ฉบับที่ 184 10 ข้อควรรู้ เอาไว้สู้กับพวกทวงหนี้โหด (ตอนที่ 1)

นับตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2558 เป็นต้นมา การทวงหนี้โดยการข่มขู่ ประจาน ทำให้เสียชื่อเสียง ใช้กำลังประทุษร้ายหรือการคุกคามลูกหนี้ด้วยวิธีการสกปรกต่าง ๆ ถือเป็นเรื่องต้องห้าม ผิดกฎหมาย พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 เจ้าหนี้คนไหนฝ่าฝืนมีโทษหนัก ทั้งจำทั้งปรับ  ดังนั้น ใครที่กำลังถูกพวกทวงหนี้โหดคุกคาม คุณควรจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกฎหมายฉบับนี้ให้ดี เพราะมันเป็นเสมือนยันต์เกราะเพชร ที่จะคอยปกป้องคุณจากบรรดาพวกทวงหนี้ขาโหดได้เป็นอย่างดีสาระสำคัญของ พ.ร.บ. การทวงถามหนี้ที่อยากให้คุณรู้ 1. พวกรับจ้างทวงหนี้ ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานกฎหมาย ทนายความ หรือบริษัทรับทวงหนี้ จะต้องจดทะเบียน “การประกอบธุรกิจการทวงถามหนี้” กับทางราชการ เพื่อที่จะกำกับดูแลให้การทวงหนี้อยู่ในกรอบของกฎหมาย หากใครทวงหนี้โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบกิจการ มีโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับข้อมูลสำคัญ...ที่ต้องจำ เมื่อถูกทวงหนี้เจอพนักงานทวงหนี้ครั้งต่อไป อย่าลืมจดข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อ – นามสกุล, ชื่อบริษัทต้นสังกัด, เลขที่ใบอนุญาตประกอบกิจการทวงถามหนี้, หนังสือมอบอำนาจจากเจ้าหนี้,    ที่อยู่ - เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ เพราะหากมีการพูดจาข่มขู่ คุกคาม คุณจะได้มีหลักฐานไว้เล่นงานพวกทวงหนี้นอกรีตเหล่านี้ 2. ห้ามทวงหนี้ในลักษณะที่เป็นการข่มขู่ ใช้ความรุนแรง ทำร้ายร่างกาย ทำให้เสียชื่อเสียง หรือทำลายทรัพย์สินของลูกหนี้รวมทั้งคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับลูกหนี้ด้วย ถ้าฝ่าฝืนมีโทษร้ายแรงมาก คือ จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ...งานนี้นักเลงทวงหนี้ มีสิทธิติดคุกยาว 3. ห้ามทวงหนี้ในลักษณะที่เป็นเท็จหรือทำให้ลูกหนี้เกิดความเข้าใจผิด เช่น จดหมายทวงหนี้ที่ใช้ข้อความว่า อนุมัติฟ้องดำเนินคดี เตรียมรับหมายศาล เตรียมยึดทรัพย์ ถ้าไม่ใช้หนี้จะติด Black List เครดิตบูโร เพื่อจะขู่ให้ลูกหนี้กลัว และที่สำคัญห้ามแอบอ้างให้ลูกหนี้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นการกระทำของศาล หน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่รัฐ โดยใช้เครื่องหมาย ตราสัญลักษณ์ หรือแต่งกายเลียนแบบ ข้อนี้มีโทษหนักมาก จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ4. ห้ามทวงหนี้โดยใช้วาจาหรือภาษาที่เป็นการดูหมิ่นลูกหนี้หรือผู้อื่น ข้อนี้น่าจะช่วยกำจัดพวกทวงหนี้ปากปลาร้าไปได้เยอะเลย เพราะถ้าคุมหมาในปากไม่อยู่ อาจจะต้องถูกปรับหนึ่งแสนบาท หรือต้องไปกินข้าวแดงในคุกฟรี นะจ๊ะอีก 6 ข้อควรรู้ที่เหลือ ติดตามต่อได้ในฉลาดซื้อ ฉบับหน้านะครับ ส่วนใครที่ร้อนใจ เพราะตอนนี้ปัญหาหนี้สินรุมเร้าเหลือเกิน ก็สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ facebook : รู้สู้หนี้ หรือ www. rusunee.blogspot.com

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 183 การแสดงความคิดเห็นในสังคมออนไลน์

ความจำเป็นในการที่ต้องกำกับ ดูแล และตรวจสอบการใช้งาน รวมถึงมาตรฐานจรรยาบรรณจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อสังคมออนไลน์ปัจจุบัน  ในประเทศสิงคโปร์มีการรณรงค์เตือนสติให้ผู้คนหันมายั้งคิดก่อนที่จะถ่ายรูปหรือคลิปไป "ประจาน" คนอื่นในสังคมออนไลน์ และแทนที่จะรีบถ่ายคลิปทำตัวเป็นตำรวจศีลธรรม เขาแนะให้เราถามใจตัวเองก่อนว่าควรจะทำสิ่งที่เหมาะกว่าหรือไม่  การติดต่อสื่อสารทางระบบอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันนั้นมีเว็บไซต์ในลักษณะที่มีวัตถุประสงค์ในการสร้างความสัมพันธ์(Relationship) ระหว่างผู้ใช้ในกลุ่มต่างๆ จนเกิดเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) บนโลกออนไลน์ที่สามารถเชื่อมโยงกันกลายเป็นสังคมเสมือนจริง( Virtual Communities) โดยมีความสัมพันธ์และทับซ้อนกับการดำเนินชีวิตของผู้คนในโลกของความเป็นจริง เครือข่ายสังคมออนไลน์ ประเภทเว็บไซต์ถือว่าเป็นการให้บริการโดยผู้ใช้สามารถสร้างแฟ้มข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งอาจมีลักษณะสาธารณะหรือกึ่งสาธารณะ โดยผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนและเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวของผู้ใช้อื่นๆ ในระบบเครือข่ายสังคมนั้น เว็บไซต์เครือข่ายสังคม เช่น Facebook ,  Line เป็นต้น  ซึ่งมีความแตกต่างกันในแง่ของวัตถุประสงค์ การใช้งาน รวมทั้งรูปแบบและลักษณะ บางเว็บไซต์มุ่งประสงค์ใช้เพื่อทางธุรกิจหรือทางวิชาชีพ ในขณะที่บางเว็บไซต์มุ่งประสงค์ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางสังคมและความบันเทิง บางเว็บไซต์เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นตัวอักษร ในขณะที่บางเว็บไซต์มุ่งประสงค์แลกเปลี่ยนข้อมูลในลักษณะสื่อผสม ซึ่งในแต่ละเว็บไซต์จะมีลักษณะเฉพาะสำหรับการใช้งานแตกต่างกันออกไป และในปัจจุบันมีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตได้อย่างกว้างขวาง ทำให้ความนิยมใช้เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์มิได้จำนวนอยู่เฉพาะการใช้ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น ทำให้การสื่อสารทางเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้คนในยุคสังคมปัจจุบัน รูปแบบการสื่อสารในลักษณะสังคมเครือข่ายนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถเปิดเผยแพร่ข้อมูลส่วนตัว ทั้งที่เป็นตัวอักษร บทความ รูปภาพ รวมทั้งการสนทนาและแสดงความคิดเห็นแลกเปลี่ยนประสบการณ์รวมไปถึงเป็นแหล่งข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ผู้ใช้สามารถช่วยกันสร้างเนื้อหาขึ้นตามความสนใจของแต่ละบุคคล ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ให้บริการ ในความเป็นอยู่ส่วนตัวนั้น เราอาจแยกพิจารณาออกเป็นสองประเภท ประเภทแรก คือความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวกับสิทธิผู้บริโภค เช่น สิทธิในความเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล  ประเภทที่สอง คือความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เช่น การเผยแพร่ภาพหรือข้อความในการแสดงความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์     ขณะเดียวกันผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ก็มีหน้าที่ในการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงออกบนอินเทอร์เน็ต หากเป็นกรณีที่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตที่อยู่บนพื้นฐานของประชาธิปไตย  โดยหลักแล้วสิทธิและเสรีภาพในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของคนเราจะไม่แตกต่างกับสิทธิและเสรีภาพในการใช้สื่ออื่นๆ  เมื่อมีเสรีภาพเกิดขึ้น เป็นที่แน่นอนว่าเขตแดนของเสรีภาพแต่ละบุคคลย่อมจะชนและทับซ้อนกัน ในบางกรณีกลายเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ดูเหมือนว่าเขตแดนของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจะมีมากจนบางครั้งอาจมีมากเกินไปด้วยซ้ำ ความจำเป็นในการที่ต้องกำกับ ดูแล และตรวจสอบการใช้งาน รวมถึงมาตรฐานจรรยาบรรณจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อสังคมออนไลน์ปัจจุบัน  ในประเทศสิงคโปร์มีการรณรงค์เตือนสติให้ผู้คนหันมายั้งคิดก่อนที่จะถ่ายรูปหรือคลิปไปประจานคนอื่นในสังคมออนไลน์ และแทนที่จะรีบถ่ายคลิปทำตัวเป็นตำรวจศีลธรรม เขาแนะให้เราถามใจตัวเองก่อนว่าควรจะทำสิ่งที่เหมาะกว่าหรือไม่  เช่นมีการแชร์ภาพโปสเตอร์แคมเปญของ Singapore Kindness Movement(ขบวนการสิงคโปร์เอื้อเฟื้อ) เป็นภาพผู้ชายกำลังงีบบนเก้าอี้สำรองบนรถโดยสารสาธารณะ โดยมีผู้หญิงที่กำลังท้องกำลังยืนประจันหน้าอยู่ พร้อมกับคำโปรยว่า "จะแชะภาพ หรือแตะไหล่ปลุก - อยู่ที่ตัวคุณว่าจะเอื้อเฟื้ออย่างไร" หมายความว่า แทนที่จะรีบถ่ายรูปประจานชายคนนี้ เราควรปลุกเขาจะดีกว่าไหม?  เพราะอาจมีเหตุผลอื่นนอกจากจะแย่งที่นั่งคนท้องก็เป็นได้              ความเป็นจริงแล้วสังคมออนไลน์ เปรียบเสมือนคำว่า ‘ดาบสองคม’ ที่มีความหมายว่า การกระทำที่อาจเกิดผลดีและผลร้ายได้พอๆ กัน เช่นเดียวกับ หากผู้ใช้งานในสื่อสังคมออนไลน์ได้เล่นสื่อต่างๆ แบบไม่ระมัดระวังคำพูด พาดพิง หรืออาจทำให้ผู้อื่นเสียหาย อาจจะต้องรับผิดทางอาญาตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550  มาตรา 14 บัญญัติว่า      “ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ        (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน       (2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน       (3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา       (4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้       (5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (1) (2) (3) หรือ (4)”              ซึ่งผู้ใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ควรจะรู้และทราบด้วยว่าหากตนเองได้เผยแพร่ภาพหรือกระทำการด้วยวิธีการอื่นใดในสื่อสังคมออนไลน์ประเภทต่างๆ แล้วทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหายอาจจะต้องรับผิดตามกฎหมายฉบับนี้ก็ได้ แต่ทั้งนี้การจะเป็นความผิดได้ก็จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบตามกฎหมายอีกหลายประการด้วยเช่นกัน ทั้งนี้สาระสำคัญอยู่ที่ว่าผู้โพสต์ หรือแชร์ภาพนั้นมีเจตนาที่จะทำให้บุคคลอื่นเสียหายหรือไม่อย่างไรหรือเป็นเพียงแค่การใช้สิทธิของผู้บริโภคเท่านั้นในการแสดงออก  ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้ มีเจตนารมณ์มุ่งเน้นแก้ปัญหาอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์โดยแท้มากกว่า  เพราะไม่สามารถอาศัยบทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับผู้กระทำความผิดได้  เนื่องจากมีองค์ประกอบแตกต่างกัน  แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับพบว่ายังมีบุคคลอีกหลายคนใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นเครื่องมือในการนำมาใช้จัดการเนื้อหาที่เผยแพร่ในสื่ออินเทอร์เน็ตที่เป็นประโยชน์สาธารณะมากกว่า   ทำให้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน              ดังนั้น หากผู้ใช้บริการสื่อสังคมออนไลน์ประสงค์ที่จะใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นผ่านสังคมออนไลน์คงต้องใช้สติก่อนที่จะโพสต์หรือแชร์ต่อไปยังพื้นที่สาธารณะทางออนไลน์ว่า ทำแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภคหรือไม่  เป็นการกระทำโดยมีเจตนาทำให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเสียหายหรือไม่  เป็นการกระทำโดยผ่านกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องแล้วหรือยัง  เป็นต้น  “นิ้วเป็นอวัยวะที่เล็กแต่ก็ทำให้คนติดคุกมาก็หลายคนแล้ว อย่าประมาทนะครับ”  

อ่านเพิ่มเติม >

ฉบับที่ 182 รู้จัก “เครดิตลิมิต” ชีวิต 4G จ่ายไม่เกินร้อย

ข่าวดีของผู้ใช้โทรศัพท์แบบรายเดือนก็คือ คุณสามารถควบคุมค่าใช้บริการได้โดยการกำหนดวงเงินค่าใช้บริการ เครดิตลิมิต (Credit Limit) โดยแจ้งกับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่คุณใช้งานอยู่ว่าต้องการจำกัดวงเงินค่าบริการไว้ไม่ให้เกินกี่บาท ดังนั้นค่าบริการ ไม่ว่าจะเป็น ค่าเน็ต ค่าโทรศัพท์ ค่า sms หรือบางคนอาจจะมีค่าบริการจากการซื้อแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่เรียกเก็บมาในบิล รวมแล้วจะต้องไม่เกินกว่าวงเงินที่คุณกำหนดไว้ โทรศัพท์มือถือ Smart Phone เดี๋ยวนี้ ทำอะไรได้มากมาย นอกจากเป็นโทรศัพท์ เอาไว้ติดต่อ โทรออก-รับสายแล้ว ยังใช้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ท่องเว็บไซต์ เล่นเกมส์ ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นต่างๆ พูดคุยติดต่อสื่อสารกับผู้คนผ่าน Social Network หรือจะช็อปปิ้งซื้อของออนไลน์ก็สามารถทำได้ไม่ยาก จะดูหนัง ฟังเพลง ก็มีให้เลือกจนตาลาย หลายคนใช้แล้วก็ติดใจ เพราะมันทำให้ชีวิตมีสีสัน สะดวกสบาย และสนุกสนาน แต่ก็อย่างที่รู้กันว่า “โลกนี้ไม่มีอะไร ฟรี” ทุกอย่างมีราคาที่เราต้องจ่าย บางคนได้รับบิลค่าโทรศัพท์แล้วแทบจะเป็นลม เพราะถูกเรียกเก็บค่าบริการอินเทอร์เน็ตหลายพัน หลายหมื่น หรือบางรายโดนกันไปเป็นแสนบาท ก็เคยมีมาแล้ว   ปัญหาทำนองนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเจ้าโทรศัพท์ Smart Phone รุ่นใหม่ๆ นี่แหละ ด้วยความที่มันฉลาดแสนรู้ สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เองโดยอัตโนมัติ เพื่อคอยอัพเดท App ต่างๆ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ นอกจากนี้ คนที่มีเพื่อนในโซเชียลเยอะๆ เดี๋ยวคนโน้นอัพรูปขึ้นเฟซบุ๊ค เดี๋ยวคนนี้แชร์คลิปมาในไลน์ เผลอแปล๊บเดียวใช้อินเทอร์เน็ตหมดแล้ว ซึ่งการใช้งานส่วนที่เกินจากแพ็คเกจที่สมัครไว้นี่ ถ้าไม่ได้ซื้อแบบเหมาจ่าย Unlimited บริษัทมือถือจะคิดค่าบริการตามปริมาณข้อมูลที่ใช้งาน ราคาประมาณ 1 -2 บาท/MB ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นของแต่ละค่าย และเป็นแนวโน้มของแพ็คเกจ 4G ที่เราจะไม่ค่อยเห็นโปรโมชั่นเหมาจ่าย Unlimited เพราะโครงข่ายไม่เพียงพอที่จะรองรับลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่มีพฤติกรรมต่อเน็ตทิ้งไว้ตลอดเวลา โปรโมชั่นของ 4G จึงมักจะกำหนดปริมาณข้อมูลที่ลูกค้าสามารถใช้งานได้ เช่น จ่าย 488 บาท เล่นเน็ตได้ 10 GB ส่วนเกินจากนี้คิดตามจริงเป็น MB ตามปริมาณ ซึ่งจะแตกต่างจากลักษณะโปรโมชั่นของ 3 G ที่ผ่านมา ที่เมื่อใช้เกินจะปรับลดความเร็วลงแต่ไม่ได้คิดเงินเพิ่ม ใครที่ใช้โทรศัพท์แบบเติมเงิน ปัญหาก็อาจจะไม่หนักมาก เพราะพอหมดเงินที่เติมไว้ โทรศัพท์มันก็ตัดบริการไปเอง แต่คนที่ใช้แบบรายเดือนจะเสี่ยงหน่อย เพราะค่าใช้จ่ายจะเกิดขึ้นตามการใช้งานของคุณ ซึ่งบอกไว้เลยว่า มือถือ 4G นี่ ยิ่งเน็ตแรงเท่าไร โอกาสที่ค่าบริการจะพุ่งก็มีมากเท่านั้น เพราะยิ่งโหลดไว ผู้บริโภคก็ยิ่งเพลิน ดูหนังฟังเพลงไปเรื่อย อย่างดู youtube นี่ เมื่อคำนวณออกมาจะใช้เน็ตประมาณ 1.5 MB/นาที ถ้าค่าบริการ MB ละ 1 บาท ดู 1 ชั่วโมง ก็ต้องจ่าย 90 บาท แล้วเดี๋ยวนี้คนเราจ้องหน้าจอมือถือวันละกี่ชั่วโมงก็ลองนึกดูแล้วกันครับ ข่าวดีของผู้ใช้โทรศัพท์แบบรายเดือนก็คือ คุณสามารถควบคุมค่าใช้บริการได้โดยการกำหนดวงเงินค่าใช้บริการ เครดิตลิมิต (Credit Limit) โดยแจ้งกับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือที่คุณใช้งานอยู่ว่าต้องการจำกัดวงเงินค่าบริการไว้ไม่ให้เกินกี่บาท ดังนั้นค่าบริการ ไม่ว่าจะเป็น ค่าเน็ต ค่าโทรศัพท์ ค่า smsหรือบางคนอาจจะมีค่าบริการจากการซื้อแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่เรียกเก็บมาในบิล รวมแล้วจะต้องไม่เกินกว่าวงเงินที่คุณกำหนดไว้ เมื่อค่าใช้จ่ายใกล้เต็มวงเงินบริษัทจะโทรศัพท์ หรือ sms มาแจ้งเตือนให้ทราบล่วงหน้า และเมื่อมีค่าใช้จ่ายเกินบริษัทก็จะระงับบริการชั่วคราวเอาไว้ก่อน เพื่อมิให้เกิดค่าใช้จ่ายเกินกว่าวงเงินที่คุณกำหนดไว้ แต่หากวันดีคืนดีเกิดมีค่าใช้จ่ายเกินมา คุณก็สามารถร้องเรียนกับสำนักงาน กสทช. ได้ ซึ่งที่ผ่านมา คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมได้เคยมีมติให้บริษัทมือถือคิดค่าบริการกับผู้ร้องเรียนได้เฉพาะในส่วนที่ไม่เกินกว่าวงเงินที่จำกัดไว้ จริง ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาตั้งแต่สมัย 2G แล้ว เพียงแต่ที่ต้องหยิบมาเล่าให้ฟังอีกครั้งก็เพราะในยุค 4G นี้ โอกาสเกิดปัญหา Bill Shock จากค่าบริการอินเทอร์เน็ตมันจะมีมากกว่า และความเสียหายจะร้ายแรงกว่า ดังนั้นลองหยิบใบแจ้งค่าใช้บริการของคุณมาตรวจสอบดูสิว่า ได้ระบุจำกัดวงเงินค่าใช้บริการไว้ตรงกับที่คุณแจ้งหรือไม่ เพราะเคยมีกรณีที่ผู้บริโภคจำได้ว่ากำหนดวงเงินค่าบริการไว้แค่ไม่กี่ร้อยบาท แต่ถูกเรียกเก็บค่าบริการเป็นพันบาท สอบถามไปจึงได้ความว่า บริษัทเห็นว่าเป็นลูกค้าชั้นดี จึงปรับเพิ่มวงเงินค่าบริการให้โดยพละการ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ปัจจุบัน บริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือแต่ละราย กำหนดเงื่อนไขของเครดิตลิมิตไว้แตกต่างกัน บางค่ายไม่รวมค่าบริการตามแพ็คเกจที่สมัครไว้ เช่น ค่าบริการตามแพ็คเกจ 488 บาท เครดิตลิมิตไว้ 1,000 บาทแบบนี้บริษัทก็จะมีสิทธิคิดค่าบริการได้ในวงเงินไม่เกิน 488 + 1,000 บาท ไม่ใช่ 1,000 บาทถ้วนตามที่เราเข้าใจทั่วไป แต่ส่วนที่เหมือนกันเกือบทุกค่ายก็คือ เครดิตลิมิต นี้จะไม่รวมค่าบริการข้ามแดนอัตโนมัติระหว่างประเทศ (International Roaming) ดังนั้น ลองศึกษาเงื่อนไขจากผู้ใช้บริการของคุณ แล้วกำหนดวงเงินค่าใช้บริการให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้งานโทรศัพท์ของคุณ รับรองว่าคุณจะไม่กระเป๋าฉีกเพราะค่าโทร ค่าเน็ตแน่นอน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 181 ไขความลับ 5 ข้อของสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ

ประเทศไทยยามนี้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ความหดหู่ เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคหดหาย ร้านรวงต่าง ๆ ก็พลอยห่อเหี่ยวตามไปด้วย เศรษฐกิจฝืดเคือง เงินทองขาดสภาพคล่อง หลายคนเริ่มต้องมองหาแหล่งเงินกู้ เอาไว้สำรองในภาวะฉุกเฉิน คนที่มีแก้วแหวนเงินทองของมีค่า ที่พอจะขายหรือจำนำเปลี่ยนเป็นเงินสด ก็ดิ้นรนกันไป แต่ทรัพย์สินอย่างรถยนต์นั้น เป็นของชิ้นใหญ่ที่ไม่ได้ซื้อง่ายขายคล่องเหมือนทองคำ มิหนำซ้ำสำหรับบางคน รถยนต์ คือ เครื่องมือประกอบอาชีพ ขายไปแล้วก็ไม่รู้จะทำมาหากินอะไร ถ้ามีหนทางเปลี่ยนรถเป็นเงินสด เพื่อมาแก้ปัญหาความขัดสนเฉพาะหน้าไปก่อนได้ก็คงดี “ต้องการเงินสด รถคุณกู้ได้ อนุมัติไว ไม่ต้องใช้คนค้ำประกัน แถมยังมีรถขับเหมือนเดิม”    โอ้โห !!! อะไรมันจะวิเศษอย่างนี้ หลายคนคงนึกในใจเวลาที่ได้ยินโฆษณาประเภท รถแลกเงิน เงินติดล้อ คาร์ฟอร์แคช ฯลฯ แหม มันดีเลิศประเสริฐศรี จนอยากจะขับรถไปกู้เงินให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่ช้าก่อน วันนี้ ผมมีความลับ 5 ข้อ ของสินเชื่อประเภทนี้ มาบอกให้คุณรู้ ก่อนตัดสินใจไปกู้เงิน ความลับข้อที่ 1 ธุรกิจสินเชื่อ หรือ เรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ “ธุรกิจปล่อยเงินกู้” ประเภทรถแลกเงินนั้น มีชื่อจริงอย่างเป็นทางการว่า “สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ” เพราะเจ้าหนี้จะเก็บแค่สมุดจดทะเบียนรถไว้เป็นหลักประกัน โดยไม่ได้ยึดรถไว้ ลูกหนี้จึงยังคงมีรถขับตามปกติ ความลับข้อที่ 2 คนที่จะขอสินเชื่อกลุ่มนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่มีชื่อเป็นเจ้าของรถในเล่มทะเบียน จะเป็นรถยนต์ หรือ รถจักรยานยนต์ก็กู้ได้ทั้งนั้น ส่วนคนที่ยังผ่อนไม่หมด รถติดไฟแนนซ์เจ้าหนี้จะไม่ให้กู้     ความลับข้อที่ 3 การจำนำทะเบียนแบบโอนเล่ม แบบนี้คนที่มาขอสินเชื่อจะต้องทำสัญญาขายรถยนต์ของตนเองให้กับเจ้าหนี้ในราคาที่ตกลงกัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดของรถรุ่นนั้น ๆ ที่ซื้อขายกันโดยทั่วไป เมื่อเซ็นสัญญาซื้อขายและโอนเปลี่ยนชื่อเจ้าของรถในเอกสารเล่มทะเบียนเรียบร้อย  เจ้าหนี้ก็จะเอารถที่เราเพิ่งขายไปนั่นแหละ มาให้ลูกหนี้ทำสัญญาเช่าซื้ออีกครั้งหนึ่ง กำหนดให้ผ่อนกี่งวด บวกดอกเบี้ยร้อยละเท่าไรก็ว่ากันไป ถ้าชำระครบ เจ้าหนี้ก็จะโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์กลับมาเป็นของลูกหนี้     ดังนั้น ในระหว่างการผ่อนหนี้จำนำทะเบียนแบบโอนเล่ม คุณต้องรู้ว่า คุณไม่ใช่เจ้าของรถคันนั้นอีกต่อไปแล้ว (แม้ที่ผ่านมาคุณจะผ่อนรถคันนั้นหมดไปแล้วก็ตาม) ตอนนี้คุณเป็นแค่ผู้เช่าซื้อ ดังนั้น ถ้าขาดส่งค่าเช่าซื้อ 2 งวดเมื่อไร เจ้าหนี้ก็มีสิทธิมายึดรถไปได้ และที่สำคัญ ห้ามเอารถคันนี้ไปขายต่อเด็ดขาด เพราะอาจจะถูกแจ้งความดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์ได้     ความลับข้อที่ 4 การจำนำทะเบียนแบบโอนลอย  แบบนี้จะไม่มีการทำสัญญาเช่าซื้อ แต่เจ้าหนี้จะให้ลูกหนี้ทำสัญญากู้เงินและสัญญาซื้อขายรถยนต์แบบโอนลอยแทน คือเซ็นเอกสารสัญญาซื้อขาย เอกสารการโอนต่าง ๆ ไว้ครบถ้วนพร้อมโอนทะเบียนแล้ว เพียงแต่เจ้าหนี้ยังไม่แจ้งเปลี่ยนชื่อเจ้าของในสมุดจดทะเบียน ซึ่งตามกฎหมายสัญญาซื้อขายนี้ เมื่อจ่ายเงินกันแล้วก็ถือว่าสมบูรณ์ กรรมสิทธ์ในรถเป็นของผู้ซื้อ (เจ้าหนี้) แล้ว แม้ว่าชื่อเจ้าของในเล่มทะเบียนยังเป็นชื่อของลูกหนี้ก็ตาม เพราะสมุดจดทะเบียนไม่ใช่หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ ความลับข้อที่ 5 สรุปว่าแม้ชื่อธุรกิจประเภทนี้จะเรียกว่า สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ แต่นิติกรรมสัญญาที่คุณทำกับเจ้าหนี้จริง ๆ แล้ว ถ้าเรียกกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ คุณทำสัญญาขายรถของคุณให้เจ้าหนี้ แล้วเจ้าหนี้ก็เอารถนั้นแหละมาเป็นหลักประกัน ถ้าเกิดเบี้ยวหนี้ขึ้นมาเขาก็ยึดรถคันนั้นได้เลย นี่คือเหตุผลเบื้องหลังว่า ทำไมเจ้าหนี้ สินเชื่อประเภทนี้จึง อนุมัติไว ไม่ต้องการคนค้ำประกัน เพราะ เจ้าหนี้มีความเสี่ยงน้อย แม้จะยึดแค่เล่มทะเบียนไว้ แต่จริง ๆ แล้วเขาได้กรรมสิทธิ์ในรถของลูกหนี้ไปแล้วทั้งคันต่างหาก

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 180 เป็นคนดี เสียภาษีน้อยกว่า รู้ยัง

นับตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 มีนาคม 2559 เป็นช่วงเวลาของการยื่นแบบเพื่อเสียภาษีประจำปี 2558 แฟนๆ ฉลาดซื้อยื่นแบบกันรึยังครับ สำหรับคนที่มีแนวโน้มว่าจะได้เงินภาษีคืน รีบยื่นแบบหน่อยก็ดีนะครับ เพราะหากไปยื่นช่วงโค้งสุดท้ายก็จะต้องรอนานนิดหนึ่ง ส่วนคนที่ดูแล้วว่าอาจจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มหรือไม่ได้เงินภาษีคืน ก็เลยยังนิ่งนอนใจอยู่ ก็อย่าชะล่าใจ เพราะยังไงเกิดเป็นคนไทยมีรายได้ก็ต้องเสียภาษีกันทุกคน ปี 2558 ผ่านไปแล้วยังไงก็แก้ไขไม่ได้ มาเริ่มต้นวางแผนภาษีปี 2559 กันตั้งแต่วันนี้ดีกว่าครับ รับรองว่าปีหน้าคุณจะมีเงินเหลือติดกระเป๋ามากกว่าปีนี้แน่นอน     การวางแผนภาษีนี้ไม่ใช่การหนีภาษีนะครับ เพราะหนีภาษีหรือโกงภาษีนั้นมันผิดกฎหมาย แต่การวางแผนภาษี คือการใช้สิทธิต่าง ๆ มาลดหย่อน เพื่อให้จ่ายภาษีน้อยลง ได้รับเงินภาษีคืนมากขึ้น ซึ่งการวางแผนภาษีนี้ก็มีหลากหลายวิธี แต่คุณรู้ไหมครับว่า “การเป็นคนดี” ก็ช่วยให้คุณเสียภาษีน้อยลง      1. เป็นคนดีมีความกตัญญูเลี้ยงดูพ่อแม่ ลดหย่อนภาษีได้ ถ้าคุณเป็นลูกที่ดีดูแลพ่อแม่ที่แก่เฒ่าอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมิได้ทำงานมีเงินได้หรือมีเงินได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อปี ทั้งพ่อแม่ของคุณหรือพ่อแม่ของแฟนคุณ(กรณียื่นภาษีร่วมกัน) ก็สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ท่านละ 30,000 บาท สำหรับคนที่มีพี่น้องหลายคนก็ต้องพูดคุยตกลงกันนะครับว่าจะให้ใครเป็นคนใช้สิทธิลดหย่อนนี้ เพราะหากพ่อหรือแม่ออกหนังสือรับรองสิทธิลดหย่อนให้ลูกคนใดแล้ว ลูกคนอื่นก็จะมาใช้สิทธิซ้ำอีกไม่ได้     2. เป็นคนดีมีเมตตาดูแลคนพิการหรือทุพพลภาพ หักลดหย่อนได้ถึงคนละ 60,000 บาท ถ้าคุณดูแลคนพิการในครอบครัว (ซึ่งกฎหมายจำกัดสิทธิเฉพาะ คู่สมรส พ่อแม่ ลูกหรือลูกบุญธรรม) ไม่ว่าจะกี่คนก็ตามกฎหมายให้สิทธิลดหย่อนคนละ 60,000 บาท และถ้าคุณรับอุปการะคนพิการอื่น ๆ อีก อันนี้กฎหมายให้สิทธิลดหย่อนได้อีก 1 คน แต่ทั้งนี้ในบัตรประจำคนพิการจะต้องระบุชื่อคุณเป็นผู้ดูแล     3. เป็นคนดีรู้จักเก็บออม ได้สิทธิลดหย่อนภาษี นอกจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่สามารถนำเงินที่จ่ายสมทบเข้ากองทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง ปีละไม่เกิน 10,000 บาทแล้ว ปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่สมาชิกของกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งจ่ายเงินสะสมเข้ากองทุน สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามเกณฑ์เดียวกับที่จ่ายสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ     4. เป็นคนดีมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ บริจาคเงินก็ได้สิทธิลดหย่อนภาษี ถ้าบริจาคให้สถานศึกษาสามารถนำมาหักภาษีได้ถึงสองเท่าของเงินที่บริจาค ส่วนการบริจาคให้องค์กรสาธารณกุศลอื่น ๆ นั้น จะต้องเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ตามประกาศของกระทรวงการคลังจึงจะได้สิทธิลดหย่อนตามจำนวนเงินที่บริจาค แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่าง ๆ แล้ว     ถึงตรงนี้ก็อยากจะเชิญชวนผู้อ่านร่วมกันบริจาคเงินให้ “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” ซึ่งนอกจากคุณจะได้ส่วนลดทางภาษีแล้ว เงินของคุณยังช่วยพัฒนาสังคมให้น่าอยู่ขึ้น ผ่านการทำงานของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งมีกิจกรรมคุ้มครองผู้บริโภคทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ซึ่งในแต่ละปีศูนย์คุ้มครองสิทธิผู้บริโภคของมูลนิธิฯ สามารถช่วยเหลือผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิให้ได้รับการเยียวยาไม่น้อยกว่า 10,000 คน และยังยกระดับการทำงานคุ้มครองสิทธิไปสู่การพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคในภาพรวม อาทิ การเรียกร้องให้โรงพยาบาลเอกชนยุติการเรียกเก็บเงินจากการใช้บริการกรณีฉุกเฉิน หรือการผลักดันให้มีการคิดค่าโทรศัพท์มือถือตามการใช้งานจริงเป็นวินาทีโดยไม่ปัดเศษ ซึ่งจะสามารถช่วยผู้บริโภคประหยัดเงินได้มากกว่า 38,200 ล้านบาทต่อปี รวมทั้ง “ฉลาดซื้อ” ที่อยู่ในมือของท่านผู้อ่านขณะนี้ ก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมการเผยแพร่ข้อมูล ความรู้สู่ผู้บริโภค

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 179 4 วิธี ลดเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ให้อุ่นใจแบบคุ้มค่า

ผู้ที่ขับขี่รถยนต์ คงจะคุ้นหูกับคำว่า พรบ.รถยนต์ ,ประกันภัยชั้น 1 ,ชั้น 3 และคุ้นตากับสติ๊กเกอร์ประกันภัยที่ติดอยู่หน้ากระจกรถ และทุกปีมีหน้าที่จะต้องจ่ายเบี้ยประกันภัยรถยนต์     ถ้าเป็นประกันภัยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถยนต์ ซึ่งกฎหมายบังคับให้รถทุกคันต้องทำประกันภัย เบี้ยประกันก็อยู่ที่ปีละ 650 – 1,000 บาทต้น ๆ ไม่แพงมากนักเพราะกฎหมายควบคุมอัตราเบี้ยประกันไว้     ส่วนประกันภาคสมัครใจ เช่น ประกันภัยชั้น 1 , ชั้น 3 ซึ่งเป็นส่วนเสริมที่ใครจะทำหรือไม่ทำก็ได้นั้น เบี้ยประกันอยู่ที่ปีละประมาณ 5 พันบาทไปจนถึงหลายหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับรถที่คุณใช้ ทุนประกันและความคุ้มครองที่คุณเลือก     ในกรณีที่เป็นรถประเภทเดียวกัน รุ่นเดียวกัน เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมบางคนจ่ายเบี้ยประกันได้ถูกกว่า ทั้งที่ทุนประกันและความคุ้มครองก็ได้รับเท่ากัน นั่นเป็นเพราะแต่ละคนได้รับส่วนลดเบี้ยประกันไม่เท่ากัน การจะได้ส่วนลดมากหรือน้อยนั้น ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นส่งเสริมการขายของแต่ละละบริษัท ว่าต้องการกระตุ้นยอดขายมากขนาดไหน แต่อีกส่วนก็ขึ้นอยู่กับความรู้ของผู้บริโภคว่าจะเท่าทันตัวแทน นายหน้าประกันภัย ขนาดไหน ผมจึงอยากจะแนะนำ 4 เรื่องที่คุณควรรู้เพื่อการลดเบี้ยประกันภัย ให้ได้รับความคุ้มครองแบบอุ่นใจและคุ้มค่าเงินเบี้ยประกันที่ต้องจ่าย      1. ระบุชื่อคนขับให้ชัดเจน ลดได้ 5 -20 % เพราะรถที่ใช้โดยคนคนเดียว ย่อมมีความเสี่ยงน้อยกว่ารถที่ขับกันหลายมือ ดังนั้น รถที่ใช้ในครอบครัว ถ้าระบุชื่อผู้ขับขี่ลงไปในกรมธรรม์จะลดเบี้ยประกันได้ และยิ่งถ้าคนขับมีอายุ มีวุฒิภาวะมากขึ้น ส่วนลดก็จะมากตาม     อายุ 18 -24 ปี ส่วนลดเบี้ย 5%    อายุ 25 – 35 ปี ส่วนลดเบี้ย 10%    อายุ 36 – 50 ปี ส่วนลดเบี้ย 15%    อายุ 50 ปี ขึ้นไป ส่วนลดเบี้ย 20%     แต่ต้องเตือนกันไว้ก่อนนะครับว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วผู้ที่ขับขี่รถยนต์ไม่ใช่ผู้ที่มีชื่อระบุไว้ในกรมธรรม์ แบบนี้จะประกันจะไม่จ่ายค่าเสียหายส่วนแรกในวงเงินไม่เกิน 8,000 บาท     2. ขับดี มีส่วนลด 20 -50 % การขับขี่รถอย่างระมัดระวัง ไม่เกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดเหตุแต่คุณมิได้เป็นฝ่ายผิด คุณมีสิทธิได้ส่วนลดเบี้ยประกันจากการมีประวัติที่ดี และส่วนลดจะเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับในปีถัด ๆ ไป     ขับดีปีแรก ได้รับส่วนลด 20% เมื่อต่ออายุประกันปีต่อไป     ขับดี 2 ปีติดต่อกัน รับส่วนลด 30%     ขับดี 3 ปีติดต่อกัน รับส่วนลด 40%    ขัดดี 4 ปีติดต่อกัน รับส่วนลด 50%    เพื่อรักษาเครดิตส่วนลดนี้ บางครั้งการเกิดอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงอาจจะยังไม่จำเป็นต้องเคลมประกัน หากคำนวณแล้วว่าการซ่อมเองคุ้มกว่าส่วนลดเบี้ยประกันที่ได้รับ     3. รวมรถ ลดได้อีก 10% ถ้าคุณมีรถยนต์หลายคัน การทำประกันรถยนต์แบบกลุ่มตั้งแต่ 3 คันขึ้นไป สามารถขอส่วนลดได้อีก 10%     4. รับความเสี่ยงไว้เองบางส่วน จ่ายเบี้ยน้อยกว่า หรือที่ภาษาประกันเรียกว่า การกำหนดค่าเสียหายส่วนแรก หมายความว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุที่คุณเป็นฝ่ายผิด คุณจะร่วมรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย ในวงเงินที่กำหนดไว้ เช่น ถ้าคุณกำหนดค่าเสียหายส่วนแรกไว้ 5,000 บาท เมื่อเกิดอุบัติเหตุต้องซ่อมรถที่เสียหายเป็นเงิน 20,000 บาท คุณจะต้องจ่ายเงินค่าซ่อมเองก่อน 5,000 บาท ประกันถึงจะจ่ายส่วนที่เหลือ     การกำหนดค่าเสียหายส่วนแรกในลักษณะนี้ ก็สามารถเอามาเป็นส่วนลดเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายได้เช่นกัน            อย่างไรก็ตาม ความมั่นคงของบริษัทประกันภัยก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด ไม่มีประโยชน์ที่จะทำประกันภัยรถยนต์ราคาถูก ๆ กับบริษัทที่ไม่มั่นคงแต่พอถึงเวลาแล้วเคลมไม่ได้ อู่ซ่อมไม่มีมาตรฐาน พนักงานบริการแย่ เพราะมันจะได้ไม่คุ้มเสียนะครับ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 177 บัตรเครดิต บัตรเดบิต ความเหมือนที่แตกต่าง

ในบรรดาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เราคุ้นเคยกัน เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ทุกวันนี้จะต้องมีบัตรเครดิต(Credit) หรือบัตรเดบิต(Debit) พกติดกระเป๋าสตางค์อยู่อย่างน้อยคนละหนึ่งใบ     ดูเผิน ๆ บัตรทั้ง 2 แบบนี้ก็หน้าตาคล้ายกัน ใช้รูดซื้อของหรือกดเงินสดได้เหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วบัตรเครดิต และบัตรเดบิต เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีพื้นฐานต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าหนี้ – ลูกหนี้    เวลาที่คุณใช้บัตรเครดิตรูดซื้อเสื้อผ้าหรือเติมน้ำมันนั้น หมายความว่าคุณได้ทำสัญญาขอกู้ยืมเงินจากธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตให้ช่วยสำรองจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการต่างๆ ให้ร้านค้าที่ใช้บริการไปก่อน แล้วเมื่อถึงกำหนดเวลาคุณจะเอาเงินไปจ่ายคืนในทางกฎหมายคุณจึงมีฐานะเป็น “ลูกหนี้” ดังนั้น แม้ว่าจะไม่มีเงินฝากกับธนาคารเจ้าของบัตร แต่คุณก็สามารถใช้บัตรเครดิตซื้อของได้ในวงเงินที่เจ้าหนี้ประเมินแล้วว่าคุณจะสามารถนำเงินมาจ่ายคืนได้     ส่วนการใช้บัตรเดบิตนั้นจะเป็นไปในทางตรงกันข้าม คือ คุณต้องมีบัญชีเงินฝากกับธนาคารเจ้าของบัตร เมื่อใช้บัตรเดบิตชำระค่าสินค้านั่นก็คือ คุณกำลังสั่งให้ธนาคารโอนเงินจากบัญชีของคุณไปให้กับร้านค้าที่คุณใช้บริการ ซึ่งถ้าเงินในบัญชีมีน้อยกว่าราคาของที่จะซื้อ คุณก็ไม่สามารถใช้บัตรเดบิตทำรายการนั้นได้ การใช้บัตรเดบิตจึงไม่เป็นการก่อหนี้ เครดิต – ความน่าเชื่อถือ    การสมัครบัตรเดบิตนั้น เพียงคุณมีบัญชีเงินฝากกับธนาคารคุณก็สามารถใช้บริการได้แล้ว ส่วนการสมัครบัตรเครดิตนั้นจะยุ่งยากกว่า เพราะคุณต้องแสดงหลักฐานว่า คุณมีรายได้เท่าไร หน้าที่การงานมั่นคงหรือไม่ เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าหนี้บัตรเครดิตว่า คุณจะสามารถนำเงินมาชำระคืนได้ดังนั้น ใครที่มีบัตรเครดิตใช้ ก็แสดงว่าคุณมีความน่าเชื่อถือเพียงพอที่เจ้าหนี้เขาจะให้กู้เงิน ซึ่งถ้าบริหารหนี้เป็น ก็จะได้รับประโยชน์เช่น โทรทัศน์ราคา 20,000 บาท ใช้บัตรเครดิตผ่อน 0% แบ่งจ่ายได้ 10 เดือน แต่สำหรับบัตรเดบิตคุณไม่สามารถใช้ผ่อนสินค้าแบ่งจ่ายเป็นงวด ๆ ได้ ต้องถูกหักบัญชีเต็มจำนวนทันที หรือถ้าคุณมีเงินในบัญชีไม่ถึง 20,000 บาท คุณก็ใช้บัตรเดบิตรูดซื้อโทรทัศน์เครื่องนี้ไม่ได้ ความเสี่ยงภัย เมื่อบัตรถูกโจรกรรม    บัตรเดบิตนั้น ผูกติดกับบัญชีเงินฝากของคุณ นั่นหมายความว่า ใครก็ตามที่เอาบัตรเดบิตของคุณไปรูดซื้อสินค้า เงินในบัญชีก็จะถูกตัดไปทันที ซึ่งถ้าอยากได้เงินคืน คุณก็ต้องขวนขวายไปติดต่อธนาคารหาหลักฐานต่าง ๆ มายืนยัน ซึ่งถ้าการเรียกร้องเงินคืนยุ่งยากเท่าไร คุณก็ยิ่งเสียเปรียบเท่านั้น จนบางครั้งอาจจะท้อใจ ไปกับระยะเวลาที่เนิ่นนานและค่าใช้จ่ายในการร้องเรียนที่สูงเกินกว่ามูลค่าเงินที่หายไป     ในขณะที่การใช้บัตรเครดิตนั้น เป็นธุรกรรมที่ธนาคารได้ออกเงินทดรองจ่ายไปก่อนตามที่มีรายการแจ้งมา ดังนั้น เมื่อบัตรถูกขโมยไปใช้ คุณก็มีหน้าที่แค่แจ้งธนาคารว่า ไม่ได้เป็นคนใช้บัตรเครดิตทำรายการนั้น ถ้าธนาคารไม่เชื่อก็ต้องหาทางพิสูจน์เองว่าใครเป็นคนใช้บัตรเครดิต หรือหาทางฟ้องร้องเพื่อเรียกเก็บเงิน ซึ่งเป็นภาระของธนาคาร แม้จะทำให้คุณต้องวุ่นวายอยู่บ้าง แต่ก็ยังดี เพราะว่าคุณยังไม่ต้องเสียเงินจากกระเป๋า     ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม    บัตรเดบิตนั้นเป็นการใช้เงินจากบัญชีของคุณเอง ดังนั้น จึงไม่มีการคิดดอกเบี้ยจากการรูดซื้อสินค้า ส่วนบัตรเครดิตนั้นเป็นการกู้ยืมเงินทดรองจ่าย จึงต้องเสียดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินตามจำนวนที่คุณใช้ แต่บัตรเดบิตส่วนใหญ่ ก็จะคิดค่าธรรมเนียมอื่นๆ จากผู้ถือบัตร เช่น ค่าธรรมเนียมแรกเข้า ค่าธรรมเนียมรายปี ค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินข้ามเขตหรือเบิกถอนเกินจำนวนครั้งที่กำหนด จะหยิบบัตรไหนมาใช้ในครั้งต่อไป ก็เลือกให้ดี คิดให้รอบคอบนะครับ  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 175 รถติดไฟแนนซ์ ห้ามเบี้ยว ห้ามทำหาย ห้ามขายต่อ

เศรษฐกิจฝืดเคืองเยี่ยงนี้ ใครที่ผ่อนรถยนต์คันแรกอยู่แล้ว เริ่มช็อต หมุนเงินไม่ทัน โปรดอ่านโดยพลัน 1.    ถ้าคุณทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์ แล้วอยู่ในระหว่างผ่อนค่างวดอยู่ โปรดรู้ว่าคุณยังไม่ใช่เจ้าของรถคันนั้นอย่างแท้จริง เพราะตามกฎหมายคุณเป็นแค่ “ผู้เช่าซื้อ” ซึ่งมีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถเท่านั้น ตราบใดที่คุณผ่อนหมดนั่นล่ะคุณถึงจะได้รับโอนกรรมสิทธิ์2.    การผิดนัดชำระหนี้ค่าเช่าซื้ออาจเกิดขึ้นได้ในภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด คุณอาจจะค้างค่างวด หรือจ่ายค่างวดช้าไปบ้างก็ไม่เป็นไร แต่จำไว้ว่า “ห้ามเบี้ยว ผิดนัดจ่ายค่าเช่าซื้อ 3 งวดติดต่อกัน” เพราะไฟแนนซ์อาจใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา แล้วมายึดรถคืนไปได้ ถ้าหากไฟแนนซ์ไหน เขียนสัญญาเช่าซื้อต่างไปจากนี้ ก็ไม่มีผลในทางกฎหมาย เพราะ สคบ.เขามีประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจควบคุมสัญญา พ.ศ. 2555 คุ้มครองผู้เช่าซื้ออยู่ 3.    ในฐานะผู้เช่าซื้อ ผู้ครอบครองรถ คุณต้องใช้สอย ดูแลรักษารถยนต์ที่เช่าซื้อมาให้ดี “ห้ามทำหาย” แต่ถ้าเกิดโชคร้ายจริง ๆ รถที่เช่าซื้อมาถูกขโมยไป คำถามที่พบบ่อยก็คือ แล้วจะต้องจ่ายค่างวดที่เหลือต่อจนครบสัญญาไหม ข้อนี้ในทางกฎหมาย(ประกาศ สคบ. ฉบับข้างต้น) บอกเลยว่า ถ้ารถที่เช่าซื้อมาหายไป ก็ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเป็นอันสิ้นสุด คุณไม่ต้องผ่อนกุญแจรถต่อ แต่อย่าเพิ่งสบายใจไป คุณยังต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับไฟแนนซ์อยู่ดี 4.    สำหรับคนที่ผ่อนต่อไม่ไหวแล้วคิดจะเอารถไปขายต่อคนอื่น ขอให้ทบทวนให้ดี เพราะคุณในฐานะคนเช่าซื้อไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ จึงไม่มีสิทธิเอารถไปขายคนอื่นได้ ถ้าเจ้าหนี้เขารู้ขึ้นมา คุณอาจโดนคดีอาญาข้อหายักยอกทรัพย์ได้ ดังนั้น “ห้ามขาย” รถติดไฟแนนซ์แต่ถ้าเป็น “การขายดาวน์” หรือ “ขายสิทธิการเช่าซื้อ” หาคนมาผ่อนรถต่อจากคุณแบบนี้ ทำได้นะครับ แต่ต้องแจ้งไฟแนนซ์ให้รับรู้และทำสัญญาใหม่แก้ไขเปลี่ยนตัวผู้เช่าซื้อให้ถูกต้อง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 174 หลักประกันสุขภาพ

1. การลงทะเบียนสิทธิหลักประกันสุขภาพ (สิทธิบัตรทอง) ต้องทำอย่างไรเอกสารลงทะเบียน1)    สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน  สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ใช้สำเนาสูติบัตร (ใบเกิด)2)    สำเนาทะเบียนบ้าน หรือ หนังสือรับรองการพักอาศัยสถานที่ลงทะเบียน ในวันเวลาราชการต่างจังหวัด : สถานีอนามัย/โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)/โรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดกรุงเทพฯ : ติดต่อที่สำนักงานเขตกรุงเทพมหานคร             สอบถามเขตที่เปิดให้บริการ โทร.สายด่วน สปสช.1330การลงทะเบียนคนพิการ (ท.74)คนพิการผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพที่ยังไม่ได้ระบุสิทธิย่อย ท.74 ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  ต้องนำในรับรองความพิการจากแพทย์หรือแสดงบัตรคนพิการตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ พ.ศ. 2550  ลงทะเบียน ณ สถานที่รับลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิฟื้นฟูสมรรถภาพได้2. การขอเปลี่ยนหน่วยบริการประจำ ต้องทำอย่างไร         หน่วยบริการ  หมายถึง โรงพยาบาล สถานีอนามัย สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ ศูนย์บริการสาธารณสุข  สถานพยาบาลของเอกชนที่ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหน่วยบริการปฐมภูมิ/หน่วยบริการประจำ  หมายถึง  หน่วยบริการที่ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพเลือกลงทะเบียนเพื่อรับบริการสาธารณสุขเป็นประจำ  โดยทั่วไปจะเป็นหน่วยบริการที่มีสถทนที่ตั้งใกล้เคียงกับที่พักอาศัยของผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพการขอเปลี่ยนหน่วยบริการประจำ   นำบัตรประจำตัวประชาชน ติดต่อด้วยตนเองได้ที่สถานีอนามัย/โรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน  หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด  หรือสำนักงานเขตของกทม.ที่เปิดรับลงทะเบียนในวันเวลาราชการ  โดยมีสิทธิเปลี่ยนหน่วยบริการประจำได้ไม่เกิน 4 ครั้งต่อปีงบประมาณ (ตุลาคมถึงกันยายนของปีถัดไป)การเข้ารับบริการ ณ หน่วยบริการแห่งใหม่ สามารถใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพ (สิทธิบัตรทอง) ได้หลังแจ้งความจำนงเปลี่ยนหน่วยบริการประมาณ 1 เดือน  โดยสามารถตรวจสอบสิทธิได้ที่สายด่วน สปสช. 1330

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 173 ระวังหนี้เพิ่มจาก โปรโมชั่น ผ่อน 0%

เศรษฐกิจยามนี้ ฝืดเคืองเหลือเกิน เมื่อคนไม่ซื้อของ ห้างร้านต่าง ๆ ก็ต้องัดกลวิธีทุกวิถีทางเพื่อเรียกลูกค้า หนึ่งในกลยุทธ์ที่เห็นบ่อย ๆ ก็คือ “ผ่อนดอกเบี้ย 0%” ซึ่งเดี๋ยวนี้ เราสามารถใช้บัตรเครดิตผ่อน 0% ได้เกือบ ทุกสรรพสิ่ง ตั้งแต่ โทรศัพท์ , TV , ตู้เย็น , ยางรถยนต์ ไปจนกระทั่งทัวร์ยุโรป เกาหลี ญี่ปุ่น ก็ยังมีโปรผ่อน 0%       “Oh Wow อะไรมันจะดีอย่างนี้ ผ่อน 0% ตั้ง 10 เดือน จ่ายน้อย ผ่อนนาน ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย โอกาสแบบนี้รีบคว้าเลย” หลายคนตาเป็นประกาย เตรียมหยิบบัตรเครดิตออกมารูดแล้วใช่ไหม แต่ช้าก่อน ลองทบทวนดูอีกทีว่า “โปรผ่อน 0%” นี้จะเป็น โอกาสทอง หรือ กับดัก ตัวอย่าง เช่น Smartphone รุ่นใหม่ ตัว Top ราคา 24,000 บาท มีโปรโมชั่นให้ผ่อนได้นาน 12 เดือนดอกเบี้ย 0% เมื่อจ่ายผ่านบัตรเครดิต แว๊บแรกในความคิดแรกของคนทั่วไปเมื่อเห็นโปรโมชั่น 0% แบบนี้คือ โทรศัพท์ราคา 24,000 บาท ผ่อน 12 เดือน ไม่เสียดอกเบี้ย ก็แบ่งจ่ายแค่เดือนละ 2,000 บาท แต่สิ่งที่เรามักมองข้ามไปคือ เราไม่ได้ใช้บัตรเครดิตแค่รายการเดียวน่ะสิ แต่ละเดือนเราอาจจะใช้บัตรเครดิตรูดซื้อเสื้อผ้า จ่ายค่าน้ำมันรถยนต์ ค่าอาหารร้านอร่อย ค่าไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ฯลฯ รวมกันหลายรายการ สมมุติว่า ผ่อน Smartphone 2,000 บาท + กินใช้อื่น ๆ 5,000 บาท ยอดที่เรียกเก็บมาในเดือนนั้นจะเท่ากับ 7,000 บาท และโดยปกติบัตรเครดิต จะกำหนดยอดขั้นต่ำเท่ากับ ยอดผ่อนสินค้าบวกกับ 10% ของยอดที่ใช้บัตร จากตัวอย่างก็จะเท่ากับ 2,500 บาท (2,000 + 10% ของ 5,000) 1.    ถ้าคุณชำระเต็มตามยอดที่เรียกเก็บมาทั้งหมด แบบนี้คุณก็จะไม่ต้องเสียดอกเบี้ยใด ๆ ทั้งสิ้น2.    ถ้าคุณชำระเต็มตามจำนวนที่เรียกเก็บไม่ได้ ก็ขอให้จ่ายเกินกว่าหรือเท่ากับยอดขั้นต่ำที่เรียกเก็บมา 2,500 บาท เพราะกรณีนี้ แม้คุณจะยังต้องเสียดอกเบี้ยในส่วนที่คุณรูดบัตรเครดิตเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งยังชำระไม่ครบ แต่ในส่วนยอดผ่อน Smartphone 0% ก็ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย3.    แต่ถ้าคุณผิดนัดไม่จ่ายหนี้ หรือชำระได้น้อยกว่ายอดขั้นต่ำ เช่น 2,000 บาท แม้จะเท่ากับยอดผ่อน 0% ที่เรียกเก็บมา แต่กรณีนี้คุณจะถูกคิดดอกเบี้ยทั้งในส่วนที่ผ่อน Smartphone แม้จะมีโปรโมชั่น 0% และเสียดอกเบี้ยในส่วนที่ใช้บัตรเครดิตรูดจ่ายค่ากินใช้อื่น ๆ ด้วยสรุป มีเพียงกรณีเดียวที่คุณจะได้รับประโยชน์จากโปรโมชั่น “ผ่อน 0%” อย่างเต็มที่ นั่นคือ ต้องชำระเต็มตามจำนวนที่บัตรเครดิตเรียกเก็บทุกครั้ง และที่นี้รู้ยังว่า บริษัทบัตรเครดิตทำกำไรได้อย่างไรจาก “โปรโมชั่นผ่อน 0%”  เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส สร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจควักกระเป๋าได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็มีโอกาสทำกำไรจากการคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมจากการใช้บัตรเครดิต

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 172 ความประมาทเป็นหนทางสู่ความตาย ... อย่างช้าๆ

งานสำรวจของสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค Consumers International พบว่า คนส่วนใหญ่ยังคงประเมินอันตรายจากการกินอาหารหวาน มัน เค็ม ต่ำเกินไป ข้อมูลของสถาบันการประเมินและเมตริกสุขภาพที่ศึกษาข้อมูลการศึกษาภาระที่จากโรค ในปี 2010 พบว่า การกินแบบตามใจปากนั้นเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตของผู้คนถึง 11.3 ล้านคน และทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 675,000 ล้านบาท) จำนวนประชาการที่เสียชีวิตเพราะ “อาหารการกิน” นั้นอาจสูงกว่าสงคราม การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ เอชไอวี/เอดส์ หรือมาลาเรียด้วยซ้ำ    Consumers International ได้สำรวจการรับรู้ผลกระทบของนิสัยการรับประทานอาหารที่ไม่ดีของผู้บริโภคใน 6 ประเทศ (เนเธอร์แลนด์ อเมริกา จีน บราซิล อินเดีย และอียิปต์) จำนวน 2,988 คนผ่านการตอบแบบสอบถามออนไลน์ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาข้อค้นพบที่น่าสนใจคือ ผู้คนมากกว่าร้อยละ 80 ไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาภาวะโภชนาการไม่ดี เมื่อเทียบกับสาเหตุการตายอื่นๆ คุณคิดว่าสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของผู้คนทั่วโลกคืออะไร       ในภาพรวม สิ่งที่ผู้คนในแต่ละประเทศเชื่อว่าสาเหตุการตายอันดับหนึ่งคือ สงคราม ตามด้วยการสูบบุหรี่ และอาหารการกิน แต่ถ้าดูเป็นรายประเทศจะพบว่าผู้คนในประเทศจีน เนเธอร์แลนด์ และบราซิล เชื่อว่าสาเหตุการตายอันดับหนึ่งคือสงคราม  ในขณะที่คนในประเทศอียิปต์ อินเดีย และอเมริกาเชื่อว่าสาเหตุการตายอันดับหนึ่งคือการสูบบุหรี่      คุณคิดว่าอาหารการกินที่ดีมีความสำคัญต่อตัวคุณและครอบครัวมากน้อยเพียงใด    โดยรวมแล้วผู้คนมากกว่าร้อยละ 75 ตอบว่าสำคัญมาก มีเพียงอเมริกาและเนเธอร์แลนด์เท่านั้นที่ผู้คนแค่ประมาณร้อยละ 50 ตอบว่าเรื่องนี้สำคัญมาก จึงนำไปสู่การสอบถามเรื่องการรณรงค์ และเป็นที่น่ายินดีที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังให้การสนับสนุนการรณรงค์เพื่อส่งเสริมให้เกิดการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น เมื่อทราบข้อมูลเรื่องอันตรายที่แท้จริงจากอาหารการกินที่ไม่ดีแล้ว ท่านยินดีที่จะสนับสนุนการรณรงค์ลดระดับน้ำตาล เกลือ และไขมันในอาหารหรือไม่        

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 171 หลักประกันสุขภาพ

เมื่อวันที่  2-3  มีนาคม 2558  สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ( สปสช.) ได้จัดกิจกรรม เรื่อง  การคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคด้านสุขภาพในระดับท้องถิ่น ขึ้น ณ โรงแรมประจักษ์ตรา  อำเภอเมือง  จังหวัดอุดรธานี  โดยร่วมกับ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์  อุดรธานี  สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จัดกิจกรรมเสวนาให้ความรู้ และแลกเปลี่ยนการทำงานในพื้นที่ภาคอีสาน  โดยกลุ่มเป้าหมายนำร่องที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ได้แก่ ตัวแทนองค์การบริหารส่วนตำบล ในจังหวัดภาคอีสานตอนบน จำนวน  24 แห่ง  จาก 9 จังหวัด  ได้แก่ จ.อุดรธานี สกลนคร หนองบัวลำภู หนองคาย  เลย  นครพนม  มหาสารคาม  กาฬสินธุ์ และ ร้อยเอ็ด  วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมดังกล่าวเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในด้านสิทธิผู้บริโภค เสริมพลังในการทำงานของภาคีเครือข่ายให้ตระหนักและเข้าใจในเรื่องสิทธิผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น  เพื่อจะได้ช่วยกันพัฒนากลไกคุ้มครองผู้บริโภคระดับท้องถิ่นขึ้นมา โดยนายแพทย์วีระวัฒน์  พันธุ์ครุฑ   รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ได้กล่าวในการเปิดงานว่า  “ การทำงานคุ้มครองผู้บริโภค  ก็เปรียบเสมือน การเล่นฟุตบอล ประกอบไปด้วย ผู้บริโภค ซึ่งต้องคิดไตร่ตรองการตัดสินใจ    หน่วยราชการ ผู้รับผิดชอบในการดูแลควบคุมผู้ประกอบการ    องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ใกล้ชิดกับประชาชนสามารถดูแลช่วยเหลือผู้บริโภคได้ง่ายที่สุด   โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ในอนาคตอาจเป็นองค์กรที่ดูแลผู้บริโภคโดยตรง  และยังมีกลไกอื่นๆ ที่ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน ทั้งสมาคม  มูลนิธิ “นอกจากกิจกรรมเสวนาภายในโรงแรมแล้ว ยังมีกิจกรรมเสริม คือการดูงานในสองพื้นที่ ที่มีการทำงานที่แตกต่างกัน พื้นที่แรก ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบลวังทอง  อำเภอนาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู (พื้นที่ต้นแบบ)  ความโดดเด่นของ อบต.แห่งนี้คือ การมีห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์( Lab ) สำหรับตรวจสารเคมีในผักที่ขายในท้องถิ่นเป็นของตนเอง  โดยความคิดริเริ่มของท่านนายก อบต.คุณคมกริช    สีอาจ ที่มีความคิดว่าจะทำอย่างไร ให้พื้นที่ส่วนนี้ลดการใช้สารเคมี     จึงเริ่มนำโครงการผักปลอดสารพิษเข้าสู่ระดับจังหวัด  เก็บข้อมูลและเริ่มหาแนวทางในการลดการใช้สารเคมีในพื้นที่ ต่อมาก็เริ่มก่อตั้งห้อง LAB วิทยาศาสตร์ ขึ้นเพื่อทำการตรวจสอบผักหาสารเคมีตกค้าง  โดยมีอาสาสมัครชุมชน เป็นผู้ดำเนินการภายใต้การอบรมของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อุดรธานี  ซึ่งหลังจากดำเนินงานหลายสิบปี พบว่าชาวบ้านให้ความสนใจและถ้าไม่มั่นใจว่าอาหารที่ซื้อมากินปลอดภัยหรือเปล่า  ชาวบ้านก็จะนำมาตรวจกับแล็บท้องถิ่น ถือเป็นการเฝ้าระวังในพื้นที่อีกด้วย การลงพื้นที่กลุ่มที่สอง คือการไปพื้นที่โรงพยาบาลศรีบุญเรือง อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู   รพ.ตัวอย่างที่ทำงานคุ้มครองสิทธิด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ  อาทิ เจ้าหน้าที่มีจิตอาสาจิตสาธารณะในการดูแลชุมชนให้เข้มแข็ง  มีความร่วมมือของภาคีเครือข่ายการคุ้มครองสิทธิ ที่มีกระบวนการทำงานเป็นรูปธรรมชัดเจน  

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 170 ฉลาดเลือกซื้อสินค้าบนโลกออนไลน์

“สินค้าคุณภาพดี ราคาถูก” ได้ยินคำนี้อาจทำให้ผู้บริโภคหลายต่อหลายคนตาเป็นมัน ! เพราะของดี ราคาย่อมเยาใคร ๆ ก็อยากได้เป็นธรรมดา...แต่ถ้าจะหาสินค้าแบบนี้บนโลกออนไลน์คงต้องวัดดวง ระมัดระวังและเตรียมข้อมูลให้ถี่ถ้วน เพราะอาจตกหลุมพรางของบรรดามิจฉาชีพที่จับจ้องหวังจะหลอกลวงผู้บริโภคด้วยวิธีต่างๆ ได้เช่นกัน ข้อมูลจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พบว่ามีคดีที่เกี่ยวกับการหลอกลวงให้ซื้อสินค้าออนไลน์ ปีละกว่า 160 คดี ซึ่งมีทั้งรูปแบบพูดคุยหลอกให้โอนเงินมาก่อนแล้วถึงจะได้รับสินค้า หรือแบบสั่งซื้อสินค้าแล้วแต่ไม่ได้รับของตามที่นัดหมายไว้ หรือได้รับสินค้าไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ และแบบที่หลอกว่าเป็นของแท้แต่เอาเข้าจริงแล้วเป็นได้สินค้ามาตรวจสอบแล้วกลายเป็นก๊อปปี้ของแท้เกรดเอ รู้ตัวอีกทีเจ้าของร้านก็โกยเงินปิดมือถือ ปิดหน้าเว็บไซต์ ติดต่อหาคนรับผิดชอบไม่ได้แล้ว ซึ่งคดีเหล่านี้ในแต่ละปีมีมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยปีละกว่า 60 ล้านบาท หากลองย้อนดูข้อมูลประเทศไทย จะพบว่าเราเริ่มมีการเปิดให้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ในปี 2538 ซึ่งช่วงแรกๆ มีคนใช้งานอินเทอร์เน็ตแค่ 45,000 คน ส่วนบนโลกออนไลน์เริ่มมีการทำธุรกิจซื้อขายสินค้ามาประมาณ 10 ปี แต่เพิ่งจะได้รับความนิยมในช่วงหลังที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตรวดเร็วและรองรับได้ดี จนทำให้ปัจจุบันมียอดผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตกว่า 30 ล้านคนทั่วประเทศ เกือบครึ่งของประชากรทั้งประเทศเลยก็ว่าได้ เมื่อสังเกตพฤติกรรมการซื้อสินค้าของคนไทยในปัจจุบัน ที่ดูจะมีแนวโน้มนิยมซื้อสินค้าผ่านโลกออนไลน์กันมากขึ้นทุกปี จากรายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2557 โดย สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กว่า 16,000 คนทั่วประเทศ พบว่าส่วนใหญ่จะซื้อสินค้าผ่านโลกออนไลน์ เพราะสะดวก ประหยัดเวลา ไม่ต้องไปเดินตามตลาดนัดหรือห้างสรรพสินค้าก็มีของที่อยากได้มาส่งถึงหน้าประตูบ้าน หรือไปรับที่ร้านสาขาซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เงินซื้อสินค้าเฉลี่ย 4,000 บาทต่อครั้ง เงินจำนวนหลักพันน่าจะเป็นจำนวนไม่น้อยเลย โดยเฉพาะสำหรับเยาวชนในช่วงอายุ 15 -19 ปี ซึ่งเป็นวัยที่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากเป็นอันดับหนึ่ง หากแบ่งเป็น 3 ช่วงวัย ได้แก่ วัยเรียน วัยทำงาน และวัยเกษียน จากผลสำรวจวัยเรียนที่กล่าวมาจะนิยมซื้อสินค้าราคาไม่เกิน 1,000 บาท และจ่ายด้วยเงินสดหรือบัตรเติมเงิน ส่วนคนวัยทำงาน จะซื้อสินค้าราคาเฉลี่ยที่ 1,000 – 4,000 บาท โดยจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิต ขณะที่คนวัยเกษียนจะซื้อสินค้าราคาเฉลี่ยที่ 1,000 – 4,000 บาท เช่นเดียวกัน แต่จะจ่ายเงินด้วยบัตรเครดิตและโอนเงินผ่านธนาคาร การจะตัดสินใจซื้อสินค้า บนโลกออนไลน์ ไม่เห็นหน้าคนขาย จ่ายเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ถ้าจะให้เปรียบก็เหมือนกับซื้อขายผ่านอากาศ ไม่เห็นสินค้าหน้าร้าน ไม่ได้จับต้องของที่อยากได้ ดังนั้นก่อนผู้บริโภคจะตัดสินใจก็ต้องมั่นในมากพอ เพราะอาจถูกมิจฉาชีพหลอกเหมือนกับผู้เสียหายหลาย ๆ ท่านที่ต้องควักเงินในกระเป๋าไปฟรี ๆ สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกที่จะซื้อสินค้าผ่านโลกออนไลน์ ที่น่าจะปลอดภัยในระดับหนึ่ง มี 6 ข้อ ดังนี้ ตรวจสอบเว็บไซต์หรือแหล่งขายที่ใช้บริการก่อนที่จะไปชำระเงิน  เว็บไซต์ต้องจดทะเบียนการค้าอิเล็กทรอนิกส์ กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากับกระทรวงพานิชย์ ซึ่งจะมีข้อมูลของผู้จดทะเบียน ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ – สกุล , ที่อยู่ , สัญลักษณ์ทางการค้า เป็นต้น ทั้งนี้เครื่องหมายสัญลักษณ์ทางการค้าจะสามารถตรวจสอบแสดงตัวตนของผู้ขาย ช่วยให้ผู้บริโภคอุ่นใจและสามารถดำเนินคดีได้รวดเร็วหากมีการกระทำความผิด สังเกตผลตอบรับการซื้อจากผู้บริโภค และตรวจสอบจากการโต้ตอบของผู้ขายและโภคบริโภค ต้องมีความสม่ำเสมอ สุภาพ และรวดเร็ว พร้อมมีข้อมูลแจ้งสถานการณ์การส่งของ และหลักฐานที่เห็นชัดเจน หรือต้องมีรหัสเลขพัสดุชัดเจนกรณีส่งสินค้าผ่านไปรษณีย์ เว็บไซต์หรือสื่อออนไลน์ของผู้ขายต้องมีระยะเวลาในการเปิดใช้งาน อย่างน้อย 2 ปี สินค้าของผู้ขายต้องไม่ผิดกฎหมาย และสังเกตราคาต้องไม่ควรถูกกว่าราคาจริงมากจนน่าเหลือเชื่อ เพราะมิจฉาชีพจะใช้ความโลภของผู้ซื้อในการดึงดูดให้สนใจซื้อสินค้า เว็บไซต์ควรมีระบบความมั่นคงปลอดภัย หลังการซื้อขาย ผู้บริโภคต้องเก็บสลิปหรือหลักฐานโอนเงินให้ดีไว้ใช้ในยามที่ได้รับสินค้าไม่ตรงตามความต้องการที่ตกลงกันไว้ หรือไม่ได้รับสินค้า จะได้ใช้เป็นหลักฐานแจ้งเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีได้ และหากจะให้ดียิ่งขึ้นควรถ่ายสลิปไว้ด้วยเพราะอยู่ได้นาน ข้อความไม่ซีดจาง สรุปคือ ก่อนซื้อสินค้าออนไลน์ ระวังกันสักหน่อย รอบคอบกันสักนิด ก็น่าจะดีกว่ามาช้ำใจภายหลัง เพราะโดนหลอกลวง

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 169 แกงกะทิลูกตำลึงใส่ปลาทู

สวัสดีครับ วันนี้ผมตาหนุ่ย ขออาสาพาสมาชิกฉลาดซื้อทุกท่านเข้าครัว ทำแกงกะทิลูกตำลึงใส่ปลาทู   ถึงตรงนี้หลายท่านคงมีคำถามว่า  “ลูกตำลึงทานได้ด้วยเหรอ” !! ก่อนจะเข้าครัวขอมาทำความรู้จักกับต้นตำลึงกันเสียก่อนครับภาษาอังกฤษ เรียกว่า  Ivy Gourd ครับผม เผื่อบางท่านอยากบอกเพื่อนชาวต่างชาติ   ตำลึงเป็นไม้เลื้อยที่มีมือจับใช้สำหรับเลื้อยเกาะต้นไม้ใหญ่หรือไม้ปักหลัก มีสีเขียวจัดมีแร่ธาตุ และวิตามิน  ตำลึงมีชื่อท้องถิ่นอื่นอีกอาทิ ผักแคบ  (ภาคเหนือ) แคเด๊าะ (กะเหรี่ยงและแม่ฮ่องสอน) ตำลึง, สี่บาท (ภาคกลาง) ผักตำนิน (ภาคอีสาน) ประโยชน์ของตำลึง เป็นทั้งยาสมุนไพรและพืชอาหาร นิยมใช้ยอดและใบกินเป็นผักสด อาจจะลวกหรือต้มจิ้มกินน้ำพริก และใช้ในการประกอบอาหารได้หลายอย่าง เมนูตำลึง เช่น แกงจืด ก๋วยเตี๋ยวใบตำลึง  ผัดไฟแดง  ต้มเลือดหมู แกงเลียง ไข่เจียว  เมนูเหล่านี้หลายท่านคงคุ้นเคยแน่ๆ ครับ พูดถึงใบตำลึง  ตอนเด็กๆ คุณย่าของผมเคยนำมารักษางูสวัด  เริม ให้กับน้องสาวของผมนะครับ วิธีการคือนำใบตำลึง 10-15 ใบสด  เริม ด้วยการใช้ใบที่แก่แล้ว(ล้างให้สะอาด) นำมาผสมกับดินสอพอง 1 ใน 4 ส่วน แล้วนำมาพอกบริเวณที่เป็น   และแผลไฟไหม้  เพราะตำลึงมีฤทธิ์เป็นยาเย็น  เห็นที่ต้องเข้าครัวกันเลยดีกว่าครับผม    วันนี้รู้สึกสนุกที่จะทำแกงลูกตำลึง เพราะ ตำลึงข้างรั่วออกลูก แหมช่างน่าแกงเสียกระไร     ขอไปตลาดจัดหาเครื่องปรุงในการเข้าครัวครั้งนี้  กะทิ 1 กิโลกรัมสนนราคา 60 บาท   ปลาทู ตัวเล็กครับ  4 เข่ง 100 บาท เพื่อมาฉีก และตำกับพริกแกงเผ็ด   ตามด้วยปลาอินทรีเค็ม อีก 1 ชิ้น  40 บาท กระชาย 10 บาท การทำพริกแกงเผ็ด ไม่ยากนะครับ  เตรียมพริกแห้ง 15-20 เม็ด นำมาล้างน้ำ และแช่น้ำสักครู เพื่อตำได้ง่าย   กระเทียม แกะแล้ว 10-15 กลีบ  ขา 15-20 แว่น   ตะไคร้2-3 ต้นหั่นซอย   เกลือ1 ช้อนโต๊ะ จากนั้นใส่ครกหิน ตำให้ละเอียด   ตามด้วยกระชาย  หั่นเป็นแว่นๆ เพื่อตำง่าย  ท่านใดชอบเยอะก็ใสเยอะครับ    บางบ้านใช้เครื่องปั่นได้เลยครับ เพราะสะดวก  ส่วนผมขอตำครกหินแล้วกันนะครับ หรือง่ายสุด ก็ซื้อน้ำพริกแกงเผ็ดจากตลาดมา 3ขีด 300 กรัม และมาตำกระชายใส่เพิ่มครับ เมื่อทุกอย่างละเอียด เติมกะปิอย่างดี  3 ช้อนโต๊ะ เพราะการปรุงครั้งนี้ สำหรับรับประทาน 10-12 ท่าน ให้คุ้มกับการเดินเก็บลูกตำลึงนะครับ    จากนั้นนำเนื้อปลาทูที่แกะไว้แล้ว ตำลงไปเพิ่ม  อย่าลืมเก็บเนื้อปลาไว้สักครึ่งหนึ่งเพื่อจะได้มีเนื้อปลาเป็นชิ้น ๆ ในน้ำแกง  การใส่ปลาทูตำลงไปเพื่อน้ำแกงของเราจะได้ข้น และดูน่าทานเพิ่มขึ้น    คงสงสัยใช่มั้ยครับ แล้วปลาอินทรีที่ซื้อมาเอามาทำอะไร   ชิ้นนี้แหละครับสำคัญ เรานำเนื้อปลามาตำเข้ากับเครื่องแกง ที่เราใส่ปลาทูใส่ลงไปแล้ว    เราจะได้สัมผัสกับกลิ่นหอมปลาอินทรี  ขอบออกว่าตอนตำเครื่องแกง ผมรู้สึกอยากทานข้าวเร็วๆ เสียแล้วสิครับ   ขั้นตอนในการแกงลูกตำลึง เรานำลูกตำลึงมาทุบให้พอแตก    จากนั้นนำมาล้าง(แกว่ง)ในน้ำเกลือ 2 น้ำครับ  รสชาติฝาดๆ จะหายไป    ทุกอย่างเรียบร้อย เครื่องแกงที่เตรียมไว้พร้อม เรานำกะทิ 1 กิโลกรัมที่ซื้อมาจากตลาด กะทิส่วนหัวและหาง ผสมกัน ขอบอกหางไม่มากนะครับ เพราะชอบน้ำข้นๆ  นำมาเคี่ยวในหม้อให้เดือด   ปรุงรส  น้ำตาลนิดหน่อย   ส่วนผมขอเค็มนิด ๆ  รับประทานกับข้าว หรือขนมจีนกำลังดี เมื่อน้ำกะทิเดือด   ใส่เครื่องแกงทั้งหมดลงไป  จากนั้นลูกตำลึง   เนื้อปลา ที่แกะไว้       แกงกะทิลูกตำลึงใส่เนื้อปลา ก็พร้อมเสิร์ฟกับข้าวสวยร้อนๆ  หรือขนมจีน    เราสามารถใช้เนื้อหมูย่าง  เนื้อย่าง  แทนปลาได้นะครับ  ตามความชอบของแต่ละครัว การทำอาหารกินเองไม่ใช่เรื่องยากครับ  ผมหวังว่า เมนูครั้งนี้  หลายๆ คนคงอยากลองปรุงดู และอย่าลืมชวนเพื่อนๆ มารับประทานด้วยนะครับ หรือตักไปฝากข้างๆ บ้านหรือญาติของเรา จะได้อิ่มท้องกันถ้วนหน้า   

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 168 “ถุงพลาสติกชีวภาพ” บรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภค

ยุคนี้...ตามร้านสะดวกซื้อหรือห้างสรรพสินค้ามักมีสินค้าพืชผักและผลไม้ห่อหุ้มด้วยพลาสติกวางจัดจำหน่ายให้เห็นละลานตา มีทั้งแบบสุกกำลังพอดีแกะถุงพลาสติกก็สามารถกินได้ทันที และแบบที่สุกๆ ดิบๆ เพื่อให้ผู้บริโภคที่ยังไม่รีบกินได้เลือกซื้อเลือกหาไว้ไปบ่มกินที่บ้าน หรือเก็บไว้เป็นอาทิตย์ๆ ได้โดยที่ยังมีสีสันน่ารับประทาน อย่างไรก็ตาม การห่อหุ้มยืดอายุผลไม้ด้วยพลาสติกมีทั้งคุณประโยชน์ ที่ช่วยเก็บรักษาคงสภาพของพืชผักผลไม้ให้น่ารับประทาน แต่หากห่อหุ้มในสภาพที่ผลไม้ยังคงมีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชหรือยาฆ่าแมลง ก็อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค โดยศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยด้านอาหาร กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ข้อมูลว่าผัก ผลไม้ ส่วนใหญ่มีสารที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อาทิ จุลินทรีย์ก่อโรคและยาฆ่าแมลง เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาฆ่าแมลงหากมีการใช้ในขั้นตอนการปลูกในปริมาณมากเกินไป หรือเก็บเกี่ยวพืชผลออกจำหน่ายก่อนสารเคมีสลายตัว ก็จะทำให้เกิดสารตกค้างจนเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค โดยอาการที่พบ มีตั้งแต่คลื่นไส้ , อาเจียน , ท้องเสีย , กล้ามเนื้อสั่น , ชักกระตุกจนหมดสติ บางรายอาจรุนแรงถึงขั้นหยุดหายใจไปเลยก็ได้ และหากสะสมในร่างกายต่อเนื่องจำนวนมากก็จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง ด้วยความห่วงใยผู้บริโภคทุกท่าน ก่อนเลือกซื้อผักผลไม้จะดูที่สีสันอย่างเดียวคงไม่ได้ บรรจุภัณฑ์ที่ห่อหุ้มน่าจะสร้างความปลอดภัยต่อผู้บริโภคได้อีกทางหนึ่ง วันนี้จึงมีนวัตกรรมดีๆ จากนวัตกรไทยมาเล่าสู่กันฟัง โดยรองศาสตราจารย์ ดร.อนงค์นาฏ สมหวังธนโรจน์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมด้วยคณะผู้วิจัย ที่ได้พัฒนาศักยภาพ “ถุงพลาสติกชีวภาพ” บรรจุภัณฑ์ที่น่าจะช่วยหลีกเลี่ยงอันตรายจากสารเคมี สามารถเก็บรักษาผักผลไม้ได้และคงสภาพยืดอายุผักผลไม้ไว้ได้นาน และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ภายใต้ผลงานวิจัยเรื่อง “บรรจุภัณฑ์ถุงพลาสติกชีวภาพเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาพืชผลสดและผลไม้แห้ง” จนได้รับรางวัล ผลงานประดิษฐ์คิดค้น ประจำปี 2558 ระดับดี สาขาวิทยาศาสตร์เคมีและเภสัช จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จากงานวิจัย“ถุงพลาสติกชีวภาพ” ระบุว่าได้ต่อยอดมาจากเม็ดพลาสติก ด้วยการเติมสารชีวภาพ ให้มีรูขนาดเล็กที่ทำให้ ออกซิเจน  คาร์บอนไดออกไซด์  ไอน้ำ สามารถผ่านได้ กระบวนการทำให้สามารถเก็บรักษาความสดใหม่ได้ดีกว่าเดิม 2-7 เท่า ในขณะที่เชื้อโรคไม่สามารถผ่านได้ เห็นข้อดีแบบนี้ผู้บริโภคก็น่าจะเบาใจได้เปาะหนึ่งว่าตั้งแต่กระบวนการห่อหุ้มผักผลไม้ลงในถุงพลาสติก ไปจนส่งถึงมือผู้บริโภค “จุลินทรีย์และเชื้อโรค” คงผ่านเข้าไปในถุงพลาสติกได้ยาก! นอกจากศักยภาพในการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ “ถุงพลาสติกชีวภาพ” นี้สามารถต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกร รวมถึงผู้ทำการค้าส่งออก และสร้างความปลอดภัยให้ผู้บริโภคแล้ว  บรรจุภัณฑ์นี้ยังย่อยสลายได้เร็วกว่าถุงพลาสติกทั่วไป โดยใช้ระยะเวลาย่อยสลายได้ภายในหนึ่งปีเท่านั้น นับว่าเป็นนวัตกรรมเชิงพาณิชย์เพื่อสิ่งแวดล้อม ที่สามารถช่วยลดปัญหาขยะพลาสติกอีกด้วย แต่ถ้าท่านผู้อ่านสนใจเลือกซื้อเลือกหาผักผลไม้ที่ห่อหุ้มถุงพลาสติกชีวภาพ อาจต้องรอหน่อยเพราะนวัตกรรมนี้ยังมีต้นทุนที่สูง เมื่อเทียบกับพลาสติกห่อหุ้มผลไม้ทั่วไป จำหน่ายราคาประมาณกิโลกรัมละ 50 บาท ขณะที่ถุงพลาสติกชีวภาพมีต้นทุนสูงกว่าถึง 3 เท่า โดยราคาจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 150 บาท เห็นตัวเลขถ้าเทียบเฉพาะราคาอาจมองว่าแพง!กว่ามาก...แต่ถ้าวัดกันที่คุณค่าคุณประโยชน์แล้วก็คงต้องยกนิ้วให้กับถุงพลาสติกชีวภาพอย่างแน่นอน คงต้องฝากความหวังไว้ให้ภาครัฐยื่นมือเข้ามาสนับสนุนงานวิจัยดีๆ แบบนี้ให้เป็นรูปธรรม เพราะประเทศไทยมีผลผลิต ทางด้านเกษตรจำนวนมากที่พร้อมส่งถึงมือผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ถ้าผลผลิตเหล่านี้สามารถยืดอายุได้นานโดยสินค้ายังมีคุณภาพดี ก็จะเป็นที่ยอมรับในนานาประเทศและน่าจะทำให้อัตราการส่งออกของสินค้าเกษตรไทยดีขึ้น แต่สำหรับตอนนี้ วิธีหลีกเลี่ยงอันตรายจากสารเคมีและเชื้อโรคที่ง่ายสุด ก็คงต้องทำตามอย่างง่าย ๆ แบบที่โบราณสอนไว้ คือให้เลือกผักที่มีรูพรุน จากการเจาะของแมลง  เลือกกินผักผลไม้ตามฤดูกาล  ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยในการบริโภคไปก่อนก็แล้วกัน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 167 ตรุษจีน : กินดี อยู่ดี ชีวีมีสุข

น่าจับตาดูเทศกาลตรุษจีนในเดือนกุมภาพันธ์ที่ใกล้จะมาถึงนี้  ลูกหลานจากแดนมังกรไม่ว่าจะอยู่มุมไหนของโลก โดยเฉพาะชาวไทยเชื้อสายจีน ต้องมีการเซ่นไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษ เอาฤกษ์เอาชัยเสริมสิริมงคลกัน ยกใหญ่ตั้งแต่ต้นปีและที่พลาดไม่ได้บรรยากาศแผงตลาดพืชผักผลไม้และเนื้อสัตว์ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้น่าจะคึกคักไม่แพ้ในปีที่ผ่านมา ! ด้วยเหตุที่พิธีกรรมเซ่นไหว้ทั้งเทพเจ้าและบรรพบุรุษ จะพิถีพิถันประกอบไปด้วยของคาวและหวานนานาชนิด อย่างน้อยๆ 10 อย่าง ซึ่งมีการไหว้ 3-4 ชุด พร้อมด้วยน้ำชา สุรา และกระดาษเงิน กระดาษทองต่างๆ แถมยังมีผลไม้มงคลอีกทั้ง กล้วย แอปเปิล สาลี่ ส้ม องุ่น และสับปะรด ซึ่งล้วนแต่ให้ความเป็นมงคลกับชีวิต และนำโชคลาภ ความสงบร่มเย็นและความเจริญรุ่งเรืองมาให้กับลูกๆ  หลานๆ (เชื่อกันว่ากล้วย หมายถึง กวักโชคกวักลาภเข้ามา  ส้ม หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง องุ่น คือความเพิ่มพูน และสับปะรด หมายถึง มีโชคลาภมาหา) ลองมาดูกันว่า อาหารคาวไหว้ตรุษจีน มีอะไรบ้าง... ที่ขาดไม่ได้คือ ไก่ต้ม เป็ดต้ม แบบเต็มตัว มีหัว ปีก ลำตัวและขาครบทุกส่วน ซึ่งจะให้ความอุดมสมบูรณ์  และเท่าที่สำรวจราคาในสองปีที่ผ่านมาทั้งจากกระทรวงพาณิชย์และตามหน้าหนังสือพิมพ์ ได้เผยตัวเลขสินค้าไก่และเป็ดในช่วงเทศกาลราคาจะอยู่ที่ราวๆ 300 – 400 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนเนื้อปลาขึ้นอยู่กับขนาดว่าคนซื้อชอบตัวใหญ่หรือตัวเล็ก แต่ราคาเฉลี่ยตัวละประมาณ 200 -300 บาทต่อกิโลกรัม และอาหารทะเลทั้งปลาหมึก กุ้ง ราคาจะสูงแน่นอนซึ่งปีที่ผ่านมาพุ่งไปถึง 650 -700 บาทต่อกิโลกรัม จึงควรเตรียมทรัพย์ไว้ให้พร้อม ไม่เพียงแค่มีอาหารคาวอย่างเดียว...วัฒนธรรมของคนจีนยังไหว้ด้วยขนมและผลไม้อีกด้วย โดยขนมหวานที่เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ไหว้กันบ่อยๆ ก็เน้นขนมเทียนและขนมเข่ง ที่ให้ความหมายหวานชื่น ราบรื่น และอุดมสมบูรณ์ ซึ่งมีราคาย่อมเยาเหมือนปีที่ผ่านมา เฉลี่ยอยู่ที่ชิ้นละ 10 บาท บางบ้านก็จะมี ขนมไข่ ขนมถ้วยฟู และขนมสาลี่ ที่ให้ความหมายในเชิงความเจริญรุ่งเรือง เฟื่องฟู ร่ำรวย ราคาก็แล้วแต่จำนวนชิ้นในแต่ละแพ็คเกจที่บรรจุขนมไว้ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะมี 4 – 6 ชิ้นต่อแพ็ค ราคาราวๆ 30 – 40 บาท ส่วนผลไม้เซ่นไหว้ราคาในช่วงเทศกาลแต่ละปีจะสูงขึ้นใกล้เคียงกันทุกปี เช่น  ส้ม 80 บาทต่อกิโลกรัม แอปเปิล สาลี่ ทับทิม กองละ 100 บาท เป็นต้น หากจะประเมินภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลตรุษจีนแล้ว ก็ต้องยิ้มรับกับความ เฮง เฮง เฮง อย่างที่คนไทยเชื้อสายจีนชอบพูดเสมอ เพราะในช่วงเทศกาลนี้ในหลายๆ ปีที่ผ่านมาได้สร้างเม็ดเงินสะพัดให้กับประเทศไทยอยู่ที่ราว ๆ 4 – 5 พันล้านบาท ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกของปีได้เป็นอย่างดี แต่ช่วยเหลือเศรษฐกิจแล้ว ก็อย่างลืมดูแลสุขภาพกันด้วย เพราะอาหารที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษส่วนใหญ่เป็นของมัน แบบผัดๆ ทอด ๆ เนื้อสัตว์เป็นตัวๆ และขนมหวานเป็นชิ้นใหญ่ กินก็ระวังโรคอ้วนถามหาด้วย เพราะมีทั้ง ไขมันสูงและน้ำตาลสูง เรื่องนี้ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์(องค์การมหาชน) ออกโรงมาเตือนเองว่า ให้ลดแป้งและน้ำตาล รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ และอย่าลืมจิบชาเพื่อล้างไขมัน ลดการกินเป็ดไก่ รับประทานเห็ดแทนเนื้อสัตว์ และเพิ่มเมนูปลาแทนน่าจะดีกว่า เพราะถึงแม้ว่าเทศกาลตรุษจีนจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ควรใส่ใจสุขภาพ รักษาและดูแลร่างกายให้ห่างไกลจากโรคภัยอยู่เสมอ “สุขภาพดีไม่มีขาย ใครอยากได้คงต้องดูแลกันเอง” นอกจากนี้ในเทศกาลตรุษจีน จะไม่ได้เป็นเพียงวันเทศกาลวันหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็นวันแห่งการเริ่มต้นสิ่งใหม่ให้ชีวิต ด้วยความ มั่ง มี ศรี สุข อย่างแท้จริง หากชาวไทยเชื้อสายจีนได้มีโอกาสทำบุญกับบรรพบุรุษ เหมือนกับหลักขงจื้อที่ว่า “ร้อยความดี..ความกตัญญูมาเป็นที่หนึ่ง” แล้วจะดียิ่งขึ้นกว่านี้เมื่อทุกคนในครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา นึกถึงแต่สิ่งดีๆ ทำแต่สิ่งดีๆ ที่เป็นมงคล แล้วความเป็นสิริมงคลก็จะเข้ามาในชีวิตตลอดทั้งปี

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 166 ฉลาดขี่ (จักรยาน)

สมัยนี้จะมองไปทางซ้ายหรือขวา ก็เห็นผู้คนหันมาใช้ “จักรยาน” ตามท้องถนนกันมากขึ้น มีทั้งที่ปั่นกินลมชมวิว และฮิตที่สุดก็คงจะเป็นเทรนด์ออกกำลังกาย อย่างไรก็ตามสำหรับมือใหม่ที่กำลังสนใจจะปั่นจักรยานก็คงต้องศึกษาวิธีการเลือกซื้อ - เลือกใช้จักรยาน ให้เหมาะสมกับกิจกรรม เพราะเท่าที่รู้มา กระทรวงสาธารณสุข ได้แบ่งประเภทและลักษณะการใช้งานจักรยานมาเป็น 5 ประเภท แบบแรกจักรยานทั่วไปหรือจักรยานแม่บ้าน จักรยานประเภทนี้ส่วนมากไม่มีเกียร์ มีตะแกรงหน้าไว้สำหรับใส่ของ และมีน้ำหนักต่อคันค่อนข้างมาก ต้องใช้แรงถีบมากหน่อย แต่ข้อดีคือ มีราคาถูก ควักกระเป๋าซื้อหาได้สบายตามร้านขายจักรยานทั่วไป และเมื่อชำรุดก็มีร้านรับซ่อมหาง่ายอีกด้วย แบบที่สองจักรยานพับได้ เดี๋ยวนี้มีผลิตในประเทศไทยแล้วแต่ที่นักปั่นนิยมใช้มักสั่งมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะ จักรยานมือสองของญี่ปุ่น ลักษณะพับได้ กะทัดรัด ซึ่งหากจะใช้มือหนึ่งคงต้องยอมจ่ายแพงหน่อย แบบที่สามจักรยานออกกำลังกายและท่องเที่ยว จักรยานประเภทนี้เมื่อปั่นแล้วจะรู้สึกเบาแรง เพราะติดระบบเกียร์ที่ช่วยเบาแรงนักปั่น โดยแบ่งตามลักษณะเฉพาะ คือ (1) จักรยานเสือหมอบ คล้ายจักรยานแข่งแต่คุณภาพอุปกรณ์จะด้อยกว่า จึงเหมาะสำหรับปั่นบนทางเรียบเท่านั้น (2) จักรยานท่องเที่ยว นอกจากปั่นไปเที่ยวบนทางราบหรือทางขรุขระเล็กน้อยแล้วยังใช้ปั่นออกกำลังหรือปั่นไปทำงานได้ด้วย ลักษณะมีตะแกรงด้านท้ายไว้สำหรับวางสัมภาระ ซึ่งมีระบบเกียร์ให้เลือกตั้งแต่ 10 - 27 สปีด (3) จักรยานเสือภูเขา เป็นจักรยานที่ออกแบบไว้ปั่นขึ้นลงเขา สามารถใช้งานสมบุกสมบัน  มีโครงสร้างที่แข็งแรง ล้อยางใหญ่หรืออ้วน ดอกยางใหญ่และหนา ทำให้เกาะพื้นถนนได้ดีโดยเฉพาะเวลาปั่นขึ้นเนินชัน ๆ ทั้งยังสามารถใช้งานได้ในทุกพื้นผิวถนน แถมมีระบบเกียร์ให้เลือกตั้งแต่ 10 - 27 สปีด และมีแบบลูกผสมหรือจักรยานเมือง (ซิตี้ไบค์) สามารถปั่นบนถนนธรรมดาได้เร็ว มีลักษณะเหมือนเสือภูเขา แต่ยางล้อเล็กกว่า ดอกยางไม่ลึกเมื่อเทียบกับเสือภูเขา เวลาปั่นในเมืองจะเปลืองแรงน้อยกว่า แบบที่สี่จักรยานแข่ง หรือจักรยานแบบเสือหมอบ ส่วนใหญ่นักกีฬาใช้แข่งขัน มีน้ำหนักเบามาก มีเกียร์ตั้งแต่ 1 - 27 สปีด ตัวถังเล็ก เพรียวลม ยางรถจะผอมและทนแรงดันได้สูง มีการตัดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็น เช่น ขาตั้ง บังโคลน ออกเพื่อให้เบาแรงได้ดี จักรยานชนิดนี้มีราคาแพงมาก มีตั้งแต่ราคาหลักหมื่น จนถึงหลายแสนบาท แบบที่ห้าจักรยานฟิกซ์เกียร์ จักรยานประเภทนี้มีสปีดเดียว เฟืองหลังเป็นแบบตายหรือฟิกซ์ คือปล่อยฟรี หรือปั่นขาทวนกลับไม่ได้ การขี่จึงต้องหมุนขาไปข้างหน้าตลอดเวลา เพราะหากไม่หมุนขาเฟืองก็จะไม่หมุน ซึ่งก็คือการเบรกนั่นเอง และถ้าต้องเบรกเร็ว ๆ แรง ๆ ก็ให้กระทืบขาย้อนกลับหลัง จักรยานจะหยุดทันที แบบนี้น่าจะเหมาะกับคนที่ขี่เก่งแล้ว   อุปกรณ์ความปลอดภัยที่สำคัญ เมื่อเลือกซื้อให้เหมาะกับวัตถุประสงค์แล้ว ก็ไม่ควรละเลยเรื่องอุปกรณ์ความปลอดภัย ซึ่งอุปกรณ์สำคัญที่ขาดไม่ได้ ก่อนก้าวเท้าปั่นจักรยานออกจากบ้าน ที่พอจะสรุปข้อมูลได้จากชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย และสมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพไทย มีดังนี้ 1.หมวกกันน็อค ทุกครั้งควรใส่เพราะหากเกิดอุบัติเหตุและสมองได้รับการกระทบกระเทือน ก็ไม่รู้ว่ามากน้อยแค่ไหน เลวร้ายอาจพิการถึงขั้นเสียชีวิตไปเลยก็เป็นได้ 2.ไฟหน้าและไฟท้าย ถือเป็นสิ่งสำคัญพอ ๆ กับหมวกกันน็อค เพราะจะทำให้รถคันใหญ่หรือรถคันเล็กที่วิ่งบนถนนเดียวกัน สามารถเห็นเราได้ถนัด โดยเฉพาะยิ่งเวลากลางค่ำ กลางคืน ฝนตก หรือแม้แต่หมอกหนาจัด ก็จะเพิ่มความปลอดภัยได้เช่นกัน 3.กระจกส่องหลัง อุปกรณ์ที่เป็นตาหลังให้นักปั่นขณะที่จะต้องเลี้ยวก็ไม่ต้องหันไปมองรถคันหลังหรือรถที่กำลังแซง เพราะถ้าหันไปมองแล้วอาจเสียหลักและเกิดอุบัติเหตุนี่จึงเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มสมาธิให้นักปั่น เวลาจะเปลี่ยนเลนหรือแซงคันข้างหน้า 4.กระดิ่ง , แตรไฟฟ้า ในกรณีนี้จะช่วยส่งสัญญาณเตือนให้รถที่สัญจรได้เห็นจักรยานที่ปั่นอยู่ ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ยิ่งมีสัญญาณดังเท่าไรยิ่งดี 5. เสื้อ,กางเกง ,ปลอกแขนและผ้าปิดจมูก สำหรับนักปั่นสายกีฬา คงต้องมีไว้ติดกายใส่ก่อนปั่นทุกครั้ง อาทิ เสื้อนักปั่น ต้องเหมาะสมช่วยระบายเหงื่อได้เร็ว ไม่อึดอัด ยางยืดที่ชายเสื้อ จะช่วยให้ลมเข้าสู่ร่างกาย เหงื่อไม่หมักหมม จนรำคาญขัดจังหวะการปั่นจักรยาน กางเกงต้องมีฟองน้ำ , เจล กระชับแนบเนื้อเพื่อบรรเทาอาการปวดน่องหลังจากปั่นเป็นเวาลานาน ๆ สำหรับปลอกแขน มีไว้กันแดด ควรเลือกที่ระบายเหงื่อได้ดี และผ้าปิดจมูกนอกจากกันแดดแล้ว ยังจำเป็นในการปั่น ณ บริเวณเมืองใหญ่ ๆ เพราะจะช่วยป้องกันฝุ่นและควันได้ดี แต่กรณีปั่นเที่ยวหรือจ่ายตลาดทั่วไปก็ไม่จำเป็นต้องจัดเต็มทั้งชุดที่กล่าวมาก็ได้ เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองเงินเปล่า ๆ ดังนั้นปั่นใกล้ ๆ เลือกสวมใส่เสื้อที่เหมาะสม ถนัด ชุดทะมัดทะแมงคล่องตัว 6. ถุงมือ จำเป็นยิ่งสำหรับมือใหม่หัดปั่น ในสายกีฬาอย่าคิดว่าถุงมือไม่สำคัญ เพราะเมื่อปั่นไปเรื่อย ๆ มือจะมีเหงื่อเหนียวและลื่น ทำให้ปั่นไม่ถนัดจะพลาดเกิดอุบัติเหตุ 7. แว่นตา เป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่สามารถป้องกันฝุ่นควัน แมลง แถมยังถนอมสายตาอีกด้วย 8.กระเป๋า อุปกรณ์สุดท้ายที่ขาดไม่ได้ เพราะนอกจากใส่สิ่งของจำเป็น เช่น โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าตังค์ แล้วในนั้นควรจะมียาสามัญไว้ปฐมพยายบาลเบื้องต้น ป้องกันไว้กรณีมีอุบัติเหตุจะได้รักษาได้ทันท่วงที และที่สำคัญอย่าลืมบันทึกเบอร์สำคัญ ๆ เช่นโรงพยาบาล สถานีตำรวจ และเก็บเบอร์โทรญาติคนสนิทไว้ด้วย เผื่อเกิดอุบัติเหตุผู้ที่มาพบเห็นจะได้โทรแจ้งและช่วยเหลือได้ ด้วยเหตุที่บนท้องถนนมีรถสัญจรไปมาเป็นจำนวนมาก เรา ๆ ท่านๆ คงไม่อยากให้อุบัติเหตุเกิดขึ้น โดยเฉพาะยิ่งรถจักรยาน พาหนะคันเล็ก ๆ ที่โบราณเรียกเนื้อหุ้มเหล็ก ดี ๆ นั่นเอง จึงยิ่งต้องเพิ่มความปลอดภัยและเคารพกติกามารยาทบนท้องถนน และเมื่อไรหนอประเทศไทยบ้านเราจะมีเลนบนถนน เว้นพื้นที่ไว้ให้ “นักปั่น” เหมือนกับประเทศศิวิไลซ์ทั้งหลายบ้างนะ

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 165 Code นมสิ่งสำคัญในการปกป้องสุขภาพเด็กไทย

Code นม หรือ หลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ (International Code of Marketing of Breast  Milk Substiututes ) ณ ปัจจุบันหลักเกณฑ์นี้ยังไม่มีกฎหมายเป็นข้อบังคับ จึงทำให้เกิดปัญหาความเข้าใจผิดต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และส่งผลให้สถิติการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ของประเทศไทยอยู่ภาวะที่ต่ำมากในเอเชีย นั่นหมายถึงสุขภาพของเด็กไทยที่จะต้องเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพในอนาคต นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข และอดีตเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา  กล่าวว่า  Code นม ที่ประเทศต่างๆ ได้มีมติรับรองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524  เป็นกฎเกณฑ์ปกป้องสุขภาพเด็ก เพื่อให้เด็กได้กินนมแม่  ซึ่งถือเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก และเพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อจำเป็นต้องใช้อาหารอื่นแทนนมแม่ แม่จะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนผ่านวิธีการตลาดที่เหมาะสม สำหรับประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศ เรื่อง “หลักเกณฑ์สากลว่าด้วยเรื่องการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2524  แต่ด้วยประเทศไทยไม่มีกฎหมายเพื่อบังคับใช้อย่างจริงจัง  ทำให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายอาหารทารกและเด็กเล็ก ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงนี้ มีหลักฐานจากหลายประเทศแสดงให้เห็นว่า การตรากฎหมายเพื่อควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กนั้น มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมปัจจัยที่เอื้อต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่  อย่างเช่นการวิจัยในประเทศฟิลิปปินส์ พบว่า การออกกฎหมายควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็กในปี 1986 ส่งผลให้มีการแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ในโรงพยาบาลลดลง จากร้อยละ 57.5  ในปี ค.ศ. 1986 เหลือเพียงร้อยละ 2.8 ในปี ค.ศ. 1988  ประเทศไทยของเราน่าเป็นห่วงมากว่า ถึงแม้เราจะประกาศใช้หลักเกณฑ์ว่าด้วยการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมานานถึง 30 ปีแล้ว แต่เราไม่สามารถป้องกันหรือบังคับใช้ได้ เพราะไม่มีการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืน การมีหลักเกณฑ์จึงไม่สามารถควบคุมการส่งเสริมการตลาดที่ดำเนินการอยู่ได้ ในทัศนะของ ดร.บวรสรรค์ เจี่ยดำรง นักวิชาการนิเทศศาสตร์อิสระ ผู้ติดตามการส่งเสริมการตลาดของอุตสาหกรรมนมผงในประเทศไทย เห็นว่า มีกลยุทธ์ในหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ การโฆษณาในสื่อโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อโฆษณาอื่นๆ  มีการแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์เป็นของขวัญฟรีแก่แม่  การใช้ข้อความ รูป หรือสัญลักษณ์บนฉลากผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เข้าใจว่าสร้างพัฒนาการที่ดีให้กับเด็ก และมีสารอาหารที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ  การอบรมคุณแม่ตั้งครรภ์ผ่านสถานประกอบการ หรือผ่านกิจกรรมในโรงพยาบาล  การทำตลาดผ่านสื่อ Call Center  จดหมาย หรือ SMS  เพื่อติดต่อกับแม่และครอบครัวโดยตรง  การส่งเสริมผลิตภัณฑ์ผ่านโรงพยาบาลและคลินิก ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งแจกของขวัญให้กับบุคลากรในโรงพยาบาล “เครื่องมือส่งเสริมการตลาดเหล่านี้ ได้สร้างมายาคตินมผงเท่ากับนมแม่ ชวนให้แม่เชื่อผิดๆ ว่านมผงมีสารอาหารเทียบเท่านมแม่ ภายใต้กรอบความเชื่อที่ผิดๆ เช่นนี้จะมีผลต่อการตัดสินใจเลือกทางเลือกในการเลี้ยงลูกด้วยนมผงร่วมกับนมแม่ ซึ่งเป็นกลยุทธ์อันแยบยลที่อุตสาหกรรมนมผงใช้ในการขัดขวางการผลิตน้ำนมของแม่  เมื่อแม่ไม่ได้ให้นมลูก กระบวนการผลิตน้ำนมก็ไม่ได้ถูกกระตุ้น  ทำให้น้ำนมแม่ก็แห้งไปจากอกแม่  แม่จึงเข้าใจว่าน้ำนมไม่พอ ในที่สุดการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนก็ไม่สำเร็จ” เมื่อทารกไม่ได้กินนมแม่หรือได้รับนมแม่ไม่เพียงพอในช่วง 6 เดือนแรก ทารกก็สูญเสียสิทธิที่จะได้รับสารอาหารที่ดีสุดในชีวิตไป ซึ่งทารกที่ไม่ได้กินนมแม่หรือกินไม่เพียงพอก็เสี่ยงที่จะเป็นโรคภูมิแพ้ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยพบเด็กวัยแรกเกิด-5 ปี ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึง 6 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่แม่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อนมผงเลี้ยงลูกสูงถึงปีละกว่า 7 หมื่นบาท นี่ยังไม่รวมค่ารักษาพยาบาลโรคภูมิแพ้อีกปีละเกือบ 7 หมื่นบาท ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขมีต้นทุนค่ารักษาพยาบาลปีละกว่า 7,500 ล้านบาท ท่ามกลางความเสียหายต่อสุขภาพทารกและระบบสาธารณสุขของประเทศ การดำเนินธุรกิจที่ไร้จริยธรรมทำให้อุตสาหกรรมนมผงได้กำไรต่อปีกว่าพันล้านบาท ทางด้านเครือข่ายคุณแม่ออนไลน์ ซึ่งเกิดจากการรวมกลุ่มคุณแม่ ที่มีความตระหนักร่วมกันไม่ต้องการให้การตลาดนมผงมาสร้างมายาคติ หรือความเชื่อที่ผิดๆ ให้กับคุณแม่ทั้งหลาย โดยเฉพาะคุณแม่ที่มีฐานะการเงินที่ไม่ดี เพราะนมมีคุณค่าที่สุดที่จะเลี้ยงลูกของตนเอง  จากคุณแม่ไม่กี่คนที่เชื่อมั่น และต้องการเห็นเด็กๆ คนอื่น มีความเท่าเทียมในการเติบโตอย่างมีสุขภาพ จึงเริ่มต้นแนะนำให้ความรู้กับคุณแม่มือใหม่ด้วยสื่อออนไลน์เพราะเข้าถึงคนได้ง่าย จากเว็บไซต์ และปัจจุบันยังอาสาทำงานให้ความรู้คุณแม่เท่าทันการตลาด ล่าสุดเข้าเพื่อความรวดเร็วและเข้าถึงผู้คนได้ง่ายและขยายผลได้ดี ปัจจุบันจึงเป็นเฟสบุ๊ค “นมแม่ แบบแฮปปี้” พญ.ศศินุช รุจนเวช  ตัวแทนเครือข่ายคุณแม่ออนไลน์ ยังเล่าให้ฟังว่า ตนเองไม่ใช่กุมารแพทย์ เหมือนกับคุณแม่ทั่วไป ที่กังวลกับการมีลูก ตอนที่มีลูกก็มีปัญหาน้ำนมไม่มี แต่ได้รับการดูแลจากโรงพยาบาลที่เข้ามาสนับสนุนนมแม่ จึงเริ่มสนใจเข้าใจเรื่องเหล่านี้ และเริ่มต้นจากแม่ๆ มาเริ่มพูดคุยแชร์เรื่องเหล่านี้ร่วมกัน  จึงเกิดความต้องการอยากให้คุณแม่ทุกคนให้นมแม่สำเร็จ เห็นลูกเราแข็งแรง แต่เด็กอื่นๆ ที่กินนมผง กินนมแม่น้อย มีความเจ็บป่วยมากกว่า มีสุขภาพไม่แข็งแรง จึงทำให้สนใจเรื่องการตลาด และข้อเท็จจริงก็คือคนส่วนใหญ่สามารถให้นมแม่ได้สำเร็จอยู่แล้ว แต่พอมีการตลาดเข้ามาก็ไปขัดขวางให้คุณแม่เข้าใจเรื่องนี้ผิดๆ  เราเป็นห่วงว่าอัตราการให้นมแม่ของประเทศไทยน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย อย่างคุณแม่ในทีมที่แข็งขันท่านหนึ่ง ที่มีสามีเป็นแพทย์ก็ได้ศึกษาหาข้อมูลตรงนี้มาเผยแพร่ พวกเราช่วยกันทำงานนี้ทั้งทางตรงและทางอ้อม คุยกับคนใกล้ตัว แล้วก็เจอปัญหาที่โดนคนรอบข้างกดดันเพราะอิทธิพลของการโฆษณา หลายคนเจอว่าทำไมไม่ให้ลูกกินนมผง มีสารดีๆ อยู่ในนมผงเยอะนะ  เราจึงเห็นว่านี่คือผลของอิทธิพลการโฆษณา ทำให้คนรอบข้างไม่เข้าใจและส่งผลต่อแม่ที่อยากให้ลูกทานนมแม่ ประเทศไทยจึงควรขจัด “มายาคติ” เหล่านี้ จึงอยากฝากคุณแม่ทุกท่านให้ลูกได้กินนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน และอยากให้มีเครือข่ายกว้างขวางช่วยกันเผยแพร่ความรู้ ถ้าเครือข่ายเราเข้มแข็งการป้องกันเด็กทารกจะดีขึ้น และท้ายที่สุดหวังว่าจะมีการสนับสนุนให้มีกฎหมายที่ช่วยคุ้มครองสุขภาพเด็กไทยจากอิทธิพลของการตลาดนมผง   ข้อมูลจาก เวทีชี้แจงกับสื่อมวลชน ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2557 ในประเด็น “ความสำคัญของ Code นม เพื่อปกป้องสุขภาพเด็กไทย”  ที่ โรงแรมแรมเอเชีย  จัดโดยโครงการสื่อสารเพื่อสนับสนุนนมแม่ฯ  ได้รับการสนับสนุน โดย องค์การยูนิเซฟ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 164 ฉลาดใช้มือถือ! ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์

มองไปทางไหน ก็เห็นมีแต่คนพกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คนละเครื่องสองเครื่อง นับเป็นเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกโดยเฉพาะมือถือ ที่ปัจจุบันมีความจำเป็นในการสื่อสารมากขึ้น จนมีคนเอาไปพูดเชิงหยอกล้อว่าแทบจะเป็นปัจจัยที่ห้าของมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ เท่าที่ทราบคนไทยทั้งประเทศตอนนี้มีอยู่ 67.9 ล้านคน แต่มียอดการใช้งานโทรศัพท์มือถือรวมทั้งรุ่นเก่ามีฟังก์ชั่นแบบโทรเข้าโทรออกได้และรุ่นใหม่สมาร์ทโฟน ที่ทั้งดูหนัง ฟังเพลง เข้าอินเทอร์เน็ตไว้หาข้อมูล รวมแล้วกว่า 89 ล้านเครื่อง เติบโตจากเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาถึง 7 เท่าตัว และมีอัตราเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งกรมโรงงานได้คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะเติบโตร้อยละ 10 ต่อปี หรือ ปีละ 9 ล้านกว่าเครื่อง เคยสงสัยไหมว่า โทรศัพท์มือถือเมื่อเราๆ ท่านๆ ไม่ใช้กันแล้ว เศษซาก แบตเตอรี่ กรอบมือถือ ไมโครชิพ  ฯลฯ จะไปอยู่ที่ไหน และเป็นอันตรายหรือไม่ เพราะขยะจากโทรศัพท์เป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ ที่เมื่อหมดอายุการใช้งานไม่สามารถย่อยสลายได้เอง และถ้ากำจัดไม่ถูกวิธีก็จะเป็นขยะที่อันตรายมีสารเคมีรั่วไหล จนก่อให้เกิดมลพิษซึมลงสู่ดินและน้ำในบริเวณใกล้เคียง ด้วยเหตุที่สารเคมีประเภทโลหะหนักทั้ง ปรอท แคดเมียม ตะกั่ว สารหนู กำมะถัน นอกจากจะเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมแล้วยังเป็นอันตรายต่อร่างกายอีกด้วย เพราะจะทำลายระบบเลือด ระบบประสาทส่วนกลาง หากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป ก็จะทำให้ระบบทางเดินหายใจเกิดความผิดปกติรุนแรง ปอดอักเสบ และอาจเกิดมะเร็งได้ แน่นอนว่าขยะอันตรายๆ แบบนี้หลายๆ ประเทศจะมีหน่วยงานที่แนะวิธีการใช้อย่างถูกวิธี และการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ผ่านกระบวนการรีไซเคิล บางประเทศในเอเชียอย่างญี่ปุ่นก็ได้ควบคุมดูแลอย่างจริงจัง ไม่ทำแบบ“สุกเอาเผากิน” ซึ่งมีตั้งแต่มาตรการออกกฎหมายรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ , ควบคุมสินค้าให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีการตั้งจุดรับสินค้าคืนเมื่อหมดอายุ ตลอดจนทำโปรโมชั่นของมือถือเก่าเทิร์นเครื่องใหม่ เป็นต้น ครบวงจรการดูแลตั้งแต่กฎหมายยันการตลาดเลยทีเดียว สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ก็มาร่วมกันลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ได้ด้วยวิธีดังนี้ 1.วางแผนใช้โทรศัพท์มือถืออย่างคุ้มค่า เพราะแน่นอนว่าเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นทุกปีๆ แต่เราในฐานะผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องใช้ทุกปี เอาเท่าที่จำเป็น ใช้งานให้ครบฟังก์ชั่นตามต้องการ 2. เลือกซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มือถือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สมัยนี้รุ่นใหม่ๆ ที่ออกมามีบางรุ่นที่เน้นด้านสิ่งแวดล้อม และมีฉลากคาร์บอน ลองสังเกตฉลากหรือตรวจเช็คสรรพคุณที่โฆษณาเพื่อโลกก็ได้ 3. เรียนรู้วิธีการชาร์ตแบตเตอรี่มือถืออย่างถูกวิธี เพื่อลดปัญหาแบตเตอรี่เสื่อม เมื่อลดความต้องการใช้มือถือซึ่งเป็นต้นตอของขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้แล้ว ปลายทางของการรับมือกำจัดขยะเหล่านี้ก็ต้องมีกระบวนการที่ถูกวิธี ตามระเบียบว่าด้วยเศษซากผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ของสหภาพยุโรป (Waste Electrical and Electronic Equipment : WEEE) กฎที่ออกมาเพื่อบังคับผู้นำเข้าสินค้าให้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและเก็บรวบรวม กู้คืน ตลอดจนกำจัดอุปกรณ์ที่ไม่ใช้แล้ว นับเป็นการรณรงค์ให้ผู้ผลิตเกิดกระบวนการนำเข้าอุปกรณ์และกำจัดอย่างถูกวิธี ซึ่งในปัจจุบันประเทศญี่ปุ่นและในยุโรปมีการส่งเสริมการสร้างโรงงานขยะรีไซเคิลอิเล็กทรอนิกส์ ให้แพร่หลายเพื่อแนวทางสีเขียวเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดปัญหาสุขภาพที่จะส่งผลต่อผู้ใช้งานในระยะยาวแล้ว ถึงเวลาที่เราคนไทยจะมาร่วมกันลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการปรับพฤติกรรมใช้มือถือตัวการปัญหาสำคัญ พร้อมส่งเสริมให้เกิดกระบวนการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย อย่างเข้มงวด จริงจัง ตามแนว Zero Waste ที่ภาครัฐวางไว้

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point

ฉบับที่ 163 ผลลัพธ์สุดท้าย “กินเจ” = กินอย่างมีคุณภาพ

เดือนนี้ขอเกาะติดกระแส เทศกาล “กินเจ” ช่วงเวลาที่ธงสีเหลืองแต้มด้วยข้อความสีแดง เห็นคำว่า “เจ” ชัดเจน และไม่ว่าท่านผู้บริโภคจะเดินไปย่านไหนก็จะเจอแต่อาหารที่โรยด้วยผักสีสันน่ารับประทาน ปราศจากเนื้อสัตว์หลากหลายเมนูทยอยออกมาวางขาย ทุกปีเราจะเห็นคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง กินเจ บรรยากาศตามท้องถนนจึงคึกคักไปด้วยผู้ประกอบการขายอาหารเจ ตั้งแต่ร้านริมทางจนถึงห้างสรรพสินค้า ต่างก็งัดเมนูมาให้ผู้บริโภคได้เลือก ยิ่งในปีนี้จะมีเทศกาลกินเจ 2 รอบ เป็นครั้งแรกในรอบ 132 ปี คนจีนเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า “หยุ่ง ง้วย” หรือมีเดือน 9 จำนวน 2 ครั้ง กล่าวคือ รอบแรกเริ่มวันที่ 24 กันยายน-2 ตุลาคม และอีกรอบตามศรัทธา วันที่ 24 ตุลาคม-1 พฤศจิกายน รวม 18 วัน อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจเมีอปี 2556 พบว่า คนไทยทานเจในช่วงเทศกาลเจสูงขึ้นและมีการใช้จ่ายเพื่อซื้ออาหาร เพิ่มมากกว่า 10% โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีค่าใช้จ่ายราวๆ 3.2 พันล้านบาท   โดยหากคิดค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มต่อคนจะเฉลี่ยอยู่ที่ 200 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งคาดว่าในปี 2557 นี้ มูลค่าการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลเจจะมีถึงประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 6.2% เท่ากับค่าเฉลี่ยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ยิ่งทราบข้อมูลผู้บริโภคหันมากินเจ ละเนื้อสัตว์มากขึ้นอย่างนี้แล้ว ก็อดดีใจไม่ได้ แต่นอกจากผักที่มีอยู่ในจานหลักของอาหารเจแล้ว สิ่งที่ผู้บริโภคต้องคำนึงที่สุด คือ สุขภาพ เพราะในจานยังอุดมไปด้วย แป้ง , ไขมัน และเกลือ  หากยิ่งกินไปมากๆ การกินเจที่เราคิดว่ากินผักดีไม่มีเนื้อสัตว์ ก็อาจส่งผลข้างเคียงให้กับร่างกายได้เช่นกัน เพราะเนื่องจาก แป้งและไขมัน ถ้ารับประทานไปเกินความพอดีของร่างกาย ก็จะทำให้โรคร้ายถามหา..!! อาทิ โรคอ้วน โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด เร็วๆ นี้ก็มีคนรู้จักสนิทสนมกันมานานของผมต้องป่วยด้วยโรคไขมันอุดตัน  ยังมีโรคเบาหวาน หรือโรคอัลไซเมอร์ ที่ไม่เห็นผลของโรคใน 5 ปี 10 ปี แต่พอเราสูงวัยมากขึ้นจะปรากฏให้เห็นเด่นชัด  ดังนั้นจึงอยากจะแนะนำวิธี “กินเจให้อิ่มใจ” ห่วงใยสุขภาพกับผู้บริโภคทุกท่าน รวมถึงสามารถนำไปใช้แม้ไม่ได้อยู่ในเทศกาลก็ตาม ว่า อาหารที่แม้จะไม่มีเนื้อสัตว์ปะปนอยู่เลย แต่ โปรตีน ที่นำมาใช้นั้นเป็นสารอาหารประเภททดแทน ที่หาได้จากพืช อาทิ ฟองเต้าหู้ นมถั่วเหลือง ถั่ว ธัญพืช เป็นต้น ก็ควรจะบริโภคให้เหมาะสมกับอายุและปริมาณที่สมควร  โดยจะขอแบ่ง โภชนาการอาหารอย่างเหมาะสม เป็น 3 วัย ดังนี้   วัยรุ่น : แม้แป้งหรือไขมัน จะไม่ค่อยมีผลต่อวัยนี้ เพราะเป็นช่วงอายุที่ใช้พลังงานสูง แต่เพื่อป้องกันการสะสมของไขมัน อันจะเป็นต้นเหตุของโรคอ้วน จึงควรกิจอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน หรือแป้งที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ธัญพืช เผือก แทนข้าวขาว และของทอด จะทันสมัยหน่อยก็ลองกินเต้าหู้กับซอสญี่ปุ่น เพราะนอกจากอร่อยแล้วยังดีต่อร่างกายด้วย วัยทำงาน : คนทำงานออฟฟิศส่วนใหญ่ เดินน้อย แต่ใช้กำลังสมองมาก และมักบ่นอุบว่าไม่มีเวลาดูแลสุขภาพ ของว่าง “เจ” เช่น งาขาว งาดำ ถั่วปากอ้า ซึ่งเป็นธัญพืชประเภทไขมันชนิดดี ทำหน้าที่เก็บขยะ หรือไปเก็บคราบไขมันที่เกาะอยู่ตามผนังเส้นเลือดไปที่ตับและขับออกทางน้ำดี หากเคี้ยวของว่างพวกนี้ในยามบ่ายจะทำให้อยู่ท้อง และทำให้สมองแล่น เพราะการเคี้ยวช่วยเสริมกระบวนการคิดได้ ส.ว. (สูงวัย) : อยากให้หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีกากใย รวมถึงผักสด เช่น กะหล่ำปลีสด ผักกาดหอม เพราะจะทำให้ท้องอืดและมีปัญหาเรื่องแก๊สในกระเพาะอาหาร อาหารที่แนะนำจึงเป็นประเภทน้ำ ทั้งน้ำงาดำ น้ำลูกเดือย และเพื่อป้องกันภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของโรคอัลไซเมอร์ จึงแนะให้ทานมื้อว่างเสริมเป็นอาหารนิ่มๆ เช่น ผัดเต้าหู้สามรส , จับฉ่ายเห็ดหอมเต้าหู้ , เต้าหู้ผัดเปรี้ยวหวานสับปะรด โดยเอนไซม์จากสับปะรดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหารให้ดีขึ้น ทราบอย่างนี้แล้ว “กินเจ” หรือ “มื้อไหนๆ” ก็อยากให้ผู้บริโภคใส่ใจสุขภาพ กินของดีมีคุณภาพ ให้สมกับคำฝรั่งว่าไว้ You are what you eat  เพิ่มคุณค่าให้ร่างกายด้วยคุณประโยชน์จากอาหารที่เลือกกิน

สำหรับสมาชิก >
ฉลาดซื้อ เก็บแต้มแลกสินค้า250 Point