ในคนที่มีผิวบอบบางและแพ้สารเคมีง่าย การใช้ลิปสติกไม่ควรใช้นานเกิน 1-2 ปี เพราะองค์ประกอบในลิปสติกส่วนใหญ่เป็นไขมัน เมื่อเก็บไว้นานจะเหม็นหืน หากมีกลิ่นหืน ควรทิ้งทันทีโดยไม่ต้องเสียดาย เพราะถ้าใช้ต่อ จะทำให้แพ้และริมฝีปากลอกได้ ที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ผู้หญิงควรจำไว้คือ ลิปสติคส์ควรใช้เฉพาะคน ไม่ควรแบ่งเพื่อนใช้หรือใช้ร่วมกับคนอื่น เพราะอาจปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์จากคนหนึ่งสู่อีกคนได้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 186 ดูแลผู้สูงวัย ใช้ยาปลอดภัย และเป็นสุข

ผมมีโอกาสไปร่วมฟังการนำเสนอผลงานวิชาการของ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลในจังหวัด น้องพยาบาลได้เล่าประสบการณ์ที่พบปัญหาของผู้สูงวัยเกี่ยวกับการใช้ยามากมาย เช่น เมื่อแพทย์จ่ายยาขับปัสสาวะเพื่อใช้ในการรักษาโรคความดันให้กับคุณยายท่านหนึ่ง คุณยายกลับไม่ยอมรับประทาน อ้างว่าตนเองก็ปัสสาวะได้เป็นปกติ ทำไมจะต้องทานยาขับปัสสาวะอีก  หรือแพทย์สั่งจ่ายยาให้คุณป้ารายหนึ่งรับประทานครั้งละครึ่งเม็ด เจ้าหน้าที่ก็เข้าใจว่าแกรับประทานยาตามที่ให้จนครบ เพราะยาหมดตามเวลา แต่มารู้ภายหลังว่าแกหักเม็ดยาไม่เป็น เลยใช้มีดสับ หลังๆ ขี้เกียจสับ เลยกินทีละเม็ดวันเว้นวัน เมื่อครบกำหนดยาก็หมดพอดีนี่เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น เพราะจากประสบการณ์ของน้องๆ เภสัชกรที่ได้ลงเยี่ยมบ้านผู้ป่วยร่วมกับทีมสุขภาพ ก็มักจะมาเล่าให้ฟังเสมอๆ ว่า ผู้ป่วยสูงวัยหลายราย ไม่ได้รับประทานแต่ยา แต่ยังรับประทานผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกด้วย จนได้รับผลข้างเคียงอันตรายหลายรายเช่นกัน  ดังนั้นในขณะที่สังคมเรากำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมของผู้สูงวัย การเตรียมเฝ้าระวังและป้องกันความเสี่ยงจากการใช้ยาและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของผู้สูงวัย จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่พวกเราต้องหันมาใส่ใจอย่างละเอียดมากขึ้น ทั้งเจ้าหน้าที่ ผู้สูงวัย และญาติพี่น้องหรือผู้ดูแลทีมเจ้าหน้าที่ ต้องใส่ใจในการพิจารณาสั่งจ่ายยาให้เหมาะสม ควรเลือกยาที่สะดวกในการใช้ของผู้สูงวัย เมื่อจะส่งมอบยาก็ต้องแนะนำข้อมูลต่างๆ ให้ละเอียด สื่อสารให้ผู้สูงวัยหรือผู้ที่มีหน้าที่ดูแลผู้สูงวัยเข้าใจอย่างดี ข้อความบนฉลากควรเป็นภาษาที่เข้าใจได้ง่าย เขียนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่เท่าที่ผู้ป่วยหรือผู้ดูแล จะสามารถอ่านได้สะดวก ตัวผู้ป่วยเอง หากสงสัยหรือไม่มั่นใจ ก็ต้องถามให้หมดสิ้นความสงสัย หากเกรงว่าจะลืมหรือจำไม่ได้ ก็ควรจดบันทึกเพิ่มเติม หรือเขียนกำกับไว้ที่ซองยาหรือฉลากยา  ญาติหรือผู้ดูแลผู้ป่วย ต้องพยายามสังเกตให้ดีว่าผู้ป่วย รับประทานยาตรงตามที่ได้รับคำแนะนำมาหรือไม่ และหมั่นสังเกตอาการของผู้ป่วยด้วยว่ามีอาการผิดปกติหรือเปล่า หากมีอาการผิดปกติ ควรสอบถามผู้ป่วยให้ละเอียด เช่น เกิดอาการเมื่อไร  ผู้ป่วยได้รับประทานผลิตภัณฑ์อื่นๆ ร่วมด้วยหรือเปล่าและที่สำคัญทั้งผู้ป่วยและญาติหรือผู้ดูแลผู้ป่วย ไม่ควรซื้อผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามคำโฆษณา เพราะผู้ป่วยสูงวัยที่มีโรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรังต่างๆ  มักเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่จะถูกชักชวนให้ซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากผู้ขาย หรือถูกชวนไปตรวจสุขภาพฟรีๆ แล้วโน้มน้าวให้ซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดต่างๆ มาใช้  สุดท้ายผลิตภัณฑ์เหล่านี้ บางทีกลับทำให้อาการป่วยเพิ่มมากขึ้นหรืออาจทำให้ได้รับอันตรายเพราะมีข้อมูลมากมายที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า ผลิตภัณฑ์ที่โอ้อวดสรรพคุณเหล่านี้ มักมีสารปนเปื้อนอันตราย เช่น เครื่องดื่มสมุนไพรแก้ปวดเมื่อยที่ผสมสารสเตียรอยด์ ผลิตภัณฑ์บำรุงตับไตไส้พุง บำรุงตา บำรุงหัวใจ ดังนั้นหากไม่แน่ใจ ขอให้สอบถามเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้านก่อนตัดสินใจนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 173 ยอมเตี้ยแบบฉลาด หรืออยากสูงแบบพลาดเสี่ยงภัย?

เครื่องเพิ่มความสูง แก้ปวดหลัง กระดูกทับเส้น ขาเรียว รักษาอาการหมอนรองกระดูกทับเส้น ซื้อวันนี้โปรโมชั่นฟรี สายรัด มูลค่า 1200 บาท ทั้งเซตยุคนี้ผู้คนหันมาออกกำลังกาย อุปกรณ์ออกกำลังกายประจำบ้านขายดีมากขึ้น วันหนึ่งผมได้รับเอกสารโฆษณาสินค้าชนิดนี้ส่งมาแนะนำถึงตัว ผู้จำหน่ายแนะนำว่ามันคืออุปกรณ์เพิ่มความสูง แถมยังบอกอีกว่าเป็นวิธีดีที่สุดสำหรับการเพิ่มความสูงให้ได้ภายใน 1 เดือน , 3 เดือน หรือ 6 เดือน โดยจะให้ผลสูงขึ้น ตั้งแต่ 2 เซนติเมตร ถึง 10 เซนติเมตร เครื่องนี้ใช้งานง่าย สามารถทำเองได้ที่บ้านเพียงวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที เป็นการเพิ่มส่วนสูงโดยไม่ต้องเสี่ยงเจ็บตัว หรือเสี่ยงใช้ยาราคาแพง หรือศัลยกรรมต่อกระดูกขา หรือเข้าคลินิก และยังแนะนำแบบขยี้ใจผมอีกว่า ถึงแม้จะอายุมากแล้วจนกระดูกปิด ก็ยังคงสามารถเพิ่มความสูงได้ (ชักสับสนว่าเหตุที่มาแนะนำผมน่ะ เพราะอายุมากหรือตัวเตี้ย หรือทั้งสองอย่างกันแน่..(ฮา)นอกจากเรื่องการเพิ่มความสูงแล้ว ในเอกสารยังแจ้งว่าอุปกรณ์นี้มีประโยชน์อีกหลายอย่าง เช่น ใช้ รักษา บรรเทาอาการปวดหลัง หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โดยไม่ต้องผ่าตัด หรือดัดกระดูกที่โค้งงอให้เข้าที่ อ้างว่าปลอดภัย 100% เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในโรงพยาบาล คลินิกเพิ่มความสูง และคลินิกจัดกระดูก นอกจากนี้ยังอ้างว่าจะทำให้ขาตรงเรียวเล็กขึ้น สวยขึ้น สูงขึ้น หายปวดหลัง หายปวดขา หายปวดคอ หรืออาการออฟฟิตซินโดรม โดยในเอกสารมีการแนะนำให้ผมตามเข้าไปดูวิดีโอที่เผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต เมื่อผมเข้าไปดู ก็พบว่าเป็นวีดีโอที่มีดาราชายวัยรุ่นมาบอกว่าตนเองก็ใช้จนสูงเพิ่มขึ้นถึง 10 เซนติเมตร และในวิดีโอมีบุคลากรมาแนะนำว่ากระดูกของคนเรานั้นจะมีลักษณะเป็นข้อๆ เรียงต่อกันไปเป็นจำนวนกว่า 30 ข้อต่อ ถ้าหากข้อต่อแต่ละข้อยืดออกเพียง 0.1 เซนติเมตรแล้ว กระดูกอ่อนที่อยู่ระหว่างข้อต่อกลายเป็นกระดูกจริงๆ เราจะสูงขึ้นได้มากถึงกว่า 3 เซนติเมตร เครื่องเพิ่มความสูงนี้สามารถช่วยได้ เพราะการยืดกระดูกซึ่งเหมือนกับการกระโดดเหยียดตัวอยู่ตลอดเวลาระหว่างใช้งานนั่นเอง ผมอ่านเอกสารและดูวิดีโอก็น่าจะเคลิ้ม แต่สติที่ยังมีทำให้ผมเริ่มพิจารณารายละเอียดต่างๆ ดูจากรูปร่างของอุปกรณ์แล้ว ก็เหมือนเครื่องออกกำลังกายทั่วๆ ไป ซึ่งไม่น่าจะมีผลต่อการเพิ่มความสูงในทุกวัยได้อย่างที่กล่าวอ้าง แต่ถ้าหากอุปกรณ์ชนิดนี้มีการใช้ในโรงพยาบาล คลินิกเพิ่มความสูง หรือคลินิกจัดกระดูกจริง อุปกรณ์ชนิดนี้ยิ่งน่าจะเข้าข่ายเครื่องมือแพทย์ด้วยซ้ำ ซึ่งผมดูในเอกสารแล้วก็ไม่มีการแจ้งว่าเป็นเครื่องมือแพทย์แต่อย่างใด นอกจากนี้ถ้ามีการใช้ในสถานที่ที่กล่าวอ้างจริง สถานที่ดังกล่าวจะมีบุคลากรที่มีความรู้เป็นผู้แนะนำควบคุมดูแลการใช้ การมาเร่ขายตรง โดยบอกว่าสามารถใช้ได้เองที่บ้าน น่าจะเกิดความเสี่ยงต่อร่างกายได้ โดยเฉพาะกระดูกสันหลัง สินค้าในยุคนี้มันมีอะไรแปลกๆ มาจำหน่ายเยอะ อย่าเพิ่งรีบหลงเชื่อนะครับ ให้เอ๊ะ!ไว้ก่อน แล้วลองพิจารณาด้วยเหตุผล จะได้ไม่หลงเป็นเหยื่อเสียทั้งเงินและเสี่ยงเสียสุขภาพนะครับ ตอนนี้ผมได้แจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ตรวจสอบแล้ว 

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 166 หนูไม่รู้ เขาให้หนูมา

เรื่องเล่าเฝ้าระวังฉบับที่แล้ว นำเสนอกระบวนการหลอกขายสินค้าให้กับผู้สูงอายุไปแล้ว แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจว่าผู้บริโภคกลุ่มวัยอื่นๆ จะไม่ถูกหลอกลวง เพราะขึ้นชื่อว่าการค้าแล้ว มันสามารถโน้มน้าวหลอกลวงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่มอย่างแน่นอน กระทั่งวัยอย่างผม (วัยไหนคงต้องเดากันเองนะครับ) ผมพบกับน้องคนนี้ในวันหนึ่ง เธอโผล่มาที่สำนักงานของผมในชุดนักศึกษา ภายใต้ใบหน้าอ่อนเยาว์แม้จะแต่งหน้าเข้มไปหน่อย แต่ก็พอเดาได้ว่าอายุเธอคงประมาณใกล้ๆ ยี่สิบ เธอยื่นจดหมายแนะนำตัวจากบริษัทให้ผม ข้อความในจดหมายระบุว่า “ขออนุญาตฝึกงานสาธิตนวดเพื่อสุขภาพ” พร้อมรายละเอียดแจ้งว่า “ทางบริษัทได้จัดส่งนักศึกษาที่กำลังฝึกงานอยู่ที่บริษัทให้ออกฝึกงานนอกสถานที่ และขออนุญาตให้นักศึกษาได้พูดและสาธิตการนวดเพื่อสุขภาพ ใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที โดยบริษัทจะเตรียมอุปกรณ์มาเองทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพื่อให้นักศึกษาได้ทดสอบการพูดและฝึกการสาธิตอุปกรณ์เพื่อหาประสบการณ์จริง” (โถ..เพื่อการศึกษา น่าสนับสนุน) เมื่อผมถามข้อมูลเพิ่มเติม เธออธิบายว่า บริษัทที่เธอฝึกงานให้เธอมาพูดอธิบายเครื่องมือนวดเพื่อสุขภาพ ซึ่งเธอจะได้แต้มในการพูดเป็นเงินจำนวนประมาณสามสิบบาทต่อครั้ง วันหนึ่งจะต้องพูดให้ได้สามสิบราย และต้องพยายามให้คนฟังยินยอมให้เธอสาธิตอุปกรณ์นวดเพื่อสุขภาพ อย่างน้อยสิบราย ซึ่งเธอจะได้ค่าเหนื่อยในการสาธิตอุปกรณ์อีกรายละหนึ่งร้อยบาท ถ้าทำได้ครบถ้วนดังกล่าวจึงจะถือว่าการฝึกงานผ่าน ส่วนอุปกรณ์ที่สาธิตนี้ ผู้ฟังจะซื้อไปใช้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร แต่เธอไม่ยอมโชว์อุปกรณ์ให้ผมเห็น แต่ที่แน่ๆ ผม คำนวณรายได้พบว่าหากเธอทำได้ครบถ้วน นอกจากเธอจะได้ฝึกงานแล้ว เธอยังจะได้ค่าตอบแทนอีกหนึ่งพันเก้าร้อยบาท (โถ...มากไม่ใช่เล่น) ผมถามเธอไปว่า การที่เธอจะเอาอุปกรณ์มาใช้ เธอรู้หรือเปล่าว่าอุปกรณ์นี้เป็นเครื่องมืออะไร และมีกฎหมายควบคุมดูแลหรือไม่ ปรากฏว่าเธอตอบว่าไม่ทราบ เอกสารหลักฐานอะไรที่ต้องมีตามกฎหมาย เธอไม่รู้ทั้งสิ้น เธอทราบแค่ว่า บริษัทสั่งให้มาฝึกงาน (โถ...ไร้เดียงสานะหนู) ผมจึงต้องอธิบายเพิ่มเติมไปว่า อุปกรณ์นวดเพื่อสุขภาพน่าจะเป็นเครื่องมือแพทย์ตามกฎหมาย ซึ่งมีกฎหมายเครื่องมือแพทย์ควบคุมดูแลอยู่ หากนำเข้ามาในประเทศก็ต้องไปติดต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเพื่อขออนุญาตเสียก่อน และหากจะทำการโฆษณาก็ต้องขออนุญาตด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ใครจะเอามาใช้ หรือโฆษณาได้อย่างตามใจชอบ เพราะอาจเกิดอันตรายได้ เธอทำหน้าละห้อย พยายามคะยั้นคะยอเพื่อให้ผมใจอ่อนยอมให้เธอได้ทำตามที่บริษัทสั่งมา แต่ผมยังยืนกรานไม่ยอม และแนะนำให้เธอกลับไปดูเอกสารหลักฐานมาจากบริษัทก่อน ทั้งนี้เพื่อตัวของเธอเองจะได้ไม่ถูกใครหลอกให้กระทำผิด สุดท้ายเธอจึงยอมจากไป (โถ...อย่าหาว่าผมใจร้ายนะหนู) เมื่อเธอกลับไปแล้ว ผมลองสืบค้นข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต ก็ไม่พบชื่อบริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด ผมเลยไม่รู้ว่า เธอถูกเขาหลอกให้มาขายของ หรือผมถูกเธอหลอกว่าเธอถูกหลอกให้มาขายของกันแน่ (โถ...น่าสงสารทั้งหนูและผม) ยังไงก็ระวังการหลอกขายสินค้าในรูปแบบแปลกๆ นี้ด้วยนะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 165 สูงวัยอาจถูกหลอก?

ปัจจุบันนี้ นอกจากเทคโนโลยีจะทันสมัยเพิ่มมากขึ้นแล้ว กลุ่มผู้สูงวัยก็เป็นพลเมืองอีกกลุ่มที่จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย หน่วยงานต่างๆ หลายแห่งหันมาให้ความสนใจกับกลุ่มผู้สูงวัยมากขึ้น มีการสนับสนุนการรวมตัวหรือจัดกิจกรรมต่างๆ ให้กลุ่มผู้สูงวัย  โดยบางทีก็ไม่รู้ว่าอาจจะตกเป็นเครื่องมือของคน(ไม่หวังดี) บางกลุ่ม ผู้เขียนได้รับแจ้งข่าวพร้อมภาพจากพลเมืองดีว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ได้ไปเยี่ยมกลุ่มชมรมผู้สูงอายุที่จัดกิจกรรมในพื้นที่แห่งหนึ่ง แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าครั้งนี้มันแปลกไป ไม่ได้หมายถึงผู้สูงวัยท่านจะกลับมาเป็นวัยหนุ่มสาวหรอกนะครับ หากแต่พบว่า มีกลุ่มบุคคลแจ้งว่าตนเองมาจากมูลนิธิแห่งหนึ่ง มาตรวจแนะนำสุขภาพให้ผู้สูงวัย แหม..เริ่มต้นด้วยจิตอันเป็นกุศลอย่างนี้ไม่ว่าวัยไหนๆ คงระทวยไปตามๆ กัน การตรวจก็ง่ายๆ ครับ มีอุปกรณ์เครื่องมือชิ้นเล็กๆ หนีบนิ้ว แล้วมีสายต่อไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะแสดงผลหน้าจอออกมาเป็นกราฟ เห็นอุปกรณ์ทันสมัยไฮเทคขนาดนี้แล้ว ยิ่งบุคคลผู้ตรวจ ซึ่งเป็นเพศชายดูมีบุคลิกดี ทะมัดทะแมง ทรงภูมิ ดูมีการศึกษา แถมอธิบายกราฟให้คุณตาคุณยายฟังเป็นฉากๆ เจอกับตาตนเองขนาดนี้แล้ว ผู้สูงวัยทั้งหลายต่างก็อ้าปากค้างกันไปเลย ทยอยมาต่อคิวกันตรวจกันใหญ่ แต่โลกนี้คงไม่มีอะไรฟรีๆ ดังนั้นถึงจะมาในนามมูลนิธิก็เถอะ บริการฟรีๆ จะมีที่ไหน ถัดไปอีกโต๊ะจะมีกลุ่มพนักงานหญิงมาพร้อมกับผลิตภัณฑ์สินค้ามากมาย อย่าเพิ่งดีใจ เขาไม่ได้มาแจกฟรีนะครับ เอามาจำหน่ายครับ มีขายเป็นชุด เช่น ชุดสมอง-หัวใจ-ไต-กระดูก ชุดละ 6 ขวด ราคา 3,000 บาท แต่ถ้าคุณตาคุณยายเงินน้อยก็ยินดีขายแยกขวดนะครับ มีหลายผลิตภัณฑ์ ราคาประมาณขวดละห้าร้อยถึงหกร้อยบาท ถึงราคาจะสูง แต่คุณตาคุณยายเห็นทั้งกราฟจากจอคอมพิวเตอร์ แถมมีคนแนะนำกระหน่ำโรคให้หวั่นไหวหัวใจขนาดนี้แล้ว คุณตาคุณยายบางคนก็ยอมควักกระเป๋าจ่าย หมดเงินไปตามๆ กัน ฟังเรื่องราวแล้วก็ละเหี่ยใจ แทนที่จะเคารพดูแลผู้สูงวัย กลับมาหลอกลวงท่านให้เสียเงินเสียทองไปอีก ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เท่าที่ดูจากรูปก็เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่วางขายทั่วๆ ไป คุณภาพสรรพคุณก็ไม่ได้สูงตามราคา พลเมืองดีท่านนี้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทางผู้ขายจะตระเวนไปเรื่อยๆ ตามสถานที่ประชุมกลุ่มหรือชมรมผู้สูงวัยทั้งหลาย  ไม่รู้ว่าจะวนเวียนไปแถวไหนอีก หากใครพบเห็น ขอให้รีบแจ้งกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดได้เลยนะครับ ส่วนเจ้าหน้าที่ที่ดูแลผู้สูงวัยในพื้นที่ หากเจอใครมาติดต่อขอให้บริการผู้สูงวัยในลักษณะนี้ ขอให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคเช่นกัน จะได้มาตรวจสอบและป้องกันการให้ข้อมูลบิดเบือนได้ทัน ก่อนที่คุณตาคุณยายทั้งหลายอาจจะตกเป็นเหยื่อได้นะครับ

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 176 สูงวัย ไม่โอเค...สักนิด

ผลจากที่องค์กรผู้บริโภคและผู้บริโภค  ร่วมกันส่งเสียงถึงความไม่เป็นธรรมในหลายเรื่อง  ทำให้ช่วงนี้มีข่าวที่น่าพอใจของผู้บริโภคปรากฏในสื่อต่างๆ หลายเรื่อง  เช่น  คำตัดสินของศาลปกครองกลาง    “กรณีมูลนิธิผู้บริโภคและเครือข่ายชนะคดีที่ฟ้องการขึ้นค่าทางด่วนโทลล์เวย์  ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค”  และ  “การระงับโฆษณาประกันสุขภาพผู้สูงอายุที่โฆษณา ไม่ตรงกับสัญญากรมธรรม์”   ต้องยอมรับว่านี่คือความก้าวหน้าของประเด็นผู้บริโภค  แต่ประเด็นที่เกิดขึ้นนี้  จะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าผู้บริโภคไม่ร่วมมือลุกขึ้นมาปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง  เพราะยังมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับประกันภัยด้านสุขภาพเกิดขึ้นอยู่เนือง ๆ   ต้นเดือน กันยายน 2558  คุณอี๊ด(นามสมมุติ)มาหารือว่า  ได้ทำประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ คุ้มครองสุขภาพด้วย  ส่งเงินปีละประมาณ 2 หมื่นบาท ต่อเนื่องมา 2 ปี  พอเข้าปีที่ 3 มีปัญหาปวดไหล่มาก  หมอตรวจแล้วบอกว่า ต้องผ่าเพื่อรักษา  เขาจึงไปปรึกษากับตัวแทน ที่ขายประกันภัยให้เขา  ตัวแทนแนะนำให้ไปผ่าที่กรุงเทพฯ เลย”เรามีประกัน” เมื่อตัวแทนแนะนำเขาก็เข้าไปผ่าที่ รพ.ใน กทม. นอนพักฟื้นอยู่ 5 วันมีค่าใช้จ่าย  1 แสนบาทเศษ  พอประสานงานกับตัวแทนประกันฯ เพื่อใช้สิทธิ ตัวแทนไม่พูดอะไรเมื่อฟังว่าค่ารักษาเท่าไหร่  เงียบไปเลย  โทรไปก็ไม่คุยด้วย  สรุปจ่ายเงินเองไปก่อน   พอกลับมาสมุทรสงครามได้ไปประสานกับบริษัทประกันเพื่อเคลียร์ค่าใช้จ่าย   ปรากฏว่า บริษัทปฏิเสธการจ่ายสินไหมทดแทน  ด้วยเหตุผล ผู้เอาประกันมีประวัติเกี่ยวกับแขนข้างที่ผ่าตัดที่ “เคยตกต้นไม้ มาก่อน” แต่ไม่แจ้งต่อผู้ขายประกัน  คุณอี๊ดบอกต่ออีกว่า  จริงๆ บอกตัวแทน(ขนาดโฆษณาบอกว่าไม่ถามเรื่องสุขภาพนะ อันนี้บอกเองเลย) แล้วตัวแทนบอกไม่เป็นไร ทำได้ เขาก็จ่ายเงินซื้อประกันมาอย่างต่อเนื่อง   สุดท้ายยังตกลงกันไม่ได้  ต้องดำเนินการขั้นตอนต่อไปบทเรียนเรื่องนี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่าผู้บริโภค  ให้ความสำคัญกับคำบอกเล่าของตัวแทนขายประกันมากกว่า  “การอ่านกรมธรรม์” เพราะถ้าอ่านเขาจะทราบ “วงเงินในการรักษา”แต่ละครั้งในกรมธรรม์กำหนดไว้เท่าไร  เพราะถ้ามีค่าใช้จ่ายมากกว่าที่กำหนดในกรมธรรม์  ส่วนต่างนั้นผู้เอาประกันต้องรับผิดชอบเอง   รวมถึงข้อยกเว้นต่างๆ ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์  เพื่อให้ทราบว่าเขาคุ้มครองอะไรเราบ้าง  และการคุ้มครองนั้นคุ้มค่าเงินที่เราต้องจ่ายไปหรือไม่    การอ่านกรมธรรม์ จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง  อ่านแล้วพบว่า ไม่โอเค ผู้บริโภคสามารถใช้สิทธิขอยกเลิกกรมธรรม์ได้    

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 127 อยากเห็นจิตสำนึกดารากับการโฆษณาหลอกลวง

 จากข่าวครึกโครมเรื่องคุณค่าทางอาหารของรังนก ที่เราๆ ท่านๆ เชื่อกันมาตลอดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยและผู้สูงอายุ ให้กลับมามีพลังกระชุ่มกระชวยได้เร็วขึ้น ทำให้รังนกเป็นสินค้าที่มีคุณค่าและราคาแพง ที่ผู้คนส่วนใหญ่มักซื้อให้กับคนที่เรารักหรือเป็นของเยี่ยมผู้ป่วย  แต่ผู้เขียนมารู้สึกตกใจมากเมื่อได้ทราบข้อมูลจากสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่เปรียบคุณค่าโปรตีนของรังนกกับถั่วลิสง ที่น่าตกใจคือเรากินรังนก 1 ขวด 100 กว่าบาท  เราจะได้รับโปรตีนเท่ากับเรากินถั่ว 2 เมล็ด และที่น่าตกใจไปกว่าคือ ไข่ไก่ 1 ฟอง 4-5 บาท มีคุณค่าอาหารเท่ากับเราต้องกินรังนก 24 ขวด 3 พันกว่าบาท(พุทโธธัมโมสังโฆ)นี่ยังไม่รวมที่มีการโฆษณารังนก 100% แต่จริงๆ 1 ขวดมีรังนกเพียง 1 % เศษเท่านั้น   สังคมไทยของเราเป็นอะไรกันทำไมถึงปล่อยให้มีเรื่องหลอกลวงได้ยาวนานถึงเพียงนี้  ทั้งที่เรื่องนี้มีหน่วยงานเฉพาะดูแลอยู่ และที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้นคือพอเปิดทีวีดูก็จะเห็นดาราที่เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาสรรพคุณอันเลอเลิศของรังนกอยู่เลย แค่นั้นยังไม่พอยังเอาความรักระหว่างแม่-ลูกมาโน้มน้าวให้ซื้อสินค้าอีก  คือหากรักแม่ต้องให้แม่กินรังนก  ตอนยังไม่รู้ข้อมูลก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอรู้ข้อมูลแล้วจึงมีความรู้สึกด้านอื่นเข้ามา  คือ พรีเซ็นเตอร์ที่โฆษณาสินค้านั้นๆส่วนใหญ่เป็นดาราและนักร้อง ซึ่งได้รับความรักและศรัทธาจากประชาชน แต่เพียงเพื่อรายได้ของตนเองที่ได้รับจากรับจ้างโฆษณา มองแค่รายได้สูงสุด ไม่มองถึงคุณภาพของสินค้า  ก็เท่ากับเอาความรักความศรัทธาที่ประชาชนมีให้มาใช้เป็นเครื่องมือหากิน  โดยไม่คำนึงถึงว่าการโฆษณานั้นหลอกลวงผู้บริโภคหรือไม่ ดังนั้นพวกเราในฐานะผู้บริโภคควรช่วยกันส่งเสียงเรียกร้องจิตสำนึกของเหล่าดารานักร้อง   ให้คำนึงว่าคุณกำลังร่วมมือกับผู้ประกอบการหลอกลวงประชาชนที่เขารักและสนับสนุนพวกคุณอยู่หรือไม่  อย่าเห็นแค่เพียงรายได้ของพวกคุณฝ่ายเดียว

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 154 กระแสต่างแดน

เครื่องดื่มบำรุงคลัง สภาล่างของฝรั่งเศสผ่านกฎหมายรับรองการเก็บภาษี “เครื่องดื่มบำรุงกำลัง” ด้วยเหตุผลว่าผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีนสูงอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพเด็กและเยาวชน เพราะมันส่งต่อการเต้นของหัวใจและความดันเลือด ถ้ากฎหมายนี้ผ่านการรับรองของวุฒิสภา รัฐบาลฝรั่งเศสจะมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 60 ล้านยูโร(ประมาณ 2,647 ล้านบาท) จากการเก็บภาษีในอัตรา 1 ยูโร(44 บาท) ต่อเครื่องดื่มบำรุงกำลัง 1 ลิตร ฝรั่งเศสซึ่งเก็บภาษีจากเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงมาได้สองปีแล้ว เพิ่งจะมีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังเข้ามาทำตลาดอย่างจริงจังได้เพียง 5 ปีเท่านั้น แต่ด้วยการเป็นสปอนเซอร์ให้กับกิจกรรมกีฬาต่างๆ และการทำตลาดทางโซเชียลมีเดีย เครื่องดื่มดังกล่าวก็เป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่วัยรุ่น ทั้งในผับ คอนเสิร์ต และสถานที่ออกกำลังกายต่างๆ   ข่าวบอกว่ามีชาวฝรั่งเศสที่เป็นลูกค้าเครื่องดื่มชนิดนี้อยู่ประมาณ 9 ล้านคน และ 1 ใน 4 ของคนกลุ่มนี้อายุระหว่าง 14 – 25 ปี ก่อนหน้านี้องค์การอาหารและยาฝรั่งเศสได้ออกคำแนะนำให้เด็กและวัยรุ่นหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มเรดบูล มอนสเตอร์ เบิร์น และ ร็อคสตาร์ และเตือนว่าไม่ควรดื่มพร้อมกับแอลกอฮอล์ หรือดื่มหลังการออกกำลังกาย ถ่ายมากลืมหมด งานวิจัยเขาพบว่าการถ่ายภาพเก็บทุกรายละเอียดในช่วงเวลาดีๆ อย่างวันเกิด วันรับปริญญา วันแต่งงาน ฯลฯ มันจะทำให้เราจดจำเรื่องราวในวันนั้นได้น้อยลง ดร. ลินดา เฮนเคล จากมหาวิทยาลัยแฟร์ฟิลด์ ที่ทำการวิจัยครั้งนี้บอกว่า การที่เราวุ่นวายกดชัตเตอร์อยู่นั้น เราจะประสบการณ์ร่วมกับเหตุการณ์ตรงหน้าน้อยลง และนั่นทำให้เราจำรายละเอียดของช่วงเวลาพิเศษนั้นไม่ได้ดีเท่าที่ควร ข้อสรุปนี้เขาได้จากการทดลองพานักศึกษากลุ่มหนึ่งเดินชมภาพที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งหนึ่งพร้อมฟังการบรรยาย เขาบอกให้นักศึกษาจดจำรายละเอียดของภาพต่างๆ ให้ได้ ใครอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยก็ไม่ว่ากัน เช้าวันต่อมามีการทดสอบความจำ ปรากฏว่านักศึกษาที่ดูภาพอย่างเดียว กลับจำรายละเอียดของภาพได้ดีกว่าคนที่ใช้กล้องบันทึกภาพไว้ แล้วสิ่งที่อยู่ในภาพถ่าย มีผลต่อความจำของเราหรือไม่? ดร. เฮนเคลบอกว่า มันขึ้นอยู่กับว่าตอนถ่ายรูปนั้นคุณตั้งใจสำรวจวัตถุและพื้นหลังในขณะนั้นจริงๆ หรือไม่ เพราะงานสำรวจอีกชิ้นของเธอพบว่า การ “ถ่ายเจาะ” ไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นจะทำให้เราจดจำมันได้ดีขึ้น ไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เราถ่ายเจาะมาเท่านั้น แต่เราจะจำได้ว่าเรากันอะไรออกไปนอกเฟรมด้วย   ภาระผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุชาวจีนคงจะไม่สามารถเปิดกรุเงินเก็บมาใช้เที่ยวต่างประเทศ หรือทำกิจกรรมใดๆ ที่ใช้เงินมากได้ เพราะยังคงมีภาระต้อง “เลี้ยง” ลูก ลี ชวน ในวัย 57 ยังต้องช่วยลูกชายจ่ายค่าผ่อนบ้าน ทั้งๆ ที่ลูกชายของเขาก็มีรายได้ประมาณ 30,000 – 45,000 บาทต่อเดือนแล้วเชียว(ลืมบอกไปว่าลูกชายเขาเพิ่งจะแต่งงาน และต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงค่าน้ำค่าไฟ และอื่นๆ เพราะอยู่ในเมืองที่ ค่าบ้านแพงกว่ารายได้เฉลี่ยต่อปีของครัวเรือนถึง 28 เท่า) ผู้สูงวัยเหล่านี้อยากให้ลูกหลานมีชีวิตที่ดี จึงยินดีให้เงินช่วยเหลือ ถ้าไม่มีเงินก็จะใช้วิธีเปิดบ้านให้ลูกและครอบครัวย้ายเข้ามาอยู่เป็นการประหยัดรายจ่าย การสำรวจโดยบริษัทประกัน HSBC Life Insurance ระบุว่าร้อยละ 76 ของชาวจีน จะยังต้องให้เงินสนับสนุนลูกหลานเมื่อตัวเองเข้าสู่วัยเกษียน งานสำรวจครั้งในทำกับกลุ่มตัวอย่างขนาด 16,000 คน ใน 15 ประเทศ มีคนจีนเข้าร่วมการสำรวจ 1,000 คน งานสำรวจนี้พบว่า ร้อยละ 40 ของคนจีนวัยเกษียนยังคงต้องอุปการะลูก ร้อยละ 28 ยังต้องเลี้ยงพ่อแม่ และร้อยละ 9 ยังต้องรับผิดชอบเลี้ยงหลาน เฮ้อ! รวมๆ แล้วเงินเก็บเพื่อความสุขส่วนตัวของผู้สูงอายุเหลือน้อยลง แถมยังต้องทำงานหาเงินหลังวัยเกษียนอีกด้วย   แผนปรองดอง หลังจากพยายามหาทางออกกันมากว่า 20 ปี ในที่สุดอิสราเอล จอร์แดน ปาเลสไตน์ ก็ตกลงกันได้ ... เรากำลังพูดถึงข้อตกลงเรื่องโครงการนำน้ำจากทะเลแดงมาใช้ ข่าวบอกว่าโครงการที่ไปเซ็นสัญญาที่ธนาคารโลก สาขาใหญ่ในกรุงวอชิงตันนี้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 240 ล้านเหรียญ(7,700 ล้านบาท) ตามแผนแล้วเขาจะสร้างโรงบำบัดน้ำที่เมืองอคาบา ในจอร์แดน เพื่อเปลี่ยนน้ำเค็มจากทะเลแดงให้เป็นน้ำจืดเพื่อรองรับชุมชนทางตอนใต้ของอิสราเอลและจอร์แดน สองประเทศนี้จะได้น้ำไปใช้กันคนละ 8,000 – 13,000 ล้านลูกบาศก์แกลลอนต่อปี ส่วนน้ำเกลือที่เป็น “น้ำเสีย” จากการผลิตจะถูกส่งผ่านท่อในจอร์แดนขึ้นเหนือไปประมาณ 100 ไมล์ เพื่อปล่อยลงในทะเลสาบเดดซี นั่นหมายความว่าต้องมีการจับตาดูการบริหารจัดการน้ำเค็มนี้ให้ดี ไม่อย่างนั้นทะเลสาบเดดซีจะกลายเป็นทะเลสาบมรณะไปจริงๆ นอกจากนี้อิสราเอลจะต้องส่งน้ำจืด 13,000 พันล้านแกลลอน จากทะเลกาลิลีทางตอนเหนือของประเทศ ให้กับอัมมานเมืองหลวงของจอร์แดน และปาเลสไตน์ก็คาดหวังว่าจะสามารถซื้อน้ำได้อีก 8,000 ล้านลูกบาศก์แกลลอนจากอิสราเอลในราคาพิเศษด้วย ที่มาของข้อตกลงนี้คือการพยายามแก้ปัญหาหลักๆ สองประการคือ 1) การขาดแคลนน้ำจืด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจอร์แดน และ 2) การลดลงของระดับน้ำในทะเลสาบเดดซีปีละกว่า 3 ฟุต เพราะน้ำส่วนใหญ่ในแม่น้ำจอร์แดน ถูกเบี่ยงเส้นทางออกไปยังชุมชนและไร่นาในอิสราเอล จอร์แดน และซีเรีย จึงทำให้แทบไม่มีน้ำไหลเขามาในทะเลสาบ แถมยังมีอุตสาหกรรมโปแตช สองฝั่งทะเลสาบอีกด้วย   ศึกคุ้มครองผู้บริโภค ที่เมียนมาร์ไม่ได้มีแค่ศึกซีเกมส์ เขายังมีแมทช์องค์การอาหารและยา ปะทะ สมาคมคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้ลุ้นกัน ด้าน อย. นั้นเตรียมจะฟ้องสมาคมฯ โทษฐานแอบอ้างอำนาจของกระทรวงสาธารณสุขในการออกตรวจแผงขายอาหาร ส่วนสมาคมฯ ก็ขู่จะฟ้อง อย. ที่พยายามลดความน่าเชื่อถือของสมาคมฯ ซึ่งเพิ่งจะได้รับการก่อตั้งเมื่อปีที่แล้วให้มาช่วย อย.ทำงานด้านอาหารปลอดภัยและอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สองหน่วยงานนี้ไฝ่ว์กัน ล่าสุดเมื่อมีสายมารายงานว่ามีการใช้ปุ๋ยเคมีในการผลิตกะปิจากปลา เพื่อช่วยย่นระยะเวลาการหมัก(ซึ่งปกติจะนานถึง 12 เดือน) จึงมีการเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์มาทดสอบ ผลปรากฏว่าห้องแล็บของอย. พบยูเรียในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจำนวน 3 ตัวอย่าง แต่อย. ไม่ยอมเปิดเผยปริมาณที่พบ เพียงแต่แถลงข่าวว่าพบในปริมาณปกติทั่วไป ส่วนสมาคมฯ นั้นตีพิมพ์ผลทดสอบทั้งหมด ให้รู้กันไป จึงสร้างความหงุดหงิดใจให้กับ อย.และบรรดาผู้ประกอบการ ที่อ้างว่ายอดขายกะปิปลาของเขาลดลงทั้งๆ ที่เขาได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก อย.แล้ว หมัดเด็ดอยู่ตรงที่ สมาคมฯ ประกาศว่าจะเปิดห้องปฏิบัติการของตัวเองเพื่อทดสอบอาหาร เพราะรู้สึกไม่เชื่อในผลการทดสอบจากอย. แล้ว   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 152 กระแสต่างแดน

รับประกันความเหนียว ในครึ่งแรกของปี 2013 ปัญหาด้านการเงินการธนาคาร ที่คนอังกฤษร้องเรียนบ่อยที่สุดคือเรื่องที่เกี่ยวกับ “การประกันเงินกู้” ธนาคารและบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่อังกฤษนิยมขายบริการเงินกู้พ่วงกับการประกัน ด้วยเงื่อนไขว่าจะรับผิดชอบจ่ายหนี้ให้ในกรณีที่ผู้กู้ไม่สามารถทำงานได้ แต่เมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยกลับไม่ได้รับความช่วยเหลืออะไร เพราะบรรดาข้อยกเว้นยุบยิบที่แนบท้ายมาในกรมธรรม์นั่นเอง ผู้ตรวจการด้านการเงินการธนาคารของอังกฤษบอกว่า ในบรรดาเรื่องร้องเรียน 327,000 เรื่องที่ส่งเข้ามา มีถึงร้อย 86 ที่เป็นกรณีธนาคารเบี้ยวเงินชดเชย หรือไม่ก็ถ่วงเวลาให้ผู้เอาประกันต้องรอโดยไม่จำเป็น   รายงานดังกล่าวระบุว่า 1 ใน 3 เป็นการร้องเรียนพฤติกรรมของสถาบันการเงินในกลุ่ม Lloyds Banking Group โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารแห่งสกอตแลนด์ ที่มีคนร้องเรียนมากกว่า 58,000 ราย และที่ถูกร้องเรียนมากเป็นอันดับสองได้แก่ บาร์เคลย์ ด้วยเรื่องร้องเรียนกว่า 44,000 เรื่อง ผู้ตรวจการฯ พบว่าบริษัทเหล่านี้ตั้งเงินสำรองสำหรับการประกันเหล่านี้ไว้ถึง 18,000 ล้านปอนด์ แต่ก็ยังปฏิเสธการให้เงินชดเชยกับผู้เอาประกันแม้ในกรณีที่สมควรจ่าย และที่สำคัญ 1 ใน 3 ของกรณีขอรับการชดเชยที่ถูกปฏิเสธไปนั้น เมื่อตรวจสอบดูแล้วพบว่าเข้าข่ายการได้รับเงินชดเชยด้วย ยังดีตรงที่ในการยื่นเรื่องกับผู้ตรวจการนั้น เขากำหนดให้ธนาคาร/บริษัทที่ขายประกัน เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย 550 ปอนด์ต่อเรื่องร้องเรียน ไม่ว่าเรื่องนั้นจะได้รับผลการพิจารณาว่าธนาคาร/บริษัทต้องรับผิดชอบหรือไม่ ค่อยยังชั่ว ... นึกว่าต้องซื้อประกันเพื่อความมั่นใจว่าประกันเงินกู้ที่ซื้อไว้จะจ่ายค่าชดเชยให้เราอีกด้วยนะนี่   ถูกไป..ไม่กล้าซื้อ ในห้างเมโทรของเวียดนาม ส้มนำเข้าจากออสเตรเลียขายในราคาเพียงกิโลกรัมละ 50,999 ดอง(75 บาท) แอปเปิ้ลจากอเมริกาก็กิโลกรัมละ 44,900 ดอง(66 บาท) เท่านั้น แต่กลับไม่เป็นที่นิยมเพราะผู้บริโภคไม่แน่ใจว่ามันมาจากไหนกันแน่ เป็นที่รู้กันทั้งประเทศว่าเวียดนามมีกฎระเบียบการนำเข้าผลไม้ที่เข้มงวด ซึ่งกำหนดให้มีการตรวจสอบเพื่อหาแมลง โรคระบาด หรือสารเคมีตกค้างต่างๆ ราคาผลไม้นำเข้าที่นั่นจึงค่อนข้างแพง กระทรวงการเกษตรและการพัฒนาชนบท ยืนยันว่าปัจจุบันผลไม้ที่นำเข้าจากประเทศตะวันตกนั้นมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่เห็นขายกันอยู่ตามท้องถนนส่วนใหญ่เป็นการลักลอบนำเข้า ที่สำคัญข่าวเขาบอกว่า เป็นเรื่องยากที่จะค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของผลไม้นำเข้า เพราะแม้แต่สมาคมผักและผลไม้แห่งเวียดนามเองก็แสดงข้อมูลเกี่ยวกับผลไม้ส่งออกเท่านั้น ถ้าอยากรู้ก็ต้องอาศัยข้อมูลจากภายนอก แอปเปิ้ลส่วนใหญ่ที่ขายในเวียดนามมาจากจีน โดยอ้างอิงตัวเลขของจีนที่ระบุว่ามูลค่าการส่งออกแอปเปิ้ลมาเวียดนามในระหว่างปี 2008 -2010 อยู่ที่ 53 ล้านเหรียญ ในขณะที่ตัวเลขจากอเมริกามีเพียง 8 ล้านเหรียญเท่านั้น   แบรนด์นั้นสำคัญแต่ ... การสำรวจความเห็นของคน 134,000 คน ทั่วโลก โดย Havas Media Group พบว่า ผู้บริโภคไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์นัก ถ้าร้อยละ 73 ของแบรนด์ต่างๆ ที่มีอยู่นั้นจะหายไปจากโลกนี้ และพวกเขาเชื่อว่ามีเพียง 1 ใน 5 ของแบรนด์เหล่านี้เท่านั้นที่ทำให้คุณภาพชีวิตผู้บริโภคดีขึ้นจริงๆ ถ้าเจาะดูเฉพาะคนยุโรป จะเห็นว่าค่อนข้างโหดทีเดียว พวกเขาเชื่อว่ามีเพียงร้อยละ 5 ของแบรนด์เท่านั้นที่ทำให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้น และก็ไม่แคร์แม้ว่าร้อยละ 93 ของแบรนด์ที่มีอยู่จะหายไป มีเพียง 1 ใน 5 ของคนยุโรปและ 1 ใน 4 ของคนอเมริกันเท่านั้น ที่เชื่อว่าแบรนด์เหล่านี้สื่อสารกับตนเองด้วยความจริงใจเวลาที่ให้คำมั่นสัญญาหรือประกาศเจตนารมณ์ใดก็ตาม เจ้าของแบรนด์อาจจะอยากทบทวนการใช้งบประมาณหลายพันล้านปอนด์ที่ทุ่มเทให้กับการสร้างแบรนด์ แล้วหันมาเน้นความรับผิดชอบต่อสังคมแทน เพราะตัวเลขจากตลาดหุ้นยืนยันว่าบริษัทที่แสดงบทบาทความรับผิดชอบต่อสังคมได้ชัดเจน จะมีผลประกอบการที่สูงกว่าด้วย ที่น่าสนใจคือผู้บริโภคเชื่อว่าแบรนด์สามารถมีบทบาทในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตและเพิ่มสุขภาวะของพวกเขา  คนยุโรปและอเมริกากว่าครึ่งก็เห็นด้วย แต่ในปัจจุบันแบรนด์เหล่านี้ยังไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังดังกล่าวได้   เหมือนเดิม .. โซเดียมด้วย ด้วยกระแสกดดันให้ลด ละ เลิก อาหารที่มีไขมัน เกลือหรือน้ำตาลสูง ทำให้เราคิดไปว่าบรรดา ร้านอาหารจานด่วนรายใหญ่ๆ เขาคงจะปรับเปลี่ยนเมนูให้เป็นมิตรต่อสุขภาพมากขึ้น ... หรือเปล่า? งานสำรวจที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Journal of the Academy of Nutrition and Diabetes เปิดเผยว่า ปริมาณแคลอรี่และโซเดียมในอาหารจานหลักของร้านฟาสต์ฟู้ดในอเมริกาในปี 2011 ก็ไม่ได้ลดลงจากปี 2010 แต่อย่างใด ข้อมูลดังกล่าวเป็นผลจากสำรวจอาหารจากหลัก 26,000 เมนู ในร้านจานด่วน 213 สาขาทั่วอเมริกา ในปี 2010 ค่าเฉลี่ยของพลังงานที่ได้จากอาหารจานหลัก 1 จานในร้านเหล่านี้อยู่ที่ 670 แคลอรี่ และยังคงเท่ากับค่าในปี 2011 ที่ร้านอาหารเริ่มแสดงข้อมูลโภชนาการของอาหารเมนูต่างๆ แล้ว และแม้จะมีการลดปริมาณแคลอรี่ลงเล็กน้อยในเมนูทั่วไป กลับไม่มีการลดปริมาณแคลอรี่ในเมนูสำหรับเด็ก ส่วนปริมาณโซเดียมโดยเฉลี่ยก็ลดลงเพียง 15 มิลลิกรัมต่อเมนูเท่านั้น ผู้วิจัยยังพบด้วยว่า แม้ร้านเหล่านี้จะปรับเปลี่ยนเมนูอยู่เป็นประจำ แต่ทุกครั้งที่มีการเพิ่มเมนูเพื่อสุขภาพก็จะมีการใส่เมนูตามใจปากเข้ามาด้วย การสำรวจนี้ฟันธงว่า ผู้ประกอบการยังไม่ได้ปรับปรุงโภชนาการของอาหารในร้านให้ดีขึ้น  มาตรการที่กำหนดให้แสดงข้อมูลโภชนาการเพียงอย่างเดียวจึงน่าจะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คนอเมริกามีนิสัยการกินที่ดีขึ้น     พร้อมรับคนสูงวัย การสูงวัยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับประชากรทุกคนอยู่ตลอดเวลา เรามาดูกันว่าประเทศไหนพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุกว่ากัน การสำรวจ Global AgeWatch Index 2013 ที่ทำใน 91 ประเทศ ซึ่งครอบคลุมร้อยละ 89 ของจำนวนประชากรที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ได้จัดอันดับให้สวีเดนเป็นประเทศที่ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตและสุขภาวะดีที่สุด แม้จะไม่ได้เป็นที่หนึ่งในแต่ละด้านที่ทำการสำรวจ ซึ่งได้แก่ 1) ความมั่นคงทางรายได้  2) สุขภาพ  3) การจ้างงาน/การศึกษา และ 4) สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต  แต่สวีเดนซึ่งมีประชากรวัย 60 ขึ้นไปประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด 9.5 ล้านคน ก็ติดอยู่ในอันดับท็อปเท็นของทุกด้าน ในด้านรายได้ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีที่มีรายได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของรายได้เฉลี่ยของประชากรนั้นมีเพียงแค่ร้อยละ 9 และคนสวีเดนยังมีอายุคาดหลังวัย 60 ไปอีก 24 ปี อีกทั้งเขายังพบว่ามีประชากรในวัย 50 ปีขึ้นไปถึงร้อยละ 95.6 ที่รู้สึกว่าชีวิตยังมีความหมาย และผู้ที่มีอายุระหว่าง 55 – 64 ปีที่ยังมีงานทำอยู่ก็มีมากกว่าร้อยละ 70 ด้วย ตำแหน่งประเทศที่ผู้สูงอายุมีรายได้ดีที่สุดนั้นเป็นของลักเซมเบิร์ก ด้านสวิตเซอร์แลนด์ได้ครองตำแหน่งประเทศที่ผู้สูงอายุมีสุขภาพดีที่สุด ส่วนนอร์เวย์รั้งตำแหน่งประเทศที่มีอัตราการจ้างงานผู้สูงอายุสูงที่สุด ในขณะที่ผู้สูงวัยชาวเนเธอร์แลนด์คือกลุ่มคนที่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตได้โดยอิสระมากที่สุด และหากคุณสงสัย ... ประเทศไทยก็ไม่ขี้เหร่ เข้าอันดับที่ 42 ซึ่งเป็นอันดับที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน (งานนี้เขาไม่ได้สำรวจที่สิงคโปร์) และเราได้อันดับที่ 8 ในเรื่องของสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุด้วย เพราะมีถึงร้อยละ 89 ที่รู้สึกว่าตนเองสามารถติดต่อเพื่อนหรือญาติได้ในกรณีที่มีปัญหา และมีมากกว่าร้อยละ 80 ที่รู้สึกว่ายังสามารถเดินไปไหนมาไหนในเมืองได้โดยไม่ต้องกลัวอันตราย   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 150 กระแสต่างแดน

เรื่องคับอกของผู้สูงวัย ปีนี้เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลญี่ปุ่นจัดพิมพ์สมุดปกขาวว่าด้วยสถานการณ์ผู้บริโภค แต่นั่นยังไม่ใช่ไฮไลท์ของข่าวนี้ แม้ว่ารัฐบาลจะได้รับเรื่องร้องเรียนน้อยลงถึงร้อยละ 20.4 ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา (เหลือ 836,662 กรณี) แต่ปรากฏว่าจำนวนเรื่องร้องเรียนจากผู้สูงอายุกลับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 34.7 (มีถึง 207,513 กรณี) ถ้ามองโดยรวมแล้ว ร้อยละ 56 ของผู้ร้องเรียนเป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ซึ่งได้รับความเดือดร้อนรำคาญจาก ผู้ที่โทรศัพท์มาชักชวนให้ซื้อสินค้า/บริการ ตามด้วยการได้รับสินค้าสุขภาพบ่อยครั้งทั้งๆ ที่ไม่ได้สั่งซื้อ แต่ที่เจ็บปวดที่สุดคือการถูกหลอกลวงโดยคนที่อาสาจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับการไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อสินค้าหรือบริการนั่นเอง ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข แล้วยังต้องเสียเงินให้ใครไปอีกก็ไม่รู้     ผิดที่แม่ เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2006 หนูน้อยเอมม่าวัย 3 ขวบชาวอังกฤษ ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังและตับ เมื่อรถที่คุณแม่ของเธอเป็นคนขับถูกรถอีกคันชน ขณะเกิดเหตุเอมม่านั่งอยู่บนเบาะรองนั่งสำหรับเด็ก ชนิดไม่มีพนักพิง แม้ว่ารถของคู่กรณีจะเป็นฝ่ายผิด แต่บริษัทประกันของเขาโต้แย้งว่าแม่ของเด็กควรมีส่วนร่วมจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกด้วย เพราะเป็นความประมาทเลินเล่อของเธอที่ให้ลูกนั่งเบาะเสริม ทั้งๆ ที่ในร ถก็มีเบาะชนิดที่เหมาะสมกับลูกอยู่ด้วย เดือนเมษายนปี 2012 ศาลชั้นต้นตัดสินว่าลูอิส แม่ของเอมม่า มีส่วนทำให้ลูกได้รับบาดเจ็บจากการให้ลูกนั่งบนเบาะผิดประเภท และต้องร่วมจ่าย 1 ใน 4 ของค่าชดเชย ลูอิสขออุทธรณ์ แต่ศาลก็ยังยืนยันคำพิพากษาเดิม ศาลให้ความเห็นว่าแม้ลูอิสเป็นแม่ที่ยอดเยี่ยม แต่ก็เธอไม่ควรนำเบาะเสริมชนิดดังกล่าวมาใช้ และอาการบาดเจ็บของเอมม่าจะไม่รุนแรงขนาดนี้ถ้าเธอเลือกใช้เบาะชนิดที่มีพนักพิงและเข็มขัด ซึ่งเธอก็มีอยู่ในรถ ที่สำคัญ เมื่อพิจารณาคู่มือการใช้เบาะเสริมแล้วพบว่า เอมม่ามีน้ำหนักที่เหมาะสมกับการใช้เบาะดังกล่าว (เธอหนัก 15 กิโลกรัม) แต่เอมม่ายังขาดส่วนสูงไป 8 เซนติเมตร และยังอายุไม่ถึง 4 ขวบตามที่คู่มือแจ้งไว้     กินเนื้อเมื่อโอกาสเหมาะ คณะกรรมาธิการด้านอาหารของรัฐสภาอังกฤษเขาบอกว่าอังกฤษเป็นอีกประเทศที่อาจต้องเผชิญกับภาวะอาหารขาดแคลนในเวลาอันใกล้นี้ และเรียกร้องให้รัฐบาลรีบดำเนินการเพิ่ม “ความมั่นคงทางอาหาร” โดยด่วน คณะกรรมาธิการมีข้อเสนอให้รัฐบาลรีบออกนโยบายลดอาหารเหลือทิ้ง(อังกฤษก็เหมือนที่อื่นๆ ในโลก ที่กิน 7 ส่วน ทิ้ง 3 ส่วน) รวมถึงมาตรการลดความผันผวนของราคาอาหาร และรณรงค์ให้ชาวเมืองผู้ดีเลิกรับประทานเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก เรียกว่าต้องเป็นโอกาสพิเศษจริงๆ ถึงจะมีเนื้อสัตว์ขึ้นโต๊ะ และเขาขอให้เป็นเนื้อจากปศุสัตว์ที่เลี้ยงในทุ่งหญ้าเท่านั้น เรามาช่วยกันลุ้นว่าปฏิบัติการกู้กระเพาะจะเกิดขึ้นได้ทันเวลาหรือไม่ อังกฤษเคยมีประสบการณ์เรื่องวิกฤตราคาอาหารมาแล้วสองครั้งเมื่อปี  2008 และ 2011 เพราะความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และการผลิตเชื้อเพลิงจากพืชที่ทำให้ต้องแบ่งเนื้อที่ทางการปลูกพืชอาหารไปปลูกพืชพลังงานแทน ปัจจุบันโลกเรามีประชากร 7,100 ล้านคน ในจำนวนนี้มีประมาณ 1,000 ล้านคนที่ยังอดอยาก และมีเด็กเสียชีวิตจากภาวะทุพโภชนาการถึงปีละ 2.3 ล้านคน     ตลาดนัดแต้มเขียว มีข่าวมาฝากคนที่ชอบเดินตลาดนัดของเก่า ถ้ามีเวลาอย่าลืมแวะไปที่เม็กซิโกซิตี้ เพราะที่นั่นเขามีโครงการของเก่าแลกผักสด ตลาดนี้ไม่ต้องพกเงินไป แต่ให้คุณเก็บรวบรวมกล่องนม ขวดพลาสติก หนังสือพิมพ์เก่า หรือกระดาษลังที่ไม่ใช้แล้วไปแทน จากนั้นนำของที่ว่านี้ไปเปลี่ยนเป็นแต้ม(เขาเรียกมันว่า Green Points) แล้วนำแต้มที่คุณสะสมได้ไปซื้อผัก ผลไม้ออกานิกกลับบ้านไปทำกับข้าว เทศบาลเมืองเม็กซิโกซิตี้ ที่มีประชากร 20 ล้านคน บอกว่าเป้าหมายหลักของโครงการคือการทำให้ชาวเมืองแยกขยะก่อนทิ้ง ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการส่งต่อไปยังโรงงานรีไซเคิลด้วย ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างก็ถูกใจตลาดนี้ ผู้ซื้อได้ของดีราคาถูกกลับบ้าน แถมยังได้เคลียร์บ้านช่องให้สะอาดเอี่ยม ส่วนผู้ขายก็ยินดีเพราะได้เงินก้อนจากขายเหมาพืชผลให้เทศบาลนั่นเอง     แพชชั่นนิสตา แชมป์บริโภคผลิตภัณฑ์เพื่ออนามัยส่วนบุคคล (สบู่ แชมพู ครีมนวดผม ยาสีฟัน โลชั่นทาผิว โรลออน โคโลจน์ น้ำยาบ้วนปาก) ในการสำรวจล่าสุดได้แก่ สาวฟิลิปปินส์ การสำรวจโดยบริษัท NBC Universal International Television และ “นักรบรองเท้าส้นสูง” พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว สาวตากาล็อกใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถึง 9 แบรนด์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ในขณะที่สาวๆ ในอีก 4 ประเทศที่เขาไปทำการสำรวจ (มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฮ่องกง) ใช้เพียง 6 ผลิตภัณฑ์เท่านั้น เขาสอบถามผู้หญิงอายุระหว่าง 20 ถึง 44 ปี จำนวน 600 คนจากแต่ละประเทศ พวกเธอมีที่พักอาศัยในเขตเมืองและดูเคเบิลทีวีเป็นประจำ 1 ใน 3 ของสาวฟิลิปปินส์ บอกว่าพวกเธออยู่ในกลุ่ม แพชชั่นนิสตา Passionista หรือสาวที่พึ่งพาตนเอง ทำตามความฝัน และสนุกกับปัจจุบัน ในขณะที่มีเพียง 1 ใน 4 ของ สาวๆ ที่อื่นเท่านั้นที่จัดตัวเองเข้ากลุ่มนี้ กลุ่มที่เล็กลงมาหน่อยคือ โซเชียลไซเดอร์ (Socialcider) ที่หมายถึงผู้หญิงที่ชอบเข้าสังคม ใช้โซเชียลเน็ทเวิร์คเป็นประจำ มองโลกในแง่ดีและพอใจกับชีวิต โดยเฉลี่ยแล้วสาวฟิลิปปินส์มีเพื่อนบนเฟสบุ้ค 523 คน (สาวอาเซียนโดยรวม มีเพื่อนเฟสบุ้ค 389 คน) ผู้สำรวจบอกว่าวิถีชีวิตทั้งแบบ แพชชั่นนิสตา และโซเชียลไซเดอร์ เป็นปัจจัยที่ทำให้สาวๆ เหล่านี้ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ค่อนข้างมาก ไม่รู้จะตีความว่าพวกเธอสะอาดเนี้ยบที่สุด หรือว่าพวกเธอมีโอกาสได้รับสารเคมีมากที่สุดนะนี่   //

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 114 กระแสต่างแดน

      คนบ้านเดียวกันประเทศมั่งคั่งอย่างแคนาดาก็มีปัญหาเรื่องความมั่นคงทางอาหารกับเขาเหมือนกันหรือนี่   สมาพันธ์การเกษตรแห่งแคว้นโนวา สโกเชีย บอกว่าในทุกๆ 1 เหรียญที่คนแคนาดาใช้จ่ายกับการซื้ออาหารนั้น มีเพียง 13 เซ็นต์เท่านั้นที่เป็นรายได้ให้กับเกษตรกรในท้องถิ่น งานวิจัยที่ติดตามเรื่องนี้มาเป็นเวลากว่า 3 ปี พบว่าโดยเฉลี่ยแล้ว อาหารที่ประชากรของแคว้นนี้รับประทานกันอยู่นั้น ต้องเดินทางรอนแรมมาไม่ต่ำกว่า 4,000 กิโลเมตร โดยปกติแล้วครัวเรือนในแคนาดานั้นใช้จ่ายกับเรื่องอาหารค่อนข้างน้อยอยู่แล้ว  เมื่อเทียบกับประชากรในอเมริกา หรือออสเตรเลีย   แต่งานวิจัยเรื่องนี้ระบุว่าปรากฏการณ์ห้างค้าปลีกเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกษตรกรในแคว้นนี้ต้องปิดกิจการกันไปเป็นจำนวนมาก เช่นปัจจุบันแคว้นนี้มีฟาร์มหมูเหลืออยู่เพียง 4 ฟาร์มเท่านั้น จากที่เคยมีถึง 90 ฟาร์มเมื่อ 10 ปีก่อน อย่างที่รู้ๆ กัน ซูเปอร์มาเก็ตเจ้าใหญ่ๆ สามารถนำเข้าสินค้าเกษตรในปริมาณมากและในราคาที่ค่อนข้างต่ำทำให้สามารถขายให้กับผู้บริโภคในราคาที่ถูกกว่าผลผลิตในท้องถิ่นได้ เกษตรกรในพื้นที่จึงต้องหันไปทำอย่างอื่นแทน  พูดง่ายๆ แคว้นนี้กำลังสูญเสียความสามารถในการพึ่งพาตนเองในเรื่องอาหารนั่นเอง เพราะคนรุ่นใหม่ก็ไม่สนใจที่จะสานต่อกิจการของเกษตรกรรุ่นปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้มีอายุเฉลี่ย 55 ปีแล้วด้วย แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่ถึงกับหมดหวัง รายงานดังกล่าวประเมินว่าถ้าผู้คนในแคว้นโนวา สโกเชียหันมาอุดหนุนเนื้อวัวที่ผลิตในท้องถิ่น จะทำให้มีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจถึง 65.5 ล้านเหรียญ และสร้างงานได้ถึง 1,300 ตำแหน่งทีเดียว นั่นไง ฮีโร่ตัวจริงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ นี่เอง   นักศึกษาก็ผู้บริโภค ปัจจุบันมีเรื่องร้องเรียนจากนักศึกษาในอังกฤษและเวลส์เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยตัวเอง มากขึ้นร้อยละ 50 รายงานของสำนักงานตุลาการอิสระระบุว่า สาขาวิชาที่มีนักศึกษาร้องเรียนมากที่สุดได้แก่ บริหารธุรกิจ กฎหมาย และแพทย์ศาสตร์ และส่วนใหญ่มักเป็นนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาหรือนักศึกษาต่างชาติ รายงานดังกล่าวตั้งข้อสังเกตว่า การร้องเรียนที่เพิ่มขึ้นนี้แสดงให้เห็นว่านักศึกษาเริ่มมองเห็นตนเองในฐานะ “ผู้บริโภค”มากขึ้น และเริ่มรับ “การศึกษาที่ไม่ได้มาตรฐาน” ไม่ได้ เพราะนักศึกษาทุกวันนี้เริ่มมีหนี้สินมากขึ้น จึงทำให้มีความเครียด และความคาดหวังมากขึ้น   (แม้จะเป็นพียงแค่ร้อยละ 0.05 ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด ซึ่งอาจเป็นเพราะการร้องเรียนนั้นมีขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยาก)   ปีที่ผ่านมามีเรื่องร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 1,007 เรื่อง และ 1 ใน 5 ของเรื่องร้องเรียนเหล่านี้   "เป็นเรื่องที่ฟังขึ้น" ข้อร้องเรียนส่วนใหญ่เกี่ยวกับการที่มหาวิทยาลัยไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนกระบวนการของตัวเองตามที่ได้แจ้งนักศึกษาไว้  ทั้งนี้สำนักงานตุลาการอิสระสามารถตรวจสอบว่ามหาวิทยาลัยได้ให้สิ่งที่สัญญาไว้กับผู้เรียนหรือไม่ แต่ไม่สามารถตรวจสอบเรื่องของการให้คะแนน การตัดเกรด หรือคุณภาพการสอนได้ในปี พ.ศ. 2552 มหาวิทยาลัยเหล่านี้ต้องจ่ายค่าชดเชยไปเป็นจำนวนทั้งสิ้น 163,000 ปอนด์  (ประมาณ 8 ล้านกว่าบาท) ซึ่งเป็นการจ่ายให้กับ การสูญเสียโอกาสในการได้งานทำ โอกาสในการก้าวหน้าทางการงานหรือความเครียด เป็นต้น   นักศึกษาคนหนึ่งได้รับเงินชดเชย 750 ปอนด์ (37,800 บาท) กับการที่ไม่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนเพราะมีคุณสมบัติไม่ครบตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด เขาร้องเรียนว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้แจ้งคุณสมบัตินั้นไว้ให้ชัดเจน อีกรายหนึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่ได้ค่าชดเชยไป 45,000 ปอนด์ (2 ล้าน 2 แสนบาท) จากการที่เขาต้องเสียเวลาไปกับกระบวนการตรวจสอบทางวินัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไปถึง 3 ปีเต็ม -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------   รถ ICE ที่ไม่เย็น คลื่นความร้อนที่เล่นงานประเทศต่างๆในยุโรป นั้นลุกลามเข้าไปถึงห้องโดยสารติดแอร์ของรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งระหว่างเมืองของเยอรมนี Inter City Express (ที่เรียกย่อๆ ว่า ICE) กับเขาด้วยดอยท์ชบาห์น หรือการรถไฟเยอรมนี จึงต้องรับผิดชอบด้วยการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้โดยสารที่ต้องพบแพทย์เพราะอาการเจ็บป่วยอันสืบเนื่องมาจากความร้อนที่ว่า คนละ 500 ยูโร (20,000 บาท) พร้อมกับคืนเงินค่าตั๋วให้ด้วย ขณะนี้มีคนมารับเงินชดเชยไปแล้วถึง 2,200 คน   สื่อเยอรมันรายงานว่าอุณหภูมิในห้องโดยสารนั้นสูงกว่า 50 องศาเซลเซียส ในขณะที่ระบบเครื่องปรับอากาศของตู้โดยสารนั้นสามารถรับมือกับอุณหภูมิได้สูงสุดแค่ 32 องศาเท่านั้น รูดิเกอร์ กรูบ ซีอีโอ ของการรถไฟเยอรมันตั้งคำถามกับประสิทธิภาพของรถไฟที่บริษัทใช้วิ่งอยู่ แต่นายกสมาคมอุตสาหกรรมรถไฟเยอรมนี ปฏิเสธข้อสงสัยดังกล่าว โดยยืนยันว่าบริษัทผู้ผลิตไม่มีทางทำรถไฟไก่กาที่ระบบแย่ๆ ออกมาแน่นอน ปัญหาน่าจะเป็นเพราะการดูแลรักษาที่ไม่ดีพอมากกว่า   อย่างไรก็ตามข่าวเขาบอกมาว่า ด้วยอากาศที่เปลี่ยนไป รถไฟรุ่นหน้าที่จะเข้าประจำการปีหน้านั้นจะทำมาให้สามารถรับมืออุณหภูมิได้ถึง 40 องศาเซลเซียสกันไปเลย@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@   เบียดเบียนคนแก่ สถานีโทรทัศน์ Nos ของเนเธอร์แลนด์ ออกมาแฉว่าเดี๋ยวนี้บรรดาบ้านพักฟื้นหรือบ้านพักคนชราจะเรียกเก็บเงินจากผู้ใช้บริการมากขึ้น ด้วยการเรียกเก็บค่าบริการเล็กๆ น้อยๆ ประปราย เช่น ค่าผลไม้ ค่ากระดาษทิชชู ค่าพาไปเดินออกกำลัง เป็นต้น ที่ต้องแฉก็เพราะว่าบรรดาบริการเหล่านี้ถือเป็นบริการที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของระบบประกันสุขภาพอยู่แล้วนั่นเอง   Nos TV บอกว่า ผู้ป่วยหรือคนชราที่พักอยู่ในสถานบริการเหล่านั้น ต้องจ่ายเงินเพิ่มค่ากาแฟ น้ำอัดลมหรือขนมขบเคี้ยว บางคนถูกเรียกเก็บค่าต่อสัญญาณโทรทัศน์หรือการอาบน้ำเพิ่มอีกหนึ่งครั้ง มีรายหนึ่งที่ต้องจ่ายค่าถุงมือและน้ำยาฆ่าเชื้อที่พยาบาลใช้ด้วย  สำนักงานประกันสุขภาพของเนเธอร์แลนด์บอกว่าได้รับเรื่องร้องเรียนมากขึ้นเกี่ยวกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับใบเรียกเก็บเงินของสถานบริการเหล่านี้ และได้ประกาศให้บรรดาศูนย์บริการเหล่านั้นรีบแก้ไข ไม่เช่นนั้นจะต้องจ่ายค่าปรับ แต่ยืนยันว่ายังไม่มีเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคถูกเก็บเงินเพิ่มเข้ามาเลย  ปัจจุบันในเนเธอร์แลนด์ มีคนที่ใช้บริการบ้านพักเหล่านี้อยู่ประมาณ 260,000 คน ประชาชนชาวดัทช์ทุกคนจะต้องทำประกันสุขภาพที่เรียกว่า AWBZ ที่ตนเองต้องจ่ายเบี้ยประกันในอัตราร้อยละ 12 ของเงินเดือน ซึ่งครอบคลุมการใช้บริการสถานพักฟื้นและบ้านพักคนชราด้วย ขณะนี้มีคน 600,000 คนภายใต้การดูแลของระบบประกันที่ว่านี้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 22,000 ล้านยูโร (ประมาณ 920,000 ล้านบาท) ต่อปี@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@   สวยต้องเสี่ยงลิปสติกสีแดงนั้นท่านว่ามักมีการปนเปื้อนของสารตะกั่ว สาวปากแดงโปรดระวัง องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ได้ทดสอบหาปริมาณสารตะกั่วในลิปสติกสีแดงทั้งหมด 22 ยี่ห้อ และ พบว่า ลิปสติกยี่ห้อคัฟเวอร์เกิร์ลและลอรีอัล นั้นมีตะกั่วปนเปื้อนในปริมาณสูงที่สุด องค์กรผู้บริโภคของนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่ลิปสติกสองยี่ห้อที่ว่ามานั้น ได้รับความนิยมในระดับต้นๆ บอกว่า องค์กรนี้กำลังเรียกร้องให้มีกฎหมายที่บังคับให้มีการแสดงส่วนประกอบรอง (เช่นตะกั่ว) ในเครื่องสำอางไว้บนฉลากด้วย(กฎหมายปัจจุบันกำหนดให้มีการแสดงเฉพาะส่วนผสมหลักเท่านั้น) เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสารตะกั่วด้วย ผู้อำนวยการสมาคมน้ำหอมและเครื่องสำอาง การ์ธ วิลลี่ บอกว่าการทำลิปสติกสีแดงให้ปราศจากตะกั่วนั้นแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และปริมาณสารตะกั่วที่เกิดขึ้นในแต่ละล็อตแตกต่างกันไป บางล็อตอาจไม่มีเลย ในขณะที่บางล็อตก็แทบจะสูงเกินมาตรฐานที่กำหนด   ด้านโฆษกพร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิล ผู้ผลิตลิปสติกยี่ห้อคัฟเวอร์เกิร์ลบอกว่าไม่ได้ใช้สารตะกั่วในการผลิต แต่ที่ตรวจพบนั้นเป็นตะกั่วที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ใช่ปริมาณที่จะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ทางลอรีอัล ก็ยืนยันว่ามีตะกั่วในลิปสติกในปริมาณต่ำมากเช่นกัน นักพิษวิทยา ดร.ไมเคิล บีสลีย์ บอกว่าการจะระบุว่าปริมาณเท่าใดจึงจะเป็นอันตรายนั้นค่อนข้างยาก เพราะการเป็นพิษนั้นมีปัจจัยในเรื่องของการสะสมด้วย แต่ทั้งนี้ในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ได้ประกาศห้ามใช้สารตะกั่วในลิปสติกทุกชนิดแล้ว อ้าว ... เรื่องสวยก็มีสองมาตรฐานกับเขาเหมือนกันหรือนี่

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 163 โทรทัศน์ความคมชัดสูง (UHD TV) ยังล้ำหน้าสำหรับเกินไปสำหรับผู้บริโภคของไทย

โดย ดร.ไพบูลย์ ช่วงทอง เครือข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค ประธานอนุกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสินค้าและบริการตอนนี้การประมูลทีวีดิจิตอลเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังอยู่ระหว่างทดลองออกอากาศในบางพื้นที่ นโยบายแจกกล่อง set top box และราคาคูปองที่จะแจกให้ผู้บริโภค สรุปว่าอยู่ที่ 690 บาท ตามที่องค์กรผู้บริโภคเสนอ สำหรับท่านที่กำลังเลือกซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่ จะเห็นว่าเริ่มมีโทรทัศน์ความคมชัดสูงมาก ที่เรียกว่า Ultra High Definition Television (UHD TV) ดังนั้น ขอเสนอบทความเกี่ยวกับเรื่อง UHD TV ซึ่งทางองค์กรผู้บริโภคของเยอรมนีได้ทำการสำรวจและมีข้อมูลบางประเด็นสำหรับความเหมาะสมทางด้านเทคนิคมานำเสนอ เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่ในยุคดิจิตัลทีวี โทรทัศน์ความคมชัดสูงมาก แบบ UHD นี้ เป็นเทคนิคการรับสัญญาณภาพที่พัฒนาต่อมาจาก โทรทัศน์แบบความคมชัดธรรมดา (Standard Definition: SD) ซึ่งมีความละเอียดของจุดการรับภาพ (Resolution) 0.4 ล้านจุด (pixel) โทรทัศน์แบบความคมชัดสูง (High Definition: HD) มีจุดในการรับภาพ (Resolution) 2 ล้านจุด (pixel)  และโทรทัศน์แบบความคมชัดสูงมากจะมีจุดในการรับภาพ 8 ล้านจุด (3840 x 2160 pixel) ปัจจุบัน สถานีที่ประมูลช่องทีวีดิจิตอลในระบบความคมชัดสูง (Full HD) จะส่งสัญญาณภาพที่ระดับความชัด 2 ล้านจุดเท่านั้น (1920 x 1080 pixel) ในกรณีที่โทรทัศน์แบบ HD Ready จะมีระดับความชัดอยู่ที่ (1280 x 720 pixel) ซึ่งต่ำกว่าแบบ Full HD ในกรณีที่ทางสถานีโทรทัศน์ส่งสัญญาณ แบบ SD หรือ HD ผ่านโทรทัศน์แบบ UHD การแปลงสัญญาณภาพจะทำให้สังเกตถึงความเพี้ยนของภาพได้ เพราะฉะนั้นการรับสัญญาณโทรทัศน์ในขณะนี้ ด้วยโทรทัศน์แบบ HD จึงจะมีความสอดคล้องกับการรับสัญญาณจากสถานีโทรทัศน์มากกว่า คำแนะนำของขององค์กรผู้บริโภคเยอรมันในขณะนี้ คือ คุณภาพของ UHD และ HD แทบไม่ต่างกัน ในขณะที่ ราคาต่างกันมาก เนื่องจากสายตาของคนยังไม่สามารถจับความแตกต่างความคมชัดของภาพระหว่าง UHD และ HD ได้ หากระยะห่างระหว่างจอภาพและผู้ชมรายการไม่ได้ไกลมาก และจอภาพมีขนาดเล็ก   อย่างไรก็ตามโทรทัศน์แบบความคมชัดสูงมากนี้ เหมาะกับรายการโทรทัศน์ที่บันทึกด้วยกล้องความคมชัดพิเศษ ภายใต้เทคโนโลยี 4K โดยในอนาคตอันใกล้นี้ ผู้ให้บริการหนังและวิดีโอออนไลน์อย่าง Amazon Instant Video, Maxdome และ Netfix จะเปิดให้บริการดูหนังและซีรีส์ ผ่าน Video Streaming ภายใต้ความคมชัดสูงมาก ซึ่งเงื่อนไขที่สำคัญในการรับชมผ่านอินเตอร์เนต คือ ความเร็วของอินเตอร์เนตในระบบ 4G โดยจะต้องมีความเร็วอินเตอร์เนตไม่ต่ำกว่า 25 Mbits ต่อวินาที นอกจากช่องทางในการรับชมหนังและภาพยนตร์ผ่านรายการโทรทัศน์ หรือผ่านระบบอินเตอร์เนตแล้ว ก็สามารถรับชมผ่านแผ่น ที่เป็นระบบ UHD ได้เช่นกัน แต่ผู้ชมรายการก็ต้องซื้อเครื่องเล่นที่สามารถเล่นแผ่นได้ในระบบ UHD ด้วยจึงจะได้ภาพที่มีความคมชัดสูงมาก หากมีโทรทัศน์ที่เป็นระบบ UHD แต่เครื่องเล่นแผ่นไม่ได้เป็นระบบ UHD ก็จะไม่เกิดประโยชน์ในการรับชมภาพที่ทีความคมชัดสูง เพราะฉะนั้นผู้บริโภคในเมืองไทยที่ต้องการรับชมรายการที่มีความคมชัดสูง ขณะนี้เครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์ ระดับความคมชัดแบบ HD ก็เพียงพอ และในอนาคตเมื่ออินเตอร์เนตความเร็วสูง หรือ ระบบ 4G เกิดขึ้นในเมืองไทยเมื่อใด เมื่อนั้น โทรทัศน์ แบบ UHD ก็ เป็นทางเลือกในการรับชมภาพความคมชัดสูงมากที่น่าสนใจครับ (ที่มา : วารสาร Test ฉบับ 7/2014)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 179 ‘ประกันสูงวัย’ ประกันเพื่อใคร ?

ดังที่รู้กันอยู่แล้ว สังคมไทยกำลังเผชิญแรงกดดันจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มันหมายถึงกำลังแรงงานที่จะลดน้อยลงซึ่งส่งผลต่อผลิตภาพของประเทศ ภาระในทางสังคมและงบประมาณด้านสวัสดิการที่ต้องเพิ่มขึ้น กรณีตัวอย่างความวิตกที่เห็นชัดก็เช่นกองทุนประกันสังคมที่เริ่มจ่ายเงินบำนาญให้แก่ผู้ประกันตนวัยเกษียณที่จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปีและจะทำให้เงินกองทุนฯ หมดลงอย่างรวดเร็ว ทว่า ในทุกวิกฤตมักมาพร้อมกับโอกาสใหม่ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจค้นหาได้อย่างเชี่ยวชาญ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุถูกเรียกใหม่ว่าเป็น Silver Ages อันหมายถึงกำลังซื้อจำนวนมหาศาลที่จะตามมา ประกันชีวิตเป็นหนึ่งในบรรดาธุรกิจที่จับกลุ่มผู้สูงอายุอย่างเห็นได้ชัด เพราะมองเห็นว่าค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลมีแต่จะสูงขึ้นตามวัยที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงของโรคต่างๆ ที่มาพร้อมกับสังขารที่โรยรา มันจึงตอบโจทย์ได้ตรงเป้า ตรงใจผู้สูงอายุที่ไม่ต้องการเป็นภาระลูกหลานและช่วยผ่อนเบาค่ารักษาพยาบาล     แต่แล้วปัญหาการเอาเปรียบผู้บริโภคก็เกิดขึ้น เมื่อบริษัทประกันชีวิตบางแห่งใช้แต้มคูทางตัวอักษร กฎระเบียบ และความไม่รู้ของผู้บริโภคเป็นเครื่องมือเอาเปรียบ ถึงกระนั้น ปรากฏการณ์ดังกล่าวหาใช่เพียงการเอาเปรียบผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว สิ่งที่ซุกซ่อนภายใต้พื้นผิวคือความไม่เข้าใจในสิทธิสวัสดิการสาธารณะสุขของประชาชน   ธุรกิจประกันสูงวัยบูม ยอดเบี้ยเกือบ 3 พันล้าน    ว่ากันตามหลักการเงินส่วนบุคคล (Personal Finance) การทำประกันชีวิตและประกันภัยจัดเป็นการปกป้องความมั่งคั่ง (Wealth Protection) ที่ควรมี มันเป็นการประกันความเสี่ยงและการมีหลักประกันต่อเหตุไม่คาดคิดซึ่งจะกระทบต่อรายได้และทรัพย์สินของบุคคล เมื่อมองในมุมนี้ การทำประกันจัดเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อลดความเสี่ยงในชีวิต ยิ่งเมื่อความรู้ด้านการเงินแพร่หลายมากขึ้น การทำประกันจึงเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว     ในกลุ่มผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาสุขภาพและต้องการทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ให้ลูกหลานหลังตนเองจากไป ถ้อยคำโฆษณาว่า ‘ไม่ต้องเป็นภาระลูกหลาน’ เป็นถ้อยคำที่จี้ตรงจุดพอดี ผสมโรงกับคำว่า ‘ไม่ต้องตรวจสุขภาพ’ เข้าไปด้วยยิ่งเป็นเหตุให้ประกันสูงวัยได้รับความนิยม     ข้อมูล ณ เดือนมิถุนายน 2558 จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบกิจการประกันภัยหรือ คปภ. ระบุว่า กรมธรรม์ประกันชีวิตสำหรับผู้สูงอายุที่ขายตรงผ่านโทรทัศน์มีจำนวน 207,519 กรมธรรม์ คิดเป็นเบี้ยประกันสะสม 2,305.82 ล้านบาท ส่วนกรมธรรม์ที่ขายผ่านตัวแทนมีจำนวน 74,754 กรมธรรม์ มีเบี้ยประกันสะสม 838.37 ล้านบาท     และดังที่รับทราบผ่านสื่อต่างๆ ว่าเกิดการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคจำนวนมากจนทาง คปภ. ต้องลงมาจัดการ กลยุทธ์การเอาเปรียบผู้บริโภค    กลยุทธ์การโฆษณาประกันสูงวัย ที่มีการนำเสนอด้วยการใช้ดาราที่มีวัยที่อยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 50-70 ปี พูดถึงเรื่องราวที่ประทับใจหรือสะเทือนใจถูกถ่ายทอดออกมาเพื่อให้ผู้คนได้ตระหนักและเห็นความสำคัญของการทำประกันชีวิต ท้ายที่สุดคือการเลือกทำประกันชีวิตกับบริษัทประกันที่ออกโฆษณาผ่านทางโทรทัศน์ด้วยการโทรศัพท์เข้าไปแสดงความจำนงในการทำประกัน        ต้องยอมรับว่า การเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่รู้ของผู้บริโภคเอง เนื่องจากการทำประกันชีวิตมักมีรายละเอียดมากและเป็นภาษากฎหมาย ซึ่งตีความไม่ง่าย ค่อนข้างเข้าใจยาก  ผู้บริโภคส่วนใหญ่เมื่ออ่านไม่เข้าใจ จึงมักไม่อ่านเนื้อหาในกรมธรรม์  อีกทั้งยังแยกไม่ออกระหว่างการทำประกันชีวิตที่เมื่อจ่ายครบตามสัญญาจะได้รับเงินคืนกับการทำประกันสุขภาพที่ไม่ได้เงินคืน นี้เป็นปัญหาที่พบเห็นบ่อย     อีกด้านหนึ่ง บริษัทประกันก็อาศัยช่องว่างของการไม่รู้ การบอกความจริงเพียงบางส่วน  การบอกวงเงินขั้นต่ำเช่น เพียงวันละ ... บาท  และเสนอผลประโยชน์ที่เป็นตัวเลข เพื่อเชิญชวนให้ผู้บริโภคทำประกันผ่านช่องทางสื่อโฆษณา ยกตัวอย่าง การทำประกันชีวิต ที่ไม่ต้องตรวจสุขภาพซึ่งเป็นกรณีที่พบบ่อย กล่าวคือเมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิตภายหลังจากทำประกันไม่นาน ทางบริษัทดำเนินการตรวจสอบประวัติสุขภาพของผู้เอาประกันและพบว่าผู้เอาประกันมีความเจ็บป่วยจากโรคที่ไม่รับประกันอยู่ก่อนทำประกัน   และกล่าวหาว่าผู้เอาประกันปกปิดความจริง จึงปฏิเสธการจ่ายเงิน     ช่องโหว่อยู่ตรงที่การไม่ต้องตรวจสุขภาพเป็นคนละเรื่องกับการแถลงสุขภาพ หมายความว่าถึงแม้การทำประกันนั้น ขณะทำประกันจะไม่ต้องตรวจสุขภาพ แต่หากผู้เอาประกันมีภาวะเสี่ยงหรือมีการรักษาโรคใดอยู่ก่อนก็ต้องให้ข้อมูลด้านสุขภาพของตนแก่ทางบริษัทประกันทราบ ซึ่งเมื่อทางบริษัททราบแล้วย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่รับทำประกันหรือหากบริษัทยอมรับทำประกันแต่ใช้วิธีคิดเบี้ยประกันที่สูงกว่าเดิมก็ได้  เพราะหากไม่แถลงข้อมูลสุขภาพที่เป็นจริง  เมื่อบริษัททราบว่าผู้เอาประกันปกปิด จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้บริษัทบอกเลิกสัญญาได้     การแข่งขันกันของธุรกิจประกันชีวิตที่หันมาทำตลาดผ่านสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ มีหลายรายรูปแบบความคุ้มครอง ตามรูปแบบที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่มีตัวแทนไปนำเสนอรูปแบบกรมธรรม์ประเภทต่างๆ มาเป็นวิธีการเรียกลูกค้าให้เดินเข้ามาทำประกันโดยไม่ต้องผ่านตัวแทน เรียกกันว่าเป็น Direct Marketing   แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันคือ การโฆษณาขายประกัน ที่บอกแต่เพียงเบอร์โทรศัพท์ และคำว่า “ไม่ต้องตรวจสุขภาพและตอบคำถามสุขภาพ ทำได้ง่าย ๆ เบี้ยประกันเริ่มต้นเพียงวันละ ... บาท”   โดยไม่บอกกล่าวว่าเรื่องการต้องแถลงสุขภาพของผู้ซื้อประกันด้วยหรือไม่  จึงทำให้ผู้บริโภคที่ไม่มีความรู้ตรงนี้กลายเป็นเหยื่อ     อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดกรณีที่ว่า ผู้เอาประกันไม่รู้ว่าตนเป็นโรคอะไรอยู่ก่อนการทำประกัน เนื่องจากไม่เคยตรวจสุขภาพเลย ซึ่งก็เกิดคำถามว่า กรณีเช่นนี้ผู้เอาประกันจะมีความผิดหรือไม่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเรียกร้องให้บอกข้อมูลให้ครบถ้วน    นฤมล เมฆบริสุทธิ์ หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) กล่าวว่า  หากในโฆษณาระบุว่าไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องแถลงสุขภาพ ถ้อยคำเหล่านี้ก็ควรปรากฏในใบคำขอหรือกรมธรรม์ด้วย   เนื่องจากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย( คปภ.) ได้มีประกาศเรื่องกำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขในการเสนอขายกรมธรรม์ประกันภัยผ่านทางสื่อโฆษณา ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต พ.ศ. 2556 ข้อ 5 (5) ว่า “ในการโฆษณาที่ระบุว่า “ไม่ต้องตรวจสุขภาพ”  จะต้องมีการระบุให้ชัดเจนด้วยว่าต้องแถลงเกี่ยวกับสุขภาพในใบคำขอเอาประกันภัยหรือไม่ หากมีการแถลงเกี่ยวกับสุขภาพ ต้องระบุเพิ่มด้วยว่า การแถลงสุขภาพเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการพิจารณารับประกันภัยหรือพิจารณาจ่ายเงินตามสัญญาประกันภัย” ซึ่ง จากการตรวจสอบพบว่ายังไม่มีการระบุไว้   “  ขอให้บริษัทประกันแก้ไขโฆษณาให้มีความชัดเจนมากขึ้น เช่น ข้อความที่ไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ    เงื่อนไขการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ควรแจ้งในโฆษณาด้วย โดยเฉพาะข้อกำหนดที่ว่า หากเสียชีวิตภายใน 2 ปีแรก ผู้เอาประกันจะได้รับเงินเบี้ยประกันพร้อมดอกเบี้ยอีก 2-5% หลังจาก สองปีไปแล้ว จึงจะได้รับเงินตามทุนประกัน   หรือถ้าต้องแถลงสุขภาพก็ต้องบอกไว้ในโฆษณา แต่ปัจจุบันไม่มีการบอกกล่าว แค่ให้โทรศัพท์ไป ส่วนรายละเอียดต่างๆ เป็นหน้าที่ของตัวแทนบริษัท  ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าตัวแทนชี้แจง สาระสำคัญของการทำประกันครบถ้วนหรือไม่” วิธีการหนึ่งที่พบเห็นบ่อยเช่นกัน คือการโฆษณาขายประกันที่บอกจำนวนเบี้ยประกันต่อวันที่น้อยที่สุดที่ผู้บริโภคต้องเสีย และบอกจำนวนทุนประกันที่มากที่สุดที่ผู้บริโภคจะได้รับ เช่น  โฆษณาประกันโดย   “ใช้ข้อความ เบี้ยประกันเริ่มต้นเพียงวันละ 7 บาท คุ้มครองชีวิตสูงสุดถึง 200,000 บาท”  มีข้อความตัวเล็กๆ อ่านว่า ภายใต้หลักเกณฑ์การพิจารณารับประกันของบริษัท ชวนให้ตั้งคำถามว่าโฆษณาลักษณะนี้เป็นการโฆษณาเกินจริงหรือหลอกลวงให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดหรือไม่  อาจจะเข้าข่ายโฆษณาจูงใจอันเป็นเท็จหรือเกินความจริงเกี่ยวกับบริษัทหรือธุรกิจประกันชีวิตของบริษัท ตามมาตรา 33 (14) พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 ซึ่งความผิดจากกรณีนี้มีโทษปรับ 5 แสนบาท หากกระทำผิดต่อเนื่องปรับอีกวันละ สองหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ อีกวิธีหนึ่งที่ใช้ประโยชน์จากการที่ผู้บริโภคไม่รู้สาระสำคัญของสัญญาคือการโน้มน้าวให้ผู้บริโภคซื้อประกันหลายฉบับ  เช่น แนะนำให้ผู้เอาประกันซื้อทั้งประกันชีวิตและประกันสุขภาพหลายฉบับ  โดยมิได้ชี้แจงข้อมูลว่าการทำประกันชีวิตจะได้เงินคืนเมื่อมีชีวิตอยู่ครบกำหนดสัญญาและได้รับเงินประกันทุกกรมธรรม์ที่ทำ  แต่การทำประกันสุขภาพเป็นการทำเพื่อให้ผู้เอาประกันใช้สิทธิประโยชน์ในการรักษาพยาบาล  ดังนั้นหลักฐานการเบิกค่ารักษาพยาบาลต้องใช้ฉบับจริงไม่สามารถเบิกซ้ำซ้อนได้  หากมีการทำหลายสัญญาอาจไม่เป็นประโยชน์กับผู้ร้อง    เป็นต้น     ----------------------------------------------------------------------------------------------------------- แบบประกันสำหรับผู้สูงวัยเป็นแบบประกันชีวิตที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับผู้สูงวัยโดยเฉพาะ มีลักษณะสำคัญ ดังนี้    1.ผู้เอาประกันจะต้องมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งอาจมีการกำหนดอายุสูงสุดของผู้เอาประกันไว้ไม่เกิน 70-75 ปี    2.ให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตเป็นหลัก    3.บางแบบประกันชีวิตสามารถซื้อสัญญาเพิ่มเติมได้ ยกตัวอย่างเช่น3.1 สัญญาเพิ่มเติมอุบัติเหตุ ที่ให้ความคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหรือเบิกค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ3.2 สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ที่ให้ความคุ้มครองกรณีเจ็บป่วยด้วยปัญหาสุขภาพหรือโรคร้ายแรง หรืออาจเป็นในลักษณะการจ่ายค่าชดเชยรายวันกรณีพักรักษาตัวในโรงพยาบาล แล้วแต่กรณีตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิต    4.สามารถซื้อได้ภายใต้หลักเกณฑ์การพิจารณารับประกันชีวิตของบริษัทแล้วแต่กรณี ได้แก่ ต้องตรวจสุขภาพ หรือไม่ต้องตรวจสุขภาพแต่ต้องตอบคำถามสุขภาพ หรือทั้งไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ    5.แบบประกันชีวิตที่ไม่ตรวจสุขภาพ จะมีเงื่อนไขว่าหากเสียชีวิตใน 2 ปีแรกของการทำประกันชีวิต บริษัทจะจ่ายเงินเท่ากับเบี้ยประกันภัยที่รับมาแล้ว บวกผลตอบแทนให้ในอัตรา 2-5 เปอร์เซ็นต์ แล้วแต่บริษัท เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นโรคใดๆ มาก่อนทำประกันชีวิต และหากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตในปีที่ 3 เป็นต้นไป ก็จะได้รับเงินเต็มตามจำนวนเอาประกันภัยที่ระบุไว้ในสัญญา    (ข้อมูลจากนิตยสารการเงินการธนาคาร ฉบับที่ 402 ประจำเดือนตุลาคม 2558)ห้ามตายภายใน 2 ปี    นางจิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน ระบุ ที่ผ่านมาพบว่าผู้บริโภคไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ดังที่บริษัทประกัน ชีวิตเคยโฆษณาไว้ผ่านสื่อ   โดยเฉพาะประเด็น บริษัทประกันภัยกำหนดเงื่อนไขในสัญญาว่า กรณีผู้เอาประกันเสียชีวิตในช่วง 2 ปีแรก ให้คืนเบี้ยประกันภัยพร้อมเงินเพิ่มร้อยละ 2-5 ให้กับผู้รับผลประโยชน์ตามสัญญา แต่ถ้าเสียชีวิตในปีที่ 3 เป็นต้นไปจะได้รับเงินคืนทั้งหมด ตามทุนประกัน เงื่อนไขดังกล่าวถือว่าเอาเปรียบผู้บริโภค อันที่จริงแล้ว หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตหลังจาก 30 วัน นับแต่ทำสัญญาประกันชีวิต ซึ่งบริษัทน่าจะได้ตรวจสอบตัวผู้เอาประกันภัยแล้ว  ผู้เอาประกันก็ควรมีสิทธิได้รับเงินคืนทั้งหมดตามทุนประกันที่ทำไว้กับบริษัทประกันชีวิต       ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุ ข้ออ้างเรื่องไม่ตรวจสุขภาพทำให้เกิดการทำประกันชีวิตสูงวัยมากขึ้น เห็นได้จากสถิติการทำประกันประเภทนี้ที่เพิ่มขึ้นจากเดิมมาก นั่นทำให้ความเสี่ยงของบริษัทประกันลดลง ดังนั้นเมื่อจำนวนผู้ทำประกันเพิ่มขึ้นย่อมลดความเสี่ยงต่อบริษัทประกันภัยและบริษัทประกันมีโอกาสในการบอกเลิกสัญญาประกันภายใน 30 วัน ก็ควรให้การคุ้มครองผู้บริโภคหลัง 30 วัน ทันทีหากเสียชีวิต เพราะแม้แต่การทำฌาปณกิจสงเคราะห์ก็ให้ความคุ้มครองหลัง 6 เดือน     คำแนะนำก่อนทำประกัน-คปภ. ต้องทำงานเชิงรุก    ด้านสมาคมประกันชีวิตไทยมีข้อแนะนำในการเลือกซื้อประกันสูงวัย (อันที่จริงน่าจะใช้ได้กับประกันแบบอื่นด้วย) ให้พิจารณาเบื้องต้น ดังนี้    1.ความคุ้มครองและผลประโยชน์ตรงความต้องการหรือไม่    2.ศึกษาข้อจำกัดของผลิตภัณฑ์นั้นให้เข้าใจ    3.ระยะเวลาในการคุ้มครองและระยะเวลาในการจ่ายเบี้ยประกันภัย    4.ค่าเบี้ยประกันภัยเหมาะสมกับกำลังซื้อหรือไม่    5.แบบประกันมีข้อจำกัดหรือข้อยกเว้นอะไรบ้าง    6.สอบถามเจ้าหน้าที่ให้ละเอียดและขอเบอร์ติดต่อไว้    7.เมื่อได้รับเล่มกรมธรรม์แล้วให้ศึกษาและทำความเข้าใจ หากพบว่าไม่ตรงกับความต้องการสามารถขอยกเลิกได้ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับเล่มกรมธรรม์ในกรณีซื้อทางโทรศัพท์ หรือ 15 วัน กรณีซื้อผ่านตัวแทน     ขณะที่คำแนะนำของสมาคมประกันชีวิตไทยมุ่งไปที่ผู้บริโภค ในส่วนของนฤมลก็มีข้อเสนอที่มุ่งไปยังบริษัทประกันและผู้กำกับดูแลอย่าง คปภ. ว่า ควรมีการสรุปสาระสำคัญที่เข้าใจง่ายไว้ด้านหน้าของสมุดกรมธรรม์ เช่น กรมธรรม์ฉบับนี้คุ้มครองอะไรและยกเว้นอะไร ซึ่งขณะนี้มีบางบริษัทเท่านั้นที่มีการสรุปในลักษณะนี้ ต้องระบุการไม่ต้องตรวจสุขภาพและไม่ต้องแถลงสุขภาพไว้ในสมุดกรมธรรม์ กำกับดูแลการโฆษณาตามสื่อต่างๆ ไม่ให้สร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้บริโภค และ คปภ. จะต้องทำงานเชิงรุกและให้ความสำคัญกับการคุ้มครองผู้บริโภคมากกว่าที่เป็นอยู่ -----------------------------------------------------------------------------------------------------------“การตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพมีผลต่อราคาของระบบสุขภาพทั้งระบบ”    การทำประกันต้องแยกแยะระหว่างประกันชีวิตกับประกันสุขภาพที่มีลักษณะแตกต่างกัน เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการจ่ายคืนเบี้ยประกัน เมื่อพิจารณาการประกันสุขภาพ พบว่ามีเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งเพราะสังคมเริ่มเห็นความสำคัญของการมีหลักประกันและเห็นตัวอย่างของค่ารักษาพยาบาลราคาแพงของโรงพยาบาลเอกชน     ประเด็นนี้ชวนให้เกิดคำถามว่า แล้วระบบสวัสดิการสุขภาพที่มีอยู่ไม่ครอบคลุมการรักษาหรือ? หรือว่าคุณภาพไม่ดี? นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ มีข้อมูลและมุมมองน่าสนใจต่อเรื่องนี้     นิมิตร์ กล่าวว่า ความเฟื่องฟูของธุรกิจประกันสุขภาพ ส่วนหนึ่งมาจากความไม่มั่นใจในระบบสวัสดิการสุขภาพของรัฐตามสิทธิที่แต่ละคนมี อีกทั้งการบริการของโรงพยาบาลรัฐที่ด้อยกว่าโรงพยาบาลเอกชน ดังนั้น ผู้ที่มีกำลังซื้อจึงเลือกซื้อประกันสุขภาพเพื่อใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนแทน     ในมิติด้านคุณภาพการรักษา นิมิตร์ อธิบายว่าความจริงแล้ว หลักประกันสุขภาพหรือ 30 บาทรักษาทุกโรคมีระบบการรักษาที่มีคุณภาพดีเพียงพอที่จะดูแลปัญหาสุขภาพของคนได้ โดยร้อยละ 90 ของโรงพยาบาลที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพเป็นโรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งมีขีดความสามารถในการดูแลรักษาไล่เรียงกันไป ตั้งแต่ระดับตำบลถึงจังหวัด เป็นหน่วยบริการที่มีบุคลากรทางการแพทย์ครบทุกสาขาวิชาชีพ มีโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพียงพอ และถ้าเกิดขีดความสามารถก็มีการส่งต่อไปรับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีขีดความสามารถที่สูงขึ้นไปได้     แต่เนื่องจากเป็นบริการที่ดูแลคนจำนวนมากจึงเกิดความไม่สะดวกสบาย ความแออัด ซึ่งเมื่อนำประเด็นนี้ไปเทียบกับโรงพยาบาลเอกชนจึงทำให้ดูด้อยกว่า เพราะการบริการเป็นสิ่งที่มองเห็นแรกสุด นำไปสู่ทัศนคติว่าโรงพยาบาลเอกชนน่าจะมีคุณภาพการรักษาดีกว่า ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงโรงพยาบาลเอกชนไม่ได้มีคุณภาพการรักษาดีกว่าโรงพยาบาลของรัฐ แพทย์ที่ทำงานในโรงพยาบาลเอกชนก็เป็นแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐ แต่ไปทำนอกเวลา หรือลาออกไปจากโรงพยาบาลรัฐ     “เพราะโรงพยาบาลรัฐให้บริการคนจำนวนมาก ความแออัดมากกว่า คนที่มีกำลังพอจะเลือกก็จะเลือกความสะดวก ไม่ต้องจ่ายเวลา แต่คนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังซื้อก็ต้องจ่ายเวลาของตนออกไป นี่คือเหตุที่ทำให้ธุรกิจประกันสุขภาพขายได้”     ประเด็นหนึ่งที่ประชาชนยังไม่ค่อยทราบคือสิทธิการรักษาที่ครอบคลุม ทั้งหลักประกันสุขภาพและประกันสังคม โดยทั่วไปแล้วครอบคลุมการรักษาพยาบาลตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ยกเว้นประกันสังคมที่อาจต้องจ่ายเพิ่มบางส่วน เนื่องจากมีเพดานค่ารักษา     ในกรณีฉุกเฉินจากการเจ็บป่วย ถ้าไปโรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคม ผู้ป่วยไม่ต้องจ่ายค่ารักษา แต่ถ้าเป็นโรงพยาบาลที่ไม่ได้ประกันตนไว้ต้องสำรองค่าใช้จ่าย แล้วนำไปเบิกภายหลัง ถ้าต้องนอนในโรงพยาบาลก็ต้องแจ้งกลับมาที่หน่วยบริการของตนเองภายใน 72 ชั่วโมง ระบบจึงจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ ขณะที่หลักประกันสุขภาพค่อนข้างสะดวกกว่า ถ้าเข้าโรงพยาบาลของรัฐระบบจะเชื่อมข้อมูลเองโดยอัตโนมัติ ผู้ป่วยไม่ต้องสำรองจ่าย เว้นเสียแต่จะไปเข้าโรงพยาบาลที่อยู่นอกระบบหลักประกัน ซึ่งหมายถึงโรงพยาบาลเอกชน กรณีนี้หากค่ารักษาพยาบาลเกินเพดานที่กำหนด ผู้ป่วยต้องจ่ายส่วนที่เกิน     นิมิตร์ ยอมรับว่ายังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่สร้างความไม่สะดวกและบริการที่ไม่เป็นมิตรนักสำหรับประชาชนผู้ใช้บริการอยู่ โดยเฉพาะกับสิทธิประกันสังคม แต่โดยภาพรวมแล้วถือว่ามีคุณภาพเพียงพอสำหรับดูแลคนทั้งประเทศ     ดังนั้น ในมุมมองของนิมิตร์ การซื้อประกันสุขภาพหรือประกันอุบัติเหตุจึงไม่มีความจำเป็น ในทางตรงกันข้าม การซื้อประกันสุขภาพอาจมีผลทำให้ราคาค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้น เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนเห็นอุปสงค์ ก่อให้เกิดการดึงแพทย์ออกจากระบบรัฐด้วยค่าตอบแทนที่สูงกว่า ขณะที่ภาครัฐเองก็ต้องพยายามรักษาบุคลากรของตนด้วยการเพิ่มค่าตอบแทน สุดท้ายแล้วจะดึงให้ค่ารักษาพยาบาลทั้งระบบสูงขึ้น     “การตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพมีผลต่อราคาของระบบสุขภาพทั้งระบบ สิ่งที่เราซื้อไปสร้างดีมานด์และราคาที่ลวงตา ทั้งที่จริงค่ารักษาพยาบาลไม่ควรแพงขนาดนี้”

อ่านเพิ่มเติม >